เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 34 35 [36]
  พิมพ์  
อ่าน: 95863 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 525  เมื่อ 08 ก.ย. 25, 18:06

นี่คือหน้าปกแผ่นเสียง Abbey Road ของวง The Beatles



รูปบนหน้าปกเคยเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมมาก  แฟนของ TB ต้องเคยได้ยินข่าวนี้  มันเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการออกสู่ตลาดของแผ่นฯ  อย่างที่บอกว่าตอนนั้นโลกหมุนช้า  ข่าวที่ว่ายังล่องลอยอยู่ในอากาศนานจนกระทั่งถึงยุคผม (ถึงตอนนั้นก็รู้แล้วว่ามันเป็นข่าวลือ) ผมได้รู้มาจากหนังสือ Starpics 

ข่าวที่ว่าคือข่าวการตายของ Paul McCartney  ตามข่าว (ลือ) เธอตายไป 2-3 ปี แล้ว  คนที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน (หมายถึงเวลานั้น) คือตัวปลอม  ที่มาที่ไปนั้นมาจากการตีความรูปบนหน้าปก album ซึ่งบอกนัยสำคัญ 

ข่าวนี้ดังมาก  ไม่ใช่ดังแค่ในอเมริกาเท่านั้น  มันดังมาถึงบ้านเราด้วย  SP ลงรายละเอียด (คือแปลมา) อ่านสนุก  เวลาผ่านไปรายละเอียดที่รู้ก็ค่อย ๆ หาย  มาถึงก่อนยุค อตน.  จำได้แค่ว่า ปกแผ่น AR เกี่ยวข้องกับข่าวลือเรื่อง PM ตาย  เกี่ยวยังไง  ลืมไปหมดแล้ว  เห็นแผ่นเสียงนี้วางโชว์ที่ไหน  ก็นึกถึงข่าวลือนี้

เข้ามายุค อตน.  นึกถึงความหลังก็ลองหาดู

The rumor that Paul McCartney died and was replaced by an imposter, known as the "Paul is Dead" conspiracy theory, began after the 1969 Abbey Road album cover was released.  The theory claims that the album cover contains "clues" to his supposed death in 1966.

•   Funeral procession: The band members are depicted as walking across the road like a funeral procession.
•   John Lennon: Wears white and is interpreted as the preacher.
•   Ringo Starr: Dressed in black, seen as the undertaker.
•   George Harrison: Wears denim and is believed to be the gravedigger.
•   Paul McCartney: Is barefoot, out of step with the others, and holding a cigarette in his right hand, despite being left-handed.
•   Volkswagen car: The license plate "28 IF" on the Volkswagen Beetle is said to indicate his age if he were still alive (he was 27).

เป็นตุเป็นตะไปโน่น

นั่นคือรายละเอียดที่สูญหายไปจากความทรงจำ  เป็นเวลาเกือบ 60 ปีมาแล้ว  บัดนี้ยุค อตน.  เป็นยุคที่ความลับไม่มีในโลก  นี่คือต้นตอที่ผมเพิ่งรู้ (ทนอ่านหน่อยน้า  สนุก...)

The Theory…

The theory goes that on 9th November 1966, Paul McCartney was tragically killed in a car crash on his way home from working on the Sgt. Pepper album in studio. The Beatles, wanting to save their fans from the heartache of losing Paul and dealing with the loss of their bandmate, decided to conceal the truth (perhaps not by choice) and replaced Paul with the winner of a Paul McCartney lookalike contest – ‘William Campbell’ or ‘Billy Shears’. In the years following the tragic incident, the remaining Beatles were wracked with guilt and began leaving clues and messages in their music and material to communicate the truth to the fans.

The Truth…

In reality, there is no evidence to support this story. Although Paul was involved in two car accidents around this time, multiple witnesses and Paul himself confirmed shortly afterwards that he was perfectly well. Additionally, there is no evidence that a lookalike contest ever took place and no trace of William Campbell ever existing.

Apart from a few odd whispers here and there, the rumour never really gained any traction for the next two years until 17th September 1969 when a student called Tim Harper published an article titled ‘Is Beatle Paul McCartney Dead?’ in Drake University’s student newspaper in Iowa, USA. The article is understood to be the first published work on the ‘Paul Is Dead’ theory and the catalyst in transforming the conspiracy from an irrelevant myth to an international phenomenon.

Following the release of the article, a caller to Detroit radio station WKNR-FM informed DJ Russ Gibb of the rumour live on air. Intrigued, Gibb and other callers spent the remainder of the show discussing the rumour and its clues. Several other radio stations in the New York area began to pick up the rumour in the weeks following, including WABC who’s audience during the discussion in the early hours of 21st October 1969 spread across 38 US states. Before long, the rumour became known all over the world and popular music’s biggest conspiracy theory became forever famous.


อิทธิพลของข่าวลือในยุคที่การสื่อสารยังไม่พัฒนา

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 526  เมื่อ 08 ก.ย. 25, 18:12

ผมจะไม่คุยเรื่องผลงานของวง The Beatles นะ  นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราที่ไม่จำเป็นต้องลงลึกต่างเคยได้ยินและจำได้กันทั้งนั้น แต่จะคุยเรื่องปลีกย่อยที่บางคนอาจไม่เคยได้ยิน  หรือได้ยินมานิด ๆ หน่อย ๆ

วันนี้นำเสนอ clip การแสดงสดของคณะ The Beatles อันเป็นการแสดงสดครั้งสุดท้ายของวง  มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า The Beatles’ Rooftop Concert  เกิดขึ้นในวันที่ 30 ม.ค. 1969
 
Concert นี้ดังมากนะ  ผมเห็นภาพบรรยากาศมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ๆ โน่น  เป็นภาพนิ่งขาวดำ  ตอนนั้นไม่ประสีประสา  ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร  มา อ๋อ... ตอนแก่แล้วและได้อ่านบทความ

On 30 January 1969, The Beatles performed a concert from the rooftop of their Apple Corps headquarters at 3 Savile Row, in central London's office and fashion district. Joined by guest keyboardist Billy Preston, the band played a 42-minute set before the Metropolitan Police arrived and ordered them to reduce the volume. It was the final public performance of their career. They performed nine takes of five new songs as crowds of onlookers, many on lunch breaks, congregated in the streets and on the rooftops of nearby buildings to listen. The concert ended with "Get Back", and John Lennon joking, "I'd like to say thank you on behalf of the group and ourselves, and I hope we've passed the audition.

รายชื่อเพลงที่เล่น
    "Get Back" (Take 1) – 4:43
    "Get Back" (Take 2) – 3:24
    "Don't Let Me Down" (Take 1) – 3:22
    "I've Got a Feeling" (Take 1) – 4:44
    "One After 909" – 3:09
    "Dig a Pony" – 5:52
    "God Save the Queen" (Traditional, arranged by Lennon, McCartney, Harrison, and Starkey) – 0:26
    "I've Got a Feeling" (Take 2) – 5:35
    "Don't Let Me Down" (Take 2) – 3:30
    "Get Back" (Take 3) – 3:47


ประเดิมด้วยเพลงนี้













ลาด้วยเพลงเดิม เป็นการเล่นซ้ำครั้งที่ 3



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 527  เมื่อ 09 ก.ย. 25, 18:42

ใครที่เป็นแฟนอย่างเหนียวแน่นของวง The Beatles  คงรู้ประวัติดีว่า The Beatles ที่ได้เห็นได้รู้จักกันนี้  แรกเริ่มนั้นไม่ได้เป็นแบบนี้  แรกเริ่มวงมีชื่ออื่น ๆ มาก่อนว่า The Quarrymen บ้าง Johnny & the Moon Dogs บ้าง  แล้วก็ The Silver Beetles  ก่อนจะมาจบที่ The Beatles

ประการต่อมา  สมาชิกของวงแต่แรกเริ่มมี 4 คน  ถูกต้อง  แต่คนที่ 4 ไม่ใช่ Ringo Starr   เป็น Stu Sutcliffe (ชื่อเต็มคือ Stuart) ทำหน้าที่มือเบส
 



สำหรับมือกลองนั้นไม่มี  จะออกงานทีก็ใช้สรรหาเอาเป็นงาน ๆ ไป  มือกลองประจำวงมาเกิดขึ้นเมื่อวงออกไปขุดทองที่ Hamburg ประเทศเยอรมันตะวันตก (1960) มือกลองประจำวงคนนี้จึงเป็นสมาชิกใหม่คนที่ 5 ชื่อ Pete Best  




เนื่องจากเป็นการหาตัวในเวลาเร่งด่วนจึงได้ ‘สินค้า’ ที่บกพร่อง  กล่าวคือ PB เล่นกลองไม่ชำนาญ  และกลายเป็นตัวถ่วงความรุ่งโรจน์ของวง  ช่วงนั้น ที่ Hamburg มีหนุ่มนักตีกลองจากอีกวงหนึ่งชอบเข้ามาคลุกคลี  เมื่อใดที่ PB เกเร  ประมาณว่าเซ็งกับการโดนเพื่อนร่วมวงตำหนิ  ก็แอบหนีเที่ยว  สมาชิกวงฯ จึงจ้างหนุ่มน้อยมาเป็นมือกลองสำรองเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน  ปรากฏว่ามือสำรองมีฝีมือตีกลองได้ดีกว่าจนเพื่อนฝูงตะลึง  ‘จากเรื่องยาวทอนเป็นเรื่องสั้น’   Pete Best ก็ถูกเชิญให้ออก  แล้วจ้างหนุ่มน้อยมือสำรองมาเป็นสมาชิกประจำ  หนุ่มน้อยนี้มีชื่อว่า Ringo Starr (ชื่อจริงคือ Richard Starkey)

สรุปว่าในช่วงเวลาต่อมาที่แสดงดนตรีอยู่ที่เยอรมันนีตะวันตก  วงฯ ยังคงสมาชิกทั้งหมด 5 คนเหมือนเดิม  แต่มีการเปลี่ยนตัว  RS เข้ามาแทน PB


กลับมาที่มือเบส Stu Sutcliffe  ซึ่งเป็นสมาชิกแต่ดั้งเดิม  เธอเป็นเพื่อนสนิทของ John Lennon  มาตั้งแต่เรียนอยู่ในโรงเรียนศิลปะ Liverpool College of Art  เมื่อ JL คิดก่อตั้งวงดนตรีและรู้ว่าเพื่อนสนิทมีฝีมือในการเล่นเบส  เธอก็เลยล็อคคอเอามาเข้ากลุ่ม  แต่การณ์ปรากฏในเวลาต่อมาว่า  ความสามารถทางด้านศิลปะของ SS นั้นไปอยู่ที่การวาดภาพมากกว่าการเล่นเครื่องดนตรี  เนื่องจากฝีมือของเธอไม่พัฒนา  ไม่มีลูกเล่น  ข้อมูลบอกว่าเวลาขึ้นเวที  ขณะเล่นเบส  SS มักหลบฉาก  ไม่เผชิญหน้ากับผู้ชมเนื่องจากไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง  กลัวผู้ชมที่มีฝีมือในการเล่นเบสที่เก่งกว่ามาดูแล้วแอบจับผิด  สรุปแล้วเธอไม่มีความสุขกับการเล่นดนตรี




ระหว่างนั้น SS ได้ยินกิตติศัพท์ของโรงเรียนศิลปะ Hamburg College of Art  เลยลองไปสมัครดู  ปรากฏว่าทาง รร. รับตัวเธอไว้  บางข้อมูลบอกว่าฝีมือดีมากจนได้รับทุน  เธอก็เลยลาออกจากวงฯ  แล้วผันผายเปลี่ยนเข็มไปสร้างผลงานทางด้าน Painting แทน  ชีวิตแขนงใหม่ของเธอเจริญรุ่งโรจน์กว่า
 
In July 1961, Sutcliffe decided to leave the group to continue painting. After being awarded a postgraduate scholarship, he enrolled at Hochschule für bildende Künste Hamburg, where he studied under the tutelage of Eduardo Paolozzi




เมื่อวงฯ ขาดมือเบส  ก็ไม่ได้สรรหาคนใหม่  แต่ตกลงยกหน้าที่นี้ให้ Paul McCartney ไป  สมาชิกวง The Beatles จึงเหลือแค่สี่ วง 4 เต่าทองที่พวกเรารู้จักเริ่มต้นตรงนี้


กลับมาที่ SS  ขณะกำลังมีความสุขกับเส้นทางชีวิตที่เลือกใหม่  เธอก็เกิดป่วย  

While studying in West Germany, Sutcliffe began suffering from intense headaches and experiencing acute light sensitivity. In February 1962, he collapsed in the middle of an art class after complaining of head pains. German doctors performed tests, but were unable to determine a cause. After collapsing again on 10 April 1962, Sutcliffe was taken to a hospital, but died in the ambulance on the way. The cause of death was later found to have been a brain haemorrhage — severe bleeding in the right ventricle of his brain (ขณะมีอายุเพียง 21 ปี).

สาเหตุนั้นหลากหลาย  เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีใครดัง  คนเลยไม่ได้ให้ความสนใจที่จะค้นหาความจริง  


ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ SS ยังเป็นสมาชิกของวง The Beatles  ด้วยความเป็นเด็กหัวศิลป์  บุคลิกของเธอเริ่มโดดเด่นออกมาจากกลุ่มเพื่อน ๆ

Sutcliffe's profile grew after he began wearing Ray-Ban sunglasses and tight trousers (ผลคือ  โคตรเท่).  




His high spot was singing "Love Me Tender", which drew more applause than the other Beatles and increased the friction with McCartney. Lennon also started to criticise Sutcliffe, joking about his size (ตัวเล็ก) and playing (เบส)



จุดนี้ก่อให้เกิดความสงสัยในวงกว้างว่าหรือนี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำ SS ไปสู่ความตายก่อนวัยอันควร  เพราะมี ‘ตำนาน’ เล่าว่า  ด้วยความอิจฉาที่เพื่อนได้หน้าตาทั้งที่เล่นเครื่องดนตรีไม่เก่ง  บางแหล่งก็เล่าว่า  เป็นความเครียดที่รู้ว่าเพื่อนจะทิ้งทุ่นลาออกจากวง  วันหนึ่งเมื่อเกิดการคัดง้างกัน John Lennon จึงเลยเถิดซัดกับเพื่อน  SS ตัวเล็กกว่าสู้ไม่ไหว  เธอล้มหัวกระแทกพื้นอย่างจัง  แต่ตอนนั้นไม่เป็นอะไร


นี่คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ ‘เต่าทอง’ คนที่ 5





หมายเหตุ - ข้อมูลที่ฝอยมาข้างต้นนี้รวบรวมมาจาก 2 แหล่งคือ Wikiฯ กับ Reddit  ก่อนหน้านี้  ผมรู้แค่จำนวนสมาชิกที่ยังไม่ลงตัวกับรู้ว่า SS ตายเร็ว
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 528  เมื่อ 10 ก.ย. 25, 18:22

หลังจาก The Beatles แตกวง  สมาชิกแต่ละคนก็ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวกันหมด  คนแรกที่สามารถนำผลงานของตนขึ้นอันดับ 1 billboard ได้ก่อนใครคือ Gorge Harrison ด้วยเพลงนี้



เพลงนี้ดังกระหึ่ม  ไม่ใช่ดังเฉพาะความไพเราะเท่านั้น  ยังดังในเรื่องข่าวฉาวด้วย  ความฉาวมาถึงเมืองไทยโดยหนังสือ Starpics ตามเคย  นี่คือข่าวที่คุณ MyBand ได้กรุณาสรุปให้ดังนี้

George Harrison VS The Chiffons

เต่าทองผู้เงียบขรึม จอร์จ แฮร์ริสัน ออกซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว ‘My Sweet Lord’ (อัลบั้ม All Things Must Pass) เมื่อปี 1970  แล้วก็ฮิตติดลมบนทันที ครองแชมป์บนชาร์ตทั่วโลกได้รับความนิยมจนกลายเป็นเพลงรักอมตะถึงปัจจุบัน

แต่ทำนองเพลงดันไปละม้ายคล้าย He’s So Fine ของคณะ The Chiffons ซึ่งปล่อยมาตั้งแต่ปี 1962 ซะนี่! ตามคำกล่าวอ้างของ รอนนี่ แมค นักเขียนเพลงของวง  เป็นเหตุให้ค่ายเพลง Bright Tunes Music เจ้าของลิขสิทธิ์เพลงนี้ยื่นฟ้องจอร์จ เพื่อเรียกร้องค่าส่วนแบ่งลิขสิทธิ์จากเพลง My Sweet Lord รวมถึงส่วนแบ่งยอดขายอัลบั้ม All Things Must Pass  (ที่มีเพลงนี้บรรจุอยู่)

คดียืดเยื้ออยู่นานหลายปี  นานถึงขนาด The Chiffons ปล่อยเพลง My Sweet Lord ในเวอร์ชั่นตัวเองออกมาแข่งระหว่างรอต่อสู้ในชั้นศาล

สุดท้ายอดีตเต่าทองก็ถูกตัดสินว่าลอกเลียนแบบเพลง He’s So Fine จริง (โดยไม่ตั้งใจ) และต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเสียหายร่วม 6 แสนเหรียญฯ – อ่วมเลย


ผมดูจาก Wikiฯ  เพลง MSL ขึ้นอันดับ 1 ทุกประเทศเลย  ก็มันเพราะจริง ๆ

นี่คือเพลง He’s So Fine ของวง The Chiffons  นักฟังเพลงฝรั่งย้อนยุคทุกคนรู้จัดี



มีคนนำเพลงทั้ง 2 มาเทียบกันให้ฟัง



นี่คือเพลง My sweet lord ฉบับของวง The Chiffons  



ต่อไปนี้มาจากประสบการณ์การฟังเพลงของผมเอง  ผมพบว่ายังมีเพลงอีกคู่หนึ่งที่ออกมาทำนองเดียวกัน  ลองฟังดู

I Know จากเสียงของ Barbara George



และ Everybody loves a lover ของ The Shirelles



ตอนต้นไม่เท่าไร แต่พอถึงช่วง 1.10 – 1.41 ของเพลงแรกกับ  1.03 – 1.31 ของเพลงหลัง  นี่ซิ  เหมือนกันดิก  แล้ว 2 เพลงนี้ยังออกสู่ตลาดในเวลาใกล้เคียงกันด้วย (1961 และ 1963) ทำไมไม่มีการฟ้องร้องก็ไม่รู้


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 529  เมื่อ 11 ก.ย. 25, 17:42

George Harrison ยังมีเพลงอันดับ 1 บน billboard อีก


ผมไม่ได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุเท่าไร  แต่ไม่ใช่ว่าไม่เพราะ


และอีกครั้งในปี 1987 กับเพลงนี้  เพลงดังมาก  ดีเจพร้อมใจกันชอบ  แต่ช่วงเวลาของมันอยู่ปลาย ๆ วงจรการฟังเพลงของผมแล้ว  เลยเฉย ๆ



ในช่วงเวลาที่การกระจายเสียงทางวิทยุยังไม่ตาย  ดีเจยังเปิดเพลงอื่น ๆ ของเธอออกมาให้ฟังเนือง ๆ เช่น





ในปี 1988  GH ก็ชักชวนเพื่อนสนิทในวงการตั้งกลุ่มศิลปินรวมการเฉพาะกิจขึ้นเรียกว่า The Traveling Wilburys  ประกอบด้วยศิลปินระดับมหากาฬ Bob Dylan, Jeff Lynne, Roy Orbison และ Tom Petty  วงนี้เล่นเพลงตามใจฉันแต่ปรากฏว่า  แฟนเพลงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น  รวมถึงดีเจในบ้านเราด้วย  




หมายเหตุ - 2 เพลงข้างต้นเป็น singles จาก album แรกที่ดังที่สุด  single แรกมีครบ 5 คน  พอมา single ที่ 2 จะเห็นสมาชิกเหลือ 4 คน  แต่เสียงร้องมี 5 เสียงร้อง  นั่นเป็นเพราะตอนอัดเสียงสมาชิกยังอยู่กันครบ  แต่พอถึงเวลาเอาเสียงมาทำ MV   Roy Orbison ตายเสียก่อน  MV จึงมีแค่ 4 คน  ถ้าสังเกตดี ๆ ช่วงที่เสียงร้องนำเป็นของ RO  กล้องจะถ่ายให้เห็นรูปของเธอบนเก้าอี้โยก  วงรวมการเฉพาะกิจนี้ออกผลงานมา 2  albums  ใช้ชื่อง่าย ๆ  ชื่อ album  แรกคือ 1  แต่พอมา album ที่สองใช้ชื่อว่า 3  สมัยนั้นปลายยุคของผมแต่ยังชอบดูอันดับ billboard  จู่ ๆ The TW ออกแผ่นใหม่ว่า 3  ก็งงว่า เอ๊ะ... แล้วไอ้แผ่นที่ควรจะชื่อว่า 2 มันรอดหูรอดตาไปตอนไหนวะ  ชั้นตามดูมาตลอดนี่นา  ตอนนั้นก่อนยุค อตน.  ไม่มีข้อมูลให้ค้น  ก็เก็บความสงสัยไว้จนกระทั่งถึงยุค อตน.  ก็ได้ความกระจ่าง...

"That was George's idea. He (Jeff Lynne) said, 'Let's confuse the buggers' (bugger คือศัพท์แสลงฝั่งอังกฤษ แปลได้หลายความหมาย แล้วแต่สถานการณ์  เป็นคำอุทานก็ได้ ในที่นี้น่าจะแปลว่า 'ไอ้หน้าโง่')" ... ผมโดนเข้าจังเบอร์


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 530  เมื่อ 12 ก.ย. 25, 18:12

แฉลบนิด...

คราวที่แล้วเอ่ยถึงวงรวมการเฉพาะกิจชื่อ  The Traveling Wilburys สมาชิกของวงล้วนมีความดังเป็นเอกเทศอยู่แล้ว  มาบัดนี้ต่างล้มหายตายจากกันไปเกือบหมด  เหลือ Bob Dylan ซึ่งผมก็ได้นำเสนอผลงานที่วิทยุบ้านเราเปิดให้ฟังไปแล้ว

อีกคนคือ Jeff Lynne (ตอนเด็ก ๆ ผมจำสลับกับ Michael McDonald จากวง The Doobie Brothers ตอนนั้นเห็นแต่ภาพนิ่ง  ผมว่าหน้าตาเธอคล้ายกัน) เธอคือผู้ก่อตั้งวง rock จากอังกฤษชื่อ Electric Light Orchestra  เอกลักษณ์ของวงนี้โดดเด่นมากคือเล่นเพลง rock โดยนำวง orchestra เข้ามาผสมได้อย่างกลมกลืน  ในยุค 70s  ไม่มีวงดนตรีไหนเล่นแนวนี้

Single ของวงที่เตะหูผมเป็นครั้งแรกคือ  แบบว่า  ไม่ใช่ว่าชอบ  แต่ได้ยินบ๊อยบ่อย  จนจำได้



แต่ที่ทำให้ชื่อของวงดังติดหูติดปากนักฟังเพลงฝรั่งชาวกรุงเทพฯ คือเพลงนี้



จากนั้น singles ใดของวง ELO ที่ดังบนตาราง billboard  วิทยุบ้านเราไม่ลืมนำมาเปิดให้ฟัง  ร่ายยาวเป็นตับ  นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคของบ้านเราไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของวงนี้

(ดังกระหน่ำ)





(2 เพลงโปรดของผม  ให้ฟังจากฉบับ audio)





(2 เพลงนี้ไม่ใช่เพลงโปรดของผม  แต่เป็นเพลงโปรดของเหล่าดีเจ  ช่วงที่เพลงกำลังไต่อันดับฯ  ได้ยินทุกวัน)


ตบท้ายสำหรับวันนี้ด้วย



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2262


ความคิดเห็นที่ 531  เมื่อ วันนี้ เวลา 17:31

หนัง Xanadu ออกฉายในปี 1980  ผมจำไม่ได้ว่ามันเข้ามาฉายในบ้านเราปีเดียวกันรึเปล่า  ผมว่าหนังก็งั้น ๆ  แต่เพลงประกอบซิ  เพราะมาก  ทำให้ดูได้จนจบ



ในบรรดาเพลงประกอบ  มาจากเสียงร้องของ 2 ศิลปิน  คือ Olivia Newton John กับ วง Electric Light Orchestra   ผมคัดเฉพาะเพลงที่ร้องโดย ELO ที่วิทยุนำมาเปิดมี 4 เพลงนี้







เพลงที่ 4 ดังที่สุด  เป็นเพลงร้องคู่  จริง ๆ แล้ววง ELO แค่ประสานเสียง  



ช่วงปลาย ๆ ของวงจรการฟังเพลง  ก่อนจะเลิกติดตามเพลงใหม่แล้วย้อนกลับไปฝังตัวอยู่กับเพลงเก่าในอดีต  2 เพลงนี้แว่ว ๆ อยู่ในอากาศรอบตัวผม





จบที่เพลงที่ไม่ใช่ single แต่วิทยุเปิดบ่อยจนตอนนั้นซึ่งยังไม่มีแหล่งข้อมูล  นึกว่ามันเป็น single



ผมจำได้จากการอ่านมาจากที่ไหนสักแห่งว่า  concert ในช่วงรุ่งเรืองของวง คือครึ่งหลังของยุค 70s  จะอลังการมาก  ที่โดดเด่นที่สุดคือการทำเวทีเลียนแบบยานอวกาศ (โลโก้ของวงก็คือยานอวกาศ) ตอนนั้นอ่านแล้วอยากเห็นเป็นกำลัง  เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งในหลายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผมรับรู้ (ด้วยการอ่าน) มาตั้งแต่สมัยโน้นและอยากเห็น  มาได้เห็นในทั้งหมดในยุค อตน.







Wikiฯ บอกว่า...

During ELO's original 13-year period of active recording and touring, they sold over 50 million records worldwide. They collected 19 CRIA, 21 RIAA, and 38 BPI awards. From 1972 to 1986 ELO accumulated 27 Top 40 songs on the UK Singles Chart, and fifteen Top 20 songs on the US Billboard Hot 100.

The band also holds the record for having the most Billboard Hot 100 Top 40 hits (20) without a number one. In 2017, four key members of ELO (Wood, Lynne, Bevan, and Tandy) were inducted into the Rock and Roll Hall of Fame.




มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 34 35 [36]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 20 คำสั่ง