เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34
  พิมพ์  
อ่าน: 83718 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 480  เมื่อ 28 ก.ค. 25, 18:16

เพลง Year of the cat ของ Al Stewart ออกตลาดในปี 1976  ตอนนั้นผมยังใส่ขาสั้นกระโดดขึ้นรถเมล์ไปเรียนหนังสืออยู่เลย  ภาษาไทยเพิ่งคล่อง  ภาษาอังกฤษกำลังคลานตามมา  อาศัยที่ชอบดูหนัง/ฟังเพลงฝรั่ง  ความชำนาญทางภาษาสาขานี้ก็ก้าวหน้าขึ้นทีละนิดละหน่อย  พอมั่วนิ่มกับเนื้อร้องเพลงนี้ ท่อนแรกมีว่า ‘On a morning from a Bogart movie’  อาศัยสัญญาเดิมก็รู้ว่าชื่อ Bogart เป็นชื่อนักแสดงในยุคทองของ Hollywood  รุ่นเดอะคนหนึ่ง  ชื่อเต็ม ๆ คือ Humphrey Bogart  (1899 – 1957)

ตอนนั้นรู้จักชื่อกับเคยเห็นหน้าทางภาพนิ่งในหนังสือ Starpics  แล้วก็รู้จักผลงานดัง ๆ ของเธอด้วย  แต่ไม่เคยดูผลงานเหล่านั้น  ก็เลยไม่เคยเห็นตัวเธอ ‘in action’




ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้  ก็อยากรู้เป็นนักเป็นหนาว่า  AS เธอหมายถึงเรื่องไหน  มารู้รายละเอียดเอาในยุค อตน.  ทาง Wikiฯ  ว่าหนังของ HB ที่ AS เอ่ยถึงคือเรื่อง Casablanca (1943)



ในหนังเรื่องนี้ HB เล่นกับนักแสดงหญิงระดับยักษ์อีกคนหนึ่งของ Hollywood เธอชื่อ Ingrid Bergman (1915 – 1982) เจ้าของ Oscar ถึง 3 ตัว  หนังเรื่องนี้มีความเป็นอมตะอยู่ 2 – 3 อย่าง 

อย่างแรกคือคำพูด ‘Here’s looking at you, kid’ ได้รับเลือกเป็นคำพูดในหนังที่โด่งดังที่สุดเป็นอันดับ 3 ในปี 2007 (ปีล่าสุดของการรวบรวมโดย American Film Institute (AFI))

(1.54)


กับอีกฉากหนี่งในเรื่องเป็นฉากอมตะที่สิงห์นักดูหนังฝรั่งต้องจำได้



เพลงที่ร้องชื่อ As time goes by ในปี 2004 ได้รับเลือก โดย AFI ให้เป็นเพลงจากในหนังที่มีความอมตะเป็นอันดับ 2 รองจากเพลง Over the rainbow ที่ร้องโดย Judy Garland ในหนังปี 1939 เรื่อง The Wizard of Oz

ฉากนี้ดังก้องโลกเลยทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังอมตะไปด้วย  และทำให้มันเป็นหนัง signature ของ HB  บทในเรื่องนี้ทำให้เธอได้เข้าชิง Oscar  จากทั้งหมด 3 เรื่อง  และไปได้จากเรื่อง The African Queen (1951)

จบการพล่ามเรื่องหนังตรงนี้  กลับมาฝอยเรื่องเพลง


ชื่อหนัง Casablanca ฟื้นชีพขึ้นมาในวงการเพลงอีกครั้งในต้นยุค 80s  จากฝีมือของ Bertie Higgins



เพลงนี้นับเป็น single ที่ 3 ของเธอ  เป็นเพลงที่ไม่ดังบน billboard แต่ดังกระหน่ำในบ้านเรา

เพลงดังของ BH คือ single ที่ 1 ชื่อ Key Largo  ดังระดับแผ่นเสียงทองคำ  แต่ไม่ดังเท่าเพลง Casablanca ในบ้านเรา

(BH เอาประโยคดังจากในหนัง Casablanca ที่พูดว่า ‘Here’s looking at you, kid’ มาใส่ในเนื้อเพลงด้วย)


ชื่อเพลงนี้ก็เป็นชื่อหนังที่เล่นโดย HB เช่นกัน (1948) 



ถ้าจับเนื้อร้องของเพลงได้ ท่อนสร้อยมีว่า ‘We had it all. Just like Bogie and Bacall’  ชื่อ Bogie คือชื่อเล่นของ HB  ส่วนชื่อ Bacall คือ Lauren Bacall (1924 – 2014) อีกหนึ่งนักแสดงระดับยักษ์ในยุคทองของ Hollywood  เธอมีอายุยืนยาวมาจนถึง 2014  นับเป็นดาราชั้นนำในยุคทองคนท้าย ๆ ที่มาตายเอาในยุคปัจจุบัน
 
ในยุครุ่งเรือง  เครื่องหมายการค้าของเธอคือเสียงต่ำ ๆ ที่สุดจะเซ็กซี่ (เริ่มต้นด้วยการฝึกฝนจนกลายเป็นธรรมชาติไปเลย)



คู่ชีวิตของเธอก็คือ HB  ทั้ง 2 เจอกันในหนังที่แสดงในขณะที่ฝ่ายชายอายุ 42 ส่วนฝ่ายหญิงอายุ 19  แล้วแต่งงานอยู่กินกันจนฝ่ายชายตายจากไปเมื่อปี 1957  ทั้ง 2 เคยเล่นหนังด้วยกันทั้งหมด 5 เรื่อง  ในยุครุ่งเรืองชีวิตคู่ของทั้ง 2 เรียกได้ว่า ‘powerful’  นี่คือที่มาของสำนวน ‘We had it all. Just like Bogie and Bacall’




เล่ามา 2  เพลง  เพลงที่ 3 คือ single ที่ 2 คือเพลงนี้  ไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องใด ๆ  ในบ้านเราเพลงนี้ดังพอ ๆ กับเพลง Casablanca



BH เอาเพลงมาฝากทีเดียว 3 เพลงรวดแล้วหายไปเลย  เธอจึงเป็นศิลปิน one hit wonder จากเพลง KL  อีก 2 เพลงไม่ดังที่บ้านเขา  แต่ดังในบ้านเรา  ทั้งหมดรวมอยู่ใน album แรกของเธอ  วิทยุก็เลยเปิดรวบยอด
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 481  เมื่อ 29 ก.ค. 25, 18:10

วันนี้ยาวมากกกกกนะ...

เมื่อวานเอ่ยถึงเพลง (ในยุคผม) ที่มีเนื้อบางตอนพาดพิงไปถึงดารา Hollywood ยุคเก่า  ยุคนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของ Hollywood  เป็นยุคที่ดารานักแสดงทุกคนต้องเข้าสังกัด  สังกัดก็คือบรรดา Studio ทั้งหลาย  เช่น MGM, Warner Bros., Universal, RKO ฯลฯ  เมื่อเข้าสังกัดแล้วบรรดา Studio จะ  เรียกได้ว่า  ควบคุมชีวิตดารานักแสดงเหล่านั้น  ตั้งแต่เลือกบทหนังให้เล่น  จนถึงสร้างภาพพจน์ในแง่มุมต่าง ๆ ให้ปรากฏแก่สาธารณะในรูปแบบที่เหมาะสม ฯลฯ  สิ่งที่พวกดารานักแสดงจะได้รับคือเงินเดือนบวกเปอร์เซ็นต์  งานที่มีป้อนให้ต่อเนื่อง  รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ  ถ้าเป็นดาราเด็กก็จะได้รับการศึกษาจากโรงเรียนใน Studio นั้น  แต่สิ่งที่สูญเสียไปคือ อิสรภาพ  ความเป็นตัวของตัวเอง  อำนาจในการต่อรอง  นอกจากดารานักแสดงคนนั้นเป็นตัวทำเงิน  เป็นต้น  เอาคร่าว ๆ นะ  ที่รู้นี่รวบรวมมาจากการอ่านน่ะ  หาได้เกิดใน Studio นั้น ๆ ไม่
คำว่า ดารา หรือ Star  ก็เกิดขึ้นในยุคนี้  คือพวกเขาอยู่คนละโลกกับเรา

เมื่อวานเอ่ยไปแล้ว 1 ชุด  คราวนี้เกิดอาการ ‘หนุกดีแฮะ’  ก็เลยนึกอีก  (ด้นสด) ได้เพลงนี้ 



Elton John แต่งเนื้อเพื่อรำลึกถึง Marilyn Monroe (1926 – 1962)  ชื่อ Norma Jean (Baker) ในเนื้อเพลงคือชื่อดั้งเดิมของเธอ  ทุกคนรู้จักเธอดี  ก็จะผ่านไป  อ้อ ๆ ... นี่คือหนังเรื่องแรกของเธอ (1947)



เพลงนี้ดังเฉพาะในบ้านเรา  นำเสนอโดยรายการ Golden Oldies



ต่อมา  อีกเพลงที่เอาชื่อดาราในยุคนั้นมาพาดพิงคือเพลงนี้ที่ร้องโดย Kim Carnes



ชื่อ Bette Davis (1908 – 1989) นี่ก็เช่นกัน  ไม่ต้องโฆษณามาก  นักดูหนังฝรั่งประเภทคอทองแดง  รู้จักดีทุกคน  เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล  ผมจะไม่เล่าเรื่องผลงานของเธอเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน  แล้วกระทู้นี้ก็เกี่ยวกับเพลง  แต่ตอนนี้เบรกไม่อยู่  ก็จะเล่าเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของเธอก็แล้วกัน

รายการโชว์ทางทีวีที่อเมริกาในยุค 80s  เริ่มบัญญัติกฎห้ามทุกคนสูบบุหรี่ต่อหน้ากล้อง  วันหนึ่ง Bette Davis ได้รับเชิญไปออกรายการหนึ่ง  ระหว่างออกอากาศจู่ ๆ เธอก็เปิดกระเป๋าถือแล้วควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างสบาย ๆ  พิธีกรและแขกคนอื่น ๆ ทำหน้าตาเลิ่กลั่กต่อภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด  เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการบอกกล่าวกันแล้ว
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบกระซิบบอกเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ใกล้เธอให้ดับบุหรี่เสีย  แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นทำเฉย  เธอมาบอกทีหลังว่า ไม่กล้า  ไม่มีใครกล้าสั่ง Bette Davis  เธอจึงเป็นแขกรับเชิญเพียงคนเดียวที่สามารถสูบบุหรี่ต่อหน้ากล้องถ่ายได้  ไม่ว่าจะออกรายการไหน

ในหนังสือประวัติของ Bette Davis เขียนโดย Ed Sikov นักเขียน (รับจ้าง) ประวัติชีวิตคนดัง เขียนไว้ตอนหนึ่งว่าหมอฟันส่วนตัวของเธอเล่าว่า  นิ้วเธอจะคีบมวนบุหรี่ตลอดเวลา  ระหว่างคอยคิวเธอก็สูบ  พอถึงคิว  เธอขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ทำฟันแล้วก็ยังควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

BD เคยให้สัมภาษณ์ว่า  ถ้าไม่สูบบุหรี่  คนจะไม่รู้ว่านี่คือ Bette Davis  ปกติ BD สูบบุหรี่ 4 ซองต่อวัน


ใน clip นี้เมื่อ 1982 – เธอเล่าเรื่องประโยชน์ของระบบ Studio System ที่ทำให้เกิดยุคทองของ Hollywood  เท่าที่ได้อ่านเรื่องของดาราในยุคทอง  พอเอ่ยถึง Studio System  ทุกคนกล่าวถึงความดีของระบบนี้กันทั้งนั้น  ที่จำแม่นคือ Robert Taylor ชมว่าถ้าไม่มีระบบนี้เธอไปไม่รอดเพราะความสามารถในการแสดงของเธอมีจำกัด ระบบฯ ช่วยให้เธอมีงานทำต่อเนื่องไม่ขาด  แต่ขอเพียงอย่างเดียวคือ  อย่ารั้นอย่าดื้อ (กรณีดื้อรั้นจนตัวพังที่ดังมากคือกรณีของพระเอกหนุ่มหล่อ Tab Hunter)

Bette Davis เคยสร้างประโยคที่ต่อมาเป็นประโยค signature ของเธอ คือ 'What a dump'  ดาราดังในยุคหลัง Elizabeth Taylor เคยนำมาใช้ในหนังเรื่องหนึ่งซึ่งกระพือให้คนอื่น ๆ เริ่มกลับมาสนใจประโยคนี้



ใครที่รู้จัก BD  จะต้องรู้เกร็ดดังเรื่องนี้  มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความไม่ลงรอยระหว่างดาราใหญ่  คนหนึ่งคือตัวเธอ อีกคนคือ Joan Crawford  เท่าที่เคยอ่าน ๆ มาล้วนสนับสนุนเรื่องราวนี้แต่ก็มีบางฉบับที่ให้แง่คิดว่าหรือเป็นแผนการสร้างความดัง  หรือไม่ก็ใส่ผงชูรสกันเข้าไป  ข่าวของตัวเองจะได้ขายดี  เพิ่ม 'rating' ความเป็น 'ดารา'

อย่างไรก็ตามผมได้ดูหนังชุดทางทีวีเรื่อง Feud (2017)  เล่าเรื่องราวของทั้งคู่ออกมาอย่างสนุกสนาน  โดยเฉพาะเบื้องหลังการสร้างหนังสั่นประสาท Whatever happened to Baby Jane (1962)   ที่ทั้ง 2 ได้นำแสดงร่วมกันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว  เหตุการณ์ต่าง ๆ อันเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องที่ว่านี้  หนังทีวีทำออกมาให้เห็นกระจะตาบ่งบอกว่าความเป็นไม้เบื่อไม่เมาของดาราใหญ่ทั้ง 2 น่าจะเป็นความจริง

Clip ที่ผมเอามาลงให้ดูมาจากหนังทีวีที่ว่า (Jessica Lange เล่นเป็น Joan Crawford / Susan Sarandon เล่นเป็น Bette Davis) เป็นการเลียนแบบของจริงที่อ้างไว้ข้างต้น  มันต้องมีมูลความจริง  ผู้สร้างถึงกล้าเอามาเสนอให้คนทั่วโลกดู  ไม่งั้นเป็นโดนฟ้องตูดบานไปนานแล้ว

ฉากเซ็นสัญญา

(ฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวามีผลต่อความ ‘ยิ่งใหญ่’  ต้องใช้ไหวพริบในการช่วงชิง  การที่มีคนเอาขวด Pepsi-Cola มาให้ JC ถือเพราะว่าในเวลานั้นเธอแต่งงานกับ ‘President of Pepsi-Cola’ ซึ่งนับเป็นการข่มอีกฝ่ายกลาย ๆ)


ฉากนี้เป็นฉากดังไปทั่วโลกเพราะมีเบื้องหลัง... During a scene in What Ever Happened to Baby Jane?, Bette Davis kicked Joan Crawford so hard that she needed stitches. Crawford retaliated by putting "weights in her pockets so that when Davis had to drag Crawford's near lifeless body she strained her back." (ข้อมูลจาก Wikiฯ)



ตัวอย่างหนัง Whatever happened to Baby Jane  ผมรู้กิตติศัพท์ของหนังเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่รู้ว่าหนังมาฉายในโรงฯ ที่บ้านเรารึเปล่า  ผมได้ดูทางช่อง TCM ของ I/UBC ทีวี  ดูด้วยความรู้สึกหดหู่  ด้วยเนื้อหาและที่สำคัญเป็นหนังขาวดำ  ที่ปกติก็ให้ความหดหู่อยู่แล้ว  แต่จำเป็นต้องดูเพราะเป็นวิชาบังคับ  ต้องผ่าน  ไม่งั้นไม่ได้ชื่อว่าเป็นนักดูหนัง (ฝรั่ง) ของแท้



เพลงโปรโมทหนังฯ



พักครึ่ง...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 482  เมื่อ 29 ก.ค. 25, 18:34

ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตามทางทำให้ผมรู้อะไร ๆ มากขึ้น  เช่น รู้ว่า ตามข่าวหนาหูที่ใคร ๆ ก็รู้ว่า Bette Davis ไม่ถูกชะตากับ Joan Crawford นั้น  คนวงในรู้กันว่า  ความจริงแล้ว  ยังมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับเธออีก  ก่อนหน้านี้  BD ไม่ลงรอยกับ Miriam Hopkins มาก่อน  MH คืออีกหนึ่งดาราใหญ่ในยุคทองตอนต้นของ Hollywood  ผมว่าหานักดูหนังฝรั่งในบ้านเรารู้จัก MH น้อยมาก  อาจไม่มีเลยก็ได้  ความสามารถในการแสดงของเธออยู่ระดับเข้าชิง Oscar มาแล้ว

ทั้ง 2 อยู่ร่วมยุคกันและมาจากเวทีละครทั้งคู่  MH ก้าวเข้ามาเล่นหนัง Hollywood ก่อนและดังก่อน  พอ BD ก้าวตามเข้ามาและได้ตุ๊กตาทอง ความดังเลยกลบ MH  สองสาวก็เริ่มไม่ถูกชะตากัน  ต้นเหตุก็มาจากความขี้อิจฉา

MH เคยเล่นบทนำในเรื่อง Jezebel ฉบับละครเวที  แต่ฉบับละครไม่ประสบความสำเร็จ  พอมีคนนำมาทำเป็นหนังกลับให้ BD เล่นแทน  

(ข่าวบอกว่าชุดของ BD สีแดงเพลิง  น่าเสียดายจัง  ฝ่ายชายคือ Henry Fonda (พ่อของ Jane และ Peter Fonda) เล่นแข็งเป็นไม้กระดาน)


จากบทนี้ทำให้ BD ได้ Oscar เป็นตัวที่ 2  ส่วน MH ก็เต้นผาง ๆ  นอกจากนี้ยังมีเรื่องฝอย ๆ เช่นแย่งผู้ชายกัน ฯลฯ

เรื่องความไม่กินเส้นกันของ 2 ดาราใหญ่อยู่ในสายตาของ Hollywood  ซึ่งเห็นว่าควรเอามาผันเป็นเงินได้ก็เลยจับ 2 คนมาเล่นหนังด้วยกัน   มีทั้งหมด 2 เรื่อง  เรื่องที่ผมได้ดูทางช่อง TCM ของ ทีวี I/UBC คือ Old Acquaintance (1943 – ชีวิตของ 2 นักเขียนที่เป็นเพื่อนกันแต่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน)  จุดเด่นของหนังที่ทำให้มันขึ้นหิ้ง ตำนาน  อยู่ที่ฉากนี้

0.20…
BD: What did you tell Deirdre about Rudd and me?

MH: I told her that you were going to be married. Why?

BD: What did you tell her that for? Since I haven't even told him myself yet... I should have thought it was a little premature. But that certainly couldn't have upset her.  It must have been something else. What was it?

MH: You set yourself up as a paragon of virtue to that girl and it was my duty, as her mother, to open her eyes.

BD: So that's what you told her. Millie, why did you do that? Why should you?

MH: Why shouldn't I? Haven't you done enough to me?

BD: What have I done to you?

MH: Don't you remember?

BD: Remember what?

MH: You, my so-called best friend and Preston, my husband. Surely you remember that?

BD: I do, distinctly.

MH: Then you don't pretend that you've forgotten taking him away from me? (อิงจากเรื่องจริงของทั้ง 2 สาว)

BD: Millie, where did you hear such nonsense?

MH: Never mind. You didn't think I'd ever find out, did you?

BD: There's nothing to find out, Millie.

MH: Don't try to squirm out of it. Why, there hasn't been a man yet you haven't carried on with if you've had half a chance.

BD: Millie, have you gone stark staring mad?

MH: No. You took my life and broke it. You were at the bottom of this whole thing and I hate you for it.

BD: Millie, if that weren't so stupid, it would be funny. You don't really believe these things, I know you don't.

MH: How could I have been so blind? You've coveted everything that I've ever had, always.

BD: All right, Millie. You've been asking for this for years. I'm going to have to tell you something that I hoped I'd never have to tell you. You don't care at all about having lost Preston. If it had been any other woman you never would have given it a second's thought. You only cared because it was me, because you're jealous of me. You've always been jealous of me. You've been jealous of my career, of the kind of life that I lead. You're even jealous of Deirdre's affection for me. That's why you told her about Rudd and me today. Millie, you've done some pretty bad things in your life but this is the worst yet. Even if you didn't care how much you hurt me you might at least have given a thought to what it would mean to Deirdre to have her faith in me shaken.

I'd better get out of here, Millie, before I do something I'll be very sorry for.

MH: Yes, go! Go! And if you think I want you to come back again, ever, you're wrong!

BD: You need have no worries on that score.

MH: And as you've taken everything else I've ever cared for in my life you might as well take Deirdre, too, since she's so fond of you.

BD: And don't think I couldn't have, many times.

MH: All right, go ahead and leave me alone, all of you. But you can't take my work away from me. That, at least, is inviolate (= undamaged แบบว่ามันไม่มีชีวิตจิตใจ  จะแย่งชิงไปจากชั้นทำไม). Well, why don't you go?

BD: In just a minute…. Sorry.


วงในเล่าว่า BD ‘เอ็นจอย’ ฉากนี้อย่างมหันต์

ตัวอย่างหนัง



ในชีวิตจริง MH ตายก่อน  ในเวลาต่อมาเมื่อต้องพาดพิงถึงคู่กัด BD จะเอ่ยสั้น ๆ ว่า MH เป็นนักแสดงชั้นดี  นอกเหนือจากนั้น ‘She’s a real bitch!’


Bette Davis ได้เข้าชิง Oscar 11 ครั้ง  ได้มา 2 ตัว


ดารา Hollywood อีกคนที่เอ่ยถึงในเพลง Bette Davis’ eyes  อยู่ในประโยคแรกของเพลงเลยตรง ‘Harlow’s gold’  นี่คือ Jean Harlow (1911 - 1937) เป็นดาราในยุคทองตอนต้นของ Hollywood  ยุคนั้นยังไม่มีกฎของการเซ็นเซอร์หนัง (จอ)  เธอจึงเป็นหนึ่งใน sex symbol ที่ ‘โจ่งแจ้ง’  นอกจากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งในและนอกวงการว่า ‘Blonde bombshell’ กับ ‘Platinum blonde’  ด้วยสาเหตุจากสีผมของเธอ

บทถนัดในหนังของเธอจะเป็นบทเบา ๆ ออกตลก  มีทั้งทึ่มออกตลกและร้ายออกตลก

บทดังที่เป็นที่กล่าวถึงทุกครั้งที่เอ่ยถึงผลงานของเธอคือเรื่อง Dinner at eight (1933) นี่เป็น clip ในช่วงท้ายของเรื่อง (คุณป้าคือนักแสดงระดับตุ๊กตาทองชื่อ Marie Dressler (1868 – 1934))

JH: I was reading a book the other day.

MD: [หยุดกึก] Reading a book?

JH: Yes. It's all about civilization or something. A nutty kind of a book. Do you know that the guy says that machinery is going to take the place of every profession?

MD: [มองตั้งแต่หัวจรดตีน] Oh, my dear, that's something you need never to worry about.


Jean Harlow ตายในปี 1937 ขณะอายุได้เพียง 26 ปี  การตายมาจากสาเหตุ ‘given as cerebral edema, a complication of kidney failure. Hospital records mention uremia (ไม่กล้าแปลเพราะไม่ใช่หมอ)’

ข่าวการตายของเธอเป็นที่ถกเถียงมาถึงปัจจุบัน ผมรู้มาตั้งแต่ยังใส่ขาสั้นเรียนหนังสือโน่น  ก็ หนังสือ Starpics เล่าให้ฟังน่ะ  เธอไม่ได้เป็นญาติอะไรกับผมหรอก  แบบว่าในยุคนั้นการสื่อสารยังมีขีดจำกัด  ผู้คนจึงได้ยินกันว่าเป็นเพราะแม่ของเธอซึ่งเป็นสาวกของ Christian Scientist  ปฏิเสธการรักษาแบบ all medical treatment แต่ใช้วิธี Christian Science prayer (ไม่กล้าแปลเพราะไม่รู้จัก) แทน  จนกระทั่งอาการของเธอไปไกลเกินกู่  การกลับมาใช้วิธี medical treatment รวมถึงการผ่าตัดจึงไม่ทันการณ์

ถึง JH จะอยู่ในวงการฯ แค่ 9 ปี  แต่เธอได้สร้างความดังให้กับตัวเองจนคับฟ้าฮอลลีวู้ด  และไกลออกไปถึงวงการบันเทิง  แม้ในปัจจุบันคนยังจำเธอได้  ใน 9 ปีนั้นความดังของเธอบดบังดาราหญิงชั้นแนวหน้าของฮอลลีวู้ดอย่าง Greta Garbo, Joan Crawford หรือ Norma Shearer เลยทีเดียว




หมายเหตุ - ยังมีดารา Hollywood คนที่ 3 ที่เอ่ยถึงในเพลง Bette Davis's eyes  แต่ยกยอดไปเพลงหน้า

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 483  เมื่อ 30 ก.ค. 25, 18:36

อีกเพลงหนึ่งที่นึกได้ที่มีเนื้อพาดพิงถึงดาราในยุคทองของ Hollywood คือเพลงนี้ของวง America (คงไม่ค่อยคุ้นเพราะเป็นเพลงท้าย ๆ ของวงก่อนจะหายไปจากลำโพงวิทยุ)




ดาราคนแรกคือ Rudolph Valentino (1895 – 1926) เป็นดาราในยุคหนังเงียบที่ดังที่สุดในยุค  เธอได้ชื่อว่าเป็น sex symbol  การตายของเธอในวัยเพียง 31  ทำให้บรรดาแฟน ๆ ใจสลาย  ข่าวว่ามีหลายคนที่ฆ่าตัวตายตามเพราะไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม


(ผมไม่เคยดูหนังของเธอแบบเต็ม ๆ เรื่อง)


ดาราคนที่ 2 ในเนื้อเพลง Right before your eyes คือ Greta Garbo (1905 – 1990)

โอ้... คนนี้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก  ดังจนไม่รู้จะดังยังไง  ผมว่าเธอดังที่สุดในโลกบันเทิงก็แล้วกัน  เธอเริ่มต้นในวงการแสดงมาตั้งแต่ยุคหนังเงียบ  พอเริ่มยุคหนังเสียง (talkies)  เธอเป็นนักแสดงตัวนำหนึ่งในจำนวนน้อยคนในยุคหนังเงียบที่ผ่านอุปสรรคข้ามมายุคหนังเสียงได้  นั่นเป็นเพราะการทำงานในหนังเงียบต่างกับในหนังเสียง  หนังเงียบเน้นการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง  ส่วนหนังเสียง  สิ่งที่นำโด่งขึ้นมาเป็นอันดับ 1 คือการใช้เสียง
 
เมื่อหมดยุคหนังเงียบ  และยุคหนังเสียงเข้ามาแทน  นักแสดงในหนังเงียบทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนเรื่องจังหวะจะโคนในการใช้เสียงซึ่งต่างก็ไม่เคยทำมาก่อน  ทำให้ส่วนใหญ่ไปไม่รอด  ต้องเลิกการแสดงไปในที่สุด  

จากหนังเรื่อง Singing in the rain (1952)  เป็นหนังเพลงชั้นเยี่ยมและสนุกมาก  เล่าเรื่องอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการสร้างหนัง  เมื่อจบยุคหนังเงียบแล้วข้ามเข้าสู่ยุคหนังเสียง







อย่างไรก็ตาม Greta Garbo ผ่านมาได้  ความที่เธอเป็นชาวสวีเดน  ตอนเล่นหนังเงียบไม่มีใครเดาออก  พอมาถึงหนังใช้เสียง  ผู้คนถึงได้รู้ความจริงว่าสำเนียงของเธอไม่ใช่สำเนียงของคนอเมริกัน  และรู้ว่าเสียงของเธอทุ้มและเซ็กซี่มาก  นี่ไม่เพียงแต่ทำให้เธอรอดตายเท่านั้น  แต่ยังทำให้เธอโด่งดังมากกว่าเดิมด้วย

ผมได้ดูหนังของ Greta Garbo หลายเรื่องทีเดียว  แต่ไม่ได้ชอบทุกเรื่องไป  เพราะเธอชอบรับบทเครียด ๆ  ซึ่งพอถ่ายทำเป็นหนังขาวดำแล้ว  ผมผู้เป็นคนดูพลอยเครียดไปด้วย  หนังดีมากของเธอเรื่อง Camille (1936) ผมก็เฝ้าดูเธอได้ไม่ตลอดรอดฝั่งเพราะมัวแต่ไปอ้าปากค้างกับความหล่อของ Robert Taylor ที่กลบความสวยของเธอเสียมิดชิด

(7.36 - 8.20 ... ตอนเปิดตัว)


แต่พอมาเรื่อง Ninotchka (1939) นี่สิ  แหม... สนุกจริง ๆ  

มาดูหนังเรื่องนี้กัน

ท้องเรื่องเกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสเมื่อรัสเซียส่งเจ้าหน้าที่บ้องตื้น 3 คนมาทำเรื่องขายทอดตลาดเครื่องเพชรที่ยึดมาได้จากราชวงศ์รัสเซียเมื่อครั้งปฏิวัติใหญ่ปี 1917 แต่งานไม่สำเร็จเพราะโดน Count Leon d'Algout หรือ พระเอก ของเรา (Melvyn Douglas, 2 รางวัล Oscar) เข้ามาขัดขวางเพราะต้องการให้เครื่องเพชรกลับไปสู่มือเจ้าของเดิม  ทางราชการรัสเซียเลยต้องส่ง a special envoy นามว่า Ninotchka มาเพื่อแก้ไขเหตุการณ์  Ninotchka เป็นสาวหลังม่านเหล็กที่เย็นชาและไม่ใส่ใจกับความหรูหราของโลกภายนอก  รวมถึงเรื่องโรมานซ์  แต่แล้วก็ต้องมาตกหลุมรักพระเอกเจ้าเสน่ห์ของเรา

ฉากแรก ๆ ที่ Ninotchka มาถึงกรุงปารีส  จนท. บ้องตื้นทั้ง 3 มาคอยรับแต่ งง ๆ กับชื่อ Ninotchka ว่าเป็นชื่อผู้หญิงหรือผู้ชาย

(ฉากหมวกในตู้โชว์ (1.45 - ออกแบบโดย Adrian นักออกแบบเสื้อผ้าที่โด่งดังในยุคนั้น) ซึ่งต่อมา Ninotchka ก็ซื้อมาใส่อย่างเก๋ไก๋)

That must be the one
Yes, he looks like a comrade!

BEARDED MAN AND GIRL
Heil Hitler!

KOPALSKI
No, that's not him...

BULJANOFF
Positively not!

NINOTCHKA
(to Iranoff)
I am looking for Michael Simonovitch Iranoff.

IRANOFF
I am Michael Simonovitch Iranoff.

NINOTCHKA
I am Nina Ivanovna Yakushova, Envoy Extraordinary, acting under direct orders of Comrade Commissar Razinin. Present me to your colleagues.

IRANOFF
Comrade Buljanoff...

NINOTCHKA
Comrade.

IRANOFF
Comrade Kopalski...

NINOTCHKA
Comrade.

IRANOFF
What a charming idea for Moscow to surprise us with a lady comrade.

KOPALSKI
If we had known we would have greeted you with flowers.

NINOTCHKA
(sternly)
Don't make an issue of my womanhood. We are here for work... all of us. Let's not waste time. Shall we go?

IRANOFF
Porter!

PORTER
Here, please...

NINOTCHKA
What do you want?

PORTER
May I have your bags, madame?

NINOTCHKA
Why?

KOPALSKI
He is a porter. He wants to carry them.

NINOTCHKA
Why?... Why should you carry other people's bags?

PORTER
Well... that's my business, madame.

NINOTCHKA
That's no business... that's a social injustice.

PORTER
That depends on the tip.

KOPALSKI
Allow me, Comrade.

NINOTCHKA
No, thank you.

BULJANOFF
How are things in Moscow?

NINOTCHKA
Very good. The last mass trials were a great success. There are going to be fewer but better Russians.
 
NINOTCHKA
What's that?

KOPALSKI
It's a hat, Comrade, a woman's hat.

NINOTCHKA
Tsk, tsk, tsk, how can such a civilization survive which permits women to put things like that on their heads. It won't be long now, Comrades.


ฉากพระเอก (MD) กับนางเอกเจอกัน โดยที่ยังไม่รู้รายละเอียดว่าต่างเป็นใคร

(ผมขำตอนที่พระเอกถามว่ากำลังหาอะไร  นางเอกตอบว่า Eiffel Tower  แล้วพระเอกอุทานว่า ‘ตายจริง (Eiffel Tower) หายอีกแล้วเหรอนี่’  มุกตลกที่ทันสมัยนะผมว่า)


ปัญหาของคนจากประเทศหลังม่านเหล็กเมื่อมาถึงดินแดนหรูหรา



แล้วโดนผู้ชายเกี้ยว



แล้วก็ไม่ตลกกับมุกไม่ว่าเจ้าของมุกจะพยายามอธิบายอย่างไรก็ตาม

(ผมว่าฉากนี้ตลกมาก  ผมไม่เคยเห็น GG เอิ๊ก ๆ แบบนี้มาก่อน)


ฉากจำลองแบบขำ ๆ ของที่พักใน apartment ในรัสเซีย



ผมว่า Ninotchka เป็นหนังตลกที่ตลกแบบใสสะอาดน่ารัก  แม้จะสร้างมากว่า 80 ปีแล้ว  แต่มุขตลกยังคมอยู่  GG ไปได้คล่องกับบทตลกนี้และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar (ในจำนวน 4 ครั้ง) ด้วย

ตอนหนังออกฉายสื่อและแผ่นปิดโฆษณาหนังประโคมกันว่า “Garbo laughs!”  ย้อนกลับไปเมื่อครั้งวงการหนังพัฒนาจากหนังเงียบมาเป็นหนังเสียง  GG เล่นเรื่อง Anna Christie (1930) เป็นหนังเสียงเรื่องแรก  ตอนนั้นสื่อก็ประโคมข่าวกันว่า “Garbo talks!”  ตัวหนังสือคำโปรยของเธอเด่นกว่าชื่อหนัง  ยิ่งใหญ่แค่ไหนล่ะ




มีบทพูดตอนหนึ่งที่ GG พูดไว้ในหนัง Grand Hotel  (1932) มันกลายเป็นคำพูดคลาสสิกที่เป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบันนี้

ประโยคนี้ต่อมาเป็นคำพูดประจำตัวของ GG  และสื่อก็ประโคมข่าวว่าเป็นคำพูดอาถรรพ์เพราะมันทำให้เธออยู่เป็นโสดจนสิ้นอายุขัย (เว่อร์กันเข้าไป)

‘I want to be alone’ … placed number 30 in AFI's 100 Years...100 Movie Quotes in 2005


Greta Garbo เล่นหนังอีกเรื่องเดียวในปี 1941 หลังจากนั้นสัญญาที่เธอเซ็นไว้กับ studio ต้นสังกัดก็หมดลง  เธอไม่ต่อสัญญา  แต่บินกลับบ้านที่ Sweden   เธอเคยบอกว่าหลังสงครามสงบแล้วอาจจะกลับมาใหม่  

เธอกลับมาจริงในช่วงต้น 1950s  แต่ไม่ได้มาเล่นหนัง หากมาซื้อ apartment ขนาดย่อมแล้วอยู่เฉย ๆ เงียบ ๆ จนกระทั่งตาย  ระหว่างนั้นมีคนเสนอบทหนังดี ๆ มากมายแต่เธอบอกปัดหมดเพราะเลิกเล่นหนังแล้ว  

GG เป็นนักแสดงที่มีวินัยเป็นอย่างมาก  เมื่อถึงเวลาถ่ายทำเธอจะปรากฏตัวขึ้นที่ฉากโดยไม่ต้องให้ใครเดินไปเชิญ   ในทำนองเดียวกัน  ถ้าตอนนั้นกำลังเข้ากล้องอยู่  ถ้าตาเหลือบไปเห็นเข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าหมดเวลาสำหรับงานวันนี้แล้ว  เธอจะชี้ไปที่หน้าปัดนาฬิกาแล้วยิ้มในทำนองว่า ‘หมดเวลาแล้วอ้ะ’ แล้วก็เดินออกไปจากฉากโดยทันที  โดยไม่สนใจว่ากล้องกำลังทำงานอยู่  ทุกคนในโรงถ่ายต่างคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้

ครั้งใดที่เกิดการคัดง้างกับ studio  เธอจะใช้ไม้ตายด้วยประโยคว่า ‘I think I’ll go back to Sweden’  ได้ยินประโยคนี้ทีไรผู้บริหาร studio เป็นเหงื่อแตกและยกธงขาวยอมตามเงื่อนไขของเธอทุกอย่าง  เพราะบุคลิกของเธอเป็นคนเอาจริงเอาจังกับงาน  แถมยังเป็นตัวทำเงินด้วย

ตลอดชีวิตของการเป็นนักแสดงนอกเหนือจากตอนที่เข้าวงการใหม่ ๆ  จนกระทั่งถึงวันตาย  เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์แบบทางการไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด  ไม่เคยแจกลายเซ็นใคร  ไม่ว่าจะเป็นแฟนหนังหรือดาราด้วยกัน  แล้วก็ไม่เคยตอบจดหมายแฟน

เธอไม่เคยไปร่วมงานแจกรางวัลใด  ไม่ไปแม้แต่งานปฐมฤกษ์หนังของตัวเอง  แต่จะแอบไปดูคนเดียวโดยพลางหน้าด้วยแว่นกันแดด

คนเล่าว่าเธอกับ Clark Gable ไม่ชอบขี้หน้ากัน  เหตุผลคือ She thought his acting was wooden while he considered her a snob  ในขณะเดียวกันคนก็เล่าว่าเธอชอบ Gary Cooper มากและเคยเสนอขอให้เล่นหนังด้วยกันแต่โอกาสที่ว่าไม่เกิดขึ้น

แม้จะครองตัวเป็นโสดจนวันตาย  แต่ในครั้งหนึ่งเธอเกือบได้เป็นเจ้าสาวของเจ้าบ่าวนักแสดงดังในยุคหนังเงียบ John Gilbert  แต่แล้วเกิดปอดแหกแล้วสวมบท ‘Runaway bride’

นี่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อยของดาราที่ได้ชื่อว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก




หมายเหตุ – เมื่อกี้พาดพิงถึง Gary Cooper  ความหล่อของเธอนั้นสุดขีด  Robert Taylor ข่มไม่ลง

(จากเรื่อง Morocco (1930) ดู 2 รอบ รอบแรกมัวแต่อ้าปากค้างกับความหล่อของเธอ)


พอละ ด้นสด  เหนื่อย...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 484  เมื่อ 31 ก.ค. 25, 18:07

ในต้นยุค 70s  ท่ามกลางวง rock ดัง ๆ อย่าง The Eagles, Fleetwood Mac, Chicago, Bread ฯลฯ  ยังมีอีกวงที่เล่นเพลงแนวนี้ที่ดังไม่เป็นรองใครอีกวงคือ America  วงนี้มีสมาชิกทั้งหมด 3 คน  เมื่อผลงานแรกของวงคือ A horse with no name ออกอาละวาด  สมาชิกวงอายุเพิ่งยี่สิบ  อ่อนกว่าสมาชิกของวง rock ดังอื่น ๆ ทั้งหมด  หลังจากงานชิ้นนี้ติดอันดับ 1 billboard  วงสามารถผลิตผลงานดัง ๆ สืบเนื่องต่อมาได้อีก  ความสามารถยืนหยัดความดังอยู่ได้ในเวลาต่อมา  จึงทำให้วง America นี้ก้าวขึ้นสู่แนวหน้าร่วมกับวงพี่ ๆ ในเวลานั้น  เป็นวงน้องเล็กที่ห้ามประมาทในฝีมือ

ที่บ้านเรา single แรกที่ขึ้นอันดับ 1 ยังไม่ดังเท่า single ที่ 2 นี้



นี่คือ single แรกของวงที่ขึ้นอันดับ 1 ที่วิทยุเปิดไม่บ่อยเท่า



อีกหนึ่ง single ดัง  ทั้งบ้านเราและบ้านเขา



สมาชิกทั้ง 3 มีความสามารถในการร้องเพลงได้ดีทั้งหมด  เสียงร้องของทั้ง 3 สามารถนำเพลงเข้า top 10 ได้ทุกคน

Single ต่อ ๆ มามีความดังระดับปานกลาง  แต่ดีเจวิทยุบ้านเราหลงรักวงนี้ไปแล้ว  




เพลงนี้ไม่ดัง  ฉบับที่ดังเป็นการนำมาร้องใหม่จากเสียงของวง Captain & Tennille (ลงผลงานไปนานแล้ว)



เพลงแรกเป็นเพลงโปรดของผม  ต้องเปิดจากฉบับอัดใน studio









มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 485  เมื่อ 01 ส.ค. 25, 18:12

ผลงานของวง America กลับมาครองทุกคลื่นบนหน้าปัดวิทยุบ้านเราด้วยเพลงนี้ 

(แบบฝึกหัดบทหนึ่งของนักเล่นกีต้าร์บ้านเรา)


จากเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 2 ของวง  ความนิยมที่บ้านของพวกเขาเริ่มลดลง  แต่บ้านเรายังคงซื่อสัตย์กับงานของพวกเขาต่อไป  2 เพลงนี้แรกดังมากในบ้านเรา








เป็นการนำต้นฉบับอมตะของวง The Mamas & The Papas (กล่าวถึงไปแล้ว) วงที่ยิ่งใหญ่ในยุคปลาย 60s มาขับร้องใหม่  ผมว่ายังรักษาความเพราะได้เพียงแต่ว่า กาลเวลา เปลี่ยนแปลงไปแล้ว



จากเพลงข้างต้น  ผลงานของวงหายไปจากลำโพงวิทยุหลายปีก่อนจะกลับมากระหึ่มอีกครั้งด้วยเพลงนี้เป็นการสั่งลาอย่างถาวร

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 486  เมื่อ 02 ส.ค. 25, 18:00

ผลงาน single ของวง America เป็นแนว soft rock ที่เพราะมาก  เพราะทุกเพลง  แต่จะถูกหูผู้บริโภคแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  

แนว soft rock นี้  ทำให้นึกถึงอีกวงหนึ่ง  เป็นวงที่มีความดังอย่างมหาศาลในบ้านเรา  พอ ๆ กับวง America

ถ้ารื้อฟื้นความหลังกับนักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราด้วยกันว่าด้วยเรื่องเพลง (single) ของวง Bread  ทุกคนต้องตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่าเพลงนี้ดังที่สุด



วง Bread ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในต้นยุค 70s  เช่นเดียวกับวง America  วงสนุกกับความสำเร็จอยู่แค่ 3 – 4 ปียุบวง  ระหว่างนี้ทุก single ดังที่วงตัดออกมา  วิทยุบ้านเรานำมาเปิดให้ฟังครบถ้วน  แทบทุกเพลงเป็นเพลงอมตะในใจของนักฟังเพลงฯ  นอกจากเพลง If แล้ว 2 เพลงต่อมานี้ก็ดังอบอวลอยู่ในบรรยากาศกรุงเทพฯ





ที่อเมริกาเพลง If ไม่ใช่เพลงดังที่สุดของพวกเขา  มันต้อง 2 เพลงแผ่นเสียงทองคำนี้





เพลงดังที่สุดในใจผมคือเพลงนี้



ต่อไปคือเพลงดังในใจของคนอื่น ๆ







วงมี single ทำนอง rock อยู่ 2 เพลง  เพลงแรกคือ Let your love go  ผมไม่เคยได้ยินในตอนนั้น  แต่เพลงนี้ได้ยินบ่อย  ตอนนั้นไม่ชอบ  ตอนนี้ฟังประจำ  มันมาก (ในสไตล์ ของ Bread)



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 487  เมื่อ 03 ส.ค. 25, 17:56

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าทุก single ของวง Bread เป็นเสียงร้องของ key person ชื่อ David Gates ทั้งนั้น  ความจริงในวงยังมีเสียงร้องที่ 2 อีกคนคือ Jimmy Griffin  คนนี้ก็ร้องนำอยู่หลายเพลง  แต่ไม่มีเพลงไหนรอดออกมาเป็น single  อย่างดีก็อยู่ในหน้า B ของ single ที่ DG ร้องในหน้า A

เหตุการณ์นี้เกิดจากการตัดสินใจของบ. แผ่นเสียงต้นสังกัดที่เห็นว่าเสียงของ DG น่าจะขายได้ดีกว่า  การตัดสินใจของ บ. นี้นำไปสู่การคัดง้างของสมาชิก  ผลคือการยุบวง  เรื่องนี้ดังในยุคนั้นเพราะชื่อเสียงของวงยังขจรไกลอยู่  จู่ ๆ ก็มีประกาศว่ายุบวง  ผมรู้เรื่องจาก นส. Starpics ที่รายงานสั้น ๆ ว่าวง Bread ยุบวงแล้ว  รายละเอียดมากระจ่างในอีกหลาย 10 ปี ต่อมาทาง Wikiฯ

สมัยบ้าแผ่นเสียง  ผมมีแผ่นเสียงชุด Anthology ของวง  มีอยู่ 2 - 3 เพลงที่จับได้ว่าไม่ใช่เสียงของ DG  แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใครเพราะสมัยนั้น ‘ข้อมูล’ ไม่มี  ชื่อสมาชิกยังรู้ไม่ครบเลย  จนกระทั่งถึงยุค อตน. ไม่ว่าจะ Wikiฯ หรือแหล่งข่าวใด  ก็ยังไม่มีรายละเอียดบอกลงไปชัด ๆ ว่าเพลงไหนเป็นเสียงของ JG  แต่ประวัติบอกว่าวงนี้มี 2 เสียงร้องนำ  ก็แสดงว่าเพลงเหล่านี้ในแผ่น ฯ เป็นเสียงของ JG





(ตอนต้นฟังแล้วเหงาสุดๆ)


ถ้าไม่มี Wikiฯ ก็คงไม่รู้สิ่งปลีกย่อยนานา  อย่างในหัวข้อนี้ผมเพิ่งรู้ว่า JG ไม่ใช่ขี้ ๆ  เธอเคยคว้ารางวัล Oscar มาแล้วในปี 1970 จากผลงานร่วมแต่ง (3 คน) เพลง For all we know  ให้กับหนัง Lovers and other strangers ตอนนั้นเธอยังเป็นสมาชิกวง Bread  เลยต้องใช้ชื่อปลอม (คู่หูร่วมแต่งเพลงอีกคนก็คือสมาชิกของวง Bread เช่นกันชื่อ Robb Royer ซึ่งเธอก็ต้องใช้ชื่อปลอมเช่นกัน)  Wikiฯ บอกต่อว่าคนแต่ง (เอ่ยชื่อปลอม) เป็นศิลปินเพลงแต่ไม่เคยเอาเพลงนี้มาร้องเอง 




เพลงนี้ต่อมาวง The Carpenters นำมาร้องใหม่และเป็นอีกหนึ่งเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับวง




(จากซ้าย Mike Botts, Robb Royer, Jimmy Griffin และ David Gates… ตอนนี้เหลือ DG คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่)


Mike Botts คือมือกลองชั้นนำแห่งยุคที่หาลำไพ่พิเศษเป็นมือรับจ้างให้กับศิลปินมากมายที่เห็นชัด ๆ ใน clip นี้  เธอเล่นให้กับ Karla Bonoff  ในเพลงดังสนั่น

(clip นี้ ศิลปิน west coast เพียบ Andrew Gold, Kenny Edwards, Danny Kortchmar, Mike Botts… นอกจาก DK  คนอื่น ๆ ตายไปกันหมดแล้ว)





มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 488  เมื่อ 04 ส.ค. 25, 18:04

นี่คือ single แรกของวง Bread  จากเสียงของ David Gates แต่ไม่ติด billboard  ผมว่าเพราะไม่หยอก



หลังจากยุบวงไปได้ราว 3  ปี  ในปี 1976  บ. แผ่นเสียงปรึกษากับสมาชิกวงได้ผลสรุปว่า วง Bread จะคืนชีพขึ้นมาเพื่อทำ album อีกแผ่นพร้อมออกทัวร์เป็นการสั่งลาอย่างเป็นทางการ  เพลงแรกนี้เป็น single ที่ดังที่สุด  เข้า top 10 

วิทยุบ้านเราเปิด 4 เพลงในแผ่นนี้   2 เพลงแรกเป็น single ซึ่ง บ. แผ่นเสียงยังคงเลือกจากเสียงของ David Gates  อีก 2 เพลงที่เหลือเป็น album tracks





จากเสียงของ Jimmy Griffin (เพลงแรกเป็นเพลงที่ 3 ที่วิทยุเปิด)





ใน album นี้ยังมีเพลงหวานนนนนน ให้ฟัง 1 เพลง  มันไม่ใช่ single แต่วิทยุบ้านเราไม่เกี่ยง  และมันคือเพลงที่ 4 ที่ผมได้ยิน




Album นี้ออกตลาดในยุคที่ผีแผ่นเสียงและผีวิทยุกระหน่ำสิงผมจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน  มันเป็น album จาก วง Bread ที่เรียกว่า 'ใหม่เอี่ยม' ในยุคผม


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 489  เมื่อ 05 ส.ค. 25, 17:56

หลังจาก Bread ยุบวง  ศูนย์กลางของวงคือ David Gates ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  เพลงของเธอยังเพราะน่าฟังไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ทว่าช่วงเวลาสำหรับผู้ฟังที่ชื่นชอบเสียงหวาน ๆ ของเธอผ่านไปแล้ว  จึงไม่มีผลงานเดี่ยวชิ้นไหนของเธอที่ประสบความสำเร็จเหมือนในยุควง Bread  อย่างไรก็ตามวิทยุบ้านเรายังตะบี้ตะบันเปิดเพลงของเธอเพราะรู้ว่ายัง ‘ขายได้’










และเพลงฮิตในบ้านเรา (เท่านั้น)



ทุกเพลงฟังแล้วมันก็คือเพลงของวง Bread นั่นแหละ 

ต่อยอด...



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 490  เมื่อ 06 ส.ค. 25, 18:05

เละเทะกันหน่อย

ใครคุ้นหูกับเพลงเหล่านี้บ้าง

Ricky Lee Jone ... คนนี้ดังสนั่นในบ้านเขา  ได้ Grammy ที่เปรียบเสมือน Oscar ของวงการเพลง  ถึง 2 ตัว  แต่เธอต่อยอดไม่ได้



Maria Muldaur ... เธอเริ่มต้นได้ดีมาก  มีเพลงเข้า top 10  และก็ดังคนจำได้มาถึงปัจจุบัน (เพลงแรก) แต่หลังจากนั้นคนก็เลิกนิยมเธอ





Chi Coltrane



Judie Tzuke ... ขาประจำรายการ Nite Spot



Tammy Jones



Lena Zavaroni ... ผมเข้าใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเธอเป็นชาวรัสเซีย (แบบว่าดูจากนามสกุล) พอมีข้อมูลถึงรู้ว่าเธอเป็นชาว Scott




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 491  เมื่อ 07 ส.ค. 25, 18:23

ย้ายมาเละเทะฝั่งเสียงผู้ชาย

Taco



ออกต่างปีกัน  แต่นึกถึงเพลงนั้น  ต้องตามด้วยเพลงนี้ ... Falco



Gary Numan



คู่นี้ก็มาด้วยกัน  ดังสนั่นทั้งคู่ ... M



Lipp Inc.



Adam Ant



Dean Friedman เป็นชาวอเมริกัน  ผลงานของเธอมีน้อยมากเพราะคนไม่นิยม  วิทยุบ้านเราเปิดเพลงดังเฉพาะทางฝั่งอังกฤษเท่านั้นคือเพลงนี้

เธอมีเพลงเข้าอันดับ billboard เพลงเดียวแล้วก็ไม่ดัง  วิทยุบ้านเราจึงไม่นำมาเปิด  ผมมาได้ยินในยุค อตน.




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 492  เมื่อ 08 ส.ค. 25, 18:11

ปลายยุค 60s เกิดขึ้นตอนผมยังเด็ก  ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวกับกระแสต่าง ๆ  ที่รู้มีแค่ 2 อย่างคือ เล่นกับกิน  เพลงในยุคนั้นผมมารู้ในภายหลัง  เมื่อผีเพลงเข้าสิง  ความที่โลกหมุนช้า  ไม่ต้องทำอะไรมาก  เดี๋ยวดีเจเขาก็ย้อนยุค  เปิดเพลงโน้นเพลงนี้ให้ฟัง  ถ้าตั้งใจ  แผล็บเดียวก็รู้จักเพลงในยุค 60s ดัง ๆ  ถ้าขยันต่อยอด แผล็บต่อมาก็รู้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย  

เพลงหนึ่งในยุค 60s ที่ดังมาก (รู้จากการถาม)  และดังมาจนถึงยุคผมคือ Ode to Billie Joe ของ Bobbie Gentry



ฟังครั้งแรกรู้สึกเฉย ๆ  เพลงทำนองง่าย ๆ  วนไปวนมา  ฟังบ่อย ๆ เข้า  เพราะแฮะ  กลายเป็นหนึ่งใน nostalgic song ของผมเลยแหละ  ผมว่าเพลงนี้อยู่ในใจของใครหลายคน  หนึ่งในหลายคนนั้นถึงกับได้แรงบันดาลใจเอามาสร้างเป็นหนัง (1976) โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อเพลง

หนังสร้างในยุคที่ผีเพลงเข้าสิงผมแล้วอย่างเหนียวแน่น  ผมจึงรู้ข่าวการสร้างหนังเรื่องนี้ประมาณนั่งแถวหน้า  และอยากดูเพราะตอนฟังเพลงแกะเนื้อออกบ้างไม่ออกบ้าง  รู้แต่ว่า Billie Joe McAllister กระโดดจากสะพานเพื่อฆ่าตัวตาย  แต่ไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร

ปรากฏว่าหนังไม่เข้ามาฉายในบ้านเรา  การตายของ BJM จึงกลายเป็นปริศนาในใจผมจนกระทั่งถึงยุค อตน.

เมื่อมีข้อมูลให้อ่าน  ก็พบว่าในคำร้องของเพลงไม่ได้บอกว่า ตัวเอกของเรื่องคือ BJM ฆ่าตัวตายเพราะสาเหตุอะไร  

It was the third of June, another sleepy, dusty Delta day
I was out choppin' cotton, and my brother was balin' hay
And at dinner time we stopped and walked back to the house to eat
And mama hollered out the back door, y'all, remember to wipe your feet
And then she said, I got some news this mornin' from Choctaw Ridge
Today, Billy Joe MacAllister jumped off the Tallahatchie Bridge

And papa said to mama, as he passed around the blackeyed peas
Well, Billy Joe never had a lick of sense; pass the biscuits, please
There's five more acres in the lower forty I've got to plow
And mama said it was shame about Billy Joe, anyhow
Seems like nothin' ever comes to no good up on Choctaw Ridge
And now Billy Joe MacAllister's jumped off the Tallahatchie Bridge

And brother said he recollected when he, and Tom, and Billie Joe
Put a frog down my back at the Carroll County picture show
And wasn't I talkin' to him after church last Sunday night?
I'll have another piece-a apple pie; you know, it don't seem right
I saw him at the sawmill yesterday on Choctaw Ridge
And now ya tell me Billie Joe's jumped off the Tallahatchie Bridge

And mama said to me, child, what's happened to your appetite?
I've been cookin' all morning, and you haven't touched a single bite
That nice young preacher, Brother Taylor, dropped by today
Said he'd be pleased to have dinner on Sunday, oh, by the way
He said he saw a girl that looked a lot like you up on Choctaw Ridge
And she and Billy Joe was throwing somethin' off the Tallahatchie Bridge

A year has come and gone since we heard the news 'bout Billy Joe
And brother married Becky Thompson; they bought a store in Tupelo
There was a virus going 'round; papa caught it, and he died last spring
And now mama doesn't seem to want to do much of anything
And me, I spend a lot of time pickin' flowers up on Choctaw Ridge
And drop them into the muddy water off the Tallahatchie Bridge


มีการสัมภาษณ์ BG คนแต่ง  เธอเองก็สารภาพว่าตอนเขียนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสาเหตุนี้  เธอเขียนเพื่อจุดประสงค์อื่น  นี่ทำให้เกิดช่องว่างที่คนเขียนบทหนังสามารถเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราวได้  โดยอธิบายสาเหตุการฆ่าตัวตายของ BJM ว่าเป็นเพราะวันนั้นเมาและไปมีความสัมพันธ์กับนายจ้างที่เป็นผู้ชาย
 
แม้แฟนของเธอจะไม่ว่าอะไรเพราะอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เมื่อมีความเมาเข้ามาเกี่ยว  แต่ BJM สารภาพว่าตอนนั้นเขารู้ตัวทุกอย่างว่ากำลังทำอะไรอยู่  แล้วก็รู้สึกผิดเหมือนได้ทำบาปแล้วยังเป็นการทรยศแฟนตัวเอง  อันไปกระตุ้นให้เกิดโศกนาฏกรรม





Robby Benson เล่นเป็น BJM  ตอนเด็ก ๆ ผมคลั่งไคล้ดาราคนนี้มาก (เห็นรูปจาก SP น่ะ) เธอมีตาสีฟ้าใส ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (ในสมัยโน้น  เขียนถึงตรงนี้ก็ให้สงสัยว่า  ที่เรามีสำนวนว่า 'ฝรั่งตาน้ำข้าว' นี่หมายถึงตาสีอะไร  ใช่สีฟ้ารึเปล่า) เสียดายที่เธอไปได้ไม่ไกลในวงการแสดง  3 ปีก่อนหน้านี้เธอเคยเล่นและร้องเพลงนำเรื่อง Jeremy (เคยคุยถึงไปแล้ว) คู่กับนางเอก Glynnis O'Connor  ซึ่งก็มาจับคู่กันในหนังเรื่อง OTBJ นี้อีกครั้ง



กลับมาที่ Bobbie Gentry  เธอดังกระหน่ำด้วยเพลงนี้  ได้รางวัล Grammy ตั้งหลายตัว  แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถต่อยอดได้  เธอจึงเข้าข่าย  นักร้อง One hit wonder (ตัวแม่)

ในบ้านเรา เธอยังดังอีกเพลง  ในยุคผมวิทยุเปิดบ่อยกว่า Ode to Billie Joe ด้วยซ้ำ  ในตอนนั้นคนอเมริกันไม่เคยได้ยินเพลงที่ว่านี้  ถ้าไม่ได้ซื้อ album ของเธอ  เพราะเป็นเพลงสำรองในหน้า B (ที่ดั้งเดิมตั้งใจให้เป็นหน้า A) ของแผ่น single เพลงนี้ชื่อ Mississippi Delta  มันดังก้องอยู่ในหูผมมาถึงปัจจุบัน



ต่อยอด...



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 493  เมื่อ 09 ส.ค. 25, 18:05

เท่าที่จำได้ตอนเด็ก ๆ เพลงของ Gary Lewis & the Playboys ที่ได้ยินทางวิทยุมีเพลงเดียวคือเพลงนี้  ได้ยินแทบจะเรียกได้ว่าทุกวันมั้ง  ถ้าใครเกิดทีหลัง  จะบอกกิตติศัพท์ว่า  มันดังสุดขีด



GL เป็นลูกของดาราตลกอมตะ Jerry Lewis  กำเนิดของวงนี้สนุกดี  กรุณาแข็งใจอ่านหน่อย

The group began life as Gary & the Playboys. Gary Lewis started the band with four friends of his when he was 18. Joking at the lateness of his bandmates to practice, Lewis referred to them as "playboys", and the name stuck (ที่มาของชื่อวง).

They auditioned for a job at Disneyland without telling Disneyland employees about Lewis' celebrity father. They were hired on the spot, audiences at Disneyland quickly accepted them, and the Playboys were soon playing to a full house every night.

The orchestra bandleader Les Brown, who had known Jerry Lewis for years, had told record producer Snuff Garrett that the younger Lewis was playing at Disneyland. After listening to the band, Garrett thought using Gary's famous name might sell more records, and convinced them to add "Lewis" into their name.

ตรงนี้สรุปคร่าว ๆ ว่า  เนื่องจากสมาชิกทั้งหมดเป็นวัยรุ่น  ยังไม่มีความชำนาญทางด้านการเล่นดนตรี  การตลาดที่จะผลักดันเพลง This Diamond Ring นี้สู่โลกกว้างจึงต้องใช้นักดนตรีและนักร้องรับจ้างเป็นตัวเสริม  ผลออกมาว่าเพลงดังเตลิด  ก็ถึงคราวที่จะต้องออกแสดงสดเพื่อโชว์โฉมและเรียก rating  รายการเพลงที่ดังที่สุดในเวลานั้นคือรายการของ Ed Sullivan แต่รายการนี้มีกฏว่า...

Garrett then had Jerry Lewis (พ่อดาราของ GL) use his contacts to get his son onto The Ed Sullivan Show.

However, Sullivan had a general policy that all acts appearing on his show were to perform live. Since so many studio tricks had been used on the record, the Playboys could not recreate its sound. In compromise, Lewis sang along with pre-recorded tracks as the Playboys pretended to play their instruments.

นี่คือ ภาพที่เห็นทางจอทีวี

(ที่ชัด ๆ ตรง 0.22 ตอนตีกลอง)


ขอบคุณ Wikiฯ  ที่เล่าเรื่องสนุก ๆ ให้ฟัง

กลับมาที่เพลงจากวงนี้... ถ้าเป็นผีเพลงเช่นผม  จะได้ยินเพลงของวงนี้อีก  แบบแผ่ว ๆ

(กับพ่อดาราดัง JL)





เมื่อผมมีปูมเพลง  พอเช็คดูปรากฏว่าวงนี้ออกเพลงดังอย่างต่อเนื่องหลายเพลงเลย









เพลงทั้งหมดนี้เรียงหน้าเข้า top 10 ในเวลาแค่ 2 ปี  ปีต่อมาคือ 1967 GL ติดเกณฑ์ทหาร  สัญญาสิ้นสุดในปี 1968  แต่กว่า GL จะปลดประจำการแล้วกลับเข้าวงการบันเทิง  ก็เลยช่วงเวลาของวงนี้ไปแล้ว



นักวิจารณ์บอกว่า วงนี้เป็นหนึ่งในน้อยรายที่เริ่มต้นจากการเล่นกันเองในบ้านแล้วสามารถก้าวขึ้นมาดังระดับประเทศได้
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 494  เมื่อ 10 ส.ค. 25, 18:01

เมื่อวานเขียนถึง Gary Lewis ซึ่งเป็นลูกของดาราตลกคลาสสิก Jerry Lewis  ทำให้นึกได้ว่าในยุครุ่งเรือง JL ชอบจับคู่กับดารานักแสดงระดับคลาสสิกอีกคนคือ Dean Martin



มานึกได้ว่า JL เป็นนักเต้นรำชั้นเซียน  นี่คือตัวอย่าง



ผมไม่รู้ว่า JL เคยออกเพลงมาให้ฟังรึเปล่า  เพราะไม่เคยได้ยิน แต่เพลงของ DM  มีมาให้ได้ยินตั้งแต่ในสมัยรายการ Golden Oldies  3 เพลงนี้เป็นขาประจำ เริ่มจากเพลงที่ผมชอบมากที่สุด

(ได้ยินครั้งใด เห็นภาพตัวเอง นั่งจ้องลำโพงวิทยุ (ทรานซิสเตอร์) ฟังเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ)


ตามด้วยเพลงนี้



เพลงนี้ที่เพิ่งนำเสนอไป



เพลงอันดับ 1 ของเธอมี 2 เพลง  เพลงที่ 2 ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินในรายการฯ





อ้ะ... มาเข้าเรื่องที่จะฝอย

บอกไปแล้วว่า JL มีลูกชายชื่อ Gary Lewis  ส่วน DM ก็มีลูกชายชื่อ Dino Martin (ผมว่าพ่อของแต่ละคนน่าจะมีลูกชายอีกนะ  แต่จะพาดพิงถึงแค่ 2 คนนี้)

Dino Martin มีชื่อจริงว่า Dean Paul Martin   ผมขี้เกียจค้นว่า  หนุ่ม 2 คนนี้สนิทกันรึเปล่า  เพราะพ่อของทั้ง 2 ซี้ปึ้ก  แต่น่าจะไม่เพราะอายุต่างกันมาก  ผมรู้ว่า Dino เป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายของ Desi Arnez และ Lucille Ball ชื่อ Desi Arnez Jr.  2 คนนี้ชวนเพื่อนมาอีกคนหนึ่งเพื่อตั้งวงดนตรีชื่อ Dino, Desi & Billy  วงนี้มีเพลงที่มาออกอากาศในเมืองไทยเมื่อปลายยุค 60s (ปีจริง ๆ คือ 1965  แต่ผมได้ยินหลังจากนั้นคือปลาย 60s) คือเพลงนี้

(ตอนนั้นทั้ง 3 คนอายุยังไม่ถึง 15 … Dino อายุ 13, Billy Hinsche อายุ 14 และมือกลอง DA Jr. อายุ 11)


ตอนโตขึ้น  Dino หล่อระเบิด  Starpics เคยลงรูปเธอสมัยหนุ่มอยู่ช่วงหนึ่ง  เป็นช่วงที่เธอกำลังคั่วกับ Olivia Hussey  ต่อมาก็ลงข่าวว่าเธอตายด้วยอุบัติเหตุทางอากาศ  ข่าวนี้ดังมาถึงเมืองไทยแน่ะ  หนังสือพิมพ์ ... เซ็นเซอร์ปะ... หัวเขียวยอดนิยมก็ลง  เพราะตอนนั้นพ่อ DM ยังดังคับโลก



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.092 วินาที กับ 20 คำสั่ง