เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 29 30 [31]
  พิมพ์  
อ่าน: 72054 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 450  เมื่อ 01 ก.ค. 25, 18:33

ชื่อเสียงของวง The Pointer Sisters ขึ้นถึงขีดสุดในปี 1984  กับ album  ชื่อ Break Out  

Album นี้ไม่มีขายทั่วไปในเมืองไทย  ใครอยากได้ต้องไปหาร้านที่สามารถสั่งซื้อเข้ามาจากอเมริกา  Album นี้ตัด single ออกมาได้ถึง 5 เพลง  และขึ้น top 10 เสีย 4 เพลง  เป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมากเพราะแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งบรรจุแค่ 10 เพลง  ปกติจะตัด single ออกมาแค่ 2 เพลง  ก็อิ่มแล้ว

การตัด single ของแต่ละ album ไม่ใช่ว่าตัดออกมาพร้อมกันหมด  ต้องตัดแผ่นแรกออกมาชิมลางก่อน  ถ้าเพลงแรกได้รับความนิยมและมีทีท่าว่าจะรุ่งในอันดับเพลง (top 100)  อย่างน้อยต้องเข้า top 30 หรือ 20 แล้ว  ถึงมีการตัด single แผ่นที่สองตามมา  ปกติจะห่างกันหลายเดือนอยู่  ก็เดือนหนึ่งมี 4 อาทิตย์ (จัดอันดับเป็นรายอาทิตย์)  กี่เดือนล่ะกว่าเพลงนั้น ๆ จะเข้า top ที่ว่า  บางเพลงไปไม่ถึงด้วยซ้ำ

อย่าง single ในแผ่น Break Out นี้  มี 5 เพลง  กว่าจะตัดถึงเพลงที่ 5  ก็กินเวลาไปปีกว่าแล้ว  สรุปว่าในช่วงเวลานั้นวิทยุบ้านเราเปิด single ต่าง ๆ ของ album นี้ให้ฟังเป็นปีเลย






เพลงนี้ออกเป็น single ถึง 2 ครั้ง  ครั้งแรกเมื่อปี 1982 ก่อนหน้า   ไปได้ถึงอันดับที่ 30  ครั้งที่ 2 คือครั้งนี้  มีการเพิ่มช่วงเดี่ยวกลองแป๊บนึง  เพลงเลยยาวกว่าฉบับแรก  มันไปได้ไกลถึงอันดับ 9  ในปี 2013  เพลงนี้เป็นหนึ่งใน soundtrack ของหนังชื่อเดียวกัน  เป็นหนังเกย์ตลกขาดใจจากสเปน  ผมดูฉบับบรรยายไทย (หนังพูดภาษาสเปน)  คนแปลแปลได้เก่งอย่างน่าชมเชย  ใช้คำพูดมัน ๆ ที่ใช้กันในแวดวงเกย์แบบไม่ยั้ง  ขำกลิ้ง



สำหรับเพลงนี้ก็เป็น soundtrack เช่นกันบรรจุอยู่ในหนัง Beverly Hills Cop. ในปีนั้น  MV โปรโมทหนังทำได้มันมาก  มันเคยมาฉายที่โรงหนังในบ้านเรา  เป็นช่วงคั่นรายการก่อนหนังฉาย  เพลงมัน ๆ ฉายในโรงหนังที่มีระบบเสียงมหากาฬ  กระหึ่มหูจริง ๆ ตอนนั้นมี MV ที่ว่าหลายชุด  ผมจำได้แค่ 2 ชุดคือชุดนี้กับชุดของ Carly Simon โปรโมทหนัง Working Girl



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 451  เมื่อ 02 ก.ค. 25, 18:12

นำเสนอ single ที่ 5 สุดท้ายของแผ่นดัง Break out  ที่ออกมาหลังจากการปล่อย single ที่ 1 เมื่อปีกว่ามาแล้ว  ก็เพราะระดับหนึ่ง  แต่มันไปไม่ได้ไกล  น่าจะเป็นเพราะ ‘หลังเย็น’ แล้วนะผมว่า  ผมได้ยินเพลงนี้จากแผ่นเสียง





อย่างที่บอกว่า แผ่น Break Out  เป็นจุดสูงสุดของวง The Pointer Sisters  เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วก็ย่อมตกเป็นของธรรมชาติ  หลังจากสนุกสนานกับการเก็บเกี่ยวความสำเร็จมาปีกว่า  ผลงานชุดต่อมาของวงไม่ได้รับความนิยมเท่า  บ้านเรามีเพลงนี้เพลงเดียวที่วิทยุเปิดให้ฟัง  ซึ่งไม่ประทับใจเลย



นำเสนอ single อื่น ๆ ของวง  ที่ไม่ดังในปีก่อนหน้า  ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ  ได้ยินจากแผ่นเสียงรวมเพลงที่ซื้อมา  ก็เพราะดีนะ





ในยุคแรก ๆ พวกเธอร้องเพลงแนว country  นี่ผมเพิ่งมารู้และได้ยินเพลงในภายหลัง  เพลงนี้ทำให้พวกเธอได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Country Group ในปี 1974  น่าประหลาดใจเนอะ

(หมายเหตุ – ในยุคของพวกเธอ  อย่าว่าแต่ได้ดู MV เลย  พวกเธอหน้าตาอย่างไรยังจำไม่ได้  ได้ยินแค่เสียงจากลำโพงวิทยุ)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 452  เมื่อ 03 ก.ค. 25, 18:29

เมื่อวานเอ่ยว่าวง The Pointer Sisters เริ่มต้นการเข้าสู่วงการเพลงในแขนงเพลง Country  ก่อนจะย้ายไปสู่ฝั่ง Rock/R&B  แล้วประสบความสำเร็จ

ทำให้นึกได้ถึงอีกวงดนตรีหนึ่งที่มีปรากฏการณ์เดียวกันแต่ในทางตรงกันข้ามกันคือ เริ่มต้นในแขนงเพลง Rock ก่อน  แล้วย้ายไปฝั่ง Country  แล้วดังกระหน่ำ  

วงนี้ชื่อ Exile กับเพลงนี้ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 และค้างอยู่นานถึง 4 อาทิตย์  หรือ 1 เดือน



เพลงนี้ดังมากในรายการ Nite Spot  และดังอยู่เพลงเดียว  ต่อมาผมก็ได้อ่านข่าว จากที่ไหนซักแห่ง  ว่าวง Exile นี้เปลี่ยนแนวเพลงไปเล่นเพลง Country และดังด้วย  แต่ไม่รู้สาเหตุ (หมายถึง ตัวผมไม่รู้)

เนื่องจากวิทยุบ้านเราเปิดเพลงอิงจากอันดับเพลง Pop  ก็เลยไม่มีสถานีไหนเล่นเพลง Country ดัง ๆ ของวงนี้ให้ฟัง  จนกระทั่งเข้ายุค youtube ถึงได้มีโอกาสได้ฟัง  และก็ได้รู้สาเหตุด้วยว่าในช่วงดังนั้น นักร้องนำได้รับความกดดันจากค่ายแผ่นเสียงเลยลาออก  วงก็เลยเสียศูนย์  เลยล้มกระดานแล้วเริ่มต้นใหม่ในแขนงเพลง Country





เพลง Kiss You All Over  เป็นเพลง one hit wonder อันดับ 1   ปี 1978 นั้นเป็นหนึ่งในช่วง highlight ของยุคบ้าเพลงของผม  ถ้าเป็นอาหารก็เรียกได้ว่าผมกินทุกคำในจานนั้น  ไม่มีเหลือ  แทบจะเรียกว่าเลียจานเลยก็ได้  

นอกจากเพลงดังของศิลปินที่มีชื่อเสียงแล้ว  ยังมีเพลง one hit wonder อีกที่แตะอันดับ 1 หรือเข้า top 10 และวิทยุนำมาเปิดกระแทกหูอยู่หลายเพลง  ถ้าบ้าเพลงฝรั่งและโตขึ้นมาในยุคนี้  รับรองว่าคุ้นหูทุกเพลง  ก็มันดังกระหน่ำ

Player



Nick Gilder



Kansas กับเพลงที่ไม่มีใครลืมได้



Walter Egan



Pablo Cruise



John Paul Young  กับอีกหนึ่งเพลงที่ไม่มีใครลืมได้



Toby Beau  ตอนที่นั่งฟัง  ผมคิดว่าเป็นชื่อนักร้องชาย  ปรากฏในภายหลังว่าเป็นชื่อคณะวงดนตรี  เพลงเพราะมาก  พอได้ฟังซ้ำเมื่อไร  ผมเป็นต้องหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนั้นแล้วฟังอย่างตั้งใจ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 453  เมื่อ 04 ก.ค. 25, 18:11

ต่อ...

ในปี 1978  ศิลปินขาประจำยังคงออกเพลงดังครองอันดับต้น ๆ ของ billboard    แต่ก็ยังพอแบ่งเนื้อที่ให้กับเพลงดังประเภท one hit wonder ซึ่งปีนี้มีเยอะและเพราะ ๆ ทั้งนั้น

Lindisfarne  เพลงนี้มารู้ทีหลังว่า  ดังมาจากฝั่งอังกฤษแต่มาแป้กที่อเมริกา  ไม่น่าเลย  เพราะจะตายไป  ลองฟังดู



Patti Smith Group



LeBlanc & Carr  กับอีกหนึ่งเพลงโปรดตลอดกาลของผม



Eruption

(ผลงานแนว Disco ที่ดังในปีนี้ยังมีอีกจาก 2 ศิลปินคือ Alicia Bridges (I love the night life) และ The Trammps (Disco Inferno)  ผมลงไปหลายรอบแล้ว)


One hit wonder ของปีนี้จากศิลปินหญิงเดี่ยวมีคนเดียวคือ  Samantha Sang กับเพลงที่ดังสนั่น  ทั้งในบ้านเราและบ้านเขา

เพลงจากการอำนวยการผลิตโดยคณะ Bee Gees  นี้ดังระดับแผ่นเสียงทองคำขาว  เพลงต่อมาไม่ได้มาจากการผลิตของวง BG  ดับสนิท  แต่บ้านเรายังคงเปิดบ้าง  ผมว่าไม่เลว



แล้วยังมีเพลงของ Chris Rea ที่ตอนนั้นฟังแล้วเฉย ๆ  พอฟังไปบ่อย ๆ  กลับเพราะ  แม้จะเลยเวลาไปนานแล้ว  ยิ่งฟังก็ยิ่งเพราะ  จังหวะเพราะมาก

อีกหลายปีต่อมา  สถน. วิทยุแห่งหนึ่งนำเพลงนี้มาเปิด  แป๊บเดียว  แทบทุก สถน. อื่นพร้อมใจกันเปิด



ปีนี้เป็นปีดังของ Bob Welch  อดีตสมาชิกของวง Fleetwood Mac  ผมลงผลงานไปหลายรอบแล้ว  ก็จะมาเอ่ยถึง Ian Gomm กับเพลงที่ไม่ใช่ one hit wonder  แต่วิทยุเปิดบ่อยระดับหนึ่ง  ผมถึงจำได้



พูดถึงเพลงของ IG  เกิดความไม่เข้าใจในสมองของตัวเอง  คือถ้าเอ่ยถึงเพลงนี้ปั๊บ  จะต้องตามด้วย 2 เพลงนี้  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน (เพลงแรกปี 1979  เพลงที่ 2 ปี 1980)
Nick Lowe



Ali Thomson



จับฉ่ายดีเนอะ  ไว้มีโอกาส  จะเอาผลงาน one hit wonder ของปีอื่น ๆ  ที่วิทยุบ้านเราเปิด  มาเล่นให้ฟังอีก
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 454  เมื่อ 05 ก.ค. 25, 18:20

มาคุยเรื่องเพลงบรรเลงนิดนึง  อย่างที่บอกว่าเพลงบรรเลงที่ดัง ๆ บนอันดับเพลงล้วนไปอยู่ในยุค 60s  เสียทั้งนั้น  ศิลปินเหล่านั้น ล่วงมาถึงยุคนี้  ต่างก็เกี่ยวก้อยกันลาโลกไปจนหมด (เหมารวม)   ที่หลงเหลืออยู่ก็ Herb Alpert  ผมก็ลงผลงานไปแล้ว

สำหรับรายนี้คือ Frank Mills  ศิลปินจากแคนาดา  ในต้น 70s  เธอนำเพลงนี้ออกตลาดที่อเมริกาและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดขายแตะแผ่นเสียงทองคำ  บ้านเราผู้นิยมของดัง  รับมาเปิดอยู่บ่อยพอควร  บ่อยจนผมติดใจจนต้องออกไปหาซื้อแผ่นเสียงมาฟังเพลงทั้งหมดในแผ่น



FM กลายเป็นศิลปินประเภท one hit wonder  เพราะเธอมีเพลงดังบนอันดับ Billboard เพลงเดียว  อย่างไรก็ตาม  สถน.วิทยุบ้านเรานิยมซื้อ album มากกว่า single เพราะคุ้มกว่า  นักฟังเพลงบ้านเราก็เลยได้ยินเพลงอื่น ๆ จากเธออีก  เช่นเพลงนี้ที่ดังมากใน spot โฆษณา  ผมว่าดังกว่าเพลง MBD เสียอีก



ในปีต่อมา FM ลองของด้วยการออกเพลงย้อนรอยแนวเพลงดังของเธอ  ปรากฏว่าผู้บริโภคไม่นิยม  แต่เพลงยังมาดังที่บ้านเราอยู่  ผมว่าเพราะทีเดียว



เพลงแถมอลังการจาก album



เขียนถึงตรงนี้  ทำให้นึกได้ว่าแนวเพลงของ FM ทำให้นึกถึงศิลปินเพลงบรรเลงอีกคนคือ Richard Clayderman 

เธอมาจากฝรั่งเศส  ผลงานของเธอไม่มีเพลงไหน ‘ติดอันดับ’  แต่วิทยุบ้านเราเปิดเพลงของเธอมากมายและต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน  สงสัยอีกแล้วว่าดีเจท่านใดนำเพลงของ RC มานำเสนอเป็นคนแรก  นี่เป็นเพลงแรกและแรก ๆ ที่ผมได้ยินและจำ (ชื่อ) ได้





As of 2006, Richard Clayderman’s record sales number at approximately 70 million, and has 267 gold and 70 platinum albums to his credit. He is popular in Asia and is noted by the Guinness Book of World Records as being "the most successful pianist in the world".

หมายเหตุ...

ชื่อ Frank Mills (เฉพาะชื่อ)  ไม่ได้ใหม่สำหรับผม  ผมรู้จักชื่อนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ โน่น  มันเป็นชื่อเพลง ๆ หนึ่งที่ร้องโดย Agnes Chan 



ตอนนั้นผมว่าเพลงเพราะมาก  พอโตขึ้น  ประสบการณ์พอกพูนขึ้น  ผมก็รู้ว่าทุกเพลงของ AC เป็นการนำต้นฉบับกลับมาร้องใหม่  ตอนนั้นเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า  ผมไม่รู้ไปทุกเพลงหรอกว่าต้นฉบับของเพลงที่ AC ร้องนั้นๆ  ใครร้องต้นฉบับบ้าง  ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการฟังเพลงมากขึ้นทำให้ผมได้คำตอบมากขึ้น ๆ  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังไม่รู้ว่าเพลง FM นั้น  ต้นฉบับใครร้อง  จนกระทั่งถึงยุค อตน. นั่นแหละ  ผมถึงหาเจอ  ว่าต้นฉบับเป็นร่องหนึ่งของ soundtrack ละครเวทีที่ต่อมานำมาดัดแปลงเป็นหนังชื่อ Hair

(พอได้ยินต้นฉบับแล้ว  ลืมฉบับของ AC ไปเลย)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 455  เมื่อ 06 ก.ค. 25, 18:04

วันนี้ก็จักกล่าวถึง Jennifer Warnes   ทุกคนทำหน้าเป๋อเหลอ ใครวะ…   ไม่เป็นรายยย อ่านไปก่อนเดี๋ยว อ๋อ... เอง

JW เป็นนักร้องสาวดังขึ้นมาในกลางยุค 70s  ผมกำลังบ้าเพลงฝรั่งอย่างน่าขนหัวลุกเลยละ  ดังนั้นเพลงดังเพลงแรกของเธอที่ออกอากาศทางวิทยุ  ผม ‘นั่งฟังอยู่แถวหน้า’ เลย



เพลงเปิดตัวเพลงนี้ดังระดับหนึ่ง  คือเข้า top 10  แล้วเสียงของเธอก็หายไปจากลำโพงวิทยุหนึ่งช่วงเวลา  เพลงของเธอมาออกอากาศอีกครั้ง  คราวนี้ดังน้อยลงไปหน่อย  แต่วิทยุยังเปิดบ้าง



แล้วเธอก็หายไปอีกหลายปี  กลับมาคราวนี้เป็นเพลงร้องคู่  เธอร้องกับ ‘ตำนานเดินได้’ ชื่อ Joe Cocker  เป็นเพลงอยู่ในหนังดังเรื่อง An officer and a gentleman  หนังมาฉายที่บ้านเรา  รู้สึกจะโรงฮอลลีวู้ด  ตอนนั้น Richard Gere หล่อสุด  แม้หนังจะลาโรงไปแล้วแต่เพลงยังอาละวาดอยู่ตามคลื่นวิทยุต่อไป  นานเป็นเดือน



แทรกควันหลงที่ Joe Cocker เธอเป็นศิลปินจากอังกฤษ  คร่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงมาตั้งแต่ยุค 60s  เธอมีผลงานดัง ๆ น้อย  วิทยุบ้านเราก็เลยไม่นิยมเปิดเพลงของเธอ  หรือเปิดแต่ผมไม่ได้ยิน  เคยได้ยินอยู่บางเพลง 

เพลงนี้จำได้เพราะเสียงของเธอมีเอกลักษณ์คือแตกแห้ง  กับตอนท้ายของเพลง  รู้สึกใจจะขาดไปด้วย



อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเธอที่มาเห็นตอน youtube  คือ ‘ท่าทางการแสดง’



(นี่แหละเสื้อแขน Tom Jones  นำเสนอต่อสายตาชาวโลกโดยนักร้อง Tom Jones... ยังไม่ได้เอ่ยถึงเสียที)



(กับวง Jazz ชื่อ The Crusaders  เพลงนี้คลื่น Nite Spot เปิดประจำ)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 456  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 18:03

จากเพลงที่แล้ว Jennifer Warnes  เธอก็หายไปอีก  ประมาณผลุบ ๆ โผล่ ๆ  แล้วก็กลับมาอีกพร้อมกับเพลงดังที่สุดในอาชีพของเธอ เป็นเพลงร้องคู่เช่นกัน  เป็นเพลงอยู่ในหนังเช่นกัน  Dirty Dancing  หนังดังระเบิด  เพลงก็ดังระเบิด



คู่ร้องของ JW คือ Bill Medley (เขียนถึงไปแล้วในกระทู้ของ อ. เทาชมพู) เธอดังสนั่นในยุค 60s  ในฐานะครึ่งหนึ่งของวง duo ชื่อ The Righteous Brothers  เพลงของวงนี้เข้ามาอบอวลอยู่ในบ้านเราก่อนผีเพลงเข้าสิงผม  มีดัง ๆ 3 เพลง





และเป็นต้นฉบับของเพลงนี้ (1965)



หนังดังบ้าเลือดชื่อ Ghost  ปลุกผีเพลงนี้ขึ้นมาใหม่ในปี 1990  โดยให้นักร้องคนเดิมของวง (Billy Hatfield) ร้องใหม่  ฉบับร้องใหม่นี้ฮิตและขายดีขนาดได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว  ตอนที่หนังฉายโกยเงินอยู่ในโรง  และเพลงฉบับร้องใหม่กำลังอาละวาดตามคลื่นวิทยุ (เหตุการณ์เกิดขึ้นที่อเมริกา)  ก็มีดีเจ ไอเดียใส นำฉบับเก่ามาออกอากาศแข่งกับฉบับร้องใหม่  ผลคือ  ฉบับเก่านี้ก็ฮิตและไต่อันดับด้วยเหมือนกัน  ปีนั้นจึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของวงการเพลงในแง่ที่ว่า เพลงเพลงเดียวกันอัดเสียงโดยนักร้องคนเดียวกันแต่ช่วงเวลาในการอัดเสียงต่างกัน (1965 และ 1990) เข้ามาอยู่ในอันดับเพลงฯ ในช่วงเวลาเดียวกันและไต่อันดับผ่าน top 20 (สุดที่อันดับที่ 13 และ 19) ไปด้วยกันอีกด้วย

(แยกไม่ออกเนอะ)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 457  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 18:41

ด้นสดตรงนี้นิดนึง

2 เพลงดังของ วง The Righteous Brothers (ความจริงเพลงที่ 3 ด้วยแต่ไม่ชัด) ถ้าฟังดี ๆ จะพบว่าเสียงไม่สดใส  ฟังอู้ ๆ เหมือนร้องอยู่ในตุ่ม  นี่เป็นเทคนิคการอัดเสียงแบบพิเศษเรียกว่า Wall of Sound ค้นคิดโดย อัจฉริยะทางการดนตรีชื่อ Phil Spector  เป็นงานพิเศษเฉพาะตัว  ยังมีอีกหลายเพลงจากศิลปินที่เธออำนวยการผลิตให้  ที่เพิ่งลงไปก็เพลง Da Doo Ron Ron ของ The Crystals และ Be My Baby ของ The Ronettes

ที่ชัด ๆ ก็










บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 458  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 18:17

ย้อนกลับไปที่ Jennifer Warnes  อีกครั้ง (รู้สึกเหมือนใช้เธอเป็นนางนกต่อให้พาไปหาชาวบ้าน) ที่แอบนินทาเธอกว่า ‘ผลุบ ๆ โผล่ ๆ’ นั้นความจริงตอนที่ ‘ผลุบ’ นั่นเธอไม่ได้เงียบหาย  ยังคงออก single  แต่มันไม่ดังในอันดับเพลงฯ  เมื่อเพลงไม่ดัง วิทยุบ้านเราก็ไม่เอามาเปิด  พวกเราก็เลยไม่เคยได้ยินผลงานอื่น ๆ ของเธอ

ในปี 1982 เธอออกแผ่นรวมเพลงประเภท The Best  ไม่ใช่ Greatest Hits  เพราะเธอไม่มี single ดังมากพอจะเอามารวมเป็น 1 แผ่นเสียงได้  แผ่น The Best ของเธอเข้ามาขายในบ้านเรา  เป็นแผ่นนอก (เคยอธิบาย นิยาม นี้แล้ว)  ผมก็ซื้อมาฟัง  มีหลาย single ที่ไม่ดังอย่างที่ว่า  แต่เมื่อฟังแล้วก็ไม่เลว







เพลงนี้ผมชอบมากกว่าเพลงอื่น  ตอนฟังครั้งแรก  คุ้นหูทันที  แสดงว่าเคยได้ยินมาแล้วทางวิทยุ



ในปี 1979 หนังชื่อ Norma Rae ออกฉาย (ในบ้านเค้า  หนังไม่มาฉายในบ้านเรา)  JW ร้องเพลงเอกในหนังเรื่องนี้  ท่ามกลางสาขาต่าง ๆ ที่หนังได้เข้าชิงรางวัล Oscar   เพลงนี้เป็นหนึ่งในสาขาเหล่านั้นที่คว้ารางวัลมาได้  รางวัลตกเป็นของคนแต่งเนื้อเพลงไม่ใช่คนร้อง



ผมขี้เกียจค้นว่า JW ร้องเพลงให้กับหนังกี่เพลง  แต่เพลงที่เธอร้อง (และร่วมร้อง) ที่ได้เข้าชิง Oscar มีทั้งหมด 3 เพลง (อีก 2 เพลงคือเพลงที่เสนอไปแล้วในตอนต้น) และคว้ารางวัลไปได้ทั้ง 3 เพลง 

อ้อ... นึกได้อีกเพลงที่เธอร้องให้กับหนัง  คือเรื่องนี้



เธอร้องคู่กับ Chris Thompson  นี่ผมรู้มาจาก Wikiฯ  ในยุคก่อน อตน. ไม่มีแหล่งข้อมูลให้ค้น  ตอนได้ยินเพลงนั้นในโรงฯ  ก็ไม่รู้ว่าเสียงผู้ชายคือใคร  นั่นเป็นเพราะโรงหนังบ้านเราไม่ให้ความสำคัญกับ credit ท้ายเรื่อง  ประมาณว่า เอ็งดูหนังจบแล้วก็ย้ายก้นออกไปได้  ฉันจะได้เตรียมตัวสำหรับฉายรอบใหม่  คือให้ความสำคัญกับจำนวนรอบฉายมากกว่า  พูดง่าย ๆ คือเห็นแก่เงิน  credit ท้ายเรื่องนี่ผมว่าสำคัญมาก  เพราะมันจะบอกอย่างละเอียดเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้น ๆ รวมถึงนักแสดงชื่ออะไรแสดงเป็นใคร  และเพลงประกอบเรื่อง ฯลฯ  นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเกลียดที่สุดเวลาเข้าโรงดูหนัง  แต่ก็หน้าด้านซื้อตั๋วเข้าไปนั่งดูได้นานเป็น 20-30 ปี

ด่าจบแล้วก็กลับมาที่ CT  ตอนนั้นไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร  จู่ ๆ ในวันหนึ่งเพลงของเธอก็โผล่ออกมาจากลำโพงวิทยุ  มีเพลงเดียวซึ่งเพราะมาก  จากนั้นเธอก็หายไปเลย
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 459  เมื่อ 09 ก.ค. 25, 18:05

พูดถึงนักร้องหญิงที่ร้องเพลงให้หนังแล้วคว้ารางวัล Oscar มาได้  ทำให้นึกถึง Maureen  Mcgovern เธอเป็นอีกหนึ่งเจ้าแม่สาขานี้เลยละ  เพลงแรกของเธอก็เริ่มต้นด้วยเพลงจากหนัง  คือหนัง ‘เรือนรก’  ทั้งเพลงและหนังดังกระหน่ำในบ้านเรา

(เพลงได้แผ่นเสียงทองคำและ Oscar ทั้งคู่)


อีก 2 ปีต่อมาเพลงที่เธอร้องก็ได้เข้าชิง Oscar อีกครั้ง  ในสาขา Best Original Song จากหนังหายนะเรื่องดัง ‘ตึกนรก’  คราวนี้เธอได้มีโอกาสโผล่โฉมมาเข้าฉากในเรื่องนี้ด้วย

(คราวนี้เพลงได้แต่รางวัล Oscar  มันไม่ดังในอันดับเพลงเลย  แต่ยังคงดังในบ้านเรา  นี่เป็นอีกเพลงที่เมื่อหมดยุคก็หายต๋อม  ไร้ร่องรอย  ก่อนยุค อตน.  มันเป็นอีกหนึ่งเพลงที่คนตามหากันให้ควั่ก  มาถึงยุค CD ก็ยังตามหากันไม่ได้  มีแผ่นของ MM แต่ไม่มีเพลงนี้)


แล้วยังมีเพลงอื่นอีก  แต่ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ  เลยไม่เอามาลง  แต่เพลงนี้ดังสุดขีด  มันมาจากหนัง Superman ยุค 70s  เพลงไม่ได้เข้าชิง Oscar เพราะไม่มีบรรจุอยู่ในหนัง  MM แค่อัดเป็น single ออกขายซึ่งไม่ดังบนอันดับเพลง



นอกจากร้องเพลงในหนังโรงแล้ว MM ยังร้องเพลงให้กับหนังชุดประเภทตลกทางทีวีชื่อ Angie (1979)  หนังชุดนี้มาฉายในบ้านเราด้วยทางช่อง 3  ผมดูประจำ  ใยพี่สะใภ้จี้โคตร  สำหรับเพลงนี้ได้ยินทั้งทางทีวีและหาฟังได้ง่ายทางวิทยุในตอนนั้น



ในขณะที่ MM ดังจากเพลงที่ร้องให้กับหนัง  เพลงส่วนตัวของเธอไม่มีดังเลยสักเพลง  มีเพลงนี้ซึ่งน่าจะคุ้นเคยหูที่สุดแต่ก็ไม่ดัง  ภายหลังดังจากฝีมือของ The Carpenters





มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 460  เมื่อ 10 ก.ค. 25, 18:04

ในยุคของ Maureen McGovern  บ้านเราไม่ใครเคยเห็นหน้าตาของเธอ  ได้ยินแต่เสียงจากวิทยุ  นี่เป็นเหตุการณ์ปกติของนักร้องประเภท one hit wonder  แถมเราอยู่ไกลปืนเที่ยง  ถ้าไม่ได้ซื้อแผ่นเสียงของพวกเขา (ถ้ามันเข้ามาขาย)  เป็นไม่เคยเห็นหน้า

ผมซื้อแผ่นเสียงและเข้าร้านขายแผ่นเสียงเป็นประจำ  เคยเห็นโฉมหน้าของ MM จาก album ของเธอ (ซ้าย)  นั่นเป็นรูปเดียวที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา  มาได้เห็นอีกครั้งในยุค CD  (ขวา)  ทั้ง 2 รูปแสดงให้เห็นเพียงด้านข้าง  คือคนคนเดียวกันรึเปล่าก็ไม่รู้  ดูไม่ออก   




ครั้งตอนดูหนังตึกนรกอยู่ในโรง ฯ  ได้เห็นหน้าคนร้องเพลง We may ฯ เพียงแวบเดียว  ที่จริงนี่คือโฉมของ MM  แต่ความที่ไม่มีข้อมูลให้เสพล่วงหน้า  เลยไม่รู้  ย้อนขึ้นไปตอนดูหนังเรือนรก  ก็ใช้นักแสดงและเสียงคนร้องผสมผสานกัน  แถมตอนนั้นยังเด็กมาก  สมองยังไม่พัฒนาพอที่จะรู้เรื่องซับซ้อนแบบนี้  ขนาดสงสัยไปว่านี่เหรอเพลง The Morning ฯ  ฟังไม่เหมือนในวิทยุเลย  เป็นเพลงเดียวกันรึเปล่าวะ



ต้องถึงยุค อตน.  ถึงรู้เพิ่มเติมว่าคนร้องเพลงในหนังชื่อ Renee Armand  ฉบับที่ MM ร้องเป็นฉบับจัดทำเพื่อออกขาย



สรุปแล้วเวลาผ่านไปหลาย 10 ปี  ยังฟันธงไม่ได้ว่าหน้าตาจริง ๆ ของ MM เป็นอย่างไร

นอกจากจะปรากฏโฉมแวบเดียวในหนังตึกนรกแล้ว  ในปี 1980  Maureen McGovern ก็มาเป็นดารารับเชิญให้กับหนังตลกสุดขั้วเรื่อง Airplane  ตอนนั้นก็ยังไม่รู้อีกว่าคนไหน  คือไม่มีข้อมูลให้เสพล่วงหน้า  แถมทางโรง ฯ ตัด credit ท้ายเรื่องออก  แค่รู้จากตอนต้นเรื่องว่ามีชื่อ Maureen McGovern  ร่วมเล่นด้วย  นั่งดูไปก็   ทายไป ‘คนไหนวะ ๆ  คนนี้ปะ ๆ’

หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อ ‘ยำ’ หนังหายนะที่ออกมาโกยเงินในอดีตหลายเรื่อง  ความแปลกใหม่ของหนังทำให้มันเข้าทำเนียบหนังตลก classic ตลอดกาล  ผมดูกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เบื่อ  จี้ทุกฉาก



บทแม่ชีของ MM  นั้นเลียนแบบบทแม่ชีในหนังหายนะที่รวบรวมดาราดังในยุคเก่าไว้หลายคนชื่อ Airport 1975 



(เธอร้องเพลง Respect ของ Aretha Franklin)


ในเรื่อง Airport 1975 ต้นแบบ   ผู้ที่รับบทแม่ชีคือนักร้องสาว 1 ใน 3 ที่ผมเป็นแฟนตลอดกาลคือ Helen Reddy

ตอนได้ข่าว (จากหนังสือ Starpics เช่นเคย) ว่าหนังเรื่องนี้เริ่มออกฉายที่อเมริกา  (และอีกไม่นานคงมาบ้านเรา)  มี HR เล่นด้วย  ผมละทั้งตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เห็นแฟนผมในแบบ ‘ตัวเป็น ๆ’  ตั้งแต่รู้จักเธอมาเคยเห็นแต่ภาพบนปกแผ่นเสียง  ไม่ก็ภาพขาวดำตามสิ่งพิมพ์ซึ่งไม่ชัดอีกต่างหาก 

ในข่าวบอกเพิ่มเติมว่า HR ร้องเพลงในหนังด้วย  แต่ชื่อเพลงอะไรไม่รู้ (ข่าวที่เมืองนอกคงบอกรายละเอียดมากกว่านี้  แต่ไม่รู้จะไปหาอ่านได้ที่ไหน  แล้วก็ไม่มีใครเอามาแปลให้อ่าน)  อย่างไรก็ตาม  แค่รู้เพียงเท่านี้ผมก็หูอื้อตาลาย  ว้าวุ่นไปหมด  เธอจะเล่นบทอะไรแล้วจะร้องเพลงอะไรหนอ  อยากรู้อยากเห็น 

ในที่สุดหนังก็เข้าฉายในบ้านเรา  ผมละโกยสี่ตีนไปดูรอบแรกด้วยความตื่นเต้น และดูอีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา



ผู้หญิงไฮโซในฉากคือ Gloria Swanson หนึ่งในนักแสดง/ดาราหญิงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล  เธอดังมาตั้งแต่สมัยหนังเงียบ  นี่คือ ตย. หนัง classic ของเธอ  ถ้าเอ่ยถึง GS ต้องเอ่ยถึงหนังเรื่องนี้



เล่าที่มาที่ไปของฉากนี้ (เป็นฉากจบเรื่อง) ติ๊ดนึงเพื่อจะได้มีอารมณ์ร่วม

GS แสดงบท Norma Desmond ดาราใหญ่ที่เริ่มอับแสง  เธอพยายามหาทางกลับมา  ระหว่างนี้ก็ไปมีติ๊งกับชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่า  ใคร ๆ ก็ตราหน้าว่าเป็น gigolo  ชายหนุ่มอึดอัดก็หาทางตีจาก  แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม  ทะเลาะกันไปมาฝ่ายหญิงบรรลุแก่โทสะคว้าปืนมายิงหนุ่มตาย  ความหุนหันพลันแล่นทำให้เธอยอมรับความจริงไม่ได้เลยสติแตก 

นี่คือคำอธิบายฉากสุดท้ายที่เห็นใน clip...
Norma is about to be arrested for murder. The mansion is overrun with police and reporters with newsreel cameras, which she believes are film cameras. Max (คนรับใช้ – หัวล้าน) pretends to "direct" her, and the police play along. As the cameras roll, Norma descends the grand staircase for what she thinks is a close-up for DeMille (นักสร้างหนังที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล). She stops and makes an impromptu speech about how happy she is to be making a film again, then walks towards the camera, before she gets arrested by the authorities.


กลับมาที่หนัง Airport 1975  Helen Reddy ร้องเพลงนี้



เด็กหญิงนอนแบบคือ Linda Blair คงยังมีคนจำเธอได้  เธอกำลังดังจากบทแม่หนูผีสิง Regan ที่คอหมุนได้รอบทิศในหนังผีอมตะ The Exorcist  ที่ทำให้คนดู (ที่อเมริกา) เป็นลมล้มพับคาโรงกันเป็นถ้วนหน้า



ข่าวว่า ฉากอ้วกของเธอทำเอาคนดู (ที่อเมริกาแดนคนขวัญอ่อน) อ้วกตามกันเป็นแถว  ตอนนั่งดูอยู่ในโรง ฯ เห็นแล้วนึกถึง ถั่วเขียวบดใส่นม ที่ผู้ปกครองชอบทำให้กิน  มายุคนี้นึกถึง milkshake รสชาเขียว



กลับมาที่เพลงที่ HR ร้องในหนังชื่อ Best Friend เป็นเพลงที่เธอแต่งเนื้อเอง  มันรวมอยู่ใน album แรกของเธอที่บรรจุเพลงดัง I don’t know how to love him  ฉบับที่เธอร้องในหนังมีดนตรีต่างจากฉบับในห้องอัด  ผมว่าเพราะทั้งคู่



ฉากแม่ชี HR ร้องเพลงในหนัง Airport 1975  นี้  ในหนังตลก Airplane ทำแยกออกเป็น 2 ส่วน  บทแม่ชียกให้ MM เอาไปคั่ว  ส่วนบทร้องเพลงคือฉากนี้



ตัวอย่างหนัง Airport 1975



วันนี้ยาวเนอะ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 461  เมื่อ 11 ก.ค. 25, 18:15

ในความรู้สึกของผม  มีนักร้องหญิงอีกคนที่มีเส้นทางในโลกดนตรีคล้าย ๆ กับ Maureen McGovern  คือมีความดังประดุจพลุ  พอพลุแตกแล้วดับร่วง  เธอชื่อ Mary MacGregor  เพลงประเดิมอาชีพนักร้องของเธอเพลงนี้เป็น ballad จืด ๆ แต่ปรากฏว่ามันดังคับโลกดนตรี  มันเกาะอันดับ 1 อยู่ได้นานถึง 2 อาทิตย์  แต่เกาะอันดับ 1 ที่บ้านเรานานเป็นเดือน



เพลงต่อ ๆ มาดับสนิท  แต่วิทยุบ้านเรายังคงเปิด





ใน album ประเดิมของเธอแผ่นนี้  ยังมีอีกเพลงหนึ่งที่ไม่ใช่ single  แต่วิทยุบ้านเราเปิดบ่อยกว่า 2 single หลัง  ฟังดู  รับรองว่าจำได้



MM ไม่สามารถเรียกคืนความดังกลับมาได้  เธอพยายามหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ  อย่างไรก็ตาม  วิทยุบ้านเราไม่ลืมเธอง่าย ๆ  ยังหมั่นเปิด single ของเธอ





มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 462  เมื่อ 12 ก.ค. 25, 17:52

Mary MacGregor ปล่อยเพลงนี้ออกมาในปลายยุค 70s  Single นี้ไม่ติดอันดับ top 100   แต่บ้านเราให้การต้อนรับพอประมาณ  ไม่รู้ว่าดีเจท่านไหนเป็นคนเริ่ม  ผมว่าเพลงเพราะทีเดียว  เป็นฉบับที่หาฟังได้ยากมากก่อนยุค อตน.



ต่อมาในต้น 80s  วิทยุเริ่มเปิดเพลงเดียวกันนี้อีกครั้ง  แต่มาจากเสียงของนักร้องชื่อแปลกหูสำหรับผมคือ Charlene ฉบับของเธอดังกว่าฉบับของ MM มาก  มันไต่ขึ้นไปถึง top 3  เป็นเพลง one hit wonder ของเธอ  ในบ้านเราก็ฮิตไม่แพ้กัน 

ความจริงต้นฉบับของเพลงนี้เป็นของ C  เธอปล่อยออกมาเป็นครั้งแรกก่อนหน้าฉบับของ MM 1 ปี  แต่ไม่ดังเช่นกัน  ฉบับที่ออกในต้น 80s  เป็นการนำมาปล่อยเป็นครั้งที่ 2   ตอนนั้นที่มาที่ไปของเพลงฉบับที่ 2 นี้เด่นประมาณหนึ่ง  ผมรู้มาจากการอ่านในหนังสือ Starpics เช่นกัน  เป็นแบบคร่าว ๆ  นี่เป็นรายละเอียดในยุค อตน.

In 1982, Scott Shannon, a disc jockey then working at Tampa radio station WRBQ-FM, began playing the version from the Charlene album (ฉบับแรก) at the behest of his girlfriend, and response from local listeners was such as to motivate Shannon, a former Motown employee, to alert Motown (บ. แผ่นเสียง) president Jay Lasker of the track's hit potential.

By this time, Charlene had lost her recording contract, moved to the United Kingdom, and was working in a sweetshop in Ilford in London. Upon locating Charlene, Lasker personally telephoned her to invite her to re-sign with Motown in order to facilitate the re-release of "I've Never Been to Me" (ฉบับที่ 2 ที่กลายเป็นเพลงดัง).

In 1976, Charlene's legal name was Charlene Duncan from her marriage to record producer Larry Duncan; shortly following the song's re-release in 1982, her name became Charlene Oliver by her subsequent marriage to Englishman Jeff Oliver, whom she wed on March 27, 1982.

The song's music video was filmed at Blickling Hall, Norfolk, England, with Charlene appearing in her actual wedding dress.

"I've Never Been to Me" was one of the year's biggest hits and experienced international success, becoming popular in 26 countries around the globe (รวมถึงเมืองไทยแลนด์).




มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 463  เมื่อ 12 ก.ค. 25, 18:27

ย้อนกลับไปที่เพลง Torn between two lovers ของ MM  เพลงดังคับโลกเพลงฝรั่งในช่วงที่มันออกอาละวาด



เพลงนี้อำนวยการผลิตและร่วมแต่งเนื้อโดย Peter Yarrow หนึ่งในสมาชิกของวง Peter, Paul and Mary (จำได้จากรายละเอียดในแผ่นเสียง)  เนื้อเพลงผิดศีลธรรมอย่างใหญ่หลวง  หญิง 2 ผัวแถมเห็นแก่ตัว  ต้องการงาบทั้งคู่  ประมาณนั้น  ในยุคนั้นฮือฮาเป็นอย่างมากเพราะมันโจ่งแจ้งออกอากาศ  ผมรู้มาจากที่ไหนก็นึกไม่ออกว่าตัว MM นั้นเกลียดเพลงนี้มาก (แต่ทำไมถึงยอมร้องก็จำไม่ได้)  พอถึงยุค อตน. ก็ลองหารายละเอียดดูว่า  ที่รู้มาจริงรึเปล่า  ปรากฏว่าจริง  และยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่รู้มาก่อนด้วย

นี่คือคำสารภาพของ MM

MacGregor admitted in The Billboard Book of Number One Hits by Fred Bronson that she hated her own chart-topper, chiefly because she had little sympathy for the narrator of "Torn Between Two Lovers", a woman who confesses to her husband that she is having an affair, but pleads with her husband to stay with her and accept the situation.

MacGregor also said that the song indirectly led to the breakup of her own marriage, because her career kept her away from home so often that her relationship with her husband strained, and they decided to separate. She did acknowledge that the song was successful because it appealed to listeners who had found themselves in the situation described in the lyrics.

ปัจจุบันเธอเลิกอาชีพร้องเพลงไปแล้ว


เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นกับ Anita Ward กับอีกหนึ่งเพลงดังโลกแตก  ที่ไม่ได้ดังแค่ในวิทยุ  แต่ดังในบาร์ disco ด้วย  คือเพลง Ring My Bell



ผมได้อ่านมานานแล้วว่า  AW เกลียดยุค disco มาก  เผอิญเธอเริ่มต้นในยุคนี้เลยต้านกระแสไม่ไหว  แถมเพลง signature ของเธอดันเป็นเพลงที่เธอเกลียด  เธออยู่ในวงการไม่นานก็ บ๋ายบาย แล้วออกไปเรียนต่อจนได้ปริญญาแล้วเริ่มอาชีพใหม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ... รู้สึกจะสอนที่สถาบันที่เรียกว่า academy ที่ไหนสักแห่ง

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 464  เมื่อ วันนี้ เวลา 18:09

ส่วนเพลงนี้ออกตลาดในยุคที่เหล่าผู้หญิง (เจาะจงที่อเมริกา) กำลังแสวงหาความเท่าเทียม  แต่จะโดนเหล่าผู้ชายกดขี่ไว้เสมอ  เพลงนี้จึงเป็นเสมือนแสงสว่างนำทาง

... The song came near the apex of the counterculture era and, by celebrating female empowerment, became an enduring feminist anthem for the women's liberation movement ...




ผมเคยอ่านมานานมากแล้วจาก นส. Starpics และเมื่อเอามาผนวกกับข้อมูลในยุค อตน. ก็รวมความได้ว่า  เริ่มแรกเพลงนี้ไม่เป็นที่โปรดปรานของเหล่าดีเจวิทยุซึ่งเป็นผู้ชายเสียเกือบ 100%  พวกเขาจึงไม่ยอมเปิดกัน  ดังนั้นเพลงจึงไต่อันดับได้ไม่ดีในตาราง billboard
 
… Despite the chord it was striking with television viewers, the song's trek to the top of the charts was still a long, hard climb.

It first entered the Billboard Hot 100 at number 99 in the issue of the magazine dated 24 June 1972, peaked at number 97 two weeks later, fell off the Hot 100.

Two months later, the song re-entered at number 87 in the 16 September issue, and reached number one three months later, in the 9 December issue…

ข้อมูลเล่าว่าเป็นเพราะปากต่อปากเกี่ยวกับเนื้อหาของเพลงจึงทำให้คนฟังที่เป็นเพศหญิงโทร. มาขอเพลงนี้กับเหล่าดีเจ  บางรายก็บังคับแกมข่มขู่ว่าต้องเปิด  ในที่สุดเพลงก็ติดลมบน  จนขึ้นถึงอันดับ 1 และได้แผ่นเสียงทองคำ  แถมยังเป็นแรงผลักดันให้ Helen Reddy ได้รับรางวัล Grammy จากผลงานนี้ในปีนั้น

เพลงนี้ไม่ใช่ใหม่ถอดด้าม  ต้นฉบับของมันที่มีทำนองแตกต่างกันออกมาจากห้องอัดในปีก่อนหน้า  มันรวมอยู่ในหนังเบาสมองเกี่ยวสิทธิสตรีเรื่อง Stand up and be counted (ไม่รู้มาฉายบ้านเรารึเปล่า)  หนังไม่ดังเท่าไร  แต่มีการพูดถึงเนื้อหาของเพลงนี้ทำให้ต้นสังกัดตัดสินใจเอาเพลงมาใส่ตะกร้าล้างน้ำ  โดยให้ HR แต่งเนื้อเพิ่มและ Ray Burton เข้ามาแต่งทำนองใหม่  ส่งเป็น single ออกขาย



เพลง I Am Woman ขึ้นอันดับ 1 และยอดขายแตะแผ่นเสียงทองคำ  เป็นผลงานชิ้นแรกของ HR  เธอสามารถสร้างผลงานคุณภาพเช่นนี้ได้อีก 2 ครั้ง





แต่สามารถคว้า single ทองคำได้ 4 แผ่น  แผ่นที่ 4 คือเพลงนี้ที่ขึ้นได้ถึงอันดับ 3



ทั้ง 4 เพลงนี้ (รวมถึง single อื่น ๆ) วิทยุบ้านเราเปิดกันเป็นว่าเล่น


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 29 30 [31]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.109 วินาที กับ 20 คำสั่ง