เพลง Yesterday Once More นี้ หลายคนคิดในใจว่า เฉิ้มเฉิ่ม เพราะมันเป็นเพลงโหล แต่ก่อนจะเกิดเป็นเพลงโหลได้ต้องมันต้องฟังแล้วเพราะและฮิตกันในวงกว้าง แสดงว่าต้องเป็นเพลงที่ ‘แน่จริง’
เมื่อพิจารณาเนื้อร้องแล้ว แทงกลางใจผม ตอนเด็ก ๆ ผมก็ประพฤติตัวแบบในเนื้อร้องเลย จะต่างกันนิดตรงที่เป็นเพลงฝรั่งภาษาอังกฤษ ในขณะที่ผมเป็นคนไทย ผมจึงไม่สนใจเนื้อเพลงแค่สนใจทำนอง ไอ้ท่อนว่า … every sha la la la every wo-o wo-o นี่ตรงเป้าเพราะการที่ไม่มีปัญญาแกะเนื้อเพลง ก็เลยเห่าหอนไปตามเรื่อง
ตอนที่เพลงนี้ออกตลาดในปี 1973 ผมยังเด็ก เป็นวัยที่ไม่รู้จักความหมายของคำว่าความหลังเลยไม่ ‘in’ กับมัน แต่ตอนนี้แก่แล้ว ตระหนักในฤทธิ์ของคำว่า ความหลัง แหม... ฟังเพลงนี้ทีไรมันทั้งสุขและเศร้า มันโหยหา อยากย้อนเวลากลับไปสัมผัสอีกครั้ง แต่ทำไม่ได้ มันเศร้าตรงนี้ ฝรั่งมีศัพท์บัญญัติว่า nostalgia
ครอบครัวผมเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ อยู่ในบ้านหลังใหญ่ บ้านหลังนี้เป็นของคุณตา ตอนผมเกิดคุณตาตายไปแล้ว ผมจึงเห็นแต่คุณยายซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน
แม่เล่าให้ฟังว่าก่อนผมเกิด คุณยายเจ้าระเบียบมาก เป็นความน่าเกรงขามสำหรับใคร ๆ พอผมเกิดแล้วท่านผ่อนคลายลงไปเยอะ... แต่กับคนอื่น ๆ เท่านั้น แม่บอกว่าท่านเอาความเจ้าระเบียบมาลงที่ผมซึ่งเป็นคนเล็กที่สุดของบ้าน
พอคุณยายเลิกเจ้าระเบียบ คนอื่นๆ ก็ผ่อนคลาย เพียงแต่อย่าออกนอกลู่นอกทาง ส่วนหนึ่งของความผ่อนคลายก็คือการฟังเพลง
สมาชิกของบ้านผมล้วนชื่นชมเสียงเพลง บรรดาฝ่ายหญิงชอบฟังเพลงไทย น้าสาวคนกลางชอบเพลงลูกกรุง สุเทพ สวลี จินตนา ชรินทร์ ธานินทร์ ฯลฯ น้าสาวคนเล็กชอบเพลงสุนทราภรณ์ พี่ ๆ ฝ่ายหญิงชอบลูกกรุงแบบ พิทยา ลินจง เพียงพิศ และบรรดาคลื่นลูกใหม่ในยุคนั้น ยกเว้นแม่ แม่ไม่ชอบฟังเพลง ชอบแต่นอนแล้วก็ชี้นิ้วใช้ชาวบ้าน (รวมถึงพ่อ)
ส่วนคุณยายก็ไม่ชอบฟังเพลงเหมือนกัน ท่านฟังแต่ รายการหนุ่มน้อยฝอยข่าวกับละครทางวิทยุ พูดถึงละครทางวิทยุ มีเอกลักษณ์ที่ไม่มีทางลืม คือการดัดเสียงเป็นตัวละครต่าง ๆ ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ แล้วยังมีเสียง effect ด้วย เป็นต้นว่าเสียงลงส้นเท้า เสียงเปิดปิดประตู เสียงฟ้าร้อง เสียงหมาหอน ฯลฯ ตอนนั้นเด็กมาก ถ้าเป็นละครผีละก็โคตรน่ากลัวเลย คุณยายบอกว่าอย่าฟัง ผมก็นอนตาแป๋วฟังอยู่ข้าง ๆ ตัวท่าน
กลับมาที่เสียงเพลง พวกฝ่ายชายจะชอบฟังเพลงฝรั่ง ตั้งแต่พ่อ (เป็นเขยของบ้าน) พี่ ๆ เพศชาย เพลงฝรั่งนี้ไม่มีแยกชนิด ฟังเหมือนกันหมด
แล้วยังมีเพลงลูกทุ่ง เพลงชนิดนี้คนใช้ชอบฟัง ถ้าเป็นคนใช้จากแดนไกลเช่นอีสาน พวกเธอจะฟังหมอลำ
เพลงประเภทที่กล่าวมาดังล่องลอยอยู่ในบ้านแทบจะตลอดทั้งวัน เป็นบ้านที่ไม่เคยขาดเสียงเพลง ผมซึ่งเป็นหนูน้อยคนเล็ก เลยชอบเสียงเพลงไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว ฟังมันทุกประเภท ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นไปขลุก (ซน) อยู่กับใคร มันหล่อหลอมให้ความรู้เกี่ยวกับเพลงกว้างขวาง (ยกเว้นแขนงหมอลำ)
ก็อีกนานเลยละกว่าจะถึงเวลาตัดสินใจได้ว่าตัวเองชอบเพลงประเภทไหน ผมเกิดปลายยุค 50s กว่าจะโตรู้เรื่อง พูดภาษาคนได้ฟังภาษาคนเป็นก็ล่วงเลยมาถึงปลายยุค 60s ตอนนั้นเริ่มฟังเพลงเป็น เข้าใจว่าไอ้เสียงมีทำนองอย่างเนี้ยะเค้าเรียกว่าเพลง
พอฟังเพลงเป็นก็เริ่มแยกแยะว่า เพลงไหนเพราะไม่เพราะ ผมว่าเพลงไทยเพราะแต่ทำนองคล้าย ๆ กันหมดไม่ว่าจะลูกกรุงหรือลูกทุ่ง มีเพลงสุนทราภรณ์ที่มีทำนองหลากหลาย แต่เพลงฝรั่งนั้นน่าติดใจที่สุด ทำนองหลากหลายยิ่งกว่าเพลงสุนทราภรณ์เสียอีก ผมก็เลยสรุปว่าฉันชอบเพลงฝรั่งมากที่สุด รองลงมาก็เพลงสุนทราภรณ์
พอตัดสินใจได้ว่าชอบเพลงฝรั่ง ก็ถึงเวลาหาเพลงฝรั่งฟัง ตอนนั้นเวลาก็ล่วงไปถึงต้น 70s แล้ว ช่วงแรก ๆ นั้นวิทยุยังกระจายเสียงในคลื่น AM มากกว่าคลื่น FM สถน. วิทยุ ที่เปิดเพลงฝรั่งก็มีมากมายต่างก็เปิดเพลงฝรั่งหลากหลายแบบหลายยุค หูเด็กอย่างผมฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง ฟังไม่ได้ก็หมุนหาคลื่นใหม่
สมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่พัฒนา วิธีจะหาเพลงฟังได้ต้องมาจากวิทยุอย่างเดียว ส่วนสื่อสนับสนุนเพลงก็มาจากหนังสือ หนังสือเพลงฝรั่งประเภท ‘ติดลมบน’ แล้วมี 3 หัวคือ I.S. Song Hits, Current Songs Hits และ Savvy Song Hits ต่อไปถ้าจะพาดพิงถึงผมจะเขียนว่า ‘หนังสือเพลง 3 หัว’ เป็นที่รู้กัน
นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกฉบับชื่อ Starpics หนังสือหัวนี้เป็นนิตยสารรายปักษ์ (บางช่วงก็รายเดือน) นำเสนอทั้งหนังฝรั่งและเพลงฝรั่งปะปนในเล่มเดียวกัน โดยครึ่งเล่มแรกเกี่ยวกับหนัง ครึ่งเล่มหลังเกี่ยวกับเพลง และยังมีหนังสือเพลงอื่น ๆ ประปรายแต่อยู่ไม่ได้นาน เช่น Supersonics กับหนังสือเพลงที่มีมิติใหญ่ขนาดหนังสือ ‘แปลก’ ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ฯลฯ
Starpics นี้นับเป็น text สำหรับผมเลย หนังสือเพลง 3 หัว เน้นเนื้อเพลง มีข่าวเกี่ยวกับเพลงนิดหน่อย แต่ Starpics นำเสนอข่าวล้วน ๆ เป็นข้อมูลล้วน ๆ ในแวดวงการเพลง อีกทั้งรูปประกอบก็มีเยอะกว่าและคุณภาพดีกว่าเพราะว่าหนังสือมีมิติใหญ่กว่า รูปประกอบใน หนังสือเพลง 3 หัว สมัยแรก ๆ นั้น สภาพแย่มากเพราะขนาดหนังสือมันเล็ก ไม่ใช้คำว่า ดู ต้องใช้คำว่า เพ่ง เห็นแค่ว่าเป็นคน จะสวยหรือหล่อ ดูไม่ออก
สำหรับการฟังเพลงของผมไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน ชาวบ้านฟังไปทำงานไป ผมทำไม่ได้ ถ้าเปิดเพลงฟังปั๊บผมต้องหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วตั้งใจฟัง เป็นอัตโนมัติ สมัยเป็นนักเรียน เพื่อนเล่าว่า ชั้นฟังเพลงไปอ่านหนังสือไปหรือทำการบ้านไป ผมลองทำบ้าง ปรากฏว่าเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเพิ่งอ่านไปได้ย่อหน้าเดียว หรือทำเลขข้อเดียวยังไม่เสร็จเลย ใจมันไม่อยู่ที่หนังสือเรียนหรือหน้ากระดาษสมุดการบ้าน มันไปอยู่ที่เพลง พอเพลงนี้จบก็อยากรู้ว่าเพลงต่อไปคือเพลงอะไร ปรากฏว่าเป็นเพลงโปรด หรือ เฮ้ย... เพลงนี้เพราะดีนี่หว่า ก็เอ้า... ฟังต่อ
บุคลิกแบบนี้ละมังถึงสั่งสมให้ผมแม่นเรื่องเพลง และจำเพลงได้เยอะ แม่เคยเปรยว่า ถ้าผมจำตำราได้แม่นเหมือนจำรายละเอียดเกี่ยวกับเพลง อนาคตคงพุ่งกระฉูด
ในเวลาต่อมาผมได้รู้จักเทป cassettes และเลยไปถึงแผ่นเสียง ก็ยิ่งต่อยอดความรู้เรื่องเพลงให้กว้างขวางขึ้น... จนคุยกับใครเค้าไม่ค่อยได้ นักฟังเพลงที่มาแนวเดียวกับผมนี้ จะเข้าใจ
กระทู้นี้สืบเนื่องมาจากกระทู้ของ อ. เทาชมพู ชื่อ รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว (ยาวจัง) คือในกระทู้นี้ เหล่านักร้องยังไม่ตาย อาจมีตายบ้างที่ผมนำมาพาดพิงซ้ำเพื่อความต่อเนื่อง
เพลงทุกเพลงที่นำเสนอในกระทู้นี้รับรู้มาจากวิทยุทั้งสิ้น นอกจากที่แจ้งไว้ อันเป็นการต่อยอด เกิดจากสันดานชอบสอดรู้สอดเห็นของผม ประมาณว่า แหม... เพลงนี้เพราะจัง มีเพลงอื่นจากนักร้องคนนี้อีกมั้ย ฯลฯ การที่ผมฟังไปทั่วทุกคลื่นที่เสนอเพลงฝรั่ง ผมจึงรู้จักเพลงเยอะ ทั้งชอบและไม่ชอบ ก็มันผ่านหูที่ชอบเสียงเพลง ถ้าชอบก็ค้างอยู่นานหน่อย ไม่ชอบก็หาต่อ ไม่มีคลื่นโปรด ติดตามงานผมไปเรื่อย ๆ จะตระหนักได้ในความทันสมัยและหูตาเป็นสัปรดของเหล่าดีเจในบ้านเรา ที่ไหนมีเพลงฮิตเพลงดัง ศิลปินเพลงรายไหนเป็นที่นิยม พวกเธอเป็นตามหาเพลงมาเปิดให้เราฟัง ยิ่งบ้านเราอยู่กึ่งกลางระหว่างอเมริกาและยุโรป เราจึงได้รับรู้ข่าวคราวของวงการเพลงทั้ง 2 ฝั่ง ในขณะที่อเมริกาไม่ค่อยรู้เรื่องราวของเพลงในยุโรป และยุโรปก็ไม่สนใจเพลงของอเมริกา
ยิ่งสมัยนั้นพวกลิขสิทธิ์ต่าง ๆ มาไม่ถึงเมืองไทย วิทยุบ้านเราก็มีอิสระในการนำเสนอเพลงแบบที่เรียกว่า จะเปิดอะไรให้ฟังก็ได้ ไม่ต้องกลัวโดนฟ้องร้อง ขอบข่ายเพลงฝรั่งในบ้านเราจึงกว้างมาก ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ คือ นักร้อง Sue Thompson (1925 – 2021)
ในบ้านของเรา เธอคือนักร้องระดับมหากาฬ ในยุคนั้นดีเจเปิดเพลงของเธอมากมาย เป็น 10 ๆ เพลง เพราะ ๆ ทั้งนั้น (นำเสนอไปแล้วในกระทู้ ‘นักร้องต่างชาติตาย’ ของ อ. เทาชมพู) ตอนนั้นผมนึกว่าเธอต้องเป็นเจ้าแม่ในบ้านเธอคืออเมริกา ปรากฏในกาลต่อมาว่า ในช่วงเวลานั้น นักฟังเพลงฯ บ้านเธอรู้จักเธอน้อยมาก คือเธอมีเพลงดังอยู่แค่ 2-3 เพลง และความนิยมอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ พอดับแล้วเธอก็หายไปเลย มีคลื่นลูกใหม่เข้ามาแทน ดังนั้น ST จึงอยู่ในข่ายไม่ใช่นักร้องดัง ที่เราได้ฟังเพลงของเธอมากมายเป็นเพราะเหล่าดีเจเปิดเพลงใน album ที่เรียกว่า album tracks ในขณะที่ดีเจในอเมริกาทำไม่ได้เพราะติดลิขสิทธิ์ ทำได้แค่เปิด singles ที่ต้นสังกัดนำมาให้เปิดเพื่อผลทางการค้า ปรากฏว่าผู้ฟังไม่นิยมเพลงของเธอเท่าไร เธอก็เลยดังอยู่ได้ไม่นาน
หรือเพลงจากในหนัง The Singing Nun (1966) นักฟังเพลงฯ บ้านเรารู้จักทุกเพลงในหนัง เพราะดีเจนำเพลงทั้ง album มาเปิด แต่ในยุคนั้นนักฟังเพลงฯ ทั่วไปที่อเมริกาไม่รู้จักเพราะหนังไม่ดัง แล้วก็ไม่มี single มาออกอากาศทางวิทยุให้ฟัง ถ้าจะรู้จักก็ต้องเข้าโรงไปดูหนังหรือซื้อ album เพลงประกอบหนังมานั่งฟัง
ตอนเด็กฟังเพลงไปเรื่อย จนกระทั่งโตและมีแหล่งขอมูลให้ค้นหามากมายถึงเข้าใจและรู้ว่า วงการเพลงฝรั่งของบ้านเรา (หรือในเอเซีย) นี่ได้เปรียบกว่าใครเขา ก็ต้องเข้ายุค อตน. นั่นแหละบ้านเขาถึงจะเริ่ม ‘กว้างขวาง’ เช่นเริ่มเคยได้ยินเพลงต่าง ๆ ในหนัง The Singing Nun ทาง youtube ฯลฯ ในขณะที่บ้านเรา ‘กว้างขวาง’ มาแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่เหตุการณ์นั้น ๆ ยังสด ๆ อยู่เลย
ก่อนยุค อตน. ผมเคยเปิดเพลงต่าง ๆ ของ Sue Thompson (จากเทป cassettes ผี) ให้เพื่อนฝรั่งฟัง พวกมันอ้าปากบ๋อ บอกไม่เคยได้ยิน และพึมพำว่าเพราะ ๆ ทั้งนั้นเลย ลงท้ายมันเลยยึดเทปตลับนั้นไป

(ก่อนยุค อตน. นี่คือแหล่งข้อมูลหลัก ๆ ของผม สังเกตว่าเล่ม Top Pop Singles เน่ามาก แบบว่าเปิดบ่อยที่สุด นับได้หมื่น ๆ ครั้งละมัง ต่างกับ Text ตำราเรียนที่ดูใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งออกมาจากโรงพิมพ์)
จนป่านนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าจะนำเสนอเพลงในกระทู้นี้ในรูปแบบไหน สมัยทำงานลงในกระทู้ของ อ. เทาชมพู มีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นนักร้องที่ตายแล้วและบ้านเรารู้จัก ก็เลยมีแนวทางในการนำเสนอ เอาเป็นว่าตอนนี้เอาเพลงมาเปิดให้ฟังประหนึ่งสถานีวิทยุแล้วกัน ดูซิว่าเคยได้ยินบ้างมั้ย เปิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็คงคิดแนวการนำเสนออะไรได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าจะเสนอแต่เพลงที่ขึ้นอันดับ billboard ของอเมริกา หรือ Melody Maker ของอังกฤษ อันเป็นแหล่งข้อมูลของรายการวิทยุสมัยนั้น และเสนอเฉพาะเพลงที่ผมติดใจ ผมจะไม่ลงรายละเอียดโน่นนี่เพราะไม่ได้ทำรายงานส่ง ยิ่งเดี๋ยวนี้หาข้อมูลได้ง่าย จิ้มแล้วปัด ๆ ก็เจอ ถ้าจะจ้อยย้อยก็เป็นเกร็ดนี้ด ๆ หน่อย ๆ
กระทู้นี้คงไม่ยาวเท่าไร เพราะที่นำเสนอในกระทู้นักร้องตายก็ปาเข้าไปเกินครึ่งแล้ว นักร้องในยุคนั้น มาถึงยุคนี้ก็ไม่ต่ำกว่า 70 กันทั้งนั้น
หมายเหตุ การที่ผมไม่เอ่ยถึงศิลปินเพลงบางราย ไม่ใช่ว่าลืม แต่ 1... ไม่ใช่แนวเพลงของผม อย่างพวกศิลปินวง heavy rock, progressive rock ฯลฯ ผมไม่เคย ‘จอด’ ฟัง 2... นำเสนอไปแล้วในกระทู้นักร้องตายของ อ. เทาชมพู
จะเริ่มงวดหน้าละนะ...

(นี่ไม่ใช่ผม เพียงเห็นรูปแล้วนึกถึงตัวเองตอนนั้น ล่วงเข้าสมัยวิทยุมีช่องใส่เทปฯ ผมต้องมีตลับเทปเปล่าคาไว้เสมอ)