เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 29
  พิมพ์  
อ่าน: 61883 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 210  เมื่อ 23 พ.ย. 24, 18:20

อ้ะ... กลับมาเข้าเรื่องของ Nancy Sinatra ต่อ

Nancy Sinatra แต่งงานครั้งแรกกับ Tommy Sands นี่ก็เป็นนักร้องขวัญใจวัยรุ่นที่เทียบกันในบ้านเราก็ยุค golden oldies  ที่บ้านเธอ TS มีเพลงดังไม่เคยผ่านหูผม



เท่าที่จำได้รายการ GO เปิดเพลงนี้บ่อย



ถ้าดีเจของรายการฯ เปิดเพลงนี้  มักจะตามมาด้วยฉบับร้องตอบของนักร้องหญิง Kathy Linden



อีกหนึ่งเพลงของ KL ที่รายการ GO เปิดบ่อยคือ



Kathy Linden เป็นนักร้องระดับจิ๋ว  เธอมีเพลงในอันเพลงฯ น้อย  2 เพลงนี้ไม่ใช่เพลงดัง  เพลงดังของเธอเข้า top 10  และมีอยู่เพลงเดียว  การได้ยินเพลงดังเพลงนี้เป็นครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่ผมจำได้ไม่ลืม  ทำไมก็ไม่รู้

สมัยเด็ก ๆ ยังเรียนอยู่ชั้น ม.ศ. ต้น ไม่ก็ ป. ปลาย  ตอนนั้นครอบครัวผมรวมอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของคุณตา  คุณตาตายก่อนผมเกิด 2-3 ปี  พอคุณตาตายคุณยายก็ขี้เกียจไต่กะไดขึ้นไปนอนในห้องของท่าน  ท่านเลือกมุมหนึ่งของโถงห้องรับแขกขนาดมหึมาทำเป็นที่นอน  พอผมเกิด  คุณแม่ดีเด่นแห่งชาติขี้เกียจเลี้ยง  คุณยายก็เลยเอามาเลี้ยงแทน  ผมก็เลยนอนกับคุณยายมาตั้งแต่เกิด  คุณยายนอนบนเตียงหวาย  ผมนอนบนฟูกข้างเตียง  มีมุ้งหลังใหญ่ครอบ

ตรงจุดนี้ของโถงห้องรับแขกที่ผมนอนกับคุณยาย  สามารถมองไปเห็นมุมหนึ่งของห้องกินข้าวของบ้านซึ่งแต่ก่อนคุณตากินกับแม่แค่ 2 คน  คนอื่น ๆ ที่เหลือกินที่ห้องกินข้าวในลานครัว  พอคุณตาตายห้องกินข้าวบนบ้านก็ร้าง  แม่ลงไปสมทบกินในห้องที่ลานครัวกับคนอื่น ๆ ห้องกินข้าวบนบ้านต่อมาจึงกลายเป็นที่ทำการบ้านของผมกับพี่ชาย  บนโต๊ะกินข้าวตัวเบ้อเริ่มนั่นแหละ  ไม่มีใครใช้แล้ว  เรานั่งกันคนละฝั่ง 

จุดของห้องกินข้าวดังกล่าวที่ผมมองเห็นจากที่นอนเป็นสถานที่เสริมสวยของน้าสาวคนเล็กก่อนออกไปทำงาน

น้าสาวผมชอบเพลงสุนทราภรณ์  คลื่นวิทยุขาประจำอุปถัมภ์รายการโดยน้ำยาซักแห้งครอสซุปเปอร์  เธอจะเปิดวิทยุคลื่นนี้ทุกเช้า  ฟังเพลงไปขณะยืนบรรเลงเครื่องสำอางบนใบหน้าไป  มีกระจกเงาขนาดเต็มตัวจ้องตอบแบบเอาใจช่วย
 
ทุกเช้าที่ลืมตาตื่น  เมื่อมองไปในห้องนั้น  ผมจะต้องเห็นภาพน้าสาวในอิริยาบทนี้และได้ยินเพลงสุนทราภรณ์เป็นประจำ

วันนั้นตอนลืมตาตื่น  เพลงที่หูได้ยินไม่ใช่เพลงสุนทราภรณ์  มันไม่ใช่เพลงไทยด้วยซ้ำ  เป็นเสียงฮัมของผู้ชาย ... ปัม ... ปัม ... ปัม ... ได้ยินเพียงแป๊บเดียวก็จบเพลง  แต่ไอ้ท่อนที่ว่ามันติดอยู่ในหู  เสียงดีเจประกาศว่าเพลงที่จบไปชื่อ Billy ร้องโดย .... (จำไม่ได้)

สรุปแล้วมันเป็นเพลงปริศนา  ผมอยากฟังอีกแต่หาฟังไม่ได้เลย  จำได้ว่าทำนองเพลงเป็นเพลงสมัยก่อน  ช่วงนั้นผมใจจดใจจ่อกับรายการ golden oldies  เผื่อจะมีเพลงนี้เล็ดรอดมา  แต่ก็ไม่มี

มันเป็นเพลงปริศนามานานร่วม 10 ปี  จนกระทั่งผมสั่งซื้อหนังสือ Golden Oldies ที่รายการฯ ทำออกขาย พอได้หนังสือมาก็รีบเปิดหา  ปรากฏว่ามีเพลงนี้ด้วย  และได้รู้ชื่อนักร้องในตอนนั้น





ตอนนี้ผมมีข้อมูลครบแล้ว  ขาดอย่างเดียวคือเสียงเพลง  ซึ่งในยุคนั้นผมแทงศูนย์ไปแล้ว  จะไปหาฟังจากที่ไหนละหว่า  พลิกหาจากเทป cassette พวก songs to remember ก็ไม่เจอ  อย่างไรก็ตามในอีกหลาย 10 ปีต่อจากนั้น  ผมมีเพื่อนต่างชาติ  ครั้งแรกที่รู้จักกันแล้วรู้ว่าเธอชอบเพลง  ผมเอ่ยชื่อนักร้องและชื่อเพลงแล้วก็ฮัมเพลงนี้แบบ งูๆ ปลาๆ (ท่อนสุดท้ายก่อนเพลงจบที่ฝังอยู่ในสมอง)  เพื่อนทำหน้า งง  (ไม่รู้ว่า งง เพราะเสียงฮัมของผมรึเปล่า) 

สรุปแล้วมันก็ไม่รู้  ดูมันจะหงุดหงิดกว่าผมเสียอีกเพราะเป็นเพลงในบ้านมัน  แล้วมันก็ชำนาญ  ตั้งแต่นั้นพอเจอกันเราจะออกเดินหาเพลงนี้ (ตอนนั้นยุค cd แล้ว)  แต่ไม่เคยเจอ  แม้ข้อมูลจะมีพร้อม  ไม่มีใครเอาเพลงนี้ไปอัดลง cd เลย  หรือแม้แต่แผ่น cd ของ Kathy Linden ก็ไม่มีวางขาย

ในที่สุด อีกหลายปีหลังจากนั้นต่อมา  ผมก็หาเพลงนี้เจอ  ไม่ต้องไปหาที่อเมริกา  สั่งเอาจาก amazon ในเครื่อง PC ที่โต๊ะทำงานนั่นแหละ




พอได้มาผมก็แกะลง mp3 แล้วส่งทางอีแมวไปให้เพื่อนฟัง  เพื่อนตอบกลับมาว่า  นี่เป็นเพลงโปรดที่มันลืมไปแล้ว  ลืมแล้วว่ามีเพลงนี้อยู่ในโลกเสียด้วยซ้ำ




ความที่มีสันดานจิกไม่ปล่อย  บ่อยครั้งที่ช่วงเวลาตามหาเพลงประทับใจนี่ใช้เวลานานหลายสิบปี  เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของยุคก่อน อตน.
 
ปิดฉากด้วยการร้องคู่ของ 2 ผัวเมีย NS กับ TS


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 211  เมื่อ 24 พ.ย. 24, 18:28

เก็บตกกับวงในยุคต้น 60s  วงที่มีเพลงดังในยุคนี้ผมนำเสนอผลงานของพวกเขาไปจนแทบเกลี้ยงแล้ว  ในกระทู้นักร้องตาย
 
The Fleetwoods … นักฟังเพลงฯ คงงงกับชื่อนี้  แต่ถ้าได้ฟังเพลงนี้  รับรอง อ๋อ...


แล้วต้อง อ๋อ กับเพลงนี้ด้วย  เป็น 2 เพลงที่ได้ยินประจำทางวิทยุ  ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นรายการ Golden Oldies



ต่อยอดด้วย









(ผมชอบเพลงนี้ที่สุด  เสียงของ Gary Troxel นุ่มมาก  ที่เค้านิยามว่าเสียงนุ่มเหมือนกำมะหยี่คงแบบนี้ละมัง)





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 212  เมื่อ 25 พ.ย. 24, 18:18

Terry Stafford กับเสียงที่ตอนนั้นนึกว่าเป็นเพลงของ Elvis Presley

(ผมว่าจังหวะเพลงนี้เหมือนมีคาถานะ  ถ้าจังหวะ ‘ให้’ ตัวจะโยกตามเองโดยไม่ต้องสั่ง สังเกตมาเยอะแล้ว)


Tommy Dee กับเพลงที่มีเนื้ออุทิศให้กับนักร้องระดับตำนาน 3 คน

(ขอบคุณ youtube  ในคำอธิบาย)


Tennessee Ernie Ford



Trini Lopez



เพลง Young Love ออกพร้อมกัน 2 ฉบับ  ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าได้ยินครบทั้ง 2 ฉบับรึเปล่า





ทั้ง 2 ฉบับขึ้นถึงอันดับ 1 ทั้งคู่  ฉบับของ Sonny James แตะก่อน  อีก 2 อาทิตย์ต่อมาฉบับของ Tab Hunter ก็ขึ้นมาแตะ  และค้างอยู่ 6 อาทิตย์  ฉบับของ TH ดังในบ้านเรา

Tab Hunter มีอาชีพหลักเป็นนักแสดง  เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นสุดท้ายของ Studio System คือ ทำสัญญาภายใต้สังกัดของ Studio  เป็นประหนึ่งพนักงาน  มีเงินเดือน มีงานป้อน มีสวัสดิการต่าง ๆ ฯลฯ  แต่ไปรับงานนอกไม่ได้  และที่สำคัญคือ หือไม่ได้  การที่เธอร้องเพลงนี้แล้วดังสนั่น  ทำให้ Warner Studio ถึงกับลงทุนเปิดแผนกแผ่นเสียงซึ่งยืนยาวมาถึงเดี๋ยวนี้

TH ดาราชายคนเดียวในยุค Studio System ที่กล้าประกาศว่าเป็น เกย์  ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างแอบอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’ เพราะกลัวเสียภาพพจน์ และกลัวโดน Studio ทำโทษ  เธอเขียนหนังสือเล่าในปี 2005  ขายดีเป็น best seller  ของ New York Times  เพราะยุค Studio System เป็นยุคมืดของเรื่องแบบนี้  ปี 2015 หนังสือของเธอนำมาทำเป็นสารคดี (สนุกมากกก)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 213  เมื่อ 26 พ.ย. 24, 18:25

วงสุดท้ายในยุค Golden Oldies ที่มีเพลงดังในบ้านเราเป็นกระบุง  (แบบว่าวงอื่น ๆ เสนอผลงานของพวกเขาไปหมดแล้ว) คือ The Cascades  ในขณะที่ที่อเมริกา  วงอยู่ในข่ายศิลปิน one hit wonder คือมีเพลงดังระดับ top 10 เพลงเดียว  แล้วหายไปเลย

นี่คือเพลงดังในบ้านเราประหนึ่งเพลงชาติ  และเป็นเพลง one hit wonder



เพลงนี้ก็ดังแต่ไม่มากเท่า



มีเพลงเหล่านี้แซม













สรุปแล้วเพราะทุกเพลง  ผมพยายามหาตัวเป็น ๆ ในยุคนั้นของวงนี้ใน youtube  ไม่มีเลย
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 214  เมื่อ 27 พ.ย. 24, 18:37

แนวเพลงของวงผิวดำในยุค late 60s นี่ต่างจาก early 60s อย่างเห็นได้ชัด  เท่าที่นึกออก  วิทยุบ้านเราไม่นิยมเปิดเพลงของศิลปินผิวดำในยุคนี้หลากหลายเท่ากับศิลปินผิวขาว  ที่ลงไปแล้ว 1 ชุดใหญ่ก็เป็นของ The Temptations ในกระทู้ของ อ. เทาชมพู

อีกวงหนึ่งที่วิทยุเปิดเพลงของพวกเขาประปรายที่ตอนนั้นฟังเผิน ๆ นึกว่าเป็นวง The Temptations มารู้ตอนหลังว่าเป็นวง soul ที่ดังประมาณกันชื่อ The Four Tops

ความจริง single ของวงนี้เข้าอันดับใน billboard มากมาย  ส่วนใหญ่เป็นตารางสาขาเพลง soul ถ้าเพลงใดที่ ‘ข้าม’ มาดังฝั่งตารางเพลง pop ได้  วิทยุก็จะเปิดให้ฟัง  นี่คือเพลงที่ 'ข้าม' มาที่ได้ยินบ่อย










มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 215  เมื่อ 28 พ.ย. 24, 18:18

วันนี้จะฝอยเรื่องควันหลงจากวง The Four Tops  หลงยังไง  เชิญติดตาม

ในปลายยุค 80s  มีหนังเรื่องหนึ่งเข้ามาฉายในบ้านเรา ชื่อ The Little Shop of Horrors  เป็นหนังเพลงบรรยากาศตลกร้ายที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงที่เริ่มเล่นในปี 1982 ซึ่งละครเพลงนี้ก็ดัดแปลงมาจากหนังที่ออกฉายในปี 1960 อีกที

เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในโลกจินตนาการ เล่าเรื่องนักจัดดอกไม้ที่เผอิญไปซื้อต้นกาบหอยแครง (Venus flytrap) มาเลี้ยงแล้วพบว่ามันมีชีวิตจิตใจแถมยังโหดชอบดื่มเลือดเป็นอาหาร

ผมประหลาดใจมากที่มีคนกล้าเสี่ยงสั่งหนังแบบที่ไม่ใช่แนวของคนไทยชอบดูมาฉาย  เมื่อดูจบแล้วก็เปลี่ยนเป็นดีใจมากที่ได้ดูเพราะหนังสนุกมาก  เพลงเพราะทุกเพลง  ทำนองออกในแนว doo-wop ของยุค 50s

แค่เห็นฉากเปิดเรื่องก็คิดในใจแล้วว่า  ท่าจะคุ้มเงินค่าตั๋ว



ฉากนำเสนอความยากจนของสถานที่ท้องเรื่อง



เรื่องราวของ Audrey 2 และการดูแล  ซึ่งโดยที่จริงมันคือสัตว์ประหลาดจากต่างดาว







อาหารมื้อโอชะ



ฉากรักของพระเอกกับ Audrey ต้นฉบับ



ฉากเผยโฉมความแสบ 



(เพลงนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar เป็นเพลงแรกในประวัติศาสตร์ของ Oscar ที่เนื้อเพลงมีเนื้อหาหยาบคาย  อีกทั้งร้องโดยตัวร้ายของเรื่อง  ที่ให้เสียงโดย Levi Stubbs  ซึ่งเป็นนักร้องนำของวง The Four Tops... ควันหลงอยู่ตรงนี้)


อันนำไปสู่ตอนจบ



ตัวอย่างหนัง



มีเรื่องที่เป็นผลพวงจากหนังคือ  ความที่ชอบเพลงมากพอดูจบผมก็โทรศัพท์ (จากตู้สาธารณะ) ไปร้านแผ่นเสียงเจ้าประจำให้ช่วยสั่งซื้อให้หน่อย  อีกอาทิตย์เศษมันก็มา  ผมโกยสี่ตีนไปรับด้วยความลิงโลด

พอเห็นหน้าปกแผ่นฯ ก็เกิดความงงงันเพราะรูปภาพไม่เหมือนฉากใด ๆ ที่เห็นในหนังแม้แต่ฉากเดียว  พลิกหน้าพลิกหลังสำรวจไปมาก็พบว่าเป็นแผ่น soundtrack ถูกแล้วแต่จากหนังต้นฉบับที่ออกฉายในปี 1960 โน่น (soundtrack ที่ว่านี้เป็นชุดที่ผลิตขึ้นมาใหม่ในปี 1984 โดยเปลี่ยนหน้าปกไปจากของดั้งเดิม)  มันไม่ใช่ชุด soundtrack จากหนังฉบับที่ต้องการที่ผมนั่งฟังอยู่ในโรงฯ คือปี 1986

ก่อนยุค อตน. ผมไม่มีทางรู้ข้อมูลละเอียดแบบนี้เลยไม่รู้เรื่อง  เลยให้ข้อมูลทางร้านไปแบบหลวม ๆ โดยนึกว่าหนังที่ดูเป็นฉบับสร้างใหม่เอี่ยม

สรุปแล้วต้องสั่งอีกรอบถึงจะได้แผ่นฯ ที่ต้องการ  เสียเงิน (ที่ไม่ใช่น้อย) ไป 2 หน  นับเป็นเหตุการณ์ตลกร้ายเข้ากับแนวหนังเลย



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 216  เมื่อ 29 พ.ย. 24, 18:13

วง soul ในยุค 60s ครึ่งหลังที่วิทยุเคยเปิดเพลงของพวกเขามีหลายวง  แต่ละวงที่มีเพลงดังและ ‘ข้าม’ มาดังฝั่งเพลง pop ด้วยแค่เพลงสองเพลง  ผมนำเสนอไปแล้วในหมวด ‘คั่นรายการ’ 

ตานี้มีอีกวงหนึ่งที่วิทยุเคยเปิดอยู่หลายเพลง  คือ The Miracles ที่มี Smokey Robinson เป็นหัวใจของวง  ที่อเมริกาวงนี้คือรากแก้วของเพลงแนว soul ในยุค 60s  และมีอิทธิพลต่อศิลปินในยุคหลัง ๆ  แต่เท่าที่จำได้เพลงของพวกเขาได้ยินไม่บ่อยนักทางวิทยุ

(เพลงนี้ต่อมา The Captain & Tennille นำมาปลุกชีพอีกครั้ง – นำเสนอไปแล้ว)



(เพลงนี้ก็เช่นกัน  บ้านเราเปิดฉบับของ Linda Ronstadt ที่เธอนำมาร้องใหม่ในยุค 70s มากกว่า... รอคิว)







ผมว่าเพลงนี้ดังที่สุดในบ้านเรา



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 217  เมื่อ 30 พ.ย. 24, 18:04

แก่นของวง The Miracles คือ Smokey Robinson เธอเป็นกลไกสำคัญของวงการเพลง ทั้ง soul และ pop ในยุคนั้นด้วย  เธอเขียนเพลงและอำนวยการผลิตเพลงให้กับศิลปินมากมาย  ในต้นยุค 70s เธอแยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง  วิทยุเปิดเพลงของเธอในช่วง ‘peak’



(ความจริงเพลงนี้ไม่ดังที่อเมริกาเลย)


2 เพลงโปรดของเหล่าดีเจ





SR ยังออกเพลงต่อไปอย่างสม่ำเสมอแต่มันเลยช่วงเวลาของผมไปแล้ว

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 218  เมื่อ 01 ธ.ค. 24, 18:11

Paul Evans



ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงเพลงนี้ของ Brian Hyland



Robin Luke



Rolf Harris



Ronnie Hilton



Russ Hamilton




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 219  เมื่อ 02 ธ.ค. 24, 18:32

เอ่ยถึงวง ‘super’ soul ในยุค 60s จบไปแล้ว 2 วง  รวมกับศิลปินประเภทเดี่ยวและวง เช่น Fontella Bass, Mary Wells, Marvin Gaye, Stevie Wonder, The Temptations, The Supremes, Martha & the Vandellas, The Marvelettes และอื่น ๆ อีกไปก่อนหน้ากี่รายก็ขี้เกียจนับ  ทำให้นึกถึงสารคดี 2 เรื่องที่เคยดูมานานแล้ว

เรื่องเหล่านี้เคยลงในกระทู้เกี่ยวกับหนังของคุณ SILA  ตอนนั้นยังเป็นกาฝาก  ฝากงานไว้ที่โน่นที่นี่  ตอนนี้มีรังของตัวเองแล้ว  เลยไปยกเอามาลงใหม่  คาดว่าน่าจะมีผู้อ่าน (กระทู้นี้) หลายท่านที่ยังไม่เคยอ่านงานพวกนี้  เนื้อหาของสารคดียังคงอยู่ในหมวดเพลงที่จ่าหัวไว้ตั้งแต่ต้น  เป็น Yesterday once more ของผม (ไม่ใช่ของวงการเพลงฝรั่งบ้านเรา)

Hitsville, the making of Motown (2019) เป็นสารคดีเล่าเรื่องราวการถือกำเนิดของบริษัทผลิตแผ่นเสียงชื่อดังของอเมริกา Motown  ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นสังกัดที่ผลิตนักร้องผิวดำออกมาสู่ตลาดผู้บริโภคที่ล้วนมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก  ศิลปินที่ว่าก็คือเหล่าศิลปินที่ผมนำผลงานของพวกเขามาลงให้ฟัง  ผลงานทั้งหมดนั้นก็รวบรวมมาจากที่ได้ฟังทางวิทยุในครั้งเด็ก ๆ นั่นแหละ


(บริษัท Motown Rec. ในยุคแรกเริ่มเป็นบ้านเล็ก ๆ 2 ชั้น Barry Gordy ผู้ก่อตั้งยืนเล่นกีตาร์  นั่งริมซ้ายคือ Smokey Robinson นักร้องนำคณะ The Miracles ที่ต่อมาแยกตัวเป็นศิลปินเดี่ยว  ผมเพิ่งนำผลงานของเธอและวงของเธอมาลงไปหยก ๆ  ผู้หญิง 3 สาวคือวงอมตะ The Supremes มี Diana Ross นั่งติดกับ SR ผู้ชายอีก 2 คนที่เหลือคือนักแต่งเพลงมือฉมังของ บ.)


ผมชอบดูสารคดีแบบนี้เป็นที่สุด  เล่าเรื่องราวในอดีตของวงการเพลงในแง่มุมต่าง ๆ หรือเล่าเรื่องราวในอดีตของวงการหนังในแง่มุมต่าง ๆ  ได้ความรู้และได้รับรู้เรื่องราวแปลก ๆ มากมาย จนอดนำมาเล่าไม่ได้ เช่น

นักฟังเพลงฝรั่งยุคเก่าชาวไทยรุ่นเซียนคงเคยได้ยินเพลง Dancing in the street (1965)  แต่ต้องเซียนของแท้ถึงจะรู้ว่าต้นฉบับของเพลงนี้ร้องโดยคณะนักร้องหญิงชื่อ Martha & the Vandellas  ผมเพิ่งมารู้จากสารคดีนี้ว่า นักร้องนำ Martha Reeves ต้องต่อสู้หนักกว่าจะได้ขึ้นมาผงาดในวงการเพลง  สารคดีนี้ที่ดำเนินเรื่องโดย Barry Gordy ซึ่งเป็นประธานผู้ก่อตั้ง Motown เล่าว่า MR เข้ามาทดสอบเสียงร้องอยู่หลายหนแต่ไม่ประสบผล  จากคติว่า ตื้อเท่านั้นถึงจะครองโลก  ในที่สุดเธอก็ได้มีโอกาสเข้ามาเหยียบในบริษัทฯ  หากไม่ใช่ในฐานะนักร้องแต่เป็นหน้าที่เลขาฯ

จากตอนหนึ่งในสารคดี.. "She (= MR) came to audition a few times. I (director ของ บ. Motown) would find nice ways of saying, 'Martha, you know, come back later.'" Reeves added, "And I must have looked like I was gonna cry or something, cos he said, 'Answer this phone. I'll be right back.' This "right back" was four hours."

ในตอนนั้น บ. Motown กำลังไต่เต้า  ทุกอย่างพร้อมมูลขาดแต่นักร้องที่ยังมีไม่มาก บริษัทฯ ก็ฆ่าเวลาระหว่างตามหานักร้องมาเข้าสังกัดด้วยการอัดแต่เสียงดนตรีไว้ก่อน ซึ่งผิดกฎของ ‘สหภาพ’ ที่กำหนดไว้ว่าเมื่อไรที่อัดเพลงจะต้องมีเสียงนักร้องด้วย (นอกจากตั้งใจทำเพลงบรรเลงออกขายจริง ๆ)

วันหนึ่ง จนท.ของ สหภาพ ฯ ก็เข้ามาตรวจโดยไม่บอกกล่าวในขณะที่ บ. กำลังอัดเพลงต้นแบบโดยปราศจากนักร้อง  ทุกคนตระหนกกลัวโดนปรับ  BG จึงตะโกนว่าหาใครซักคนมาถือไมค์โดยด่วน  แล้วก็มีหญิงสาวพุ่งเข้ามาทำหน้าที่นี้ทันที  วินาทีนั้นเปลี่ยนอาชีพของ MR ไปอย่างสิ้นเชิง



เกร็ดต่อมาเกี่ยวกับนักร้องที่นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักดีเหมือนเพื่อนสนิท Stevie Wonder ผู้มีความสามารถรอบตัว  สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายตั้งแต่กลองแบบต่าง ๆ หรือหีบเพลงเป่า เปียโน ออร์แกน ฯลฯ  เธอนำเพลงขึ้นถึงอันดับ 1 (Fingertips Part 2 - 1963) ขณะที่มีอายุเพียง 12 ขวบ  เลยได้สมญานามว่า Little Stevie Wonder  คำว่า Wonder เข้ามาแทนนามสกุลจริงคือ Morris  ความดังของพ่อหนูอยู่ยงคงกระพันถึงบัดนี้ซึ่งต่อมาเมื่อโตขึ้นก็ตัดคำว่า Little ออก



เพลง Mickey’s Monkey ของนักร้อง Smokey Robinson และวง The Miracles ศิลปินคู่บุญของ BG  เพลงนี้ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุมาก่อน  วิทยุอาจเปิดแต่ไม่รู้ผมไปอยู่ที่ไหน  มาได้ยินตอนโตแล้วครั้งแรกจากซี้คลาสสิคชาวอเมริกันของผม  ตอนนั้นฟังแล้วเฉย ๆ จนกระทั่งได้มารู้เบื้องหลังของเพลงจากสารคดีนี้ว่า ฉบับอัดลงแผ่นเสียงใช้ backup  จากการระดมศิลปินชั้นนำของ บ. เช่น The Miracles, Martha & Vandellas, The Temptations, The Marvelletes, Mary Wilson (1 ในสมาชิกของวง The Supremes)  รู้แล้วต้องไปหาฉบับเต็ม ๆ มาฟังอีกที  คราวนี้เพราะชะมัด  แล้วก็สงสัยว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกเฉย ๆ หว่า



นี่คือ คณะ The Jackson 5 และหนูน้อย Michael Jackson มาทดสอบเสียงในปี 1968  ตอน BG เห็นครั้งแรกเขาอุทานว่า ‘What is that?’



หนึ่งในเพลงชุดแรก ๆ หลังจากได้รับการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินแล้ว



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 220  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 18:48

มาฟัง (อ่าน) ผมฝอยต่อ...

อีกหนึ่งตอนที่สนุกคือ เมื่อ มี.ค. 1964  Smokey Robinson แต่งเพลง My Guy ให้ Mary Wells ร้องและสามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ใน billboard chart ได้



พอเพลงนี้แตะอันดับ 1  SR ก็เกิดความคิดว่าถ้าทำเพลง My Guy ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้  เขาจะทำเพลง My Girl ให้ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้ด้วยเช่นกัน  และเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ

(หนึ่งในเพลงโปรดตลอดกาลของผม  ช่วง intro ถือเป็น ‘one of the most guitar riffs ever’  เป็นข้อมูลจากปากของ Barry Gordy ทางสารคดีที่ดู  นักร้องนำคือ David Ruffin  อยู่กับวง The Temptations ในช่วง 1964-1968  เป็นช่วงเวลาที่วงดังถึงจุดสูงสุด  เธอได้ชื่อว่า ‘was ranked as one of the 100 Greatest Singers of All Time by Rolling Stone magazine in 2008’  ผมว่าเธอเป็นคนผิวดำที่หน้าตาหล่อไม่เบา  เสียดายที่มีบุคลิกเป็น bad boy  เอาทุกอย่างตั้งแต่ยาเสพย์ติด ทำร้ายร่างกาย (เมียและลูก)  ฯลฯ  เธอตายด้วยการเสพย์ยาเกินขนาดเมื่อปี 1991 รวมอายุ 50 ปี  จากที่อ่าน  ทุกศิลปินในสังกัด Motown รวมถึงศิลปิน soul จากทุกแหล่งมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ชีวิตของเธอถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของหนังชุดทางทีวีเรื่อง The Temptations  ผมเคยนำเสนอไปแล้วในกระทู้นักร้องตายของ อ.เทาชมพู)




คติในการทำเพลงให้ฮิตของ BG คือ ต้องทำดนตรี (ช่วง intro) ให้ติดหูคนฟังภายใน 10 วินาทีแรก





(เพลงนี้ดังขนาด ‘The song was transmitted to astronauts orbiting earth in August 1965 during the Gemini 5 mission’)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 221  เมื่อ 04 ธ.ค. 24, 18:23

ตอนสุดท้าย...

แต่ส่วนที่น่าอดสูใจเกิดขึ้นหลังจาก บ. Motown ประสบความสำเร็จในอันดับเพลงแล้วก็ถึงเวลาออกทัวร์  ทัวร์แรกใช้เวลา 3 เดือน  ศิลปินทุกคนที่มาร่วมในสารคดีชุดนี้พูดเหมือนกันหมดว่าเป็นฝันร้าย  เพราะ การแบ่งแยกสีผิว แพร่กระจายไปทุกตารางนิ้ว  ถึงแม้จะเป็นศิลปินดังแต่ก็ดังได้แค่ในวิทยุหรือบนเวที  พวกเขาไม่สามารถเข้าห้องน้ำสาธารณะได้ถ้าไม่มีป้ายติดไว้ว่า  ‘สำหรับคน ผิวสี’  แม้แต่โรงแรมก็ต้องหาเฉพาะโรงแรมที่ต้อนรับคนผิวสี ฯลฯ  ทั้ง ๆ ที่ศิลปินเหล่านี้ตระหง่านในคลื่นวิทยุ/ห้างแผ่นเสียง  มีเงิน  แต่เมื่อออกมาสู่ที่สาธารณะพวกเขากลับกลายเป็นคนน่ารังเกียจ  ในโรงมหรสพก็มีเชือกกั้นแบ่งแดนสีผิวสำหรับผู้เข้าชม

อย่างไรก็ตาม Motown Rec. ก็ฟันฝ่าอุปสรรคได้ด้วยวิธีการอันชาญฉลาด อาวุธที่ใช้ทำลายกำแพงฯ เป็นต้นว่า  จังหวะเพลงที่ทุกสีผิวเมื่อได้ฟังแล้วอดขยับแข้งขาไม่ได้





(ฉากหนึ่งจากหนังชุดที่เอ่ยถึง)


แฟชั่น จัดให้คณะ The Supremes เป็นหัวหอกของ Motown Rec.  นี่เป็นจุดกำเนิดของ Motown fashion





เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Motown ที่สุดคือ



ส่วนนักร้องที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ

(สังเกตการณ์วางนิ้วลงบนแท่น  ผมละทึ่งในความแม่นยำจริง ๆ)


นี่คือผลงานสร้างสรรค์ของ Berry Gordy งานที่ไม่มีผู้บริหารผิวสีผู้ใดกล้าทำแข่งกับนักร้องขวัญใจวัยรุ่นผิวขาวที่ครองตลาดมาก่อน



ตัวอย่างสารคดี




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 222  เมื่อ 05 ธ.ค. 24, 18:07

ช่วงปลายของ clip นี้ที่ลงไปเมื่อวาน (ดูอีกที) 



พิธีกรบอกว่าวันรุ่งขึ้นเป็นการแสดงสดของ วง Paul Revere & the Raiders...  ผมรู้จัก (ชื่อ) วงนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ  (จำได้จากการเห็นรูปลักษณ์การแต่งตัวอันโดดเด่นของพวกเขาปรากฏอยู่ตามสิ่งพิมพ์และปกแผ่นเสียง .. The band was known for including Revolutionary War-style clothes in their attire)  แต่จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเพลงของพวกเขาทางวิทยุบ้างรึเปล่า  ผมว่าวิทยุต้องเปิดเพลงของพวกเขาอย่างแน่นอน  เพราะมีเพลงดัง  และนี่คือเพลงดังของวง  บางคนอาจเคยได้ยิน









ในยุค 70s  วิทยุเปิดเพลงของนักร้องชื่อ Mark Lindsay  มีอยู่ 2 เพลง (คือจำได้น่ะ)





พอถึงยุค อตน. ผมถึงรู้ว่า  ML ไม่ใช่ศิลปินหน้าใหม่  เธอคือนักร้องนำของวง PR&R นี่เอง


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 223  เมื่อ 06 ธ.ค. 24, 18:13

Little Anthony & the Imperials





The Marcels



Maurice Williams & the Zodiacs



Mickey & Sylvia



The Monotones



หลายเพลงในนี้มีการนำมาขับร้องใหม่ในยุค 70s  นี่คือต้นฉบับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 224  เมื่อ 07 ธ.ค. 24, 18:26

ต่อไปเป็นสารคดีชื่อคือ When Motown came to Britain สารคดีมีขนาดกระทัดรัดคือยาวประมาณ 1 ชม.  งานชิ้นนี้เคยลงไปแล้วในหมวดหนังของคุณ SILA เช่นกัน

ก่อนอื่นขอย้อนจิ๊ดว่า Motown คือชื่อ บ. แผ่นเสียง ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 1959 โดย Barry Gordy (ตอนนี้อายุ 95 ปี) บริษัทฯ นี้เป็นแหล่งรวมรวบศิลปินผิวสี (ผิวดำ) ที่ต่อมาต่างโด่งดังกันคับโลกดนตรี  แต่ในยุคนั้นเพลงของพวกเขารู้จักกันในเฉพาะประเทศอเมริกา  นอกประเทศแล้วเช่นที่อังกฤษนั้นหาคนรู้จักพวกเขาน้อยมาก  ต่อให้ดังในอเมริกาปานไหนก็ตาม  นั่นเป็นเพราะผู้กุมบังเหียนกระจายเพลงให้ฟังทางวิทยุคือ BBC ซึ่งผูกขาดนำเสนอแต่เพลงของนักร้องผิวขาวเช่น Cliff Richard, Georgie Fame, Frank Ifiel, Petula Clark ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม  ในยุคนั้นยังมีวัยรุ่นชาวอังกฤษที่กระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้มีโอกาสค้นพบเพลง soul เหล่านี้ตามสถานีวิทยุเถื่อนที่ส่วนใหญ่ตั้งสำนักงานอยู่บนเรือที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางน่านน้ำสากล


(ภาพตัดมาจากในสารคดี)


สารคดีนี้นำวัยรุ่นเหล่านี้ (ที่ตอนนี้ก็แก่งั่กกันหมด  บางคนก็ตายไปแล้ว) มารื้อฟื้นเรื่องราว  วัยรุ่นที่สารคดีเชิญมานี้ในเวลาต่อมาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ล้วนทำงานเกี่ยวข้องกับเพลง soul ในแง่มุมต่าง ๆ เป็นผู้บริหารบริษัทแผ่นเสียงบ้าง  เป็นนักเขียนบ้าง  เปิดร้านขายแผ่นเสียงแนว soul โดยเฉพาะบ้าง ฯลฯ  ทั้งนี้ทั้งนั้นต่างได้รับอิทธิพลจากเพลง soul ที่พวกเขาคลั่งไคล้มาก่อนนั่นเอง

หนึ่งในนั้นคือหัวหอก David Godin (1936 – 2004) วัยรุ่นชาวอังกฤษจากลอนดอนที่มีความคลั่งไคล้เพลง soul มากกว่าใคร ๆ




เธอถึงขนาดก่อตั้งชมรม เริ่มแรกก็ลงทุนควักเงินในกระเป๋าของตัวเองทำแผ่นพับรายงานข่าวในแง่มุมต่าง ๆ ของเพลง soul จากอเมริกาออกแจกจ่ายสมาชิก  ความก้าวหน้ามีมาเรื่อยจนถึงขั้นสามารถติดต่อกับ BG ผู้ก่อตั้ง บ. Motown  และได้รับเชิญไปเยือนอเมริกา  ได้กระทบไหล่นักร้องที่เขาเคยได้ยินแต่เสียงทางวิทยุ 




ความก้าวหน้าแผ่ต่อไปจนถึงขั้นเสนอความคิดเชิญเหล่านักร้องชั้นนำของ บ. Motown มาเปิดการแสดงที่อังกฤษ  และความคิดก็ประสบผล  ส่วนหนึ่งมาจากหัวการค้าการตลาดของ BG ที่ต้องการขยายฐานของนักฟังเพลง  และนี่คือที่มาของสารคดี When Motown came to Britain ที่เกิดขึ้นในปี 1965




ผลของการเดินสายของศิลปิน soul ชั้นนำของอเมริกายังต่างแดนในครั้งนี้จบลงด้วยความล้มเหลว  เนื่องจากคนอังกฤษโดยทั่วไปไม่มีพื้นฐานแนวเพลงนี้  ไม่รู้จักนักร้องพวกนี้แถมเป็นคนดำเป็นผิวสีที่ไม่เคยมีอยู่ในวงการเพลงของอังกฤษในขณะนั้น  แต่ละสถานที่ที่จัดการแสดงจึงมีคนโหรงเหรง  บางแห่งมีคนเข้าชมอยู่เพียง 50 กว่าคนซึ่งนับว่ามาก  แต่ศิลปินเหล่านี้ที่ตอนนั้นต่างยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวไฟแรงแต่มีความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มเปี่ยม  ทุกสถานที่ที่เปิดการแสดงต่างวาดลวดลายอย่างเต็มที่ ทัวร์ในครั้งนั้นมีชื่อเรียกกันเล่น ๆ ว่า Ghost Tour

หลังจบทัวร์  ได้เวลาพักผ่อน  เหล่าศิลปินก็ออกช็อปปิ้งกันกระจาย  ก่อนปิดรายการก็ได้รับเชิญไปออกรายการดนตรีทางทีวีชื่อ The Ready Steady Go!  แต่กว่าจะได้คิวออกอากาศ (24 เม.ย.) พวกเขาก็เดินทางกลับประเทศไปกันแล้ว

ใน youtube มีคนนำ clip ของรายการนี้ในวันนั้นมาให้ชม  ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์  รวมถึงผู้บริหารของรายการ ฯลฯ เล่าว่าเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของวงการเพลงอังกฤษในหลายแง่มุม  เช่นเป็นรายการที่รวบรวมศิลปินผิวสีดัง ๆ ของอเมริกามาอยู่ในสถานที่เดียวกัน  แถมร้องเพลงร่วมกันที่ในอเมริกาบ้านของพวกเขายังทำไม่ได้  และยังเป็นรายการที่มีศิลปินผิวสีชั้นนำของอเมริกามาอยู่ร่วมจอเดียวกับศิลปินชั้นนำของอังกฤษคือ Dusty Springfield ที่ได้ชื่อว่า Blue eyed soul ซึ่งทำหน้าที่พิธีกรตลอดรายการ  อ้ะ... มาชมกัน


(DS เป็นธรรมชาติมาก  หัวเราะเอิ๊ก ๆ ตลอด)













(นักร้องที่เห็นนี้ล้วนเคยส่งเพลงมาดังในบ้านเราทั้งนั้น  เริ่มต้นด้วย Marvin Gaye, Dusty Springfield, Diana Ross & the Supremes, David Ruffin & the Temptations, Martha Reeves & the Vandellas, Smokey Robinson & the Miracles, ตั้งแต่ 11.30 เป็นต้นไปเป็นช่วงรวมดาวที่นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลกวงการดนตรีสากล ที่เป่าหีบเพลงปากคือ (Little) Stevie Wonder)


ลืมชื่อ Marvin Gaye ไป


แถม...

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 29
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.104 วินาที กับ 19 คำสั่ง