เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9
  พิมพ์  
อ่าน: 22476 สงครามโลกครั้งที่สอง วันระเบิดลง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 05 มี.ค. 24, 17:18

   ภาพนี้น่าจะถ่ายหลังสงครามโลกจบลงแล้ว ไม่นานนัก  เพราะผู้หญิงในภาพนุ่งกระโปรงจีบบาน เรียกว่ากระโปรงนิวลุค  เป็นแฟชั่นเขา้มาหลังสงคราม    ส่วนครูอยู่ทางซ้าย สวมเสื้อขาวนุ่งกระโปรงแคบสีน้ำเงินกรมท่า
   อาคารที่เห็นเป็นอาคารไม้หลังเก่าของโรงเรียน ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ แต่ล้อมด้วยอาคารเรียนที่เป็นตึกใหญ่ๆ หมดแล้วค่ะ   อาคารขวาสุดเป็นโบสถ์  เป็นที่ทำพิธีมิซซ่า  เคยขึ้นไปสวดมนตร์(ของคริสต์) บนนั้นเหมือนกัน
      เครื่องแบบของนิกายอุร์สุลินในภาพ  ตอนนี้ยกเลิกไปนานแล้ว   สมัยดิฉันยังแต่งตัวแบบนี้อยู่   เพราะกรุงเทพยังไม่ร้อนเท่าไหร่   แต่ถ้าอยู่ในยุโรปหรืออเมริกา เครื่องแบบนี้จะเป็นสีดำ (ป้จจุบันไม่สวมกันอีกแล้ว) มาอยู่เมืองไทยอากาศร้อนจึงเปลี่ยนเป็นสีขาว


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 09:48

ภัยร้ายตัวใหม่จากเมืองลุงแซม

     B-29 คือเครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกลขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ถูกพัฒนาออกแบบใหม่หมดทั้งลำแตกต่างจากเครื่องบินรุ่นเก่า ใช้เทคโนโลยีใหม่เอี่ยมมีความล้ำสมัยกว่าเดิม 20 ปีอาทิเช่น นำระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานเกือบทุกขั้นตอน ทั้งในส่วนบังคับเครื่องบินและใช้งานระบบอาวุธ หรือห้องนักบินติดตั้งระบบปรับแรงดันอัตโนมัติสามารถบินสูงมากกว่าเดิม นี่คือโครงขนาดใหญ่ที่สุดและผลาญงบประมาณสหรัฐอเมริกามากที่สุด โครงการแมนฮัตตันเพื่อพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ใช้เงินประมาณมากถึง 1.7 พันล้านเหรียญ ยังถูกโครงการ B-29 สอยกลางอากาศร่วงมาอยู่อันดับสอง เครื่องบิน B-29 ถูกผลิตออกมาใช้งานจำนวน 3,970 ลำ ราคาเฉลี่ยต่อหนึ่งลำอยู่ที่ 639,188 เหรียญ

     อาวุธป้องกันตัวเองของ B-29 ประกอบไปด้วย ปืนกลขนาด 12.7 มม.ลำกล้องแฝดควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรลจำนวน 4 ป้อมยิง ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบซูเปอร์ชาร์ทจำนวน 4 ตัว ให้กำลังสูงสุด 2,200 แรงม้า ลากเครื่องบินที่มีน้ำหนักมากสุด 54 ตัน ให้บินได้เร็วสุด 574 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บินได้ไกลสุด 5,230 กิโลเมตร บรรทุกระเบิดได้มากสุด 20,000 ปอนด์หรือ 9 ตัน ถ้าบินระยะไกลจะลดลงมาเหลือเพียง 12,000 ปอนด์หรือ 5.44 ตัน ทีเด็ดทีขาดเครื่องบินทิ้งระเบิดยักษ์ใหญ่ราคาแพงลิบลำนี้ก็คือ ระบบช่วยเหลือในการทิ้งระเบิดจากความสูงมากกว่า 20,000 ฟุต

   B-29 ทุกลำติดตั้งเรดาร์ตรวจจับภาคพื้นดิน AN/APQ-13 Airborne Radar ซึ่งมีชื่อเล่นว่า Mickey ตัวโดมเรดาร์ถูกติดตั้งใต้ท้องเครื่องก่อนช่องบรรจุอาวุธ ระยะตรวจจับประมาณ 80 กิโลเมตร บริษัทผู้ผลิตอ้างว่าสามารถปล่อยระเบิดจากความสูง 7,500 เมตร ที่ความเร็ว 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมงลงสู่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ระเบิดซึ่งปรกติจะตกพื้นห่างจุดปล่อยประมาณ 3.9 กิโลเมตร แต่นักบินซึ่งมีความชำนาญการใช้งานเรดาร์สามารถทิ้งระเบิดห่างเป้าหมายไม่เกิน 200 เมตร 

     บริเวณจมูกเครื่องบินอันเป็นที่นั่งของพลทิ้งระเบิด มีการติดตั้งระบบ Norden Bombsight ช่วยในการเล็งยิงได้อย่างแม่นยำ ไอเทมลับฝ่ายสัมพันธมิตรถูกนำมาใช้งานจริงบนเครื่องบิน B-29

     ในสงครามภาคพื้นยุโรปมีรายงานจากฝูงบินทิ้งระเบิดหลายฝูง จากระดับความสูง 6,000 เมตรจากพื้นดิน Norden Bombsight สามารถคำนวณจุดตกได้อย่างแม่นยำ โดยมีค่าความผิดพลาดเพียง 50 เมตร ทำงานร่วมกับเรดาร์ AN/APQ-13 จะทำให้เครื่องบิน B-29 คือปีศาจร้ายในตำนานตัวจริง

     Norden Bombsight เทียบได้กับระบบคอมพิวเตอร์แอนะล็อก ใช้ค่าความเร็วลม มุมปะทะ ความสูงจากพื้นดิน และความเร็วเครื่องบินในการคำนวณ พลทิ้งระเบิดแค่ปรับมุมเล็ง Norden Bombsight ให้ตรงเป้าหมาย ซึ่งโดยปรกติจะมีข้อมูลเป็นตารางตัวเลขให้ปฏิบัติตามแบบง่ายๆ กลไกการทำงาน Norden Bombsight ถือเป็นความลับสุดยอด มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า B-29 ลำไหนบังเอิญถูกยิงตกในเขตศัตรูนั้น หน้าที่แรกและหน้าที่เดียวของพลทิ้งระเบิดคือทำลาย Norden bombsight เพื่อไม่ให้ฝ่ายเยอรมันล่วงรู้ความลับสำคัญและหาทางแก้ไขสำเร็จ

     ระบบช่วยเล็งรุ่นใหม่ใช้งบประมาณสูงพอสมควร ว่ากันว่าประมาณครึ่งหนึ่งของโครงการแมนฮัตตัน (อีกแล้ว) งบประมาณคนละส่วนกับการพัฒนาเครื่องบิน B-29 Superfortress นะครับ

    ในภาพคือเครื่องบิน B-29 Superfortress กำลังทิ้งระเบิดขนาด 200 ปอนด์จำนวนมากใส่เป้าหมายในสงครามเกาหลี

     

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 09:50

     ข้อมูลจากหนังสือ ‘คนไทยในกองทัพนาซี’ เขียนโดย พ.อ.วิชา ฐิตวัฒน์ เล่าเรื่องราวตามนี้

     อุปกรณ์สำคัญที่สุดและปกปิดเป็นความลับอย่างยิ่งของเมริกาชื่อ นอร์เดน (Norden Bombsight) ผู้ทิ้งระเบิดเพียงแต่ตั้งระยะสูง จัดแกนไจโรสโคปได้ตั้งได้ฉากกับพื้นดิน ตั้งทิศของเครื่องบินให้ตรงกับที่หมายให้ไจโรสโคปบังคับเครื่องบินแล้ว นักบินก็เพียงแต่ใช้กล้องเล็งที่หมายแล้วก็กดปุ่มทิ้งระเบิดได้ และถ้าหากมีกล้องพิเศษคือ Genbox หรือ H2S ประกอบแล้ว ก็สามารถทิ้งระเบิดโดยไม่จำเป็นต้องเห็นที่หมาย
 
    Norden Bombsight คืออีกหนึ่งไอเทมลับช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง

     ในภาพคือจมูกเครื่องบินทิ้งระเบิดมองเห็น Norden Bombsight ติดตั้งอยู่ตรงกลาง

    


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 09:52

     ย้อนกลับมาวันที่ 5 มิถุนายน 2487 อีกครั้ง เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 จำนวน 98 ลำ จากฝูงบิน 58 กองบิน 20 ออกเดินทางจากสนามบินในหมู่เกาะ Mariana กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งเข็มทิศมุ่งตรงมายังเมืองหลวงประเทศไทย เป้าหมายก็คือชุมทางรถไฟมักกะสัน โรงรถจักรที่บางซื่อ ที่ตั้งทหารญี่ปุ่นบริเวณบ้านหม้อ ปิดท้ายด้วยสะพานพระพุทธยอดฟ้า นี่คือการโจมตีครั้งแรกสุด ของเครื่องบินทิ้งระเบิดราคาแพงที่สุด จากฐานทัพซึ่งอยู่ห่างไกลมากที่สุด

     กองบิน 20 หรือ The Twentieth Air Force เป็นกองบินแรกที่ได้ใช้งาน B-29

     ระหว่างเดินทางข้ามหาสมุทรอันแสนกว้างใหญ่ เครื่องบิน B-29 จำนวน 21 ลำจำเป็นต้องหันหัวกลับสนามบิน สาเหตุเกิดจากเครื่องยนต์บนเครื่องบินมีอาการขัดข้อง แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจแรกให้สำเร็จลุล่วง เครื่องบิน B-29 ที่เหลือจำนวน 77 ลำจำเป็นต้องเดินทางต่อตามแผนการ

     เวลาประมาณ 11 นาฬิกาของประเทศไทย ฝูงบินขนาดใหญ่เดินทางมาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ การปรากฏตัวของเครื่องบินขนาดใหญ่จำนวนมากช่วงเวลากลางวัน ทั้งทหารไทยและทหารญี่ปุ่นสามารถมองเห็นชัดเจน เครื่องบินขับไล่ บ.ข.13  (Ki–43 IIb Hayabusa) จำนวน 3 ลำจากฝูงบินรักษาพระนคร ได้รับคำสั่งให้ขึ้นบินสกัดกั้น บังเอิญฝูงบิน B-29 อยู่สูงเกินไปทำอะไรไม่ได้จริงๆ

     ปรกติการทิ้งระเบิดเครื่องบินต้องลดระดับลงประมาณ 6,000 ถึง 8,000 ฟุต แต่เนื่องมาจากนี่คือเที่ยวบินทดสอบทิ้งระเบิดจริงเที่ยวบินแรก สหรัฐอเมริกายังไม่มั่นใจประสิทธิภาพเครื่องบินซึ่งยังไม่เคยรบจริง ต้องการหลีกเลี่ยงความสูญเสียจากเหตุปะทะ รวมทั้งไม่มีเครื่องบินขับไล่ตามคุ้มกัน จึงตัดสินใจให้เครื่องบิน B-29 ทุกลำทิ้งระเบิดจากระดับความสูง 23,000 ฟุต แบ่งออกเป็นฝูงละ 6 ลำมีเครื่องบินจ่าฝูงนำทางและกำหนดเป้าหมาย เครื่องบินลูกฝูงบินเรียงหน้ากระดานเพื่อหย่อนระเบิดเพลิง ระเบิดทำลาย หรือระเบิดสังหาร ลงสู่พื้นที่ที่หัวหน้าฝูงทำเครื่องหมายด้วยพลุแดง


     23,000 ฟุตสูงเกินกว่าระยะทำการของเรดาร์ เรดาร์ AN/APQ-13 กับ Norden bombsight ผลงานการทิ้งระเบิดครั้งแรกของ B-29 ก็เลยเป็นไปตามยถากรรม ระหว่างเดินทางกลับ B-29 จำนวน 42 ลำเหลือน้ำมันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาลงสนามบินซึ่งอยู่ใกล้กว่า โดยมีเครื่องบินจำนวน 5 ลำเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุ ไม่สามารถซ่อมแซมนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ บางลำบินตกทะเลมาไม่ถึงสนามบิน ลูกเรือจำนวน 15 นายสูญหายคาดว่าเสียชีวิตทั้งหมด

     ระเบิดหนัก 430,500 ปอนด์หรือประมาณ 196 ตัน ที่อเมริกานำมาถล่มเป้าหมายในภารกิจแรก ถูกทิ้งสะเปะสะปะลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย มีรายงานว่าเครื่องบิน 18 ลำทิ้งระเบิดตรงพื้นที่เป้าหมาย รายงานอีกฉบับระบุว่ามีเพียง 9 ลำที่ทิ้งระเบิดอย่างแม่นยำ

     ผลความเสียหายจากระเบิดจำนวน 196 ตัน ทำลายโรงพยาบาลทหารญี่ปุ่นบางส่วน รวมทั้งสำนักงานตำรวจลับของญี่ปุ่น ระเบิดที่เหลือตกใส่บ้านเรือนประชาชนตามปรกติ มีผู้เสียชีวิต 140 คน บาดเจ็บ 842 คน ส่วนใหญ่เป็นประชาชนซึ่งไม่คาดฝันว่าเครื่องบินจะทิ้งระเบิดกลางวันแสกๆ

     นี่คือการโจมตีกรุงเทพตอนกลางวันครั้งแรกของสงคราม เป็นการโจมตีรุนแรงมากที่สุดใช้เครื่องบินมากที่สุด การโจมตีอาจไม่ประสบผลสำเร็จตามความตั้งใจ แต่เป็นสิ่งบ่งชี้ให้คนกรุงเทพรับรู้อย่างชัดเจนกับตาตัวเอง ต่อไปนี้การทิ้งระเบิดจากฝ่ายพันธมิตรจะมีทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยปริมาณเที่ยวบินมากกว่าเดิม ด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่กว่าเดิม และด้วยปริมาณระเบิดมากกว่าเดิม

     ข้อมูลในส่วนนี้ผมอ้างอิงจากสหรัฐอเมริกานะครับ ข้อมูลจากประเทศไทยจะมีความแตกต่างออกไปมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ใครเขียน เท่าที่จับความได้อเมริกามีการแจ้งเตือนล่วงหน้าว่า ตัวเองจะส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีตอนกลางวันในวันวิสาขบูชา พลตรี ประยูร ภมรมนตรีก็เขียนถึงไว้อย่างชัดเจน ส่วนคนกรุงเทพได้รับแจ้งข่าวจากทางการมากน้อยแค่ไหนเรื่องนี้ยังเป็นปริศนา

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 14:24

แผนใหม่

    วันที่ 8 มิถุนายน 2487 เครื่องบินทิ้งระเบิด บี 24 จากกองบิน 10 ประเทศอินเดีย บินเข้ามาวางทุ่นระเบิดบริเวณปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ขากลับยังได้แวะวางทุ่นระเบิดบริเวณท่าเรือเมืองมะริดในเขตพม่า

     วันที่ 7 กันยายน 2487 เวลาตีสองกว่าถึงตีสี่ เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จำนวนหนึ่งบินมาถล่มทางรถไฟสายมรณะ โชคร้ายระเบิดพลาดเป้าหมายตกใส่ค่ายเชลยศึกซึ่งมาช่วยก่อสร้างทางรถไฟ เกิดไฟไหม้อย่างหนักเชลยศึกเสียชีวิต 90 นาย บาดเจ็บ 300 นาย ต่อมาในภายหลังจึงพบว่าเชลยศึกเสียชีวิตจริง 300 นาย ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต 200 นาย คนไทยเสียชีวิต 200 คนโดยประมาณ

    ก่อนที่เรื่องราวการทิ้งระเบิดจะหนักหน่วงสาหัสมากกว่าเดิม ผมขอพาทุกคนกลับมายังการปรับปรุงแผนการโจมตีเมืองหลวงประเทศไทยอีกครั้ง นอกจากสหรัฐอเมริกาจะใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุด ราคาแพงที่สุด ติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยที่สุด บรรทุกระเบิดได้มากสุด พวกเขายังมีการถ่ายภาพสถานที่ต่างๆ ทางอากาศ และจัดทำแผนที่จุดยุทธศาสตร์สำคัญโดยได้รับความช่วยเหลือจากเสรีไทย

     

     ภาพประกอบคือแผนที่บริเวณชุมทางรถไฟมักกะสัน ซึ่งมีโรงซ่อมบำรุงรถจักรเป็นเป้าหมายสำคัญมากที่สุดเป้าหมายหนึ่ง ในแผนที่ระบุที่ตั้งกองร้อยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานจำนวน 3 กองร้อย เพื่อปกป้องน่านฟ้าจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบไปด้วย

    -กองร้อยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานขนาด 75 มม.ที่สี่ใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยม (หนึ่งกองร้อยมีปืนหลายกระบอกช่วยกันยิง)

    -กองร้อยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานขนาด 75 มม.ที่สามใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมกับ 1U

     -กองร้อยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานขนาด 75 มม.ที่สองใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมกับ 2U

     แผนที่ได้รับการปรับปรุงวันที่ 27 ตุลาคม 1944 หรือ 2487 เท่ากับว่าการทิ้งระเบิดครั้งถัดไปอเมริกามีข้อมูลฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน มีการกำหนดเส้นทางบินหลบหลีกปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ทำการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายก่อนบินหลบฉากมาตามเส้นทางในแผนที่ ถึงเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ราคาแพงระยับติดอุปกรณ์ทันสมัย ก็ยังต้องบินซิกแซกตามแผนการเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอยู่ดี

     ข้อมูลจากการทิ้งระเบิดครั้งก่อนพวกเขานำมาประมวลผลก่อนทำเป็นรายงาน ถ้านักบินทิ้งระเบิดที่ความสูง 10,000 ฟุตต้องบินความเร็วเท่านี้ทิ้งใส่เป้าหมายชนิดนี้ ถ้านักบินทิ้งระเบิดที่ความสูง 20,000 ฟุตต้องบินความเร็วเท่านี้ทิ้งใส่เป้าหมายชนิดนี้ ส่งผลให้การโจมตีมีความแม่นยำมากขึ้น นักบินและพลทิ้งระเบิดทำงานง่ายขึ้น โอกาสเอาตัวรอดกลับคืนสนามบินมีมากขึ้นตามกัน

    อาวุธทันสมัยมาแล้ว แผนที่มาแล้ว เสรีไทยมาแล้ว เหลือเพียงการทิ้งระเบิดอย่างจริงๆ จังๆ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 14:28

บทเสริม

     ในสงครามโลกครั้งที่สองประเทศไทยมีใช้งานทั้งปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานและปืนกลต่อสู้อากาศยาน ยกตัวอย่างเช่น

    -ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แบบ 77 ใช้ปืนขนาด 75 มม.จากประเทศสวีเดน ส่วนใหญ่ประจำการในกรุงเทพทำหน้าที่ต่อต้านเครื่องบินทิ้งระเบิด

     -ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานแบบ 76 ตามภาพประกอบ ใช้ปืนขนาด 40 มม.จากประเทศอังกฤษ ระบายความร้อนด้วยน้ำติดตั้งบนรถหุ้มเกราะสายพาน จัดเป็นปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานอัตตาจรหรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง เคยมีผลงานไล่ยิงทหารฝ่ายตรงข้ามในกบฏบวรเดชปี 2476 แต่ในสงครามโลกครั้งที่สองแทบหาบทให้ลงไม่ได้เลย

    

     -ปืนกลต่อสู้อากาศยานเมดเสนแบบ 89 DANISH ใช้ปืนขนาด 20 มม.จากประเทศเดนมาร์ก เป็นอาวุธปืนที่มีใช้งานบนเรือรบสำคัญๆ ราชนาวีไทยทุกคำ เคยสร้างผลงานสอยเครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 ร่วงมาแล้ว 1 ลำที่สัตหีบ

     ปัจจุบันการแบ่งแยกปืนใหญ่กับปืนกลกองทัพไทยกำหนดไว้ตามนี้

    -ปืนที่มีขนาดลำกล้องมากกว่า 75 มิลลิเมตรถือเป็นปืนใหญ่

     -ปืนที่มีขนาดลำกล้องเล็กกว่า 75 มิลลิเมตรถือเป็นปืนกล ฉะนั้นปืนในภาพประกอบปัจจุบันต้องเรียกปืนกลต่อสู้อากาศยาน

     ถ้าอาจารย์เจอบทความหรือนิยายสงครามโลกเขียนว่าปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานขนาด 40 มม.คนเขียนไม่ผิดนะครับเพียงแต่คนอ่านอาจคุ้นเคยกับการเรียกชื่อในปัจจุบัน แม้กระทั่งผมเองยังไม่นึกไม่ฝันปืนขนาดลำกล้อง 57 มม.กองทัพเรือเรียกปืนกล

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 14:31


พรุ่งนี้ผมขอหยุดหนึ่งวันนะครับ ไม่ใช่อะไรทำงานไม่ทัน  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 18:30

ระหว่างรอคุณ Superboy  มีรูปที่ไปเจอในเพจของคุณ  2483 Reenactment Group มาให้ดูกันพลางๆไปก่อน
คุณเจ้าของเพจบอกว่า

ร่วมด้วยช่วยกัน วิเคราะห์ ภาพชุด เครื่องบินทิ้งระเบิดตกไทยประเทศไทย ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
.
แอดมินเพิ่งได้ภาพชุดนี้มา โดยไม่มีรายละเอียดคำบรรยาย หรือระบุ วันเวลา สถานที่
.
เบื้องต้นคาดการณ์ว่า
- เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด ฝ่ายสัมพันธมิตร ถูกยิงตกในประเทศไทย
- น่าจะถ่ายในประเทศไทย เพราะมีร่องสวน และ มีทหารไทย (ทหารบก ทหารเรือ) อยู่ในภาพ ร่วมกับทหารญี่ปุ่น แต่งกายด้วยชุดเขตร้อน (อีกความเป็นไปได้คือถ่ายในสี่รัฐมาลัย)
- มีภาพ (ไม่ได้แสดง เดี๋ยวโดนแบน) ร่างของนักบิน 2 ร่าง ผิวขาว เป็นฝรั่ง ? เครื่องแบบไม่ชัดเจน อีกภาพ ศีรษะแตก
- เครื่องบิน อาจจะเป็น Bristol Blenheim ?
.
ลองมาช่วยกันวิเคราะห์ครับ
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=791148406381488&id=100064590079842&mibextid=xfxF2i


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 18:31

 ฮืม


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 06 มี.ค. 24, 18:31

 ฮืม


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 08 มี.ค. 24, 13:20

อุตรดิตถ์เดือดระอุ

     วันที่ 28 กันยายน 2487 เครื่องบินขับไล่ลำตัวแฝด P-38 จากกองบิน 10 ประเทศอินเดียจำนวน 2 ลำ บินเข้ามาโจมตีหัวรถจักรจอดอยู่ในโรงจอดสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ ทหารญี่ปุ่นในสถานียิงสกัดด้วยปืนกลต่อสู้อากาศยาน แต่พลาดเป้าหมาย P-38 จึงบินไปถล่มตลาดบางโพกับตลาดท่าเสาแล้วย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟอีกครั้ง ถล่มเป้าหมายภาคพื้นดินสักพักหนึ่งถึงบินกลับฐานทัพในอินเดีย

     นี่คือครั้งแรกที่พ่อแม่พี่น้องชาวอุตรดิตถ์เห็นการต่อสู้ระหว่างเครื่องบินขับไล่กับปืนกลต่อสู้อากาศยาน ครั้นตัวเองได้สติจึงพากันหาที่หลบเอาชีวิตรอดแบบมั่วไปหมด การโจมตีครั้งนี้เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนสัญญาณตาย เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรจะกลับมาเยือนเร็วๆ นี้

     วันที่ 5 ตุลาคม 2487 เวลา 6.00 น. เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จากกองบิน 10 ประเทศอินเดียจำนวน 2 ลำ บินผ่านตลาดบางโพกับตลาดท่าเสาเข้ามาโจมตีสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ โดยมี 1 ลำแยกตัวออกมาโจมตีสถานีบ้านดาราซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไร บังเอิญถูกปืนกลต่อสู้อากาศยานทหารญี่ปุ่นบริเวณหางเสือจนเสียการทรงตัว ก่อนบินมาตกในป่าอ้อยหมู่บ้านหม้อ อำเภอพิชัย นักบินเสียชีวิต 4 นายอีก 4 นายถูกตำรวจไทยจับกุม ปรากฏว่าเป็นนักบินชาติอังกฤษ อเมริกา และเนเธอร์แลนด์

     ทหารญี่ปุ่นต้องการตัวนักบินไปสอบสวนในค่ายทหาร ทว่าทางการไทยบอกปัดและนำตัวไปคุมขังในสถานที่ลับตา นักบินทุกคนจึงได้รับการดูแลอย่างดีจวบจนสิ้นสุดสงคราม

     วันเดียวกันเวลา 16.00 น. เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จากกองบิน 10 ประเทศอินเดียจำนวน 8 ลำ บินข้ามชายแดนมาตามถล่มสถานีรถไฟอุตรดิตถ์อีกครั้ง ที่ตั้งกองเสบียงทหารญี่ปุ่นพังพินาศยับเยิน ระเบิดตกใส่ห้องแถวถนนราษฎร์สนานหลังสถานีรถไฟพังไป 2 ห้อง แลกกับ B-24 ลำหนึ่งถูกกระสุนปืนกลต่อสู้อากาศยานจนระเบิดกลางอากาศ นักบิน 9 นายเสียชีวิตบนเครื่อง นักบิน 3 นายกระโดดร่มออกมาแต่ร่มกางเพียง 2 นาย นักบินรอดชีวิตทั้ง 2 นายตำรวจไทยรวบตัวได้โดยละม่อม

     B24 อีกหนึ่งลำถูกกระสุนปืนกลต่อสู้อากาศยานที่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ นักบินประคองเครื่องมาทางฝั่งตะวันตกหวังข้ามกลับไปยังประเทศอินเดีย ทว่าเครื่องบินเสียหายหนักเกินไปสุดท้ายร่วงพื้นในเขตตำบลสบปราบ จังหวัดลำปาง นักบินทั้ง 12 นายเสียชีวิตบนเครื่องไม่มีใครกระโดดร่มออกมา

     วันที่ 5 ตุลาคม 2487 เพียงวันเดียวอเมริกาเสียเครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 ถึง 3 ลำที่อุตรดิตถ์และลำปาง ทว่าการถล่มสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ยังไม่ประสบความสำเร็จตามตั้งใจ ความเสียหายมักเกิดขึ้นกับบ้านเรือนประชาชนที่อยู่รายรอบ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีการต่อต้านโดยปืนต่อสู้อากาศยานทหารญี่ปุ่น ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งแรกของฝูงบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรในพื้นที่ประเทศไทย

   
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 08 มี.ค. 24, 14:25

ครั้งแรกของโลก

     วันที่ 6 ตุลาคม 2487 สถานีลพบุรีกับสะพานจักรีในจังหวัดลพบุรีถูกโจมตีทิ้งระเบิด ไม่มีรายงานความเสียหายจากทั้งสองฝ่าย และไม่มีรายงานชนิดเครื่องบินจากสหรัฐอเมริกา

     วันที่ 28 ตุลาคม 2487 (บางแหล่งข่าวบอกว่า 15 ตุลาคม 2487)  เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จากฝูงบิน 95 กองบิน 10 ประเทศอินเดีย ไม่ทราบจำนวน บินมาทิ้งระเบิดใสสถานีรถไฟหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี เวลา 00.20 น. ไม่มีรายงานความเสียหายจากทั้งสองฝ่าย

     วันที่ 2 พฤศจิกายน 2487 เวลา 9.00 น.เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 จำนวน 55 ลำ บินมาทิ้งระเบิดใส่บางซื่อต่อด้วยสนามบินดอนเมือง ทำลายเครื่องบินขับไล่ Ki-43 HAYABUSA ของญี่ปุ่นจำนวน 7 ลำ กับเครื่องบินขับไล่ Ki-27 OTA ญี่ปุ่นจำนวน 13 ลำ บนสนามบิน

     เพราะเป็นเวลากลางวันมองเห็นเป้าหมายชัดเจน ฝูงบินรักษาพระนครส่งเครื่องบินขับไล่ Ki-43 HAYABUSA จำนวน 8 ลำขึ้นไปสกัดกั้น บังเอิญบินขึ้นเพียง 7 ลำเพราะถูก B-29 ยิงทำลายบนพื้นดินจำนวน 1 ลำ เรืออากาศเอกเทอดศักดิ์ (สังวาลย์) วรทรัพย์ ผู้บังคับหมู่บินที่ 1 สามารถยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุดของโลกเกิดความเสียหายอย่างหนัก ก่อนบินตกทะเลในอ่าวเบงกอล ทิศใต้เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย จำนวน 1 ลำ ทว่าเครื่องบินตัวเองถูกยิงสกัดจากป้อมปืนบนเครื่องบิน B-29 จนต้องกระโดดร่มในเขตอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีอาการบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวค่อนข้างนาน

     ผลจากยุทธเวหาเหนือน่านฟ้ากรุงเทพ เรืออากาศเอก เทอดศักดิ์ (สังวาล) วรทรัพย์ นักบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทย ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญประดับช่อชัยพฤกษ์เป็นเหรียญที่ 2 หลังจากที่เคยได้รับเหรียญแรกไปแล้วในกรณีพิพาทไทย-อินโดจีน

        

     นี่คือภาพวาดจำลองเหตุการณ์เครื่องบินขับไล่ Ki-43 HAYABUSA เรืออากาศเอก เทอดศักดิ์ (สังวาล) วรทรัพย์ ขณะไล่ยิงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 Superfortress กลายเป็นข่าวที่โด่งเลยไปถึงญี่ปุ่นและเยอรมัน มีคำชมมากมายจากหลายชาติส่งให้กับทางการไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่มีนักบินเครื่องบินขับไล่สามารถสอยป้อมบินยักษ์ B-29 ร่วงหล่นจากฟากฟ้า

    เรื่องราวเรืออากาศเอก เทอดศักดิ์ (สังวาล) วรทรัพย์ในอินเทอร์เน็ตมีค่อนข้างเยอะ แต่เท่านี้ผมไล่อ่านข้อมูลจากการรบจริงไม่มีรายละเอียดชัดเจน ก็เลยไม่รู้จะเขียนอะไรลงแค่ผลการรบก็พอ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 08 มี.ค. 24, 14:29

     ยังจำแผนที่ชุมทางรถไฟมักกะสันซึ่งมีที่ตั้งกองร้อยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานได้ไหมครับ

     วันเดียวกัน (วันที่ 2 พฤศจิกายน 2487) เวลา 21.00 น.เครื่องบินทิ้งระเบิด B24 จำนวน 18 ลำจากฝูงบิน 95 กองบิน 10 ประเทศอินเดีย บินมาทิ้งระเบิดใส่ชุมทางรถไฟมักกะสัน ส่งผลให้ทหารประจำกองร้อยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานได้รับบาดเจ็บจำนวน 6 นาย

     ผลการโจมตีมักกะสันโดยมีแผนที่ชัดเจนได้รับความสนับสนุนจากเสรีไทย โรงงานซ่อมรถจักรและล้อเลื่อนเสียหายยับเยิน สัญญาณหวอปลอดภัยดังขึ้นในเวลา 01.00 น. ตอนนั้นทั้งโรงงานแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดนอกจากกองไฟ โชคดีกรมรถไฟสั่งย้ายวัสดุ เครื่องมือ และเครื่องใช้ออกไปจากโรงงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีแค่เพียงตัวอาคารกับอุปกรณ์หนักซึ่งไม่สามารถขนย้ายได้

     คุณมีแผนที่ของคุณ…ผมมีแผนถอยของผม

     วันที่ 3 พฤศจิกายน 2487 เวลา 02.30 น. เครื่องบินทิ้งระเบิด B24  จำนวนหนึ่ง บินมาถ่ายภาพโรงงานมักกะสันกลับไปจัดเก็บเป็นฐานข้อมูล เหตุผลก็คือสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างใหญ่โตยังทำลายไม่หมด เท่ากับว่ามักกะสันยังไม่พ้นอันตรายอาจถูกทิ้งระเบิดซ้ำตอนไหนก็ได้

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 09 มี.ค. 24, 13:08

ยุทธเวหาเหนือน่านฟ้าลำปาง

     วันที่ 11 พฤศจิกายน 2487 เครื่องบินขับไล่ P-51 จากฝูงบิน 25 กองบิน 14 ประเทศจีน จำนวน 9 ลำ และเครื่องบินขับไล่ P-38 จากฝูงบิน 449 กองบิน 14 ประเทศจีน จำนวน 8 ลำ บินมาลาดตระเวนและถล่มฐานทัพอากาศลำปาง ทางรถไฟสายเหนือช่วงลำปาง-เชียงใหม่ ปิดท้ายด้วยสะพานปรมินทร์หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าสะพานบ้านดารา ทำให้เครื่องบินกองทัพอากาศไทยเสียหายจำนวน 1 ลำ และหัวรถจักรเสียหายอีก 1 หัว

     วันนั้นฝูงบินขับไล่ที่ 16 กองบินน้อยผสมที่ 85 กองบินใหญ่ภาคพายัพ สนามบินพระบาท นครลำปาง ส่งเครื่องบินขับไล่โอตะหรือ Ki-27 จำนวน 5 ลำนำโดยเรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ วัฒนากูร เข้าต่อสู้ยุทธเวหาปกป้องน่านฟ้านครลำปางสุดความสามารถ

     ผลการทำยุทธเวหามีความแตกต่างพอสมควร ข้อมูลแรกจากสหรัฐอเมริการะบุว่า P-38 ถูกยิงตกจำนวน 1 ลำ P-51 ได้รับความเสียหายจำนวน 3 ลำ ส่วน Ki-27 กองทัพอากาศไทยซึ่งเสียเปรียบเรื่องประสิทธิภาพและจำนวนถูกยิงตกทั้ง 5 ลำ ข้อมูลที่สองระบุว่าสหรัฐยิง Ki-27 กองทัพอากาศไทยร่วงจำนวน 3 ลำ (เพราะมี 2 ลำลงจอดสำเร็จก่อนระเบิด) โดยเสีย P-51 ไป 1 ลำนักบินชื่อ Henry Minco เป็นหนึ่งในสองครั้งที่นักบินกองทัพอากาศไทยสอยเครื่องบินสหรัฐอเมริกา (อีกครั้งคือเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29)

     ข้อมูลจากประเทศไทยระบุว่าเครื่องบินอเมริกาถูกยิงตกจำนวน 4 ลำ คือตกในการทำยุทธเวหาจำนวน 1 ลำ กับบินไปตกที่อื่นอีก 3 ลำ ส่วน Ki-27 กองทัพอากาศไทยตกครบทั้ง 5 ลำ

     เหตุการณ์นี้มีคนนำมาเขียนเรื่องราวในประวัติศาสตร์หลายต่อหลายคน บ้างก็เขียนว่า ‘ยุทธเวหา 5 ต่อ 21’ แม้ในภายหลังนับเครื่องบินอเมริกาได้ 17 ลำก็ยังไม่เปลี่ยนชื่อ บ้างก็เขียนว่า ‘ยุทธเวหา 5 ต่อ 16’ ทั้งที่อเมริกาส่งเครื่องบินมา 17 ลำ สิ่งที่ลงเหมือนกันคือเครื่องบินอเมริกาตก 4 ลำโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน ที่สำคัญไม่มีซากเครื่องบินเหมือนกรณี B-24 ตกที่อุตรดิตถ์

     รายงานเหตุการณ์สอบสวนร่วมในกิจกรรมนักประวัติศาสตร์ระบุว่า วันนั้นสหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินโจมตีตั้งแต่เชียงตุงไล่มาจนถึงประเทศไทยรวมกันมากถึง 70 ลำ ทว่าข้อเท็จจริงคือเครื่องบินขับไล่จำนวน 17 ลำ เครื่องบินค่อนข้างเล็กไม่มีอาวุธมากเพียงพอจะโจมตีหลายจุดพร้อมกัน

    มาถึงบทสรุปอย่างเป็นทางการกันบ้าง กองทัพอากาศไทยให้การยอมรับว่าเรืออากาศตรี คำรบ เปล่งขำ ขับเครื่องบินขับไล่แบบ 15 โอตะ (Ki-27) ยิงเครื่องบินขับไล่ P-51 C หมายเลข 44-10812 บินโดย ร้อยตรี Henry F. Minco ตกเหนือนครลำปาง
.
     เรืออากาศตรี คำรบ เปล่งขำ ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญจากกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ. 2484 และได้รับพระราชทานช่อชัยพฤกษ์ประดับแพรแถบบนเหรียญกล้าหาญอีกครั้งใน พ.ศ. 2488 จากวีรกรรมในศึกยุทธเวหาเหนือนครลำปาง โดยมีผลงานยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตก 2 ลำ ยศสุดท้าย นาวาอากาศโท

    เอกสารเรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าส่งมัสแตงลงนรกที่ลำปาง” โดย น.ท.คำรบ (ทองคำ) เปล่งขำ ผบ.หมู่บินขับไล่ที่ 15 ได้เล่าในช่วงวินาทียิงว่า

     “ข้าพเจ้ากดเจ้าไกปืนขนาด 7.7 มม.บีบสุดแรง..เจ้ามัสแตงรูปงามที่ทะลึ่งขึ้นสุดตัว แล้วก็ฟาดหางลงทางด้านขวามองเห็นไฟลุกเป็นทาง และเครื่องบินข้าศึกอยู่สูงจากพื้นไม่ถึง 500 เมตร (ก็) ถลาลง”.....“เหลียวไปด้านซ้าย เจ้าพี5 สองตัวกับพี58 อีก 1 ตัวกำลังมุ่งหน้ากลับเชียงราย”.... “พอถึงขอบสนาม (บิน) เท่านั้น มองเห็นพี.38 สี่ตัวกำลังบินคุมเชิงอยู่ จึงตัดสินใจเลี้ยวบังหลืบเขาเพื่อไปลงยังสนามโรงน้ำตาลเกาะคา ขณะผ่านสถานีแม่ทะ (ผาลาด) พบรถไฟ 1 ขบวน ต่อมาจึงได้ทราบว่า พี.38 สี่ตัวที่ข้าพเจ้าพบได้ผลัดกันลงซ้อมยิงกินโต๊ะรถไฟขบวนนั้นจนฉ่ำมือแล้วก็บ่ายหน้ากลับ”

     ยุทธเวหาเหนือน่านฟ้าลำปางคือการรบทางอากาศครั้งสำคัญที่สุดของกองทัพอากาศไทย


     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 10 มี.ค. 24, 12:58

พฤศจิกายนสีเลือด

     วันที่ 13 พฤศจิกายน 2487 เครื่องบินขับไล่ P-38, P-40 และ P-51 จากกองบิน 14 ประเทศจีนประมาณ 60 ลำ บินมาโจมตีทางรถไฟและค่ายทหารญี่ปุ่นตั้งแต่พม่าไล่มาจนถึงประเทศไทย เครื่องบินจากประเทศจีนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีขนาดเล็ก

     วันที่ 13 พฤศจิกายน 2487 ถือเป็นวันมหาวิปโยควันหนึ่งของชาวบ้านในอุตรดิตถ์ เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จากฝูงบิน 95 กองบิน 10 ประเทศอินเดียไม่ระบุจำนวน บินมาทิ้งระเบิดใส่สถานีรถไฟปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ไม่มีรายงานความเสียหายหรือเครื่องบินตกจากทั้งสองฝ่าย

    วันเดียวกันเวลา 17.00 น.เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จากฝูงบิน 95 กองบิน 10 ประเทศอินเดียจำนวน 6 ลำ บินมาทิ้งระเบิดใส่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์กับโรงงานซ่อมรถจักร ครั้งนี้ถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำทั้งสถานีและโรงงานพังยับเยิน ชาวบ้านถูกลูกหลงเสียชีวิตประมาณ 100 คน

    วันนั้นเป็นเทศกาลงานนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ มีประชาชนจากหลายจังหวัดเดินทางมาร่วมงาน แล้วกันเดินเที่ยวสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีการรับประทานอาหารและดื่มสุรากันในร้านค้าใกล้สถานีรถไฟ บรรดาคนงานโรงงานซ่อมรถจักรพากันนั่งจับกลุ่มพูดคุย อยู่ดีๆ เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 จำนวน 6 ลำบินมาทิ้งระเบิดโดยไม่มีเสียงหวอเตือนภัย เริ่มต้นจากทำลายโรงไฟฟ้า โรงซ่อมเครื่องจักรกล โรงกลึงของการรถไฟ ก่อนวกกลับมาโจมตีสถานีรถไฟอย่างรุนแรง

     วันรุ่งขึ้นพ่อค้าแม่จำนวนมากพากันหลบหนีไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ตลาดบางโพแทบจะร้างผู้คนมองไปทางไหนมีแต่ห้องว่างคล้องกุญแจ มีการจัดตั้งตลาดสดชั่วคราวที่ที่สี่แยกวัดธรรมาธิปไตยให้ผู้คนได้จับจ่ายใช้สอย การรถไฟเร่งจัดตั้งโรงงานซ่อมรถจักรแห่งใหม่ใกล้ถังน้ำที่เป็นหอสูง การโจมตีแบบสายฟ้าแลบของอเมริกาด้วย B-24 จำนวน 6 ลำสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเป้าหมายสำคัญ

     ในภาพคือสถานีรถไฟอุตรดิตถ์หลังสงครามโลก ส่วนที่เป็นหอคอยโดนระเบิดจนถล่มพังยับเยิน ส่วนที่เป็นอาคารได้รับการซ่อมแซมจนสามารถใช้งานได้ตามเดิม

   

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.07 วินาที กับ 19 คำสั่ง