เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 32
  พิมพ์  
อ่าน: 66168 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [2]
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 345  เมื่อ 22 ธ.ค. 23, 18:44

เพลง Christmas ประเภท novelty ที่โด่งดังอีกเพลงคือเพลงนี้

นี่คือต้นฉบับที่ออกตลาดในปี 1952 ร้องโดย Jimmy Boyd (1939 – 2009) 

แต่ฉบับที่โด่งดังไปทั่วประเทศ (ผมเคยได้ยินแต่กิตติศัพย์) คือฉบับนี้

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 346  เมื่อ 22 ธ.ค. 23, 18:49

ส่วนเพลงนี้มาได้ยินตอนโตแล้ว  ผมซื้อแผ่นเสียง



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 347  เมื่อ 23 ธ.ค. 23, 09:02

    เมื่อมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบกระเป๋าหิ้วเครื่องแรก   The Chipmunk Song เป็นหนึ่งในเพลงแรกที่ซื้อมาฟัง แผ่นเล็ก speed 45  ยังจำได้
    เพลงนี้ดังในไทย   เสียงเจ้ากระแตน้อยฟังเหมือนเสียงตัวการ์ตูน  เด็กๆชอบมาก
    หลายสิบปีต่อมาเป็นหนังแอนนิเมชั่น ก็ได้ดูรำลึกความหลัง

     
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 348  เมื่อ 23 ธ.ค. 23, 18:50



















(เธอร้องประสานในเพลงนี้)








บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 349  เมื่อ 24 ธ.ค. 23, 18:14

Phil spector (1939 – 2021) เป็นผู้อำนวยการผลิตและนักแต่งเพลง  ในยุค 60s เธอโด่งดังมากในฐานะผู้ค้นคิดวิธีการอัดเสียงแบบแหวกแนวที่เรียกว่า Wall of Sound  ผมเรียกเอาเองว่า การอัดเสียงในโอ่ง  ศิลปินโปรดภายใต้สังกัดของเธอล้วนเคยอัดเสียงในระบบนี้กันทั้งนั้น  บ้านเราก็เคยฟังเพลงจากการอัดเสียงแบบนี้จากวงหญิงล้วนเช่น The Crystals, The Ronettes เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร  คนช่างสังเกต (เมื่อฟังจากวิทยุ) จะจับได้ว่าเสียงอู้ ๆ ไม่สดใส  เหมือนร้องในโอ่ง  ต่อเมื่อได้ฟังกับเครื่องเสียงระดับดีแล้วถึงจะเข้าใจการอัดเสียงแบบนี้

ในปี 1963 PS อำนวยการผลิต album ประวัติศาสตร์ชื่อ A Christmas Gift for You from Phil Spector (เป็นการเปลี่ยนชื่อครั้งที่ 2  ครั้งแรกใช้ชื่อตามในรูป) โดยใช้วิธีอัดแบบ Wall of Sound ล้วน  นักวิจารณ์ล้วนชื่นชมในความแหวกแนว  หลายคนจัดให้เป็น The greatest Christmas album of all time บางคนจัดให้เป็น 1 ใน 1001 albums you must hear before you die (ข้อมูลจาก Wikiฯ ทั้งนั้น)

นี่คือตัวอย่าง















บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 350  เมื่อ 25 ธ.ค. 23, 18:42

The Pointer Sisters เป็นวง girl group ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุค 70s และต่อไปถึงต้น 80s  สมาชิกประกอบด้วยพี่น้อง 4 สาว  แต่อยู่กันครบ 4 เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ  วิทยุบ้านเราเริ่มเปิดเพลงของพวกเธอกันกว้างขวางในปลายยุค 70s  เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำให้ผมรู้จักพวกเธอ



เพลงนี้ทำให้นึกถึงความหลังที่ยังแจ่มชัด  เพลงออกมาในปี 1978 เป็นช่วงเวลาที่ผีเพลงสิงผมอย่างเหนียวแน่น  ได้ฟังเพลงครั้งแรกทางวิทยุ (อย่างแน่นอน) แค่ช่วงขึ้นต้นก็ติดใจแบบหูผึ่ง  พลางเลยเถิดอยากได้แผ่นเสียงของวงฯ เป็นอย่างมาก 

ตอนนั้นยังเรียนอยู่  มหาวิทยาลัย  ยังหาเงินเองไม่เป็น ต้องแบมือขอผู้ปกครอง  ผู้ปกครองให้เงินมาเป็นแบบเงินเดือน  เอาไปบริหารเอาเอง  ถ้าบริหารผิดเงินหมดก่อนสิ้นเดือน  เป็นความล้มเหลวของแก
 
เงินเดือนนี่ถ้าจำไม่ผิดเดือนละ 800 (+/-) บาท  แต่ผมก็อยู่ได้  ไม่เคยบริหารล้มเหลว  เพราะอย่างนี้มั้งผมถึงเก็บเงินเก่ง  ไม่เคยไถเงินผู้ปกครอง  อยากได้อะไรก็เริ่มต้นวางแผน  แล้วก็ได้อย่างที่ต้องการ

กลับมาที่การใช้เงิน  ถ้าเป็นเด็กปกติ  800 บาทต่อเดือนนี่สบาย ๆ  ก็สมัยนั้นไม่มีสิ่งล่อใจอยู่รอบตัวทุกองศาเหมือนเดี๋ยวนี้  แต่ผมผิดปกติ เพราะผมเล่นแผ่นเสียง
 
แผ่นเสียงนี่ถือเป็นของฟุ่มเฟือย  เพราะมันไม่มีความจำเป็น  ฟังวิทยุเอาก็ได้  แถมมีราคาแพง  แต่ผมติดกับ  เลยต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม  แผ่นเสียงที่มีขายในบ้านเราแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แผ่นจากเมืองนอก (ในที่นี้ผมหมายถึง อเมริกา ประเทศเดียวเพราะวิทยุเปิดเพลงจากฝั่งอเมริกาเป็นส่วนใหญ่) มีราคาแพง  คือประมาณ 300 บาทบวกลบ  แต่วัสดุดี  Jacket ทำด้วยกระดาษแข็งอย่างดี  หุ้มพลาสติกใสแน่นหนากันตัวแผ่นฯ ร่วง  ซองในใส่แผ่นมักมีรูปสวยงาม  บางทีก็แถมเนื้อเพลง  คนในวงการฯ เรียกว่า แผ่นนอก





(ลักษณะแผ่นที่เปิดกางออกได้แบบนี้เรียกว่า gatefold  เป็นกำไรของคนซื้อ)

อีกประเภทก็แผ่นก๊อปปี้  แผ่นก็อปปี้นี่ไม่ได้หมายถึงแผ่นผี  แต่หมายถึงแผ่นก๊อปปี้อย่างถูกกฏหมายสากล  เพื่อทำมาขายในตลาดแถบเอเซียที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า  บ.ใหญ่เจ้าของลิขสิทธิ์คือ บ. EMI สาขา ฮ่องกง บ้าง สิงคโปร์ บ้าง  แผ่นพวกนี้ราคาถูกคือประมาณ 100 บาทหน่อย ๆ  เพราะต้นทุนมันถูก  วัสดุจึงห่วย  Jacket ทำด้วยกระดาษแข็งแบบบางเหมือนกล่องใส่ตะโก้  สีสันบนปกไม่สดใสเท่าแผ่นฯ นอก  แถมไม่มีแผ่นพลาสติกใสหุ้ม  เปิดโป้งโล้ง  ถ้าหยิบไม่ระวัง  แผ่นฯ ร่วงออกมาง่าย ๆ  ส่วนซองในใส่แผ่นทำด้วยพลาสติกเนื้อขุ่น... ประมาณนี้

บ. EMI ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของทุกบริษัทแผ่นเสียงในอเมริกา  ฉะนั้นศิลปินใดที่อยู่ในสังกัดที่ไม่ได้ขายลิขสิทธิ์ให้ บ. EMI เอาไปทำแผ่นก๊อปฯ  จึงไม่มีแผ่นก็อปฯ ของศิลปินนั้น ๆ วางขายในราคาถูก  ต้องรอแผ่นนอกซึ่งบางทีก็มีคนสั่งเข้ามาขายบางทีก็ไม่มี

โหมโรงมานานเพื่อจะบอกว่า  บ. แผ่นเสียงต้นสังกัดของ The Pointer Sisters นั้น  ไม่ได้ขายลิขสิทธิ์ให้ บ. EMI  ดังนั้น ถ้าอยากได้ก็ต้องรอแผ่นนอก อย่างเดียว

วันหนึ่งผมไปเดินที่ศูนย์การค้าอินทรา  ผมเห็น album แผ่นนี้วางขายอยู่ในร้านขายเครื่องเสียง  ไม่ใช่ร้านขายแผ่นเสียงอย่างปกติ  แผ่นฯ วางโชว์อยู่ในตู้โชว์หน้าร้าน  ผมพยายามเล็งมองหาราคา  ราคาเท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว  ก็กี่สิบปีมาแล้วใครจะไปจำได้  รู้แต่ว่าโคตรแพง  แพงกว่าราคาทั่วไปของแผ่นนอก  สรุปไม่กล้าเสี่ยงซื้อ  กลัวเงินหมดโดยใช่เหตุ (สาเหตุคือ ความบ้า)

เวลาผ่านไปหวือ ๆ  วันนั้นผมไปเดินในห้างเซ็นทรัลสีลม  ห้างประจำตัว  ขณะเดินขึ้นไปสำรวจแผ่นเสียงบนชั้น 5  ที่ชั้น 4 ผมเห็นเทป cassette ชุดเดียวกับแผ่นเสียงของวงฯ  วางขายอยู่บนชั้นหลังเคานเตอร์ (เกริ่นนิดว่า สมัยนั้นงานเพลงของศิลปิน  นอกจากจะออกขายในรูปแบบของแผ่นเสียงแล้ว  ยังมีแบบเป็นเทป cassette ขายด้วยซึ่งราคาถูกกว่า  นัยว่าเอาไว้ฟังในรถ  ก่อนหน้านี้เป็นเทป 8-track ซึ่งผมโตไม่ทัน)  และตอนนี้ผมก็กำลังยืนดูอยู่  ราคาแน่นอนจำไม่ได้  จำได้แต่ว่าเฉียด 100  ในขณะที่เทป cassette ผีที่ขายตามแผงริมถนนราคาประมาณตลับละไม่กี่สิบบาท

ผมยืนนิ่งจ้องเทปตลับนั้นเหมือนโดนสาป  กำลังชั่งใจว่าเอาดีมั้ยว้า  ถ้าเกิดฟังได้เพลงเดียวทำไง  อีกใจก็บอกว่า  ก็ยังดีกว่าซื้อแผ่นเสียง  สรุปแล้วผมซื้อ  แบบไม่เต็มใจ  ตั้งร่วม  100 บาท  กินข้าวได้ตั้งกี่มื้อ
 
พอรู้ว่าผมตกลงใจซื้อ คนขายถามว่าอยากลองฟังมั้ย  ผมก็เลยเลือกฟังเพลง Fire นี้โดยไม่รอช้า  คนขายฉีกแผ่นพลาสติกหุ้มตลับเทปออกแล้วกรอหาเพลงที่ว่าอย่างชำนาญ  พอได้ที่ก็กด play  ซึ่งเริ่มต้นด้วยตอนท้ายของเพลงก่อนหน้า  พอจบก็ขึ้น intro ของเพลง Fire  มันเพราะมากจริง ๆ
 
ตอนนั้นมีฝรั่งผู้หญิงยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอกำลังทำอะไรอยู่ก็จำไม่ได้  แต่พอได้ยิน intro ของเพลงนี้ปั๊บ  เธอฮัมตามทันที  แสดงว่ารู้จักเพลงนี้  ผมจำได้ว่าเธอหันมาบอกผมว่า ‘Best song ever’  ผมละปลื้ม  ลืมความพะวงเรื่องกลัวผิดหวังไปในทันที 

พอกลับมาบ้านผมรีบเอาตลับเทปใส่เครื่องฯ แล้วฟัง  ผลเป็นไปตามที่คาดไว้คือชอบเพลงเดียว





จากเพลง Fire นี้ซึ่งได้รับความนิยมจนถึงขั้นได้แผ่นเสียงทองคำ วงฯ นี้ก็เป็นขาประจำของเหล่าดีเจ



(2 เพลงนี้เปิดบ่อยจนเลี่ยนไปเลย)


เพลงนี้ออกอากาศไม่บ่อยเท่า  ไม่เลี่ยน  ผมเลยชอบ 


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 351  เมื่อ 26 ธ.ค. 23, 18:27

ชื่อเสียงของวงขึ้นถึงขีดสุดในปี 1984  กับ album  ชื่อ Break Out  ซึ่งตัด single ออกมาได้ถึง 5 เพลง  และขึ้น top 10 เสีย 4 เพลง  เป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากมากเพราะแผ่นเสียงแผ่นหนึ่งบรรจุแค่ 10 เพลง  ปกติจะตัด single ออกมาแค่ 2 เพลง  ซึ่งรวมหน้า B ด้วยก็เป็น 4 เพลงเข้าไปแล้ว






เพลงนี้ออกเป็น single ถึง 2 ครั้ง  ครั้งแรกเมื่อปี 1982  ไปได้ถึงอันดับที่ 30  ครั้งที่ 2 ไปได้ไกลถึงอันดับ 9  ในปี 2013  เพลงนี้เป็นหนึ่งใน soundtrack ของหนังชื่อเดียวกัน  เป็นหนังเกย์ตลกขาดใจจากสเปน  ผมดูฉบับบรรยายไทย (เพราะหนังพูดภาษาสเปน)  คนแปลแปลได้เก่งอย่างน่าชมเชย  ใช้คำพูดมัน ๆ ที่ใช้กันในแวดวงเกย์แบบไม่ยั้ง  ช่วยเพิ่มความตลก



สำหรับเพลงนี้ก็เป็น soundtrack เช่นกันบรรจุอยู่ในหนัง Beverly Hills Cop. ในปีนั้น  MV โปรโมทหนังทำได้มันมาก  มันเคยมาฉายที่โรงหนังในบ้านเรา  เป็นช่วงคั่นรายการก่อนหนังฉาย  เพลงมัน ๆ ฉายในโรงหนังที่มีระบบเสียงมหากาฬ  กระหึ่มหูจริง ๆ ตอนนั้นมี MV ที่ว่าหลายชุด  ผมจำได้แค่ 2 ชุดคือชุดนี้กับชุดของ Carly Simon โปรโมทหนัง Working Girl 



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 352  เมื่อ 27 ธ.ค. 23, 18:28

นำเสนอ single ที่ 5 สุดท้ายของแผ่นดัง Break out  เพราะไม่เท่าเพลงก่อน ๆ นะผมว่า



และเพลงเพราะอื่น ๆ แต่ไม่ดังในปีก่อนหน้า





ในยุคแรก ๆ พวกเธอร้องเพลงแนว country  ผมเพิ่งมารู้และได้ยินเพลงในภายหลัง  เพลงนี้ทำให้พวกเธอได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Country Group ในปี 1974


(หมายเหตุ – ในยุคของพวกเธอ  อย่าว่าแต่ได้ดู MV เลย  พวกเธอหน้าตาอย่างไรยังจำไม่ได้  ได้ยินแค่เสียงจากลำโพงวิทยุ)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 353  เมื่อ 28 ธ.ค. 23, 18:29

ปี 1978 ยุค disco กำลังมันกระจาย  ศิลปินแนวนี้ผุดขึ้นมายังกับดอกเห็ด  มีทั้งหญิง ชาย และกลุ่ม  มีทั้งอยู่ในวงการมาเก่าก่อนแต่มาค้นพบแนวของตนกับจังหวะนี้และมีทั้งโผล่ขึ้นมาเพื่อรองรับเพลงแนวนี้โดยเฉพาะ  ซึ่งต่อมาก็ดับหายไปพร้อมกับกระแส

วง Chic ไม่ใช่วงหน้าใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับเพลง disco  วงเริ่มมาก่อนหน้านี้แล้ว  แต่พอ disco ระเบิด  วงก็ปรับตัวต้อนรับกระแสได้ดียิ่ง

4 เพลงนี้เป็นขาประจำในบาร์ ฯ บ้านเรา









ไม่ใช่เฉพาะแค่เปิดในบาร์ฯ  ตามคลื่นบนหน้าปัดวิทยุก็ส่งเพลงเหล่านี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

หัวใจของวงคือ 2 หนุ่ม Nile Rogers และ Bernard Edwards  2 คนนี้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างมากในยุคต้น 80s  ทั้งคู่อำนวยการผลิตเพลงให้ศิลปินดังมากมาย เช่น Diana Ross, Sister Sledges ฯลฯ  เพลงที่พวกเขาอำนวยการผลิตให้นี้ต่างเป็น single ดังที่ดีเจนำมาเปิดให้ฟังมากมาย (แต่ไม่รู้เบื้องหลังเพราะตอนนั้นยังไม่มีข้อมูล)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 354  เมื่อ 29 ธ.ค. 23, 18:39

ต้นยุค 70s เพลงนี้มาเดี่ยว ๆ แล้วก็ครองหัวใจดวงน้อย ๆ ของผม



เมื่อผมโตขึ้นจนรู้จักเครื่องเล่นแผ่นเสียง แผ่นฯ ของวงนี้เป็นอีกแผ่นที่ผมตามหา (มันออกมาก่อนที่ผมจะรู้จักแผ่นเสียง)  ผมไปหาเจอที่ห้างขายแผ่นเสียงที่วังบูรพา  จำชื่อไม่ได้แล้ว  ห้างใหญ่โตมากรู้สึกจะประกอบด้วย 3 ห้อง  มีแผ่นฯ เพียบ  น่าเสียดายที่ผมโตไม่ทัน  กว่าจะมารู้จักเพลงมากมายก็เลยยุคโด่งดังของวังบูรพาไปแล้ว  ร้านก็ปิดตัว  ผมยังทันไปเยี่ยมวันที่ทางร้านเลหลังแผ่นเสียง  ได้มาหลายแผ่นอยู่

ในปี 2018 เพลงนี้ถูกนำไปบรรจุเป็น soundtrack หนึ่งของหนัง BlacKkKlansman  ฉากในหนังให้บรรยากาศย้อนยุคสุด ๆ



นำเสนอ อีกแผ่นเสียงทองคำเพลงที่ 2 เพลงนี้ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ  มาได้ยินในแผ่นเสียง


และเพลงฝาแฝดของเพลงแรก

(สาวสมาชิกคนที่ 4 เป็น Cornelius เช่นกันแต่เข้ามาทีหลังการตั้งชื่อแล้ว)



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 355  เมื่อ 30 ธ.ค. 23, 18:54

Joni James …

นี่เป็นเพลงเดียวของเธอที่ผมเคยได้ยิน



Joel Whitburn บอกผมว่าเธอยังมีเพลงดังในอันดับ billboard อื่น ๆ อีก  เช่นเพลงอันดับ 1 ในปี 1952 เพลงแรกนี้







บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 356  เมื่อ 31 ธ.ค. 23, 18:40

เอ่ยถึง Joni James แล้วนึกถึง Joan Weber ผมเคยได้ยินเพลงของเธอเพียงเดียวเช่นกันคือเพลงนี้ซึ่งเพราะมาก



จากเพลงนี้  ผมไม่เคยได้ยินเพลงอื่นจากเสียงของเธออีกเลย ตอนนั้นคิดว่า ดีเจ บ้านเราไม่เอาเพลงของเธอมาปล่อยให้ฟังอันเป็นเรื่องปกติสำหรับนักฟังเพลงยุคโบราณที่ต้องพึ่งพาความเมตตาจากเหล่าดีเจ  จนกระทั่งผมมีปูมเพลงของ Joel Whitburn ก็เริ่มพลิกหาเพลงอื่นของเธอ  ปรากฏในข้อมูลว่า  เธอมีเพลงอยู่เพลงเดียวในอันดับเพลง billboard ซึ่งก็คือเพลงนี้ซึ่งติดอันดับ 1 นานถึง 4 สัปดาห์  นับเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะนักร้องร้องเพลงได้ดังเป็นที่นิยมขนาดนี้จู่ ๆ  จะไม่เพลงดังอีกเลยหรือเลิกร้องเพลงไปเลยได้อย่างไร

จนกระทั่ง Wikiฯ เจริญพันธุ์ผมถึงได้มีโอกาสอ่านข่าวของเธอ  เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก อนาคตของเธอดับเพราะสามีของตัวเอง (Weber's husband assumed total control of the singer's activities, thus depriving Weber of experienced career guidance.)

และอีกเรื่องเศร้าคือ... During her final years, she lived a reclusive life before moving to a mental institution. Columbia Records' efforts to send her royalty checks failed, as they were returned to sender as "address unknown". For this reason, chart program American Top 40 ranked Weber at number one on a special program featuring the "Top 40 Disappearing Acts", which was broadcast in 1975.

On May 13, 1981, Weber died of heart failure at a mental institution in Ancora, Winslow Township, Camden County, New Jersey, aged 45. Her death was overshadowed by the first attempted assassination of Pope John Paul II on the same date.


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 357  เมื่อ 01 ม.ค. 24, 18:46

ช่วงเวลานั้น (หมายถึงเวลาของผม) วันหนึ่งผมก็ได้ยินเพลง Let Me Go Lover จากนักร้องหญิงอีกคน  ฉบับของนักร้องหญิงคนนี้มีท่วงทำนองแตกต่างจากต้นฉบับของ Joan Weber แบบหน้ามือเป็นหลังมือ  เหมือนคนละเพลง  แต่ความไพเราะไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน



ตอนนั้นผมจำไม่ได้หรอกว่าเธอชื่ออะไรเพราะเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว  แต่จำทำนองที่แตกต่างจากต้นฉบับได้ไม่ลืม เมื่อผมมีปูมเพลงของ Joel Whitburn  ผมก็ควานหาเพลงฉบับนี้  แต่หาไม่เจอ  ความสงสัยมาสิ้นสุดในปี 2011 เมื่อผมได้อ่านข่าวการเสียชีวิตของนักร้องคนหนึ่งชื่อ Kathy Kirby  จากรายละเอียดถึงรู้ว่าเพลงฉบับที่ว่าเป็นเสียงร้องของเธอนั่นเอง  เธอเป็นนักร้องชาวอังกฤษ  เพลงของเธอไม่ได้ข้ามฟากมาเล่นที่อเมริกาเลย  นี่เป็นเหตุผลที่ผมหาเพลงฉบับนี้ในปูมเพลงของ JW ไม่เจอ

รายละเอียดเล่าว่าเธอมีอีกเพลงที่ดังกว่า  เป็นฉบับที่เอาต้นฉบับมาแต่งทำนองใหม่  ผมรีบเปิด youtube หาเพลงนี้ทันที  อุ๊แม่จ้าว... มันเพราะจริง ๆ  ท่วงทำนองแตกต่างจากต้นฉบับเช่นกัน  ฟังฉบับนี้แล้วลืมต้นฉบับไปเลย  ไม่รู้ว่าวิทยุบ้านเราเคยเอามาเปิดบ้างรึเปล่า



นำเสนอเพลงอื่น ๆ





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 358  เมื่อ 02 ม.ค. 24, 18:30

เพลงของ Michael Johnson  เป็นขาประจำของดีเจวิทยุ  ในยุคนั้นมีหลายเพลงเลยละ





และ 2 เพลงโปรด



(เพลงนี้ดังมาก ๆ ในบ้านเรา  แต่ผมดูในตาราง billboard แล้ว  เพลงนี้ไม่เข้าอันดับใด ๆ เลย  แสดงว่าไม่มีใครสนใจ… นอกจากดีเจบ้านเรา)

หมายเหตุ - พอรู้ว่าเธอตายแล้ว  ผมอดดีใจลึก ๆ แบบเห็นแก่ตัวไม่ได้ว่า  ดีจัง  อยากนำเสนอเพลง (singles) ของเธอ  เพราะ ๆ ทั้งนั้น


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 359  เมื่อ 03 ม.ค. 24, 18:47

จากความรู้ที่ได้รับในเวลาต่อมาผมรู้ว่า Bill Withers นั้นโด่งดังมาตั้งแต่ต้นยุค 70s แล้ว  แต่ผมมารู้จักเธอในต้น 80s กับเพลงดังสะท้านฟ้าที่ทุกคลื่นเพลงฝรั่งต้องเปิด

(Credit ของเพลงเป็นของ Glover Washington Jr. ซึ่งเป็นนักเป่า saxophone  แต่คนร้องเพลงคือ BW เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 2 ของตาราง billboard)

ส่วนในช่วงดังจากงานเดี่ยวของเธอคือช่วงเปิดศักราชในต้น 1970s นี่คือเพลงดังที่ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินจากวิทยุรึเปล่า






(เพราะ ๆ ทั้งนั้นเลย  ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดหูผมไปหมด)


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 32
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.085 วินาที กับ 19 คำสั่ง