เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 32
  พิมพ์  
อ่าน: 66071 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [2]
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 270  เมื่อ 25 ต.ค. 23, 20:38

เคยอ่านมาว่า (บัดนี้ก็ยังมีคนกล่าวแบบนี้กันอยู่) คนในวงการเพลงในยุคนั้นบอกว่าเสียงของ Mama Cass เป็นน้ำเสียงที่เพราะมากแต่ตอนอยู่ในวง  เพลงดัง ๆ ที่เราได้ยิน  เธอจะร้องแค่ประสานเสียงเลยไม่ค่อยได้ยินเสียงของเธอเดี่ยว ๆ จนกระทั่งวงแตกแล้วเธอเริ่มต้นเป็นศิลปินเดี่ยว  ถึงได้โชว์น้ำเสียงเต็มที่





นี่คือเพลงโปรดของผม  วิทยุเปิดเพลงนี้บ่อยครั้งอยู่



จบเรื่องนี้ด้วย clip จากสารคดีชื่อ Echo in the canyon ที่ผมเอ่ยถึง  พิธีกรนำเรื่องชื่อ Jakob Dylan ซึ่งเป็นลูกชายของ Bob Dylan ศิลปินที่วงการเพลงฝรั่งทั่วโลกยกย่องให้เป็น a major figure of popular culture  และได้รับการยกย่องเป็น one of the greatest songwriters ever.  JD นำเพลงดังเพลงหนึ่งของวง M&P มาขับร้องใหม่ (cover)  ผมว่าทำได้ดีมากแม้เสียงจะสู้ต้นฉบับไม่ได้ 



ผู้หญิงสูงอายุในตอนท้ายคือ Michelle Phillips  สมาชิกคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของวงฯ  เธอคือจุดกำเนิดของเพลงนี้  อย่างที่เคยเล่าว่า สามี John Phillips เขียนเพลงนี้เพื่อต่อว่าเมียในฐานที่ร่านมาก  เที่ยวได้นอนกับผู้ชายไปทั่ว  มีตอนหนึ่งในสารคดี  ผมจำรายละเอียดไม่ได้จำได้ว่า JD ถามอะไรบางอย่าง  เธอตอบว่า “I don’t know. I was ‘too busy’ back then”  เป็นประโยคที่จี้มาก  หัวเราะกันกลิ้งทั้งในจอและนอกจอคือผม




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 271  เมื่อ 26 ต.ค. 23, 20:34

ในยุคนั้นยังมีวงดนตรี style เดียวกับ The Papas and Mamas อีกหนึ่งวง  แนวดนตรีสดใสที่ฝรั่งนิยามไว้ว่า sunshine pop บ้านเราเปิดเพลงเหล่านี้  แต่ไม่บ่อยเท่าวง M&P  อีกทั้งเพลงฮิตของพวกเขาก็มีไม่มาก  พวกเราส่วนใหญ่จึงลืมชื่อวงนี้

ฟังเพลงนี้ทีไรพอถึงช่วงที่ว่า “What a day for picking daisies” แล้วอดนึกถึงแสลงของไทยว่า ‘เก็บดอกไม้’  ที่ใช้เรียกผู้หญิงฉี่ (ส่วนผู้ชายฉี่ใช้ ‘ยิงกระต่าย’) ไม่ได้







นำเสนอ






บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 272  เมื่อ 27 ต.ค. 23, 20:17

อีก 1 สมาชิกของ Laural Canyon  Wikiฯ ตั้งนิยามวงนี้ไว้ว่า super group  ผมเดาว่าเป็นเพราะสมาชิกแต่ละคนต่างแยกมาจากวงเดิมที่ได้ชื่อว่าเป็นวงในตำนานทั้งนั้น

โดยเริ่มแรกวงนี้มีชื่อว่า Crosby, Stills & Nash  ต่อมา  Neil Young เข้ามาร่วมเลยเปลี่ยนชื่อเป็น Crosby, Stills, Nash & Young   แต่เธอไม่ใช่สมาชิกถาวร  เธอเข้า ๆ ออก ๆ  ในช่วงที่ผีเพลงเข้าสิง  เพลงที่ผมได้ฟังจากคณะนี้จะมาจาก 3 คนแรก

ในครั้งแรกตอนยังเด็ก ๆ ผมเคยได้ยิน 2 เพลงนี้  มารู้ทีหลังว่าขณะนั้นสมาชิกมี 4 คน





ตอนช่วงผีเพลงเข้าสิง  สมาชิกวงเหลือ 3 คน










มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 273  เมื่อ 28 ต.ค. 23, 20:12

สมัยยังหนุ่ม ๆ David Crosby เธอเป็นสมาชิกหนึ่งของวงตำนานชื่อ The Byrds (คนไหนหนอ)



(นักร้องนำคือ Roger McGuinn ที่มีชื่ออยู่ในเนื้อเพลง Creeque Alley ของคณะ The Mamas & The Papas… McGuinn and McGuire're just a gettin' higher in L.A., you know where that's at)


(ตอนนี้ DC (โดนไล่) ออกไปแล้ว)


(เพลงโปรดของผม)

เพลงเพราะอื่น ๆ












หมายเหตุ – จากเพลง Creeque Alley ของ The Mamas and the Papas  ชื่อ McGuire ที่เอ่ยถึงคือ Barry McGuire (ยังไม่ตาย) เธอมีเพลงดังติดอันดับ 1 บนตาราง billboard ที่ดีเจบ้านเราเอามาเปิดคือ


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 274  เมื่อ 29 ต.ค. 23, 20:00

Marty Robbins เป็นศิลปินแนว country  ในบ้านเขา  ในบ้านเรา  เธออยู่ในแขนง golden oldies  เพลงที่วิทยุเปิดประจำจนติดหูไม่มีลืม



จากปูมของ Joel Whitburn เธอมีเพลงดังในอันดับเพลง country เป็นกระบุง  แต่มีเพียงบางเพลงที่ข้ามมาในอันดับเพลง Pop  แล้วก็ไม่ดังเท่า El Paso  วิทยุบ้านเราที่เปิดเพลงอิงกับอันดับเพลง pop ก็เลยไม่เอามาเปิด
เพลงแรกนี้ออกตลาดในปีเดียวกับ Guy Mitchell  แต่ในอันดับเพลง pop ฉบับของ GM ดังกว่ามาก  และดังมาถึงเมืองไทยด้วย







บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 275  เมื่อ 30 ต.ค. 23, 20:23

ถ้าผมได้มีโอกาสจัดรายการเพลง  ผมจะใช้เพลง Yesterday once more ของคณะ The Carpenters เป็นเพลงเปิดรายการ  เนื้อเพลงเพลงนี้สุดจะแทงใจ ... When I was young, I listened to the radio waiting for my favourite songs … แค่ประโยคแรกก็เข้ากลางเป้าแล้ว  ตอนเพลงออกใหม่ ๆ ในปี 1973  ผมไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับเนื้อเพลงหรอกเพราะผมเพิ่งมีอายุแค่ 10 กว่าขวบ  จะมีความหลังอะไรมากมาย  แต่ตอนนี้เลข 70 อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม  อารมณ์ถวิลหามันเพิ่มพูนขึ้น  เนื้อเพลงเพลงนี้จับใจไม่มีที่ติ…

ตอนผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก  นึกว่าเป็นเสียงของ Elvis Presley  แต่ไม่ใช่  เจ้าของเสียงคือ Terry Stafford 



เพื่อย้ำในน้ำเสียงที่เหมือนมาก  ฟังอีกเพลง



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 276  เมื่อ 31 ต.ค. 23, 19:59

ในยุค 60s ที่บ้านเธอ Aretha Franklin ได้รับสมญานามว่า Queen of soul  ในด้านเพลง soul โดยเสียงของนักร้องหญิงไม่มีใครเกินหน้าเธอ  นั่นหมายความว่าเธอมี singles เข้าอันดับตารางเพลง soul เป็นว่าเล่น  บางเพลงก็ข้ามมาอาละวาดในอันดับเพลง pop  ความดังของเธอมากมายขนาดมีคนเอาประวัติไปสร้างหนัง

อย่างไรก็ตามความดังของเธอแผ่มาไม่ถึงบ้านเรา  เท่าที่จำได้วิทยุเปิดเพลงของเธอน้อยมาก  ที่เปิดบ่อยที่สุดก็คือ signature ของเธอเพลงนี้



เพราะเหตุนี้ในตอนนั้นผมถึงรู้จักเธอน้อยมาก  เพลงดังกล่าวที่ได้ยินก็ไม่ได้ชอบ  ผมว่ามันห่าม ๆ  จนกระทั่งกาลเวลานานแสนนานต่อมาเมื่อผมได้รู้จัก ซี้คลาสสิก ซึ่งบ้าเพลง soul ด้วย  เธอตกใจมากที่ผมไม่รู้จัก AF เท่าไรทั้ง ๆ ที่ peak ของเธออยู่ในช่วงที่ผมเริ่มชอบเพลงฝรั่งแล้ว  เธอก็เลยจับผมมานั่งฟังเพลงของเธอจากแผ่นเสียงรวมเพลงฮิต  เท่านั้นแหละผมก็ต้องมนตร์จังงัง  เพลงของเธอมีสีสันมาก  ถ้าเป็นเพลงเร็วจังหวะชวนขยับขาจริง ๆ  ตอนนั้น disco ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ









เพลงจังหวะช้าก็แสนจะเพราะ





รวมถึงเพลงนี้ซึ่งส่งออกมาเข้าอันดับ (เพลง pop) โดยสองเจ้าแม่เพลง soul คือ Dionne Warwick กับ AF  แค่ต่างกันไม่ถึงปี  โดย DW ออกมาก่อนแล้วก็ฮิตติดหูจนได้แผ่นเสียงทองคำ

ฉบับของ AF ตามออกมาห่างกันไม่เกิน 1 ปี  ซึ่งตามหลักแล้ว  ผู้ฟังไม่น่าสนใจเพราะมันเพิ่งฮิตไปหยก ๆ  แต่เผอิญฉบับที่  2 นี้ท่วงทำนองต่างกัน  ของ AF ออก soul มากกว่า  ส่วนของ DW ออกไปทาง pop  ผู้ฟังคงสรุปว่ามันเพราะทั้งคู่ (ก็จากลูกยุของเหล่าดีเจนั่นแหละ เอามาเปิดล่อ) ผลคือฉบับของ AF ก็สามารถคว้าแผ่นฯ ทองคำมาได้ด้วยเช่นกัน

ในบ้านเราวิทยุเปิดแต่ฉบับของ DW  ผมไม่เคยได้ยินฉบับของ AF  พอมาได้ฟังฉบับของเธอ  ผมลืมฉบับของ DW ไปเลย





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 277  เมื่อ 01 พ.ย. 23, 20:01

ที่อเมริกา Marvin Gaye คือเจ้าพ่อเพลง soul ตลอดกาล  เธอแต่งและร้องเพลงเอง  เนื้อเพลงส่วนใหญ่ล้วนมีเนื้อหาที่หนักแน่นในด้านชีวิตและสังคม  อาชีพของเธอมั่นคงและยืนยาวมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการจวบจนวันสุดท้ายเมื่อเธอโดยพ่อแท้ ๆ ฆ่าตายหลังจากเกิดมีปากมีเสียงกัน

ในขณะที่บ้านเขาเปิดเพลงของ MG อย่างสม่ำเสมอแต่ในบ้านเราผมจำได้ว่าได้ยินเพลงของเธอน้อยมาก  เพลงที่ดังจริง ๆ คือเพลงนี้ 

(ฉบับอัดจาก studio เยี่ยมที่สุด มันดังทั้ง 2 ฝั่งคือบ้านเขาและบ้านเรา)

รวมถึงอีกเพลงที่ดัง 2 ฝั่งฟ้าในเวลาอีกนานต่อมา



จนกระทั่งผมโตมาก ๆ และเจอเพื่อนฝรั่งที่เป็นผีเพลง soul ทำให้ผมมีโอกาสได้ฟังเพลงดังอื่น ๆ ของเธอ  ผมว่าในยุคแรก ๆ เพลงเธอถูกหูผมมากกว่า







นอกจากร้องเดี่ยวแล้ว เธอยังร้องคู่กับนักร้องหญิงหลายคนเช่น





และเพลงนี้ที่ดังในบ้านเราสุดขีด




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 278  เมื่อ 02 พ.ย. 23, 21:02

ถ้าจะฟังเพลงแปลก ๆ ที่คลื่นเพลงฝรั่งอื่น ๆ เค้าไม่เปิดกัน (เรียกว่า แปลก ตรงนี้) ต้องหมุนไปที่คลื่นของเครือ nite spots  ผมไม่ใช่ขาประจำของเครือนี้  แต่วันนั้นผมได้ยินเพลงนี้ดังออกมาคลื่นหนึ่งของเครือ ฯ นี้


มันติดหูและติดใจทันที  พอมั่นใจว่าชอบเพลงนี้และอยากฟังเพลงอื่น ๆ ของเธอ  ผมก็ออกหาซื้อแผ่น album  แต่อนิจจาหาไม่ได้เอาเลย  สมัยนั้นหาอะไรได้ยาก  โดยเฉพาะของแปลก ๆ ที่ชาวบ้านไม่นิยมเช่นแผ่นเสียง
 
ร้านแผ่นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ อยู่ที่วังบูรพา  ร้านนี้ผมมีประสบการณ์น้อยมากเพราะไกลจากบ้าน  เคยไปเยี่ยมแค่ 2 หน  เป็นร้านที่ใหญ่มาก  แต่ก่อนจำชื่อได้  รองลงมาก็ต้องที่ห้าง Central สาขาต่าง ๆ (ตอนนั้นมีแค่ 2) สาขาที่ผมถนัดไปที่สุดคือสาขา สีลม

ผมเคยเล่าแล้วและอยากเล่าอีกว่าบรรยากาศของสาขานี้น่าเดินมาก  ที่ผมจะสิงสู่อยู่เป็นประจำคือชั้นบนสุดอันเป็นแผนกแผ่นเสียงและหนังสือ  แผนกโปรดของผมทั้งคู่  อ้อ... มีร้านอาหารของห้างชื่อ The Terrace  ลักษณะเป็น open kitchen  บรรยากาศของร้านสุดยอด  ผมชอบหาที่นั่งริมหน้าต่าง  เมื่อมองผ่านหน้าต่างลงไปข้างล่างจะเห็นรถราวิ่งกันขวักไขว่บนถนนสีลม  รถเมล์ที่ครองย่านนั้นคือรถเมล์บุญผ่อง

นอกจากนี้  ร้านแผ่นเสียงดัง ๆ ในยุคนั้นเท่าที่ผม ‘ช็อป’ มาก็ห้างแผ่นเสียงอินทรา  เจ้าของมีอายุระดับน้าที่มีอัธยาศัยเยี่ยมมาก  ตอนนั้นผมอายุยังไม่ถึง 20 เลยแต่น้าแกก็ชวนคุยอย่างสนุกสนานทุกครั้งที่เห็นหน้าผมโผล่เข้ามา 

ผมซื้อแผ่นฯ จากร้านของแกเป็นประจำ  วันหนึ่งได้อ่านหนังสือพิมพ์มีรายงานข่าวใหญ่เกี่ยวกับการฆาตกรรม  ตอนนั้นไม่รู้สึกรู้สม  มาเอะใจตรงที่นสพ. ลงรูปสถานที่เกิดเหตุคือห้างแผ่นเสียงอินทราซึ่งตั้งอยู่หลังด้านข้างของบันไดเลื่อนขึ้นชั้นสองของห้างลึกเข้าไปในตัวตึก  ผมรีบอ่านข่าวอย่างว่องไว  พบว่าเหยื่อฆาตกรรมก็คือน้าคนขายแผ่นเสียงของผมนั่นเอง

แต่เพื่อความแน่ใจ  สุดสัปดาห์ต่อมาผมก็กระโดดขึ้นรถเมล์ไปดู  ปรากฏว่าเป็นจริงเพราะร้านปิด  ผมก็เลยต้องออกล่าหาร้านแผ่นเสียงใหม่  ใกล้ ๆ กันก็มีอีกร้านรู้สึกจะใหญ่กว่าด้วยแต่ผมไม่ได้ซื้อแผ่นฯ ที่ร้านนี้ไม่รู้เพราะอะไร  จำสาเหตุไม่ได้

ผมตามหาแผ่นของนักร้องคนนี้อยู่ปีกว่า  ถึงตอนนั้นเธอออกแผ่นฯ ที่ 2 ไปแล้ว  ผมเจอแผ่นที่ 2 นี้ที่ห้าง The One (ถ้าจำไม่ผิด)  อยู่ตรงหัวถนนสีลม  เจอร้านนี้โดยบังเอิญ  อย่าลืมว่าสมัยนั้นไม่มีอุปกรณ์ช่วยค้นหาเหมือนเดี๋ยวนี้  ถึงวันหยุดทีถ้าว่างก็จะออกเดินท่อม ๆ หาร้านแผ่นเสียง  แล้วมันก็ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกระจุกเสียที่ไหน  ถึงบอกว่าเจอร้าน The One นี้โดยบังเอิญ

ที่ร้านนี้ผมถามหาแผ่นเสียงแผ่นแรกของเธอ  ทางร้านบอกว่าหมดไปแล้ว  แหม... ผิดหวังสุดขีด  เอาไงดีหว่า  อ้ะ... ไหน ๆ ก็มาแล้ว  ตกลงแผ่นเสียงแผ่นแรกของนักร้องคนนี้ที่ผมซื้อกลายเป็นแผ่นที่ 2 ของเธอ


(ตอนฟังวิทยุ  ดีเจอ่านชื่อของเธอว่า ‘ฟีบี้’  เป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน  ฟังแล้วสะกดไม่ถูก  พอเห็นตัวหนังสือแล้วก็อ่านไม่ออกเช่นกัน  ตอนผมไปถามหาแผ่นเสียงของเธอ  ผมก็เอ่ยชื่อ ฟีบี้ สโนว์  บรรดาคนขายก็ส่ายหน้า  ไม่รู้ว่าต่างมีปัญหาในการอ่านชื่อเธอรึเปล่า  จึงบอกว่าไม่เคยได้ยิน  ผมได้แผ่นฯ นี้เพราะพลิกหาเอง  ผมลองถามคนขาย  เธออ่านว่า ‘โฟบ สโนว์’)

พอถึงบ้านก็แกะฟัง  พบว่าถูกหูน้อยเพลงมาก  เพลงใน album ที่ 2 นี้ที่ผมว่าเพราะและอยากนำเสนอมีเพลงเดียว



เพราะมันเป็นแผ่นที่สอง  ซึ่งดูจากอันดับแผ่นเสียงแล้วพบว่ามันไปได้ไม่ดีเท่าแผ่นแรก  single ที่เข้า top 40 ก็ไม่มี  แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่างั้นแผ่นแรกมันอาจจะเพราะกว่าก็เป็นได้  ก็ยังคงออกตามล่าต่อ

ในที่สุดผมก็มาได้แผ่นฯ แรกนี้ที่ร้านแผ่นเสียงเก่าแก่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามสถานทูตอินโดนีเซีย  ร้านชื่อ Rex  ร้านนี้ดังมากในหมู่คนเล่นแผ่นเสียงเพลงฝรั่งเพราะมีแผ่นฯ เยอะ  และมีบริการอัดเพลงจากแผ่นฯ ลง cassette tape ด้วย
 
ผมรู้จักร้านนี้มาเก่าก่อนแต่เข้าไปน้อยครั้งมากเพราะไม่ถูกอัธยาศัยกับคนขาย  คนขายมีกัน 2 คนพี่น้อง  คนพี่เป็นผู้หญิง  คนนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสดี  แต่คนน้องเป็นผู้ชายซึ่งจะอยู่โยงตลอดนี่  ขออนุญาตใช้คำพูดแบบวัยรุ่นซึ่งตรงกับวัยของผมตอนนั้นว่า 'พูดจาหมาไม่แดก’  เป็นต้นว่า  ‘มีแผ่น ... นี้มั้ย’  คำตอบคือ ‘ไม่มี’  แล้วเดินไปเลย  นี่ยังนุ่มนวล  ผมเคยเจอแบบนี้ ‘มีแผ่น ... นี้มั้ย’  คำตอบคือ ‘จำไม่ได้  ไปหาเอา’  ไอ้หอก... แผ่นเสียงร้านมึงมีเป็นพันแผ่น  แล้วมึงก็เป็นคนสั่งเข้ามาขาย  ใจคอจะไม่ทำท่านึกซักนิดหรือช่วยหาซักหน่อย  จะให้กูยืนขาแข็งพลิกหาจนถึงค่ำมืดรึไง

ตั้งแต่คราวนั้นผมก็เลิกเข้าร้านฯ นี้  แต่ถ้าครั้งไหนเดินผ่านแล้วเห็นคนพี่สาวเฝ้าร้าน  ผมจะโฉบเข้าไปสอดส่องทันที  และครั้งหนึ่งท่ามกลางโอกาสอันน้อยนิดผมก็พบแผ่นฯ ของ Phoebe Snow แผ่นแรก  ผมจ่ายตังค์แล้วรีบกลับบ้านมาเปิดฟังทันที  วางเข็มลงบนแผ่นฯ ลองเพลงละนิดละหน่อยตั้งแต่เพลงแรก  แล้วใจแป้วลงเรื่อย ๆ  คือนอกจากเพลง Poetry Man แล้วหาเพลงอื่นที่ถูกหูไม่ได้เลย  พอเป็นแบบนี้ทั้ง 2 แผ่นก็สรุปได้ว่าแนวเพลงของเธอไม่ถูกโฉลกกับผม




มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 279  เมื่อ 03 พ.ย. 23, 20:17

หลังจากหมดเงินไปกับ 2 แผ่นแรกของ Phoebe Snow  แล้วพบว่าขาดทุนย่อยยับ  ผมก็เลิกตามงานของเธอ  แต่ข่าวคราวของเธอก็ยังมีมาให้เสพย์ (ทาง Starpics) อยู่เนืองๆ   ข่าวโดยสรุปบอกว่าหลังจากแผ่นเสียง 2 แผ่นแรก  ความนิยมในเพลงของเธอก็ลดลง  เธอก็สะสมแต้มต่อไม่ได้  คาดว่าแนวเพลงเหมาะสำหรับนักฟังเพลงในวงแคบ  

อย่างไรก็ตาม  เพลงของเธอยังดังออกมาจากลำโพงวิทยุอยู่ประปราย  เช่นเพลงนี้ซึ่งฟังได้ชัดว่าเปลี่ยนแนวแล้ว



สำหรับเพลงนี้เธอมาช่วย Paul Simon ร้อง  แนว rock และมันมาก



ส่วนเพลงนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน  เห็นครั้งแรกทาง youtube นี่แหละ  เพราะสุดขีด  แถมร้องกับสุดรักของผม Linda Ronstadt  เลยเอามาให้ดูเธอ in action

น่าเสียดายที่เพลงฉบับนี้ไม่มีอยู่ในรูป file เสียง  

ชีวิตของ PS รันทดมาก  เนื่องจากเหตุเกิดก่อนยุค อตน.  ข่าวของเธอมาเข้าตาผมจาก นส. SP  ยุคนั้นแหล่งข่าวมีให้เสพย์น้อยมาก  ยิ่งข่าวบันเทิงต่างประเทศละก็หายห่วง  ผมต้องคอยเสพย์จาก SP ซึ่งออกรายปักษ์  ข่าว (ต่าง ๆ) จึงอ้อยสร้อยอยู่นาน  กว่าจะถึง SP ฉบับหน้า  ฉะนั้นแม้จะเป็นข่าวจุ๋มจิ๋มจึงอยู่ในความทรงจำได้นาน  มันทำให้ผมลืมได้ยาก

ข่าวบอกว่า PS แต่งงานและมีลูก  แต่เคราะห์กรรม  ลูกของเธอ (มารู้โดยละเอียดทาง Wikiฯ ว่า) born with severe brain damage (มิอาจแปลเพราะไม่ใช่หมอ)  PS ตัดสินใจไม่ส่งลูกเข้ารับการรักษาแต่ศึกษาหาความรู้และดูแลเองอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง  SP ติดตามข่าวมาให้ผมรู้เพียงเท่านี้

ผมสงสัยอยู่นานว่า  แล้วไงต่อ  แต่ก็หาข่าวต่อไม่ได้  จนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิด  ผมจึงได้มีโอกาสตามข่าวต่อ...  PS ดูแลจนกระทั่งลูกของเธอตายขณะอายุได้ 31 ขวบ (2007) ช่วงเวลา 31 ปีที่เธออุทิศตนเพื่อดูแลลูกทำให้อาชีพของเธอขาดความต่อเนื่อง  เรียกง่าย ๆ ว่าเกือบทำลายอาชีพของเธอจนย่อยยับ  เธอไม่สามารถเรียกคะแนนจากผู้เสพย์กลับคืนมาได้  ต่อมาอีก 3 ปีคือ 2010 เธอก็พบความผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง  เธอ suffered a cerebral hemorrhage and slipped into a coma, enduring bouts of blood clots, pneumonia and congestive heart failure เธอเสียชีวิตในอีก 1 ปีต่อมา




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 280  เมื่อ 04 พ.ย. 23, 19:56

ผมไม่เคยได้ยินเพลงจากเสียงร้องเดี่ยว ๆ ของ Donny Hathaway  ทุกเพลงของเธอที่ได้ยินทางวิทยุเป็นเพลงร้องคู่กับ Roberta Flack ทั้งนั้น  เริ่มมาตั้งแต่เพลงนี้



แล้วมาดังที่สุดในบ้านเราจากเพลงนี้



มารู้เกร็ดในภายหลังว่า แต่แรกเริ่มเพลงนี้เป็นเพลงแต่งขึ้นสำหรับร้องเดี่ยว  แต่ ผจก. ของ RF ซึ่งเคยเป็น ผจก. ของ DH มาก่อนเห็นว่าถ้าแปลงเป็นเพลงร้องคู่จะน่าฟังกว่า

ถ้าสังเกต  จะเห็นว่าใน clip จะเห็นแต่ RF เท่านั้น  ไม่เห็น DH
 
มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมาตั้งแต่การตั้งใจจะอัดเสียงเพลงนี้เลย (ขออนุญาตไม่แปลเพราะไม่มีสมาธินานพอ)

DH had been suffering from severe bouts of clinical depression at the time, which often forced him to be hospitalized. The depression also caused mood swings, which adversely affected his partnership with RF.

DH’s suffering had made it impossible for him to travel from Chicago to New York City to join RF in the studio to record "The Closer I Get to You". RF recorded her part of the song with a session singer as a stopgap duet partner, the track being sent to Chicago for DH to add his vocal and then back to New York City for its final mixing.

After the successful release of "The Closer I Get To You" in 1978, RF and DH then resumed studio recording to compose a second album of duets. The sessions were underway in 1979. On January 13, it was reported that although DH was singing fine, he began behaving irrationally, seeming to be paranoid and delusional. According to a source, DH said that white people were trying to kill him and had connected his brain to a machine for the purpose of stealing his music and his voice. Given DH's behavior, the producer said that he decided the recording session could not continue, so he aborted it and all of the musicians went home.

Hours later, DH was found dead on the pavement below the window of his 15th-floor room in New York City's Essex House hotel. It was reported that he had jumped from his balcony. The glass had been neatly removed from the window and there were no signs of a struggle, leading investigators to rule that DH's death was a suicide. According to the producer, DH's final recording was "You Are My Heaven”

มาฟังเพลงที่เอ่ยถึงนี้กัน  ผมชอบจังหวะมันมาก



และอีกเพลง

2 เพลงนี้เป็น singles  แต่ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ  มาได้ยินตอนซื้อแผ่นเสียงรวมเพลงฮิตของ RF

ทีนี้สาเหตุที่ใน MV เพลง The Closer I Get to You เราไม่เห็น DH เลย…

A music video for "The Closer I Get to You" was shot and directed by RF herself. The video begins with RF's singing while sitting by a piano in a candle-lit room. DH had died by the time the music video was shot, so as his verse plays, the camera zooms into a picture of DH located on a table behind RF's shoulder. RF performs the rest of the song sitting by the piano, and the camera's direction occasionally looks over a candle flame during DH's verses. The video ends with RF's mouthing some of DH's lyrics as she fades into the camera's view of the room lit by a single candle.

นี่เป็นเพลงแรกที่ทั้ง 2 ร้องคู่กัน (1971)  มันรวมอยู่ในแผ่นเสียงรวมเพลงฮิตของ RF



นำเสนอเพลงจากเสียงร้องเดี่ยวของเธอ 

เริ่มแรกเพลงนี้เป็นของคนขาว (คนแต่ง และ คนร้อง) ผมได้ยินครั้งแรกจากเสียงร้องของ Karen Carpenter ต่อมาก็ Helen Reddy จากนั้นก็คนโน้นคนนี้รวมถึงจากเสียงของคนแต่งเองคือ Leon Russell  ซึ่งก็เพราะละ  แต่พอมาได้ฟังฉบับของ DH แล้ว  โอ้โฮ... ผมว่าเพลงนี้เหมาะกับเสียงของคนดำมากกว่า



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 281  เมื่อ 05 พ.ย. 23, 20:15

James Ingram เป็นศิลปินผิวดำอีกคนที่มีชื่อเสียงอยู่ในยุคต้น 80s  (ความจริงมีอีกแต่ยังอยู่ดีกินดีกันทั้งนั้น)  ช่วงนั้นวิทยุเปิดเพลงของเธอเป็นประจำ  เธอมักจะมาแบบเก๋ไก๋ดูวุ่นวายและสับสนคือ  มาในฐานะนักร้องเดี่ยวบ้าง  ในฐานะนักร้องคู่กับคนโน้นคนนี้บ้าง  แต่ละเพลงก็เพราะ ๆ ทั้งนั้น  ถึงจำชื่อเธอได้แม่นยำ

เพลงดัง (มาก) ในบ้านเราในฐานะนักร้องเดี่ยว



(เพลงนี้สมบูรณ์จริงๆ  ไอ้เสียงหอนนี่  มีแต่คนดำเท่านั้นที่หอนได้เพราะและเซ็กซี่  ผมเคยได้เห็น/ยิน (แบบบังเอิญ)  นักร้องไทยทำบ้าง  หูยยยย...  ขนลุกเกรียว  อย่าพยายามเก่งไปทุกอย่างโดยไม่ดูความสามารถของตัวเองเลย  บางอย่างก็ต้องยกให้เค้าเนอะ  นักร้องมืออาชีพผิวขาวบ้านเขายังไม่กล้าแหยมเข้ามาในแดนนี้เลย)

สำหรับในฐานะนักร้องคู่  เป็นเพลงที่ทั้งดังและเพราะทั้งนั้น  เริ่มมาจากเพลงนี้







และเพลงดัง 2 ฝั่งฟ้าที่นักฟังเพลงฝรั่งทุกคนต้องจำได้ (แต่จำชื่อนักร้องไม่ได้)



JI ออกเพลงอย่างสม่ำเสมอจนเวลาล่วงเลยไปถึงยุค 90s  แต่มันเลยขอบเขตการฟังเพลงของผมไปแล้ว



eliminate duplicates online
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 282  เมื่อ 06 พ.ย. 23, 20:01

ถ้าไม่มีปูมอันดับเพลงของ Joel Whitburn ก็จะไม่รู้ว่า Al Jarreau เป็นศิลปินเพลง soul ที่คร่ำหวอดในวงการเพลงมาตั้งแต่ยุค 60s  โน่นเพียงแต่ยังไม่เด่นดัง  ชื่อเสียงของเธอมาระเบิดตูมในปี 1981 กับเพลงนี้ที่นอกจากเครือ Nite Spot จะเปิดสม่ำเสมอแล้ว  คลื่นอื่นก็ระดมเปิดตามเพื่อความไม่น้อยหน้า



นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จัก AJ  เพลงนี้ต้องดังมากเพราะผลจากความดังทำให้ album ที่บรรจุเพลงนี้มีวางขายในแทบทุกร้านแผ่นเสียงในกรุงเทพฯ  (แต่ผมไม่ได้ซื้อ)  ความดังของเธอยังลากยาวมาถึง album ต่อไปซึ่งมีเพลงเด่นที่ สถน. Nite Spot ไม่พลาดที่เอามาเปิด



แม้อีกไม่นานความดังของ AJ จะแผ่วลงตามกฏของธรรมชาติ  แต่เธอก็ยังออกเพลงมาอย่างสม่ำเสมอ  ตอนนั้นไม่รู้ว่าออกมากี่เพลง  เพราะนอกจากไม่ใช่แนวแล้วยังอยู่ในช่วงปลายของวงจรการฟังเพลงของผม  อย่างไรก็ตามวันหนึ่งเพลงนี้ก็แพลมออกมาจากลำโพงวิทยุให้ได้ยิน  ตอนนั้นนึกว่าเป็นเสียงของ George Benson  ออกแนวเดียวกันเลย



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 283  เมื่อ 07 พ.ย. 23, 20:28

น่าแปลกที่เท่าที่จำได้รายการ golden oldies ไม่นิยมเปิดเพลงบรรเลงฝรั่ง  แต่ผมก็คุ้นหูกับเพลงประเภทนี้มานานนม  คงไปได้ยินจากคลื่นต่าง ๆ

Billy Vaughn...  ผมเช็ค singles ของเธอบนอันดับเพลง top 100 ของปูมของ Joel Whitburn แต่ไม่พบเพลงนี้  มาอ่านใน wikiฯ ถึงพบว่าเพลงนี้ดังมากที่ญี่ปุ่น  ที่อเมริกาขึ้นไปถึงแค่อันดับที่ 120



ส่วนเพลงนี้พวกเราจะคุ้นกับฉบับที่มีเสียงร้อง  แต่อนิจจา เจ้าของเสียงยังไม่ตาย



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 284  เมื่อ 07 พ.ย. 23, 20:30

The Mar-Keys กับเพลงคุ้นหู



นำเสนอ





บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 32
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 19 คำสั่ง