เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 345 เมื่อ 01 ม.ค. 25, 19:35
|
|
มีคำ ๆ หนึ่งซึ่งเราได้ยินบ่อยในปัจจุบัน คือคำว่า "รามา" คนไทยทั่วไปได้ยินไม่นึกถึงชื่อโรงพยาบาล ก็ต้องนึกถึงชื่อสะพาน หรือ ชื่อถนน อันมีที่มาจากพระนามของพระราม อันเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ จากเรื่องรามายณะของอินเดีย หรือ รามเกียรติ์ของไทย แต่หากถ้าเราเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อาจจะแปลกใจว่าคำนี้ไม่มีความหมายเกี่ยวข้องกับพระรามตามที่เราเข้าใจเลย พจนานุกรมให้ความหมายว่า "รามา เป็นภาษาพูด (ปาก) หมายถึง ข่มเหง, รบกวน, เช่น พอเมาเหล้าก็ชอบรามาชาวบ้าน" เดี๋ยวนี้คงไม่มีการใช้คำนี้ในความหมายตามพจนานุกรมแล้วหนอ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 346 เมื่อ 02 ม.ค. 25, 14:53
|
|
รามาในที่นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคำว่า ราวี นะครับ ความหมายใกล้เคียงนัก ดีไม่ดีอาจเพี้ยนมาจากคำว่าราวี ก็เป็นได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Namplaeng
|
ความคิดเห็นที่ 347 เมื่อ 03 ม.ค. 25, 14:20
|
|
ห่วย ๆ หรือ ของไม่ดี. ห่วย มาจากคำจีนถิ่นทางใต้ของจีน ที่เค้าใช้ว่า ฮวยห่วยครับ ( 灰货 / huī huò ) คำว่า ฮวยห่วย เป็นคำเก่าที่ผมได้ยินท่านใช้เมื่อวัยเด็กในย่านจีนเยาวราช แต่ปัจจุบันคงหาคนที่เคยได้ยินได้ฟังน้อยมากแล้วกระมัง ฮวย ( 灰 ) ท่านหมายถึงเถ้าที่เหลือหลังการเผาไหม้ และห่วย ( 货 ) ท่านหมายถึงสินค้า ฮวยห่วย จึงหมายถึง ของไร้ราคา หยิบจับอะไรไม่ได้ คนจีนแต่เดิมใช้เป็นคำปรามาสอย่างสุดๆ เลยครับ. เรากร่อนคำว่า ฮวยห่วย เหลือเพียง ห่วย.... อ้าง https://www.zdic.net/hans/灰货 实用方言词典(韩品夫) , 天津人民出版社, 1996 หน้า 115
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41287
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 348 เมื่อ 07 ม.ค. 25, 10:29
|
|
จักแหล่น, จั๊กแหล่น ว. จาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า จวนเจียน, เกือบ, หวุดหวิด, เช่น จักแหล่นจะไม่ทันรถไฟ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 349 เมื่อ 07 ม.ค. 25, 12:35
|
|
คำว่า จั๊กเดียม ก็ไม่ใคร่มีใครใช้พูดแล้ว  จั๊กเดียม = กระดาก, เขินอาย, อาการของคนที่รู้สึกเมื่อถูกจั๊กจี้, มักใช้เข้าคู่กับคำ จั๊กจี้ เป็น จั๊กจี้จั๊กเดียม จั๊กเดียม อ่านว่า จั๊ก-กะ-เดียม เช่นเดียวกับ จั๊กจี้ (จั๊ก-กะ-จี้), จักแหล่น (จัก-กะ-แหล่น) และ จั๊กแหล่น (จั๊ก-กะ-แหล่น)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41287
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 350 เมื่อ 08 ม.ค. 25, 09:54
|
|
ออเซาะ ก. ฉอเลาะ, ประจบประแจง. พร่ำพลอด (-พฺลอด) ก. พูดออดอ้อนออเซาะ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
unicorn9u
มัจฉานุ
 
ตอบ: 99
|
ความคิดเห็นที่ 351 เมื่อ 13 ม.ค. 25, 10:02
|
|
คำว่า "ฉัน" คำเดิม แต่ทุกวันนี้ ออกเสียงเป็น "ชั้น" กันหมด เคยออกเสียง ให้ถูก กลายเป็นหาว่าเราพูดเหน่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 353 เมื่อ 13 ม.ค. 25, 11:35
|
|
คำว่า "ฉัน" คำเดิม แต่ทุกวันนี้ ออกเสียงเป็น "ชั้น" กันหมด เคยออกเสียง ให้ถูก กลายเป็นหาว่าเราพูดเหน่อ
พูดถึง ฉัน-ชั้น แล้วนึกถึง เขา-เค้า เดี๋ยวนี้ ฉัน-เขา ค่อย ๆ กลายเป็นภาษาเขียน โดยในภาษาพูดใช้ ชั้น-เค้า แทน ตัวอย่างเช่น "ชั้นรักเค้า" "เค้า" นอกจากจะเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓ แล้ว เวลาพูดกับคู่สนทนาเชิง "ออเซาะ" ยังใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑ ด้วย ตัวอย่างเช่น "เค้ารักตัวเองนะ" 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
unicorn9u
มัจฉานุ
 
ตอบ: 99
|
ความคิดเห็นที่ 354 เมื่อ 13 ม.ค. 25, 14:03
|
|
"เค้ารักตัวเองนะ"  อันนี้ Google บอกว่า " He loves himself." 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 355 เมื่อ 18 ม.ค. 25, 06:52
|
|
ขอเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่ง ผมเคนอ่านเอกสารเก่าสมัยยุค 2480 พบว่ามีการใช้คำว่า ‘นักพรต‘ เรียกขานพระสงฆ์ ซึ่งโดยตามหลักนั้นก็ไม่ผิด คำนีสามารถใช้เรียกนักบวชได้หมด เพียงแต่ปัจจุบัน ผมเองไม่ใคร่เห็นใครที่ไหนเรียกพระสงฆ์ว่านักพรตอีกแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41287
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 356 เมื่อ 19 ม.ค. 25, 10:20
|
|
" เจ้ากู" หมายถึงพระสงฆ์ เป็นคำที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เรียกพระสงฆ์ในรัชสมัยของพระองค์ท่านค่ะ เดี๋ยวนี้เป็นคำที่ไม่มีใครรู้จักแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 357 เมื่อ 19 ม.ค. 25, 11:00
|
|
" เจ้ากู" หมายถึงพระสงฆ์ เป็นคำที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เรียกพระสงฆ์ในรัชสมัยของพระองค์ท่านค่ะ เดี๋ยวนี้เป็นคำที่ไม่มีใครรู้จักแล้ว
เคยได้ยินผู้สูงอายุในภาคอีสานบางพื้นที่ เรียกขานพระสงฆ์ว่า ‘เจ้าหัว‘ ครับ น่าจะเป็นลักษณะเดียวกัน เคยทราบมาว่าประเทศลาวแถบหลวงพระบาง ก็ยังใช้คำนี้อยู่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 358 เมื่อ 19 ม.ค. 25, 11:35
|
|
คำเรียกพระสงฆ์อีกคำหนึ่งซึ่งไม่ใช้กันแล้วคือคำว่า ขรัว ใช้เรียกพระสงฆ์ที่มีอายุมาก บวชมานาน หรือบวชเมื่อแก่ มักเรียกกันว่า ขรัวตา ขรัวปู่ หรือเรียกนำหน้าชื่อ เช่น ขรัวโต ขรัวอินโข่ง คำว่า ขรัว ยังมีอีก ๒ ความหมาย คือ ใช้เรียกผู้ที่เป็นตาหรือยายของพระราชโอรส พระราชธิดาชั้นพระองค์เจ้า คือเป็นคำเรียกคนธรรมดาที่มีลูกสาวได้เป็นเจ้าจอม พระชายา หรือหม่อมของพระราชวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง และลูกสาวคนนั้นให้กำเนิดบุตรซึ่งมีฐานันดรศักดิ์ตั้งแต่พระองค์เจ้าขึ้นไป ตาและยายของพระองค์เจ้านั้นก็ได้เป็นขรัวตาและขรัวยาย เช่น พระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ) เป็นขรัวตาของพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่สี่ ๑๐ พระองค์ และความหมายสุดท้าย ขรัว เป็นคำเรียกคนที่มั่งมีว่า เจ้าขรัว แต่ปัจจุบันไม่มีผู้ใช้ มีใช้แต่คำว่า เจ้าสัว ในความหมายเดียวกัน จาก รายการวิทยุ"รู้ รัก ภาษาไทย" ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41287
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 359 เมื่อ 20 ม.ค. 25, 09:33
|
|
โอละพ่อ หมายถึง กลับตรงกันข้าม, กลับกันไปหมด, ผิดความคาดหมาย. ราชบัณฑิตฯ อธิบายว่า โอละพ่อ เป็นสำนวน หมายความว่า กลับเป็นตรงกันข้าม เป็นสำนวนที่มักใช้กับเรื่องที่มีการเข้าใจผิดกัน เช่น เรื่องที่พ่อให้ข่าวว่าลูกพามาทิ้งไว้ ผู้คนจึงประณามลูกว่าใจร้าย แต่ข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นเรื่องโอละพ่อว่าพ่อหนีออกจากบ้านแต่พออยากกลับบ้านก็กลับไม่ถูก.
นอกจากนี้ คำว่า โอละพ่อ ยังเป็นคําขึ้นต้นบทร้องและรําในการละเล่นระเบ็งซึ่งเป็นมหรสพของหลวง เช่นบทที่ร้องว่า โอละพ่อขอถวายบังคม โอละพ่อเทวันมาบอก โอละพ่อยกออกจากเมือง โอละพ่อจะไปไกรลาศ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|