เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 2625 คนไทยเริ่มห้อยพระเครื่องตั้งแต่เมื่อไหร่
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
 เมื่อ 24 ก.พ. 25, 10:15

       
      ผมตั้งกระทู้นี้หลังอ่านหนังสือเรื่อง ‘สายลับพระปกเกล้า’ จบ ทั้งนี้เนื่องมาจากเนื้อหาบางส่วนของหนังสือระบุว่า สมัยก่อนคนไทยยังไม่นิยมห้อยพระเครื่องบนคอ จึงเกิดความสงสัยว่าการใส่สร้อยเส้นโตประดับพระเครื่องเต็มคอเหมือนในภาพประกอบเริ่มตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหน  ยิงฟันยิ้ม

       หมายเหตุ : กระทู้นี้เป็นการตั้งคำถามนะครับไม่ใช่เล่าเรื่องราว ผมจะนำข้อมูลมาลงเพิ่มเติมถ้าตัวเองหาได้ รบกวนอาจารย์ทุกท่านและเพื่อนๆ สมาชิกทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ

       
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 10:18

       ยกตัวอย่างจากเรื่องราววันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2485 ตอนที่คุณโพยม โรจนวิภาตและเพื่อนร่วมงานสถานีวิทยุที่สิงคโปร์จำนวนหนึ่ง กำลังเดินทางด้วยเรือไปอินโดนีเซียโดยมีเครื่องบินรบญี่ปุ่นไล่ตามหลังมาโจมตี ท่ามกลางช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายคุณโพยมได้พลันนึกถึงพระเครื่องที่ตัวเองนำติดตัวมา

      ในท้องเรือมนุษย์ทุกคนกำลังอกสั่นขวัญแขวน ยอร์จ สมิธ เหงื่อผุดเป็นเม็ดๆ เต็มหน้าผาก เขากอดลูกสาวคนโตนั่งชิดกับภรรยาซึ่งอุ้มลูกคนเล็ก ข้าพเจ้าบอกเธอว่า “ถ้าเรือแตก ให้ส่งลูกน้อยมาให้ผม ผมจะช่วยอุ้มลอยคอในน้ำ” มิสเตอร์ซี หัวหน้าแผนกจีนกับภรรยาและบุตรชายก็จับกลุ่มเกาะกันอยู่ มิสเซียว ยิ่งลีอยู่ใกล้ข้าพเจ้า เธอสงบเงียบไม่พูดอะไรเลย

       เสียงนกเหล็กของโตโจใกล้เข้ามามากแล้ว ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่า พระเครื่อง ‘โคนสมอ’ จากกรุวังหน้าสมัยรัชกาลที่ ๒ และล๊อกเกตรูปหลวงพ่อโต พรหมรังษียังอยู่ในกระเป๋าเดินทางบนดาดฟ้าเรือ ห่อไว้ด้วยผ้าประเจียด ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน เมื่อเปิดกระเป๋าหยิบพระได้แล้วจึงกลับลงมา โฆษกสาวเซียวยิ่งยิ้มอย่างดีใจ

       “นึกว่าโพยมจะทิ้งฉันไปรอขึ้นเครื่องบินญี่ปุ่น” เธออุตส่าห์ตลก

       “นี่คือผู้คุ้มครองผม คุณ และทุกคนในเรือนี้” ข้าพเจ้าชูพระให้เธอดู


       ภาพประกอบคือ ‘พระโคนสมอกรุวังหน้า’ ซึ่งน่าจะเป็นพระเครื่องที่คุณโพยม โรจนวิภาตหรือ พ.27 มีในหนังสือ ห่อไว้ด้วยผ้าประเจียดเก็บอยู่ในกระเป๋าเดินทาง เมื่อถึงเวลาจวนตัวจึงรีบนำพระมาไว้กับตัวเพื่อป้องกันภยันตราย น่าจะเป็นหนึ่งในหลักฐานว่าคนไทยยุค 2485 ยังไม่นิยมห้อยพระบนคอ แต่มีการนำพระเครื่องติดตัวเมื่อเดินทางไกลหรือไปในสถานที่ที่มีอันตราย

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 10:19

          พระโคนสมอกรุวังหน้า สร้างด้วย เนื้อครั่ง เนื้อผง เคล้ารัก และชาด แล้วบรรจุกรุไว้บนเพดานโบสถ์ และเจดีย์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้งเมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคตลง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ.2349 เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างพระปิดตาวังหน้าขึ้น โดยพระเกจิหลายๆ สำนักสร้างถวายเป็นพุทธมงคลขึ้น และได้นำไปบรรจุไว้ตามที่ต่างๆ และในที่เพดานห้องโถงในพระบรมราชวัง

          ต่อมาสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้ดำริให้ทำการบูรณะซ่อมแซมท้องพระโรงใหม่เพื่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติขึ้น จึงพบพระปิดตาวังหน้ากองอยู่บนเพดานห้องโถงพระราชวังรวมกับ พระโคนสมอเนื้อชิน พระส่วนหนึ่งจึงถูกแพร่หลายออกมาสู่สายตานักสะสมยุคนั้น และพระที่เหลือจึงนำไปบรรจุไว้ที่เพดาน โบสถ์วัดพระแก้วต่อไป พระเนื้อครั่ง เป็นเนื้อพิเศษที่พบเห็นได้ยากมากๆ อีกด้วย ผู้นำไปห้อยบูชาแล้วเกิดประสบการณ์กันมากทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และมหาอุด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 10:56

  เรื่องนี้ใบ้รับประทานค่ะ    ต้องรอท่านอื่นมาสมทบคุณ superboy  
  เพิ่มเติมได้นิดหน่อย คุณพ่อดิฉันซึ่งเกิดปลายรัชกาลที่ 5   สวมสร้อยห้อยพระเครื่องค่ะ  เป็นประจำทุกวัน  ตั้งแต่ดิฉันจำความได้
  
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 15:35

จากหลักฐานบรรดามีเท่าที่นักประวัติศาสตร์-โบราณคดีสืบค้นได้ในปัจจุบัน พอจะสรุปไปในทางเดียวกันได้ว่า "พระเครื่อง" ซึ่งเป็นคำที่ย่อมาจากคำ "พระเครื่องราง" อันหมายถึงพระองค์เล็ก ๆ สำหรับนำติดตัวไปบูชานั้น ไม่ได้เป็นของที่มีอยู่ในสังคมไทยมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่เกินร้อยปีมานี้เอง

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการอาวุโส ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ใน พระเครื่องในเมืองสยาม ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ว่า

"ความเชื่อเรื่องพระเครื่องเป็นสิ่งไม่พบเห็นในสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา และก็ไม่น่าจะมีในสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๆ ด้วยถ้าจะให้เดากันตามความรู้ความเข้าใจของข้าพเจ้าในขณะนี้ก็เชื่อว่าคงเกิดขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ ๔ ลงมา เพราะสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้นมีกันแล้ว"

จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีการสืบค้นมา คนไทยสมัยก่อนไม่มีใครนำพระพิมพ์มาห้อยคอหรือเก็บรักษาไว้ในบ้าน ด้วยถือว่าพระพุทธรูปต่าง ๆ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์จึงควรอยู่ที่วัด การนำพระพุทธรูปเข้าบ้านถือเป็นเรื่องไม่สมควร

ขุนช้าง ขุนแผน พลายชุมพล และตัวละครทุกตัวในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย-ต้นรัตนโกสินทร์ก็ไม่มีใครนำพระมาห้อยคอ จะมีก็แต่เครื่องรางจำพวกตะกรุด ผ้ายันต์ผ้าประเจียด ลูกอม เท่านั้น ที่พกติดตัวไปไหนมาไหนยามที่ต้องการความมั่นใจปลอดภัย

ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดต่าง ๆ นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาลงมา ก็ไม่ปรากฏรูปทหารที่เอาพระมาห้อยคอมีแต่ที่ใส่เสื้อลงยันต์เท่านั้น ใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาช่วงที่กล่าวถึงครั้งโกษาปานไปฝรั่งเศส และได้แสดงการอยู่ยงคงกระพันโดยให้ทหารไทยยืนแอ่นอกให้ทหารฝรั่งเศสยิง ทททก็ไม่มีการกล่าวถึงพระพิมพ์ และพระเครื่องแต่อย่างใด
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 15:35

ตามความเห็นของอาจารย์ศรีศักร พระพิมพ์ได้เริ่มกลายสถานะมาเป็นพระเครื่องก็ในราวสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา โดยเฉพาะเมื่อเกิดความนิยมใน "พระกริ่ง" ซึ่งนับเป็น "พระเครื่องรางของขลัง" ขนานแท้

"พระกริ่งเป็นผลผลิตของระบบความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับลัทธิตันตริกในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ลักษณะโดดเด่นของลัทธินี้ก็คือเรื่องการเกี่ยวข้องกับโลกียสุขการ มีพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่เป็นคาถาอาคมต่าง ๆ ซึ่งโดยย่อก็คือยังให้ความสำคัญแก่ความต้องการต่าง ๆ ในเรื่องของโลกนี้อยู่…. ด้วยเหตุนี้พระกริ่งจึงเป็นเรื่องของพระพุทธรูปหรือรูปเคารพในทางพุทธศาสนาที่คนนำเข้าบ้านได้ หรือนำติดตัวไปไหนมาไหนได้เช่นเดียวกันกับเครื่องรางของขลัง"

ที่สำคัญ พระกริ่ง (รวมไปถึงพระพิมพ์ที่ถูกนำมาเป็นพระเครื่องในชั้นหลัง) ยังมีภาษีดีกว่าเครื่องรางของขลังอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้ายันต์ ผ้าประเจียดแหวนลงอาคม ตะกรุด ฯลฯ ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องเรียนรู้คาถาอาคมใดไม่ต้องถือศีลเคร่งครัดระมัดระวังเหมือนการถือครองเครื่องรางชนิดอื่นเพียงกราบไหว้บูชาหรือสวดอ้อนวอนขอความคุ้มครองก็เพียงพอจึงเหมาะสำหรับคนทั่วไปที่จะนำติดตัวไปในที่ต่าง  ความนิยมนับถือในพระกริ่งซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อในเรื่องการไม่นำพระพุทธรูปเข้าบ้าน การนำพระมาไว้กับตัวประกอบกับความนิยมในการเล่นของเก่าที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงเวลานั้น ทำให้มีการขุดกรุหาสมบัติเก่าตามวัดร้าง และโบราณสถานต่างๆกันอย่างแพร่หลาย และจากที่เป็นการขุดเพื่อหาสมบัติ แก้วแหวนเงินทองพระพุทธรูป โดยมีพระพิมพ์ซึ่งพบรวมอยู่ในกรุเป็นผลพลอยได้มาในช่วงหลังเมื่อสมบัติต่างๆ ทยอยหมดไปพระพิมพ์ที่เปลี่ยนฐานะมาเป็นพระเครื่องจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่บรรดานักขุดกรุแสวงหา

ต่อมาจากการนำพระพิมพ์ที่เป็นของโบราณซึ่งขุดได้จากกรุวัดตามเมืองต่าง ๆ มาเป็นเครื่องรางของขลัง ก็ได้ขยายมาสู่การสร้างพระพิมพ์รุ่นใหม่ ๆ โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่สร้างพระพร้อมกับลงคาถาอาคมหรือยันต์ไว้แจกบรรดาสานุศิษย์พระเครื่องรางหรือพระเครื่องที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ เหล่านี้จึงมักจะมีการลงอักขระเลขยันต์ไว้ด้านหลังซึ่งไม่เคยมีปรากฏในพระพิมพ์รุ่นก่อน ๆ

หลายสิบปีที่ผ่านมา พระเครื่อง (ราง) ได้ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่เครื่องรางของขลัง รวมทั้งวัตถุทางไสยศาสตร์อื่น ๆ ที่เคยมีมาแต่เดิมทีละน้อย ๆ ก่อนจะกลายเป็น "สุดยอดเครื่องรางของขลัง" ที่มาแรงแซงหน้าเหล่าเครื่องรางไปอย่างไม่เห็นฝุ่นในช่วง ๒๐-๓๐ ปี ให้หลัง

มาถึงวันนี้-วันที่แผงขายพระมีให้เห็นในทุกย่านร้านตลาดศูนย์พระเครื่องกระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงห้างขนาดใหญ่หรูหรากลางกรุง เราคงพูดได้เต็มปากว่า "พระเครื่อง" ไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นเครื่องระลึกถึงองค์พระศาสดา เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันภัย ฯลฯ อีกต่อไป

หากแต่เป็น "สินค้า" ในตลาดที่มีวงเงินหมุนเวียนมหาศาลเกินกว่าที่ใครจะคาดถึง

จากบทความเรื่อง ศรัทธาและเงินตราในโลกธุรกิจพระเครื่อง โดย เกษร สิทธิหนิ้ว นิตยสารสารคดี ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๒๕๑ มกราคม ๒๕๔๙


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 18:35

คนไทยน่าจะเพิ่งเริ่ม "ห้อยพระ" หรือ "แขวนพระ" กันเมื่อราว ๑๐๐ กว่าปีมานี้เอง และเริ่มต้นจากธรรมเนียมปฏิบัติของชนชั้นสูงก่อน

จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาค ๑๙ มีบันทึกถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ช่วงต้นรัชกาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ ณ วันอังคาร แรมสี่ค่ำ เดือน ๘ ในหลวง รัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทาน "พระชัยเล็กซึ่งประดิษฐานในตลับทองคำมีสร้อยร้อยพระสอ (ศอ คือคอ) กริ่งพร้อมสายสร้อย" แก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระราชโอรส ๔ พระองค์ที่กำลังจะเสด็จไปทรงศึกษาต่อในทวีปยุโรป และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ก็ยังมีการระบุถึงการพระราชทาน "สายสร้อยตลับพระชัย" แก่พระบรมวงศานุวงศ์อื่น ๆ  ด้วย

ว่าที่จริง นี่ก็น่าจะเป็นความคิดที่นำเอาสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา คือ "พระชัยเล็ก" (ซึ่งคงเป็นการจำลองพระชัย หรือพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล) มาบรรจุในตลับ แล้วแขวนไว้ติดตัวกับสายสร้อยห้อยคอ ในทำนองเดียวกับที่นักบวชคาทอลิกหรือมิชชันนารีโปรเตสแตนท์ มีสร้อยห้อยไม้กางเขน แจกให้แก่ผู้เข้ารีต ไว้ห้อยคอแสดงตนเป็นคริสตศาสนิกชน

สันนิษฐานว่าจาก "สายสร้อยตลับพระ" ทำนองนี้เอง กลายเป็นสิ่งที่คนทุกระดับในสังคมก็ทำเลียนแบบตามอย่างเจ้านายกันลงมา ทำให้เกิดความนิยมเสาะแสวงหา "พระพิมพ์" เพื่อนำมา "เลี่ยม" แขวนกับสร้อย ทำนองเดียวกันนั้นบ้าง

และเพียงเมื่อถึงช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ พระพิมพ์โบราณก็กลายเป็นสินค้า หรือของซื้อของขายที่นิยมแพร่หลาย นำไปสู่การระดมขุดรื้อทลายหาพระเก่าตามเจดีย์วัดร้างที่ระบาดแพร่ไปทั่ว ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ทรงพบเห็นเมื่อเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือ พ.ศ. ๒๔๕๐ ดังที่ทรงบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ตอนหนึ่ง หลังจากทรงพบเห็นการลักลอบขุดหาพระเก่าที่เมืองกำแพงเพชรว่า

"เมืองกำแพงเพ็ชร์ต้องนับว่าเปนเมืองเคราะห์ร้าย ที่มีชื่อเสียงเสียแล้วว่ามีพระพิมพ์ดี ๆ มีอภินิหารต่าง ๆ กันสาตราวุธ ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออกเปนต้น…นึก ๆ ดูก็น่าขันที่เอาพระพุทธรูปไปผูกคอไปเพื่อป้องกันตนในการที่คิดมิชอบต่างๆ มีปล้นสดมภ์ฤๅตีรันฟันแทงเกะกะต่าง ๆ เปนต้น…"

ธรรมเนียมการนำเอาพระพุทธรูปหรือพระพิมพ์มาห้อยคอนี้ จึงเริ่มมีปรากฏในวัฒนธรรมพุทธของไทยเท่านั้น คนในประเทศพุทธเถรวาทอื่น ๆ  เช่นลังกา หรือพม่า ก็ไม่ได้ทำกัน มีเราทำอยู่คนเดียว

จากบทความเรื่อง จาก "พระพิมพ์" สู่ "พระเครื่อง" โดย ศรัณย์ ทองปาน
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 12:49

พระเครื่องมาจากไหน?

‘พระเครื่อง’ คือคำย่อของคำว่า ‘พระพิมพ์เครื่องราง’ โดยการตัดคำว่าพิมพ์กับรางออกเพื่อความสะดวกในการสื่อสาร ถ้าพูดภาษาชาวบ้านพระเครื่องก็คือพระพิมพ์รุ่นพิเศษ ส่วนจะพิเศษอย่างไรและทำไมถึงพิเศษต้องย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิดเสียก่อน

พระพิมพ์ถือกำเนิดขึ้นมาที่อินเดียตั้งแต่ช่วงแรกของพุทธศาสนา ใช้เป็นของที่ระลึกจากสังเวชนียสถานสำคัญทั้ง 4 ตำบล วิธีสร้างง่ายๆ โดยพิมพ์บนแผ่นผ้า หรือทำจากดิน จากไม้ จากงาช้าง หรือแร่ชนิดต่างๆ ที่ได้รับความนิยมมักทำจากดินเพราะมีราคาย่อมเยา พ่อค้าหัวใสจะทำพระพิมพ์ราคาถูกมาวางขายพร้อมดอกไม้ธูปเทียน บรรดาสัตบุรุษมักซื้อไปเป็นของที่ระลึกหรือถวายให้กับทางวัดคล้ายดั่งเป็นเครื่องสักการะ

สำหรับพระพิมพ์ที่พบในเมืองไทยแบ่งตามวัตถุประสงค์การสร้างได้ดังนี้

1.สร้างขึ้นมาเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้ฝังรากลึกในดินแดนใหม่ที่พุทธศาสนาเพิ่งเดินทางมาถึง ประกอบไปด้วยพระพิมพ์สมัยทวารดี ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียที่กำลังแผ่ขยายออกไปทั่วทวีปเอเชีย กับพระพิมพ์สมัยหริภุญไชย ได้รับอิทธิพลตามแบบอย่างศิลปะอินเดีย ทวารดี พม่า และลพบุรีนำมาผสมผสานกัน

ภาพประกอบคือพระพิมพ์สมัยหริภุญไชย




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 12:55

       2.สร้างขึ้นมาปรมัตถประโยชน์แก่ผู้ตาย มาจากคติความเชื่อพุทธศาสนานิกายมหายาน พระพิมพ์จึงเป็นกุศลอีกหนึ่งทางให้ผู้เสียชีวิตเข้าถึงนิพพาน ประกอบไปด้วยพระพิมพ์สมัยศรีวิชัย ทำจากดินดิบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเสียเป็นส่วนใหญ่ กับพระพิมพ์สมัยทวารดี ซึ่งถูกเผยแพร่เข้าสู่ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือ และผสมผสานเข้ากับอิทธิพลความเชื่อศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ส่งผลให้การใช้งานพระพิมพ์มีความแตกต่างไปจากเดิม

       3.สร้างขึ้นมาเพื่อประกอบบุญกุศลและเป็นพุทธบูชา เป็นคติความเชื่อของชาวขอมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเรื่องการบูชาสิ่งของที่ตนเองเคารพนับถือ นำมาผสมผสานกับคติความเชื่อพุทธศาสนานิกายมหายานเรื่องเวียนว่ายตายเกิดหรือการหลุดพ้น จนเป็นเหตุให้เกิดคติการสร้างพุทธสถาน พระพุทธรูป และพระพิมพ์ถวายให้กับพุทธศาสนา
 
       พระพิมพ์ที่สร้างตามวัตถุประสงค์นี้ประกอบไปด้วย หนึ่งพระพิมพ์สมัยลพบุรี เป็นพื้นที่ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลขอมมาอย่างยาวนาน สองพระพิมพ์สมัยสุโขทัย ได้รับอิทธิพลจากขอมบวกพุทธศาสนานิกายเถรวาท และสามพระพิมพ์สมัยอยุธยา เป็นการผสมผสานคติความเชื่อพุทธศาสนานิกายมหายานกับนิกายเถรวาทได้อย่างลงตัว

    ภาพประกอบคือพระพิมพ์สมัยสุโขทัย

     


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 13:02

       เนื่องจากอยุธยาเป็นราชธานีของไทยมาอย่างยาวนาน วัตถุประสงค์การสร้างพระพิมพ์ได้พลันแปรเปลี่ยนตามสถานการณ์บ้านเมือง การเกิดสงครามอย่างต่อเนื่องรวมทั้งการเกิดปัญหาการเมืองภายใน ส่งผลให้สังคมเกิดความหวาดวิตกไม่มั่นใจในความปลอดภัย อยากได้สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจโดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแผ่นดิน มีการสร้างพระพิมพ์เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ความศักดิ์สิทธิ์ และดลบันดาลให้เกิดอานุภาพต่างๆ

       ก่อนหน้านี้ทหารมักพกพาวัตถุเครื่องรางซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องเหนือธรรมชาติ อาทิเช่นการทำพิธีตัดไม้ข่มนาม การสักเลขยันต์บนร่างกาย การอาบว่านยา การนำเครื่องรางตามธรรมชาติ (วัตถุอาถรรพ์) ฝังลงในร่างกาย ต่อมามีการสร้างเครื่องรางของขลังขนาดพกพาได้เพื่อใช้งานทดแทน คนอยุธยาจึงหันมาให้ความสำคัญชอบตะกรุด ผ้ายันต์ ผ้าประเจียด และแหวนพิรอด เพื่อนำติดตัวในการออกศึกแทนที่เครื่องรางยุคเก่าซึ่งค่อนข้างหายาก

       สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเกิดสงครามใหญ่เกือบทุกปี มีการนำพระพุทธรูปที่มีความหมายแห่งชัยชนะติดไปกับกองทัพเพื่อเป็นสิริมงคล ส่งผลให้บรรดาทหารน้อยใหญ่เกิดความเชื่อในเรื่องเดียวกันไปด้วย สิ่งนี้เองอาจเป็นที่มาของการนำพระพิมพ์ติดตัวระหว่างทำสงคราม แทนการพกพาพระพุทธรูปซึ่งมีขนาดใหญ่โตเกินไปไม่เหมาะสม

       ในลิลิตตะเลงพ่ายซึ่งเป็นวรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ระบุว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงนำพระพิมพ์เมืองพิจิตร (พระพิจิตรเม็ดข้าวโพด) ติดไว้ที่พระมาลาเมื่อถึงเวลาออกศึก แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทหารของพระองค์พกพระพิมพ์ไว้ที่ไหน มีการสร้างพระพิมพ์เพื่อใช้ในการสงครามจำนวนมากอาทิเช่น พระขุนแผนเคลือบ กรุวัดใหญ่ชัยมงคล พระขุนแผนเคลือบ กรุวัดบ้านกร่าง หลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง หรือพระนางพญา จังหวัดพิษณุโลก

       ภาพประกอบคือพระขุนแผนเคลือบ กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ที่ค้นพบจากองค์พระเจดีย์ ที่สร้างเป็นที่ระลึกในการทำศึกชนช้างยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชของพม่า เมื่อปี พ.ศ.๒๑๓๔ โดย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พร้อมสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สร้างพระพิมพ์บรรจุในเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล ตามธรรมเนียมประเพณี

     
       
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 13:04

       จากหลักฐานอาจสรุปได้ว่าสมัยอยุธยาคือต้นกำเนิดพระเครื่อง เพียงแต่ไม่มีเอกสารยืนยันอย่างชัดเจนเรื่องการสร้างพระพิมพ์ใช้เป็นเครื่องราง นักประวัติศาสตร์น้อยใหญ่จึงไม่กล้าฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อไม่มีพยานวัตถุใช้เป็นหลักฐานยืนยันแล้วใครจะกล้ายืนยัน

       เหล่าทหารกล้านิยมชมชอบพกพระพิมพ์เข้าสู่สมรภูมิ เมื่อสิ้นสุดสงครามพวกเขาจะนำพระพิมพ์ทั้งหมดมาเก็บในวัด อาจฝังรวมกันในกรุเป็นสมบัติล้ำค่าให้คนรุ่นหลังแย่งชิงกันจนวัดเกือบแตก จะไม่นำพระพิมพ์หรือพระพุทธรูปเข้าสู่ที่พักอาศัยอย่างเด็ดขาด
 
       ฉะนั้น…ถ้านิยายหรือซีรีส์ยุคกรุงแตกเรื่องไหนมีฉากนางเอกกราบพระพุทธรูปในห้องพระบ้านตัวเอง หรือฉากพระเอกห้อยสร้อยเงินเส้นโตมีพระพิมพ์รุ่นโน่นนั่นนี่เต็มคอเดินอยู่ในตลาดสด ต้องบอกว่าคนเขียนนิยายหรือเขียนบทซีรีส์ได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง

   
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 13:06

หมายเหตุ : เนื่องจากตัวผมเองยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร ฉะนั้นตอนต่อไปผมจะพาออกทะเล  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 10:26


เครื่องรางของขลังในอดีต

       เราทราบกันแล้วว่าพระเครื่องคือพระพิมพ์รุ่นพิเศษ ที่ว่าพิเศษเพราะได้ผ่านการปลุกเสกลงคาถาอาคมโดยเกจิอาจารย์ชื่อดัง วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภัยร้ายให้กับเจ้าของ ส่งผลให้พระเครื่องได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและยาวนาน ปัจจุบันชายไทยจำนวนมากนิยมห้อยพระเครื่องบนคอแทนที่เครื่องรางชนิดอื่น

       เพื่อให้เรารู้จักพระเครื่องละเอียดในมุมมองละเอียดลึกซึ้งมากกว่าเดิม ผมขอพาทุกคนมาทำความรู้จักเครื่องรางของขลังชายไทยในสมัยอดีตกาล

       1.การสักเลขยันต์บนร่างกาย

       บารมีอันเกิดจากอาถรรพ์ในอักขระเลขยันต์บนร่างกาย ทำให้ได้ชัยชนะโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อหรืออานุภาพต่างๆ อันทรงพลัง ลวดลายที่น่าเกรงขามจะช่วยหนุนดวงชะตาชีวิต ให้เจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจแห่งอักขระโบราณของอาจารย์แต่ละท่าน

       วัฒนธรรมการสักยนต์อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน นอกจากสักยันต์อยู่ยงคงกระพันชาตรี เพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายระหว่างทำสงคราม (ยกตัวอย่างเช่นยนต์นะปัดตลอด) ชายไทยยังนิยมสักยันต์เมตตามหานิยม เพื่อความเป็นสิริมงคลและมีเงินทองไหลเข้ามาไม่ขาดสาย (ยกตัวอย่างเช่นยันต์หงส์ทอง)

       ปัจจุบันการสักยันต์การเป็นแฟชั่นยอดนิยมที่คนยุคใหม่ให้การยอมรับนับถือ เน้นมาที่ลวดลายความสวยงามสร้างศิลปะบนเรือนร่างตัวเอง โดยมีผู้คนจำนวนมากสักยนต์บนร่างกายส่วนใหญ่ของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในอดีตคนล้านนา คนเงี้ยว คนมอญ หรือคนรัฐฉาน ก็นิยมสักลายเต็มตัว วัฒนธรรมนี้ได้ถูกเผยแพร่มาถึงคนอีสานจนถึงปัจจุบัน

   


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 10:43

       2.เครื่องรางตามธรรมชาติหรือวัตถุอาถรรพ์

       ประกอบไปด้วยแร่และหินต่างๆ อาทิเช่นโป่งข่าม นอกจากนี้ยังมี เล็บหมี เล็บเสือ งาช้าง กระดูกสัตว์ ช้องหมูป่า เขี้ยวเสือไฟ ฟันของปู่ย่าตายายที่เสียชีวิต กระดูกเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เผาแล้ว เลยไปถึงน้ำมันพรายได้มาจากศพผีตายทั้งกลม แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการฝังเหล็กไหลในร่างกาย

       จนถึงปัจจุบันเหล็กไหลยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย แต่ปรับเปลี่ยนเป้าหมายจากเหล่าทหารกล้าที่ต้องออกรบในแนวหน้า กลายเป็นเหล่าขาโจ๋วัยรุ่นผู้ลุ่มหลงความคงกระพันชาตรี พวกเขาจะสรรหาเหล็กไหลมาฝังในเรือนร่างก่อนออกไปท้าตีท้าต่อยคู่ปรับเก่า โชคร้ายที่เกือบทั้งหมดเป็นเหล็กไหลปลอม นอกจากไม่ช่วยเรื่องการตีรันฟันแทงตามความต้องการ ยังทำให้ผู้ครอบครองต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

       


บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.063 วินาที กับ 17 คำสั่ง