ภศุสรร อมร
|
กระผมเองเพิ่งได้อ่านนิยาย ‘ กามนิต วาสิฏฐี‘ จบไปเมื่อไม่นานมาแล้ว เนื้อเรื่องของเรื่องนี้นั้นผมเองนับเป็นทั้งธรรมะและสัจธรรมอันสูงยิ่ง แม้นเวลาอ่านอยู่ก็ได้ตราตรึงใจจนถึงขั้นวางหนังสือไม่ลง ตัวผู้อ่านเองก็ได้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดเสียอย่างนั้น กระผมจึงขอสรุปข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้สั้นๆ ดังนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 31 ธ.ค. 24, 06:46
|
|
1. สิ่งแรกเลยที่ดึงดูดความคิดของผมนั้น ก็คงหนีไม้พ้นสภาวะที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ความเขลา ของนายกามนิต ถึงแม้ว่าตัวเองมีวาสนาถึงขั้นได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์ยาวนานถึงหนึ่งคืน ถึงแม้ว่าพระพุทธองค์นั้นก็ทรงได้เมตตาแสดงธรรมแก่นายกามนิตอย่างละเอียดแล้วก็ตาม นายกามนิตเองก็ยังไม่มีแม้แต่ปัญญาญาณที่จะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วภิกษุชราผู้ที่ตนกำลังสนทนาด้วยอยู่นั้นแหละ คือพระพุทธองค์ ความเขลาของกามนิตมิได้หยุดเพียงแค่ในภพเดียว หลังจากได้จุติจากโลกมนุษย์ ไปอุบัติขึ้นใหม่ในภพภูมิแห่งสวรรค์และพรหมโลก กามนิตได้ไปเจอกับนางวาสิฐีอีกครั้ง นางวาสิฐีผู้เป็นคนรักได้พยายามอธิบายธรรมะซึ่งตนได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้าให้นายกามนิตฟัง กามนิตเองก็ได้รับรู้ว่าธรรมจากพระศาสดาที่นางวาสิฐีอธิบายมานั้น กลับตรงกับที่ตนได้ยินจากภิกษุชราเสียทั้งหมด ถึงขั้นนี้ กามนิตก็ยังไม่สามารถฉุกคิดได้ว่าภิกษุรูปนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า ต้องทนแสวงหาความจริงต่อไปนานถึงล้านๆปี ทั้งที่แท้จริงแล้ว คำตอบกลับอยู่ไกล้เพียงเบื้องหน้าแค่นั้นเอง ช่างเป็นความเขลาเสียนี้กระไร
ในข้อนี้ กระผมเองตีความว่า ผู้เขียนอาจมีนัยยะเขียนสะท้อนถึงธรรมชาติแห่งมนุษย์ มนุษย์มักชอบแสวงหาอะไรบ้างอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ลาภยศ หรือแม้แต่ความสุข หลายคนดิ้นรนไปทั้งชิวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้ ทั้งความอยาก และความสุขที่ได้รับจากความอยาก ก็เพียงแต่เกิดขึ้นและดับลงภายในใจของเรานี้เอง ไม่จำเป็นต้องแสวงหาให้ทุกข์ใจ เพียงแต่ปุถุชนมักไม่เห็นความจริงนี้ จึงดิ้นรนไปด้วยความเขลาเหมือนเช่นนายกามนิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 31 ธ.ค. 24, 06:55
|
|
2. ตัวนายกามนิตเองสังเกตได้ว่ายังมีทิฐิมานะอยู่มาก แม้ได้สนทนากับพระพุทธองค์แล้ว ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องการถึงความสุขอันเป็นนิรันดร์ ไม่ยอมรับในเรื่องความเป็นอนัตตาของพระนืพพาน ต่อมาเมื่อกามนิตได้ถามพุทธองค์ว่าได้ยินคำสอนนีมาจากพระโอษฐ์พระองค์เองหรือ เมื่อพระพุทธองค์ไม่สามารถตรัสรับรองได้ กามนิตลุกแก่โทสะ ถึงขั้นโต้เถียงกับพระพุทธองค์โดยไม่รู้ตัว ตรงนี้เองคือฐิติ ถ้าหากกามนิตเปิดใจให้กว้างกว่านี้ ก็คงได้พบความจริง ไม่ต้องทนแสวงหาไปอีกถึงสองชาติ
3. กามนิตมีศรัทธาอันแรงกล้า แม้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิตหลังจากประสบเหตุถูกโคขวิดแล้ว ความปราถนาครั้งสุดท้ายก็ยังคงหนีไม่พ้นการไปเข้าเฟ้าพุทธองค์ ศรัทธาของกามนิตแรงกล้าก็จริง หากแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา คือการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมแห่งการเกิดดับนั้น กามนิตจึงไม่สามารถพ้นทุกข์ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 31 ธ.ค. 24, 07:11
|
|
4. ตัวนางวาสิฏฐีเองมีปัญญามากกว่ากามนิต แต่ก็ยังหนีไม่พ้นบ่วงแห่งตัณหา ครั้นเมื่อมีชิวิตอยู่บวชเป็นภิกษุแล้ว ก็ยังไม่ลุดพ้นจากตัณหาอันเนื่องมาจากความรักนี้ พระพุทธองค์จึงได้ประทานโอวาทแก่นางว่า ‘ ที่ใดมีรัก ที่นั้นมีทุกข์‘ อีกทั้งพระพุทธองค์ก็ยังทรงเมตตาทำนายไว้ว่า หนทางที่จะต้องเดินทางต่อไปของนางวิสิฐีนั้น ยังอีกยาวไกลนัก ซึ่งก็ได้เป็นดั่งคำทาย ถึงกระนี้ นางวาสิฐีก็ยังได้บรรลุธรรมเร็วกว่านางกามนิตในทุกชาติ อาจเป็นเพราะว่านางมีวาสนาได้สดับฟังพระธรรมของพุทธองค์หลายครั้งในเมืองโกสัมภีนั้น สดับฟังแล้วเกิดปัญญา กามนิตเองไม่มีโอกาสนี้ การบรรลุของกามนิตจึงได้ล้าช้าลงไป
5. สุดท้ายแล้ว ข้อคิดอันสูงสุดแห่งเรื่องกามนิตนี้ก็คงหนีไม่พ้น อนัตตา สรรพสิ่งในโลก สรรพสิ่งในจักรวาล สรรพสิ่งทุกอย่างที่เคยมีอยู่ก็ดี กำลังมีอยู่ก็ดี ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคตกาลเบื้องโน้นก็ดี ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นและดับลงเป็นธรรมดา แม้ดอกไม้แห่งสวรรค์ก็จักถึงคราวเสื่อม แม้ความสุขแห่งพรหมก็ไม่จีรัง ความเสื่อมนี้เองคือธรรมชาติ สิ่งเดียวที่ลุดพ้นจากวงจรนี้ได้ก็คือพระนิพพาน ซึ่งไม่เคยและจักไม่เสื่อมลง อยู่เหนือซึ่งความทุกข์ เป็นความสุขอันบวร ซึ่งไม่สามารถนำคำพูด หรือสภาวะใดมาเปรียบเปรยได้ สุขอันใดก็ไม่เท่าพระนิพพานเช่นนี้แล…
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41293
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 07 ม.ค. 25, 10:56
|
|
เห็นด้วยกับคุณภศุสรรทั้งหมดละค่ะ ไม่มีข้อค้าน ต่อไปนี้ขอพูดถึงเหตุผลในการสร้างเรื่อง ว่าทำไมกามนิตจึงไม่อาจบรรลุธรรมได้ ทั้งๆได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์อยู่ตั้งหลายชั่วโมง ผิดกับพระอรหันต์บางรูปที่เราได้เรียนมาจากพุทธประวัติว่า ได้ฟังธรรมหนเดียวก็บรรลุธรรมได้แล้ว เรียกว่าท่านยังไม่ต้องพูดจาซักถามตอบโต้เลย ก็เข้าถึงธรรมได้สำเร็จ คาร์ล อดอล์ฟ เจลเลรูป ผู้แต่งเรื่องนี้ น่าจะเป็นผู้ที่เข้าใจหลักการของพุทธศาสนาได้ดี จึงเรียงลำดับพฤติกรรมของตัวละครเอกได้ตั้งแต่ยังหมกมุ่นกับอัตตาและความยึดมั่นของตนเอง ไปจนค่อยๆเรียนรู้ไปทีละเรื่อง ค่อยๆสละเปลือกต่างๆออกได้ทีละชั้นจนถึงแก่น มีวาสิฏฐีนางเอกเป็นผู้แนะนำทาง วรรณกรรมทั้งหลายไม่ว่านวนิยาย เร่ื่องสั้น หรือบทละคร จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สร้างตัวเอกให้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือคิดไม่ได้กับสิ่งที่ควรคิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการขับเคลื่อนเข้าสู่การคลี่คลายและผลที่ได้รับในตอนจบ พูดง่ายๆว่าถ้าตัวละครทำสิ่งที่ควรทำเสียตั้งแต่ฉากแรก เรื่องก็ดำเนินต่อไปไม่ได้ ต้องจบลงตอนนั้นเอง ถ้าหากว่ากามนิตไม่ยึดกับทิฐิและอัตตาตัวเอง ได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์ เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาในคืนนั้น เรื่องก็จบแค่นั้น ก็จะไม่มีฉากแดนสุขาวดี ไม่มีการพบวาสิฏฐีอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่มีการครองคู่กันที่ยาวนานเท่าวันเวลาของจักรวาล ไปจนถึงฉากสำคัญฉากสุดท้าย คือการดับสูญเข้าสู่นิพพาน เรื่องกามนิตก็จะเหลือแต่เรื่องสั้น จบลงแค่ตอนต้น ขาดรสชาติของวรรณกรรมไปอีกมากเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|