เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 โซห์ราน มัมดานี (Zohran Mamdani) ผู้ได้รับเลือกตั้งให้เป็น นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก (จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 1 มกราคม 2026) ได้ประกาศแต่งตั้ง “ทีมเปลี่ยนผ่านหญิงล้วน” เพื่อเตรียมการเข้าบริหารองค์การรัฐระดับมหานครที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ
นี่ไม่ใช่เพียงการประกาศทีมงานทั่วไป แต่คือ “จุดเปลี่ยนทางการเมือง” ที่ท้าทายโครงสร้างอำนาจดั้งเดิมของมหานครนิวยอร์ก เมืองที่มักถูกขับเคลื่อนด้วยเสียงของชนชั้นนำและอิทธิพลทุนมากกว่าความหลากหลายของประชาชน
ในรายงานนี้ เราจะพาไปสำรวจลึกว่า ใครคือผู้หญิงเหล่านี้, พวกเธอมาจากไหน, มีบทบาทอย่างไร, และทำไมการเลือก “ทีมหญิงล้วน” จึงอาจเป็นก้าวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งเมืองและโลกการเมืองสมัยใหม่
ใครอยู่ในทีม
พลังหญิงที่พร้อมเปลี่ยนเมือง
เอลานา ลีโอโปลด์ (Elana Leopold)
รักษาการผู้บริหาร (Executive Director) ของทีมเปลี่ยนผ่าน เป็นนักยุทธศาสตร์การเมืองที่ทำงานเบื้องหลังแคมเปญของมัมดานี และเคยร่วมงานกับสำนักงานนายกเทศมนตรีในอดีต เธอคือ “สมองหลัก” ที่จะจัดระบบองค์กรเมืองให้พร้อมเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่นทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง
ลินา ข่าน (Lina Khan)
อดีตประธานคณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ (Federal Trade Commission – FTC) ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะ “นักรบกับทุนใหญ่” โดยเฉพาะการตรวจสอบบริษัทยักษ์ด้านเทคโนโลยี เธอถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งใน Co-chairs ของทีม เพื่อวางนโยบายเศรษฐกิจเมืองที่โปร่งใส เป็นธรรม และลดอำนาจผูกขาดของทุนในชีวิตคนเมือง
มาเรีย ตอร์เรส-สปริงเกอร์ (Maria Torres-Springer)
อดีตรองนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก (First Deputy Mayor) ลูกสาวผู้อพยพเชื้อสายฟิลิปปินส์-อเมริกันที่เติบโตจากย่านชนชั้นแรงงาน เธอมีประสบการณ์ด้านพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานมายาวนาน จึงได้รับมอบหมายให้กำกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นและความเท่าเทียมทางสังคม
เกรซ โบนีญา (Grace Bonilla)
ประธานและซีอีโอขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร United Way of New York City เธอเป็นเสียงสำคัญของชุมชนคนผิวสีและกลุ่มรายได้น้อย มัมดานีเลือกเธอเพราะต้องการให้ “หัวใจของเมือง” คือการฟังเสียงประชาชน ไม่ใช่แค่ข้อมูลในรายงานราชการ
เมลานี ฮาร์ทโซก (Melanie Hartzog)
อดีตรองนายกเทศมนตรีด้านสุขภาพและบริการมนุษย์ (Deputy Mayor for Health & Human Services) ปัจจุบันเป็นซีอีโอขององค์กร New York Foundling เธอมีประสบการณ์ตรงในด้านงบประมาณเมืองและระบบบริการสาธารณะ การเข้าร่วมทีมของเธอหมายถึงการยกระดับบริการสุขภาพและความเท่าเทียมด้านมนุษย์ในมหานครระดับโลก
ทีมทั้งห้านี้ถูกมองว่าเป็น “ชั้นนำหญิง” ของภูมิภาคมหานคร ทั้งผ่านสนามจริงในงานรัฐ บริหารงบประมาณขนาดใหญ่ และงานชุมชนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทุกระดับ พวกเธอไม่ได้มาเพื่อเป็น “สัญลักษณ์” แต่เพื่อเป็น “แรงขับเคลื่อนจริง”.
นโยบายที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนผ่าน
มัมดานีได้ชนะการเลือกตั้งจากแพลตฟอร์มที่เน้น “เมืองสำหรับทุกคน” ไม่ใช่แค่คนรวยหรือผู้มีอำนาจ โดยนโยบายสำคัญที่ทีมของเขากำลังผลักดันคือ:
• บริการรถบัสฟรีทั่วเมือง – เพื่อให้คนทำงานรายได้น้อยเดินทางได้อย่างเท่าเทียม
• ยุติการขึ้นค่าเช่าในที่อยู่อาศัยราคาควบคุม – เพื่อป้องกันการไล่รื้อคนจนออกจากเมือง
• เก็บภาษีเพิ่มจากทุนใหญ่และมหาเศรษฐี – เพื่อกระจายรายได้กลับสู่ระบบสาธารณะ
• ตั้งร้านขายของที่บริหารโดยเทศบาล – เพื่อให้คนเมืองเข้าถึงของใช้จำเป็นในราคายุติธรรม
ทีมหญิงล้วนจะเป็นผู้เตรียมกลไกทั้งหมดให้พร้อมภายในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” จากวันที่เลือกตั้งถึงวันเข้ารับตำแหน่งจริง ทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ ระบบราชการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ทำไมถึง “หญิงล้วน”
ความหมายและพลังเบื้องหลัง
การตัดสินใจของมัมดานีไม่ใช่เพียงการ “โชว์ภาพสวย” ของความเท่าเทียม แต่คือการ “เขียนบทใหม่” ของอำนาจการบริหารมหานครที่ไม่เคยให้เสียงผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายมาก่อน
1. ท้าทายอำนาจเก่า
นิวยอร์กเคยถูกบริหารโดยชายเป็นหลักเกือบทั้งประวัติศาสตร์ การแต่งตั้งทีมหญิงจึงเป็นการตัดวงจรอำนาจเดิมและเปิดพื้นที่ให้ความคิดใหม่เข้ามามีบทบาท
2. ความหลากหลายคือพลังเมือง
ทีมนี้ประกอบด้วยผู้หญิงจากหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และประสบการณ์ชีวิต ซึ่งสะท้อนภาพแท้จริงของนิวยอร์กในฐานะมหานครแห่งความหลากหลาย
3. สมรรถนะเหนือสัญลักษณ์
ทุกคนในทีมมีประสบการณ์ตรง ทั้งในภาครัฐ เอกชน และองค์กรชุมชน พวกเธอจึงไม่ใช่แค่ “ตัวแทนเพศหญิง” แต่เป็น “ผู้นำมืออาชีพที่ทำงานได้จริง”
4. ความเมตตาที่มีประสิทธิภาพ
มัมดานีกล่าวว่า “เราจะสร้างศาลากลาง (City Hall) ที่ทั้งมีศักยภาพ และมีหัวใจ.”
คำพูดนี้กลายเป็นหัวใจของทีม เมืองที่มีทั้งประสิทธิภาพ และมนุษยธรรม
สร้างพลังใจให้กับเมืองและผู้หญิงทั่วโลก
เมื่อผู้หญิงที่เคยอยู่ใน “เบื้องหลัง” ได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำด้านหน้า” โลกจึงได้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากการพูด แต่จากการให้โอกาส.
• ผู้หญิงไม่ได้แค่เป็นที่ปรึกษา แต่กลายเป็นผู้กำหนดทิศทาง
• เด็กสาวในเมืองใหญ่เห็นว่าศักยภาพของตนเอง “มีค่าเท่าผู้ชาย”
• เมืองได้ผู้นำที่มี “สมองและหัวใจ” เดินคู่กัน
มองไปข้างหน้า
• ใน 100 วันแรก, ทีมหญิงต้องเริ่มผลักดันนโยบายสำคัญ เช่น หยุดการขึ้นค่าเช่า และจัดโครงสร้างขนส่งใหม่
• ประชาชนจับตาดูว่า “คำสัญญา” จะกลายเป็น “การลงมือทำ” หรือไม่
• หากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ มันอาจกลายเป็น “แบบอย่างใหม่ของการบริหารเมือง” ที่มหานครอื่นทั่วโลกจะนำไปปรับใช้
บทสรุป
โซห์ราน มัมดานี ไม่ได้แต่งตั้งผู้หญิงเพียงเพื่อ “ภาพลักษณ์ทางเพศ” แต่เพราะเชื่อมั่นว่า “ผู้หญิงคือพลังที่ทำได้จริง.”
ในโลกที่การเมืองมักถูกผูกขาดโดยกลุ่มชายอำนาจและทุนใหญ่ ทีมหญิงล้วนของมัมดานีจึงเป็นทั้ง สัญญาณของการเปลี่ยนยุค และ โอกาสในการสร้างเมืองที่มีหัวใจของมนุษย์.
“ผู้หญิงไม่ได้แค่มีบทบาทรอง พวกเธอคือผู้กำหนดโรดแมปของเมือง.”
https://www.facebook.com/share/p/16RzYJJaPN/