เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4]
  พิมพ์  
อ่าน: 15450 แม่หยั่วเมือง
พี่วรภัทรของพี่ชายใหญ่
มัจฉานุ
**
ตอบ: 74


ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 23 พ.ย. 24, 17:12

แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ เป็น "ผู้สำเร็จราชการ" หรือ "กษัตริย์" กันแน่ ทำไมถึงมานั่งอยู่ใต้พระมหาเศวตฉัตรได้


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 25 พ.ย. 24, 09:35

นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ไม่ใช่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ

แม่หยัว ตอนที่ ๙ มีฉากพระยอดฟ้าสถาปนาท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็น "นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์" ผู้สำเร็จราชการ เหมือนจะสื่อทำนองว่าตำแหน่งนี้คือพระราชินีผู้สำเร็จราชการ หรือ Queen Regent  และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเรียกว่า "แม่หยัว" จากเดิมที่เป็นพระอัครมเหสีในสมัยพระไชยราชา

อาจเพราะในความรู้สึกคนยุคปัจจุบัน คำว่า "นางพระยา" ฟังดูให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่  ทำนองเดียวกับ "แม่อยู่หัว" ที่ดูเหมือนอยู่ในระดับเสมอ "พ่ออยู่หัว" ที่เป็นคำเรียกกษัตริย์ (ยังไม่พบหลักฐานการใช้งานคำนี้เรียกกษัตริย์อยุทธยาชัดเจน)

แต่เมื่อพิจารณาหลักฐานในสมัยอยุทธยาแล้วจะพบว่า ความหมายของทั้งสองคำนี้ไม่ได้สื่อถึงสถานะผู้สำเร็จราชการ

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยากล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระยอดฟ้าครองราชย์ไว้เพียงว่า "ฝ่ายสมณพราหมณาจารย์มุขมนตรี กวีราชนักปราชญ์บัณฑิตโหราราชครูสโมสรพร้อมกัน ประชุมเชิญพระยอดฟ้าพระชนม์ได้ ๑๑ พระวษา เสด็จผ่านพิภพถวัลราชประเวณีสืบศรีสุริวงศ์อยุธยาต่อไป แล้วนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ผู้เป็นสมเด็จพระชนนี ช่วยทำบำรุงประคองราชการแผ่นดิน"

พงศาวดารมักเรียกนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์โดยย่อว่า "นางพระยา" หรือ "นางพญา"

พิจารณาแล้วควรจะเป็นยศเดิมตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชา เพราะ "นางพระยา/นางพญา" มีความหมายตรงตัวคือ นางของพญา (กษัตริย์)  เป็นคำเรียกพระมเหสีเทวีในสมัยอยุทธยา  

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับปลีก บันทึกเหตุการณ์รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพญา) ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ใช้คำว่า "นางพญา" เรียกพระราชเทวีของสมเด็จพระบรมราชาธิราช ซึ่งเป็นพี่น้องกับพระมหาธรรมราชาธิราช (พรญาบาลเมือง) แห่งพิษณุโลก และเป็นพระมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถซึ่งขึ้นเป็นกษัตริย์อยุทธยาองค์ถัดมา

เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชสถาปนาเจ้าพญาแพรกพระราชโอรส เสวยราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระนครหลวง (กรุงกัมพูชา)  "แลให้เจ้าแม่ท้าวอินทรบุตริเป็นนางพญา" คือสถาปนาเจ้าแม่ท้าวอินทรบุตรีเป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงพระนครหลวง

มหาชาติคำหลวง แต่งใน พ.ศ. ๒๐๒๕ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ก่อนยุคของนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ๖๐ กว่าปี  ใช้คำว่า "นางพญา" "นางพระญา" "นางพระยา" หรือ "ออกนางพญา" เรียกนางสบรรษดี (ผุสดี) มเหสีของพระสญชัย และนางมัทรีมเหสีของพระเวสสันดร

ศัพทานุกรมภาษาจีน-อนารยประเทศ แผนกภาษาเซียนหลัว 《華夷譯語暹羅館》สมัยราชวงศ์หมิง (สันนิษฐานว่าทำขึ้นราวรัชศกว่านลี่ปีที่ ๗ หรือ ค.ศ. ๑๕๗๙/พ.ศ. ๒๑๒๒ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่มีการตั้งหอแปลภาษาเซียนหลัว (ไทยอยุทธยา) ขึ้นหรือหลังจากนั้น)    คำว่า 妃 ซึ่งหมายถึงชายาของกษัตริย์ แปลเป็นภาษาไทยว่า "นางพละยา"(นางพระยา)

เอกสารราชพยัตติธรรม ในปูมราชธรรมสมัยอยุทธยา พบที่หอสมุดแห่งชาติกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สันนิษฐานว่ามีอายุในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ยังปรากฏการใช้คำว่า "นางพญา" เรียกมเหสีของกษัตริย์อยู่

วรรณกรรมสมัยอยุทธยา เช่น ลิลิตพระลอ ก็ใช้คำว่า "นางพระยา" หมายถึงพระมเหสีเช่นกัน

"แม่อยู่หัว" ซึ่งกร่อนเสียงไปเป็น "แม่หยัว" ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลว่า "แม่หยัวเมือง" "แม่หยัวเจ้าเมือง" สรุปแบบสั้น ๆ คือ ตำแหน่ง "แม่หยัว" ตามกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุทธยาเป็นเพียงชื่อยศพระภรรยาของกษัตริย์เท่านั้น มีสถานะเป็นรองลงมาจากพระอัครมเหสี สถานะใกล้เคียงกับพระราชเทวีหรือพระอัครชายา  และสูงกว่าพระภรรยาเจ้าที่เป็นลูกหลวงหรือหลานหลวง สามารถมีได้สองคนในเวลาเดียวกัน เพราะกฎมณเฑียรบาลบางมาตราแยกตำแหน่งแม่หยัวเป็นซ้ายขวาสองคน

สำหรับซีรีส์แม่หยัว มีการลำดับยศตำแหน่งไม่ค่อยสอดคล้องกับหลักฐานประวัติศาสตร์นัก โดยเริ่มจากในรัชกาลพระไชยราชาเป็นท้าวศรีสุดาจันทร์ ตำแหน่งนางท้าวพระสนมเอกก่อน แล้วได้เลื่อนเป็นพระอัครมเหสีหลังประสูติพระยอดฟ้า   พอพระยอดฟ้าครองราชย์ได้เป็นแม่หยัว ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาลต่ำกว่าพระอัครมเหสี  แล้วกลับมาเป็นอัครมเหสีอีกในรัชกาลขุนวรวงศาธิราช

การนำเสนอภาพแม่หยัวเดินนวยนาดมาขึ้นนั่งบนบัลลังก์วางมาดเหมือนเป็น "นางพญา" เป็นการนำเสนอเชิง fantasy  เพราะในทางประวัติศาสตร์ ต่อให้เป็นผู้สำเร็จราชการก็ไม่สามารถขึ้นไปนั่งอยู่บนพระราชบัลลังก์ใต้มหาเศวตฉัตรแบบในซีรีส์ได้

จาก วิพากษ์ประวัติศาสตร์ โดย คุณศรีสรรเพชญ์



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 29 พ.ย. 24, 09:35

ความเยาว์วัยของพระยอดฟ้า ทำให้อำนาจตกอยู่ในมือท้าวศรีสุดาจันทร์  แต่มีอุปสรรคหลายอย่างทำให้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยตัวเองไม่ได้ เช่นเป็นผู้หญิง /  เป็นคนละฝ่ายกับพระญาติของพระไชยราชา / ไม่มีขุมกำลังในมือ     จึงต้องอาศัยพลังของขุนชินราชช่วยค้ำอำนาจอีกทีหนึ่ง

แนวคิดนี้ดูจะตรงกับบทบาทของ นางพญาเจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ในละคร

ละครเรื่องแม่หยัวจบลงแล้ว นางพญาเจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยเป็นผู้หญิง/ไม่มีขุมกำลังในมือ ดังในละครจริงหรือไม่  

ภาพของ นางพญาเจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ในละครตรงกันข้ามกับสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในหลักฐานประวัติศาสตร์ (สิ่งที่ถูกบันทึกเป็นจริงแค่ไหนเป็นประเด็นที่อาจต้องวิเคราะห์ถกเถียงกันต่อไป) ที่ให้ภาพของนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ในฐานะสตรีผู้ใช้ยุทธวิธีในการสร้างฐานอำนาจของตนเอง สร้างกำลังไพร่พล กำจัดศัตรูทางการเมือง จนสามารถขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดทางการเมืองในกรุงศรีอยุทธยา

เป็นไปได้ที่แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์จะมีฐานอำนาจที่ทรงอิทธิพลอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชา ปรากฏในเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าที่บันทึก narrative ของชาวอยุทธยาสมัยเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ระบุว่าพระนางเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระไชยราชา (คำให้การฯ เรียกชื่อว่า 'พระปรเมศวร') และมีบทบาทในราชการแผ่นดินสูง ดังความว่า

"มีรับสั่งให้พระมเหษีซ้ายศรีสุดาจันทร์ เฝ้าอยู่ข้างพระที่มิได้ขาด ราชการในฝ่ายน่าฝ่ายในต่าง ๆ ถ้าศรีสุดาจันทร์มเหษีซ้ายเพ็ททูลคัดง้างอย่างไรแล้วก็ทรงเชื่อฟังทั้งสิ้น"

เมื่อสมเด็จพระไชยราชาสวรรคต  พระนางก็ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ  จดหมายเหตุ Peregrinação ของ ฟือร์เนา เม็งดึซ ปิงตู (Fernão Mendes Pinto) นักผจญภัยชาวโปรตุเกสที่เข้ามาในสยามเวลานั้น ระบุว่าขุนนางผู้ใหญ่ (ต้นฉบับใช้คำว่า bracaloens - พระคลัง?) แห่งราชสำนักจำนวน ๒๔ คน ได้มีมติให้พระนางเป็นพระอภิบาลและผู้ช่วยเหลือพระโอรส และเป็นประธานในข้าราชการทั้งปวง

ปิงตูระบุว่าช่วง ๔ เดือนครึ่งแรกที่พระนางดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ บ้านเมืองสงบไม่ได้มีปัญหาใด ๆ แต่เมื่อพระนางให้กำเนิดบุตรที่มีกับขุนชินราช  จึงเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้พระนางไม่พอพระทัย จึงคิดดำเนินแผนการเพื่อให้ขุนชินราชได้เป็นกษัตริย์  ด้วยการสร้างกองกำลังของตนเองขึ้น

พระราชพงศาวดารระบุว่า แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ตรัสสั่งพระยาราชภักดี ให้ตั้งขุนชินราชเป็น "ขุนวรวงศาธิราช" ราชทินนามนี้ไม่มีในทำเนียบพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองและนาพลเรือน และไม่ปรากฏหน้าที่ชัดเจน แต่พิจารณาจากชื่อสันนิษฐานว่าเป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ราชนิกุล  สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าจะเป็นตำแหน่งในสนมกรมวัง ให้อยู่ในที่ใกล้ชิดสำหรับใช้สอยต่างหูต่างตา

เอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าที่ราชสำนักอังวะเรียบเรียงจากปากคำเชลยอยุทธยาสมัยเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ระบุว่าขุนชินราชเป็นเสนาบดีกรมวังตรงกัน จึงเป็นไปได้ที่ขุนวรวงศาธิราชจะเป็นตำแหน่งกรมวังตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงสันนิษฐานไว้

แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ให้ขุนวรวงศาธิราชปลูกจวนอยู่ริมศาลาสารบัญชี ให้พิจารณาเลกสังกัดสมพรรค์ คือให้มีอำนาจเป็นพนักงานเรียกเกณฑ์ไพร่พลเข้ารับราชการ เพื่อหวังให้มีกำลังมากขึ้น เป็นช่องทางให้การสร้างกองกำลังส่วนตัวที่ขุนวรวงศาธิราชเป็นผู้บังคับบัญชาแทนพระองค์

ปิงตูบันทึกสอดคล้องกันว่า แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ขอที่ประชุมขุนนางจัดตั้งกองทหารรักษาพระราชวังและกองทหารองครักษ์โดยอ้างเหตุว่าเพื่อป้องกันอันตรายแก่สมเด็จพระยอดฟ้า  เมื่อได้รับอนุญาตจึงตั้งกองทหารองครักษ์ประกอบด้วยทหารราบ ๒,๐๐๐ นาย ม้า ๕๐๐ ตัว ทหารอาสาต่างชาติคือชาวโคชิน (Cauchins อาจหมายถึงเมืองท่า Cochin ที่ชายฝั่งมาละบาร์ในอินเดีย หรือดินแดนเวียดนามตอนล่างที่เรียกว่า Cochinchina) และริวกิว (Lequios) ๖๐๐ นาย  โดยตั้งลูกพี่ลูกน้องของขุนชินราชชื่อ Tileubacùs (ไม่ทราบว่าจะถอดเสียงเป็นไทยว่าอะไร) เป็นนายกองบังคับบัญชา  ช่วยดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความประสงค์ของแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์

หลังจากพระนางมีฐานอำนาจเข้มแข็งขึ้นแล้ว พระนางได้เริ่มกำจัดขุนนางผู้ใหญ่บางคนที่ไม่ยอมทำตามพระประสงค์ โดยเริ่มจากขุนนางสองคนคือ Pinamonteo (พระยา...?) กับ Comprimuão (ขุน...?) ซึ่งเป็นผู้ความดีความชอบ มีความสามารถ และเป็นเชื้อพระวงศ์  ในข้อหาลอบมีหนังสือติดต่อกับพระเจ้าเชียงใหม่เพื่อเปิดทางให้เชียงใหม่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุทธยาผ่านดินแดนของตน (สันนิษฐานว่าจะเป็นเจ้าเมืองฝ่ายเหนือ) ทั้งคู่ถูกสั่งประหารชีวิตอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการไต่ส่วน แม้จะถูกขุนนางจำนวนมากคัดค้าน  

แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์นำทรัพย์สินที่ริบมามอบสหายของตนเอง ทรัพย์สินอีกส่วนหนึ่งมอบให้น้องเขยซึ่งกล่าวกันว่าเคยเป็นช่างตีเหล็ก (นายจัน น้องชายขุนวรวงศาธิราช อยู่บ้านมหาโลก) ซึ่งมีการสันนิษฐานว่านายจันน่าจะเป็นเครือข่ายกลุ่มการเมืองเชื้อสายละโว้-อโยธยาเดิมในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก

ปิงตูระบุว่า หลังจากการประหารครั้งนั้น พระนางจึงแสดงอาการว่าไม่สบาย ขอออกจากที่ประชุมบริหารราชการแผ่นดิน โดยก่อนหน้านั้นพระนางได้จัดการให้ขุนชินราชเข้ามาร่วมในหนึ่งในที่ประชุมนี้แล้ว เพื่อปูทางขึ้นสู่อำนาจในอนาคต

พระราชพงศาวดารระบุว่า แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์แสดงสัญญะเชิงอำนาจ ด้วยการให้เอาเตียงที่เป็นพระราชอาสน์มาให้ขุนวรวงศาธิราชนั่ง เพื่อให้ขุนนางทั้งหลายเกรงกลัว  นอกจากนี้ยังปลูกจวนให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการในพระราชวังอยู่ที่ประตูดินริมต้นหมัน    

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าในช่วงนี้ แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์น่าจะมีครรภ์มากขึ้น ไม่สะดวกจะออกหน้าว่าราชการเองเหมือนเดิม จึงให้ขุนวรวงศาธิราชซึ่งเป็นผู้บังคับการทหารอยู่แล้ว ย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนในวัง ให้รับคำสั่งไปสั่งราชการแทนตนเอง  ข่าวลือและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าแม่อยู่หัวคบชู้จึงน่าจะเพิ่มมากขึ้นตามมา จนนำมาสู่ความพยายามต่อต้านของขุนนางหลายกลุ่ม

พระราชพงศาวดารระบุว่า อัครมหาเสนาบดีคือ พระยามหาเสนา สมุหพระกลาโหม พูดกับพระยาราชภักดีว่า "เมื่อแผ่นดินเป็นทรยศฉะนี้ เราจะคิดประการใด" เมื่อแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์รู้เรื่อง จึงสั่งให้พระยามหาเสนามาเฝ้าที่ประตูดิน เมื่อเวลาค่ำพระยามหาเสนากลับออกไป ก็ถูกแทงจนตาย

พระยาราชภักดีน่าจะเป็นคนของแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ เพราะพระยาราชภักดีเป็นผู้รับคำสั่งแม่อยู่หัวให้เลื่อนตำแหน่งพันบุตรศรีเทพเป็นขุนชินราช และเลื่อนเป็นขุนวรวงศาธิราชเวลาต่อมา

ปิงตูบันทึกไว้ใกล้เคียงกันว่า เพื่อเตรียมการให้ขุนชินราชได้เป็นกษัตริย์ ภายในเวลา ๘ เดือน แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ได้ประหารชีวิตขุนนางจำนวนมาก ริบทรัพย์สินและที่ดิน เพื่อนำมาแจกจ่ายให้แก่คนของตนเอง รวมถึงใช้ในการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ดึงให้ขุนนางอื่นมาเข้าร่วมกับตนเอง

การที่แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์สามารถอภิเษกขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ โดยไม่ปรากฏการคัดค้านจากภายในราชสำนัก จึงอนุมานได้ว่าพระนางมีฐานอำนาจที่เข้มแข็งและผู้สนับสนุนเพียงพอในราชธานี จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกต่อต้าน

ข้อมูลจาก วิพากษ์ประวัติศาสตร์ โดย คุณศรีสรรเพชญ์


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 29 พ.ย. 24, 10:43

(ต่อ)
เรื่องพระยอดฟ้าสิ้นพระชนม์กะทันหัน จะเป็นเพราะเจ็บป่วยธรรมดาๆ หรือถูกกำจัดโดยฝีมือแม่ (ถ้าไม่ใช่แม่ก็พ่อเลี้ยง)  เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจน
ที่แน่ๆคือหลังจากพระยอดฟ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ท้าวศรีสุดาจันทร์กับขุนวรวงศาฯ ก็ยังครองคู่กันตามปกติ ไปไหนไปด้วยกัน ไม่ได้แตกคอกัน มีลูกด้วยกันอีก 1 คนด้วย

ไม่กี่วันก่อน ลงจากเรือนไทไปสนทนากับดร.สุเนตร ชุตินทรานนท์    ท่านให้คำตอบข้อหนึ่งที่เหมือนถอดรหัสออกมา เรื่องการครองบัลลังก์อยุธยา
คือกฎมณเฑียรบาลมีจริง  การมอบหมายราชสมบัติจากกษัตริย์องค์เก่าให้องค์ใหม่ก็มีจริง   แต่นั่นคือทางทฤษฎี  ในทางปฏิบัติ การสืบต่อราชบัลลังก์คือใครมีกำลังกล้าแข็งที่สุด คนนั้นก็ได้ไป
ฟังอาจารย์เฉลยแล้วก็เข้าใจได้เลยว่าทำไมอยุธยาถึงมีการฆ่าฟันกันเป็นประจำเวลาผลัดเปลี่ยนรัชสมัย   ถ้ายืมคำพูดของชาร์ลส์ ดาร์วินมาใช้ก็เข้าข่าย Survival of the fittest  ใครแข็งแกร่งที่สุดก็ชนะไป
ในเมื่อภาคปฏิบัติเป็นเช่นนี้    ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ต้องมีกำลังดั้งเดิมพอจะครองอำนาจได้เมื่อพระยอดฟ้ายังเล็ก   สามารถกีดกันพระเจ้าอาอย่างพระเทียรราชาให้ออกห่างจากหนทางไป    นางยังมั่นใจพอจะเลือกขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างขุนชินราชขึ้นเป็นใหญ่ ข้ามหัวเจ้านายและขุนนางสำคัญอื่นๆ พร้อมสถาปนาอำนาจใหม่ขึ้นมากับขุนวรวงศาฯ
แต่อำนาจของท้าวศรีสุดาจันทร์มีแต่ในราชสำนักอยุธยา   ไม่ได้รวมหัวเมืองใหญ่น้อย  ตอนแรกดิฉันเข้าใจว่าขุนพิเรนทรเทพเป็นขุนนางพระตำรวจหลวงในราชสำนัก    แต่อ.สุเนตรบอกว่าเป็นขุนนางใหญ่จากทางเหนือ อยู่ที่พิษณุโลก  ดังนั้นการกำจัดท้าวศรีสุดาจันทร์จึงต้องกระทำกันนอกกรุงศรีอยุธยา  อำนาจของนางแผ่ออกไปไม่ถึง
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 29 พ.ย. 24, 11:04

(ไม่ได้ดู แต่เห็นผ่านตา)

(เครดิท ช่องวัน รับประกันความรุนแรง, ดัดแปลงและพลิกแพลง)
    
         แม่หยัว ทรงหุ่นนางแบบบาง เพราะต้องรับบทที่เขียนให้ติดฝิ่น ?
        
         บันทึกผู้ชนะเขียนให้นางร้ายเหลือเชื่อ คนเขียนบทพลิกให้นางเป็นเหยื่อของคนรัก

จาก https://mgronline.com/drama/detail/9670000110603

          “แม่หยัว” สร้างแรงบันดาลของ เอกสารชื่อ The Voyages and Adventures of Ferdinand Mendez Pinto, the Portuguese -
"การเดินทางและผจญภัยของเฟอร์ดินันด์ เมนเดซ ปินโต ชาวโปรตุเกส" เรียกสั้นๆว่า “เอกสารปินโตโปรตุเกส” ซึ่งเขาเคยเดินทางมาเมืองสยาม 2 ครั้ง
ครั้งแรก เข้ามาทางภาคใต้ และครั้งที่ 2 เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชยกทัพไปตีเชียงใหม่พอดี
          เอกสารชิ้นนี้ ถือเป็นเอกสารชั้นต้น ! (นางนันทา วรเนติวงศ์ ได้แปลจากภาษาอังกฤษ The Voyages and Adventures of Ferdinand Mendez Pinto พิมพ์อยู่ในเรื่องแปลหนังสือและเอกสารทางประวัติศาสตร์ ชุดที่ 3 กรมศิลปากร พ.ศ. 2538)

          เนื่องจากปินโตเป็นนักผจญภัย การบันทึกอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด หากแต่ได้ผสมผสานลีลาระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง !
เหมือนนักเล่านิทานผจญภัย เรื่อง-ชาติอื่นๆ มีการถกเถียงกันว่า เหตุการณ์หลายอย่างไม่น่าเชื่อถือ หรือเกินจริง!
          ทำให้เขาได้รับฉายาว่าเฟอร์เนา เมนเทส มินโต (เล่นคำกับกริยาภาษาโปรตุเกสว่า mentir ซึ่งแปลว่า "โกหก" แปลว่า
          "เฟอร์เนา คุณกำลังโกหกอยู่หรือเปล่า ฉันกำลังโกหก")
          แม้เรื่องทั้งหลายอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่ก็สอดคล้องไปกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์

ส่งท้าย, ภาพหลงยุคจากซีรีส์(ยังไม่เคยเห็นที่เว็บไหน)

แถบเมฆสีขาวพาดผ่านดวงอาทิตย์ ผู้ครองฟ้า สื่อความหมายได้ดี แต่ผิดที่กาลสมัย เพราะแถบเมฆนั้นคือ เมฆหางโพยมยานยุคปัจจุบัน
(contrail - https://www.matichonweekly.com/column/article_709614)


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 30 พ.ย. 24, 18:24

  ถ้าหากว่าท้าวศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาฯ ไม่ได้ถูกกำจัดในปี 2091   จะเป็นเพราะขุนพิเรนทรเทพไม่ได้ลงมือ  หรือลงมือแต่ไม่สำเร็จ   หรือเพราะอะไรก็ตามที่ทำให้ทั้งสองยังครองบัลลังก์อยู่ได้  ทั้งสองก็จะเจอศึกหนักในปีต่อมา  คือศึกพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้  ในพ.ศ. 2092
  ในเมื่อไม่มีพระเทียรราชา  ไม่มีขุนพิเรนทรเทพ  จึงมีคำถามว่า  ลำพังฝีมือขุนวรวงศาฯและขุนนางชุดใหม่ที่ขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญแทนขุนนางชุดเก่าสมัยพระไชยราชาฯ จะสามารถต้านทานพม่าได้หรือไม่   
   ถ้าไม่ได้ ก็เสียกรุงครั้งที่ 1 กันนับแต่ครั้งนั้น   ถ้าต้านทานไว้ได้ ก็รอรับมือพม่ากลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.053 วินาที กับ 20 คำสั่ง