ตามความเห็นของอาจารย์ศรีศักร พระพิมพ์ได้เริ่มกลายสถานะมาเป็นพระเครื่องก็ในราวสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา โดยเฉพาะเมื่อเกิดความนิยมใน "พระกริ่ง" ซึ่งนับเป็น "พระเครื่องรางของขลัง" ขนานแท้
"พระกริ่งเป็นผลผลิตของระบบความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับลัทธิตันตริกในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ลักษณะโดดเด่นของลัทธินี้ก็คือเรื่องการเกี่ยวข้องกับโลกียสุขการ มีพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่เป็นคาถาอาคมต่าง ๆ ซึ่งโดยย่อก็คือยังให้ความสำคัญแก่ความต้องการต่าง ๆ ในเรื่องของโลกนี้อยู่…. ด้วยเหตุนี้พระกริ่งจึงเป็นเรื่องของพระพุทธรูปหรือรูปเคารพในทางพุทธศาสนาที่คนนำเข้าบ้านได้ หรือนำติดตัวไปไหนมาไหนได้เช่นเดียวกันกับเครื่องรางของขลัง"
ที่สำคัญ พระกริ่ง (รวมไปถึงพระพิมพ์ที่ถูกนำมาเป็นพระเครื่องในชั้นหลัง) ยังมีภาษีดีกว่าเครื่องรางของขลังอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้ายันต์ ผ้าประเจียดแหวนลงอาคม ตะกรุด ฯลฯ ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องเรียนรู้คาถาอาคมใดไม่ต้องถือศีลเคร่งครัดระมัดระวังเหมือนการถือครองเครื่องรางชนิดอื่นเพียงกราบไหว้บูชาหรือสวดอ้อนวอนขอความคุ้มครองก็เพียงพอจึงเหมาะสำหรับคนทั่วไปที่จะนำติดตัวไปในที่ต่าง ความนิยมนับถือในพระกริ่งซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อในเรื่องการไม่นำพระพุทธรูปเข้าบ้าน การนำพระมาไว้กับตัวประกอบกับความนิยมในการเล่นของเก่าที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงเวลานั้น ทำให้มีการขุดกรุหาสมบัติเก่าตามวัดร้าง และโบราณสถานต่างๆกันอย่างแพร่หลาย และจากที่เป็นการขุดเพื่อหาสมบัติ แก้วแหวนเงินทองพระพุทธรูป โดยมีพระพิมพ์ซึ่งพบรวมอยู่ในกรุเป็นผลพลอยได้มาในช่วงหลังเมื่อสมบัติต่างๆ ทยอยหมดไปพระพิมพ์ที่เปลี่ยนฐานะมาเป็นพระเครื่องจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่บรรดานักขุดกรุแสวงหา
ต่อมาจากการนำพระพิมพ์ที่เป็นของโบราณซึ่งขุดได้จากกรุวัดตามเมืองต่าง ๆ มาเป็นเครื่องรางของขลัง ก็ได้ขยายมาสู่การสร้างพระพิมพ์รุ่นใหม่ ๆ โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่สร้างพระพร้อมกับลงคาถาอาคมหรือยันต์ไว้แจกบรรดาสานุศิษย์พระเครื่องรางหรือพระเครื่องที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ เหล่านี้จึงมักจะมีการลงอักขระเลขยันต์ไว้ด้านหลังซึ่งไม่เคยมีปรากฏในพระพิมพ์รุ่นก่อน ๆ
หลายสิบปีที่ผ่านมา พระเครื่อง (ราง) ได้ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่เครื่องรางของขลัง รวมทั้งวัตถุทางไสยศาสตร์อื่น ๆ ที่เคยมีมาแต่เดิมทีละน้อย ๆ ก่อนจะกลายเป็น "สุดยอดเครื่องรางของขลัง" ที่มาแรงแซงหน้าเหล่าเครื่องรางไปอย่างไม่เห็นฝุ่นในช่วง ๒๐-๓๐ ปี ให้หลัง
มาถึงวันนี้-วันที่แผงขายพระมีให้เห็นในทุกย่านร้านตลาดศูนย์พระเครื่องกระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงห้างขนาดใหญ่หรูหรากลางกรุง เราคงพูดได้เต็มปากว่า "พระเครื่อง" ไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นเครื่องระลึกถึงองค์พระศาสดา เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันภัย ฯลฯ อีกต่อไป
หากแต่เป็น "สินค้า" ในตลาดที่มีวงเงินหมุนเวียนมหาศาลเกินกว่าที่ใครจะคาดถึง
จากบทความเรื่อง
ศรัทธาและเงินตราในโลกธุรกิจพระเครื่อง โดย เกษร สิทธิหนิ้ว นิตยสารสารคดี ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๒๕๑ มกราคม ๒๕๔๙