ฝากให้อ่านกันก่อนครับ โคลงพระราชพิธีทวาทศมาส พระนิพนธ์ในพระสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ตัดตอนมาเฉพาะพิธีจองเปรียง
https://vajirayana.org/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C๓๙๕๏ ดลเดือนกรรดึกตั้ง จองเปรียง
ชัยคู่ประเทียบเคียง สี่ต้น
ทั้งโคมบริวารเรียง รายรอบ สนามพ่อ
อีกรอบกำแพงพัน พร่ำพร้องแลหลาย ๚
๓๙๖๏ ธรรมเนียมกำหนดไว้ ว่าปี
อธิกมาสหนุนมี จึ่งให้
ยกโคมเมื่อดฤถี ขึ้นค่ำ หนึ่งนอ
กาฬปักษ์สองค่ำได้ ลดแล้วจองเปรียง ๚
๓๙๗๏ ปรกติมาสได้ยก โคมถวาย
ขึ้นสิบสี่ค่ำหมาย บอกแจ้ง
จองเปรียงตกอยู่ปลาย เดือนสิบ สองเฮย
วันลดตกยามแล้ง คำขึ้นมิคเศียร ๚
๓๙๘๏ ตำหรับหนึ่งออกอ้าง อาทิตย์
ยกสู่ราศีพิจิตร แห่งหั้น
ข้างขึ้นจึ่งตั้งกิจ พิธีข้าง ขึ้นนา
ยกเมื่อข้างแรมนั้น จึ่งตั้งต่อแรม ๚
๓๙๙๏ กลหนึ่งกำหนดด้วย ดารา กรแฮ
เรียกชื่อดาวกฤติกา ฤกษ์ชี้
พลบขึ้นเมื่อรุ่งคลา เคลื่อนตก
ขึ้นฤแรมพิธีนี้ จุ่งตั้งตามดาว ๚
๔๐๐๏ อีกอนึ่งท่านว่าด้วย วันพิธี
แต่สิบห้าราตรี ตรัสอ้าง
เติมต่อเพราะกาลมี ลอยประทีป แลแฮ
เป็นสิบหกสิบแปดบ้าง บอกไว้พิธีเดียว ๚
๔๐๑๏ ปีใดยกเมื่อขึ้น เดือนดล
วันแรกตั้งสวดมนต์ ฤกษ์นั้น
กาฬปักษ์อัศยุชหน สิบสี่ ดับนา
ยกต่อแรมผ่อนสั้น สวดขึ้นสิบสาม ๚
๔๐๒๏ อาภรณ์พิโมกข์ตั้ง เตียงพระ
พุทธชัยวัฒนะ ออกตั้ง
เทียนโคมสำหรับจะ จุดทุก ยามเฮย
โต๊ะปรักรองมาตั้ง สี่ร้อยสามสิบสอง ๚
๔๐๓๏ น้ำมนต์ตั้งพระเต้า เสลา
อีกเครื่องทรงบูชา จัดพร้อม
เย็นลงพระสงฆ์มา สิบรูป
จึงประโคมแซ่ซ้อม ลั่นฆ้องแตรสังข์ ๚
๔๐๔๏ ไทยห้ามอญห้านั่ง ขัดสมาธิ
บนพิโมกขปราสาท สวดอ้าว
จบแล้วป่าวประกาศ ทั่วทุก องค์เอย
รุ่งจุ่งมาแต่เช้า ฤกษ์ได้โมงดี ๚
๔๐๕๏ ครั้นรุ่งวันฤกษ์พร้อม พนักงาน
โหรนั่งตรงหน้าศาล อ่านก้อง
บูชาพระฤกษ์การ จบเสร็จ
ตั้งโห่ให้ลั่นฆ้อง ยกต้นโคมชัย ๚
๔๐๖๏ พิณพาทย์กลองแขกขึ้น ระดมกัน
แตรเป่าปี่สองคัน ล่อแจ้ว
พระสงฆ์สวดชยัน โตก่อน
กว่าจะยกโคมแล้ว แสบท้องเสียงเครือ ๚
๔๐๗๏ ชัยประเทียบหกต้นที่ สี่ตำ รวจนา
ตำรวจนอกสนมทำ มากล้น
บริวารปักประจำ รอบที่ สนามเอย
รอบราชวังหลายต้น เหล่าล้อมวังทำ ๚
๔๐๘๏ ต่างคนต่างยกร้อง เอะอะ
ไม้ง่ามค้ำเกะกะ กีดแก้
ขาทราย๒๑๙ ช่วยจุนปทะ ค่อยเลื่อน
ฉุดเชือกเหนี่ยวเต็มแล้ จึงเข้าตะเกียบตรง ๚
๔๐๙๏ ยกเสร็จแล้วให้พระ สงฆ์ฉัน
ถวายขวดมีน้ำมัน กับด้าย
สบงโคมสิ่งสำคัญ ถูกกับ พิธีเอย
เป็นแบบอย่ายักย้าย อย่างนี้ดีควร ๚
๔๑๐๏ หอแห่งพราหมณ์แต่งตั้ง เบญจคัพย์
นพวรรคตามตำรับ เรื่องพร้อม
เย็นมานั่งคอยรับ เสด็จออก ทรงเฮย
เพลิงจุดเทียนนอบน้อม กับทั้งเปรียงถวาย ๚
๔๑๑๏ เสด็จออกประทับยั้ง ชาลา
ทรงจุดเทียนเปรียงทา เล่มไส้
เคารพต่อพุทธา ทิรัตน์ ตรัยเอย
ตำรวจรับปักไว้ แห่งห้องโคมบัง ๚
๔๑๒๏ พร้อมเสร็จทรงชักเส้น สายดัง กริ่งแฮ
พราหมณ์ประณต เป่าสังข์ ส่งก้อง
แตรพิณพาทย์ประนัง ครื้นครั่น
กลองแขกขานอีกฆ้อง หึ่งให้ชัยศรี ๚
๔๑๓๏ โคมเคลื่อนเลื่อนลิ่วขึ้น ถึงหงส์
ชัยคู่หนึ่งเฉพาะทรง ก่อนได้
ประเทียบจึ่งพระองค์ เจ้าชัก สี่นา
โคมอีกบริวารให้ เหล่าเจ้าพนักงาน ๚
๔๑๔๏ เรื่องเรืองโอภาสแผ้ว จรัสงาม
ผลัดเปลี่ยนเทียนทุกยาม ห่อนช้า
จารีตขัตติยสยาม เสวยสวัสดิ์ แลพ่อ
เฉลิมพระเกียรติเจ้าหล้า เพื่อรู้อยู่เขษม ๚
๔๑๕๏ อาณาประชาราษฎร์ทั้ง พระวงศ์
ชีพ่อพฤฒิพรหมพงศ์ กอบรู้
อีกกับภิกษุสงฆ์ สถิตวัด แลแฮ
ต่างชักโคมทั่วผู้ ส่องฟ้าเรืองแสง ๚
๔๑๖๏ กรรดึกศุกรปักษ์ขึ้น จวนเพ็ญ
จันทร์กระจ่างดวงเห็น แจ่มฟ้า
แห้งเหือดพรุณเย็น ยามค่ำ
ลมว่าวพัดแรงกล้า ส่งน้ำตราดลง ๚
๔๑๗๏ น้ำลงลมล่องแล้ง ละฝน
เย็นฉ่ำน้ำค้างบน หยาดย้อย
ธัญญาผลาผล เผล็ดช่อ รวงเฮย
สาโรชเบิกบานสร้อย เฟื่องฟุ้งเสาวคนธ์ ๚
๔๑๘๏ กมลชนบานเบิกแม้น ดวงมาลย์
สิ่งโศกร้อนรำคาญ เสื่อมร้าง
พระคุณแผ่ไพศาล พรมประ ทั่วแฮ
ปานเปรียบหยาดน้ำค้าง ชุ่มชื้นชาวชน ๚
๔๑๙๏ วันสิบสามค่ำขึ้น บ่ายชาย
พร้อมพระสงฆ์มากหลาย ใช่น้อย
บรรดาที่ทรงถวาย ไตรอีก กฐินเอย
นับประมวญห้าร้อย กับทั้งหัวเมือง ๚
๔๒๐๏ อมรินทร์พระที่นั่งสร้อย วินิจฉัย
จัดหมู่พระสงฆ์ไทย สวดพร้อม
รามัญเหล่านั้นไป ตามพวก มอญนา
บนดุสิดาภิรมย์ล้อม สวดอ้าวอ่าวอึง ๚
๔๒๑๏ แบ่งร้อยหกสิบนั้น ให้ฉัน
เกณฑ์ผลัดทั้งสามวัน ครบถ้วน
สามร้อยเศษเปลี่ยนกัน บิณฑบาต
ในพระราชวังล้วน แซ่ซ้องฉลองไตร ๚
๔๒๒๏ สดับปกรณ์บรมธาตุไท้ ให้มี
กาฬปักษ์ทุติยดิถี ทุกครั้ง
ตามเคยประจำปี ไป่ขาด เลยนา
ทรงพระราชูทิศตั้ง ต่อเบื้องบรรพวงศ์ ๚
๔๒๓๏ เทศนาพลบค่ำนั้น ให้คง
วันละกัณฑ์เคยทรง สดับบ้าง
จบเสร็จเสด็จลง ลอยพระ ประทีปเอย
เป็นนิรันดร์ฤๅค้าง ขาดเว้นสักปี ๚
๔๒๔๏ การลอยประทีปนั้น พันพรหม ราชเอย
หมายบอกล้อมวงระดม ทั่วผู้
พลเรือนทหารกรม ท่าอีก นาพ่อ
ทอดทุ่นใหญ่น้อยรู้ ที่ตั้งทุกกอง ๚
๔๒๕๏ จักกล่าวทุ่นทอดริ้ว สายใน
กรมแปดเหล่าเรียงไป ตลอดท้าย
เกณฑ์เฉพาะปลัดกรมไว ว่องนั่ง คฤห์นา
เรือรูปสัตว์แรงว้าย วาดล้วนลายน้ำมัน ๚
๔๒๖๏ ฝ่ายขวาเหนือน้ำทอด สี่นาย
ท้ายฝ่ายซ้ายทอดราย สี่ผู้
เทพราชทอดอยู่ปลาย สุดทุ่น เหนือเอย
ท้ายสุดศรีนรินทร์รู้ อยู่รั้งหลังสอง ๚
๔๒๗๏ สายนอกทำลุทั้ง เกณฑ์หัด ฝรั่งเฮย
กรมคู่ชักเรียงจัด ทอดไว้
สนมตำรวจรายถัด ทอดอยู่ นอกนา
ขวาอยู่เหนือซ้ายให้ ทอดท้ายปลายแถว ๚
๔๒๘๏ สายกลางพิณพาทย์นั้น ทอดประจำ
กลองแขกสำหรับนำ ทอดกั้น
ตำรวจนอกอีกสองลำ ทอดต่อ มานา
เรือดอกไม้เพลิงนั้น ทอดไว้หว่างกลาง ๚
๔๒๙๏ ตำรวจในนั้นทอดหน้า บัลลังก์ ขนานเฮย
กลางทอดเป็นตะพาน ทุ่นต้าย
ทอดสะกัดตัดหน้าฉาน ตำรวจ ใหญ่เฮย
ในทุ่นเรือตาร้าย อยู่ท้ายแลเหนือ ๚
๔๓๐๏ กองกลางเรือดั้งกะ เกณฑ์มา
อีกกับกรมอาสา พิเศษล้ำ
เรือกรรคู่ซ้ายขวา มาหมด แลพ่อ
ขวาอยู่เหนือท้ายน้ำ พวกซ้ายรายกอง ๚
๔๓๑๏ ธรรมเนียมทอดทุ่นล้อม วงราย
ผู้ขี่เรือกราบหมาย กราบใช้
เรือดั้งแต่งดั้งพาย มาทอด
ตามที่เคยแลให้ ทอดล้อมถวายลำ ๚
๔๓๒๏ กันโบดทั้งสี่นั้น เกณฑ์ประจำ
ทอดอยู่เหนือสองลำ อีกใต้
ชั้นนอกนักงานสำ หรับกัก เรือนา
จามแขกอาสาได้ เคาะฆ้องกะแตเตือน ๚
๔๓๓๏ ชั้นนอกที่สุดนั้น นครบาล
ทอดอยู่ประจำการ อย่างแร้ง
ซากศพสิงสาธารณ์ ลอยล่อง
คอยเก็บเขี่ยเหวี่ยงแว้ง ซ่อนเว้นสาบสูญ ๚
๔๓๔๏ ตำรวจโคมเพ็ชรดั้ง โคมสาน
โคมกลีบบัวพนักงาน ทุ่นใช้
เคาะฆ้องกะแตขาน เซ็งแซ่
ห้ามเหล่าเรือเล่นให้ ออกพ้นล้อมวง ๚
๔๓๕๏ ปืนทุ่นตำรวจนั้น หลักทอง
ปืนหลักดั้งผอง เหล็กล้วน
จ่ารงนเรศกอง เรือรูป สัตว์เฮย
ฝรั่งเศสทอสี่ท้วน จ่ายให้แขกจาม ๚
๔๓๖๏ จ่ารงคนเรศนั้น กำหนด แปดนา
ปืนหลักทองจ่ายจด แปดให้
หลักเหล็กนับรวมหมด ยี่สิบ สี่เฮย
ครบสี่สิบสี่ได้ กับทั้งฝรั่งทอง ๚
๔๓๗๏ พันพุฒพันเทพราชได้ เกณฑ์กอง บกแฮ
ตั้งรักษาทั้งสอง ฟากน้ำ
ตะวันตกประจำซอง อยู่หก กรมเฮย
ตะวันออกมากหลากล้ำ สิบถ้วนกองเกณฑ์ ๚
๔๓๘๏ ทหารในเลือกหอกห้าว เห็นขยัน
อีกรักษาองค์พลพัน กลั่นกล้า
อาสาญี่ปุ่นขัน แข็งเข่น เคี่ยวเฮย
กรมไพร่คลังสินค้า พวกดั้งฝั่งบูรพ์ ๚
๔๓๙๏ กองตระเวนปลัดตั้ง ตะวันตก
เกณฑ์รักษาทางบก สี่ผู้
งำเมืองหนึ่งนายก ไตรตรวจ
พระเทพผลรู้ ทั่วแคว้นแดนแขวง ๚
๔๔๐๏ บัลลังก์ที่นั่งต้น เคียงขนาน
ตำรวจในพนักงาน แต่งไว้
เจ้ากรมปลัดทหาร ในเลิศ ลงเฮย
ขวาอยู่ท้ายซ้ายได้ อยู่หน้าเรือขนาน ๚
๔๔๑๏ สมเด็จบรมนารถเจ้า จอมภพ
ครั้นเมื่อย่ำค่ำพลบ นอบน้อม
ทรงสดับเทศนาจบ จวบทุ่ม ควรพ่อ
องครักษ์แปดหมู่ห้อม แห่ริ้วชูเทียน ๚
๔๔๒๏ พระดำเนินลงสู่เบื้อง ฝั่งชไล
ทรงพระราชยานไคล คลาศเต้า
ดลราชกิจวินิจฉัย ประทับแทบ เกยนา
ชาวแม่นักงานเฝ้า นบนิ้วส่องเทียน ๚
๔๔๓๏ โคมสัญญาชักเฉื่อยขึ้น ถึงปลาย เสาเอย
เรือทุ่นจุดโคมราย รอบล้อม
พิณพาทย์ประโคมถวาย กลองแขก อีกพ่อ
ทหารเป่าแตรตรวจซ้อม ทุ่นใต้จุดเรียง ๚
๔๔๔๏ พระเสด็จยุรยาตรเยื้อง ลงยัง เรือเอย
ที่นั่งรัตนบัลลังก์ เทียบไว้
เนื่องสนมแน่นชาววัง อีกพระ ประยูรนา
เถ้าแก่ท้าวนางได้ อยู่ท้ายถวายเรือ ๚
๔๔๕๏ เสด็จถึงประทับยั้ง หยุดพลัน
ให้เคลื่อนเรืออนันต์ นาคเต้า
พลพายพรั่งพร้อมกัน พายล่อง
ถึงจอดเรียงเคียงเข้า เทียบหน้าเรือขนาน ๚
๔๔๖๏ เจ้ากรมพระตำรวจทั้ง แปดนาย
ต่างก็ลงเรือพาย ล่องน้ำ
โคมเพ็ชรจุดผูกหมาย ตำรวจ ใช้นา
พายหนักเร่งพายจ้ำ รีบร้อนเร็วไป ๚
๔๔๗๏ ครั้นถึงที่ทุ่นตั้ง ล้อมวง
แวะจอดจับทุ่นตรง ที่นั้น
สี่ตำรวจนอกในคง ตามที่ เคยเอย
ตำรวจนอกสนมชั้น นอกริ้วเคยเสมอ ๚
๔๔๘๏ ทรงจุดประทีปล้วน เทียนราย ลำเฮย
เทียนฉัตรจำรัสฉาย ช่องชั้น
เสด็จทรงประนมถวาย เรือเคลื่อน ลอยเฮย
สังข์หวู่แตรเหว่จั้น จับจ้าแจ่มใจ ๚
๔๔๙๏ ถัดถึงนาเวศล้ำ แลวิไล
ปรากฏศรีสุนทรชัย ชื่ออ้าง
เทียนรายฉัตรชั้นไสว แสงส่อง
จุดเสร็จลอยล่องคว้าง เคลื่อนคล้อยกรายพาย ๚
๔๕๐๏ ต้นบทโหยเห่ต้น คำกลอน
พลเพียบรับอักษร ท่อนท้าย
พายทองเชิดชูสลอน จังหวะ พายพ่อ
บทกาพย์เปลี่ยนพายย้าย ยั่วเย้าเชิงชวน ๚
๔๕๑๏ พายกรายพายร่อนร้อง เห่หวล
ฟังเสนาะสำเนียงครวญ เฉื่อยช้า
ล่องขึ้นกลับทบทวน หลายเที่ยว
เฉลิมพระเกียรติเจ้าหล้า หลากล้ำฤๅเสมอ ๚
๔๕๒๏ บรรยงก์บุษบกตั้ง ทั้งสอง ลำเฮย
พุทธสิหิงค์จำลองทรง หนึ่งนั้น
หนึ่งตั้งพุ่มพานทอง แท่นที่ นาพ่อ
ทรงพระราชูทิศหั้น แห่งแก้วกิ่งสาม ๚
๔๕๓๏ จึงจุดประทีปล้วน เรือกระทง
แลเลิศล้วนอย่างคง คู่หล้า
แกะประกอบบรรจง กระจกแจ่ม ศรีเฮย
เพลิงส่องแสงทองจ้า จรัสแพร้วพรายพราว ๚
๔๕๔๏ หลายลำหลายคู่เข้า เคียงงาม
ลอยเรียบล่องชลตาม ขนัดริ้ว
พลพายจดจ้องจาม จ้วงเปิด โปรยเฮย
ธงปักลมปัดพลิ้ว พลิกย้ายชายกระพือ ๚
๔๕๕๏ โขมดยาเรือดั้งคู่ รามัญ แซนา
เรือรูปสัตว์หลายพรรค์ ถูกถ้วน
วางลำดับเรียงกัน ตามแบบ เพรงพ่อ
ตั้งคฤห์กันยาล้วน ดาดผ้าแดงทอง ๚
๔๕๖๏ไม้แกะรูปหุ่นจ้อง จับพาย
เสื้อสอดต่างสีหลาย หลากล้ำ
สองแถวนั่งริมราย ทุกทั่ว กระทงเฮย
จ้วงหนักจรดทีจ้ำ งัดท้ายยืนตรง ๚
๔๕๗๏ บัดถึงที่นั่งต้น ตรูตา ต่างแฮ
นาคครุฑหงส์เหรา กิ่งแก้ว
เอกชัยกราบนานา สีประกอบ อีกเฮย
จำหลักเครือมาศแพร้ว หลากพื้นลายผจง ๚
๔๕๘๏ บัลลังก์มณฑปตั้ง กึ่งกลาง
ม่านปักทองแย่งกาง ผูกห้อย
จงกลรับเทียนวาง หว่างภาพ พายพ่อ
ประดิษฐ์ประดับไม่น้อย เครื่องแม้นเรือทรง ๚
๔๕๙๏ เรือกราบเกณฑ์เหล่าข้า ทูลละออง
หลวงพระพระยาผอง ทุกผู้
จำลำดับปล่อยสอง ลำล่อง
พันชื่อพรหมราชรู้ เรียบร้อยคอยวาง ๚
๔๖๐๏ เรือเสร็จสั่งให้เรียก แพกระทง ใหญ่เอย
ปล่อยล่องคว้างคว้างตรง เหนี่ยวไว้
รั้งท้ายหยุดถวายทรง จุดทั่ว เทียนเฮย
แล้วที่หนึ่งสองได้ ปล่อยซ้ำเรียงตาม ๚
๔๖๑๏ กระทงเจิมพับเกล็ดซ้อน ใบตอง กล้วยเอย
บ้างเหลี่ยมบ้างกลมสอง ใหญ่น้อย
ซ้อนตั้งยอดพานรอง พนมพุ่ม แลพ่อ
กลีบปากบุบผชาติร้อย เฟื่องห้อยพึงชม ๚
๔๖๒๏ กระจังกระจ่างล้วน ผลฟัก เหลืองเฮย
ซ้อนเสียดสอดสีจำหลัก เพริศแพร้ว
นานาเอนกปัก เทียนภาพ สลับแฮ
ลิงยักษ์ต่อยุทธแกล้ว จับถ้าจรดแทง ๚
๔๖๓๏ ฉลักฉลุปรุกาบต้น กัทลี
ลายเลิศมุ่งสอดสี ชาดพื้น
แต่งประกอบแพมี ปลาเต่า มากนา
ชลท่วมเกลี่ยตื้นตื้น รอบชั้งรองกระทง ๚
๔๖๔๏ โสภณโอภาสเพี้ยน แผกกัน
ต่างช่างต่างเชิงขัน คิดสู้
ทำถวายเสร็จสามวัน ลอยเนื่อง กันนา
วันหนึ่งนับตรวจรู้ ครบห้ากระทงเกณฑ์ ๚
๔๖๕๏ บรมวงศ์ทำนั้นที่ หนึ่งกระทง
สองกับสามราชวรวงศ์ จัดไว้
สี่สมเด็จอนุชาองค์ หนึ่งแต่ง นาพ่อ
ห้าเชษฐกคินีได้ แต่งแล้วลอยถวาย ๚
๔๖๖๏ จุดพุ่มกระจ่างแจ้ง แสงฉาย
กระถางพลุระทาหลาย ปีบร้อง
นกกรวดพะเนียงราย บานช่อ งามเอย
พลุโด่งดังเสียงก้อง บอกขึ้นสามตึง ๚
๔๖๗๏ ครั้นเสร็จเสด็จขึ้น ราชฐาน
กลองแขกรัวต่านขาน ปี่ห้อ
เรียกรุ่ยปี่เปิดดาน โหยแหบ
ออกสายปี่ตอดจ้อ ส่งแล้วลดโคม ๚
๔๖๘๏ เรือผ้าป่าทอดทุ่นทั้ง ล้อมวง
โคมลดสัญญาลง เสร็จแล้ว
ต่างเลิกต่างคนคง ที่สถิต ตนเฮย
เดือนล่องนภาแผ้ว ผ่องพ้นมัวมอม ๚
๔๖๙๏ ดาดาษกลาดเกลื่อนกลุ้ม เรือดู
อึงลั่นสนั่นหู ไม่น้อย
แทรกเบียดเสียดเกรียวกรู ชิงช่อง ขึ้นแฮ
แม้จักนับกว่าร้อย ยึดท้ายเป็นพวง ๚
๔๗๐๏ บ้างเล่นเคียงแข่งคล้าย พายพนัน
ชิงชนะสรวลสันต์ โห่ร้อง
บ้างเถียงทะเลาะกัน อึงเอะ อะเอย
สนุกสนั่นมี่ก้อง ฟากโพ้นโยนยาว ๚
๔๗๑๏ บางคนเล่นเรื่องร้อง ขับขาน
แพนขลุ่ยซอบรรสาน แอ่วชู้
อย่างต่ำขับขอทาน โทนฉิ่ง กรับนา
ริเล่นตามตนรู้ ดอกสร้อยเพลงสวรรค์ ๚
๔๗๒๏ ปรบไก่ครึ่งท่อนทั้ง สักรวา
ร้อยยักลำนานา ปลอบพ้อ
แก้โต้ตอบไปมา ไม่สุด สิ้นเอย
ออดแอดอ้อยอิ่งจ้อ จากแล้วพายตาม ๚
๔๗๓๏ สาวหนุ่มบรรเจิดหน้า แจ่มใจ
ทุ่มทอดไว้อาลัย เกี่ยวเกี้ยว
ฝากรักชักความใน วอนกล่าว
เลียมและเลี่ยงหลีกเลี้ยว ผูกข้อไมตรี ๚
๔๗๔๏ ลมลงเรื่อยเรื่อยริ้ว ก่อหนาว
เย็นชุ่มใจหนุ่มสาว แทรกเนื้อ
เกิดรักแรกเริ่มคราว ฤดูเปลี่ยน นาพอ
ใหม่ไม่เคยชิดเชื้อ อกร้าวหนาวชวน ๚
๔๗๕๏ จันทรจรแจ่มฟ้า ส่องแสง สว่างเฮย
ส่องจับเนตรเสียวแสยง ยอกช้ำ
ส่องพักตร์พักตร์เพ็ญแคลง จันทร์เปลี่ยน
จันทร์แจ่มเจ็บใจปล้ำ ปลิดให้ไกลทรวง ๚
๔๗๖๏ น้ำลงเรือล่องคว้าง ขวัญหาย
น้ำเร่งให้ไกลสาย สวาสดิ์แคล้ว
วันอื่นกลับคืนหมาย พบเนตร ฤๅนา
น้ำส่งเหลียวสั่งแก้ว กึ่งถ้อยไป่ทัน ๚
๔๗๗๏ เหลียวหลังลับเนตรโอ้ อ่อนแรง
ฤๅว่าเจ้าจอดแฝง ฝั่งสุ้ม
แลลอดสอดตามแสง เดือนส่อง
จันทร์แจ่มใจมืดกลุ้ม ส่องน้องไหนนาง ๚
๔๗๘๏ ปะวนหน้าวัดอ้าง กัลยา ณมิตรเฮย
คิดว่าวนคืนมา สู่เจ้า
สองเนตรสอดแสวงหา ริมฝั่ง
หาฤเห็นหวนเศร้า ล่องพ้นวนเลย ๚
๔๗๙๏ บ้างคืนบ้างกลับขึ้น พายทวน น้ำเอย
ชายหนุ่มหญิงสาวชวน พูดจ้อ
น้ำเชี่ยวรีบเร่งจวน จักรุ่ง รางนา
พายไม่พายเฝ้าล้อ สาดน้ำเปียกปอน ๚
๔๘๐๏ หญิงดุชายดับง้อ งอแง
ยิ่งโกรธยิ่งตอแย หยอกเย้า
มือพายพูดคลอแคล ชวนแข่ง
ลองสักพักเถิดเจ้า หะตั้งตุ๋งพาย ๚
๔๘๑๏ ชาวแพชาวบ้านเหล่า ชาวชน
ต่างก็ทำตามจน เล็กน้อย
เรือหยวกดอกอุบล บานเบิก ลอยเฮย
จีบพลับพลึงจ้อยจ้อย ธูปน้อยหนึ่งเทียน ๚
๔๘๒๏ สามวันเอิกเกริกทั้ง กรุงศรี
เป็นที่ปริ่มเปรมปรีดิ์ แซ่ซ้อง
ตามคราวฤดูปี รู้ทั่ว กันพ่อ
นึกกระหยิ่มคอยจ้อง ค่ำแล้วดูกระทง ๚
๔๘๓๏ จีนไทยแขกแท้ชอบ ดูกระทง
ชาวยุโรปกงสุล พ่อค้า
ต่างคนจัดเรือลง พายเที่ยว
แสนสนุกทั่วหน้า เหนือยเข้าจอดดคอย ๚
๔๘๔๏ บ้างเล่นจุดดอกไม้ ทั้งผอง
ช่อม่วงเทียนฝอยทอง ดอกน้ำ
เล่นตามแต่ใจคนอง จุดขว้าง กันเฮย
อีกกรวดกังหันซ้ำ ประทัดทิ้งเป็ดบิน ๚
๔๘๕๏ นักเลงเจ้าชู้เที่ยว เสาะแสวง
ไหนที่สีแดงแดง จอดห้อย
แอบพูดตะแคะตะแคง เป็นแยบ
ทำขู่ทำหน้าม่อย พูดแก้กันอาย ๚
๔๘๖๏ บางคนนึกไว้แต่ คืนหลัง
มาก็เที่ยวเก้กัง ตรวจหน้า
หมู่ใหญ่น่าวัดระฆัง ไปแอบ ดูเอย
ไม่พบจบเจียนบ้า สุดรู้เสียแรง ๚
๔๘๗๏ อกเอ๋ยหาอ่อนอ้า อยู่ไหน
หาบ่เห็นสายใจ สุดค้น
แลเห็นแต่โคมไฟ สูงสุด เสานา
ใจลิ่วแขวนสูงพ้น ยิงล้ำโคมลอย ๚
๔๘๘๏ เอาเถอะสุดฤทธิ์ค้น เสาะหา
นึกว่าสิ้นวาสนา เท่านั้น
สองคืนไม่ปะตา แลเปล่า
รักก็รักสุดกลั้น แทบกลั้นใจตาย ๚
๔๘๙๏ เลอะแล้วร่ำเรื่องผู้ ดูกระทง
เปรอะประจะเก็บลง เบื่อบ้าง
เกลากลอนผ่อนประสงค์ สังเขป
แม้จักซ้ำพร่ำอ้าง มากล้นเหลือฟัง ๚
๔๙๐๏ ปาฏิบทกัณหปักษ์ตั้ง พิทยา
ชื่อกติเกบูชา ว่าไว้
จันทร์ถึงฤกษ์กฤติกา ปรากฏ ควรพ่อ
พราหมณ์พรตพรหมกรรมได้ พุ่มไม้เทพทัณฑ์ ๚
๔๙๑๏ ตั้งเกยหกศอกขึ้น น่าสถาน สามเฮย
มูลพระโคกองปาน ต่อมน้ำ
สี่ทิศแห่งเกยศาล สูงศอก หนึ่งนา
ชื่อว่าบัพโตล้ำ เลิศล้วนมงคล ๚
๔๙๒๏ พลบค่ำชีพ่อพร้อม ทำการ พิธีเฮย
ในที่เทวสถาน หนึ่งนั้น
กรสูทอาตมสุทธธาร เบญจคัพย์ เสร็จนา
บูชิตเทพทณฑ์ปั้น บาตรแก้วตามเพลิง ๚
๔๙๓๏ เทพทัณฑ์ทวาทศถ้วน แลหลาย
ผ้าหุ้มห่อหนปลาย ทุกไม้
เกยหนึ่งสี่ไม้หมาย สี่อย่าง นาพ่อ
เสี่ยงสุขสำราญให้ โลกรู้ศาสตร์คุณ ๚
๔๙๔๏ ราชครูผู้ใหญ่ขึ้น เกยพลัน
ไม้ห่อผ้าจุ่มน้ำมัน บาตรแก้ว
จุดเพลิงพุ่งทิศตะวัน ออกก่อน แลพ่อ
พุ่งครบสี่ทิศแล้ว ปักตั้งบัพโต ๚
๔๙๕๏ ที่หนึ่งเสร็จจึ่งขึ้น ที่สอง
ทำวิธีทำนอง ดั่งนั้น
เสร็จแล้วที่สามรอง ทำดุจ กันนา
พุ่งยอดบัพโตครั้น ครบสิ้นสามเกย ๚
๔๙๖๏ เสร็จจึ่งสวดเข้าตอก ในสถาน
พราหมณ์สี่ตนนักงาน สวดแจ้ว
ข้าวตอกจัดตั้งพาน พราหมณ์หนึ่ง ชูนา
ยกอุหลุบจบแล้ว แจกให้ชาวชน ๚
๔๙๗๏ บาตรแก้วนั้นจุดไว้ สามรา ตรีเฮย
คอยรับพระศิวา กฤษณเจ้า
พระองค์จักเสด็จมา เยียนโลก
ได้ประชุมเทพท้าว ถีบโล้ขดานโยน ๚
๔๙๘๏ สิ้นความตามแบบเบื้อง โบราณ
กติกมาสพิธีการ เท่านี้
น้ำลดชักลมพาน พัดล่อง ลงเอย
เรียกว่าลมว่าวชี้ ชื่อแล้งแห่งฤดู ๚