นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ไม่ใช่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ
แม่หยัว ตอนที่ ๙ มีฉากพระยอดฟ้าสถาปนาท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็น "นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์" ผู้สำเร็จราชการ เหมือนจะสื่อทำนองว่าตำแหน่งนี้คือพระราชินีผู้สำเร็จราชการ หรือ Queen Regent และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเรียกว่า "แม่หยัว" จากเดิมที่เป็นพระอัครมเหสีในสมัยพระไชยราชา
อาจเพราะในความรู้สึกคนยุคปัจจุบัน คำว่า "นางพระยา" ฟังดูให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ ทำนองเดียวกับ "แม่อยู่หัว" ที่ดูเหมือนอยู่ในระดับเสมอ "พ่ออยู่หัว" ที่เป็นคำเรียกกษัตริย์ (ยังไม่พบหลักฐานการใช้งานคำนี้เรียกกษัตริย์อยุทธยาชัดเจน)
แต่เมื่อพิจารณาหลักฐานในสมัยอยุทธยาแล้วจะพบว่า ความหมายของทั้งสองคำนี้ไม่ได้สื่อถึงสถานะผู้สำเร็จราชการ
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยากล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระยอดฟ้าครองราชย์ไว้เพียงว่า "ฝ่ายสมณพราหมณาจารย์มุขมนตรี กวีราชนักปราชญ์บัณฑิตโหราราชครูสโมสรพร้อมกัน ประชุมเชิญพระยอดฟ้าพระชนม์ได้ ๑๑ พระวษา เสด็จผ่านพิภพถวัลราชประเวณีสืบศรีสุริวงศ์อยุธยาต่อไป แล้วนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ผู้เป็นสมเด็จพระชนนี ช่วยทำบำรุงประคองราชการแผ่นดิน"
พงศาวดารมักเรียกนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์โดยย่อว่า "นางพระยา" หรือ "นางพญา"
พิจารณาแล้วควรจะเป็นยศเดิมตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชา เพราะ "นางพระยา/นางพญา" มีความหมายตรงตัวคือ นางของพญา (กษัตริย์) เป็นคำเรียกพระมเหสีเทวีในสมัยอยุทธยา
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับปลีก บันทึกเหตุการณ์รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพญา) ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ใช้คำว่า "นางพญา" เรียกพระราชเทวีของสมเด็จพระบรมราชาธิราช ซึ่งเป็นพี่น้องกับพระมหาธรรมราชาธิราช (พรญาบาลเมือง) แห่งพิษณุโลก และเป็นพระมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถซึ่งขึ้นเป็นกษัตริย์อยุทธยาองค์ถัดมา
เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชสถาปนาเจ้าพญาแพรกพระราชโอรส เสวยราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระนครหลวง (กรุงกัมพูชา) "แลให้เจ้าแม่ท้าวอินทรบุตริเป็นนางพญา" คือสถาปนาเจ้าแม่ท้าวอินทรบุตรีเป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงพระนครหลวง
มหาชาติคำหลวง แต่งใน พ.ศ. ๒๐๒๕ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ก่อนยุคของนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ๖๐ กว่าปี ใช้คำว่า "นางพญา" "นางพระญา" "นางพระยา" หรือ "ออกนางพญา" เรียกนางสบรรษดี (ผุสดี) มเหสีของพระสญชัย และนางมัทรีมเหสีของพระเวสสันดร
ศัพทานุกรมภาษาจีน-อนารยประเทศ แผนกภาษาเซียนหลัว 《華夷譯語暹羅館》สมัยราชวงศ์หมิง (สันนิษฐานว่าทำขึ้นราวรัชศกว่านลี่ปีที่ ๗ หรือ ค.ศ. ๑๕๗๙/พ.ศ. ๒๑๒๒ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่มีการตั้งหอแปลภาษาเซียนหลัว (ไทยอยุทธยา) ขึ้นหรือหลังจากนั้น) คำว่า 妃 ซึ่งหมายถึงชายาของกษัตริย์ แปลเป็นภาษาไทยว่า "นางพละยา"(นางพระยา)
เอกสารราชพยัตติธรรม ในปูมราชธรรมสมัยอยุทธยา พบที่หอสมุดแห่งชาติกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สันนิษฐานว่ามีอายุในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ยังปรากฏการใช้คำว่า "นางพญา" เรียกมเหสีของกษัตริย์อยู่
วรรณกรรมสมัยอยุทธยา เช่น ลิลิตพระลอ ก็ใช้คำว่า "นางพระยา" หมายถึงพระมเหสีเช่นกัน
"แม่อยู่หัว" ซึ่งกร่อนเสียงไปเป็น "แม่หยัว" ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลว่า "แม่หยัวเมือง" "แม่หยัวเจ้าเมือง" สรุปแบบสั้น ๆ คือ ตำแหน่ง "แม่หยัว" ตามกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุทธยาเป็นเพียงชื่อยศพระภรรยาของกษัตริย์เท่านั้น มีสถานะเป็นรองลงมาจากพระอัครมเหสี สถานะใกล้เคียงกับพระราชเทวีหรือพระอัครชายา และสูงกว่าพระภรรยาเจ้าที่เป็นลูกหลวงหรือหลานหลวง สามารถมีได้สองคนในเวลาเดียวกัน เพราะกฎมณเฑียรบาลบางมาตราแยกตำแหน่งแม่หยัวเป็นซ้ายขวาสองคน
สำหรับซีรีส์แม่หยัว มีการลำดับยศตำแหน่งไม่ค่อยสอดคล้องกับหลักฐานประวัติศาสตร์นัก โดยเริ่มจากในรัชกาลพระไชยราชาเป็นท้าวศรีสุดาจันทร์ ตำแหน่งนางท้าวพระสนมเอกก่อน แล้วได้เลื่อนเป็นพระอัครมเหสีหลังประสูติพระยอดฟ้า พอพระยอดฟ้าครองราชย์ได้เป็นแม่หยัว ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาลต่ำกว่าพระอัครมเหสี แล้วกลับมาเป็นอัครมเหสีอีกในรัชกาลขุนวรวงศาธิราช
การนำเสนอภาพแม่หยัวเดินนวยนาดมาขึ้นนั่งบนบัลลังก์วางมาดเหมือนเป็น "นางพญา" เป็นการนำเสนอเชิง fantasy เพราะในทางประวัติศาสตร์ ต่อให้เป็นผู้สำเร็จราชการก็ไม่สามารถขึ้นไปนั่งอยู่บนพระราชบัลลังก์ใต้มหาเศวตฉัตรแบบในซีรีส์ได้
จาก
วิพากษ์ประวัติศาสตร์ โดย คุณศรีสรรเพชญ์