เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8]
  พิมพ์  
อ่าน: 21284 สงครามโลกครั้งที่สอง วันญี่ปุ่นขึ้นบก
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 08:11

#ตำนานรัก " ทหารญี่ปุ่นกับสาวนครนายก "

จากตำนานรัก "สาวบ้านนา กับหนุ่มทหารหมอ กองทัพญี่ปุ่น" ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2482 – 2488 จนกลายเป็นที่มาของขนมโมจิ สูตรสงครามโลกครั้งที่ 2



สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในจังหวัดนครนายก ที่อำเภอบ้านนา ต.ป่าขะ , ต.ศรีกระอาง , ต.พิกุลออก ส่วนอำเภอเมือง ต.พราห์มณี , ต.เขาพระ และ ต.สาริกา ซึ่งต่อมาชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว ได้นำสินค้าพื้นเมืองประเภทผัก ผลไม้ กล้วย และขนมไข่เหี้ย มาค้าขายให้ทหารญี่ปุ่นทุกวัน

ส่วนแม่ค้าในตำนานคือ นางสาวพันนา ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ขณะนั้นอายุเธอประมาณ 18 ปี ได้ทำขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมไข่เหี้ย กล้วยทอด ซาลาเปาทอด มาขายเป็นประจำ จนได้รู้จักกับทหารหมอรูปหล่อชาวญี่ปุ่นชื่อ "ซาโต้"

วันหนึ่งทหารหมอญี่ปุ่นต้องโยกย้ายไปค่ายอื่น ก่อนจากไปนั้น "ซาโต้" ได้สอนสาวพันนาทำขนมโมจิ และบอกกับเธอว่า ขนมนี้จะเป็นตัวแทนของซาโต้ และเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น จากนั้นซาโต้ก็สอนสาวพันนาทำขนมโมจิ เมื่อซาโต้ลองกินขนมถึงกับบอกว่าสาวพันนาทำขนมญี่ปุ่นโมจิได้อร่อยที่สุด

เมื่อถึงเวลาทหารญี่ปุ่นต้องจากไป ซาโต้บอกกับสาวพันนาว่า หากวันใดที่คิดถึงเขาให้ทำขนมโมจิ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จะขอกลับมาหาเธอให้จงได้ แต่ถ้าจะคิดทำขายก็ทำได้ เพราะมีทหารญี่ปุ่นที่คิดถึงบ้านมักจะชอบกินขนมญี่ปุ่น เช่น ขนมโมจิเสมอๆ

และแล้วซาโต้ก็จากไป โดยที่สาวพันนาก็ยังคงทำอาชีพหาบของขาย รวมทั้งขนมโมจิให้กับกองทัพทหารญี่ปุ่นและรอการกลับมาของซาโต้ทุกเช้าค่ำ

ต่อมาญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นต้องกลับประเทศทั้งหมด แต่สาวพันนาก็ไม่มีโอกาสได้พบกับซาโต้อีกเลย จากนั้นเธอก็ยังทำขนมโมจิขายให้กับผู้คนในเมืองนครนายกเรื่อยมา

จนวันหนึ่งทหารไทยมาแจ้งกับสาวพันนาว่า ขนมที่เธอทำอยู่นั้น ทางราชการประกาศห้ามกิน ห้ามทำ ห้ามขาย เพราะเป็นขนมของญี่ปุ่น ขนมโมจิมันคือ "ขนมกบฏ"

สาวพันนาจึงยุติทำขนมโมจิออกขาย แต่ทุกๆครั้งที่คิดถึงซาโต้ สาวพันนาก็จะแอบทำขนมโมจิ เพื่อแทนความคิดถึงหนุ่มญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รัก

และทุกครั้งที่เธอทำขนมโมจิสาวพันนาจะตั้งจิตอธิษฐาน สวดมนต์ภาวนา ให้ซาโต้กลับมากินขนมของตัวเอง วันแล้ววันเล่าที่เธอเฝ้ารอ จนผ่านไปเนิ่นนานหลายสิบปี และในที่สุดทุกๆคนต่างก็ลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปตามกาลเวลา

#จนกระทั่ง พ.ศ. 2547 พระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบประวัติเรื่องขนมโมจิ จึงให้ทหารคนสนิทไปสืบหาที่มาขนมโมจิสูตรดังกล่าว ซึ่งได้ไปค้นหาอยู่หลายที่และนำมาให้เสวย แต่พระเทพทรงตรัสว่าไม่ใช่ขนมโมจิสูตรที่พระองค์ตามหา

ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก(ในสมัยนั้น) ได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก ประกาศประชาสัมพันธ์และสืบหาจนได้ทราบว่านายมานพ ศรีอร่าม ข้าราชการพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก เป็นบุตรชายของผู้ที่ทำขนมโมจิดังกล่าว

แต่ในขณะนี้เธอมีอายุมากแล้วแต่ความทรงจำยังดี สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆในอดีตได้เป็นอย่างดี พร้อมได้สอนให้บุตรและลูกสะใภ้ฝึกหัดทำขนมเพื่อถวายสมเด็จพระเทพฯ

ซึ่งเป็นวันที่คุณยายพันนา รอคอยวันนี้มานานแสนนาน วันที่ขนมโมจิของแกจะถูกเผยแพร่อีกครั้ง เหมือนได้บอกกับซาโต้ ว่ายังมีสาวบ้านนาคนนี้รออยู่ที่เมืองไทย

ปัจจุบัน คุณยายพันนาได้จากไปแล้ว โดยได้รับพระราชทานเพลิงศพจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และปัจจุบันขนมโมจิสูตรดังกล่าวได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

จากตำนานรัก " สาวบ้านนา กับหนุ่มทหารหมอ กองทัพญี่ปุ่น " จนกลายมาเป็นขนมกบฏ หรือขนมโมจิ สูตรสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีชื่อประจำเมืองนครนายกครับ

#ขอบคุณผู้รวบรวมข้อมูลไว้ครับ

https://web.facebook.com/photo/?fbid=2032387970355119&set=a.1381369428790313

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 10 พ.ย. 24, 08:35


ลมเปลี่ยนทิศ

   ก้าวเข้าสู่ปี 2488 สถานการณ์ญี่ปุ่นในพม่าค่อนข้างเลวร้าย แนวป้องกันบริเวณแม่น้ำอิรวดีถูกทำลายอย่างเด็ดขาด ฐานทัพที่มัณฑเลย์กับหมิ่นจายย์ถูกตีแตกในเวลาต่อมา ส่วนฐานทัพที่แมงดะละอยู่ในสถานะเจียนอยู่เจียนไป กำลงพลจำนวนมากต้องอพยพข้ามฝั่งกลับมารักษาตัวในประเทศไทย ข่าวความพ่ายแพ้ของทหารญี่ปุ่นในพม่าและอินเดียถูกคนไทยพูดถึงในวงกว้าง

สถานการณ์ในสมรภูมิอื่นเลวร้ายไม่แพ้กัน กรุงมะนิลาซึ่งเคยเป็นกองบัญชาการการสู้รบกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ถูกฝ่ายตรงข้ามยึดครอง สหรัฐอเมริกาส่งนาวิกโยธินยกพลขึ้นบกที่เกาะอิโวะจิมะต่อด้วยเกาะโอกินาวะ วันที่ 10 มีนาคม  2488 มีการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่กรุงโตเกียวถูกเผาครึ่งเมือง วันที่ 7 เมษายน 2488 คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นลาออกมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อย่างเร่งด่วน แต่ข่าวซึ่งสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อทหารญี่ปุ่นในไทยมากที่สุดก็คือ วันที่ 8 พฤษภาคม 2488 เยอรมันประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแบบไม่มีเงื่อนไข

จากนี้ไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจะทุ่มหมดหน้าตักเพื่อจัดการญี่ปุ่นให้เด็ดขาด

สถานการณ์ในประเทศไทยเลวร้ายไม่แพ้ที่อื่นยกตัวอย่างเช่น

-วันที่ 14 มกราคม 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 โจมตีสะพานจุฬาลงกรณ์ จังหวัดราชบุรี

-วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 จำนวน 64 ลำ ทิ้งระเบิดใส่สะพานพระราม 6 สะพานถูกระเบิดขาดกลางเสียหายอย่างหนักหมดสภาพการใช้งาน

-วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 โจมตีสถานีรถไฟนครราชสีมา

-วันที่ 3 มีนาคม 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ถล่มที่ตั้งทหารญี่ปุ่นในเขตมักกะสัน

-วันที่ 19 มีนาคม 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 โจมตีสถานีรถไฟชุมพร สะพานข้ามแม่น้ำท่าตะเภา และทางรถไฟสายคอคอดกระเกิดความเสียหายอย่างหนัก

-วันที่ 9 เมษายน 2488 เครื่องบินขับไล่ P-51 จำนวน 40 ลำบุกมาโจมตีสนามบินดอนเมือง

-วันที่ 14 เมษายน 2488 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ถล่มโรงไฟฟ้าวัดเลียบใกล้สะพานพุทธ กับโรงไฟฟ้าสามเสนถนนศรีย่านเกิดความเสียหายอย่างหนัก ส่งผลให้กรุงเทพทั้งเมืองตกอยู่ในความมืด



นอกจากระเบิด 196 ล้านตันสำหรับถล่มทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรหลายลำยังร่อนต่ำใกล้พื้นดิน เพื่อโปรยใบปลิว ยารักษาโรค และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับคนไทยในกรุงเทพ เป็นการแสดงศักยภาพว่าตัวเองสามารถโบยบินเหนือท้องฟ้าไทยตอนไหนก็ได้ และโฆษณาเชิญชวนให้คนไทยเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านญี่ปุ่นมากขึ้นกว่าเดิม

การทิ้งระเบิดอย่างหนักจากสนามบินประเทศอินเดียและจีน นายพลนากามูระทำได้เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ในสถานที่ปลอดภัย เขาไม่มีเครื่องบินขับไล่บินขึ้นไปสกัดกั้นแม้แต่ลำเดียว จำนวนเครื่องบินในประเทศไทยก็ลดลงเหลือเพียง 30 ลำ ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานเหลือแค่ไม่กี่กระบอกและขาดความแม่นยำ ไม่มีกำลังเสริมจากอินโดจีน-ฝรั่งเศสหรือมลายู ไม่มียุทธปัจจัยลำเลียงมาจากญี่ปุ่นเหมือนในอดีต จึงถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศอย่างเมามันแต่เพียงฝ่ายเดียว


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 10 พ.ย. 24, 08:40


ภาพถ่ายโรงเรียนสวนกุหลาบและโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ถ้าโรงไฟฟ้ายังอยู่จะโดนย้ายออกไปอยู่ที่อื่นหรือเปล่านะ



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 11 พ.ย. 24, 10:15

ประกาศปอร์ตสดัม

   วันที่ 9 กรกฎาคม 2488 ญี่ปุ่นเชิญข้าราชการและทหารระดับสูงของไทยมากกว่า 70 คน นำโดยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ให้เข้าชมแนวป้องกันทางทหารที่แข็งแกร่งมากที่สุดในประเทศไทย แนวป้องกันโตชิกะถูกสร้างขึ้นมาบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนพญาไท วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการรุกรานจากทหารฝ่ายสัมพันธมิตร และแสดงให้เห็นถึงฐานะและศักดิ์ศรีที่แท้จริงของทหารญี่ปุ่น ซึ่งค่อนข้างรางเลือนเพราะคำโฆษณาเชิญชวนของสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ

   การอวดแนวป้องกันโตชิกะยังเป็นการบ่งบอกทางอ้อมว่า ถ้ารัฐบาลไทยยังแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องไม่ทำตามคำมั่นสัญญา หรือให้การสนับสนุนสายลับต่างชาติเสรีไทยอย่างออกนอกหน้า ญี่ปุ่นจะเข้าควบคุมการปกครองคล้ายดั่งที่เคยทำกับรัฐบาลอินโดจีน-ฝรั่งเศส เวลาเดียวกันญี่ปุ่นได้ส่งทหารกองพลที่ 37 มาประจำการนครนายกซึ่งเป็นที่มั่นขนาดใหญ่ และตรวจสอบข่าวการสร้างสนามบินลับหลายแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันเป็นจุดที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษส่งมอบอาวุธต่อเสรีไทย

   การค้นกลุ่มผู้นิยมสหรัฐอเมริกาและอังกฤษคือหนึ่งในภารกิจสำคัญ แม้แต่นายควง อภัยวงศ์นายกไทยซึ่งมีความสนิทสนมกับนายพลนากามูระ ยังถูกกองสารวัตรทหารญี่ปุ่นตามสะกดรอยโดยไม่แจ้งต่อผู้บังคับบัญชา แผนการประสบความล้มเหลวไม่พบความผิดปรกติของผู้นำคนใหม่ประเทศไทย หนำซ้ำนายควง อภัยวงศ์ยังนำเรื่องนี้มาฟ้องจนนายพลนากามูระแก้ตัวแทบไม่ทัน

   สถานการณ์ในประเทศไทยเลวร้ายมากขึ้นทุกวัน ความพยายามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคม 2488 กองทัพที่ 39 ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกองทัพภาคที่ 18 หรือ ‘งิ’ นายพลนากามูระได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการ มีทหารภายใต้การบังคับบัญชามากถึงหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนาย ครึ่งหนึ่งมาจากพม่าส่วนอีกครึ่งหนึ่งมาจากมลายู ใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพสุดท้ายในการต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร กำลังพลทั้งหมดประกอบไปด้วย กองทัพที่ 15 กองพลที่ 4 กองพลที่ 15 กองพลที่ 22 กองพลที่ 56 กองพลน้อยที่ 29 และกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 18

   กำลังพลส่วนใหญ่สุขภาพอ่อนแอหรือได้รับบาดเจ็บหนักเบา หนึ่งในหน้าที่สำคัญของนายพลนากามูระคือดูแลทหารทุกนาย ให้กลับมาแข็งแรงมีขีดความสามารถสูงสุดในการทำภารกิจ สามารถออกรบขั้นแตกหักกับทหารฝ่ายสัมพันธมิตร หรือบุกเข้าเผด็จศึกฐานทัพหลักเสรีไทยซึ่งเปรียบเสมือนหอกข้างแคร่ คอยส่งข้อมูลสำคัญๆ ทางทหารให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตร

   การเผชิญหน้ากับขบวนการเสรีไทยดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่หลบเลี่ยงไม่ได้

ทหารญี่ปุ่นทุกนายพร้อมทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้าย แต่แล้วในวันที่ 26 กรกฎาคม 2488 มีข่าวการประกาศปอร์ตสดัมส่งเข้าสู่ประเทศไทย เนื้อหาก็คือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และจีนลงนามในประกาศร่วมกันก่อนเผยแพร่ทั่วโลก บีบบังคับให้รัฐบาลญี่ปุ่นยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 12 พ.ย. 24, 08:14


สงครามครั้งสุดท้าย

   นอกจากประกาศปอร์ตสดัมบีบบังคับให้ญี่ปุ่นยอมจำนน ประเทศรัสเซียซึ่งส่งกำลังทหารบุกเข้ายึดครองกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมันเป็นชาติแรก ยังได้ประกาศสถานะสงครามอย่างเป็นทางการต่อประเทศญี่ปุ่น กองบัญชาการทหารสูงสุดที่โตเกียวออกคำสั่งให้ทหารต่อสู้กับรัสเซีย พลเอกอะนามิรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมพยายามเร่งเร้าให้ทหารทุกนายพร้อมป้องกันประเทศ

จากข้อมูลต่างๆ ส่งผลให้ทหารญี่ปุ่นในไทยเข้าใจไปเองว่า กองบัญชาการทหารสูงสุดไม่มีวันยอมรับประกาศปอร์ตสดัม และตัดสินใจสู้รบแบบประจัญบานอย่างสมศักดิ์ศรีบนแผ่นดินแม่ กองทัพภาคที่ 18 ซึ่งเพิ่งจัดตั้งได้ไม่นานได้รับคำสั่งให้ระมัดระวังตัว นายพลนากามูระเน้นย้ำให้ทหารทุกนายรักษาระเบียบวินัย เตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ

ระหว่างนี้การโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐอเมริกาเลือนหายไป กรุงเทพกลับมาเงียบสงบไร้สิ้นเสียงหวอเตือนภัยเหมือนที่ผ่านมา ทว่าพื้นที่ภาคใต้ของไทยกลับร้อนระอุเพราะไฟสงคราม วันที่ 24 กรกฎาคม 2488 กองเรือเฉพาะกิจที่ 63 กองทัพเรืออังกฤษบุกเข้าสู่อ่าวภูเก็ต มีการส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่สนามบิน ค่ายทหาร เส้นทางสัญจรบนเกาะ และเรือที่จอดเทียบท่า ปฏิบัติการ Operation LIVERY กินเวลาสามวันก่อนที่กองเรือเฉพาะกิจที่ 63 จะถอนตัวออกไป ถือเป็นปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ครั้งสุดท้ายของสงครามมหาเอเชียบูรพา

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทหารญี่ปุ่นที่ภูเก็ตค่อนข้างน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับคำเตือนจากทหารญี่ปุ่นที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย จึงได้เคลื่อนย้ายเครื่องบินและกำลังพลทั้งหมดไปหลบในที่ปลอดภัย ก่อนมีคำสั่งบุกเข้าโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบินซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ โชคร้ายการโจมตีแบบกามิกาเซ่ครั้งแรกในเมืองไทยประสบความล้มเหลว จัดการได้เพียงเรือกวาดทุ่นระเบิดหนึ่งลำกับสร้างความเสียหายต่อเรือลาดตระเวนหนักอีกหนึ่งลำ

เมื่อการรุกรานภาคใต้สิ้นสุดลงพร้อมการจากไปของกองเรืออังกฤษ ประกาศปอร์ตสดัมกลับมาเป็นประเด็นสำคัญในบทสนทนา ทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญและพากันมองผ่าน คิดว่าเป็นเพียงคำขู่ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเคยใช้งานบ่อยครั้ง แต่แล้วปุบปับคำขู่จากสหรัฐอเมริกากลับกลายเป็นจริง วันที่ 6 สิงหาคม 2488 มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา จากนั้นในวันที่ 9 สิงหาคม 2488 มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ ส่งผลให้คนญี่ปุ่นเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมหาศาล ฮิโรชิมากับนางาซากิกลายเป็นเมืองต้องคำสาปเต็มไปด้วยความตายและกลิ่นคาวเลือด

ความเสียหายที่เกิดขึ้นใหญ่หลวงเกินกว่าคนญี่ปุ่นยอมรับได้ นายพลนากามูระเรียกนายทหารระดับหัวกะทิเข้าร่วมการประชุม ทุกคนมีความเห็นตรงกันไม่ว่าแพ้หรือชนะพวกเราจะสู้ต่อจนถึงวาระสุดท้าย เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของประเทศและเกียรติยศทหารกล้าของสมเด็จพระจักรพรรดิ

ภาพประกอบคือความเสียหายจากการโจมตีโดยเครื่องบินรบอังกฤษ ในปฏิบัติการ  Operation LIVERY ซึ่งถือเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 13 พ.ย. 24, 08:02

คำตอบจากกรุงโตเกียว   

กลางดึกวันที่ 10 สิงหาคม 2488 รัฐบาลญี่ปุ่นส่งโทรเลขถึงรัฐบาลไทย เพื่อแจ้งข่าวท่านนายกตัดสินใจยอมรับประกาศปอร์ตสดัม วันรุ่งขึ้นนายพลนากามูระมีนัดทานข้าวกับนายควง อภัยวงศ์ตามปรกติ นายกไทยแจ้งข่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับประกาศปอร์ตสดัม กติกาสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่นสิ้นสุดลงแค่เพียงเท่านี้ และขอให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามวิถีทางของตนเองในการเอาตัวรอด

การแจ้งข่าวสำคัญจากนายกไทยคือแสดงน้ำใจไมตรีในยามทุกข์ยาก อันเป็นผลสืบเนื่องจากความสนิทสนมระหว่างนายควง อภัยวงศ์กับผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทย นายพลนากามูระ มีเวลาหลายวันในการจัดการปัญหาน้อยใหญ่ เขาตัดสินใจส่งเสนาธิการกองทัพภาคที่ 18 ที่ตัวเองไว้ใจมากที่สุด เดินทางมาที่กองบัญชาการกองทัพใหญ่เพื่อหาคำตอบที่ชัดเจน โชคร้ายเสนาธิการโคนิชิไม่ติดต่อกลับมาแม้เพียงครั้งเดียว จนกระทั่งกลางดึกวันที่ 14 สิงหาคม 2488 มีคำสั่งจากกองบัญชาการกองทัพใหญ่ใจความว่า พรุ่งนี้เวลาประมาณเที่ยงวันให้รอฟังประกาศสำคัญจากกรุงโตเกียวพร้อมกัน

วันที่ 15 สิงหาคม 2488 เวลา 12.00 น.มีพระราชกระแสของสมเด็จพระจักรพรรดิผ่านวิทยุ ต่อด้วยโอวาทของนายกรัฐมนตรีซูซูกิเกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดสงคราม เมื่อได้รับทราบอย่างชัดเจนพลันได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจากนายทหารจำนวนมาก ซึ่งไม่อยากเชื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งที่ญี่ปุ่นยังมีกำลังทหารมากเพียงพอในการป้องกันตัวเอง

วันรุ่งขึ้นนายพลนากามูระประชุมร่วมกับกองบัญชาการกองทัพใหญ่ที่ไซ่ง่อน ต่อมาจึงมีคำสั่งให้ยุติปฏิบัติการสู้รบอย่างเด็ดขาดและเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้

1.ทหารทุกนายต้องกลับที่ตั้งเพื่อความสะดวกในการบังคับบัญชา

2.สถานที่ชุมนุมของทหารให้หลีกเลี่ยงเขตตัวเมือง แต่ต้องมีเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างสมบูรณ์

3.สำรวจจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างชัดเจน อัฐิผู้เสียชีวิตให้นำมาเก็บรวมกันที่กรุงเทพ

4.ทำลายเอกสารลับเกี่ยวข้องกับการพิจารณาในศาลทหารทั้งหมด และเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด การเผาเอกสารให้ถือเป็นความรับผิดชอบของนายทหาร

5.ตรวจสอบอาวุธยุทธปัจจัยทั้งหมด และเตรียมพร้อมที่จะส่งคืนเมื่อไรก็ได้

6.การดูแลรักษาอาวุธยุทธปัจจัยให้กระทำอย่างเคร่งครัด

7.ระมัดระวังเรื่องขโมยมากกว่าเดิม ยามรักษาการณ์ทำได้เพียงยิงขู่

8.จัดการเรื่องกู้ยืมเงินกับประเทศไทยให้เสร็จเรียบร้อย

9.การเดินทางกลับประเทศยังอยู่อีกไกล ให้เตรียมเสบียงอาหารและแผนการพึ่งพาตนเอง



กองทัพภาคที่ 18 หรือ ‘งิ’ มีกำลังพลรวมทั้งสิ้น 117,750 นาย กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยสร้างความยากลำบากต่อการบังคับบัญชา นายพลนากามูระต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการควบคุมกำลังพลทั้งหมด ให้รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดไม่สร้างปัญหาต่อคนไทย รอเป็นเชลยศึกให้ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ชนะสงครามทำหน้าที่ควบคุมดูแล

นี่คือภารกิจสุดท้ายก่อนที่ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจะประกอบพิธียอมจำนน

+++The End+++

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 13 พ.ย. 24, 08:05

บทความ 'สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นในไทย' จบลงแบบห้วนๆ แค่เพียงเท่านี้


ดูเหมือนจะเหลือแค่มุมมองเสรีไทยที่ผมยังไม่ได้เขียนถึง อ่านข้อมูลจนตาลายแล้วครับแต่คิดพล็อตเรื่องไม่ออกจริงๆ ไว้ปีหน้าว่ากันใหม่....ขอตัวไปอ่านนิยายที่ดองเค็มไว้ให้หมดเสียก่อน สวัสดีครับ  ยิ้มกว้างๆ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 13 พ.ย. 24, 08:50

    ขอบคุณสำหรับกระทู้ที่มีค่านี้ค่ะ เหมาะกับจะใช้ค้นคว้าประวัติศาสตร์ด้านนี้อีกได้หลายอย่างทีเดียว
    ดิฉันกำลังอ่านบันทึกของดร.เสริม วินิจฉัยกุล     ท่านเป็นหนึ่งในคณะผู้แทนจากประเทศไทยที่มีบทบาทมากในการเจรจาสถานะสงคราม  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง     ตอนนั้น ไทยอยู่ในฐานะลำบาก เพราะเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น  แถมไปประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรอีกด้วย
    เมื่อญี่ปุ่นแพ้ ฝ่ายพันธมิตรซึ่งมีอังกฤษเป็นแกนนำถือว่าไทยอยู่ในฐานะผู้แพ้สงครามด้วย  ต้องโดนปรับอย่างมหาศาล    แต่อเมริกาก็เป็นประเทศที่ไม่รับรู้การประกาศสงครามที่ไทยทำกับพันธมิตร   ไทยจึงตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน จะไปรอดหรือไม่รอดก็ยังไม่แน่
    บันทึกนี้ช่วยให้เห็นภาพหลังสงครามได้ชัดขึ้น  ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ที่คุณ Superboy  เล่าไว้  ตอนนี้ขอเวลาไปอ่านก่อนค่ะ
บันทึกการเข้า
CVT
องคต
*****
ตอบ: 527


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 13 พ.ย. 24, 09:46

บทความ 'สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นในไทย' จบลงแบบห้วนๆ แค่เพียงเท่านี้


ดูเหมือนจะเหลือแค่มุมมองเสรีไทยที่ผมยังไม่ได้เขียนถึง อ่านข้อมูลจนตาลายแล้วครับแต่คิดพล็อตเรื่องไม่ออกจริงๆ ไว้ปีหน้าว่ากันใหม่....ขอตัวไปอ่านนิยายที่ดองเค็มไว้ให้หมดเสียก่อน สวัสดีครับ  ยิ้มกว้างๆ



ขอบคุณครับ ตามอ่านจนตาลายเลยครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 14 พ.ย. 24, 11:08

ขอเชิญต่อที่กระทู้นี้ค่ะ
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7471.msg189105;topicseen#msg189105
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.055 วินาที กับ 17 คำสั่ง