เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8]
  พิมพ์  
อ่าน: 35574 ฤาจะหมดแผงเข้าไปทุกทีทุกที
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 14 ต.ค. 18, 21:01

“คนรุ่นใหม่ไม่อ่านหนังสือ ไม่จริง เขาย้ายไปอ่านที่อื่น” คำกล่าวปิดตัวนิตยสาร Student Weekly

นิตยสารสอนภาษาอังกฤษอายุร่วม 49 ปีอย่าง S Weekly (หรือชื่อเดิมที่หลายคนรู้จัก คือ Student Weekly) ประกาศยุติการผลิตฉบับพิมพ์ ย้ายสู่ออนไลน์ลงเว็บไซต์ Bangkok Post แทน ระบุเครื่องมือการเรียนรู้ในโลกนี้อยู่บนออนไลน์แล้ว

Gary Boyle บรรณาธิการนิตยสาร S Weekly (ชื่อเดิมคือ Student Weekly) เปิดเผยผ่านเว็บไซต์ Bangkok Post ว่า ที่ผ่านมา Bangkok Post ได้ผลิตนิตยสารที่ชื่อว่า Student Weekly ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2512 ภายใต้ชื่อ Kaleidoscope ซึ่งทำให้เห็นว่านิตยสารยุคแรกที่ลุคดูจริงจัง ภาพเป็นแบบขาวดำ และยังไม่มีการสัมภาษณ์บุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งต่อมาก็ถูกปรับลุคให้ดูสดใส ภาพเป็นสี และมีการสัมษณ์คนดังมากขึ้น

“การศึกษากำลังจะมีการเปลี่ยน เราก็ต้องปรับตัวเช่นกัน การเรียนรู้ไม่ได้สิ้นสุดแค่ที่ตำราเรียนเท่านั้น คลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของข้อมูลและเครื่องมือการเรียนรู้ในโลกนี้อยู่บนออนไลน์แล้วและสามารถเข้าถึงได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ ข้อความอย่างเดียวก็ถือว่าดี แต่ข้อความบวกเสียงบวกวีดีโอนั้นดีกว่า การเรียนรู้และเข้าถึงคอนเทนต์ภาษาอังกฤษบนอินเทอร์เน็ตนั้นมีมากขึ้น ดังนั้นมันกลายเป็นความท้าทายต่อนิตยสารต่างๆ ที่เลือกจะยังคงอยู่” Gary กล่าว

ต่อมา Student Weekly เปลี่ยนชื่อเป็น S Weekly จนในที่สุด 30 กันยายน 2561 ก็ประกาศว่า S Weekly จะผลิตนิตยสารแบบพิมพ์เป็นฉบับสุดท้ายแล้ว โดยไม่มี S Weekly เวอร์ชัน E-Book แต่จะอัพเดทเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษผ่านเว็บไซต์ Bangkok Post ใน Section ที่ชื่อว่า “Learning” แทน

https://techsauce.co/news/student-weekly-magazine-says-goodbye/


บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 689


ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 16 ต.ค. 18, 13:41

สมัยเรียนมัธยม ผมต้องอ่านด้วยนะครับ หนังสือนี้
บันทึกการเข้า
aaax
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 02 พ.ย. 18, 13:17

ข่าวจากเพื่อนที่ปัตตานี ตอนนี้ B2S ปัตตานีก็ปิดตัวไปอีกหนึ่งสาขาครับ.


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 02 พ.ย. 18, 14:49

ต่อไปร้านหนังสือ (ไม่ว่าชื่อไหน)จะเหลือไหมนี่?


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 02 พ.ย. 18, 15:08

https://imonkey.blog/2017/08/12/%E0%B8%BAa-book-is-dead/?fbclid=IwAR3lNF_TYaPXa3H-FU9yfGhx4X5hVCFM1tMIyJO7lRgs8XWtAGS9rGhVDXU

หนังสือกำลังจะตาย” เพราะนักอ่านไม่สนใจ หรือคนเขียนเองที่อ่อนไหวและเปราะบาง
1

 

หนังสือกำลังจะตาย?

หนังสือกำลังจะหายไป?

ทำไมคนไทยไม่อ่านหนังสือ?

เชื่อว่าไม่มากก็น้อยใครหลายคนคนเคยได้ยินประโยคแบบนี้ เราถามคำถามนี้กับตัวเอง และโยนความตายของกระดาษให้ผู้อ่านรับผิดชอบมานานกว่า 20 ปี

ผมเชื่อในพลังของคำถาม
การมุ่งเน้นหาคำตอบของคำถามที่ดีมีค่า
ถ้าวันนี้เราถามกลับไปว่า “ทำไมหนังสือหรือกระดาษต้องตาย?”  และคำตอบที่ผมได้…
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 02 พ.ย. 18, 15:09

2

     ผมอ่านหนังสือ “จดหมายถึงเพื่อน” ของกนกพงศ์
อ่านแล้วอยากเขียนจดหมายรึ? ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่อ่านแล้วเจอการพูดคุย ความคิดเห็นจริง ๆ ที่ไร้ความเป็นกลาง ชอบ ไม่ชอบถูกบรรยายถ่ายทอดออกมาอย่างดิบด้าน เขียนออกมาให้ผู้คุ้นเคยได้รับรู้ รับทราบ พร้อมคำลงท้ายว่า “รัก” สั้น ง่าย จริงใจ

จนมาถึงประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ กนกพงศ์บอกว่า บ่อยครั้งที่มีการเสวนาเกี่ยวกับวรรณกรรมไทยกำลังจะหายไป การจัดงานเหล่านี้ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ได้ปลุกจิตสำนึกในการอ่าน เป็นเพียงการเรียกระดมกันไปพูดคุย แลกเปลี่ยนของกลุ่มคนเดิม หน้าเดิม เวียนกันพูดเวียนกันคุยเรื่องเดิม รับเสียงปรบมือเสียงเดิม แล้วกลับไปสู่จุดเดิม เราเสวนาในอ่างกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว ก็เหมือนเดิม ไม่มีใครสนใจงานประเภทนี้ วรรณกรรมเพื่อชีวิตกำลังจะตาย กนกพงศ์พูดซ้ำ ยอดพิมพ์จำหน่าย 3-400 เล่ม พอให้คนเขียนได้หายใจ แต่ระยะเวลาในการผลิตงานนั้นแสนนาน แค่ครั้นจะให้ไปเขียนงานที่ขายได้ แบบวินทร์ แบบปราบดา ก็ทำใจไม่ได้ เขียนไม่เป็น คงต้องยอมรับ ก้มหน้าก้มตาเขียนงานต่อไป…

“วรรณกรรมคืออะไร”
เนื้อความจดหมายที่ วินทร์ เขียนถึง ปราบดา หลังจากอ่านหนังสือเล่มเดียวกับผม
ซึ่งน่าจะเป็นการเขียนชี้แจงถึงประเด็น “เขียนแบบวินทร์ แบบปราบดา”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 02 พ.ย. 18, 15:10

วินทร์เล่าคล้ายอึดอัดว่า “วรรณกรรมในความหมายของคนไทยคือ งานเขียนที่ลุ่มลึก หนักอึ้ง อ่านยาก ต่างจากคำว่า Literature ของฝรั่งที่เขานับเหมารวมงานเขียนเกือบทุกประเภท ซึ่งถ้าเปรียบคำว่าวรรณกรรมของไทย น่าจะเป็นแขนงหนึ่งของฝรั่งที่เรียกว่า Literary Merit ซึ่งแม้แต่ในต่างประเทศก็เป็นวรรณกรรมที่ขายยาก แต่วรรณกรรมเหล่านี้ตายไปจริงหรือ ความจริงคือไม่ เพราะถ้ามันตายเราก็เลิกถกกัน และไปเล่นประเด็นอื่น บ้านเราไม่มีนักเขียนที่ยอมตายเพื่อให้ได้เขียนมากนัก เขา (กนกพงศ์) ยังบอกอีกว่างานเขียนที่ลุ่มลึก สะท้อนความต่างชั้น ปัญหาสังคม สะท้อนอารมณ์นั้นไม่มีวันตาย (แต่กลับโอดครวญว่ามันกำลังจะตาย?–ผู้เขียน) ไม่ใช่เพราะมันพูดเรื่องดาษดื่นของสังคม แต่มันเป็นคุณค่าของวรรณกรรม

เป็นประเด็นที่น่าถกหากเขายังอยู่ ในมุมมองของกนกพงศ์ที่ว่าไว้ว่า ต่อไปในอนาคตจะมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า นักเขียน เช่นคุณและผม (วินทร์และปราบดา) มากขึ้น เรื่องความลุ่มลึกของเนื้อหาจะลดลงเพราะการตลาดจะุขดหลุมและฝังกลบ สำหรับผมเเล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจ ผมมองว่าการยึดอาชีพนักเขียนก็เป็นเรื่องหนึ่ง การเสนอแนวคิดก็เป็นเรื่องหนึ่ง คล้ายพ่อครัวที่สรรหารสชาติมานำเสนอ แต่การขายให้ได้เป็นอีกเรื่อง สวมหมวกทีละใบ เมื่อเป็นนักเขียนมีหน้าที่เขียนให้จบ เมื่อเขียนจบต้องขายก็เป็นอีกเรื่อง เราต้องขายให้ได้ ถ้าขายไม่ได้ นักเขียนในยุคนี้ก็ทำงานชิ้นต่อไปไม่ได้ ผมก็สะทกสะท้อนใจเมื่อนึกถึงการพิมพ์วรรณกรรมสะท้อนสังคมในปัจจุบันแต่ละครั้งไม่ถึงหมื่นเล่ม

มันเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้…”

 

3

“จดหมายถึงเพื่อน” ยังมีเรื่องราวมากมายที่ถูกกล่าวถึง แต่สิ่งที่ผมเองสังเกตคือการเดินทางของตัวกนกพงศ์เอง การต้องไปร่วมงานต่าง ๆ ไปหาเพื่อนฝูงรวมถึงต้องต้อนรับแขกทั้งกลุ่มนาครและคณะอื่น ๆ ที่มาเยี่ยมเยือน หลายครั้งที่เขาขอโทษที่ไม่ได้อ่านเรื่องสั้นที่เพื่อนส่งมาให้ช่วยดู หลายครั้งที่เขาต้องผลัดเป้าหมายการเขียนเรื่องสั้นหรือแม้กระทั่งนิยายที่อยากเขียนออกไปอย่างไร้จุดหมาย บางเรื่องตกพื้น ซึมหายราวกับสายฝนที่พรมบ้านเขาไม่รู้จบ

“เป็นนักเขียนต้องเขียน ให้ผลงานบ่งบอกว่ามันดีหรือไม่ดี ถ้าดีมันก็ขายได้ ไม่ดีก็ขายไม่ได้ แค่นั้นเอง” ปองวุฒินักเขียนที่เรียกได้ว่าเป็นนักเขียนจริง ๆ ในยุคนี้พูด “มึงไม่รู้หรอกว่างานที่มึงคิดจะดีหรือไม่ดี จนกว่ามันจะถูกเขียนออกมา” เขาย้ำกับผม

ตรงนี้ทำให้ผมคิดว่า หากกนกพงศ์เขียนตามแนวทางที่เขาอยากเขียน และใช้เวลากับงานของตัวเองจริงจัง เขาจะมีงานมากมายแค่ไหน และมีชิ้นไหนที่จะกลายเป็นหนังสือที่มีสถาบันหรือผู้คนต่าง ๆ ประกาศว่า ‘ต้องอ่าน’ น่าเสียดายที่ผมทำได้แค่คิด

 

“นักเขียนบ้านเราเปราะบาง ต่างจากนักเขียนฝรั่ง”

“ทำไม” ผมถาม

“ก็ดูสิ นักเขียนฝรั่งเขาก้มหน้าก้มตาเขียนในสิ่งที่เขาคิดเขาเชื่อ แม้จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบกายเกิดขึ้น เขาใช้งานเขียนเป็นเครื่องมือหากินไปพร้อม ๆ กับต่อสู้ แต่นักเขียนบ้านเราเวลามีอะไรขึ้นมาก็รวมตัว ประกาศก้องถึงจุดยืน อ่อนไหว เสียดสี ประชดประชัน ทำทุกอย่างยกเว้น เขียนงานตัวเอง” ภู่มณีอธิบายความคิดของเขาเมื่อผมถามผ่านโปรแกรมพูดคุยออนไลน์

น่าคิดนะ– ผมคิด

 

4

ทำไมหนังสือต้องตายด้วยในเมื่อมีข้อมูลว่ายอดจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ผมทบทวนประสมกับสิ่งที่นักเขียนหลาย ๆ คนคิดและรู้สึก “มันไม่ตายเพราะถ้ามันตายเราคงเลิกพูดถึงมันแล้ว” ผมคิดว่าประโยคนี้สำคัญ

บทสรุปเรื่องวรรณกรรมบ้านเราที่ซบเซา หรือแม้แต่มีการประกาศว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด เหล่านี้ผมเชื่อว่ามันไม่มีความจริง เพียงแต่มันถูกปรับเปลี่ยน โยกย้าย และต้องพึ่งปัจจัยมากมายมาสนับสนุนให้ไปต่อ หนังสือทุกวันนี้แจกฟรีกลับหาเงินได้มากกว่าจงใจพิมพ์มาขาย การถูกเผยแพร่มีประโยชน์มากกว่าการถูกยกย่องแล้วนำไปเก็บไว้บนหิ้ง ผู้อ่านเปลี่ยนไป ผู้เขียนก็ต้องเปลี่ยนตาม หน้าที่ของนักเขียนคือเขียนงานของคุณเอง ทำตามแนวทางที่คุณต้องการ และอยากทำ

“ผมไม่เชื่อว่าคำว่า ‘วรรณกรรมสร้างสรรค์’ จะดีกว่าวรรณกรรมหรือนิยายธรรมดาอื่น ๆ เพราะทุกชิ้นงานคือ ‘วรรณกรรมสร้างสรรค์’ มันถูกคิดขึ้นมา สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะถูกทำมาเพื่อตอบโจทย์หรือตอบสนองอะไร” ปองวุฒิให้สัมภาษณ์ GM

“ผมว่าหนังสือก็คือหนังสือ มันไม่ได้ถูกแบ่งว่าเป็นประเถทไหนอย่างไร สำหรับผมมันถูกแบ่งแค่เพียง ‘เขียนดี’ กับ ‘เขียนไม่ดี’ ผมเชื่อว่าเราสามารถเขียนนิยายสยองขวัญที่สะท้อนสังคม มีภาษาสวยงามและลุ่มลึกได้ อยู่ที่ว่าคุณเขียน ถึง ไหม” วินทร์กล่าวย้ำในจดหมายถึงปราบดา

กลับมาที่คำถาม “ทำไมหนังสือหรือกระดาษต้องตาย?” สำหรับผมคำตอบนี้ง่ายมาก

“มันจะตายเพราะนักเขียน ไม่เขียนมันออกมาไงละ”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 02 พ.ย. 18, 15:29

วินทร์เล่าคล้ายอึดอัดว่า “วรรณกรรมในความหมายของคนไทยคือ งานเขียนที่ลุ่มลึก หนักอึ้ง อ่านยาก ต่างจากคำว่า Literature ของฝรั่งที่เขานับเหมารวมงานเขียนเกือบทุกประเภท ซึ่งถ้าเปรียบคำว่าวรรณกรรมของไทย น่าจะเป็นแขนงหนึ่งของฝรั่งที่เรียกว่า Literary Merit ซึ่งแม้แต่ในต่างประเทศก็เป็นวรรณกรรมที่ขายยาก

ขออธิบายหน่อยว่า literary merit แปลตามตัวว่าคุณค่าของงานประพันธ์     งานประพันธ์ทุกชนิดไม่ใช่ว่าผลิตออกมาแล้วจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ  แต่จะต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างประกอบอยู่ในนั้นจนได้รับการยอมรับนับถือว่า มีคุณค่า   เท่าที่นักวิชาการวรรณกรรมเขาวัดกันก็คือ  งานนั้นต้องอ่านได้ยืนยาวข้ามยุคสมัยโดยไม่ล้าสมัย   มีตัวละครที่สมจริงเหมือนมีเลือดเนื้อมีชีวิตให้รู้จักได้  มีความซับซ้อนทางอารมณ์   มีความเป็นตัวของตัวเองไม่ลอกแบบใคร และแสดงถึงสัจธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งของชีวิต
วรรณกรรมไทยประเภทที่คุณวินทร์เอ่ยถึง น่าจะตรงกับอีกคำหนึ่ง คือ serious fiction  หมายถึงนวนิยายและเรื่องสั้นที่เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเน้นเนื้อหาสาระที่เชื่อว่าประเทืองปัญญา    เช่นสะท้อนสังคมในวงกว้าง   แสดงอุดมการณ์ทางการเมือง หรือศาสนา หรือปรัชญา    งานประพันธ์ประเภทนี้มีประปรายนับแต่หลังปี 2475 เป็นต้นมา    แล้วมาเฟื่องฟูในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน 2516  แล้วก็ยังเบ่งบานมาเรื่อยๆโดยมีรางวัลซีไรต์เป็นเกียรติคุณรองรับ
แต่ปัจจุบัน  เวลาผ่านมาครึ่งทศวรรษ  ความรู้สึกนึกคิดของหนุ่มสาวแต่ละยุคเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม   เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากมาย ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์หรือมือถือ  แต่หมายถึง การสื่อสารไร้พรมแดน ที่มีเกมส์ออนไลน์  และแอ๊พสารพัดแบบ   งานประพันธ์แบบเก่าก็เหมือนกับถูกเบียดให้ถอยห่างจากกลางเวที  เปิดเนื้อที่ให้ของใหม่ๆเข้ามาเป็นศูนย์กลางความสนใจ
นักเขียนคนไหนปรับตัวได้ก็อยู่รอดต่อไป  มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่  คนไหนปรับตัวไม่ได้ก็อาจจะหายไปจากกระแสหลัก
หนังสือที่เป็นกระดาษกำลังลดจำนวนลง   ถ้านักเขียนเขียนอีบุ๊คไม่เป็น  ก็ยากที่จะอยู่ได้ในยุคสื่อสารผ่านหน้าจอ
บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 689


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 05 พ.ย. 18, 09:36

แต่ B2S สาขาตามห้างในกรุงเทพ กลับขยายใหญ่โตมาก ที่เซนทรัลพระรามสามแถวบ้างผม ขนาดของร้านแทบจะเป็น 20% ของ ชั้นนั้นๆเลยครับ สาขาที่เมกะบางนาก็ใหญ่บึ้ม ที่พิจิตรสาขาเล็ก แต่ก็มีคนเข้าอยู่ตลอดนะครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 05 พ.ย. 18, 10:35

ฺB2S  ขายอะไรอีกหลายอย่างนอกจากหนังสือ   เดิมมีของใช้ในสำนักงาน   เดี๋ยวนี้มีเล่นของกินด้วย   ก็นับว่าเป็นทางช่วยที่ดีค่ะ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 03 ก.ย. 24, 10:51

ถึงแก่กาล กล่าวคำลา

กราบเรียนแฟนานุแฟนต่วย’ตูน

          นิตยสาร ต่วย'ตูน พอกเก็ตแมกาซีน และนิตยสาร ต่วย'ตูน พิเศษ จำเป็นต้องยุติการจัดทำ
โดยมีฉบับกันยายน ๒๕๖๗ เป็นฉบับสุดท้าย
          ภาวะทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยอีกหลายประการ ส่งผลกระทบต่อสำนักพิมพ์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ทางสำนักพิมพ์ตั้งใจประคับประคองนิตยสารทั้ง ๒ ฉบับให้คงอยู่เป็นเพื่อนนักอ่านเสมอมา
          จนถึงวันนี้ ต่วย'ตูน พิเศษ อายุ ๕๐ ปี ต่วย’ตูน  พอกเก็ตแมกาซีน ก็เข้าสู่ปีที่ ๕๔ แล้ว
          ถึงเวลาอันสมควรที่พวกเราจะหยุดพักและกล่าวคำอำลา
          มิตรภาพ ความผูกพัน ความกรุณาของนักอ่าน นักเขียน และบุคลากรทุกสายงานในวงการหนังสือ
จะตราตรึงอยู่ในใจพวกเราชาวต่วย’ตูนตลอดไป

กราบขออภัยอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถถ่ายทอดสาระและหรรษา สร้างความสุขให้ทุกท่านได้อีกต่อไป   
กราบขอบพระคุณที่เกื้อกูลต่วย'ตูนเสมอมา
ด้วยความเคารพรัก
นิตยสาร ต่วย'ตูน พอกเก็ตแมกาซีน
นิตยสาร ต่วย'ตูน พิเศษ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 03 ก.ย. 24, 14:24

เพื่อนเก่าอำลาไปอีกคนหนึ่งแล้ว



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 20 คำสั่ง