เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 6102 23 ตุลาคม ปิยมหาราช
particle-in-a-box
อสุรผัด
*
ตอบ: 13

ยังเรียนอยู่ อนาคตครูฟิสิกส์


 เมื่อ 22 ต.ค. 05, 09:52

 พรุ่งนี้วันที่ 23 ตุลาคมแล้วค่ะ วันปิยมหาราชก็เวียนมาอีกรอบหนึ่ง ขอเชิญทุกท่านร่วมสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ

พรุ่งนี้เจอกันที่จุฬาฯแล้วไปต่อที่สวนอัมพรนะคะ
บันทึกการเข้า
นายชินจัง
อสุรผัด
*
ตอบ: 31



ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 23 ต.ค. 05, 14:26


ร่วมรำลึกด้วยคนครับ . .
บันทึกการเข้า
ศศิศ
พาลี
****
ตอบ: 325


อหังการ์ ล้านนาประเทศ


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 23 ต.ค. 05, 18:28

 วันสวรรคตของสมเด็จพระปิยมหาราช
จาก ความทรงจำของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร



เจ้าศรีพรหมา เป็นนางพระกำนัล รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี มีหน้าที่ตามเสด็จ ตั้งเครื่องเสวยตามเวรและเวลา

วันที่ 22 ตุลาคม 2453 ในตอนกลางวันเป็นเวรของ เจ้าจอมถนอม ร.5 ทรงประชวรมาก พำนักที่สวนอัมพร ซึ่งถือเป็นฝ่ายหน้า และสมเด็จเสด็จไปเข้าเฝ้าแล้วไม่ได้เสด็จกลับ บรรยากาศตอนนั้นเงียบเหงา โดยที่ปกติเวลาใกล้เที่ยงนั้นผู้คนจะเดินขวักไขว่ จอแจ

ส่วนสำหรับตัวของเจ้าศรีพรหมานั้น ในช่วงกลางวันจะงีบเพื่อเข้าเวรตอนกลางคืน และมาสะดุ้งตื่นเอาตอนพลบค่ำ ด้วยหนูมากัดที่หัวแม่เท้า และหนูหลายสิบตัววิ่งอยู่บนเพดาน พร้อมกับส่งเสียง กุก ๆๆ ด้วยการที่หนูร้องเสียงนี้ โบราณถือว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น กอปรกับช่วงนั้น มองเห็นดาวหางอยู่ในระดับชั้นสามของพระที่นั่งอัมพรอันเป็นห้องพระบรรทม และพาดหางไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม ดาวหางนั้นก็คือ ดาวหางฮัลเลย์ นั่นเอง

เจ้าศรีพรหมา จึงจะไปเปลี่ยนเวรกับเจ้าจอมถนอม เดินข้ามคลองจากตำหนักสวนสี่ฤดู ไปยังพระที่นั่งอัมพร มีผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่บนพระที่นั่งล้วนดูหม่นหมอง และนั่งเรียงรายกันตามขั้นบันได เมื่อไปถึงชั้นสามนั้น บรรยากาศเงียบกริบ สมเด็จบรรทมกับพื้นอยู่สุดห้องพระบรรทม ส่วน ร.5 ก็บรรทม กรนสม่ำเสมอ ดูอวบอ้วน พระพักตร์อิ่ม ทรงพระภูษาแดงผืนเดียวอยู่บนพระแท่น ส่วนเจ้าศรีพรหมาก็เข้าไปนอนที่ปลายพระบาทสมเด็จฯ

มาตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงร้องเซ็งแซ่ ด้วยเสียงร้องไห้ ผู้คนมากมายหมอบราบซบกับพื้น ส่วนสมเด็จฯ อยู่กับ ร.5 ซึ่งได้สวรรคตแล้ว พร้อมกับหมอไรเตอร์ หมอประจำพระองค์ กำลังถวายยาฉีดสมเด็จฯ ที่หมดสติ แล้วพนักงานก็อัญเชิญสมเด็จลงบนพระเก้าอี้เพื่อนำกลับพระตำหนัก ส่วนเจ้าศรีพรหมาซึ่งเป็นนางกำนัลก็ต้องขนของ หีบหมากเสวย และบ้วนพระโอษฐ์ (กระโถน) ตามเสด็จกลับตำหนัก

ส่วนในห้องพระบรรทมนั้น ข้างพระแท่นเบื้องขวานั้น ก็มีเจ้าจอมมารดาชุ่ม กับพระเจ้าลูกเธอสองพระองค์ และเจ้าจอมเอิบคนโปรด และมีพระอรรคชายาเธอ ซบกับเจ้าฟ้ามาลินีนพดาราและเจ้าฟ้านิภานภดล

ส่วนเจ้าศรีพรหมาก็ตามสมเด็จมายังตำหนักสวนสี่ฤดู ซึ่งยังไม่คืนพระสติตลอดวันที่ 23 เลยทีเดียว หลังจากนั้นพอฟื้นคืนพระสติขึ้นมา ก็ทรงกันแสงจนหมดพระสติไปอีกหลายครั้งหลายคราว...
บันทึกการเข้า

- ศศิศ -
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41825

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 22 ต.ค. 25, 19:27

บันทึกเหตุการณ์วันสวรรคต รัชกาลที่ 5 ของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ข้าพเจ้าเจ็บเป็นบิดมีไข้ขึ้นอยู่ที่วังประตูสามยอด กําลังนอนหลับสนิท และสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้อย่างเต็มเสียง ข้าพเจ้าตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินผู้ชายร้องไห้ แล้วก็นึกว่าฝันไป สักครู่ได้ยินเสียงนั้นอีก และคราวนี้จําได้ว่าเป็นพระสุรเสียงของเสด็จพ่อ ข้าพเจ้าก็ยิ่งตกใจมากขึ้น จึงหันไปปลุกแม่นมของข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ ถามเขาว่า “ได้ยินอะไรไหม” นมแจ๋วลุกขึ้นนั่งแล้ว ตอบว่า “ได้ยินค่ะ อย่าตกพระทัยไป เสียงทางท้องพระโรงน่ะ” แล้วเขาก็หันไปดูนาฬิกา ข้าพเจ้ามองตามเขาไปจึงเห็นว่าเวลา 2 น. เศษ

ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนขึ้นบันไดมาทางเฉลียงที่เรานอน ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่ง ก็พอดีเห็นเสด็จพ่อทรงยืนอยู่ทางปลายมุ้ง ตรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียแล้วละลูก” แล้วก็ทรงพระกันแสงโฮใหญ่ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้โฮตามไปด้วย แล้วท่านก็เสด็จกลับไปทางท้องพระโรง ทรงพระดําเนินไปช้า ๆ เหมือนคนหมดแรง ข้าพเจ้านั่งตะลึงมองตามไปด้วยไม่รู้ว่าจะทําอะไร จะเป็นด้วยเด็กเกินกว่าจะเข้าใจคําว่าสวรรคตหรือจะเป็นเพราะกําลังไม่สบายก็รู้ไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกแต่ว่าสงสารเสด็จพ่อเหลือกําลัง ลงท้ายนมแจ๋วก็บอกให้ข้าพเจ้านอนเสีย เพราะกลัวจะเจ็บมากไป

รุ่งขึ้นเช้ามืด ทุกคนตื่นด้วยนอนไม่หลับ ราว 7 น. เศษ หม่อมเจิมแม่เลี้ยงข้าพเจ้าวิ่งขึ้นบันไดมาตะโกนเรียกว่า “ท่านหญิงคะ ลงมาช่วยกันหุ้มตราของเสด็จพ่อเร็ว หม่อมฉันทําไม่ทันดอกคนเดียว” ข้าพเจ้าลืมเจ็บวิ่งลงบันไดตามไปช่วยเย็บผ้าย่นพันทุกข์หุ้มทั้งเหรียญทั้งตราทุก ๆ ดวง ในเวลากําลังทําเครื่องเต็มยศใหญ่อยู่นั้น มีพวกข้าราชการไปมาเฝ้าเสด็จพ่ออยู่ตลอดเวลา บางคนมาฟังคําสั่ง บางคนมาฟังว่าสวรรคตจริง ๆ หรือ เพราะไม่มีใครทราบข่าวว่าทรงพระประชวรมากแต่อย่างไร แม้เสด็จพ่อเองก็เพิ่งทรงทราบว่าทรงพระประชวรมาก เมื่อวันศุกร์ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว

เสด็จพ่อทรงเล่าว่า พระองค์ท่านเสด็จไปตรวจราชการทางใต้เสียวันหนึ่ง กลับมาถึงกรุงเทพฯ บ่ายวันอาทิตย์ จึงเลยไปเฝ้าที่พญาไท ซึ่งเป็นที่เสด็จประพาสและทรงทํานากันอยู่ในเวลานั้นทุก ๆ เย็น เมื่อเสด็จไปถึงก็เสด็จขึ้นเสียแล้วไม่ทันได้เฝ้า เขาทูลว่า เสด็จขึ้นเร็วเพราะไม่ทรงสบายพระนาภี เสด็จพ่อจึงเสด็จตามเข้าไปฟังพระอาการที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ได้ความว่า พระนาภิเสียและเสวยยาถ่ายแล้ว ไม่มีพระอาการมากมายอันใด ก็เป็นอันเบาพระทัยและเสด็จกลับวัง

รุ่งขึ้นบ่ายเสร็จเวลากระทรวงแล้วก็เสด็จไปยังพระที่นั่งอัมพรอีก แต่วันนี้มหาดเล็กมาทูลว่า วันนี้เสด็จออกไม่ได้ โปรดให้เจ้านายรวมทั้งเสด็จพ่อเข้าไปเฝ้าข้างใน เมื่อเข้าไปเฝ้าก็ประทับตรัสคุยสนุกสนานดีตามเคย เป็นแต่ทรงเล่าพระอาการว่า พระนาภีเสีย  เสวยน้ำมันละหุ่งไม่เดิน  เห็นจะเป็นด้วยยาเก่าไปจะต้องเสวยใหม่ วันอังคารก็เข้าไปเฝ้าอย่างวันก่อน ครั้นรุ่งขึ้นเย็นวันพุธ พอเสด็จเข้าไปถึงพระที่นั่งก็ได้ทรงทราบว่าไม่ทรงพระสบาย เพราะยาถ่ายเดินมากไป จนทรงเพลียถึงต้องบรรทมในพระที่ และมีพระราชดำรัสให้ตามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสาวภาผ่องศรี ขึ้นมาถวายการพยาบาล เป็นอันเสด็จพ่อก็ไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าและเลยเสด็จอยู่ในพระที่นั่งชั้นล่างกับเจ้านายผู้ใหญ่ มีสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ และกรมหลวงนเรศวร์ฯ กรมหลวงเทววงศ์ฯ เป็นต้น เพื่อควบคุมหมอและคอยฟังพระอาการ

คนอื่น ๆ ไม่มีใครตกใจ เพราะเป็นเรื่องพระนาภีเสียเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระโรคประจำพระองค์ แต่เรื่องพระวักกะ (ไต) พิการ ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเสด็จไปรักษาพระองค์ในยุโรปครั้งที่ 2 ตามหมอสั่ง (ในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พ.ศ. 2450 นี้ ได้มีรายงานแพทย์ชาวยุโรปลงสันนิษฐานว่า “มีพระโลหิตไม่บริบูรณ์และอ่อนพระกำลัง ด้วยอำนาจพระธาตุละลายพระอาหารหย่อน และมีพระสิงฆานิกาออกทางพระศอ และพระนาสิกเรื้อรังมา และด้วยอำนาจพระอุตสาหะจัด ซึ่งทำไม่ให้บรรทมหลับหลายปีแล้ว”) เพราะในสมัยนั้นยังไม่มียาฉีดต่าง ๆ เช่นสมัยนี้ หมอสั่งไว้แต่ว่าให้ระวังอย่าให้ทรงมีไข้ได้เพราะกลัวไตจะซ้ำเติม

มีคุณย่าของข้าพเจ้าคนเดียวที่ท่านให้คนวิ่งดูอยู่เสมอว่า เสด็จพ่อเสด็จกลับจากในวังแล้วหรือยัง จนพวกเราเห็นแปลก มารู้ภายหลังว่า เพราะท่านเคยพบคำว่าสวรรคตมาแล้วนั่นเอง ส่วนพวกเราไม่เคยรู้จัก ซ้ำสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็เสด็จอยู่ในราชสมบัติมาตั้ง 42 ปี จึงเพลินจนไม่มีใครนึกถึงคำว่าสวรรคต

ถึงเช้าวันศุกร์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสาวภาผ่องศรีเชิญเสด็จพ่อให้ไปเฝ้าที่หน้าม่าน (ข้างหน้าและข้างในต่อกัน) แล้วตรัสบอกว่า “พระอาการอื่น ๆ ดีขึ้นหมดทุกอย่าง แต่หม่อมฉันไม่ชอบเรื่องลงพระบังคนเบา วานนี้ตลอดวันมีราว 1 ช้อนโต๊ะ จึงเชิญเสด็จท่านมาทูลจะได้คิดแก้ไข” เสด็จพ่อตกพระทัยเป็นครั้งแรก รีบทูลลาว่าจะต้องเรียกประชุมหมอ แล้วก็กลับไปทูลเจ้านายที่ห้องแป๊ะเต๋ง จัดการเรียกหมอที่ว่าดีในเวลานั้นหมดมาประชุมตกลงกันถวายยาฉีดถวายสวน ทุกอย่างที่จะพึงทำได้ในเวลานั้นแต่ไม่มีผล คงได้พระบังคนเบาราว 1 ช้อนกาแฟ ซึ่งน้อยลงไปอีก

พอถึงเวลาค่ำ หมอก็พร้อมกันทูลเจ้านายว่า ถ้ามีราชการอันใดที่จะต้องกราบทูลก็ให้กราบทูลเสียในตอนเช้าพรุ่งนี้ เพราะถ้าถึงเย็นจะเข้าโคม่า (ซึม) ที่ประชุมปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องกราบบังคมทูลรบกวน แล้วสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ก็ตรัสสั่งให้เสด็จพ่อไปเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเข้ามายังพระราชฐานแต่เช้า

รุ่งขึ้นวันเสาร์ราว 2 น. เสด็จพ่อเสด็จตรงไปยังวังสราญรมย์ ตรัสเล่าว่า สมเด็จพระบรมฯ ยังไม่บรรทมตื่น ทรงพบหม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ จึงตรัสบอกให้ปลุกพระบรรทมเดี๋ยวนั้น แล้วพากันเสด็จเข้าไปยังพระราชวังสวนดุสิต ถึงตอนบ่าย ข่าวประชวรมากก็รู้กันไปทั่วแล้ว และแทบทุกคนก็พากันไปฟังพระอาการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน เวลาราวบ่าย 4 โมง พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ (ซึ่งทรงเป็นหมอพระองค์หนึ่ง) ขอเข้าไปดูพระอาการ พอถึงพระองค์ท่านก็ยกพระหัตถ์ขึ้นจับพระชีพจรที่พระบาท สมเด็จพระพุทธเจ้า หลวงหลับพระเนตรอยู่ ตรัสถามว่า “นั่นหมอหรือ” เป็นคำหลังแล้วมิได้ตรัสต่อไปอีกเลย ค่อย ๆ ทรงพระบรรทมหลับไป ๆ จนหมดพระอัสสาสะเมื่อเวลา 24.45 นาที พระบรมศพมิได้มีซูบซีดผิดปกติกว่าเวลาทรงพระบรรทมหลับตามปกติแต่ประการใด

กําหนดสรงน้ำพระบรมศพที่พระนั่งอัมพรสถานในที่พระบรรทม แล้วเชิญพระบรมศพลงพระโกศทอง เชิญเสด็จขึ้นพระยานุมาศเคลื่อนกระบวนจากพระราชวังดุสิตไปสู่พระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เวลาค่ำ 7 น. เศษ

เสด็จพ่อทรงสั่งราชการ พลางทรงพระกันแสงพลางอยู่ที่วังตอนเช้าวันอาทิตย์ พวกพี่น้องของข้าพเจ้าเขาก็พากันกลับเข้าวังหมดแทบทุกคน ข้าพเจ้ายังมีไข้เข้าไปช่วยทำงานในวังไม่ได้ พอเสด็จพ่อทรงเครื่องเต็มยศใหญ่เข้าไปสวนดุสิตแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปคอยเฝ้าพระบรมศพที่ริมถนนราชดำเนินแถวโรงเรียนนายร้อยทหารบก พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่งดำน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส อากาศมืดคลุ้มมีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละคือหมอกธุมเกต ที่ในตำราเขากล่าวถึงว่า มักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ ๆ เกิดขึ้น

กระบวนพระบรมราชอิสริยยศอัญเชิญพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ออกจากบริเวณพระเมรุมาศทางทิศตะวันออก ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกล ๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามา ๆ ในความมืดเงียบสงัด ที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงปี่เสียงกลองมาแล้ว เคยได้เห็นแห่พระศพเจ้านายมาแล้วหลายองค์ แต่คราวนี้ตกใจสะดุ้งทั้งตัวเมื่อเห็นพระมหาเศวตฉัตรกั้นมาบนพระบรมโกศสีขาวกับสีทองเป็นสง่า ทำให้รู้ทันทีว่า พระบรมศพ แล้วก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

เหลียวไปดูทางอื่นเห็นแต่แสงไฟจากเทียนที่จุดถวายสักการะอยู่ข้างถนนแวม ๆ ไปตลอด ในแสงเทียนนั้นมีแต่หน้าเศร้า ๆ หรือปิดหน้าอยู่ เราหมอบลงกราบกับพื้นปฐพี พอเงยหน้าก็เห็นทหารที่ยืนถือปืนเอาปลายลงดิน ก้มหน้าลงบนปืนอยู่ข้างหน้าเราเป็นระยะไป ตลอด 2 ข้างถนนนั้น น้ำตาของเขากำลังหยดลงแปะ ๆ อยู่บนหลังมือของเขาเอง ทหารผู้อยู่ในยูนิฟอร์มอันแสดงว่ากล้าหาญ ยังร้องไห้เพราะเสียดายประมุขอันเลิศของเขา

เสด็จพ่อตรัสเล่าว่า ได้โทรเลขไปตามหัวเมืองให้ระวังเหตุการณ์ในตอนเปลี่ยนแผ่นดิน ได้ตอบมาทุกทางว่า ภายใน 7 วันแต่วันสวรรคตนั้น ไม่มีเหตุการณ์โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเลยสักแห่งเดียวในพระราชอาณาจักร ฉะนั้น จึงจะต้องเข้าใจว่า แม้แต่โจรก็ยังเสียใจหรือตกใจในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหาราชของเรา
ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_57190
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16232



ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 23 ต.ค. 25, 09:35

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีประกาศ ความว่า

มีรับสั่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งได้สำเร็จราชการแผ่นดิน ให้ประกาศจงทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมชนกนารถ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรพระโรคพระธาตุพิการมาแต่ ณ วันที่ ๑๖ ตุลาคม พระโรคกลายไปในทางพระวักกะพิการ แพทย์ได้ประกอบพระโอสถถวาย พระอาการหาคลายไม่ ถึง ณ วันเสาร์ ที่ ๒๒ ตุลาคม เสด็จสวรรคตเวลา ๒ ยาม กับ ๔๕ นาที * จะได้เชิญพระบรมศพสู่พระโกษฐ์แห่จากพระราชวังดุสิต ไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม

ความเศร้าโศรกสาหัสอันบังเกิดขึ้นในพระบรมราชวงษ์ครั้งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงแน่ในพระหฤทัยว่า จะเปนความเศร้าโศรกแก่ประชาชนทั้งหลายทั่วไปในพระราชอาณาจักร เพราะเหตุที่สมเด็จพระบรมชนกาธิราชได้ทรงพระกรุณาทนุบำรุงมาทั่วกัน

อนึ่งตามโบราณราชประเพณี ในเวลาเมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต พระบรมวงษานุวงษ์แลข้าราชการ ราษฎรทั้งหลายต้องโกนผมแทนการไว้ทุกข์ทั่วทั้งพระราชอาณาจักร แต่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกนารถ ได้ทรงมีพระราชดำรัสสั่งไว้ว่า การไว้ทุกข์ดังเช่นที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมเปนเครื่องเดือดร้อนอยู่เป็นอันมากให้ยกเลิกเสียทีเดียว

ประกาศมา ณ วันที่ ๒๓ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๙

* ในการนับเวลาแบบเก่า วันใหม่จะเริ่มเวลา ๖.๐๐ น. ดังนั้น วันเสาร์ ที่ ๒๒ ตุลาคม เวลา ๒ ยาม กับ ๔๕ นาที นับแบบปัจจุบันคือ วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม เวลา ๐.๔๕ น. (เที่ยงคืนสี่สิบห้านาที)
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8558


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 23 ต.ค. 25, 10:11

          แม่พลอย ในเช้าวันรุ่งขึ้น

          ยายเทียบกลับจากตลาดตอนสาย เดินร้องไห้โฮๆ เข้ามาในบ้าน ทรุดตัวลงนั่งยกมือพนมท่วมหัว แล้วร้องไห้อีกโฮใหญ่
แล้วพูดกับแม่พลอยว่า
          “คุณเจ้าขา! เขาพูดกันในตลาด ว่าในหลวงสวรรคตเสียแล้ว วันนี้คนร้องไห้กันทั้งตลาด ไม่มีใครทำมาค้าขายกันเลย”

           พลอยใจหายวาบ ต้องทรุดตัวลงนั่งที่กระไดตึก นึกสังหรณ์ในใจขึ้นมาทันทีว่ายายเทียบมิได้พูดข่าวลือเหลวไหล แต่
ใจนั้นยังไม่ยอมเชื่อ พลอยเกิดมาในแผ่นดินของท่านที่รู้สึกว่าเป็นสุขแต่น้อยคุ้มใหญ่ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความแน่นอน เหมือนกับว่า
มีต้นโพธิ์อันใหญ่คุ้มกันอยู่ให้ได้รับความร่มเย็นเพราะพระบารมี เรื่องพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตนั้น พลอยไม่เคยนึกถึงเลย เพราะ
นึกไปไม่ถึงด้วยเป็นเรื่องใหญ่…

           วันนั้นอากาศมืดครึ้มไปทั่ว ไม่มีแสงแดด ทำให้แลดูครึ้ม เยือกเย็น ลมเหนือที่เริ่มจะพัดในเดือนตุลาคมหยุดนิ่ง ในวันนั้น
แม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่มีกระดิก เสียงนกเล็กๆ ที่เคยร้องอยู่ตามพุ่มไม้ก็เงียบหายไป ธรรมชาติทั่วทั้งกรุงเทพฯ ดูเหมือนจะแสดง
ความโศกสลดในความวิปโยคอันยิ่งใหญ่

           คุณเปรมเดินขึ้นตึกแต่เบาๆ เข้ามานั่งลงข้างพลอยและร้องไห้ คำตอบเท่านั้นพอแล้วสำหรับพลอย ขณะที่พลอยเดินไป
หยิบเสื้อผ้าคุณเปรม น้ำตาก็ยังไหลออกมาเรื่อยๆ ซึ่งพลอยไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องเช็ดให้แห้ง เพราะคุณเปรมเอง
ก็ยังร้องไห้อยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

           พลอยเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายใจจนบ่าย นึกออกว่าเย็นวันนี้เขาจะแห่พระบรมศพกลับเข้าวัง อย่างน้อยที่สุด
ที่ตนจะทำได้ในวันนี้คือ ไปคอยเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพตามข้างถนนหนทาง ยังดีกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีจิตใจจะทำอะไรถูก
พอนึกออก พลอยก็รีบแต่งกายเข้าเครื่องไว้ทุกข์ แล้วขึ้นรถม้าออกจากบ้านสองคนกับนางพิศ มุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน

           ตลอดทางที่พลอยผ่าน มีแต่ชาวบ้านร้านตลาดแต่งกายไว้ทุกข์ นุ่งดำ เดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกันทั้งสิ้น ทุกคนมีใบหน้าอัน
เศร้าหมอง ส่วนมากถือดอกไม้ธูปเทียนในมือ บางคนเดินร้องไห้ดังๆ บางคนก็เดินเช็ดน้ำตา ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปคอยกระบวนพระบรมศพ
เพื่อถวายบังคมสักการะในวันนี้

           พลอยบอกให้รถหยุด แล้วเดินปนกับฝูงคนไปยังถนนราชดำเนินใน ตามสองข้างถนนนั้น ราษฎรมานั่งคอยถวายบังคมพระบรมศพ
กันโดยตลอด ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงกระโตกกระตาก พลอยค่อยๆ หลีกคนเข้าไป เห็นมีที่ว่างอยู่ข้างถนนหน่อยหนึ่งก็เข้าไปนั่ง
เยื้องไปข้างหน้า พอเอื้อมมือถึง มีทหารยืนรายทางอยู่คนหนึ่ง

           พลอยนั่งคอยอยู่นาน ฝูงคนที่มาคอยถวายบังคมก็มากขึ้นทุกที อากาศที่ครึ้มอยู่ตลอดทั้งวันนั้น กลายเป็นเมฆฝนขนาดหนัก
บดบังท้องฟ้ามืดมิดไปทั่วราวกับเวลากลางคืนที่มืดสนิท พลอยมองไปข้างหน้าตามขอบฟ้า เห็นฟ้าแลบไกลๆ เป็นระยะๆ และเสียงฟ้าร้อง
ดังครืนอยู่ไกลๆ แต่ดินฟ้าอากาศที่แสดงอาการว่าฝนจะตกนั้น มิได้ทำให้ฝูงชนที่มาคอยถวายบังคมพระบรมศพนั้นท้อถอยไปได้เลย

           เวลายิ่งล่วงไป ความมืดก็ยิ่งทวีขึ้น พลอยขนลุกเมื่อได้ยินเสียงคนเป็นอันมากร้องไห้โฮ ดังมาตั้งแต่ถนนราชดำเนินนอกอันเป็น
ต้นทาง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงดนตรี เสียงปี่เสียงกลองจากกระบวนแห่กระบวนหน้า ข้ามสะพานผ่านพิภพฯ เดินมาตามถนนราชดำเนินใน
คู่แห่นั้นถือเทียนแวววาว แลดูเป็นทางยาวคู่หนึ่งสุดลูกตา เสียงปี่เสียงกลองชนะ ดังใกล้เข้ามาอีก หมู่คนที่นั่งอยู่ริมถนนเริ่มจุดดอกไม้
ธูปเทียน ที่ต่างถือมาราวกับนัดกันไว้
          อีกสักครู่ ตามสองข้างถนนก็มีแสงธูปเทียนดารดาษเหมือนดาวในท้องฟ้า นางพิศจุดธูปเทียนส่งมาให้จากข้างหลัง พลอยรับมาถือไว้
ยกสองมือกำแน่น พระบรมโกศประดิษฐานอยู่บนพระยานมาศสามลำคาน กั้นกางด้วยพระมหาเศวตรฉัตรและดูสูงทะมื่น ข้ามสะพานมาแล้ว
ทุกคนเปล่งเสียงดังร้องไห้ด้วยความรู้สึกจากหัวใจ ทุกคนก้มลงกราบถวายบังคม พลอยนั่งใจเต้นระทึก มือที่ถือธูปเทียนอยู่นั้นเริ่มสั่นคลอน
ด้วยความเศร้าสลด ยิ่งพระบรมโกศถูกเชิญใกล้เข้ามา เสียงคนร้องไห้ก็ดังใกล้ติดตามมา เหมือนกับจะแข่งกับเสียงปี่กลอง

          พอพระยานมาศเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พลอยก็ก้มลงกราบถวายบังคม และเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่ที่ใบหน้าทหาร
ที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นถือปืนกลับปลายกระบอกลง ห้ามหน้าไม่กระดิกตามที่ได้รับคำสั่ง ใบหน้าของทหารคนนั้นเป็นใบหน้าของ
เด็กหนุ่มชาวบ้านนอก แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ปะทุออกมาทั้งหมดก็คือ
          บนใบหน้าทหารหนุ่มนั้นมีทางน้ำตาเป็นทางยาวไหลออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างและน้ำตานั้นไหลอยู่ไม่ขาดสาย
พลอยเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อเห็นหน้าทหารคนนั้นด้วยแสงเทียนที่ถืออยู่ พลอยก็ปล่อยโฮออกมา
อย่างหมดอับอาย
  
          พลอยนั่งอยู่ข้างถนนนั้นอีกนาน จนกระบวนแห่หายเข้าประตูวังไปแล้ว พลอยจึงลุกขึ้นเดินกลับช้าๆ ตามองดูยอดปราสาทและ
หลังคาตำหนักในวัง…

ภาพ มติชนรายสัปดาห์และละครโทรทัศน์ สี่แผ่นดิน


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16232



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 23 ต.ค. 25, 10:35

พระบรมรูปทรงม้าวันฟ้าหม่น
อัสสุชลหลั่งริน ธ สิ้นแสง
ร้อยสิบห้าปีบารมีมิโรยแรง
เจิดจ้าแจ้งทุกสมัยในใจชน


บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.061 วินาที กับ 20 คำสั่ง