เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4]
  พิมพ์  
อ่าน: 4165 ประสาคนแก่
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 22 มี.ค. 25, 18:58

อาการตอบสนองของคนแก่ที่ฟังคำอธิบายของพนักงาน/เจ้าหน้าที่แลัวยืนนิ่งๆ ครุ่นคิดแบบงงๆสักพัก ก็เลยเป็นอีกภาพประจำตัวอีกภาพหนึ่งของคนแก่ทั้งหลาย 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 23 มี.ค. 25, 17:57

ก็มาถึงเรื่อง ตา

การมองเห็นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เสื่อมลงของผู้ที่มีอายุมากขึ้น เริ่มอาการเสื่อมที่รู้ได้ด้วยตนเองก็เมื่อเข้าสู่วัยอายุประมาณ 40+ ที่เรียกว่าสายตายาว  แต่จะต้องใส่แว่นหรือไม่และจะต้องหาแว่นใส่เมื่อใดนั้น เป็นดุลพินิจของตัวเรา ขึ้นอยู่กับงานและภารกิจที่ต้องทำประจำวันว่าจะต้องใช้สายตาในลักษณะใด มากน้อยเพียงใด

ต้อกระจกก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุมากขึ้น ในปัจจุบันนี้จัดว่าเป็นเรื่องที่เรื่องจิ๊บจ้อยมากและเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวสำหรับจักษุแพทย์ในการจ้ดการ/รักษา

ก็มีเรื่องที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญมากๆที่พึงทำสำหรับคนที่เริ่มมีสายตายาว คือ ควรจะต้องนัดพบจักษุแพทย์สักครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพตา ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสพบภัยเงียบที่เกิดกับการมองเห็นของเราแบบไม่รู้ตัวเอาเลย คือ การเป็นต้อหิน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะทำให้การมองเห็นภาพของเราค่อยๆแคบลงจนมองเกือบไม่เห็นหรือตาบอดไปเลย     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 23 มี.ค. 25, 18:42

ที่ทราบมา ต้อหิน เกิดจากการที่ความดันภายในลูกตาของเราสูง ทำให้ไปกด/ทำลายประสาทการมองเห็นของตา ความดันนี้มีทั้งเท่ากันและไม่เท่ากันได้ระหว่าง 2 ตา   

ความกว้างของภาพที่เรามองเห็นนั้น ไม่ยากนักที่พอจะตรวจสอบได้ด้วยตนเอง แต่เราไม่สามารถบอกได้ถึงระดับของความเสื่อมที่ค่อยๆเกิดจะมากขึ้น/น้อยลงเพียงใด  ที่พอจะทำได้ด้วยตนเองก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบความกว้างของภาพที่เรามองเห็นด้วยตาแต่ละข้างของเราว่าขอบเขตของภาพที่เห็นกว้าง/แคบต่างกันอย่างไร (relative comparison)

แต่ก่อนโน้น เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่ามองไม่ค่อนเห็น บ้างก็ว่าฝ้าฟาง ก็น่าจะมาจากเรื่องของต้อกระจกและต้อหินเป็นเรื่องหลักนี้เอง  ในปัจจุบันนี้ เราเห็นผู้เฒ่าเป็นจำนวนมากทั้งในเขตเมืองและในชุมชนต่างจังหวัดที่สามารถอ่านเขียนหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น ก็เพราะผู้เฒ่าเหล่านั้นมีโอกาสเข้าถึงแพทย์และการสาธารณสุขที่มีความก้าวหน้าอย่างดีของไทยเรา
 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 24 มี.ค. 25, 19:37

ต้อกระจก เมื่อแพทย์ทำการผ่าตัดแก้ไขให้แล้ว การมองเห็นก็จะกลับมาคล้ายสมัยยังหนุ่มสาว  แต่กับต้อหิน วิธีการรักษาเป็นในลักษณะของการพยายามหยุดการลุกลาม การมองเห็นที่เสียไปนั้นไม่สามารถจะดึงกลับมาได้ให้เหมือนเดิม 

จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้ได้รู้และเข้าใจลักษณะการกระทำหลายๆอย่างของคนแก่อย่างที่เราเห็นคุ้นๆกัน เช่น การมักจะเดินชนของข้างใดข้างหนึ่ง การคลำหรือแตะ การหยิบหรือรับของไม่ถูก การจ้องมอง การมองแบบเพ่งพิจารณา การออกตัวเพื่อก้าวเดินไปทางซ้ายหรือขวา การสืบเท้าก่อนก้าวเดินบนพื้นผิวขรุขระ ...
ผมเป็นต้อหิน ตาทั้งสองข้างมองเห็นไม่เท่ากัน ทำให้การมองเห็นภาพในมิติที่สาม(ระยะ)ไม่ดีพอ  เกิดกับตัวเองก็เลยเข้าใจลักษณะอาการดังกล่าวของคนแก่   ตัวเองจะไปใหนมาใหน ในบางครั้งก็เอาไม้เท้าไปด้วยเพื่อใช้เขี่ยพื้น ตรวจสอบความต่างระดับของพื้น ไม่ให้สะดุดล้ม   แต่ก็อดไม่ได้ที่เลือกใช้ไม้เท้าที่มีลักษณะเป็นไม้ตะพดยาว นัยว่าการใช้ไม้เท้านั้นเป็นเรื่องของคนเจ๋ยป่วย ก็เลยยังไม่ใช้ ยิงฟันยิ้ม  ไม้ตะพดไม้เอาไว้เวลาไปงาน ส่วนไม่ยาวไว้เขี่ยทาง ผมใช้ไม้กอล์ฟเก่า ซื้อเอามาตัดหัวทิ้งไป แล้วหาซื้อครอบยางมาสวมปลาย 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 25 มี.ค. 25, 19:52

เป็นอันว่าเมื่อสูงวัยมากขึ้นร่างกายและอวัยวะต่างๆก็เสื่อมลง สมรรถภาพของการรับรู้ การเคลื่อนไหว และความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆลดลง ...     โดยทั่วไปแล้วเรามักจะคิดว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นไปอย่างค่อยๆเกิดมากขึ้น   แต่จากการสังเกตจากการได้พบเพื่อนเป็นระยะๆ การเดินจ่ายตลาดพบปะสนทนากับพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาจ่ายตลาดที่คุ้นเคยกัน ได้เห็นความคล้ายกันอยู่ประการหนึ่ง คือ ช่วงวัยประมาณ 60-65 ส่วนมากจะยังคงดูสดใส กระฉับกระเฉง แข็งแรง ยังรู้สึกสนุกกับการทำงานทั้งหนักและเบา ร่างกายยังสามารถรองรับสภาพความเครียดต่างๆได้ดี  พอเข้าช่วงอายุประมาณ 65-70 ดูจะเป็นเวลาที่ทุกคนหันมามองตัวเองและยอมรับว่าตัวเองนั้นแก่แล้ว มีการใช้คำว่า แก่ กับตนเองและใช้ในการอ้างในการกระทำใดๆของตน  ช่วงวัยนี้ดูจะเป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องการป่วยเข้ามาเยือน ทั้งจากการกำเริบของการเจ็บป่วยเดิมที่เคยสงบอยู่และจากโรคใหม่ที่เริ่มแสดงตน  ช่วงประมาณวัย 70-75 กิจกรรมสำคัญของเกือบทุกคนดูจะเกี่ยวกับเรื่องทางสุขภาพอนามัยเป็นหลัก เป็นช่วงวัยที่ประเด็นหลักของการสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจ็บป่วย  ดูจะเป็นช่วงเวลาของเหรียญสองด้านระหว่างบันไดของความสำเร็จหรือล้มเหลวในการกู้กลับสุขภาพ/ความเจ็บป่วยต่างๆ  แต่จะอย่างไรก็ตาม อายุประมาณ 75 ดูจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมแบบรวดเร็วอย่างจรวดของสุขภาพและร่างกาย
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 26 มี.ค. 25, 18:19

วัย 75+ ดูจะเป็นช่วงเป็นวัยที่เอกลักษณ์ของความแก่จะแสดงออกมาอย่างชัดเจนที่สุด โดยทั่วๆไปก็จะมี ผิวหนังเหี่ยวย่นอย่างเห็นได้ชัด เนื้อตัวนุ่มนิ่ม(กล้ามเนื้อ) ง่วงนอนตอนกลางวัน ต้องการงีบตอนบ่าย ผิวหนังบาง เป็นแผลจากการเสียดสีได้ง่าย กินของอ่อนมากขึ้น กินได้น้อยลง การเคลื่อนไหวต่างๆช้าลง การเดินสะดุดได้ง่ายและบ่อยครั้ง ส่วนมากจะตื่นนอนแต่เช้ามืด(ตี3, ตี4) แต่ก็มีที่นอนตื่นสายโด่งไปเลย .... 

สำหรับผู้ชาย มักจะมีขนคิ้วและขนที่รูหูยาวขึ้น ผิวหนังมีติ่งเนื้อ ผิวตกกระ ....   
สำหรับผู้หญิง ไม่ทราบครับ  ยิงฟันยิ้ม 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 26 มี.ค. 25, 18:53

วัย 75+ เป็นคล้ายช่วงวัยแห่งการประเมินผลการดูแลตัวเองในช่วงการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา ว่าจะสามารถก้าวขึ้นบันไดอายุเลข 8 ได้หรือไม่ และได้ดีเพียงใด  โรคภัยไข้เจ็บที่มักเกิดกับตัวเราในช่วงเวลาที่ผ่านมาและโรคภัยที่เกิดมาตามวัย มักจะนัดกันมาออกอาการเบ่งบานพร้อมๆกันในช่วงอายุนี้

โรคที่เกิดกับผู้สูงวัยในช่วงอายุนี้มักจะเกี่ยวกับเรื่องของความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันสูง ข้อเข่า ไต หัวใจ ตาเป็นต้อ และมะเร็ง    ก็เป็นเรื่องที่ต้องอยู่กับมัน เป็นเรื่องที่หลีกเลี่บงได้ค่อนข้างยาก ก็เลยควรจะต้องมีวิธีที่จะอยู่คู่กับมัน   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 27 มี.ค. 25, 18:42

ความดัน เบาหวาน ไขมัน ไต หัวใจ เป็นโรคที่ส่งผลถึงกันและกัน ซึ่งทั้งหมดก็ดูจะมีต้นตอหลักๆมาจากเรื่องของอาหารที่กินเข้าไป สาเหตุรองๆลงมาก็จะเป็นเรื่องของการเสื่อมลงไปของการทำหน้าที่ของอวัยวะภายใน  การกินอาหารที่เหมาะสมไปตามวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ   

ที่เราต่างก็ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กก็คือ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นหลักทางวิชาโภชนาการที่เด็กท่องจำจนฝังใจ  ซึ่งในทางปฏิบัติจริงก็คือ ในแต่ละมื้ออาหารควรมี แป้ง เนื้อ และผัก ในปริมาณ/สัดส่วนที่เหมาะสม

เรื่องปริมาณ/สัดส่วนที่เหมาะสมของอาหารในแต่ละมื้อนี้ ถูกเอามาเน้นให้ผู้เฒ่าที่เป็นโรคทั้ง 5 พึงทำหรือต้องปฎิบัติ พร้อมๆไปกับการกินยารักษา/ควบคุมโรค ทำให้โดยสภาพแล้วมันก็เลยเป็นเสมือนยาที่ใช้ในการรักษาโรคอีกขนานหนึ่งเช่นกัน

เมื่ออยู่ในวัยเด็กหรืออยู่ในสถานะที่ต้องพึงรับปฎิบัติ เรามักจะได้ยินคำบอก เช่น กินเยอะๆ ชิ้นสุดท้าย อีกนิดเดียว เสียดายของ... เมื่อกินดีอยู่ดี ก็ตุ้ยนุ้ยกันไป ค่อยๆเปลี่ยนการกินอาหารที่มีสัดส่วนสมดุลย์ที่เหมาะสม     ตามปกติ  อาหารที่อร่อยสำหรับคนไทยเราจะเป็นอาหารที่มีรสค่อนข้างจัดผสมผสานระหว่างรสเค็ม หวาน เปรี้ยว  ก็เลยกลายเป็นการสร้างตอของโรคที่จะตามมาภายหลังโดยไม่ตั้งใจ
     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 31 มี.ค. 25, 18:48

เป็นโรค ไปหาหมอ แล้วก็ได้ยามากิน  โดยทั่วไปก็จะได้อย่างละ 1 เม็ดสำหรับแต่ละโรคที่ไม่หนักหนานักแต่มีความเกี่ยวพันกัน  ส่วนมากก็จะกินวันละครั้งหลังอาหารเช้า มีบางยาที่ต้องกินแบบเช้า-เย็น มีแบบที่ต้องกินก่อนนอน และก็มีแบบที่ตื่นมาแต่เช้าก็ต้องกินเลย (หรือก่อนอาหารเป็นเวลานานๆ)

ก็ดูง่ายๆดี หากแต่คนแก่มักจะมีเรื่องของการลืมเมื่อสมาธิในการทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดถูกขัดจังหวะ หรือทำให้ต้องเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องที่กำลังทำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อลืมกินยาก็เกิดความกังวล ซึ่งดูจะได้รับคำแนะนำว่า นึกขึ้นได้ก็ให้กินไปเลยในกรณีที่ ณ เวลานั้นยังห่างไกลจากการต้องกินยานั้นในรอบต่อไป  หรือมิฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการลืมไปว่าได้กินไปแล้วก็เลยกินซ้ำเข้าไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเรื่องนี้ดูจะจบลงด้วยการปล่อยเลยตามเลยแบบมีความกังวลอยู่ในใจตลอดเวลา  ที่แย่ก็คือ ในกลุ่มยาที่จะต้องกินนั้น มีคละดันแบบกินเว้นบ้าง แบบเฉพาะวันบ้าง    แล้วก็ ด้วยที่ยาเหล่านี้มักจะเป็นยาที่กินต่อเนื่องระยะยาว นานเข้าก็มีการเปลี่ยนชื่อยา (ผู้ผลิตยา) ทั้งๆที่เป็นตัวยาเดิม ก็ทำให้หลงและกังวลได้ เพราะว่า กว่าจะลบชื่อยาเดิมที่ฝังอยู่ในความจำ เปลี่ยนไปจำชื่อยาใหม่ ก็ต้องใช้เวลา 

พฤติกรรมการลืมกินยาเช่นนี้ของผู้เฒ่าทั้งหลาย ต่างคนต่างก็เลยมีวิธีการแก้ปัญหาของตนเอง บ้างก็ใช้การจัดยาเป็นชุดสำหรับแต่ละมื้อเป็นวันๆไป บ้างก็จัดเป็นชุดสำหรับ 1 สัปดาห์ บ้างก็ใช้การวางเรียงซองยาอย่างเป็นระบบของตน ฯลฯ 

กลายเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละผู้เฒ่าไป ห้ามยุ่ง  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.048 วินาที กับ 20 คำสั่ง