เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 6341 การนั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานในสมัยก่อน
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


 เมื่อ 19 ต.ค. 24, 13:28

กระผมเองเคยอ่านมาว่า การนั่งสมาธิฝึกกรรมฐานนั้น เพิ่งมาแพร่หลายในหมู่ฆราวาสได้ไม่นาน
คือในสมัยราชกาลที่แปด ก่อนสงครามโลกไม่นาน โดยมีท่านเจ้าคุณโชดก หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด เป็นผู้บุกเบิกการนั่งสมาธิในหมู่ฆราวาส กระผมมีความประสงค์อยากเรียนถามทุกท่านว่า ในสมัยก่อนรัชกาลที่แปด ไม่ว่าจะเป็นสมัยรัตนโกสินทร์ อยุธยา ขึ้นไป
ผู้ที่เป็นฆราวาส คนทั่วไป ไม่ใช่พระสงฆ์ มีการฝึกนั่งสมาธิกันในวัดรึไม่ ถ้าหากมี การนั่งสมาธิเป็นการแพร่หลายรึไม่ในสังคมสมัยก่อนครับ กระผมขอขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้า

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 21 ต.ค. 24, 13:42

ฝึกกรรมฐานมีมาก่อนรัชกาลที่ 8 แน่นอนค่ะ
อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย            ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี                      เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์
ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด                       แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน
หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล                       แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน
เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก               แทงจนเหล็กแหลมลู่ยู่ขยั้น
มหาทะมื่นยืนยงคงกระพัน                       ทั้งเลขยันต์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย
แล้วทำตัวหัวใจอิติปิโส                       สะเดาะโซ่ตรวนได้ดังใจหมาย
สะกดคนมนต์จังงังกำบังกาย                       เมฆฉายสูรย์จันทร์ขยันดี
ทั้งเรียนธรรมกรรมฐานนิพพานสูตร      ร้องเรียกภูตพรายปราบกำราบผี
ผูกพยนต์หุ่นหญ้าเข้าราวี      ทองประศรีสอนหลานชำนาญมา
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 22 ต.ค. 24, 08:43

ึคุณภศุสรรเรียกรวมกันไปหมด   ขอแยกมาให้เห็นชัดๆ

สมาธิกับวิปัสสนากรรมฐานต่างกันอย่างไร 
สมาธิเป็นหลักการปฏิบัติธรรมขั้นต้น   มีเป้าหมายในการฝึกจิตให้แน่วแน่ ทำให้จิตสงบ
วิปัสสนากรรมฐานเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูง  มีเป้าหมายเพื่อชำระกิเลส  ให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

 วิปัสสนา แปลว่า ดูให้รู้แจ้ง  เกิดญาณหยั่งรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเอง   ไม่ใช่ไปหยั่งรู้เรื่องชาวบ้าน เป็นการให้หยั่งรู้ โลภ โกรธ หลง  ที่ฝังอยู่ในสังขาร  หรือจิตไร้สำนึก และเกิดญาณชำระจิตให้บริสุทธิ์  เผาและถอนรากกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน  ปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญาญาณ เข้าถึงอริยสัจ 4 ด้วยปัญญาของตน    ไม่ใช่จากการท่องจำ  ทำให้ละอัตตา ละตัณหาและความทะยานอยากได้

ภาวะการหยั่งรู้ เป็นวิปัสสนาญาณ  จึงเรียกวิปัสสนาว่า  “สายปัญญาหรือ Spiritual Wisdom”
สมาธิ เป็นการฝึกให้จิตสงบตั้งมั่น  จึงเรียกว่า “สายสมถะ” คือมีจิตสงบแน่วแน่
การจะปฏิบัติวิปัสสนาได้ต้องมีกำลังสมถะ คือจิตที่ตั้งมั่นหนุน  จึงเรียกว่า สมถะหนุนวิปัสสนา

ความต่างกันในหลักการปฏิบัติของ 2 วิธีคือ
สมาธิคือ สมาธิ ไม่มีความรู้ตัวชัด  เป็นการกดทับอารมณ์ให้เข้าไปสู่ความสงบชั่วขณะ ทำให้หลุดพ้นไม่ได้  แต่วิปัสสนา มีความรู้ตัวชัด คือสัมปชัญญะและอุเบกขา  คือพลังของความมั่นคงไม่หวั่นไหว  ในอารมณ์ที่เข้ามากระทบใจ   เป็นการรับรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง  พร้อมๆ กับเกิดกำลังญาณในการเผากิเลส ทำให้หลุดพ้นได้
จาก FB อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 22 ต.ค. 24, 08:47

สมถกรรมฐาน หมายถึง การปฏิบัติเพื่อมุ่งมั่นให้เกิดความสงบใน จิตใจและทำให้เกิดสมาธิมุ่งให้จิตตั้งมั่น ระงับจากความฟุ้งซ่านทั้งปวง ส่วน วิปัสสนากรรมฐาน หมายถึง การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา การรู้แจ้งเห็น จริงโดย ภาวนาตามสภาวะความเป็นจริงในขณะนั้น ถือเป็นการปฏิบัติที่ เอื้อเฟื้อต่อกัน มักนำมาปฏิบัติควบคู่กันอยู่เสมอ

ดูจากคำอธิบายข้างบนนี้ ถ้าฆราวาสอยากทำก็ทำได้  ไม่ได้ขัดต่อการทำมาหากินในชีวิตประจำวัน    ก็น่าจะมีมานานแล้วก่อนสมัยรัชกาลที่ 8 ค่ะ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 22 ต.ค. 24, 11:28

ึคุณภศุสรรเรียกรวมกันไปหมด   ขอแยกมาให้เห็นชัดๆ

สมาธิกับวิปัสสนากรรมฐานต่างกันอย่างไร  
สมาธิเป็นหลักการปฏิบัติธรรมขั้นต้น   มีเป้าหมายในการฝึกจิตให้แน่วแน่ ทำให้จิตสงบ
วิปัสสนากรรมฐานเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูง  มีเป้าหมายเพื่อชำระกิเลส  ให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

 วิปัสสนา แปลว่า ดูให้รู้แจ้ง  เกิดญาณหยั่งรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเอง   ไม่ใช่ไปหยั่งรู้เรื่องชาวบ้าน เป็นการให้หยั่งรู้ โลภ โกรธ หลง  ที่ฝังอยู่ในสังขาร  หรือจิตไร้สำนึก และเกิดญาณชำระจิตให้บริสุทธิ์  เผาและถอนรากกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน  ปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญาญาณ เข้าถึงอริยสัจ 4 ด้วยปัญญาของตน    ไม่ใช่จากการท่องจำ  ทำให้ละอัตตา ละตัณหาและความทะยานอยากได้



ภาวะการหยั่งรู้ เป็นวิปัสสนาญาณ  จึงเรียกวิปัสสนาว่า  “สายปัญญาหรือ Spiritual Wisdom”
สมาธิ เป็นการฝึกให้จิตสงบตั้งมั่น  จึงเรียกว่า “สายสมถะ” คือมีจิตสงบแน่วแน่
การจะปฏิบัติวิปัสสนาได้ต้องมีกำลังสมถะ คือจิตที่ตั้งมั่นหนุน  จึงเรียกว่า สมถะหนุนวิปัสสนา

ความต่างกันในหลักการปฏิบัติของ 2 วิธีคือ
สมาธิคือ สมาธิ ไม่มีความรู้ตัวชัด  เป็นการกดทับอารมณ์ให้เข้าไปสู่ความสงบชั่วขณะ ทำให้หลุดพ้นไม่ได้  แต่วิปัสสนา มีความรู้ตัวชัด คือสัมปชัญญะและอุเบกขา  คือพลังของความมั่นคงไม่หวั่นไหว  ในอารมณ์ที่เข้ามากระทบใจ   เป็นการรับรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง  พร้อมๆ กับเกิดกำลังญาณในการเผากิเลส ทำให้หลุดพ้นได้
จาก FB อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล


ขอขอบคุณคุณเทาชมพูอธิบาย ความดั่งนี้ผมรู้มาก้อนแล้ว อาจจะเป็นเพราะรีบเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาอย่างฉุกละหุก ผมเองลืมอธิบายความหมายไป
ถ้าเกิดความสับสนอันใดกระผมต้องขออภัย
ที่คุณเทาชมพูพูดมา ผมเห็นด้วยทุกประการ ถ้าไม่ขัดต่อการทำมากินในชีวิต ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
การปฎิบัติทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานก็ถือเป็นงานหลักในศาสนา ถือเป็นวิปัสสนาธุระ ควบกับคันถธุระ ซึ่งเป็นการเล่าเรียนจากตำรา หากแปลจากพระบาลีก็แปลได้ว่า งานหลัก เหมือนกัน
หากขาดตรงนี้ไป ศาสนาก็คงจะอยู่ยากเสียแล้ว
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 22 ต.ค. 24, 12:14

คาดว่า จขกท. ได้ค้นหาอ่านมาแล้ว (ได้ความอย่างไรบ้าง นำมาเล่าต่อ)
ถือว่าเป็นการชวนคุย รำลึกเรื่องที่เคยสนใจแต่ไม่ได้เจาะลึก

             เมื่อพูดถึงเรื่องราวกรรมฐานสมัยก่อน นึกถึงอันดับแรกคือ พระเจ้าตากสินมหาราช
ท่องเน็ทดู พบมีเรื่องราวมากมาย และแน่นอนต้องมีประเด็นว่าทรงปฏิบัติจนวิกลจริต

จากเว็บนี้  https://www.tnews.co.th/variety/417486 -

             การทำกรรมฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นรากฐานที่มาจากการทำกรรมฐานในยุคกรุงศรีอยุธยา
             ที่คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ปัจจุบันเป็นเพียงที่เดียวที่ยังคงกรรมฐานแบบครั้งกรุงเก่าได้อย่างครบถ้วนที่สุด
             พระอาจารย์วีระ ฐานวีโร เจ้าคณะ ๕ วัดราชสิทธารามได้เล่าถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินไว้ว่า
             "พระองค์สนใจในการทำกรรมฐาน ได้ฝึกกรรมฐานมาแต่ครั้งกรุงเก่า โดยกรรมฐานที่พระองค์ผ่านการร่ำเรียนมา
เรียกกันว่า กรรมฐานมัชฌิมาโดยลำดับนั่นเองและเชื่อได้ว่าพระองค์คงมีความชำนาญไม่น้อย เพราะวิชากรรมฐานแบบมัชฌิมานั้น
เป็นพื้นฐานของวิชาในพิชัยสงครามด้วย"
              กรรมฐานแบบมัชฌิมา ถือว่าเป็นแนวทางการทำสมาธิที่เก่าแก่ที่สุดที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยและแพร่หลายในยุคกรุงศรีอโยธยา
โดยถือแบบเรียนกรรมฐานนี้เป็นหนึ่งเดียวกันหมด

อีกที่ palungjit.otg เติมว่า
 
               หลักฐานในพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมีอยู่เพียงไม่กี่บรรทัด เกี่ยวกับการทำกรรมฐานของพระองค์
               โดยมีใจความว่าพระองค์ทรงเพ่งจิตไปยังกึ่งกลางหน้าผากโดยเชื่อว่าเป็นเหตุให้เกิดตาทิพย์
และ
               บางเว็บกล่าวถึง ตำราพระกรรมฐานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตีพิมพ์ใน 'ศิลปวัฒนธรรม' ฉบับเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๒๘
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 22 ต.ค. 24, 12:19

ลำดับต่อมาคือ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

              เมื่อครั้งผนวชได้เสด็จไปจำพรรษา ณ วัดสมอราย (ปัจจุบันคือ วัดราชาธิวาส) เพื่อทรงศึกษา “วิปัสนาธุระ”
หรือ การปฏิบัติกรรมฐานด้านสมถะและวิปัสสนาเพื่อหลุดพ้นจากกิเลส และเสด็จไปมาระหว่างวัดสมอรายกับวัดราชสิทธาราม
สำนักวิปัสสนาที่สำคัญอีกแห่ง ตลอดจนสำนักวิปัสสนาธุระอื่นๆ ในยุคนั้น
             ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนาแสดงแนวทางการศึกษาอบรมทั้งทางสมถะและวิปัสสนาไว้หลายเรื่อง
เช่น วิปัสสนาวิธี วิปัสสนากรรมฐาน อารักขกรรมฐานสี่ พรหมจริยกถา เป็นต้น

และ บันทึก
 
             วันสวรรคต อันเป็นวันมหาปวารณา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเย็น พระองค์ทรงประชวรหนัก แต่ทรงสมบูรณ์ด้วยพระสติสัมปชัญญะ
ทรงกำหนดวาระสุดท้ายแห่งพระชนมายุของพระองค์เป็นแน่แล้ว
             มีพระราชดำรัสพระราชนิพนธ์เป็นภาษามคธ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร จดเป็นอักษร แล้วอัญเชิญไปอ่านในที่ชุมนุมสงฆ์
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ตอนสุดท้ายนั้น ว่า-
             "ยํ ยํ มรณํ สตฺตานํ ตํ อนจฺฉริยํ, ยโต เอตํ สพฺเพสํ มคฺโค, อปฺปมตฺตา โหนฺตุ ภนฺเต อาปุจฺฉามิ, วนฺทามิ, ยํ เม อปรทฺธํ,
สพฺพํ เม สงฺโฆ ขมตุ.อาตุรสฺมิมฺปิ เม กาเย จิตฺตํ น เหสฺสตาตุรํ เอวํ สิกฺขามิ พุทฺธสฺส สาสนาคตึ กรํ."

             "ความตายใดๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะความตายนั้น เป็นมรรคาของสัตว์ทั้งหลาย
ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ดิฉันขอลา ดิฉันไหว้ สิ่งใดที่ดิฉันผิดพลั้ง ขอสงฆ์จงอดโทษสิ่งทั้งปวงนั้น
แก่ดิฉันเถิด. เมื่อกายของดิฉันกระสับกระส่ายอยู่ จิตของดิฉันจะไม่กระสับกระส่าย ดิฉันมาทำความเป็นไปตามคำสอนของ
พระพุทธเจ้าศึกษาอยู่ด้วยประการฉะนี้"

              เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งพระยาศรีสุนทรโวหารเสร็จแล้ว ทรงมนสิการชำระจิตให้สะอาดด้วยภาวนาพระกรรมฐาน
ซึ่งกล่าวกันว่า
              พระองค์ทรงกำหนดอานาปานัสสติ คือ การกำหนดลมหายใจเข้าออก ประกอบด้วยภาวนาบทพุทโธกำกับ
จึงทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดในสมัยนั้น ได้ยินแต่เสียงว่า พุท-โธ, พุท-โธ, พุท-โธ ฯ แล้วพระสุรเสียงค่อยแผ่วเบาลงๆ ได้ยินแต่
เพียงคำว่า โธ-โธ-โธ แล้วเสด็จสวรรคตด้วยพระอาการอันสงบ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 23 ต.ค. 24, 06:18

คาดว่า จขกท. ได้ค้นหาอ่านมาแล้ว (ได้ความอย่างไรบ้าง นำมาเล่าต่อ)
ถือว่าเป็นการชวนคุย รำลึกเรื่องที่เคยสนใจแต่ไม่ได้เจาะลึก

             เมื่อพูดถึงเรื่องราวกรรมฐานสมัยก่อน นึกถึงอันดับแรกคือ พระเจ้าตากสินมหาราช
ท่องเน็ทดู พบมีเรื่องราวมากมาย และแน่นอนต้องมีประเด็นว่าทรงปฏิบัติจนวิกลจริต

จากเว็บนี้  https://www.tnews.co.th/variety/417486 -

             การทำกรรมฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นรากฐานที่มาจากการทำกรรมฐานในยุคกรุงศรีอยุธยา
             ที่คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ปัจจุบันเป็นเพียงที่เดียวที่ยังคงกรรมฐานแบบครั้งกรุงเก่าได้อย่างครบถ้วนที่สุด
             พระอาจารย์วีระ ฐานวีโร เจ้าคณะ ๕ วัดราชสิทธารามได้เล่าถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินไว้ว่า
             "พระองค์สนใจในการทำกรรมฐาน ได้ฝึกกรรมฐานมาแต่ครั้งกรุงเก่า โดยกรรมฐานที่พระองค์ผ่านการร่ำเรียนมา
เรียกกันว่า กรรมฐานมัชฌิมาโดยลำดับนั่นเองและเชื่อได้ว่าพระองค์คงมีความชำนาญไม่น้อย เพราะวิชากรรมฐานแบบมัชฌิมานั้น
เป็นพื้นฐานของวิชาในพิชัยสงครามด้วย"
              กรรมฐานแบบมัชฌิมา ถือว่าเป็นแนวทางการทำสมาธิที่เก่าแก่ที่สุดที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยและแพร่หลายในยุคกรุงศรีอโยธยา
โดยถือแบบเรียนกรรมฐานนี้เป็นหนึ่งเดียวกันหมด

อีกที่ palungjit.otg เติมว่า
 
               หลักฐานในพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมีอยู่เพียงไม่กี่บรรทัด เกี่ยวกับการทำกรรมฐานของพระองค์
               โดยมีใจความว่าพระองค์ทรงเพ่งจิตไปยังกึ่งกลางหน้าผากโดยเชื่อว่าเป็นเหตุให้เกิดตาทิพย์
และ
               บางเว็บกล่าวถึง ตำราพระกรรมฐานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตีพิมพ์ใน 'ศิลปวัฒนธรรม' ฉบับเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๒๘

กรรมฐานมัชณิมาตามที่กล่าว ผมได้ค้นจากเว็บวัดราชฯมาแล้ว เห็นว่าไม่ต่างจากกรรมฐานทั่วไปในปัจจุบันเท่าไหร่นัก หากพระเจ้าต่ากได้ฝึกกรรมฐานดังนี้จริง
ก็ถือว่าเป็นอันยุติว่าการฝึกกรรมฐานนั้นมีมาก่อนรัชกาลที่8แน่นอน การเพ่งที่หน้าผากตามที่กล่าวนั้น ในความเห็นผมน่าจะเป็นการฝึกกสิณ แม้ในปัจจุบันการฝึกกสิณธาตุต่างๆก็ยังใช้วิธีการเพ่งดังนี้ กสิณเป็นสมถะกรรมฐานอย่างหนึ่งในพระศาสนา ใช้วิธีการเพ่งอารมณ์เป็นหลัก มีแบบแผนอยู่แล้วในกสิณสูตรซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎก หนังสืออรรถกถาต่อมา ซึ่งก็มีคำภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งแต่งขึ้นในศรีลังกา ก็ได้กล่าวถึงอานุภาพ ของกสิณไว้ว่าเน้นไปทางฤทธิ์เป็นหลัก หากปฎิบัติมั่นคงก็ย่อมมีอานุภาพหูทิพย์ ตาทิพย์และอื่นๆใด้ ผมเองต้องขอยกเกร็ดประวัติของตนมากล่าวในเรื่องหนึ่ง สมัยที่ผมเองฝึกวิปัสสนาอยู่นั้น ครูบาอาจารย์ได้กล่าวว่า ฝึกกสิณถือเป็นสมาธิขั้นสูง เนื่องด้วยเชื่อมโยงไปในเรื่องอานุภาพของจิตโดยตรง หากไม่มีครู หรือปฎิบัติพลาด หรือมีแน้วโน้มเกี่ยวกับปัญหาทางจิตเวชอยู่ก่อนแล้ว  ก็อางถึงความวิปลาศได้ง่าย หากมีครูที่ดีความวิปลาศย่อมไม่เกิด เรื่องของพระเจ้าตากๆ ก็คงตกอยู่ในกรณีนี้

เรื่องของพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่สี่ในสวรรคตนั้นกล่าวได้ว่าเป็นการเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน หากจิตสุดท้ายตั้งมั่นในการบริกรรมนี้จนเกิดเป็นสมาธิขึ้นมา
ก็ย่อมถึงสุคคติ ไปเกิดเป็นพรหมอย่างแน่นอน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 24 ต.ค. 24, 11:59

การเจริญพระกรรมฐานทำให้พระเจ้าตากสินดำริว่าพระองค์ทรงบรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล แล้วรับสั่งถามพระสงฆ์ว่า “พระสงฆ์ปุถุชนจะไหว้นบเคารพคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะได้หรือมิได้ประการใด”

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ถวายวิสัชนาร่วมกับ พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย(วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนฯ)ว่าไม่เห็นควรให้พระสงฆ์กราบไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล ความว่า “ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดีแต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง  เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”
พระเจ้าตากสินก็พิโรธ มีพระราชโองการถอดยศสมณศักดิ์ลงและให้ลงพระราชอาญาตีหลัง

ต่อไปถึงคำถามว่า พระโสดาบันคืออะไร  คำตอบคือเป็นอริยบุคคล ละสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว  อันได้แก่ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าขันธ์ ๕ หรือร่างเป็นของตน) วิจิกิจฉา(ความสงสัยว่าพระรัตนตรัยดีจริงหรือ) และ ศีลพตปรามาส (มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือการถือข้อปฏิบัติที่ผิด)
     พระเจ้าตากสินทรงปฏิบัติกรรมฐานอย่างไรไม่ทราบ จึงเชื่อว่าบรรลุโสดาบัน  ความจริง ๓ ข้อข้างบนนี้ มีพื้นฐานอยู่บนเหตุผล(รู้ว่าร่างกายไม่ใช่ของตน) ศรัทธา (ไม่สงสัยในพระพระรัตนตรัย) เลื่อมใสเฉพาะข้อปฏิบัติในพุทธศาสนา ไม่วอกแวกไปทางลัทธิและศาสนาอื่น(ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือการถือข้อปฏิบัติที่ผิด)
    ความจริงคฤหัสถ์ที่บรรลุโสดาบันในสมัยพุทธกาลก็มีหลายท่าน เช่นนางวิสาขา  อนาถบิณฑิกเศรษฐี   นางสิริมา   พระนางสามาวดี   และพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น  ท่านเหล่านี้ก็ไม่เห็นว่าเวลามาฟังเทศน์ฟังธรรมจะเกิดข้อสงสัยว่าท่านอยู่ในระดับสูงกว่าพระสงฆ์ที่อยู่ ณ ที่นั้น หรือไม่      ท่านก็ปฏิบัติตัวไปตามปกติของผู้ครองเรือน
    ดิฉันก็เลยสงสัยว่ากรรมฐานที่พระเจ้าตากทรงปฏฺิบัตินั้นน่าจะเลี้ยวออกนอกทาง   ไปทางอิทธิปาฏิหาริย์  เพราะมีบันทึกของบาทหลวงฝรั่งว่า พระเจ้ากรุงธนเชื่อว่าท่านเหาะเหินเดินอากาศได้   อีกอยา่ง  น่าสังเกตว่า เมื่อปฏิบัติแล้ว  อารมณ์ท่านไม่ได้เยือกเย็นลง แต่กลับฉุนเฉียวรุนแรงเท่าเดิมหรือมากกว่า    ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เส้นทางกรรมฐาน  สมาธิ หรือวิปัสสนา แล้ว   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 25 ต.ค. 24, 08:28

  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มุ่งการตัดกิเลสออกไปจากใจ    ดังนั้นพระอริยะในแต่ละขั้นจึงวัดจากการตัดอารมณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ออกไปได้มากน้อยกว่ากันแค่ไหน   ไม่ได้วัดจากท่านสูงส่งขึ้นจากคนทั่วไปขนาดไหน
  ดิฉันจึงสงสัยมากๆว่า พระเจ้าตากท่านปฏิบัติกรรมฐานแบบไหน ในลักษณะไหนกันแน่  และเรียกว่ากรรมฐานจริงหรือ     พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นพระอาจารย์ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่า ยิ่งปฏิบัติท่านก็ยิ่งมีคำถามแปลกๆ เช่นพระต้องไหว้ท่านหรือท่านไหว้พระ  คำถามนี้ไม่น่าจะมาจากผู้บรรลุโสดาบัน    เพราะเท่ากับท่านยังมีสักกายทิฏฐิ  คือยังยึดตัวตนอยู่  เมื่อได้คำตอบที่ไม่ถูกใจ  ท่านก็กริ้วโกรธเป็นการใหญ่ถึงขั้นลงโทษพระสังฆราช  แสดงว่าท่านยังไม่ได้ตัดความโกรธอันเป็นกิเลสขึ้นพื้นฐานของมนุษย์  คือยังไม่ได้เข้าถึงพรหมวิหาร 4   ด้วยซ้ำ
   ดิฉันก็เลยยังหาคำตอบไม่ได้ว่ากรรมฐานในสมัยธนบุรีที่พระเจ้าตากทรงปฏฺิบัติ เป็นกรรมฐานชนิดไหน   หรือว่าเป็นอะไรอย่างอื่นในรูปของการนั่งขัดสมาธิแล้วเพ่งโน่นเพ่งนี่จะหลุดเข้าไปความหลงผิด ประเภทนิมิตทั้งหลาย
บันทึกการเข้า
kui045
ชมพูพาน
***
ตอบ: 118


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 14 พ.ย. 24, 12:19

ร่องรอยคงมีเค้าตั้งแต่กรุงสุโขทัยแล้วละครับ
อนุมานได้จากจารึกต่างๆ
แต่รูปแบบและวิธีปฎิบัติคงไม่เหมือนปัจจุบัน
และคงจำกัดอยู่ในวงแคบๆ
อย่างน้อย วันพระก็คงมีการเข้าวัดถือศิีล 8
 และในมื่อมีการถือ ศีล 8 พระจำไม่นำบำเพ็ญภาวนาเชียวหรือ
แต่อย่างว่าสังคมในอดีต เป็นสังคมเกษตร สังคมข้าทาส เจ้าขุนมูลนาย
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 20 คำสั่ง