พระà¸à¸ ัยมณี
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 17:19, 28 กรกฎาคม 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์ | |||
สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ | ผ่านสมบัติรัตนานามธานี | ||
อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์ | ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี | ||
สพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี | ชาวบูรีหรรษาสถาวร | ||
มีเอกองค์นงลักษณ์อรรคราช | พระนางนาฎนามประทุมเกศร | ||
สนมนางแสนสุรางคนิกร | ดังกินนรน่ารักลักขณา | ||
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ | ประไพพักตรเพียงเทพเลขา | ||
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา | พึ่งแรกรุ่นชัณษาสิบห้าปี | ||
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้องๆ | เนื้อดังทองนพคุณจำรุญศรี | ||
พึ่งโสกันต์ชัณษาสิบสามปี | พระชนนีรักใคร่ดังไนยยา | ||
สมเด็จท้าวปิตุรงค์ดำรงราชย์ | แสนสวาทลูกน้อยเสนหา | ||
จะเษกสองครองสมบัติขัตติยา | แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ | ||
จึงดำรัสเรียกพระโอรสราช | มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร | ||
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ | อันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา | ||
ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท | สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา | ||
ได้ป้องกันอันตรายนัครา | ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ | ||
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ | จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน | ||
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ | เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ | ||
๏ บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์ | ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
จึงทูลความตามจิตต์เจตนา | ลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน | ||
หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์ | ซึ่งรู้ศาสตราเวทวิเศษขยัน | ||
ก็สมจิตต์เหมือนลูกคิดทุกคืนวัน | พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร | ||
แล้วก้มกราบปิตุราชมาตุรงค์ | ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน | ||
จะเดินทางไกลในป่าพนาดอน | จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ | ||
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง | จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร | ||
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล | อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย | ||
พระพี่น้องสององค์ทรงสดับ | เคารพรับบังคมด้วยสมหมาย | ||
พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชาย | มาทรงสานสาคเรศบนเตียงรอง | ||
แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์ | เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง | ||
แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทอง | จนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา | ||
จึงชวนกันจรจรัลจากสถาน | ออกทวารเบื้องบูรพาทิศา | ||
ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตา | ทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกัน ฯ | ||
๏ ล่วงตำบลชนบาทไปหลายบ้าน | เข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน | ||
เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวัน | ให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย | ||
จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า | พระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล | ||
คณนกเริงร้องคนองไพร | เสียงเรไรจักระจั่นสนั่นเนิน | ||
ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพัก | หยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน | ||
ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุสาห์เดิน | พิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน | ||
บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้า | ปีบจำปาสุกรมสวรรค์ | ||
พระอภัยมีศรีสุวรรณ | ต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา | ||
พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้องๆ | เดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา | ||
พระน้องเก็บมุลลีให้พี่ยา | ทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย | ||
เห็นมะม่วงผลพึ่งสุกห่าม | ทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย | ||
อร่อยหวานปานเปรียบสรนมเนย | อิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง | ||
ครั้งสิ้นแสงสุริยทิพากร | สำนักนอนเนินผาป่าระหง | ||
ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์ | บาทบงส์บวมบอบระบมตรม | ||
พระเชษฐาอาไลยถึงไอศวรรย์ | กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม | ||
น้องคนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนม | กับบรมปิตุเรศพระมารดา ฯ | ||
๏ สิบห้าวันเดินในไพรสณฑ์ | ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่นักหนา | ||
เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒา | มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน | ||
อาจารย์หนึ่งขำนาญในการปี่ | ทั้งดีดสีแสนเสานะเราะหนักหนา | ||
ผู้ใดได้ฟังวังเวงในวิญญา | เคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ | ||
อันสองท่านราชครุนั้นอยู่ตึก | จดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน | ||
เป็นข้อความตามมีวิชาการ | แสนชำนาญเลิศลบภพไตร | ||
แม้ผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่ง | จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข | ||
ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ | จึงจะได้ศึกษาวิชาการ ฯ | ||
๏ วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณ | จรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน | ||
เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวาร | พระทรงอ่านแจ้งจิตต์ในกิจจา | ||
อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้ | ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา | ||
จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยา | อันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ | ||
แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้าน | ท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน | ||
ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไป | ถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก | ||
เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิต | เข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์ | ||
ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนัก | ได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน | ||
จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้ว | พ่อเห็นแล้วเหนือที่ลายลิขิตเขียน | ||
สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียร | เจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด | ||
อนุชาว่าการกลศึก | น้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน | ||
ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไว | จะชิงไชยข้าศึกไม่นึกเกรง | ||
พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่ | วิชามีแล้วใครไม่ข่มแหง | ||
แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง | หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง | ||
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก | ได้ดับโศกศูนย์หายทั้งชายหญิง | ||
แต่ขัดสนจนจิตต์คิดประวิง | ด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมา ฯ | ||
๏ ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม | จึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา | ||
ธำมรงค์เรือนมณีมีราคา | จะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง | ||
พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์ | เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง | ||
อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบอง | หัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี | ||
ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้าน | อยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี | ||
ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าที | จะตามพี่ไปหาที่อาจารย์ | ||
พระอภัยได้คิดถึงคำน้อง | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการ | กลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก | ||
ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาด | ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก | ||
เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึก | ทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี | ||
มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่า | กระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้ | ||
ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคี | กระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย | ||
ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึก | เห็นสมนึกเหมือนจิตต์ที่คิดหมาย | ||
กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคาย | แล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ ฯ | ||
๏ ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่า | เป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล | ||
ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมาร | ศรีสัณฐานผุดผ่องดังทองทา | ||
ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น | พึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา | ||
อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตา | ก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติยวงศ์ | ||
จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้ | แล้วถามไต่ข้อความตามประสงค์ | ||
มีธุระอะไรในใจจง | เจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไป ฯ | ||
๏ หน่อกษัตริย์ขัตติยวงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข | ||
พระบิดาห้าบำรุงซึ่งกรุงไกร | บัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ | ||
จึงดั้นด้นเดินเนินป่ามาถึงนี่ | พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน | ||
รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์ | ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา | ||
แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้น | อันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา | ||
ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมา | ตีราคาควรแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา | ||
แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวา | ให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง | ||
ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรอง | ขอดประคองไว้ในผมให้สมควร | ||
แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศา | สนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล | ||
อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวน | ครั้งค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา | ||
ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธ | เพลงอาวุธอาบดั้งให้ตั้งท่า | ||
กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชา | ค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดี ฯ | ||
๏ ฝ่ายเชษฐามาที่ท้ายบ้าน | ก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี | ||
เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนี | ให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทอง ฯ | ||
๏ ฝ่านครูเฒ่าพินทรพราหมณ์รามราช | แสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง | ||
ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคอง | เข้าในห้องหัดเพลงบันเลงพิณ | ||
แล้วพาไยอดเขาให้เป่าปี่ | ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น | ||
แต่เสือช้างกล่างไพรถ้าได้ยิน | ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง | ||
ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถาร | พระกุมารได้สมอามรณ์หวัง | ||
สิ้นความรู้ครุประสิทธิ์ไม่ปิดบัง | จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล | ||
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ | จะรบรับสารพัดให้ขัดสน | ||
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน | ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ | ||
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส | เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร | ||
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ | จึงคิดอ่านเอาไชยเหมือนใจจง | ||
แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง | ยินสำเนียงถึงไหนก็ไหลหลง | ||
อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์ | คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน | ||
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน | เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน | ||
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ | จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา | ||
ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์ | มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา | ||
จงคืนเข้าบุรีรักษ์นัครา | ให้ชื่นจิตต์พระบิดาและมารดร ฯ | ||
๏ หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึก | จดจารึกคำท่านอาจารย์สอน | ||
พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์ | แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตน ฯ | ||
๏ ฝ่ายนฤบดีศรีสุวรรณ | ก็เข้มขันกลศึกที่ฝึกฝน | ||
ทั้งโล่ห์เขนเจนจัดหัดประจญ | ในการกลอาวุธสุดทำนอง | ||
จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่า | จึงเรียกเจ้าเข้ามานั่งสองต่อสอง | ||
เลือกล้วนเหล็กมุลลีตีกระบอง | ให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา | ||
ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนได้ | แถลงไขข้อความตามปฤศนา | ||
เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณรา | แล้วพฤฒาอวยไชยไปจงดี | ||
หน่อกษัตริย์สุริวงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ครรไลลาอาจารย์จรลี | ตามวิถีแถวทางถนนมา | ||
พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้าน | สองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา | ||
ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชา | แล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป | ||
ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่ง | หมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่ | ||
สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงไชย | พอท้าวไทยสุทัศน์กษัตรา | ||
ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรี | แสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา | ||
พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมา | เฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงไชย ฯ | ||
๏ กรุงกษัตริย์สุริยวงศ์พระทรงยศ | เห็นโอรสยินดีจะมีไหน | ||
เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพ | แล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง | ||
หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหา | ได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
หรือปลดเปล่าเล่าให้บิดาฟัง | พ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรี ฯ | ||
๏ พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์ | ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี | ||
พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดี | ลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ | ||
ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธ | เพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ | ||
ทั้งสองสิ่งยิ่งยอดวิชาการ | ใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มี ฯ | ||
๏ ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราช | บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี | ||
โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที | อย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจ | ||
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง | เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง | ||
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง | มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ | ||
อันวิชาอาวุธแลโลห์เขน | ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร | ||
เป็นกษัตริย์จักพรรดิ์พิสดาร | มาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด | ||
ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้า | ช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย | ||
จะให้อยู่เวียงวังก็จังไร | ชอบมาไสคอส่งเสียจากเมือง | ||
ไปเที่ยวเล่นเป็นปี่แล้วมิสา | มาพูดจาให้กูคันหูเหือง | ||
พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคือง | แล้วย่างเยื้องจากบัลลังค์เข้าวังใน ฯ | ||
๏ แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์ | บิดาตรัสโกรธาไม่ปราไสย | ||
อัปยศอดสูเสนาใน | ทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน | ||
พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยาก | สู้ลำบากบุกป่าพนาสัณฑ์ | ||
มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวัน | ยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน | ||
พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลา | พี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล | ||
อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชน | ผิดก็ดันดั้นไปในไพรวัน | ||
แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์ | สองกษัตริย์โศกทรงกรรแสงศัลย์ | ||
พระอภัยมณีศรีสุวรรณ | ก็พากันซวนซบสลบไป | ||
ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์ | เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข | ||
ทั้งสองตื่นฟื้นกายระกำใจ | ชลไนย์แนวนองทั้งสององค์ ฯ | ||
๏ พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ย | อย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง | ||
มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์ | ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง | ||
พระพี่ชายชวนเกินดำเนินหน้า | อนุชาโฉมงามมาตามหลัง | ||
พระออกนอกนัคราเข้าป่ารัง | ครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน | ||
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้ | ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์ | ||
ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน | ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ ฯ | ||
๏ พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด | เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ | ||
แม้นชีวันยังไม่บรรไลยลาญ | ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป | ||
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง | พอประทังกายาอยู่อาไสรย | ||
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร | ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ | ||
๏ พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรัก | เจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่ | ||
กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมี | ให้เป็นที่กังขาประชาชน | ||
เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่ | เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน | ||
สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกล | จึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย | ||
เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัด | แล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย | ||
ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกราย | พระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา | ||
ค่อนด้นดั้นเดินเนินพนมพนาเวศ | สีขเรศถ้วยธารละหานผา | ||
ครั้นค่ำค้างกลางเถื่อนได้เดือนเศษ | ออกพ้นเขตต์เข้าไม้ไพรสิงขร | ||
ถึงเนินทรายชายทะเลชโลธร | ในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง | ||
ทั้งสองราล้าเหนื่อยกำลัง | ลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบาย ฯ | ||
๏ จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพ | ได้มาพบคบกันเล่นเป็นสหาย | ||
คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชาย | มีแยบคายชำนาญในการกล | ||
เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้ | แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน | ||
คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานน | ร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง | ||
คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียร | เที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์ | ||
ถือธนูสู้ศึกนึกทนง | หมายจะปลงชีวาปัจจามิตร | ||
ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก | หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด | ||
ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิต | เคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย | ||
พอแดดร่มลมตกลงชายเขา | ขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย | ||
ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพาย | แสนสบายบุกป่ามาบนดิน | ||
ถึงทะเลเล่นตรงลงในน้ำ | เที่ยงลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์ | ||
มาใกล้ไทรสาขาริมวาริน | ก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน | ||
เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงโฉม | งามประโลมหลากจิตต์คิดฉงน | ||
ทอดสมอรอราเภตรายนต์ | ทั้งสามคนขึ้นเดินบนเนินทราย | ||
เข้ามาใกล้ไทรทองสองกษัตริย์ | โสมนัสถามไต่ดังใจหมาย | ||
ว่าดูรามาณพทั้งสองนาย | เจ้าเพื่อนชายชื่อไรไปไหนมา | ||
ฤาเดินดงกลางทางมาต่างบ้าน | จงแจ้งการณ์ให้เราฟังที่กังกา | ||
แม้นไม่มี่พี่น้องญาติกา | เราจะพาไว้เรือนเป็นเพื่อนกัน ฯ | ||
๏ พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่ | จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณ | เป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิ์สวัสดี | ||
ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์ | ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี | ||
อันตัวเรานี้ชำนาญการดนตรี | น้องเรานี้ก็ชำนาญการศัสตรา | ||
พระปิตุเรศขับไล่มิให้อยู่ | ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา | ||
เราพี่น้องสองคนจึงซนมา | หวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ | ||
ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงไสย | วิชาใดจึงจะดีให้วิถาร | ||
ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดาร | จะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา | ||
อันตัวเจ้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพ | ได้มาพบกันวันนี้ดีหนักหนา | ||
ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมา | จงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจ ฯ | ||
๏ ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถ | ว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ไม่สงไสย | ||
ประณตนั่งบังคมขออไภย | พระอย่าได้ถือความข้าสามคน | ||
ซึ่งพระองค์ทรงไต่ถาม | จะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
ข้างชื่อวิเชียรโมราเจ้าสานน | ทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน | ||
แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้ | ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน | ||
ได้เรียนรู้เรียกลมฝนคือคนนั้น | ข้าแข็งขันยิงธนูสู้ไพริน | ||
ยิงออกไปได้ทีละเจ็ดลูก | จะให้ถูกตรงไหนก็ได้สิ้น | ||
คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดิน | อยู่บ้านอินทคามทั้งสามคน | ||
ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ | เข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล | ||
แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกล | ข้าสนเท่ห์ในน้ำใจจริง | ||
ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน | ฤาใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | ||
ยังสงไสยในจิตต์คิดประวิง | จงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจ ฯ | ||
๏ พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม | จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข | ||
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป | ย้อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์ | ||
ถึงมนุษย์ครุฑทาเทวราช | จัตุบาทกลางป่าพนาสิน | ||
แม้นเราเป่าปี่ให้ได้ยิน | ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา | ||
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ | อันลัทธิดนตรีดีนักหนา | ||
ซึ่งสงไสยไม่สิ้นในวิญญา | จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง | ||
แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้ | เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง | ||
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง | สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ ฯ | ||
๏ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย | ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย | ||
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาไลย | จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย | ||
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม | ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย | ||
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย | ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน | ||
เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง | สำเนียงเพียงการะเวกกังวานหวาน | ||
หวาดประหวัดสัตรีฤดีดาล | ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป | ||
ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ | ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล | ||
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ | เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย ฯ | ||
นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ | อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย | ||
ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย | สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา | ||
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง | เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา | ||
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา | เป็นภักษานางมารสำราญใจ | ||
แล้วแล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง | เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล | ||
เข้าใกล้ฝั่งวังวลข้างต้นไทร | พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง | ||
วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่ | ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง | ||
เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง | เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ | ||
แล้วลุกขึ้นเท้าแขนแหงนชะแง้ | ชำเลืองแลหลากจิตคิดสงสัย | ||
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ | นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง | ||
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น | เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง | ||
ถ้าแม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง | จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ | ||
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ | ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ | ||
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ | นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง | ||
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก | สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง | ||
อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง | โดยกำลังโลดโผนโจนกระโจม | ||
ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด | กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม | ||
กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม | กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง | ||
ครั้นถึงแท่นผาศิลาลาด | แสนสวาทเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง | ||
ค่อยวางองค์ลงบนเตียงเคียงประคอง | ทำกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยยินดี ฯ | ||
๏ แสนสงสารพระอภัยใจจะขาด | กลัวอำนาจนางยักขินีศรี | ||
สลบล้มมิได้สมประฤๅดี | อยู่บนที่แผ่นผาศิลาลาย ฯ | ||
๏ อสุรีผีเสื้อแสนสวาท | เห็นภูวนาถนิ่งไปก็ใจหาย | ||
เออพ่อคุณทูนหัวผัวข้าตาย | ราพณ์ร้ายลูบต้องประคององค์ | ||
เห็นอุ่นอยู่รู้ว่าสลบหลับ | ยังไม่ดับชนม์ชีพเป็นผุยผง | ||
พ่อทูนหัวกลัวน้องนี้มั่นคง | ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร | ||
จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์ | ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน | ||
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน | จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง | ||
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย | สกนธ์กายดังกินนรนวลหง | ||
เอาธารามาชโลมพระโฉมยง | เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคองฯ | ||
๏ พระพลิกฟื้นตื่นสมประดีได้ | ในฤทัยหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง | ||
แลเขม้นเห็นนางนวลละออง | เคียงประคองอยู่บนแท่นแผ่นศิลา | ||
นิ่งพินิจพิศดูรู้ว่ายักษ์ | ด้วยแววจักษุหายทั้งซ้ายขวา | ||
ยิ่งชิงชังคั่งแค้นแน่นอุรา | จะใคร่ด่าให้ระยำด้วยคำพาล | ||
แล้วคิดกลับดับเดือดให้เหือดหาย | จึงอุบายวิงวอนด้วยอ่อนหวาน | ||
นี่แน่นางอสุรีขินีมาร | ไม่ต้องการที่จะแกล้งมาแปลงกาย | ||
จะขอถามตามตรงจงประจักษ์ | เจ้าเป็นยักษ์อยู่ในวนชลสาย | ||
อันตัวเราเป็นมนุษย์บุรุษชาย | เจ้าคิดร้ายลักพาเอามาไย | ||
เข้าอิงแอบแนบข้างอยู่อย่างนี้ | หรือว่ามีข้อประสงค์ที่ตรงไหน | ||
มนุษย์ยักษ์รักกันด้วยอันใด | ผิดวิสัยที่จะอยู่เป็นคู่ควร ฯ | ||
๏ อสุรีผีเสื้อสดับเสียง | เพราะสำเนียงเสนาะในฤทัยหวน | ||
ทำเสแสร้งใส่จริตกระบิดกระบวน | ละมุนม้วนเมียงหมอบแล้วยอบตัว | ||
อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม | เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว | ||
ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว | พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด | ||
แม่เจ้าเอ๋ยคิดมาน่าหัวร่อ | เห็นเขาง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย | ||
พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ | ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก | ||
แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง | เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก | ||
ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก | ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุรา ฯ | ||
๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต | มิได้คิดอินังชังน้ำหน้า | ||
ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา | แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม | ||
เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ | ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม | ||
ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ | แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์ | ||
ถึงมาตรแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์ | อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม | ||
สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม | แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดี ฯ | ||
๏ อีนางยักษ์กลับปลอบไม่ตอบโกรธ | พระจงโปรดเกล้าน้องอย่าหมองศรี | ||
ข้าหมายเหมือนภัสดาถึงด่าตี | ก็ตามทีเถิดเมียไม่เสียใจ | ||
จนผู้หญิงอิงแอบแนบถนอม | กระไรหม่อมจะตั้งปึ่งไปถึงไหน | ||
ช่างไม่คิดขวยเก้อเอออะไร | ทำบ้าใบ้เบือนหนีไปทีเดียว | ||
มาร่วมเรียงเคียงข้างอยู่อย่างนี้ | ยังว่ามีน้ำใจจะไม่เกี่ยว | ||
น่าอดสูผู้หญิงเสียจริงเจียว | พลางกลมเกลียวกอดรัดกษัตรา ฯ | ||
๏ พระเหวี่ยงวัดขัดใจมิให้ต้อง | จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสองพระหัตถา | ||
มันดื้อด้านทานทนพ้นปัญญา | จึงแกล้งว่าวิงวอนให้อ่อนใจ | ||
อะไรเจ้าเฝ้ากวนกันจู้จี้ | ข้าจะหนีหน่ายนางไปข้างไหน | ||
ขอพักนอนเสียสักหน่อยถอยออกไป | สบายใจจึงค่อยมาพูดจากัน | ||
แล้วเอนองค์ลงบนแท่นแสนระทด | โศกกำสรดซบทรงกันแสงศัลย์ | ||
โอ้สงสารป่านฉะนี้ศรีสุวรรณ | อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราย | ||
พอตื่นขึ้นยามเย็นไม่เห็นพี่ | จะโศกีโหยหาน่าใจหาย | ||
ได้เห็นแต่เจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย | เขาผันผายลับตาจะอาวรณ์ | ||
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นกันพี่น้อง | มาเที่ยวท่องบุกเดินเนินสิงขร | ||
อียักษ์ลักพี่ลงมาในสาคร | จะทุกข์ร้อนว้าเหว่อยู่เอกา | ||
พระนึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้ | ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา | ||
ซบพระพักตร์อยู่บนแท่นแผ่นศิลา | ทรงโศกากำสรดระทดใจ ฯ | ||
๏ อีนางยักษ์ฟังสะอื้นค่อยชื่นจิต | สำคัญคิดแว่วว่าพระปราศรัย | ||
เข้าอิงแอบแนบองค์พระทรงชัย | เห็นเธอไม่ผินผันจำนรรจา | ||
คิดว่าหลับกลับปลุกขึ้นโลมลูบ | ประจงจูบปรางซ้ายแล้วย้ายขวา | ||
ค่อยยกหัตถ์ภูวนาถพาดอุรา | ในกามาปั่นป่วนให้ยวนยี | ||
เห็นทรงศักดิ์ผลักพลิกทำหยิกเย้า | มาลูบคลำทำเขาแล้วเบือนหนี | ||
จะกอดไว้ไม่วางเหมือนอย่างนี้ | แค้นนักหนาฟ้าผี่เถอะดื้อดึง ฯ | ||
๏ พระแค้นคำซ้ำด่าอีหน้าด้าน | ใครจะร่านเหมือนเช่นนี้ไม่มีถึง | ||
น่าอดสูกูได้ทำไมมึง | มาเคล้าคลึงโลมลูบจูบผู้ชาย | ||
ทั้งเหม็นสาบเหม็นสางเหมือนอย่างศพ | ไม่น่าคบน่ารักยักษ์ฉิบหาย | ||
มายั่วเย้าเฝ้าเบียดเกลียดจะตาย | ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ ฯ | ||
๏ อีนางยักษ์ควักค้อนแล้วย้อนว่า | ส่วนร่ำด่ากระนั้นได้เขาไม่ถือ | ||
ทีขอจูบแต่พอถูกจมูกครือ | ยิ่งอึงอื้อบ่นว่าเป็นน่าชัง | ||
เมื่ออยู่สองต่อสองในห้องหับ | จะบังคับมิให้ใครกลุ้มใจมั่ง | ||
ถึงโกรธขึ้งอย่างไรก็ไม่ฟัง | พลางเข้านั่งแอบข้างไม่ห่างกาย ฯ | ||
๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต | เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย | ||
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย | มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร | ||
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท | ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย | ||
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย | ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน | ||
จึงบัญชาว่านี่แน่นางยักษ์ | จะร่วมรักกันก็เห็นไม่เป็นผล | ||
อันเชื้อชาติอสุรินทร์ย่อมกินคน | มาแปดปนเป็นมิตรเราคิดกลัว | ||
ไปข้างหน้าถ้าเคืองน้ำใจเจ้า | จะกินเราเสียไม่คิดว่าเป็นผัว | ||
แม้นให้สัตย์ปฏิญาณสาบานตัว | ให้หายกลัวแล้วจะอยู่เป็นคู่ครอง ฯ | ||
๏ อียักษ์ฟังดังได้ผ่านวิมานสวรรค์ | เกษมสันต์นบนอบตอบสนอง | ||
แม้นเคลือบแคลงแหนงในพระทัยปอง | จงฟังน้องจะให้สัตย์ปฏิญาณ | ||
แม้นโว้เว้เนรคุณพระทูนหัว | อันเป็นผัวเพื่อนรักสมัครสมาน | ||
ขอทุกเทพเทวัญจงบันดาล | ประหารผลาญชีวาตม์ให้ขาดรอน | ||
จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป | ไม่สิ้นชีพก็ไม่เสื่อมสโมสร | ||
พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน | ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ | ||
๏ พระฟังคำจำจิตพิศวาส | ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า | ||
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา | เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง | ||
เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด | กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง | ||
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง | ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด | ||
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง | ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด | ||
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด | ประกบติดตกผางลงกลางดิน | ||
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม | เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น | ||
เป็นวิสัยในภพธรนินทร์ | ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ | ||
๏ นางผีเสื้อเมื่อได้ประสมสอง | ดังจะล่องลอยฟ้าในราศี | ||
ประคองคอยปรนนิบัติเข้าพัดวี | อยู่ข้างที่แผ่นผาศิลาลาย | ||
ครั้นรุ่งรางนางไปในไพรสณฑ์ | เที่ยวเก็บผลพฤกษามาถวาย | ||
จะนั่งนอนผ่อนตามความสบาย | นิมิตกายรูปร่างสำอางตา ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์
๏ อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก | สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย | ||
ซึ่งเกิดเหตุเชษฐาเธอหายไป | ก็ยังไม่รู้เห็นว่าเป็นตาย | ||
ควรจะคิดติดตามแสวงหา | แล่นนาวาไปในวนชลสาย | ||
แม้นพระพี่มิม้วยชีวาวาย | ก็ดีร้ายจะได้พบประสพกัน ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา | กษัตราจะได้คู่ที่สู่สม | ||
สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลม | ลุอุดมรมจักรนัครา | ||
ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะ | เรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา | ||
เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตา | ก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ | ||
พระปรึกษาว่ากับพราหมณ์ทั้งสามพี่ | นครนี้น้องเห็นจะคับขัน | ||
จึงระวังตั้งกองอยู่ป้องกัน | จะเป็นจันตะประเทศหรือท้าวไท | ||
. | |||
. | |||
. | |||
อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์ | นามพระบาทท้าวทศวงศา | ||
มีโฉมยงองค์ราชธิดา | ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี | มาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร | ||
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช | เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย | ||
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร | เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์ | ||
ให้ทูตามาสนองละอองบาท | จะขอราชธิดาโดยประสงค์ | ||
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์ | กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา | ||
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ | ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ | พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน | ||
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน | แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
สงสารแก้วเกษราธิดาท้าว | เมื่อครั้งคราวจะได้คู่สู่สงวน | ||
สถิตอยู่แท่นสุวรรณให้รัญจวน | แต่อักอ่วนป่วนใจไม่ไสยา | ||
พอหลับลงทรงซึ่งสุบินนิมิต | ประหวัดจิตนุชนาฏหวาดผวา | ||
ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยา | พระธิดานึกแหนงแคลงฤทัย | ||
จึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเคียงข้าง | นุชนางเล่าแจ้งแถลงไข | ||
ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร | เข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง | ||
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง | ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง | ||
ให้ร้อนรุ่มกลุ่มจิตพิษภุชงค์ | หมายว่าปลงชีวานิคาลัย | ||
จนเดี๋ยวนี้นึกกลัวยังตัวสั่น | อันความฝันพี่เห็นเป็นไฉน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ยุพยงทรงอ่านอักษรพลัน | มีสำคัญว่างูหมู่กุมภา | ||
แม้นขบกัดรัดใครในนิมิต | จะได้ชมสมสนิทเสน่หา | ||
แม้นงูร้ายฝ่ายคู่ภิรมยา | วาสนาฟุ้งเฟื่องเรืองเจริญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา | ||
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ | ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง | ||
ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้ว | สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง | ||
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ | ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่ง | เสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม | ||
ชำเลืองเห็นพระธิดาพงางาม | ให้มีความพิศวาสจะขาดใจ | ||
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น | พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย | ||
จนลืมองค์หลงแลตะลึงไป | เหมือนนางในดุสิตลงมาดิน | ||
ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ | พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์ | ||
นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน | ช่างงามสิ้นสรรพางค์สำอางองค์ | ||
ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่ง | ใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง | ||
กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์ | ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ | หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย | ||
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ | แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ฝ่ายพระนุชบุตรีกรุงกษัตริย์ | มาถึงวังยังประหวัดถวิลหา | ||
เห็นเจ้าพราหมณ์งามติดในตามา | เข้าไสยายามค่ำยิ่งรำจวน | ||
คิดสงสารป่านฉะนี้เจ้าพราหมณ์น้อย | จะอยู่คอยหรือจะไปเสียไกลสวน | ||
เมื่อเดินมาพอพ้นต้นลำดวน | ทำแย้มสรวลเหมือนจะชวนจำนรรจา | ||
เหตุไฉนไม่ตรัสหรือขัดข้อง | จะหนีน้องไปเสียแล้วกระมังหนา | ||
เป็นพราหมณ์เทศพรหมจรรย์จรัลมา | หรือกษัตริย์ขัตติยาอยู่เมืองไกล | ||
ทำปลอมแปลงแกล้งจู่มาดูน้อง | หรือจะต้องประสงค์ที่ตรงไหน | ||
จะมาเดียวหรือจะมาด้วยข้าไท | จะกลับไปหรือจะอยู่ไม่รู้เลย | ||
เสียดายนักหนักทรวงดวงสมร | สะอื้นอ้อนอิงแอบแนบเขนย | ||
ไม่แต่งองค์ทรงเล่นเหมือนเช่นเคย | ลืมเสวยลืมสรงหลงรำพึง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม | ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา | ||
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา | ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ | ||
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ | ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย | ||
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ | ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน | จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน | ||
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล | ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร | ||
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ | จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน | ||
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ | จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
จะสอนสั่งสิ่งเดียวเกี้ยวผู้หญิง | ถ้าถึงจริงก็มักช้าประดาหาย | ||
ให้หวานหวานไว้สักหน่อยค่อยสบาย | นี่แยบคายเจ้าชู้แต่บูราณ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจ | หนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา | ||
หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์ | ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา | ||
จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตา | ต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ | ||
บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลาก | ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม | ||
แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความ | จะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม | ทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย | ||
ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกล | อันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน | ||
หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่ง | คิดรำพึงสารพัดจะขัดสน | ||
เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกล | นฤมลมองหาสุมาลี | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อน | มาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย | ||
จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลาย | ไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง | ||
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนาม | เหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษรา | ฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อน | เห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม | ||
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์ | แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน | ||
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ | บุรีรัตนามหาศวรรย์ | ||
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์ | สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร | ||
พยายามข้ามมหามหรรณพ | หวังประสบวรนุชสุดสงสาร | ||
มาอาศัยในสวนอุทยาน | บุญบันดาลดลจิตพระธิดา | ||
เผอิญให้โฉมงามทรามสวาท | มาประพาสชมพรรณบุปผา | ||
พี่ยลยอดเยาวเรศเกษรา | ช่างโสภานิ่มน้องละอองนวล | ||
ประไพพริ้มนิ่มน้อยกลอยสวาท | ดังนางในไกรลาสมาเล่นสวน | ||
เสด็จกลับลับไปให้รัญจวน | เฝ้าอักอ่วนอาวรณ์ร้อนฤทัย | ||
ด้วยยามยากจากเมืองมามุ่งหมาย | ดังกระต่ายเต้นแลดูแขไข | ||
ครั้นเดือนดับลับเหลี่ยมเมรุไกร | โอ้อาลัยเหลือแลชะแง้คอย | ||
เหมือนอกพี่ที่แสนเสน่ห์นุช | เห็นสูงสุดที่จะได้สิ่งใดสอย | ||
ถ้าได้ดวงดอกฟ้าลีลาลอย | ก็จะค่อยประคองนวลสงวนเชย | ||
จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวน | ใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย | ||
ถ้าแม้นมาดชาติก่อนเป็นคู่เคย | ขอให้เผยพจนารถประภาษมา | ||
แม้นแม่ไม่อนุกูลสูญสวาท | เห็นสิ้นชาติชีวังจะสังขาร์ | ||
จะเอากรุงรมจักรนัครา | เป็นป่าช้าสุมเพลิงเชิงตะกอน | ||
ขอเชิญนุชบุตรีปรานีสนอง | อย่าหม่นหมองหมางรักในอักษร | ||
ช่วยชี้ชอบตอบถ้อยสุนทรวอน | ให้วายร้อนที่วิตกในอกเอย | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนอง | เขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง | ||
ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวัน | มาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อน | ซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง | ||
ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง | ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร | ||
อันบุรีรัตนามหาสวรรค์ | สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมา | มิเมตตาชีวันจะบรรลัย | ||
ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนัก | ถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย | ||
ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจ | เขาว่าไว้หวานนักก็มักรา | ||
ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนา | ต้องจากเยาวยุพินจินตรา | ||
แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนา | จงตรึกตราตรองความตามบุราณ | ||
เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์ | จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร | ||
มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาล | โปรดประทานก็จะได้ดังใจจง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่ | เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน | ||
ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวน | มาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่า | นี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว | ||
เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัว | ไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน | ||
อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาว | ไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน | ||
เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กล | มาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ | ||
ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน
พอเดือนยี่มีผู้ถือหนังสือบอก | ชาวด่านนอกนัคราพนาสัณฑ์ | ||
ทั้งเหนือใต้ฝ่ายปัศจิมมาพร้อมกัน | บังคมคัลทูลท้าวเจ้าพารา | ||
ว่าบัดนี้ท้าวอุเทนเกณฑ์ทหาร | เป็นสามด่านข้าศึกฮึกหนักหนา | ||
พวกนายด่านบ้านนอกบอกเข้ามา | แล้ววันทาทูลแถลงแจ้งคดี | ||
หนังสือบอกปากน้ำว่ากำปั่น | สักห้าพันพลชวากลาสี | ||
มาทอดสู้อยู่ตรงท่าหน้าธานี | ห่างสักสี่สิบเส้นพอเห็นกัน | ||
ข้างฝ่ายเหนือบอกว่าปัจจามิตร | พวกฝรั่งอังกฤษกับมักกะสัน | ||
ล้วนขี่ม้าห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์ | เข้าบุกบั่นตีบ้านด่านดงมา | ||
อันโยธามาทางตะวันตก | กระบวนบกแบกพื้นล้วนปืนผา | ||
มลายูสุระตันวิลันดา | ตีเข้ามาในด่านชานบุรี ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ไปรบรับทัพแขกให้แตกไป | อย่าให้ไพรีรุกบุกเข้ามา | ||
ที่ปากน้ำสำคัญอยู่แห่งหนึ่ง | เอาโซ่ขึงค่ายคูดูรักษา | ||
ให้ลากปืนป้อมฝรั่งขึ้นจังกา | คอยยิงข้าศึกให้บรรลัยลาญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงสุดคิดปิตุรงค์จะส่งลูก | จะไปผูกคอตายให้หายสูญ | ||
ไม่ขอพบคนแขกแปลกประยูร | แล้วนางพูนเทวษร่ำระกำใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
แม้นดวงเนตรเกษราชีวาวาย | จะขอตายตามสัตย์ที่ปฏิญาณ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระยอดรักรูปทองของน้องเอ๋ย | เมื่อไรเลยน้องจะได้ออกไปหา | ||
แม้นบ้านเสียเมืองแตกแขกเข้ามา | จะอุตส่าห์ไปให้พบประสบองค์ | ||
ขอวายวางข้างบาทบทเรศ | พระปิ่นเกษกษัตริย์ชาติราชหงส์ | ||
ถึงชาตินี้มิได้อยู่เป็นคู่คง | ขอพบองค์ภูวนาททุกชาติไป | ||
อันชายอื่นหมื่นแสนทั้งแผ่นภพ | ไม่ขอคบขอคิดพิสมัย | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุดาหน้าม่อยชม้อยชม้าย | ทำเอียงอายอ่อนคอแล้วพ้อให้ | ||
น่าหัวเราะทั้งทุกข์สนุกใจ | พระจะไปเป็นทหารสงสารจริง | ||
อันศึกเสือเหนือใต้มิใช่ง่าย | ไม่สบายเหมือนหนึ่งเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
จะกล่าวฝ่ายทัพอุเทนราช | พบอำมาตย์รมจักรเข้าหักหาญ | ||
ทั้งยิงแย้งแทงฟันประจัญบาน | ไทยไม่ทานมือแขกก็แตกยับ | ||
พลชวามลายูทั้งมูหงิด | ก็ตามติดหักโหมเข้าโจมจับ | ||
ชาวบุรีหนีหลบไม่รบรับ | จนกองทัพโอบอ้อมเข้าล้อมเมืองฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
สงสารท้าวทศวงศ์พงศ์กษัตริย์ | โทมนัสทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เที่ยวตรวจไตรไพร่พหลพลโยธา | ให้รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ | ||
แม้นข้าศึกฮึกฮักมาหักหาญ | จะต่อตีปีนสะพานขึ้นด้านไหน | ||
หลอมตะกั่วคั่วทรายปรายลงไป | ยิงปืนใหญ่แย้งรับให้ยับเยิน | ||
แล้วเกณฑ์ไพร่ในบุรีไว้สี่หมื่น | ฉายค่ำคืนการชุกจะฉุกเฉิน | ||
จะได้เพิ่มเติมคนบนเชิงเทิน | เสด็จเดินช้างตรวจทุกหมวดมาฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ฝ่ายทหารท่านท้าวอุเทนราช | สี่อำมาตย์ตัวนายทั้งซ้ายขวา | ||
เข้าตั้งค่ายรายกำแพงแย่งปีกกา | แล้วปรึกษาคิดอ่านการณรงค์ | ||
ว่าจะให้ทูตถือหนังสือสาร | ไปว่าขานข้อความตามประสงค์ | ||
แม้นเจ้าเมืองรมจักรยังรักองค์ | ให้เร่งส่งพระธิดาอย่าช้านาน | ||
เห็นพร้อมใจให้เสมียนเขียนหนังสือ | ให้ผู้ถือสาราที่กล้าหาญ | ||
ขึ้นขี่ม้าโบกธงตรงทวาร | ชูแต่สารไว้ให้เห็นเป็นสำคัญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
บัดนี้เราเข้ามาล้อมป้อมปราการ | ชีวิตท่านเหมือนลูกไก่อยู่ในมือ | ||
แม้นบีบเข้าก็จะตายคลายก็รอด | จะคิดลอดหลบหลีกไปอีกหรือ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
มิอ่อนน้อมยอมยิงจะชิงชัย | ก็เห็นไม่พ้นอาญาปัจจามิตร | ||
แม้นทรงธรรม์กรุณาประชาราษฎร์ | อนุญาตยอมถวายให้หายผิด | ||
. | |||
. | |||
. | |||
อันชาตินี้พี่ไม่ขอเป็นข้าแขก | ถึงเมืองแตกจะไปตายอยู่ปลายสวน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
หน่อกษัตริย์ว่าถ้าเช่นนั้น | จะพากันไปเฝ้าเจ้ากรุงศรี | ||
เราเดินทางหว่างค่ายพวกไพรี | ให้โยธีกองทัพออกจับตัว | ||
จึงฝ่าฟันข้าศึกสะอึกไล่ | เอาหัวไอ้พวกชาวพลไปคนละหัว | ||
แทนธูปเทียนดอกไม้ถวายตัว | ให้เห็นทั่วจะได้ลือฝีมือเราฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ฝ่ายฝรั่งอังกฤษคิดประหลาด | พราหมณ์ยังอาจเดินมุ่งเข้ากรุงศรี | ||
จะจับไว้ไต่ถามความบุรี | พวกโยธีพรูพร้อมออกล้อมพราหมณ์ | ||
พระโฉมยงทรงกระบองของวิเศษ | สำแดงเดชชิงชัยในสนาม | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ตัดศีรษะโยธาที่ฆ่าตาย | ทั้งสามนายหัวมาหน้าประตู | ||
พวกรักษาหน้าที่ก็มี่ฉาว | ทั้งนายบ่าวบอกกันสนั่นหู | ||
เห็นพราหมณ์หิ้วหัวแขกแดกกันดู | เปิดประตูให้เจ้าเข้าในเมือง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เจ้าพราหมณ์ว่าข้าพเจ้าสำเภาแตก | เป็นแต่แขกเมืองมาอยู่อาศัย | ||
เห็นเขาล้อมป้อมปราการรำคาญใจ | ไม่มีใครรบรับกับทมิฬ | ||
จึงเข้ามาว่าจะขอออกต่อต้าน | สังหารผลาญพวกแขกให้แตกสิ้น | ||
สนองพระเดชพระคุณท้าวเจ้าแผ่นดิน | ให้เพิ่มภิญโญยศปรากฏไป ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
นี่แน่เจ้าเผ่าพราหมณ์นามไฉน | จะชิงชัยช่วยสังหารผลาญปรปักษ์ | ||
ซึ่งฝ่าฟันเข้ามาได้ขอบใจนัก | แต่จะหักศึกเสือเห็นเหลือมือ | ||
ด้วยตัวเจ้าเยาว์ยังกำลังน้อย | เหมือนไก่ต้อยจะไปสู้อ้ายอูหรือ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
แม้นเจ้าออกชิงชัยไม่ชนะ | ก็เห็นจะชุลมุนวุ่นหนักหนา | ||
ซึ่งจะปราบศัตรูกู้พารา | ด้วยวิชาความรู้หรือสู้รบ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมบรมนารถ | ข้าพระบาทพากเพียรเรียนจนจบ | ||
ชำนาญในไตรเพทวิเศษครบ | จะรุกรบราวีให้มีชัย | ||
ซึ่งจะส่งองค์พระบุตรีนั้น | ทมิฬมันจะประมาทพระบาทได้ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
แล้วโปรดให้ไปนัดนายกองทัพ | ให้ออกรับรบสู้เป็นคู่ขัน | ||
จะสังหารผลาญนายวายชีวัน | แล้วไล่ฟันพวกไพร่ให้เป็นเบือ ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ซึ่งอาสาสงครามเพราะความรัก | |||
พระคุณหนักยิ่งกว่าสุธาสถาน | แม้นมีไชยไพรินทมิฬมาร | ||
จะสำราญเริงรื่นทุกคืนวัน | ถ้าเสียทัพอัปราปัจจามิตร | ||
พระทรงฤทธิมรณาจะอาสัญ | มิขออยู่สู้ตายวายชีวัน | ||
พระฟังคำจำใจไกลสวาท | ใจจะขาดเสียด้วยรักนั้นหนักหนา | ||
กระซิบสั่งสายใจอาลัยลา | แม่ดวงเนตรเกษราจงถาวร | ||
พี่ขอฝากความรักที่หนักอก | ช่วยปิดปกไว้แต่ในน้ำใจสมร | ||
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้าและสาคร | อย่าม้วยมรณ์ไมตรีของพี่เลย | ||
ขอฝากความเสน่หาสามิภักดิ์ | ภิรมย์รักร่วมเรียงเคียงเขนย | ||
ถึงตัวไปใจอยู่เป็นคู่เชย | เมื่อไรเลยจึงจะสมอารมณ์เรียม ฯ | ||
นางฟังคำร่ำว่าน่าสังเวช | ชลเนตรฟูมฟายไม่อายเหนียม | ||
ประณตนอบตอบความตามธรรมเนียม | น้องทุกข์เทียมเท่าฟ้าสุธาธาร | ||
แม้นมิกีดปิตุราชมาตุรงค์ | จะเชิญองค์ไว้ปราสาทราชฐาน | ||
บรรทมที่ยี่ภู่ช่วยอยู่งาน | ให้สำราญร่มเกล้าทุกเพรางาย | ||
นี่จนใจได้แต่ใจนี่ไปด้วย | เป็นเพื่อนม้วยภูวนาทเหมือนมาดหมาย | ||
แม้นเมตตาอย่าให้น้องต้องได้อาย | นางฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย | ||
. | |||
. | |||
. | |||
สมเด็จท้าวเจ้าบุรินทร์ปิ่นประเทศ | ทอดพระเนตรโยธาที่หน้าฉาน | ||
เห็นพร้อมกันบันเทิงเริงสำราญ | พระเบิกบานเบือนพักตร์มาทักพราหมณ์ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ศรีสุวรรณกับสามเจ้าพราหมณ์พร้อม | ประณตน้อมนบปิ่นบดินทร์สูร | ||
พอสบเนตรเกษรายิ่งอาดูร | ต้องจำทูลลามาขึ้นพาชี | ||
ให้ทหารขานโห่ขึ้นสามหน | ดำเนินพลออกทวารอิสานศรี | ||
เสียงฆ้องกลองก้องสะเทือนธรณี | พวกโยธีเดินกระบวนล้วนทวนธง | ||
พวกนายทัพขับม้าพยศย่าง | ดูเหมือนอย่างหุ่นเชิดระเหิดระหง | ||
แกล้งชักน้อยซอยเต้นเผ่นผจง | ผ่านมาตรงหน้าพลับพลาสง่างาม | ||
เหล่าทหารราญรณผจญศึก | กระหึ่มฮึกโห่ร้องก้องสนาม | ||
ให้หยุดยั้งตั้งที่สีหนาม | เรียงไปตามรัถยาหน้ากำแพง ฯ | ||
ฝ่ายฝรั่งปังกลิมาวิชาเยนทร์ | สุรเหนมูรตานชาญกำแหง | ||
เห็นชาวเมืองออกมาตั้งอยู่กลางแปลง | ล้วนเสื้อแดงสักหลาดดาษดา | ||
นายทั้งสี่มีสัปทนกั้น | แต่ไกลกันไม่ตระหนักรู้จักหน้า | ||
ทั้งสี่ค่ายนายหมวดตรวจโยธา | ปังกลิมากองแขกแทรกสมทบ | ||
วิชาเยนทร์เกณฑ์ฝรั่งฝ่ายอังกฤษ | มุรหวิดแข็งขันเข้าบรรจบ | ||
สุรเหนเกณฑ์ชวาล้วนกล้ารบ | เข้าสมทบกับปิตันวิลันดา | ||
มลายูมูรตานเป็นนายทัพ | สมทบกับกองฝรั่งบังกุล่า | ||
เป็นโยธีสี่หมู่ผู้ศักดา | ถือศัสตรากริชตรีกระบี่ยาว | ||
ฝ่ายทหารฝรั่งทั้งห้าหมื่น | ถือแต่พื้นทวนคู่ใส่ภู่ขาว | ||
บ้างถือหอกดาบสั้นกั้นหยั่นยาว | เสียงเกรียวกราวเข้าสมทบบรรจบกัน | ||
ฝ่ายนายทัพทั้งสี่เสนีใหญ่ | ต่างสอดใส่เสื้อแดงดูแข็งขัน | ||
คาดเข็มขัดรัดผ้าเช็ดหน้าพลัน | สวมเกราะกันอาวุธยุทธนา | ||
ใส่หมวกดำกำมะหยี่ล้วนมียอด | ขนนกสอดแซมใส่ทั้งซ้ายขวา | ||
ครั้นเสร็จสรรพจับกระบี่ขึ้นขี่ม้า | ให้โยธาเดินธงตรงออกไป | ||
. | |||
. | |||
. | |||
หน่อกษัตริย์กวัดแกว่งพระแสงกระบอง | เข้าตีต้องปังกลิมาชีวาวาย | ||
เจ้าโมราอานุภาพเอาดาบฉะ | ตัดศีรษะสุรเหนกระเด็นหาย | ||
วิเชียรนั้นฟันมุรตานุตาย | สานนุนายพราหมณ์ฆ่าวิชาเยนทร์ | ||
พวกฝรั่งอังกฤษมุรหงิดแตก | บ้างตื่นแตกต่างวิ่งทิ้งโล่เขน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
สมเด็จท้าวทศวงศ์ตรงเข้าใกล้ | จึงปราศรัยว่าเจ้าแรงแข็งขยัน | ||
ช่วยรบแขกแตกตายวายชีวัน | ขอเชิญขวัญนัยนาเข้าธานี | ||
. | |||
. | |||
. | |||