บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

การปรับปรุง เมื่อ 11:04, 18 พฤศจิกายน 2552 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(ต่าง) ←รุ่นก่อนหน้า | รุ่นปัจจุบัน (ต่าง) | รุ่นถัดไป→ (ต่าง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

บทประพันธ์

ตอนที่ ๑ กำเนิดพระสังข์

๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวยศวิมลไอศวรรย์
ไร้บุตรสุดวงศ์พงศ์พันธุ์วันหนึ่งนั้นไปเลียบพระนคร
ราษฏรร้องว่าให้หาบุตรพระทรงภุชร้อนจิตดังพิษศร
มิได้เสวยสรงสาครนั่งนอนร้อนใจใช่พอดี
ประชาชนจนจิตไม่คิดหวังยิ่งประดังพลุกพล่านทั้งกรุงศรี
เวทนาเป็นพระยาสมบัติมีมาไร้ที่โอรสยศไกร
จึงดำรัสตรัสเล่ามเหสีถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข
เจ้ามาช่วยพี่คิดนะดวงใจค้นคว้าหาไปดูตามบุญ
บวงสรวงซ่องเซทุกเวลารักษาศีลด้วยช่วยอุดหนุน
ถ้วนทุกนางในให้พร้อมมูลเกลือกบุญของใครได้สร้างมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นมเหสีมิได้คิดอิจฉา
คำนับรับราชบัญชาพระอย่าระคางหมางใจ
จะพึ่งพ่อขอฝากดวงชีวันหาคิดเกียดกันฉันทาไม่
ตามแต่กุศลของใครให้สิ้นสงสัยพระทัยปอง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังนาฏพิศวาสในน้ำคำสนอง
สั่งท้าวนางในดังใจปองให้แต่งของบูชาบรรณาการ
พลบค่ำย่ำแสงสุริยายกมาเตรียมไว้ในสถาน
บอกเหล่าสาวศรีบริวารสั่งการให้ทั่วทุกตัวนาง
จัดแจงแต่งเครื่องบูชาธูปเทียนชวาลาต่างต่าง
ทุกวันทุกเวรอย่าเว้นว่างนอนปรางค์ข้างที่เราทุกคน
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นภูวไนยมีพระทัยขวายขวน
เห็นนางในนอนทั่วทุกตัวคนตรัสบอกยุบลสนทนา
ดูก่อนเหล่านางทั้งหลายเราหมายมุ่งมาดปรารถนา
จำนงจะประสงค์ลูกยาไม่เห็นแก่หน้าฉันทาใคร
ชวนกันตั้งจิตพิษฐานบนบานตามชอบอัชฌาสัย
ใครเกิดบุตรายาใจเวียงชัยจะให้แก่ลูกรัก
ตรัสพลางทางเข้าแท่นที่ชวนพระมเหสีมีศักดิ์
บวงสรวงเทวาสุรารักษ์ในห้องทองสุรศักดิ์ตำหนักชัย
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
สระบุหรง
๏ จึงจุดธูปเทียนประทีปแล้วเพริศแพรวพร้อมที่ศรีใส
ทั้งสองพระองค์จำนงในตั้งใจบริสุทธิ์ดุษฎี
นอบน้อมพร้อมจิตพิษฐานเดชะสมภารข้าสองศรี
ปกป้องไพร่ฟ้าประชาชีโดยดีเป็นธรรม์นิรันดร์มา
ข้าไซร้ไร้บุตรสุดสวาทจะบำรุงราษฏร์ไปภายหน้า
พระเสื้อเมืองเรืองชับได้เมตตาขอให้เกิดบุตรายาใจ
เสร็จแล้วพระแก้วก็ไสยาทรงศีลห้าทุกวันหาขาดไม่
ทศธรรมไม่ลำเอียงใครภูวไนยเข้าที่บรรทมพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไปสุราลัยในดาวดึงส์สวรรค์
เมื่อผลจะสิ้นพระชนม์นั้นอัศจรรย์ร้อนรนเป็นพ้นไป
รัศมีศรีตนก็หม่นหมองสิ่งของของตัวก็มัวไหม้
เทวาตระหนกตกใจแจ้งในพระทัยจะวายชนม์
แล้วจึงตรึกตรองส่องเนตรแจ้งใจในเหตุเภทผล
พระเจ้าท้าวยศวิมลให้พรากจากดาวดึงส์สวรรค์
อย่าเลยจะจุติพลันอย่าให้เทวัญทันนิมนต์
ลงไปเกิดในมนุสสาแสวงหาศีลทานการกุศล
คิดแล้วกลั้นใจให้วายชนม์ปฏิสนธิ์ยังครรภ์กัลยา
ฯ ๑๐ คำ ฯ คุกพากย์
ช้า
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลฝันว่า
วันเมื่อจะได้พระลูกยาเข้าที่นิทราในราตรี
ฝันเห็นเป็นเทพสังหรณ์ทินกรจะใกล้ไขสี
สะดุ้งตื่นฟื้นพลันทันทีจำได้ถ้วนถี่ในนิมิต
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ พอรุ่งสางสว่างสุริยงสระสรงทรงเครื่องไพจิตร
ออกท้องพระโรงชัยอำไพพิศสถิตบัลลังก์กระจังทอง
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เสนาข้าเฝ้าก็กราบกรานจึงมีโองการสารสนอง
กับโหรผู้ใหญ่ดังใจปองท่านจงตรึกตรองดูในสุบิน
ฝันว่าอาทิตย์ฤทธิรงค์ตกลงตรงพักตร์ข้างทักษิณ
ดาวน้อยพลอยค้างอยู่กลางดินเราผินพักตร์ฉวยเอาด้วยพลัน
มือซ้ายได้ดวงดารามือขวาคว้าได้สุริย์ฉัน
แล้วหายไปแต่พระสุริยันต่อโศกศัลย์ร่ำไรจึงได้คืน
สักสามยามหย่อนค่อนรุ่งเราสะดุ้งคว้าหาผวาตื่น
ดีร้ายทายตามอย่ากล้ำกลืนตาหมี่นโหราจงว่าไป
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยอดโหราหามีเสมอไม่
คิดคูณหารดูรู้แจ้งใจภูวไนยจะเกิดบุตรา
จึงทูลทายทำนายตามสุบินว่าพระปิ่นนางในฝ่ายขวา
จะทรงครรภ์พระราชบุตราบุญญาธิการมากมี
แต่จะพลัดพรากไปจากวังภายหลังจึงจะคืนกรุงศรี
ดาราคือพระบุตรีจะเกิดที่สนมอันควร
ฝันว่าพระทรงโศกาจะได้ชมลูกยาเกษมสรวล
ทายตามสุบินสิ้นกระบวนถี่ถ้วนจงทราบพระบาทา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังทูลพระไพบูลย์ภิรมย์หรรษา
แย้มโอษฐ์โปรดตรัสแก่โหราแม้นเหมือนท่านว่าจะรางวัล
ราษฏร์ฟ้องร้องว่าให้หาบุตรสุดคิดที่เราจะผ่อนผัน
บัดสีกับใจใครจะทันว่าแล้วผายผันเข้าวังใน
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงแจ้งกับองค์มเหสีถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข
พระค่อยเป็นสุขสนุกใจทรามวัยงานขึ้นทุกคืนวัน
เปล่งปลั่งมังสาดังทาทองพระเต้าคล้ำมัวหมองทั้งสองถัน
เส้นพาดพานทรวงดวงจันทร์แจ้งว่าทรงครรภ์มั่นคง
ผิวพรรณผุดผ่องละอองพักตร์พระแสนสุดที่รักนวลหง
จัดเลือกแสนสาวที่รูปทรงมาห้อมล้อมโฉมยงอนงค์นวล
แล้วหยอกถามว่าใครอย่างไรบ้างได้การแล้วหรือยังพระแย้มสรวล
อุตส่าห์ทาแป้งแต่งนวลสำรวลสรวลวสันต์บันเทิงใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ จึงเห็นจันเทวีพระสนมเนื้อนมครัดเคร่งเร่งสงสัย
แจ้งว่ามีครรภ์มั่นแม่นใจจัดแจงแต่งให้นางเทวี
นางใดที่ไม่มีครรภ์แก้ฝันเห็นของก็หมองศรี
ก้มเกล้ากราบลาพระจักรีจันทาเทวีก็ลีลา
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ฝ่ายนางจันทามาถึงห้องเศร้าหมองตรองจิตคอยอิจฉา
อาบเอิบกำเริบด้วยโภคาผ่านฟ้าว่าใครมีครรภ์
สมบัติจะยกให้ลูกครองมีสองต้องคิดผิดผัน
ท่านมียศศักดิ์จะรักกันลูกเต้าเหล่านั้นจะหมองมัว
ที่ไหนจะได้พระบุรีสาวศรีจะชวนกันยิ้มหัว
ยิ่งตรึกยิ่งตรองยิ่งหมองมัวจึงเรียกนางแม่ครัวเข้าห้องใน
สาวศรีเจ้าจงเอ็นดูเราเบี้ยข้าวเงินทองจะกองให้
จงช่วยปิดงำอำไว้เอาทองไปให้แก่โหรา
เขียนหนังสือลับกำชับสั่งเราหวังไว้ใจเจ้าหนักหนา
ถอดแหวนสั่งให้มิได้ช้านี่ข้าถึงใจให้พลาง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ได้กินสินจ้าง
เคารพนบนอบแล้วตอบพลางลูกแล้วอย่าหมางระคางใจ
สู้ตายจะตายด้วยแม่เจ้าลูกเล่าหาพีงผู้ใดไม่
แม่ได้ดีลูกนี้จะดีใจลากห่อทองได้ใส่แหวนมา
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ มาถึงซึ่งบ้านโหรเฒ่าจู่เข้าไปได้ในเคหา
ไหว้แล้วแก้ทองของจันทาคุณแม่ให้มาแต่ในวัง
ว่าคุณตายาใจปรานีด้วยจงช่วยให้สมอารมณ์หวัง
จงเห็นไมตรีให้จีรังแล้วยื่นหนังสือให้มิได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นโหรใหญ่สงสัยเป็นหนักหนา
รับเอาหนังสือที่มือมาใส่แว่นตาดูก็รู้ความ
นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ในใจโลภเห็นแต่จะได้ไม่เกรงขาม
แม้นภูมิรับกลับความทองคำสามชั่งจะคืนไป
ถ้ากูแก้ไขนางจันทาเงินตราห้าชั่งนั้นจะได้
จึงว่ากับสาวศรีด้วยดีใจพอแก้ไขได้เป็นไรมี
แลเหลียวเปลี่ยวคนที่บนเรือนอิดเอื้อนจะใคร่ประสมศรี
สาวใช้เจ้าเข้าไปในที่วานหยิบบุหรี่ที่ริมเตียง
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ สาวใช้อดสูก็รู้เท่าไฮ้คุณตาเจ้าช่างกล่าวเกลี้ยง
ใครจะเข้าไปถึงในเตียงข้าวของรายเรียงจะหายไป
สะบัดมือได้แล้วไหว้ลาอย่านะฉันหาอะไรไม่
จึงวิ่งผลุนหนีพลันทันใดมายังวังในไปแจ้งความ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้นมเหสีโฉมฉินปิ่นห้าม
ค่อยเพียรรักษาพยายามพระครรภ์โฉมงามได้สิบเดือน
จวนใกล้ฤกษ์พานาทีนาภีใหญ่น้อยก็คล้อยเคลื่อน
ระดมลมเส้นก็เต้นเตือนลูกน้อยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลง
เจ็บครรภ์กระสันขึ้นทุกทีพ่างเพียงชีวีจะผุยผง
ร้องเรียกแสนสาวเหล่าอนงค์มาพร้อมล้อมองค์นางเทวี
เรียกพลางทางป่วนครวญครรภ์ช่วยกันเร็วเร็วนางสาวศรี
องค์สั่นยัยยุดทรุดอินทรีย์มเหสีโอดโอยโรยแรง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝูงนางผู้รักษากล้าแข็ง
ฝืนท้องต้องนางยังคลางแคลงเห็นแข็งไปสิ้นไม่ดิ้นรน
กลมกลมกลิ้งกลิ้งยิ่งสงสัยหลากใจไม่เห็นตัวทั่วค้น
บ้างไปทูลองค์ทรงสกลให้ทราบยุบลกิจจา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกราบทูลพระภูมินทร์ว่าพระปิ่นนางในฝ่ายขวา
จะคลอดสมเด็จพระลูกยาขอเชิญผ่านฟ้าเสด็จไป
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเร่งผ่องใส
จะได้เห็นลูกน้อยกลอยใจในวันนี้แล้วแก้วตา
รีบไปด้วยไร้โอรสพระทรงยศแสนโสมนัสสา
นางในใครรู้ก็ตรูมาโฉมนางจันทาก็ตามไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
จึงกล่าวเอาใจมเหสีเจ้าพี่อย่าพรั่นหวั่นไหว
ลูกของเทวัญท่านให้ไว้แข็งใจขบฟันกลั้นทน
นักเทศจงไปสั่งการพนักงานของใครให้ขวายขวน
เตรียมไว้ในพระราชมณฑลขนมาประโคมพระลูกเรา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นมเหสีป่วนปั่นพระครรภ์เจ้า
มิได้วายว่างบางเบาเจ็บราวกับเขาผูกคร่าร้า
เป็นกรรมตามทันมเหสีจะจากที่สมบัติวัตถา
ยามปลอดก็คลอดพระลูกยากุมารากำบังเป็นสังข์ทอง
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา มโหรี
๏ มเหสีตระหนกอกสั่นสาวสรรค์หวั่นไหวทั้งในห้อง
ผ่านฟ้าดังเลือดตานองแตรสังข์แซ่ซ้องประโคมพลัน
พระทัยวาบสำเนียงเสียงศรีภูมีขับเหล่านางสาวสรรค์
ภูมินทร์เพียงจะสิ้นชีวันอับอายสาวสรรค์กำนัลใน
จึงตรัสแก่องค์มเหสีเจ้าพี่เราจะคิดเป็นไฉน
ไม่พอที่จะเป็นก็เป็นไปเมื่อหาลูกไม่ก็ทุกข์ทน
อุตส่าห์บนบานศาลกล่าวครั้นมีมาเล่าไม่เป็นผล
อับอายไพร่ฟ้าข้าคนพี่จะใคร่กลั้นชนม์ให้พ้นอาย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังตรัสดังใครตัดเศียรเด็ดกระเด็นหาย
สองกรข้อนทรวงเข้าฟูมฟายนางถวายบังคมก้มโศกา
พ่อเจ้าพระคุณของเมียเอ๋ยกรรมสิ่งไรเลยเป็นหนักหนา
เสียแรงอุ้มทองประคองมาดีใจหมายว่างามหน้าเมีย
มิรู้ว่ามาได้อัปยศพลอยยศพระคุณให้สูญเสีย
พระองค์ทรงพระขรรค์ฟาดฟันเมียตายเสียอยู่ขายบาทบงสุ์
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาได้ช่องต้องประสงค์
กับโหรดูรู้กันไว้มั่นคงครั้นเข้าเฝ้าองค์พระทรงชัย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ทูลว่าอนาถประหลาดจิตข้าคิดพิศวงสงสัย
ลูกคนเป็นหอยน่าน้อยใจหาเยี่ยงอย่างไม่แต่ก่อนมา
มีครรภ์เหมือนกันก็พรั่นตัวดีชั่วก็ยังกังขา
เดิมว่าโหรทายทำนายมาแต่แรกชายาจะทรงครรภ์
ว่าโอรสนั้นจะมีบุญได้เพ็ดทูลไว้ตามทำนายฝัน
เข้าไฟให้หายโรคันแล้วทรงธรรม์ตรัสถามเนื้อความดู
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังคำผลกรรมจะพรากจากคู่
แยบคายภายในมิได้รู้จริงอยู่โหรทายทำนายมา
ว่าจะมีท้องทั้งสองนั้นแม่นมั่นจริงจังดังปากว่า
เคยได้นับถือลือชาลูกยามาเป็นเช่นนี้ไป
จริงแล้วจะถามความก่อนให้แน่นอนว่าเห็นเป็นไฉน
จึงให้ทรามชมบรรทมไฟคลาไคลออกท้องพระโรงพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้หาโหราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าตรัสถามเนื้อความฝัน
เดิมทายโฉมยงว่าทรงครรภ์ก็แม่นมั่นเหมือนคำจำนรรจา
เหตุไรลูกน้อยเป็นหอยสังข์พลาดพลั้งบิดเบือนไม่เหมือนว่า
จะเป็นชายทายทูลว่าบุญญาถ้อยคำท่านว่านั้นผิดไป
ให้ดูแลหมายว่าจริงจังเลือดตากูดังจะย้อยไหล
เป็นเหตุเภทพาลประการใดโหราว่าไปอย่าอำพราง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นโหรใหญ่ได้กินสินจ้าง
สมจิตคิดไว้จะให้นางพลัดพรากจากปรางค์ไปทางไกล
ทำค้นตำรามาดุแลบิดเบือนเชือนแชแก้ไข
แล้วทูลพระองค์ผู้ทรงชัยทายไว้มิใคร่จะคลาดคลา
เพราะบ้านเมืองร้ายต้องกลายกลับพระองค์ว่ากับโอรสา
เป็นกรรมตามทันกัลยาแม้นพระบุตราเป็นมนุษย์
จะเลิศเรืองเฟื่องฟุ้งงทั้งกรุงไกรเคราะห์ร้ายกลายไปเสียสิ้นสุด
บ้านเมืองก็จะล่มโทรมทรุดม้วยมุดฉิบหายวายปราณ
แม้นขับไล่ไปไกลบุรีธานีจะเย็นเกษมศานต์
อย่าไว้พระทัยให้เนิ่นนานเพลิงกาฬจะเผาเอาพารา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังโหรทายดังจะวายชีวังสังขาร์
กระนั้นจริงเจียวหรือโหราอนิจจาหลัดหลัดมาพลัดกัน
ว่าพลางสะท้อนถอนใจกลั้นน้ำพระเนตรไว้แล้วผายผัน
คืนเข้าห้องแก้วแพรวพรรณหามิ่งเมียขวัญทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงทิ้งพระองค์ลงบอกพลางทางทรงกันแสงไห้
โอ้กรรมเราทำไว้ปางใดจะไกลกันไปแล้วนะแก้วตา
มิพอที่จะเป็นก็มาเป็นเกิดเข็ญเพราะลูกเสน่หา
โหรทายร้ายนักเจ้าพี่อาว่าแก้วกัลยาเป็นกาลี
อยู่ไปจะได้แค้นเคืองบ้านเมืองจะยับต้องขับหนี
พี่จะขาดใจม้วยด้วยเทวีไม่มีความผิดสักนิดเลย
แสนสงสารนักด้วยรักใคร่จะจากกันฉันใดได้เฉยเฉย
อยู่อยู่ดีดีเจ้าพี่เอยไม่รู้ตัวเลยจะจากกัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังสารดังคนผลาญชีวาให้อาสัญ
นางตระหนกตกใจดังไฟกัลป์อกสั่นขวัญหนีไม่มีใจ
สวมสอดกอดบาทของผัวแก้วข้อนทรวงเข้าแล้วก็ร้องไห้
เมียให้ฆ่าฟันให้บรรลัยรักใคร่เมตตาไม่ฆ่าตี
โหรามันว่าเป็นคำสองพ่อตรองให้ควรถ้วนถี่
ขับไล่ไม่มาฆ่าตีเหมือนม้วยชีวีไปจากกัน
ร่ำพลางนางเกลือกเสือกกายดังจะวายชีวาด้วยโศกศัลย์
ซบพักตร์กับตักพระทรงธรรม์หวาดหวั่นนิ่งไปไม่พาที
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เอะเอยเอะน้องแก้วผิดแล้วองค์เย็นดังเป็นผี
ร้องไห้นิ่ไปไม่พาทีอยู่บนตักพี่ไม่หายใจ
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ โอ้จันท์เทวีเจ้าพี่เอ๋ยทรามเชยเงยหน้าอย่าร้องไห้
อกของผัวรักจักหักไปลุกขึ้นดูใจปราศรัยกัน
พี่พูดด้วยเป็นไรไม่เจรจาแน่แล้วแก้วตาพี่อาสัญ
เจ้าอ้อนวอนพี่ให้ฆ่าฟันจะทำกันฉันใดไฉนนา
ถึงพลัดพรากลำบากกายมิตายได้เห็นกันวันหน้า
ไม่เงยพักตร์ขึ้นบ้างสั่งพี่ยาแก้วตามาตีตัวตาย
ตัดช่องน้อยไปแต่ตัวทิ้งผัวเสียได้น่าใจหาย
ร่ำพลางกอดพลางฟูมฟายระทวยกายกอดซบสลบพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
             

๏ เมื่อนั้นจันทาแสนกลคนขยัน
เห็นสองสลบทบทับกันผันผินรินน้ำกุหลาบมา
ชโลมองค์ทรงทาทั้งสองศรีค่อยได้สมประดีที่โหยหา
แล้วโลมเล้ากล่าวคำด้วยหยาบช้าเคราะห์กรรมทำมาจะโทษใคร
โหรเล่าใช่เขาจะชั่วช้าเคยนับถือมาแต่ไหนไหน
จำไปให้สิ้นเคราะห์ภัยเกลือกไปเคราะห์นั้นจะบรรเทา
ไม่ม้วยดับชีพสูญหายมิใช่ล้มตายอะไรเล่า
แต่พอเคราะห์นั้นค่อยบรรเทาแล้วเราจึงรับกันกลับมา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระฤาสายค่อนคลายที่โหยหา
ได้ฟังถ้อยคำนางจันทาตรึกตราสะท้อนถอนใจ
เห็นจริงไม่กริ่งถ้อยคำด้วยเวรากรรมมาทำให้
จึงมีวาจาว่าไปเจ้าเอาใจด้วยช่วยจัดแจง
ให้องค์นงเยาว์เจ้าไปกินทรัพย์สินเงินทองของแห้ง
สั่งเสนาในให้จัดแจงเรือแผงม่านวงให้จงดี
ส่งไปให้พ้นขอบเขตจะเนรเทศยอดรักมเหสี
ตรัสพลางดูนางแล้วโศกีภูมีเมินอายนางจันทา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันทาตัวคิดริษยา
ดีใจรับสั่งบังคมลาทำเช็ดน้ำตาแล้วคลาไคล
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ มิได้จัดแจงแต่งของเงินทองข้าวปลาไม่หาให้
กระซิบสั่งสาวศรีที่ร่วมใจเอาเงินไปให้แก่เสนา
ว่าเอ็นดูด้วยช่วยเราพาเอานางไปอย่าไว้หน้า
ไกลคนพ้นแดนพาราเสนาฆ่าเสียให้วอดวาย
สุดแต่อย่าให้มันครองวังปิดความกำบังให้สูญหาย
จะทดแทนคุณให้มากมายเจ้าอย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เสร็จสรรพกลับเข้าปราสาทศรีทูลความตามที่รับสั่ง
เงินทองของกินสิ้นยังเตรียมแล้วพร้อมพรั่งทั้งนาวา
บัดนี้ไพร่ฟ้าข้าเมืองลือเลื่องฮึกฮักหนักหนา
มันจะกลุ้มรุมกันทั้งพาราโกรธว่าจะพาให้ยากเย็น
ว่าช้าไปมิใคร่จะจากวังมันจะพังบ้านเมืองเคืองเข็ญ
น้ำตาข้าน้อยพลอยกระเด็นกรรมเวรเป็นไปทุกสิ่งอัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังข่าวพระร้อนเร่าฤทัยไหวหวั่น
หลงกลด้วยกรรมาตามทันสำคัญว่าจริงทุกสิ่งไป
พินิจพิศพักตร์อัคเรศคลอเนตรสะท้อนถอนใจใหญ่
จะออกปากก็คับอับใจด้วยความรักใคร่ชายา
ครั้นจะมิให้เจ้าไปเล่าร้อนเร่าด้วยคำจันทาว่า
บ่ายเบื้อนเยื้อนออกวาจาเจ้าแก้วตาของพี่ผู้มีกรรม
เจ้าเคยพรากสัตว์ให้พลัดคู่เวรมาชูชุบอุปถัมภ์
แม้นมีกรรมไม่ไปใช้กรรมไพร่ฟ้ามันจะทำย่ำยี
มิใช่พี่ไม่รักน้องร่วมห้องอกสั่นกันแสงศรี
ไม่ยับดับสูญบุญมีเคราะห์ดีสิ้นกรรมจะเห็นกัน
ตรัสพลางดูนางมิใคร่ได้ชลนัยน์ไหลรินแล้วผินผัน
เดินเข้าห้องแก้วแพรวพรรณรูดพันม่านทองเข้าโศกา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ โอด
๏ เมื่อนั้นมเหสีตีทรวงไห้โหยหา
พ่างเพียงจะสิ้นชีวาโศกาไม่เป็นสมประดี
ครั้นจะอ้อนวอนผ่อนผันทรงธรรม์ก็เมินดำเนินหนี
ทุกข์แค้นแสนโศกโศกีพระพันปีหนีเมียเสียว่าไร
มีกรรมจำจากพระบาทแล้วน้องแก้วหาขัดขืนไม่
จะขอผัดผ่อนต่อนอนไฟมิให้ช้านักสักเจ็ดวัน
แต่พอให้แห้งเหือดเลือดลมจะซุกซมซ่อนไปในไพรสัณฑ์
พ่อไม่ขึ้งโกรธโทษทัณฑ์เหตุไรไม่ทันบัญชา
ว่าพลางนางข้อนทรวงไห้เพียงขาดใจม้วยด้วยโหยหา
เหล่ากำนัลไม่กลั้นน้ำตาชวนกันโศการิมแท่นทอง
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นจันทาตัวดีไม่มีสอง
สมจิตคิดไว้ดังใจปองได้ช่องให้หน้าแล้วว่าไป
กับนางสาวศรีที่ร่วมคิดว่ารับสั่งทรงฤทธิ์เป็นใหญ่
ให้พาโฉมยงเจ้าลงไปมอบองค์ส่งให้แก่เสนี
ช้าไปไพร่ฟ้าจะขึ้งโกรธจะคุมโทษโลภแย่งเอากรุงศรี
ตามบุญตามกรรมของเทวีช้าไปบูรีจะมีภัย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ผู้ร่วมอัชฌาสัย
รู้กันในกลยลในลอบเข้าไปใกล้นางชายา
ทูลว่าภูมินทร์ปิ่นเกล้าอาวรณ์ร้อนเร่าหนักหนา
ด้วยกลัวไพรีจะบีฑาเตือนมาให้พาแม่คลาไคล
จะมีโทษแต่ข้าน้อยดับความโศกสร้อยละห้อยไห้
มีกรรมจำเป็นเข็ญใจอย่าให้ข้าไทต้องภัยโพย
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ฟังคำนางโศกช้ำรัญจวนหวนโหย
อนิจจังทั้งสิ้นมาดิ้นโดยโพยภัยมิให้แก่ใครมี
คิดว่าพอผัดผ่อนได้เมื่อไม่โปรดเกล้าเกศี
ตามแต่เวราของข้านี้สาวศรีอย่าได้ทุกข์ทน
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ ว่าพลางยกเอาลูกน้อยน้ำเนตรหยดย้อยดังฝอยฝน
ร้องทูลพระองค์ทรงสกลน้องคนมีกรรมจะขอลา
ดูรูปจำร่างเสียยังแล้วพระแก้วจะไม่ได้เห็นหน้า
จะไม่คืนคงอย่าสงกามิได้รองฝ่าพระบาทไป
สิ่งใดเมียได้พลาดพลั้งแต่หลังให้ขัดอัชฌาสัย
เมียขอสมาอาภัยอย่าได้เป็นเวราเลย
ให้พ่ออยู่ยืนได้หมื่นปีโรคาอย่ามีพ่อคุณเอ๋ย
ไม่เยี่ยมม่านทองดูน้องเลยทำเฉยเสียได้ไม่นำพา
นิ่งได้ให้เขามาสั่งเสียตัดเมียเสียได้ไม่ดูหน้า
ว่าแล้วนางแก้วบังคับลาสาวใช้ซ้ายขวาก็ตามไป
ค่อยอยู่เถิดเจ้านางสาวศรีบุญน้อยแล้วมิอยู่ด้วยได้
ข้าได้เรียกขานวานใช้อภัยอย่าได้เป็นกรรมกัน
ว่าพลางนางอุ้มลูกยาจันทาพยักหน้านางสาวสรรค์
เดินทรงโศกามาพลันกำนัลจันทาก็พาไป
ฯ ๑๔ คำ ฯ เพลง เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีที่ร่วมอัชฌาสัย
รับเอาโฉมงามทรามวัยสาวใช้ขึ้นไปยังในวัง
กินเหล้าเมาโป้งโฉงเฉงไม่เกรงไม่ขวยด้วยโอหัง
เชิญแม่มาไปให้พ้นวังรับสั่งจะช้าอยู่ว่าไร
ทำให้คนยากลำบากด้วยคราวรวยหาทักรู้จักไม่
ที่มีปัญญาก็ว่าไปนี่พูดอะไรไม่ต้องการ
ว่าพลางเชิญนางลงนาวามิช้าบ่ายบากจากสถาน
ทางสิบห้าวันกันดารพ้นบ้านไกลที่ไม่มีคน
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงส่งนางเทวีดูน่าปรานีระเหระหน
เสนีที่ได้กินสินบนขัดสนด้วยคนเขามากมาย
จะฆ่าเทวีก็มิได้มารยาว่าไปดังใจหมาย
ไหนไหนไม่พ้นเป็นคนตายจะลองดาบกรายเล่มนี้ดู
เพื่อนกันช่วยฉุดยุดไว้ผิดไปไม่ได้อย่าจู่ลู่
ตามกรรมตามเวรนางโฉมตรูจู่ลู่จะพากันวุ่นวาย
ไม่คิดถึงตัวกลัวกรรมเวรามาทำเองง่ายง่าย
ถึงชั่วดีเล่าเป็นเจ้านายจะทำผิดคิดร้ายก็ไม่ดี
กลับไปบ้านเราจะดีกว่าว่าพลางทางลานางโฉมศรี
ที่ใจเมตตาปรานีบ้างข้าวของมีก็ให้ทาน
แล้วออกนาวาคลาไคลดูไปใจหายน่าสงสาร
ฝ่ายว่าเสนีที่เป็นพาลงุ่นง่านไม่ไหว้ไม่ลาใคร
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นมเหสีโศกาอยู่ป่าใหญ่
ขึ้นมาจากท่าชลาลัยไม่รู้ที่จะไปแห่งใดเลย
ฯ ๒ คำ ฯ โอ้ ชาตุม
๏ เดินพลางทางอุ้มลูกพลางเห็นทุกข์แม่บ้างพ่อสังข์เอ๋ย
บุกป่าฝ่าไพรแม่ไม่เคยเพราะกรรมทรามเชยเจ้าเกิดมา
เป็นคนหรือจะได้มาเป็นเพื่อนมีเหมือนไม่มีโอรสา
ทั้งนี้เพราะอีจันทากับอ้ายโหรามันรู้กัน
ทั้งอีสาวศรีมันร่วมใจมันเร่งรัดให้แม่ผายผัน
ทั้งอ้ายเสนาจะฆ่าฟันอัศจรรย์ใจแม่นี้แน่แล้ว
พระร่วมห้องของน้องยังอาลัยเหตุไรไม่เกรงทูลกระหม่อมแก้ว
พ่อหลงกลมนตร์มันแน่แล้วเดินพลางนางแก้วก็โศกี
เสียงเสือแรดช้างกวางทรายใจหายอกสั่นขวัญหนี
เล็ดลอดกอดลูกเข้าโศกีเทวีอุ้มสังข์ดำเนินไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
๏ เดินมาสุริยาร้อนแรงแสงใส
แลเห็นบ้านป่าพนาลัยโฉมยงดีใจเข้าไปพลัน
พบสองเฒ่าปลูกถั่วงานางนั่งวันทาขมีขมัน
ฝ่ายว่าสองราดูหน้ากันยายถามตานั้นทันใด
ตานี่ดีร้ายจะไม่ตรงมั่นคงกูคิดหาผิดไม่
นัดแนะกันมาหรือว่าไรตาเอาใจออกนอกกัน
น้อยหรือนั่นรูปร่างอย่างกินนรยายค้อนตาผัวจนตัวสั่น
ฝ่ายตาโกรธยายเอาไม้รันมึงเห็นสำคัญด้วยอันใด
คราวลูกคราวหลานก็ไม่ว่ามันบ้าอย่าถือแม่ข้าไหว้
มาแต่ตำบลหนใดบอกให้แจ้งใจยายตา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ นางเล่าแต่ต้นจนปลายตายายพาไปยังเคหา
จัดเหย้าเรือนให้มิได้ช้าด้วยความเมตตาปรานี
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
๏ เมื่อนั้นโฉมจันท์กัลยามารศรี
อยู่ด้วยยายตาได้ห้าปียากแค้นแสนทวีทุกเวลา
ครั้นค่ำตักน้ำตำข้าวครั้นรุ่งเช้าเจ้าเข้าป่า
เก็บผักเที่ยวหักฟืนมากัลยาค้าขายได้เลี้ยงตัว
อุ้มเอาลูกน้อยหอยสังข์สุดกำลังแม่แล้วพ่อทูลหัว
เลี้ยงไว้ว่าจะได้เป็นเพื่อนตัวทูนหัวไม่ช่วยแม่ด้วยเลย
เนื้อเย็นเป็นคนนะลูกแก้วห้าหกขวบแล้วนะลูกเอ๋ย
กำดัดจะภิรมย์ชมเชยลูกเอ๋ยจะเบาทุเลาแรง
นางมิได้เอนองค์ลงนิทราสุรียารุ่งรางสว่างแสง
วางลูกไว้ไปจัดแจงลากแผงออกวางที่กลางดิน
เอาข้าวออกตากแล้วฝากยายจับหาบผันผายเข้าไพรสิณฑ์
เที่ยวเก็บผักหญ้าเป็นอาจิณโฉมฉินซอนซนต้นมา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง
๏ ยานี
มาจะกล่าวบทไปเทพไทสิงสู่อยู่พฤกษา
สงสารนางจันท์กัลยาเจ้ามาเหนี่อยยากลำบากกาย
เทพบุตรจุติมาบังเกิดกำเนิดผิดพ้นคนทั้งหลาย
บุญญาธิการนั้นมากมายจะล้ำเลิศเพริศพรายเมื่อปลายมือ
ถึงจะตกน้ำก็ไม่ไหลตกในกองกูณฑ์ไม่สูญชื่อ
จะได้ผ่านบ้านเมืองเลื่องลืออึงอื้อดินฟ้าบาดาล
คู่สร้างกับนางรจนามารดาจะสุขเกษมศานต์
นิ่งไว้จะยากลำบากนานกุมารซ่อนตนจะดลใจ
จึงบันดาลให้เป็นไก่ป่ากินมารดาหาช้าไม่
ขันก้องร้องตีกันมี่ไปคุ้ยเขี่ยข้าวให้กระจายดิน
ฯ ๑๐ คำ ฯ คุกพาทย์
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ซ่อนอยู่ก็รู้สิ้น
พระแม่ไปป่าเป็นอาจิณในจิตคิดถวิลทุกเวลา
จะใคร่ออกช่วยพระแม่เจ้าสงสารผ่านเกล้าเป้นหนักหนา
เหนื่อยยากลำบากกายากลับมาจนค่ำแล้วร่ำไร
ไม่ว่าลูกน้อยเป็นหอยปูอุ้มชูชมชิดพิสมัย
พระคุณล้ำลบภพไตรจะออกให้เห็นตัวก็กลัวการ
ไก่ป่าพาฝูงมากินข้าวของพระแม่เข้าอยู่ฉาวฉาน
คุ้ยเขี่ยเรี่ยรายทั้นดินดานพระมารดามาเห็นจะร่ำไร
เยี่ยมลอดสอดดูทั้งซ้ายขวาจะเห็นใครไปมาก็หาไม่
ออกจากสังข์พลันทันใดฉวยจับไม้ได้ไล่ตี
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ กอบเก็บข้าวหกที่ตกดินผันผินลอยลับขยับหนี
เหลืยวดูผู้คนชนนีจะหนีเข้าสังข์กำบังตน
หุงข้าวหาปลาไว้ท่าแม่ดูแลจัดแจงทุกแห่งหน
ช่วยขับไก่ป่าประสาจนสาละวนเล่นพลางไม่ห่างดู
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระมารดานึกในพระทัยอยู่
คิดถึงลูกน้อยหอยปูเดินไปสักครู่แล้วจู่มา
เก็บได้ฟืนผักเผือกมันสารพันกินได้ที่ในป่า
ใส่หาบหาบเดินดำเนินมาไม่ช้าครู่หนึ่งก็ถึงเรือน
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ จึงเห็นลูกแก้วแววไวลูกใครคนนี้ไม่มีเหมือน
มานั่งเล่นอยู่ประตูเรือนพักตร์ดังดวงเดือนเลื่อนลอย
พระสังข์แลเห็นชนนีแล่นหนีตกใจเข้าในหอย
ประหวั่นพรั่นใจมิใช่น้อยเศร้าสร้อยคอยฟังพระมารดา
มารดรวางหาบตามติดเห็นผิดเปิดห้องมองหา
รีบร้นค้นดูกุมารากัลยาไม่เห็นประหลาดใจ
หรือว่าผีเรือนเป็นเพื่อนร้อนแกล้งหลอกหลอนเล่นเป็นไฉน
จึงสาบสูญกายหายไปคิดวนเวียนในพระทัยนาง
ข้าวปลาสุกสรรพเก็บปิดเห็นผิดเร่งคิดอางขนาง
โฉมตรูมาดูข้าวพลางแล้วนางมาถามตายาย
ไม่กินข้าวปลาอาหารเยาวมาลย์รำพึงคะนึงหมาย
คอยดูให้รู้แยบคายอุ้มเอาลูกชายไม่สงกา
พินิจพิศดูแล้วทูนเกศน้ำเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา
จวนรุ่งพุ่งแสงพระสุรียาทำเป็นไปหาสาแหรกคาน
ลงจากกระท่อมแล้วด้อมมองค่อยย่องแอบไม้ไม่ไกลบ้าน
แอบซ่อนมองดูอยู่ช้านานนงคราญกลั้นไว้ไม่พูดจา
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระกุมารเยี่ยมหอยแลหา
ไม่แจ้งว่าองค์พระมารดาแฝงฝาคอยอยู่ไม่รู้กาย
สงัดเงียบผู้คนไม่พูดจาเล็ดลอดออกมาแล้วผันผาย
นั่งที่นอกชานสำราญกายเก็บกรวดทรายเล่นไม่รู้ตัว
มารดาซ่อนเร้นเห็นพร้อมมูลอุแม่เอ๋ยพ่อคุณทูนหัว
ซ่อนอยู่ในสังข์กำบังตัวพ่อทูนหัวของแม่ประหลาดคน
ย่างเข้าในห้องทับจับได้ไม้ก็ต่อยสังข์ให้แหลกแตกป่น
พระสังข์ตกใจดังไฟลนจะหนีเข้าหอยตนก็จนใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอ้
๏ สวมสอดกอดบาทพระมารดาซบเกศาพลางทางร้องไห้
แม่ต่อยสังข์แตกแหลกไปร่ำไรเสียดายไม่วายคิด
เหมือนแม่ฆ่าลูกให้ม้วยมรณ์มารดรไม่รักแต่สักนิด
พระแม่ต่อยสังข์ดังชีวิตจะชมชิดลูกนี้สักกี่วัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังลูกว่าพระมารดาเสียวใจไหวหวั่น
กอดจูบลูบเนตรเกศกรรณร่วมวันขวัญตาพ่อว่าไย
สิ้นเคราะห์สิ้นกรรมทำมาลูกยาอย่าว่าแม่เสียวไส้
ตกทุกข์ได้ยากลำบากใจเพราะอ้ายหอยสังข์มันจังฑาล
มันมาหุ้มห่อเอาพ่อไว้ทำไมให้โหรามันว่าขาน
บิตุรงค์หลงกลอีคนพาลไม่ช้าไม่นานจะคืนวัง
ยากเย็นเห็นหน้ากันแม่ลูกอย่าพันผูกโศกสร้อยถึงหอยสังข์
รักใคร่มันไยไม่จีรังหอยสังข์เช่นนี้มีถมไป
ว่าพลางนางเรียกยายตาเล่ากิจจาแจ้งแถลงไข
ตั้งแต่เบื้องต้นจนปลายไปทั้งสองสงสัยไม่เชื่อนาง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตายายให้คิดอางขนาง
พากันเข้าไปในทับนางแลเห็นรูปร่างกุมารา
ตะลึงขึงแข็งไปทั้งตัวทูนหัวน่ารักเป็นหนักหนา
พ่อคุณเป็นบุญของยายตาเกิดมายังไม่ได้ยินเลย
พึ่งพบพึ่งเห็นเป็นเที่ยงแท้ลูกของเจ้าแน่หรือแม่เอ๋ย
บุญหนักศักดิ์ใหญ่กระไรเลยพ่อเอ๋ยรูปร่างช่างสร้างมา
ชั่วปู่ชั่วย่าชั่วตายายล้มตายไม่เห็นเป็นหนักหนา
กอดจูบลูบไล้ทั้งยายตาสองราเกษมเปรมปรีดิ์
ฯ ๘ คำ ฯ
             

ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์

พญาโศก
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลหมองศรี
ไสยาสน์เหนืออาสน์รูจีคิดถึงมเหสีที่จากไป
ยกหัตถ์พาดพักตร์พูนเทวษน้ำเนตรอาบหมอนถอนใจใหญ่
โอ้เจ้างามทรามกอดยอดจิตใจเจ้าจะเป็นฉันใดไม่รู้เลย
จะตกระกำลำบากยากเย็นหรือวอดวายตายเป็นนะน้องเอ๋ย
หลายปีมิได้ข่าวเจ้าเลยน้องเอ๋ยจะด้นไปหนใด
ลูกเสียเมียช้ำไปจากร่างโอ้กรรมตามล้างแต่ปางไหน
ครวญคร่ำกำสรดสลดใจมิได้สระสรงคงคา
โอ้จันท์เทวีเจ้าพี่เอ๋ยทรามเชยเคยเคียงเรียงหน้า
เช้าเย็นเคยเห็นนกันมาเคยร่วมนิทราทุกราตรี
เห็นแต่ที่นอนหมอนเปล่าขวัญข้าวของผัวเอาตัวหนี
เคยล้อมพร้อมหน้าทุกนารีแก้วพี่หนีกายไปหายองค์
กอดเอาหมอนนางพลางพิลาปชลนัยน์ไหลอาบดังโสรจสรง
เจ้าจะเป็นฉันใดที่ในดงกอดหมอนแนบองค์เข้าร่ำไร
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นจันทาตัวเข็ญจะเป็นใหญ่
ยังไม่เหมือนจิตที่คิดไว้มุ่งมาดหมายใจอยู่ไปมา
จึงเรียกสาวใช้เข้าในห้องปรองดองตรองตรึกปรึกษา
จะคิดฉันใดไฉนนาให้ข้าสมจิตที่คิดปอง
ลอยเมฆเป็นเอกมเหสีอย่าให้ใครมีเสมอสอง
พระฤาสายไม่วายตรึกตรองเศร้าหมองคะนึงคิดถึงเมีย
นางจันท์เทวียังมิตายดีร้ายเสนาไม่ฆ่าเสีย
แม้นว่าพระจะกลับไปรับเมียจะเสียการเราเจ้าคิดดู
หรือว่าหอยกลายไปเป็นคนเหตุผลอย่างนี้ก็มีอยู่
อย่าได้ไว้ใจแก้ไขดูให้สิ้นรู้เราอย่าเบาความ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ใจเพชรไม่เข็ดขาม
จึงทูลแถลงให้แจ้งความจะครั่นคร้ามขามใจไปไยมี
แม่เรียกธิดามาสอนสั่งความหลังทั้งมวลให้ถ้วนถี่
เฝ้าองค์ทรงศักดิ์พระจักรีทูลพ่อขอที่มารดร
ด้วยพระสัญญาว่าไว้แก้ไขโดยดีกระนี้ก่อน
ซึ่งพระโศกาอาวรณ์แม่ผันผ่อนแนมเหน็บให้เจ็บใจ
แม้นมิสมคะเนเล่ห์กลเอาด้วยเวทมนตร์ให้หลงใหล
คนดีมีถมอย่าตรมใจข้าได้ข่าวอยู่สุเมธา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ได้เอยได้ฟังสมดังใจจิตอิจฉา
ร้องเรียกบุตรีจันทีมาเสี้ยมสอนให้ว่าสารพัน
แล้วให้สระสรงทรงเครื่องรุ่งเรืองเพราเพริศเฉิดฉัน
พี่เลี้ยงนางนมระดมกันผัดพักตร์ดังจันทร์เมื่อวันเพ็ญ
แต่งลูกแล้วแต่งตัวนางชำระสระสางให้ปลั่นเปล่ง
แสนสาวชาวแม่แช่แข็งรีบเร่งอุ้มพาธิดาตาม
มาถึงซึ่งที่พระบรรทมชื่นชมในจิตไม่คิดขาม
แหวกม่านเห็นองค์พระทรงนามก้มเกล้ากราบงามสามลา
ทั้งพระบุตรีพี่เลี้ยงนบนอบหมอบเคียงเรียงหน้า
แล้วจึงสะกิดพระธิดาพยักหน้าเข้าไปให้ใกล้องค์
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงธรรม์รัญจวนครวญหลง
เห็นลูกโฉมฉายก็อายองค์ผันพักตร์สบตรงนางจันทา
ขวยเขินเมินเช็ดชลนัยน์เคืองใจมิใคร่จะดูหน้า
บ่ายเบือนเยื้อนทักพระธิดารับมาวางตักพระพักตร์เชย
จูบพลางทางคิดถึงหอยสังข์กรรมตามแต่หลังนะลูกเอ๋ย
เป็นคนจะได้ไว้ชมเชยลูกเอ๋ยพี่น้องจะครองกัน
มิให้พ่อแม่ได้ลำบากพลัดพรากวิโยคโศกศัลย์
จึงถามธิดาวิลาวัณย์แม่ขวัญเมืองมาจะว่าไร
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทีศรีใส
จำคำมารดาที่สอนไว้ถือใจไม่รู้ว่าขุ่นเคือง
ทูลว่าประสาทารกหยิบยกข้อความตามเรื่อง
บิดาว่าไว้จะให้เมืองราวเรื่องระบือลือชา
ลูกเกิดเพริดพลัดเป็นสตรีไม่ควรที่สมบัติวัตถา
จะขอที่ประทานให้มารดาให้เลื่องชื่อลือชาสถาวร
แทนที่แม่หนีไปจากวังแต่งตั้งแทนตนแม่คนก่อน
ยกหน้าข้าบาทประสาทพรแม่ก่อนบิดาอย่าอาลัย
เมื่อโหรเขาว่าเป็นกาลีชั่วดีอื่นพอจะเลี้ยงได้
เลือดก้อนออกแล้วก็แล้วไปร้องไห้ใครรู้จะดูแคลน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฟังลูกเจ็บปวดดังถูกหลาวแหลน
ใครสอนให้ว่าเจรจาแทนมั่นแม่นตัวกูพอรู้ทัน
ยิ่งกว่าลูกเล็กเด็กน้อยตะบอยสาระวอนทุกสิ่งสรรพ์
เหน็บแนมแกมกลปนกันเด็กนั้นว่าได้เมื่อไรมี
ความหลังแต่ยังไม่เกิดมามันว่าทั้งมวลเป็นถ้วนถี่
สอนบ้างหรือไม่เล่าอีเหล่านี้กาลีกาลำมารำพัน
หรือหนึ่งแม่แสนงอนเจ้าสอนลูกเรียนผูกเรียนแก้ช่างแปรผัน
เป็นกรรมจึงจำจากกันทุกวันเหมือนเงาอยู่วาวแวว
เว้นแต่จะจับไม่ถูกต้องคนมันคอยปองพระน้องแก้ว
ได้ทีที่ทางว่างอยู่แล้วสอนลูกแก้วมาให้พาที
น้อยหรือน้ำใจใหญ่หลวงโจมจ้วงเอาดวงพระสุริย์ศรี
กูไม่ให้ปันอีจันทีเจ้าของเขามียังมิตาย
สิ้นเคราะห์จะรับเจ้ากลับมาแม่นางจันทาเจ้าอย่าหมาย
จงพากันไปให้สบายลูกเต้าบ่าวนายบรรดามา
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาเสียวไส้อยู่ในหน้า
เสียใจทูลไปด้วยปัญญาอนิจจาเคราะห์ร้ายให้อายคน
นั่งอยู่ดีดีก็มีโทษได้โปรดซักไซ้ให้เห็นหน
วอนมาเฝ้าองค์ทรงสกลให้คนพลอยผิดนางคิดดี
ลูกเต้าน่าแค้นมันแสนงอนใครสอนอย่าบอกออกมานี่
บนบานเจ้าไว้เมื่อไรมีหยิกตีเท่าไรก็ไม่จำ
เก็บเอาเขาพูดที่ไหนไหนทูลให้ติดต่อเป้นข้อขำ
นี่ใครสั่งสอนฉะอ้อนคำเที่ยวจำเค้ามูลมาทูลเอง
ไม่จ้วงไม่เจิ้นให้เกินหน้ามันว่าออเซาะไม่เหมาะเหม็ง
เมื่อพระสัญญาว่าไว้เองจึงครื้นเครงไปเขาได้ยิน
ใครมองปองล้างมเหสีเฆี่ยนตีซักไซ้เอาให้สิ้น
แล่เนื้อเกลือทาให้กากินมันเป็นเสี้ยนแผ่นดินจะไว้ไย
ใครได้ชิงชังนางยอดสร้อยเมื่อไปก็พลอยน้ำตาไหล
อาภัพกลับกลายหายไปจัดแจงแต่งให้ทุกสิ่งอัน
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ ฟังคำซอกซ้ำหมกมุ่นหุนหัน
เห็นจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแดกดันเล่นได้เป็นไรมี
กระนั้นนานไปจะใช้ทุนเจ้าทำบุญคุณมเหสี
รักใคร่ตกใจไปไยมีตัวดีอยู่แล้วก็แล้วไป
อีจันท่ไม่มีใครสอนสั่งมันชั่งต่อติดประดิษฐ์ได้
จริงอยู่สัญญาว่าไว้ลูกใครเป็นชายจะให้วัง
นางแม่จะแร่เอายศถาใครได้สัญญามาแต่หลัง
ไม่รับกลับเถียงเสียงดังแฝงหลังบังเงากูเข้าใจ
ยังไม่ทันได้ยศศักดิ์ฮึกฮักลิ้นลมคารมใหญ่
ดูเหมือนเพื่อนกันหรือฉันใดไสหัวลงไปอีใจพาล
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฟังตรัสสะบัดพักตร์ควักค้อนแล้วตอบสาร
ผิดแผกเปล่าเปล่าไม่เข้าการแกล้งพาลพาโลโกรธา
เพราะคิดถึงเมียจึงเสียใจมิรับมาไยใครเขาว่า
แม้นเกิดกลีมีมายากเย็นเป็นข้าคนอื่นไป
ต้องขับต้องไล่ไสหัวไม่รู้ตัวว่าโกรธาข้าโทษใหญ่
ยั่งยืนว่ากลืนแก้วไว้ขับไล่ยิ่งกว่าเป็นกาลี
แค้นด้วยลูกเต้ามาเข้าท้องจองหองแอบพักตร์ศักดิ์ศรี
ต่อเป็นผู้ชายจะได้ดีเสียทีเลี้ยงเปล่าไม่เข้ายา
จะใคร่หักคอใส่หม้อฝังแต่ยังแดงแดงไม่แข็งกล้า
ยังชั่วตัวตีนมันมีมาคิดว่าหอยสังข์สิจังไร
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ได้ฟังมืดกลุ้มคลุ้มคลั่งดังเพลิงไหม้
เหม่อีจันทาชะล่าใจจะเกรงกลัวใครก็ไม่มี
จองหองพองขนเป็นพ้นนักเยื้องยักแยบคายใส่สี
เพราะเกิดลูกเต้าด้วยเท่านี้พาทีเกินตัวไม่กลัวตาย
เหมือนหนึ่งกิ่งก่าได้ทาทองยกย่องหัวหูดูเฉิดฉาย
มึงประจานใครให้ได้อายแยบคายทบเทียบเปรียบมา
หัวจะปลิวไปไม่ทันรู้มึงดูถูกเล่นเป็นหนักหนา
ฉวยพระแสงพลันมิทันช้าจันทาลุกวิ่งเป็นสิงคลี
พระฟาดฟันผิดติดทวารบ้างล้มลุกคลุกคลานทะยานหนี
มึงอย่าเข้ามาพันอีจันทีพระบุตรีฉวยฉุดยุดกร
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นจันทาหนีองค์พระทรงศร
เข้าห้องโศกาอาวรณ์ทุกข์ร้อนอดสูแก่หมู่นาง
จึงเรียกสาวศรีที่สนิทเจ้าคิดไว้เหมาะช่วยเสาะสาง
คนดีที่เจ้าว่าอย่าพรางสู้เสียสินจ้างให้ล้างอาย
ไปหาพามาเวลาเย็นอย่าให้ใครเห็นเงื่อนสาย
หยูกยาเสร็จสรรพสำหรับกายเบี่ยงบ่ายเล็ดลอดดอดมา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ว่องไวใจกล้า
กำชับรับคำแล้วอำลาเที่ยวเสาะสืบมาก็พบพาน
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ถึงเรือนยายเฒ่าก็เข้าไปพูดจาปราศรัยด้วยอ่อนหวาน
เที่ยวเสาะสืบมาช้านานบุญหลานจึงพบประสบยาย
เอาลาภมาให้ใหญ่หลวงจะล่อลวงว่านั้นอย่าหมาย
แล้วค่อยงุบงิบกระซิบยายแต่ต้นจนปลายทุกสิ่งอัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ฝ่ายว่ายายเฒ่าสุเมธาฟังสาวศรีว่าเกษมสันต์
เต็มใจเห็นจะได้รางวัลจึงว่าไปพลันทันใด
เจ้าหวังตั้งใจออกมาหาจะหาญหักผลักหน้ากระไรได้
ตามรู้ตามเห็นจะเป็นไรพอแก้ไขได้อย่าปรารมภ์
ว่าพลางทางผลัดผ้านุ่งหยิบถุงย่ามยากับผ้าห่ม
ออกจากประตูแล้วดูลมเห็นสมดังใจแล้วไคลคลา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งราชวังในสาวใช้พายายเข้ามาหา
โปร่งปลอดกำนัลกัลยาก้มเกล้าวันทาเทวี
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทามเหสี
ปราศรัยด้วยยายยินดีมานั่งถึงนี่อย่าก้มคลาน
ข้าเห็นหน้ายายค่อยหายไข้ยินดีมีใจเกษมศานต์
จงช่วยให้เสร็จสำเร็จการยายเมตตาหลานจะแทนคุณ
เงินทองจะกองให้ยายเฒ่าขวัญข้าวค่ายามิให้สูญ
หยูกยาหามาพร้อมมูลจะพูนราคาค่ายายาย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสุเมธาแย้มยิ้มกระหยิ่มหมาย
เรียนตอบนอบนบอภิปรายตกพนักงานยายอย่าปรารมภ์
จะให้สมดั่งจิตคิดปองให้พระทองมาอยู่สู่สม
ด้วยฤทธิ์วิทยาอาคมเอาให้หลงงมซมไป
เห็นชั่วดีกันในวันนี้แม้นมิลงมาสัญญาได้
ขวัญข้าวค่ายาจะว่าไปทิ้งลูกเสียได้เมื่อไรมี
เวลาก็ควรจวนเย็นจะทำให้แม่เห็นเป็นถ้วนถี่
แก้ย่ามยาพลันทันทีหัวผีโหงพรายที่เอามา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
เชิญ
๏ ว่าแล้วจุดเทียนเข้าติดพานโหงพรายลนลานหาญกล้า
ปลุกเสกด้วยฤทธิ์วิทยามิช้าลุกขึ้นทั้งโหงพราย
ยายเฒ่าจึงลนเอาน้ำมันต่อหน้านางจันท์น่าขวัญหาย
ขี้ผึ้งปิดปากผีพรายปั้นเป็นรูปกายพระภูมี
กับนางจันทาให้กอดกันแล้วผูกพันไปด้วยด้ายผี
เอาใส่ใต้ที่นอนนางเทวีน้ำมันผีเสกใส่ในเครื่องทา
ลงชื่อใส่ไส้เทียนตามสองยามให้หลงลงมาหา
เสกหมากพลูไว้ให้มิได้ช้ามิมาอย่านับข้าสืบไป
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วบอกมนตรามหาละลวยเป่าให้งวยงงหลงใหล
เพ็ดทูลเชื่อฟังดังใจว่าไรเห็นจริงทุกสิ่งอัน
เชิญแม่สระสรงทรงทาตัวข้าจะลาผายผัน
เก็บหัวโหงพรายใส่ย่ามพลันลานางจอมขวัญไปทันที
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทามารศรี
สุริยนสนธยาราตรีเข้าที่สระสางสำอางองค์
ตกแต่งทาแป้งน้ำมันยายเฉิดฉายผิวผ่องละอองผง
หอมฟุ้งรุ่งเรืองด้วยเครื่องทรงผุดผาดประหลาดองค์แต่ก่อนมา
แล้วจุดเทียนชัยเข้าในที่ชุลีกรวอนไหว้ทั้งซ้ายขวา
ทรามวัยมิได้นิทราวิญญาณ์ผูกพันมั่นใจ
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นภูวดลหม่นหมองไม่ผ่องใส
คุณยาอาคมระดมใจร้อนรนพระทัยดังไฟลาม
อยู่ในไสยาสน์อาสน์อ่อนดังนอนที่ฟากขวากหนาม
ลุกขึ้นนั่งฟังฆ้องได้สองยามลมชวยรวยตามพระบัญชร
หอมแป้งน้ำมันของจันทายิ่งกว่ากลิ่นทิพเกสร
อบอาบซาบใจขจายจรอาวรณ์ใฝ่ฝันถึงจันทา
ขับไล่ด่าทอไม่พอที่กูนี้ได้คิดผิดหนักหนา
เสงี่ยมหงิมจิ้มลิ้มทั้งกายาจะหาเปรียบแก้วตาไม่มีเลย
อีจันท์เทวีนี้ชั่วชาติหลงคิดพิศวาสนะอกเอ๋ย
จันทาหน้านวลเจ้าควรเชยควรร่วมเขนยเสวยวัง
ทั้งจริตกิริยามารยาทสมชาตินางในข้างฝ่ายหลัง
งามปลอดยอดฟ้าสง่าวังควรกูจะตั้งแต่งนาง
พุ่มพวงดวงเนตรจะน้อยใจมิไปง้อน้องจะหมองหมาง
เสน่หาประหวัดกำหนัดนางเงียบปรางค์ย่างย่องมองมา
ฯ ๑๔ คำ ฯ เพลง
             

๏ ครั้นถึงแลเห็นแสงไฟแอบแฝงองค์ไว้ไม่กังขา
เกาะเกาะค่อยเคาะทวาราแก้วตาเปิดรับพี่ฉับไว
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทาอัชฌาสัย
ฟังดูรู้แจ้งไม่แคลงใจเชื่อในคุณฤทธิ์วิทยา
ดับเทียนเสียพลันมิทันนานชื่นบานสมมาดปรารถนา
ทำแกล้งแต่งกลมารยาย่อมมาค่อยชักสลักกลอน
แล้วกลับเข้าไปในแท่นที่ข้างพระบุตรีศรีสมร
ค่อยค่อยวางองค์ลงนอนนิ่งซ่อนกายอยู่จะดูที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น้องเอยน้องแก้วหลับแล้วหรือโกรธโทษพี่
งามพริ้งนิ่งได้ไม่พาทีเมื่อกี้แจ่มแจ้งเห็นแสงไฟ
ว่าพลางทางผลักทวาราเปิดเปล่าเข้ามาหาช้าไม่
เยื้องย่องจรลีด้วยดีใจห้องในมืดล้นพ้นประมาณ
ถึงเตียงค่อยนั่งลงข้างองค์พบลูกโฉมยงยอดสงสาร
แล้วคว้าคลำซ้ำปะเยาวมาลย์สั่นองค์นงคราญไม่ฟื้นกาย
ค่อยค่อยกระซิบเจรจาลุกขึ้นเถิดพี่มาหาโฉมฉาย
จงดับความโศกสร้อยค่อยคลายนางแกล้งแฝงกายไม่ฟื้นองค์
ค่อยยกลูกแยกเข้าแทรกกลางพระพลางป่วนจิตพิศวง
ไล้ลูบจูบน้องประคององค์โฉมยงของพี่อย่าขี้เซา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระบุตรีภูมีโฉมเฉลา
ผวาตื่นฟื้นองค์นงเยาว์คว้าเอาบิดาว่ามารดร
คลำหาพระเต้าเจ้าจะกินผิดกลิ่นตกใจร้องไห้อ้อน
ใครนี่แม่ขาเข้ามานอนแทรกซ้อนซ่อนแม่ข้าไว้ใย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายนางจันทาอายจิตเปลื้องปลิดกรทิ้งไม่นิ่งได้
ค่อยลัดหลีกองค์พระทรงชัยกอดลูกปลอยให้เสวยนม
อดสูสาวสรรค์กัลยากล่าวแกล้งแสร้งว่าไม่เห็นสม
ขวัญอ่อนนอนเถิดอย่าเตรียมตรมเจ้าปรารมภ์ด้วยแม่เมื่อกลางวัน
ท่านจะสังหารผลาญชีวิตหวาดจิตละเมอเพ้อฝัน
แมวคราวไต่ราวมาเป็นพันกลัวมันกินตับจงหลับไป
หลอนพลางทางยกเอาลูกน้อยถดถอยออกมาหาช้าไม่
เรียกสั่งสาวศรีที่ร่วมใจเอาไปแกว่งไกวให้หลับนอน
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นภูวไนยมีใจสโมสร
ด้วยคุณฤทธิ์วิทยาให้อาวรณ์ง้องอนเดินตามนางงามมา
คว้าไปไม่พบประสบน้องร่วมห้องเจ้าแกล้งแฝงฝา
โลมลูบรับขวัญกัลยาแก้วตาอย่าละห้อยน้อยใจ
ผัวผิดจึงตามมาง้องอนจะตัดรอนโกรธขึ้นไปถึงไหน
รู้ตัวชั่วแล้วแก้วกลอยใจโมโหมืดไปไม่ทันคิด
จึงบุกลงมาสารภาพให้หายบาปหายกรรมที่ทำผิด
มาไปบรรทมชมชิดจะม้วนมิดซ่อนพี่อยู่นี่ไย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ผ่านเอยผ่านเกล้าจะมาเฝ้าเย้ายวนหาควรไม่
ทรพลคนชั่วกลัวภัยจึงไม่อาจใจอยู่ใกล้องค์
ศักดิ์ต่ำแล้วซ้ำเป็นคนโทษมีโปรดโกรธกริ้วจะผุยผง
หนีทันชีวันจึงคืนคงหาไม่กลิ้งลงกับกลางดิน
ลูกน้อยจะพลอยเป็นกำพร้าน้ำตาก็จะไหลเป็นสายสินธุ์
หากปลอดทอดอยู่จึงภูมินทร์ดัดแปลงแต่งลิ้นมาเจรจา
ถึงว่าจะตายก็ไม่คิดเจ็บช้ำน้ำจิตที่ร่ำด่า
อายคนเป็นพ้นคณนาเสด็จมาพระเดชพระคุณนัก
จนใจจะให้ไปร่วมเรียงนั่งเตียงเคียงชมไม่สมศักดิ์
จะอยู่ตามอำเภอเสมอพักตร์พระองค์ทรงศักดิ์จงโปรดปราน
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอ้โลม
๏ ดวงเอยดวงสมรสมนามงามงอนอ่อนหวาน
ตัดพ้อล้อเล่นเป็นประมาณเผ็ดร้อนอ่อนหวานระคนกัน
จนจิตด้วยผิดเป็นล้นเหลือจะนอนให้เจ้าเถือจนเนื้อสั่น
งามชื่นจะขืนมารำพันคุ้มโทษทัณฑ์อยู่ไม่รู้แล้ว
ว่าพลางตะโบมโลมลูบจับจูบพุ่มพวงดวงแก้ว
พี่จะให้ประเสริฐเพริศแพร้วน้องแก้วแววตาอย่าเกียจกล
กรกอดสอดอุ้มขึ้นแท่นที่ฤดีเตือนเต้นไม่เห็นหน
สมสนิทจิตปองทั้งสองคนที่ทุกข์ทนโพยภัยก็หายกัน
ฯ ๘ คำ ฯ โลม
๏ เมื่อนั้นจันทาดังได้ไอศวรรย์
คุณยาอาคมระดมกันรุ่งแจ้งแสงฉันทันใด
สระสรงสำเร็จเสร็จแล้วนางแก้วหยิบหมากที่ยายให้
ถวายแก่พระองค์ทรงชัยภูวไนยเสวยชมเชยนาง
พระองค์งงงวยด้วยมารยาจันทาแนบชิดสนิทข้าง
ร่ายมนต์ยายเฒ่าเป่าพลางได้ทางทูลแอบด้วยแยบคาย
ทุกวันนางจันท์เทวีบัดนี้ลือหลากมามากหลาย
อยู่ป่าผาสุกสนุกสบายฉวยได้ลูกชายที่ไหนมา
พันผูกว่าลูกของภูธรราษฎรนับถือระบือว่า
ให้อับอายขายบาทบาทาหอยที่ชั่วช้าว่าเป็นคน
แม้นมิสังหารผลาญเสียนานไปเมียเห็นไม่เป็นผล
มันเสี้ยนพาราจลาจลนานไปใหญ่ตนจะปล้นเมือง
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ฟังสารภูบาลผ่านกรุงฟุ้งเฟื่อง
เศร้าหมองต้องคุณจึงขุ่นเคืองฟังเรื่องเห็นจริงทุกสิ่งไป
หอยหรือจะรื้อมาเป็นคนเล่ห์กลมันแกล้งแต่งใส่
พี่รู้เพราะเจ้าจึงเข้าใจเสียแรงรักใคร่อาลัยมัน
ชะรอยได้ลูกชู้สู่หาไม่กลัวชีวาจะอาสัญ
เอาแต่ลูกยามาฆ่าฟันแต่แม่มันงดไว้ให้ได้ความ
เจ้าจงเป็นเอกมเหสีแต่นี้สืบไปพี่ไม่ห้าม
ให้แก่โฉมยงนงรามว่ากล่าวเอาตามอำเภอใจ
จูบพลางทงลุกไคลคลาพักตรามัวคล้ำดำไหม้
ออกนั่งยังท้องพระโรงชัยพรั่งพร้อมล้อมไปด้วยเสนี
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงมีโอกาสประภาษสั่งแก่ตำรวจวังทั้งสี่
จงเร่งไปป่าพนาลีที่จันท์เทวีมันอยู่กิน
จับเอาลูกยาไปฆ่าฟันใครอย่าเกียดกันผันผิน
ว่าเป็นลูกกูดูหมิ่นผิดเภทแผ่นดินแต่ก่อนมา
หอยกลายเป็นคนฉงนใจที่ไหนมีบ้างมันช่างว่า
แม้นมิย่อยยับอย่ากลับมาตามแต่จะฆ่าให้วายปราณ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนาได้ฟังรับสั่งสาร
ลูบอกตกใจลนลานบังคมก้มกรานคลานออกมา
ไม่เห็นว่าจะเป็นประการใดตกใจชวนชักพยักหน้า
พาบ่าวเข้าในพนาวาเสาะหามาบ้านนางเทวี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงซึ่งบ้านตายายวางรายคนไว้มิให้หนี
ซ่อนเร้นแลเห็นนางเทวีเสนีรู้จักไม่ทักทาย
ซูบผอมผ้าผ่อนก็ปะปุขาดทะลุปรุโปร่งน่าใจหาย
ชะแง้แลเห็นพระลูกชายก็มาดหมายสำคัญสัญญา
เพ่งพิศพินิจดูรูปทรงเหมือนองค์ทรงศักดิ์หนักหนา
ลูกท่านมั่นคงไม่สงกาเราจะออกปากว่าก็จนใจ
หยอกเย้าเคล้าอยู่กับมารดาวิงวอนเจรจาปราศัย
น่ารักปากคอเป็นพ้นไปจะคิดอย่างไรไฉนดี
สงสารมารดาจะเกลือกกลิ้งเรานิ่งให้ไปเสียไพรศรี
คิดพร้อมยอมกันทันทีเสนีลัดแลงแผงกาย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นมเหสีมีกรรมระส่ำระสาย
หาสู่ลูกเต้าทุกเพรางายเมื่อวันอันตรายมาถึงตัว
จูบสั่งลูกแก้วแววไวอยู่ดูกาไก่พ่อทูนหัว
เสือแผ้วแมวคราวจะเอาตัวนอกรั้วกลัวมันอย่าออกไป
ปั้นวัวควายเล่นแต่ในร่มถูกต้องแดดลมจะล้มไข้
ลูกเอ๋ยมีกรรมก็จำไปเงินเฟื้องเบี้ยไพก็ไม่มี
ว่าพลางทางจับสาแหรกคานจากบ้านเข้าสู่ไพรศรี
พุพองสองเท้าไม่มีดีมเหสีเกียกกายชังตายไป
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้นเสนีผู้มีอัชฌาสัย
เห็นนางกัลยาเจ้าคลาไคลทำเดินเข้าไปแต่ผู้เดียว
ยืนมองร้องเรียกกุมาราออกมาหาน้าสักประเดี๋ยว
เจ้านั่งเล่นอยู่แต่ผู้เดียวปั้นวัวควายเปลี่ยวไม่แงะงาม
น้าเอามาฝากเป็นหนักหนาตุ๊กตาม้าไก่อยู่ในย่าม
แต่ล้วนดีดีงามงามในย่ามดีกว่าของเจ้าทำ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ได้ฟังพระสังข์หลงกลคนขำ
ดีใจไว้เนื้อเชื่อคำผลกรรมจะจากพระมารดา
สำคัญว่าจริงไม่กริ่งใจหน่อไทไม่รู้ว่าหลอกหลอน
เสนีพยักหน้ากวักกรบังอรมิได้กลัวเกรง
จริงจริงหรือขาน้าจะให้รูปร่างอย่างไรว่าเหมาะเหม็ง
ลุกวิ่งทิ้งของของเอ็งเหมาะเหม็งอย่างไรจะใคร่แล
อยู่ไหนจะให้ก็ใส่มือน้ารู้จักหรือกับพระแม่
ต่อเย็นจึงมาหาแกนี่มาแต่ตำบลหนใด
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เสนาเห็นงงงวยก็ฉวยมือวิ่งฮิ่อกันมาหาช้าไป
พระสังข์ตระหนกตกใจร้องไห้เรียกหาตายาย
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ ตาร้องด่าพลันมิทันรู้ใครทำหลานกูไอ้ฉิบหาย
วิ่งพันกันมาทั้งตายายเห็นเขาวุ่นวายก็ตกใจ
ระรัวตัวสั่นดังตีปลากลับวิ่งหนีมาหาช้าไม่
ปากตัวกูชั่งเป็นพ้นไปด่าให้หากเขามิได้ยิน
เสนาท่านมาแต่ในเมืองราวเรื่องเขารู้อยู่สิ้น
เรามาเลี้ยงดูให้อยู่กินสืบสาวเอาสิ้นจะถึงใคร
เข้าในใต้ร้านฟักทองตาลอดลอดมองแล้วร้องไห้
สงสารหลานน้อยกลอยใจค่อยค่อยร่ำไรมิให้ดัง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์กุมารน้อยหอยสังข์
จะร้องไห้เท่าไรเขาไม่ฟังอีกทั้งตายายก็หายไป
แม่เจ้าประคุณของลูกยาเมื่อไรจะมาแต่ป่าใหญ่
พวกเผ่าเหล่าโลนโจรไพรจับลูกทำไมไม่รู้เลย
ข้ามีแต่ผักฟักแฟงเอาไปแกงกินบ้างเถิดน้าเอ๋ย
เงินทองของดีไม่มีเลยลุงตาน้าเอ๋ยได้เอ็นดู
แม่ข้ายากจนเป็นพ้นนักมีแต่ฟืนผักอักโขอยู่
พลัดบ้านเมืองมาน้าก็รู้เอ็นดูบาปกรรมอย่าทำเรา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เสนีเดินหน้าน้ำตาไหลสุดใจปากคอแล้วพ่อเจ้า
น้าใช่พวกไพรใจเบาข้าเฝ้าเจ้านายท่านใช้มา
ให้พาตัวเจ้าเข้าไปพ่ออย่าร้องไห้ฟังน้าว่า
ปลอบพลางทางอุ้มกุมาราขึ้นใส่บนบ่าแล้วพาไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงวัดท้ายเมืองลือเลื่องบกเรือเหนือใต้
หยุดพักสำนักที่ต้นไทรเอาใจปลอบโยนกุมารา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายฝูงหญิงชายประชาชนเกลื่อนกล่นพรั่งพรูมาดูหน้า
งุบงิบซุบซิบกันเจรจาว่าเหมือนผ่านฟ้าเป็นพ้นไป
กำเนิดเกิดเป็นเช่นี้มิควรที่พระองค์จะสงสัย
แต่เรารู้แจ้งไม่แคลงใจดูไหนไม่ผิดพระบิดา
สงสารเวทนาน่ารักยังเด็กเล็กนักหนักหนา
บ้างให้กล้วยอ้อยน้อยหน่าข้าวปลาขนมนมเนย
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ ฝ่ายพระกุมารชาญชัยรับของมาไว้ไม่เสวย
น้ำตาหลั่งไหลไม่เสบยน้าเอ๋ยข้าคิดถึงมารดร
ขนมท่านให้ยังไม่กินกลับบ้านถิ่นของข้าก่อน
จะได้แบ่งปันให้มารดรอ้อนวอนเสนาให้พาไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เสเอยเสนาฟังถ้อยคำว่าน้ำตาไหล
ปลอบว่าพ่ออย่าร่ำไรเย็นหน่อยค่อยไปพนาวา
หาองค์สมเด็จพระมารดรหลับนอนเสียงบ้างฟังข้าว่า
หาไม่ก็ไม่ไคลคลาถ้าแม้นนิทราจะพาไป
ว่าพลางทางปูผ้าผ่อนขับต้อนคนผู้ไม่อยู่ใกล้
ล่อลวงหลอกหลอนให้นอนไปหมายใจเสนาจะฆ่าตี
อาเพศด้วยเดชกุมาราเทวารักษาพระไทรศรี
ออกช่วยป้องกันทันทีเมื่อเสนีมันทุบด้วยท่อนจันทน์
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ พระสังข์ตกใจตื่นฟื้นผวากึกก้องร้องจ้าไม่อาสัญ
น้าทำไมนี่มาตีรันขึ้งโกรธโทษทัณฑ์ด้วยอันใด
แม่เจ้าประคุณของลูกยาจะติดตามลูกมาก็หาไม่
ลูกรักจักม้วยบรรลัยโจรไพรไปลวงมาฆ่าตี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาน้ำตาไหลรี่
เหตุไรไม่ม้วยชีวีเสนีกลัวราชอาชญา
บอกว่าตัวน้าไม่ชิงชังรับสั่งให้ลงโทษา
เป็นผลกรรมพ่อทำมาอย่าเป็นเวรากับข้าไป
ว่าพลางทางถอดหอกดาบเมียงเดินเคียงเข้ามาหาช้าไม่
พระสังข์ตระหนกตกใจร้องไห้เกลือกกลิ้งวิงวอน
เสนาขืนทำด้วยจำเป็นหอกหักกระเด็นเป็นสองท่อง
ดาบบิ่นสิ้นคมระทมบอนมิได้ม้วยมรณ์เร่งสงกา
เหตุไรมาเป็นเช่นนี้เสนีตริตรึกแล้วปรึกษา
ของดีจะมีในกายาฟันฆ่าอย่างไรจึงไม่ตาย
เห็นวิปริตผิดประหลาดรับสั่งให้พิฆาตมาดหมาย
ตามแต่จะฆ่าให้วอดวายมิตายไม่พ้นพระอาญา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เสนีคิดพร้อมยอมกันเบิกช้างน้ำมันตัวกล้า
แก้ปลอกกรอกเหล้าแล้วเอามามิช้าก็ไสให้ทิ่มแทง
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ช้างร้องระรัวตัวสั่นงาดันปักดินดิ้นแหยง
ควาญไสเท่าไรก็ไม่แทงยิ่งคิดยิ่งแหนงแคลงใจ
วิปริตผิดกาลกิณีของดีจะมีก็หาไม่
บุญญาธิการชาญชัยจึงทำอย่างไรไม่ม้วยมรณ์
จำเราจะเข้าไปทูลแถลงให้แจ้งแห่งน้ำพระทัยก่อน
เอาช้างส่งยังโรงกุญชรผันผ่อนเฝ้าองค์พระทรงชัย
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงจึงเห็นพระผ่านฟ้ากับนางจันทาพิสมัย
ออกนั่งยังหน้าบัญชรชัยเข้าไปบังคมคัลทันที
จึงทูลสมเด็จภูวนาถขอพระบาทจงโปรดเกศี
ซึ่งใช้ให้ไปป่าพนาลีบัดนี้ก็จับได้ตัวมา
ทำตามรับสั่งให้สังหารกุมารชาญชัยไม่สังขาร์
หลากจิตผิดคนทั้งโลกาสาตราอาวุธก็หักไป
จึงเอาช้างร้ายเข้าให้แทงงาปักดินแหยงไม่แทงได้
บัดนี้ชุมนุมคุมตัวไว้ภูวไนยจงทราบบาทบงสุ์
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังเอยฟังเหตุบิตุเรศรำพึงตะลึงหลง
หลากจิตผิดใจให้งวยงงเร่งคิดพิศวงสงกา
อัศจรรย์ต้องกันกับหอยปูลูกกูจริงจังกระมังหนา
วิปริตผิดคนในโลกาเป็นมาแต่ต้นจนปลาย
เสนาเอ็งว่าให้มั่นคงเราสงสัยอยู่ไม่รู้หาย
เมื่อพบประสบลูกชายมีใครใกล้กรายกุมารา
รินเรียงเคียงบ้านมารดรหลับนอนกินอยู่สู่หา
รูปทรงส่งศรีกิริยากุมาราประมาณสักปานใคร
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาทูลแจ้งแถลงไข
เมื่อพบโฉมงามทรามวัยที่ในบ้านไร่ไพรวัน
มีเรือนตาเฒ่ายายแก่แคร่ริมชายคาฝากั้น
กระท่อมของเจ้าสักเท่านั้นเห็นแต่จอมขวัญกับลูกยา
ไม่มีผู้ใดมาใกล้กรายอยู่จนโฉมฉายออกไปป่า
จึงเข้าจับกุมกุมาราร้องอ้อนวอนว่าน่าปรานี
เรียกหาตาเฒ่าเจ้าเรือนต่างคนต่างเชือนเอาตัวหนี
เด็กนักสักห้าหกปีเหมือนพระภูมีดังพิมพ์เดียว
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังทูลพระอาดูรในจิตคิดเฉลียว
แน่แล้วลูกแก้วพ่อคนเดียวจึงเหลียวถามพลันกับจันทา
น้องรักเจ้าจะเห็นเป็นไฉนพี่จะให้ไปรับโอรสา
กับนางนงเยาว์เจ้าเข้ามาสิ้นเคราะห์พาราที่กาลี
โหราดูว่าเป็นมนุษย์จะสูงสุดเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
ลูกข้าบุญญาบารมีล้างผลาญชีวีจึงไม่ตาย
แล้วตรัสสั่งเสนาพฤฒามาตย์เอ็งเร่งประกาศบาตรหมาย
รับนางกัลยาที่ตายายกับลูกชายของเราให้เข้ามา
ฯ ๘ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นจันทาทูลทัดขัดว่า
เป่ามนต์จนสิ้นตำราร้องห้ามเสนาอย่าเพ่อไป
พระองค์หลงรับมันมาเถิดจะก่อเกิดความเข็ญหาเห็นไม่
แต่เป็นหอยสังข์ยังจัญไรกลับเป็นคนไปอย่าชื่นชม
มิใช่มนุษย์แต่ผลุดมาว่ามีบุญญาไม่เห็นสม
มันจะให้บ้านเมืองเคืองระทมด้วยผิดบูรมบูราณไป
ฆ่าฟันมันจึงไม่ปลดปลงจะมาล้างพระองค์ให้จงได้
แม้นทอดทิ้งลงคงคาลัยมีบุญจริงไซร้คงไม่ตาย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังความครั่นคร้ามขามจิตคิดหมาย
จริงแล้วเมียแก้วเจ้าทักทายเสนาทั้งหลายอย่าไปเลย
มันคือตัวการมาผลาญกูจริงอยู่เขาว่าเสนาเอ๋ย
เราหลงไหลไปกระไรเลยหากนางทรามเชยเจ้าตักเตือน
เนื้อเย็นควรเป็นมเหสีปัญญาพาทีไม่มีเหมือน
เสนาดูแลอย่าแชเชือนตักเตือนจองจำให้มั่นคง
พรุ่งนี้แกกูจะดูไปบุญมันฉันใดไม่ผุยผง
ว่าพลางทางชวนนางโฉมยงสององค์คืนเข้าปราสาทชัย
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์มารดาอยู่ป่าใหญ่
เขม่นเนตรเหตุมีไม่แจ้งใจเก็บได้ผักฟืนก็คืนมา
หาบเดินดำเนินมาตามทางนกกาลางบินลัดสกัดหน้า
เศียรพองสยองโลมาตรึกตราหวาดหวั่นพรั่นใจ
หาวนอนอ่านเศียรให้เวียนวังยืนนิ่งพิงหลับกับไม้ใหญ่
ฝันว่าขุนมารชาญชัยตัดเอาเกล้าไปไม่ปรานี
หาบหกตกผลุกสะดุ้งตื่นนางฝืนองค์สั่นขวัญหนี
จิตผูกลูกแก้วแล้วโศกีจับหาบตะลีตะลานมา
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ ถึงเรือนเรียกลูกด้วยผูกพันยังมิทันปลงหาบลงจากบ่า
เจ้าไปไหนไม่ขานพระมารดาส้มสูกลูกหว้าพ่อมาเอา
ทิ้งหาบวาบใจเข้าในทับงามสรรพเปิดห้องมองเปล่า
ดังใครมาแขวะแคะเอาล้วงดวงใจเจ้าไปจากองค์
ทูนหัวของแม่หายไปไหนหลากใจให้คิดพิศวง
ปั้นวัวควายเล่นอยู่เป็นวงหรือพ่อลงเรือนไปแห่งไร่นา
ขวายขวนชลนัยน์เจ้าฟูมฟองแลเหลียวเที่ยวมองร้องหา
เต้เคร่งเต่งทรวงของมารดากินนมแม่ราพ่อยาใจ
ใต้ต้นสะดือลมอื้อเย็นลูกเอ๋ยเคยเล่นหาเห็นไม่
ผีเสื้อเสือสางที่กลางไพรเอาลูกข้าไปหรือไรนา
วู่วามมาถามตายายหลานชายไปไหนไม่เห็นหน้า
หาจบไม่พบพระลูกยาอยู่ที่ยายตาหรือว่าไร
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสองเฒ่าเล่าพลางร้องไห้
แม่อย่าค้นคว้าหาไปสุดใจยายตาจะป้องกัน
เสนาท่านมาแต่ในกรุงแย่งยุ่งอลหม่านพระหลานขวัญ
ใส่บ่าพาไปแต่กลางวันไม่รู้ว่าโทษทัณฑ์ประการใด
เห็นทีจะมีรับสั่งเมียผัวกลัวดังจะตักษัย
มุดนอนซ่อนดูอยู่แต่ไกลดังจะขาดใจม้วยด้วยหลานยา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ได้ยินล้มผางกลางดินไม่เงยหน้า
สองกรข้อนทรวงเข้าโศกากัลยากลิ้งเกลือกเสือกองค์
แน่ไปไม่ได้สมประดีเกศีติดต้องละอองผง
ตายายนวดฟื้นคืนคงโฉมยงจับมีดกรีดคอ
ตาฉวยยายชิงทิ้งขว้างนางง้างเถาวัลย์จะพันศอ
สองเฒ่าเข้าปล้ำน้ำตาคลอแก้จากคอนางพลางร่ำไร
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้
๏ นางทุ่มทอดกายสยายเกศชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล
พ่อคุณทูนหัวแม่หนักใจอัศจรรย์หวั่นไหวแต่ในดง
แม่รีบมาไม่เห็นหน้าเจ้าดังใครตัดเกล้าให้ผุยผง
ลูกแก้วไม่แคล้วจะปลดปลงมั่นคงทั้งนี้อีจันทา
แม่ไม่ขออยู่จะสู้ม้วยจะตายตามไปด้วยพระลูกข้า
ครวญคร๋ำทางร่ำพรรณนาโศกาแน่นิ่งไม่ติงกาย
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนางจันท์กัลยาโฉมฉาย
คิดพลางทางผลุนวุ่นวายตายายห้ามไว้ก็ไม่ฟัง
ค่ำมืดดึกดื่นก็ตามทีตายเป็นเห็นผีพ่อหอยสังข์
วิ่งหนีตายายเข้าในวังคลุ้มคลั่งพระทัยร้องไห้มา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ สิบห้าวันกันดารฝูงคนเทพย่นหนทางที่กลางป่า
คืนหนึ่งมาถึงพระพาราแฝงฟังกิจจาพระลูกชาย
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลฤาสาย
ไสยาสน์เหนืออาสน์พรรณรายไม่วายคำนึงถึงลูกยา
หรือจะเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขจึงล้างผลาญอย่างไรไม่สังขาร์
วิปริตผิดคนในโลกาบุญญาธิการชาญชัย
จำกูจะดูกุมารารูปร่างหน้าตาเป็นไฉน
พระมิได้บรรทมภิรมย์ในจนรุ่งแจ้งแสงใสพรายพรรณ
เข้าที่ชำระสระสรงสำอางค์องค์ทรงเครื่องแล้วผายผัน
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัลจันทรเฉิดฉันก็ตามไป
จึงดำรัสตรัสแก่เสนีเรานี้ยังพะวงสงสัย
กุมารารูปร่างนั้นอย่างไรเสรีเร่งไปเอาตัวมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่ามหาเสนีรับสั่งวางรี่ออกไปหา
เบิกพระกุมารพลันมิทันช้าแล้วพามาเฝ้าองค์พระทรงชัย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเป็นใหญ่
ผาดเห็นลูกยาเข้ามาในท้าวไทพิศเพ่งเล็งแล
ทรวดทรงส่งศรีนรลักษณ์พิศพักตร์ผ่องช่วงดังดวงแข
แก้มเนตรเกศกรรณผันแปรดูละม้ายคล้ายแม่ที่ขับไป
ทั้งจริตกิริยามารยาทเชื้อชาติผู้ดีไม่มีไพร่
พระจึงดำรัสตรัสไปเราไซร้ขอถามกุมารา
เดิมเหตุเภทพาลประการใดเป็นไฉนจึงได้ไปอยู่ป่า
พ่อแม่ชื่อไรไฉนนาชันษาเจ้าได้สักกี่ปี
เราเห็นใช่ทรพลเป็นพ้นนักเห็นสมศักดิ์พักตราเป็นราศี
บอกพ่อเถิดราอย่าโศกีเจ้านี้มีนามกรใด
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ไหว้พลางทางร้องไห้
แม่ข้าอยู่ป่าพนาลัยเก็บผักหักไม้ด้วยยากจน
แม่ข้าว่าพ่อเสวยวังเกิดมาข้ายังไม่เห็นหน
แม่ข้าคลอดมาประหลาดคนหอยสังข์บังตนข้าออกมา
คนยุบิดาให้ขับไล่แม่ข้าพาไปอยู่ในป่า
อยู่หลังข้าออกจากสังข์มามารดาตีแตกให้แหลกไป
แม่ข้าชื่อจันท์เทวีข้านี้ชื่อสังข์ตามวิสัย
ด้วยความยากจนเป็นพ้นใจข้านี้เขาไปจับเข้ามา
ลุงหรือเขาลือว่าเป็นเจ้าใช้เขาไปจับเอาตัวข้า
กริ้วโกรธโทษภัยไฉนนาจำจองขื่อคาดังข้าไท
ลุงโปรดปล่อยข้าไปหาแม่ป่านนี้ตั้งแต่จะร้องไห้
ใครจะช่วยหาหม้อก่อไฟเฝ้าทับขับไล่ไก่กา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ได้ฟังชลเนตรไหลหลั่งทั้งซ้ายขวา
แน่แล้วลูกแก้วของพ่ออาให้ถอดลูกยาออกทันใด
รับมาใส่ตักแล้วชมเชยลูกเอ๋ยมาเป็นเช่นนี้ได้
สงสารมารดามาแต่ไพรไม่เห็นจะไห้โศกี
จูบพักตร์ลูบพลางทางรับขวัญทรงธรรม์ไม่วายกันแสงศรี
ลืมคำจันทาพาทีภูมีพิศวาสเพียงขาดใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาตัวเข็ญเป็นใหญ่
เดือดฟุ้งพลุ่งพล่านทะยานใจเข้าใกล้แฝงหลังบังองค์
ว่ายมนต์เป่าพลางทางทูลมาอนิจจาผ่านฟ้านี้คนหลง
เหตุไรจึงให้งวยงงหลงเชื่อฟังมันฉันใด
เพลิงกาฬจะมาผลาญพระบุรีเพราะลูกคนนี้หรือมิใช่
แม้นมิถ่วงลงคงคาลัยภูวไนยจะม้วยมรณา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังเมียแก้วจริงแล้วลืมเสียที่เจ้าว่า
เสื่อมสร่างวางองค์พระลูกยาเหวยเหวยเสนาเอาตัวไป
ผูกมัดรัดถ่วงให้มรณาจะงดใว้ช้านานไม่ได้
เพลิงกาฬจะมาผลาญเอาเวียงชัยเร่งไปบัดนี้อย่าได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศา
เคืองแค้นแสนสันนางจันทากระซิบด่าในใจใม่เว้นคน
พระทรงฤทธิ์ผิดกว่าแต่ก่อนกลับกลอกยอกย้อนไม่เป็นผล
กลัวพระกาฬจะมาผลาญอยู่ลานลนต่างคนต่างพาเอาตัวไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่าสังข์ทองเจ้าร้องจ้าน้าขาจะพาข้าไปไหน
ทุบตีฆ่าฟันหรือฉันใดข้าไหว้อย่าพาข้าไปเลย
ลุงเจ้าขาจงมาช่วยฉันด้วยลูกจะม้วยจริงแล้วพ่อคุณเอ๋ย
แม่ข้าไม่มาตามลูกเลยลุงตาน้าเอ๋ยไม่เห็นใคร
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่าองค์พระบิตุเรศสังเวชไม่กลั้นกันแสงได้
ตรัสสั่งมหาเสนาในอย่าพาไปเลยเจ้าเอากลับมา
จันทาทูลพลันทันทีตรัสเล่นเช่นนี้ดีหนักหนา
แม้นมิถ่วงมันให้มรณาข้าจะกินยาตายไม่อยู่เลย
พระดำรัสตรัสสั่งเสนีเอาไปเถิดสิเสนาเอ๋ย
เอาไว้กูไม่สบายเลยกรรมเอ๋ยเวรใดได้ทำมา
ล้างผลาญอย่างไรก็ไม่ม้วยกูจะไปดูด้วยเมื่อเข่นฆ่า
สั่งพลางชวนนางจันทาเสนานำไปที่หน้าแพ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เสนาจูงมาผูกมัดฝูงคนแออัดอยู่เซ็งแซ่
แล้วใส่นาวาไปหน้าแพด้วยกระแสรับสั่งพระภูวไนย
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏ เมื่อนั้นนางจันท์ชนนีศรีใส
ได้ข่าวลูกแก้วแววไวดังจะขาดใจตายด้วยลูกยา
สองกรข้อนทรวงเข้าผางผางดังนางจะม้วยสังขาร์
ผุดลุกหันหุนหมุนมาตรงไปยังท่าชลาลัย
บาทาแตกคุพุพองหนามต้องตามติดหาปลิดไม่
ล้มลุกคลุกคลานทะยานไปกลัวจะไม่เห็นองค์พระลูกยา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงเห็นองค์พระลูกแก้วทอดองค์ลงแล้วก็โหยหา
เสือกสนบนฝั่งชลธาร์ไม่รู้ว่าจะทำประการใด
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระสังข์กุมารน้อยตั้งแต่ละห้อยโหยไห้
แลเห็นมารดามาแต่ไกลดีใจร้องเรียกพระมารดา
แม่คุณจงช่วยลูกด้วยทีเขาผูกมัดรัดตีแล้วทุบด่า
แล้วมิหนำซ้ำมัดรัดกรมามารดานิ่งได้ไม่ปรานี
เขาจะโยนลูกลงในคงคาไม่ช้าจะม้วยไปเป็นผี
แม่วานเขาส่งลงมาทีชนนีนิ่งได้ไม่เอ็นดู
ลูกอยากขนมนมแม่น้าแก้ปล่อยให้ไปสักครู่
เสนาน้ำตาลงไหลพรูที่พาลข่มขู่ด้วยกลัวภัย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังลูกว่ามารดาข้อนทรวงเข้าร้องไห้
มิได้คิดชีวิตจะขาดใจจะโจนน้ำลงไปมิได้นาน
คนดูที่รู้จักองค์ยุดห้ามโฉมยงด้วยสงสาร
นางเสือกเกลือกกลิ้งกับดินดานเยาวมาลย์ข้อนทรวงเข้าโศกี
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ แล้วแลเห็นองค์ผัวขวัญยอกรอภิวันท์เหนือเกศี
ลูกข้ากระจิริดผิดไม่มีขอประทานชีวีพระลูกชาย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลฤาสาย
พะว้าพะวงไม่ตั้งกายแว่วเสียงโฉมฉายเจ้าเรียกมา
ชะแง้แลเห็นมเหสีเทวีบังคมเหนือเกศา
จำได้มั่นคงไม่สงกาพระราชาพยักกวักกร
เร่งเรียกสำเหนียกแก่เสนาให้ถอยนาวาเข้ามาก่อน
เสนากลับท้ายพายคอนจันทาโบกกรไปทันที
ไม่กลัวหัวจะขาดหรือไฉนโยนมันลงไปให้เป็นผี
ไว้ใยให้นานจนป่านนี้อ้ายนี่ขัดรับสั่งหรือฉันใด
เสนาตกใจอยู่ลนลานอุ้มพระกุมารมาหาช้าไม่
ผูกหินโยนพลันทันใดสองกษัตริย์สลบไปทั้งสองรา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอด
๏ เมื่อนั้นจันทาดีใจเป็นหนักหนา
เห็นพระสลบซบพักตราต้องดูรู้ว่าไม่บรรลัย
เอาน้ำสุคนธามาลูบพักตร์ผัวรักค่อยฟื้นคืนมาได้
ร่ายมนต์เป่าพลางทางทูลไปจะโศกาอาลัยไปไยมี
เชื่อว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่พอโยนลงไปก็เป็นผี
มันเสี้ยนทรชนคนไพรีแม้นดีลูกชายจะตายไย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระภูวดลยังหม่นไหม้
แสนสงสารบุตรนั้นสุดใจน้ำพระเนตรหลั่งไหลลงนองแนว
ขุ่นข้องต้องมนต์ของจันทาเสื่อมสร่างวิญญาณ์ถึงน้องแก้ว
เจ้าว่าถูกทุกสิ่งจริงแล้วคลาดแคล้วคืนหลังเข้าวังใน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นฝูงคนถ้วนหน้าน้ำตาไหล
แลเห็นโฉมงามทรามวัยเกลือกกลิ้งนิ่งไปไม่ไหวองค์
จึงวักตักเอาชลธีประพรมโฉมศรีไม่ผุยผง
ครั้นเจ้าค่อยฟื้นคืนคงปลอบโยนโฉมยงให้ไคลคลา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมศรีมีจิตคิดโหยหา
ชะแง้แลดูพระลูกยานางข้อนอุราเข้าร่ำไร
ฯ ๒ คำ ฯ โอ้ร่าย
๏ พ่อคุณทูลกระหม่อมของแม่เอ๋ยทรามเชยทิ้งแม่ให้โหยไห้
เช้าเย็นแม่จะเห็นหน้าใครดังกาเหยี่ยวเฉี่ยวไปก็เหมือนกัน
ลูกเอ๋ยเคยรับพระมารดาเมื่อมาแต่ป่าพนาสัณฑ์
พูดพลอดกอดแม่ไม่วายวันกินนมชมกันทุกเวลา
ตัวกรรมันตามมาล้างผลาญพลัดบ้านเมืองแล้วยังมิสา
ยังมิหน้ำซ้ำพรากจากลูกยาอนิจจามีกรรมต้องจำไกล
รำพันพลางนางลาคนทั้งปวงเจ้าเหงาง่วงเดินมาน้ำตาไหล
เปล่าจิตผิดทางชังตายไปดั้นด้นพงไพรร้องไห้มา
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้นพระสังข์โอดโอยโหยหา
จมลงตรงปล่องนาคาฟุมฟายน้ำตาจาบัลย์
แม่เจ้าประคุณทูลกระหม่อมแก้วจะกลิ้งเกลือกอยู่แล้วเป็นแม่นมั่น
เพราะแม่ต่อยหอยสังข์ไม่ยั้งทันจึงพลัดพรากจากกันกับลูกยา
ที่นี้จะได้ผู้ใดเล่าอยู่ด้วยช่วยผ่านเกล้าเฝ้าเคหา
อยู่ทับขับไล่ไก่กาแม่มาเย็นเย็นจะเห็นใคร
ว่าพลางทางซบเกศเกล้าคิดถึงแม่เจ้าแล้วร้องไห้
สลบซบซอนอ่อนใจอยู่ในใต้น้ำไม่ทำลาย
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
             

ตอนที่ ๓ นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์

๏ เมื่อนั้นท่านท้าวภุชงค์องค์สหาย
กับดักกระตักโหรคนทายล้ำเลิศเพริศพรายในบาดาล
ปรากฎพระยศศักดิ์ศรีบรรดานาคีไม่ต่อต้าน
ศาลารักษาศีลทานอยู่ใต้บาดาลพิมานชัย
เทพเจ้าเข้าในใจดลท่านท้าวกำพลหม่นไหม้
ด้วยพระสังข์ทองยองใยลำบากยากใจในคงคา
จะใคร่ไปตามวิสัยนาคออกจาเปลวปล่องช่องผา
ระวังตัวด้วยกลัวครุฑาทอดตาเหลียวดูมาแต่ไกล
ฯ ๘ คำ ฯ กลม
๏ เที่ยวเล่นมาเห็นกุมารนอนจมดินดานธารไหล
เห็นศิลาผูกมาก็แจ้งใจลูกใครทิ้งถ่วงลงคงคา
โฉมศรีบริสุทธิ์มนุษย์น้อยกระจ้อยร่อยน่ารักหนักหนา
ภุชงค์สงสารกุมาราเข้าต้องดูรู้ว่าไม่บรรลัย
จับกรช้อนองค์เห็นกงจักรน้อยหรือบุญหนักศักดิ์ใหญ่
จะเกิดเหตุเภทพาลประการใดใครช่างทำได้ไม่ปรานี
จะเอาเจ้าไปไว้เป็นลูกยาเห็นว่าบุญหนักศักดิ์ศรี
แล้วแก้ศิลาพลันทันทีนาคีอุ้มพาไปบาดาล
ฯ ๘ คำ ฯ      เชิด
๏ ครั้นถึงจึงวางบนแท่นแก้วผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
บอกเมียรักพลันมิทันนานบริวารแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง
พี่ไปได้มาแต่วารีจมในชลธีไม่มีเสียง
ช่วยแก้ไขให้คืนจะได้เลี้ยงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้เอาบุญ
ว่าพลางตั้งสัตย์อธิฐานถ้าบุญเรากับกุมารเคยอุดหนุน
แต่ชาติหลังทั้งสองเคยค้ำจุนเดชะบุญกุมารไม่วอดวาย
เสี่ยงพลางพลางเอาสุคนธ์ทิพย์ลูบหลังดังหยิบให้เหือดหาย
ค่อยฟื้นคืนสมประดีคลายโฉมฉายเป่ามนต์ด้วยฤทธี
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นพระสุวรรณสังข์เรืองศรี
ฟื้นองค์หลงว่ายวารีแลเห็นนาคีก็ดีใจ
รูปร่างโสภาเป็นมนุษย์ทรงภุชบังคมประนมไหว้
ผินผันอั้นอ้นฉงนใจกล่าวความถามไปกับนาคา
ข้าเจ้าเขาเอามาถ่วงน้ำบาปกรรมทำไว้เป็นหนักหนา
ผู้ใดเอาข้าเจ้ามาโปรดช่วยชีวาให้คืนคง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวนาคีมีจิตพิศวง
ตรัสถามเนื้อความไปโดยจงเจ้าเชื้อแถวแนววงศ์พระองค์ใด
ใครเล่าถ่วงเจ้าลงวารีโฉมศรีโทษทัณฑ์นั้นไฉน
เราช่วยจึงไม่ม้วยลรรลัยจึงพามาไว้ในบ้านเมือง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์เล่าความตามเรื่อง
บิดาข้าไซร้ได้ผ่านเมืองราวเรื่องแม่ว่าให้ข้าฟัง
เมียน้อยมันชื่อนางจันทามารดาคลอดข้าเป็นหอยสังข์
เขาขับไล่ให้ไปอยู่ไพรรังมันชิงชังทูลว่าข้าจัญไร
อยู่หลังข้าออกมานอกหอยเขาคอยจับข้าหาช้าไม่
ทุบตีฆ่าฟันไม่บรรลัยจึงให้ถ่วงข้าลงสาคร
บอกพลางทงทรงโศกีคิดถึงชนนีสะอื้นอ้อน
พระองค์ช่วยส่งให้มารดรวิงวอนร่ำไห้อยู่ไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นท้าวภุชงค์สงสารเป็นหนักหนา
ได้ฟังทั้งนางนาคาเสน่หาฟักฟูมอุ้มองค์
บุญญาธิการก็มากมีจึงเข่นฆ่าร้าตีไม่ผุยผง
แกล้งเดียดฉันท์กันเป็นมั่นคงยุยงชิงชังว่าจังไร
อยู่ด้วยแม่เถิดจะเลี้ยงเจ้าร่วมวันขวัญข้าวอย่าโหยไห้
ชนนีเจ้านั้นมิบรรลัยนานไปจะพบประสบกัน
จึงให้ชำระสระล้างล้อมข้างดังนางในสวรรค์
เอมโอชโภชนาสารพันนึกสิ่งใรนั้นก็มีมา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฝ่ายท้าวภุชงค์ทรงศักดิ์คิดถึงแม่รักยักษา
อย่าเลยจะให้กุมาราไปเป็นบุตรายาใจ
ผัวตายเป็นม่ายมาช้านานลูกหลานยักษีหามีไม่
จึ่งบอกพระสังข์ทองยองใยพ่อไซค้มิใช่เป็นมนุษย์
ถึงรักเจ้าเอาไว้ไม่ได้ด้วยจะชูช่วยบำรุงให้สูงสุด
ไปกว่าบิดาจะม้วยมุดสิ้นสุดทุกข์ภัยที่ได้มา
เจ้าคิดถึงบิดาจะมาถึงครู่หนึ่งบัดใจจะไปหา
ว่าพลางทางสั่งนาคาตกแต่งกายาให้อ่าองค์
ทองกรอ่อนห้อยสร้อยสะอิ้งเพริศพริ้งเฟื่องฟูดูระหง
นาคาข้าพร้อมล้อมวงอุ้มองค์พามาจากบาดาล
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ ขึ้นจากฟากฝั่งพระสมุทรพ้นแดนมนุษย์สุดสถาน
ริมสะดือทะเลคะเนการหมายมุ่งกรุงมารไม่ใกล้ไกล
จึงนฤมิตด้วยฤทธาเป็นมหาสำเภาทองผ่องใส
โภชนาสารพันทันใดพร้อมไปในลำสำเภาทอง
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ จึงอุ้มลูกน้อยกลอยสวาทนาคราชทูนเกล้าเศร้าหมอง
วางไว้ในลำสำเภาทองทั้งสองโศกาด้วยปรานี
แล้วเอาแผ่นสุวรรณบันทึกจารึกเป็นราชสารศรี
สั่งลูกชายพลันทันทีจงส่งให้ยักษีที่ลงมา
แล้วเธอตั้งสัตย์อธิษฐานขุนมารอันคิดริษยา
จะจับลูกอย่าให้ถูกลำเภตราให้ตรงซึ่งพาราอย่าขัดไป
เสี่ยงพลางทางเลือกสำเภาทองลอยล่องในท้องทะเลใหญ่
สงสารลูกแก้วแววไวแล้วกลับหลังวังในสู่ไพชน
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสุวรรณสังข์ระเหระหน
คว้างเคว้งมาในกลางทะเลวนทุกข์ทนแลเหลียวเปลี่ยวใจ
มีอยู่แต่น้ำกับฟ้าจะแลเห็นฝั่งฝาก็หาไม่
ดูเป็นหมอกมัวออกทั่วไปหวั่นไหวไม่เคยไปมา
เห็นฉนากฉลามตามกันดาษดื่นหมื่นพันล้วนมัจฉา
เงือกงูราหูเหราทั้งกระโห้โลมาปลาวาฬ
มังกรลอยล่องท้องน้ำคลื่นซัดซัดน้ำมาฉ่าฉาน
คิดถึงพระแม่อยู่แดดาลเหมือนม้วยวายปราณไปจากกัน
ลูกรักพลัดไปแห่งใดแม่อยู่หนไหนไม่ผายผัน
มิตายใหญ่กล้าจะมาพลันเสาะหาแม่นั้นให้พบพาน
ร่ำไรอยู่ในเภตราเทวาพิศวงน่าสงสาร
ช่วยส่งให้ตรงเมืองมารเข้ายังสถานด่านแดน
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นกุมภัณฑ์ยักษาอยู่กว่าแสน
ลาดตะเวณเกณฑ์กันปันแดนแว่นแคว้นนางมารชาญชัย
ยืนเยี่ยมหอคอยลอยลิ่วเห็นกระโดงธงทิวปลิวไสว
แลลิบลิบพริบตามาไวไวเข้าใกล้แลเห็นเป็นสำเภา
คิดว่าข้าศึกมาฮึกฮักขุนยักษ์วุ่นวายทั้งนายบ่าว
ออกรับจะจับเอาสำเภาเร่งป่าวร้องเสร็จระเห็จมา
ฯ ๖ คำ ฯ กราว
๏ ตรูกันลงหาดทรายชายฝั่งเห็นสำเภายังไม่กังขา
ทองคำทั้งลำทำมาคนในเภตราก็ไม่มี
เห็นอยู่แต่กุมารน้อยแช่มช้อยจรัสรัศมี
แจ้งใจมิใช่ไพรียักษีตรูกันมาทันใด
เผ่นโผนโจนฉวยด้วยความอยากอ้าปากแลบลิ้นน้ำลายไหล
เร่งรีบฉวยพลันทันใดประหลาดใจไม่ถูกเภตรา
ทะลึ่งโลดโดดคว้าผวาเปล่าเหมือนหนึ่งจับดาวในเวหา
ลอยเด่นเห็นอยู่แก่ตายักษากริ้วโกรธพิโรธใจ
ดีด้วยกระบองก้องเวหาจะถูกลำเภตราก็หาไม่
ล้อมรุมกลุ้มกันเข้าทันใดเปล่าไปไม่ปะปะทะกัน
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นสุวรรณสังข์นรังสรรค์
เห็นหมู่อสูรกุมภัณฑ์คร้ามครั่นพรั่นอกตกใจ
แต่ละตัวหัวพริกหยิกหยองดำกาตาพองท้องใหญ่
เขี้ยวขาวยาวรีไม่มีใจคิดได้ถึงท้าวนาคี
แล้วจึงตั้งสัตย์อธิษฐานอย่าให้ขุนมารยักษี
มาทำอันตรายราวีแก่ตัวข้านี้เลยนา
คิดแล้วเท่านั้นมิทันนานจึงโยนแผ่นทองสารให้ยักษา
แผ่นทองลอยละลิ่วปลิวมาคอยท่ายักษีดังมีใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ยักษาโลดโผนโจนจับกลอกกลับรับราชสารได้
คืนเข้าฝั่งพลันทันใดหอบรวนหายใจอยู่ไปมา
จึงรู้สาราที่จารึกมิใช่ข้าศึกจึงปรึกษา
สารทองของท้าวเจ้านาคาเภตราเขียนลายระบายทอง
จำเพาะให้โฉมยงลงมารับเราจึงจู่จับมิได้ต้อง
ปรึกษาแล้วนำเอาแผ่นทองนายรองระเห็จเตร็ดมา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งราชธานีจึงนำสารศรีเข้าไปหา
บอกแจ้งแถลงกิจจาแก่ท่านมหาเสนาใน
ฯ ๒      คำ ฯ
๏ เสนารับสารใส่พานแก้วคลาดแคล้วพามาหาข้าไม่
เข้าเฝ้านางมารชาญชัยที่ในพระโรงอันรูจี
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ มาถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้าก้มเกล้าบังคมเหนือเกศี
แล้วทูลไปพลันทันทีท้าวนาคีมีราชสารมา
ให้ราชฑูตมนุษย์น้อยล่องลอยสำเภาไม่เข้าหา
ทองคำทั้งลำทำมาคนในเภตราก็ไม่มี
จับต้องจะถูกก็หาไม่โยนให้แต่ราชสารศรี
ผิดอย่างปางก่อนบห่อนมีเทวีจงทราบพระบาทา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษา
เร่งคิดถวิลจินตนาทูตถือสาราประหลาดใจ
จึงสั่งสาวศรีที่หมอบเฝ้ารับเอาสาราเข้ามาให้
แล้วอ่านดูพลันทันใดที่ในพระราชสารา
ฯ ๔ คำ ฯ เอกบท
๏ สารท้าวภุชงค์ทรงศักดิ์คิดถึงแม่รักยักษา
แต่สหายวายปราณนานมาชั่วช้ามิได้มาเยี่ยมเยือน
องค์ท้าวกุมภัณฑ์ที่บรรลัยความสมัครรักใคร่ใครจะเหมือน
เจ้าน้อยใจที่ไม่เยี่ยมเยือนรักเจ้าเท่าเทียมเหมือนกัน
เป็นหญิงครองเมืองมณฑลเสนีรี้พลจะเดียดฉันท์
เราไซร้ได้บุตรบุญธรรม์มนุษย์จ้อยน้อยนั้นถือสารไป
เจ้าจงเลี้ยงไว้เป็นลูกรักเราเห็นบุญหนักศักดิ์ใหญ่
จะได้ครอบครองพระเวียงชัยเลี้ยงไว้ค้ำชูแทนหูตา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ อ่านจบแจ้งในสารศรีคิดถวิลยินดีเป็นหนักหนา
เอาสารทูนเกล้าไว้มิได้ช้าขอบใจหนักหนาท้าวนาคี
องค์ท้าวกุมภัณฑ์ที่บรรลัยยังคิดรักใคร่ไม่หน่ายหนี
ซื่อตรงต่อองค์พระสามีคุณของนาคียังบิดา
แล้วตรัสแก่มหาเสนาในใครเห็นอย่างไรให้ปรึกษา
มนุษย์น้อยจ้อยในเภตรานาคาให้มาให้รับรอง
ให้เลี้ยงต่างลูกดวงใจบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่มีสอง
เรานี้มีจิตคิดปองจะใคร่รับรองกุมารา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นกุมภัณฑ์โหรใหญ่ฝ่ายขวา
พินิจคิดคูณแล้วทูลมาโหราขอโทษได้โปรดปราน
อย่าเพ่อชื่นชมภิรมย์ใจมิได้สงสัยที่ในสาร
ตำราทายว่าพระกุมารมิใช่ลูกหลานท้าวนาคา
มนุษย์กับยักษ์จะรักกันห้ามปรามกวดขันเป็นหนักหนา
เหมือนหนึ่งดุเหว่าเหล่กาเลี้ยงรักษาได้เมื่อไรมี
ทำนองเมรีกับพระรถลักหยูกยาหมดแล้วลอบหนี
โฉมยงเหมือนองค์เมรีรับมาน่าที่จะวายปราณ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ได้เอยได้ฟังมืดคลุ้มกลุ้มคลั่งดังเพลิงผลาญ
เหม่อ้ายโหรใหญ่ใจพาลช่างเปรียบเทียบทัดทานด้วยมารยา
มึงนี้ผูกจิตคิดคดจะขบถจริงจังกระมังหนา
กูไซร้จะได้ลูกยากีดหน้าขวางตาหรือว่าไร
กูไซร้ใช่นางเมรีหลงด้วยโลกีย์หาดีไม่
อันท้าวภุชงค์ทรงชัยชั่วแล้วที่ไหนจะให้มา
ว่าพลางทางสั่งสาวสวรรค์จงช่วยกันขับไล่ไสเกศา
แต่นี้สืบไปอย่าให้มามันว่ากูเล่นให้เป็นลาง
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วสั่งกุมภัณฑ์ให้จัดแจงตกแต่งเร่งรัดอย่าขัดขวาง
อีกทั้งข้าเฝ้าท้าวนางต่างต่างแผลงฤทธิ์นิมิตกาย
ให้เป็นมนุษย์สุดสิ้นตรัสพลางเทพินผันผาย
เข้าที่นฤมิตบิดเบือนกายเฉิดฉายโสภาอ่าองค์
ออกจากวังแก้วแพรวพรรณกำนัลพรั่งพรูดูระหง
แห่แหนแน่นอัดจัตุรงค์เสนาพาลงไปคงคา
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน เชิด
๏ มาถึงหาดทราบชายทะเลเห็นเภตราลอยคอยท่า
ลดองค์ลงริมชลธาร์หัตถาจบน้ำได้สามที
แล้วนางตั้งจิตพิษฐานกุมารบุญหนักศักดิ์ศรี
จะมาเป็นลูกข้าในครานี้เทวัญจันทรีจงเล็งแล
ขอให้ลอยเข้ามาถึงฝั่งเหมือนหนึ่งยังข้าเห็นให้เป็นแน่
เสี่ยงพลางแล้วนางผันแปรลุกยืนชะแง้แลไป
สำเภาลอยเลื่อนเคลื่อนคลาไม่ทันพริบตาเข้ามาใกล้
เกยยังฝั่งพลันทันใดบัดใจเห็นทั่วทุกตัวมาร
ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ
             

๏ แล้วนางย่างลงในเภตรามิช้าเห็นองค์น่าสงสาร
พินิจพิศดูพระกุมารงามปานรูปทรงดังองค์อินทร์
ฝ่ายว่าพระสังข์ก็บังคมชื่นชมในจิตคิดถวิล
แม่นยำเหมือนคำท้าวนาคินเสร็จสิ้นทุกสิ่งไม่กริ่งใจ
นางมารฟักฟูมอุ้มองค์โฉมยงยินดีจะมีไหน
ลงจากเภตราคลาไคลสำเภาหายไปมิได้นาน
สาวศรีรับรองประคองเคียงพร้อมเพรียงพิศวงสงสาร
เบียดเสียดกันดูพระกุมารคืนเข้าสถานสำราญใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงวังพลันทันทีวางยังแท่นมณีศรีใส
จึงดำรัสตรัสถามความในพ่อเป็นลูกหลานใครไฉนนา
จึงพระยาภุชงค์ทรงศักดิ์ส่งองค์ลูกรักให้แก่ข้า
เหตุผลต้นปลายอย่างไรมาลูกยาทรงนามกรใด
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทูลแจ้งแถลงไข
คิดถึงมารดายิ่งอาลัยร่ำไรทูลความแต่หลังมา
อันพระบิตุรงค์ทรงภพประเสริฐเลิศลบจบทิศา
เมียน้อยนั้นชื่อจันทาเขายุยงบิดาให้ฆ่าตี
จับลูกถ่วงท้องชลาลัยตัวแม่ขับไล่อยู่ไพรศรี
บุญช่วยจึงไม่ม้วยชีวีท้าวนาคีจึงใส่สำเภามา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังเอยฟังการนางมารสงสารเป็นหนักหนา
รับขวัญไม่กลั้นน้ำตาลูบหลังลูบหน้าให้ปรานี
แม่จะถนอมกล่อมเกลี้ยงจะเลี้ยงเจ้าเป็นบุตรนะโฉมศรี
พ่ออย่าได้กังขาราคีพระบุรีจะให้แก่ลูกยา
จูบพลางนางอุ้มขึ้นใส่ตักความรักแสนสุดเสน่หา
ดังดวงฤทัยนัยนาแล้วสั่งมหาเสนาใน
ท่านจงเร่งรัดจัดแจงตกแต่งพาราอย่าช้าได้
จะสมโภชลูกแก้วแววไวบาดหมายกันไปอย่าได้นาน
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนารับราชบรรหาร
แล้วถวายบังคมก้มกรานมาสั่งการตามมีพระบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้แต่งโรงราชพิธีเทียนชัยบายศรีทั้งซ้ายขวา
หุ่นละครโขนหนังช่องระทาเครื่องเล่นนานาบรรดามี
ทั้งระเบ็งระบำปล้ำมวยพร้อมด้วยสังคีตดีดสี
งิ้วง้าวเสภาชาตรีมโหรีครึ่งท่อนมอญรำ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วกลับมาทูลความตามเรื่องบ้านเมืองแต่งอร่ามงามขำ
ราชวัติฉัตรธงโยงรำพร้อมสำเร็จแล้วพระเทวี
ฯ ๒ คำ ฯ ช้า ร่าย
๏ ฟังเอยฟังสารนางมารปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ครั้นว่าสนธยาราตรีก็เข้าที่บรรทมภิรมย์ใน
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแต่งองค์ลูกยาภูษาอย่างดีศรีใส
ทองกรสังวาลตระการใจแล้วมุ่นจุไรใส่ชฎา
สรรพเสร็จเสด็จจรลีสาวศรีไสวทั้งซ้ายขวา
เชิญเครื่องตามกันเป็นหลั่นมายาตราสถิตยังพิธี
ฯ ๔ คำ ฯ ร้องเพลงมหาชัย
๏ ร่าย
ได้เอยได้ฤกษ์นางมารให้เบิกบายศรี
ลั่นฆ้องกลองชัยเภรีดีดสีตีทับฉับพลัน
จุดแว่นเวียนซ้ายย้ายขวาโห่ขึ้นสามลาขมีขมัน
เซ็งแซ่แตรสังข์ประดังกันฆาตฆ้องกลองลั่นสนั่นไป
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เวียนเทียนสำเร็จเสร็จสรรพโบกจับจุณเจิมเฉลิมให้
แล้วนางอำนวนอวยชัยทุกข์โศกโรคภัยอย่าให้มี
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าพนักงานการเล่นทั้งมวยปล้ำรำเต้นถ้วนถี่
โขนละครไก่ป่าชาตรีเป่าปี่ตีกลองกึกก้องไป
หกคะเมนไต่ลวดกวดขันเจ็ดคืนเจ็ดวันหวั่นไหว
ครั้นราตรีมีดอกไม้ไฟหนังจีนหนังไทยดอกไม้กล
อีกทั้งครึ่งท่อนมอญรำจับระบำรำท่าโกลาหล
งิ้วง้าวฉาวแฉ่งแต่งตนเกลื่อนกล่นอื้ออึงคะนึงไป
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ นางมารสมโภชพระลูกแก้วผ่องแผ้วยินดีจะมีไหน
จึงชวนลูกยาคลาไคลเข้าในวังพลันทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนแท่นแก้วผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
แล้วจัดแจงนักเทศน์ขันทีนางนมทั้งสี่พี่เลี้ยง
กำนัลนางมโหรีขับไม้สำหรับให้ขับกล่อมพระเนื้อเกลี้ยง
แม่มอบให้พระสังข์ทั้งวังเวียงใครทุ่มเถียงจงเฆี่ยนฆ่าตี
นางถนอมกล่อมเกลี้ยงรักษามิให้พระลูกยาเจ้าหมองศรี
จนพระชันษาสิบห้าปียังทวีความรักอยู่ทุกวัน
นางค่อยเคลื่อนคลายสบายใจจะใคร่ไปเที่ยวป่าพนาสัณฑ์
เผอิญใจทึกทึนนึกผูกพันคิดพรั่นกลัวลูกจะหนีไป
อย่าเลยจะแสร้งแกล้งล่อลวงอย่าให้ล่วงหมายคำสำคัญได้
ว่าไปช้าแล้วกลับมาเร็วไวถึงจะหนีไปไม่พ้นกร
แม่จะไปป่าเจ็ดราตรีพันปีจงฟังแม่สั่งสอน
บ่อน้ำซ้ายขวาเจ้าอย่าจรหอข้างหัวนอนเจ้าอย่าไป
สั่งลูกแล้วพบันมิทันช้าพรั่งพร้อมทหารหน้าห้องใหญ่
ออกจากพาราคลาไคลแปลงไปเป็นยักษ์ฉับพลัน
ฯ ๑๔ คำ ฯ กราว
๏ ครั้นมาถึงป่าพนาลัยจับได้ช้างเสือเนื้อสมัน
ฟาดฟันล้มตายวายชีวันได้ห้าหกตัวนั้นไม่พอพุง
ครั้นเหลือบเห็นช้างฝูงใหญ่ดีใจฟาดด้วยกระบองผลุง
หักคอตายกลาดฟาดดังปุงทหารหอบพะรุงพะรังมา
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ วางกองไว้หน้าศาลาลัยแล้วนางไปสรงน้ำที่เพิงผา
แล้วขึ้นนั่งบนบัลลังก์ศิลาเสวยสัตว์นานาทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
มาจะกล่าวบทไปถึงองค์พระสังข์เรืองศรี
อยู่ในไพชนอสุรีมีจิตคิดถึงมารดา
เหตุไฉนไปไพรกรุ่นกรุ่นพระคุณไปไยที่ในป่า
ว่าไปวันเดียวจะกลับมาไม่เหมือนวาจาที่ว่าไว้
เหตุใดถ้อยคำฟั่นเฟื่อนคลาดเคลื่อนคืนวันหามั่นไม่
ตรัสว่าจะไปคืนเดียวไซร้เจ็ดวันจึ่งได้กลับมา
ครั้นว่าจะไปเจ็ดวันกลับพลันวันเดียวไม่เหมือนว่า
ผิดแล้วถ้อยคำพระมารดาดีร้ายจะมาต่อเจ็ดวัน
ห้ามไว้มิให้ไปที่ครัวไฟอะไรจะมีอยู่ที่นั่น
ลับตาสาวใช้ลอบไปพลันได้เห็นสำคัญในทันที
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
๏ เห็นโครงเสือช้างกวางทรายทั้งกายมนุษย์กับซากผี
ตกใจไม่เป็นสมประดีผิดแล้วชนนีเห็นสำคัญ
พระมารดาว่าบ่อที่ปิดไว้จะมีอะไรเป็นแม่นมั่น
ลอบหนีพี่เลี้ยงลงไปพลันเปิดบ่อซ้ายนั้นขึ้นทันใด
ค่อยเอานิ้วพระหัตถ์ชี้จุ่มจี้บ่อเงินที่ผ่องใส
เปิดบ่อขวาพลันทันใดแจ่มใสสว่างอยู่เรืองรอง
เอานี้วชี้ที่เป็นเงินนั้นจิ้มลงดูพลันเป็นทองผ่อง
คิดตกใจเจ้าเฝ้ามองเช็ดทองด้วยกลัวพระมารดา
จะเช็ดสีเท่าใดก็ไม่ออกพระแม่มาจะบอกกระมังหนา
รีบมาคิดได้ด้วยมารยาฉีกผ้าพันนิ้วพระหัตถ์ไว้
แล้วพระจึงซ่องฝูงนางมาดูที่ปรางค์ปราสาทใหญ่
แลเห็นรูปเงาะเหมาะสุดใจพระจึงสวมใส่เข้าลองดู
สอดใส่เกือกแก้วทั้งซ้ายขวาประดับเพชรพรายตาทั้งคู่
จับไม้เท้าทองลองฤทธิ์ดูเหาะวู่ตามช่องบัญชรชัย
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ เหาะลองดูเล่นพอเห็นดีกลัวพระชนนีไม่ช้าได้
ถอดออกแล้ววางดังเก่าไว้ดีใจสอดมองดูมารดา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ทีเอยทีนี้ชอบที่จะหนีแม่ยักษา
จะเหาะไปหาพระมารดาถึงไร่ยายตาที่เลี้ยงเรา
ฯ ๒ คำ ฯ โอ้ร่าย
๏ โอ้อนิจจาพระชนนีป่านฉะนี้จะร่ำโศกเศร้า
จะข้อนทรวงสลบซบเซาพระเกิดเกล้าลูกเอ๋ยจะโศกา
ตัวกูมาอยู่ในเมืองนี้พระชนนีเลี้ยงเป็นยักษา
ไว้ใจยากนักถ้าฉวยช้าไหนจะหนีมารดาไปได้เลย
เห็นจะวายชีวิตเสียเปล่าเปล่าโอ้พระเกิดเกล้าของลูกเอ๋ย
จะแทนคุณชนนีมิอยู่เลยเงยเห็นพี่เลี้ยงซ่อนทันที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงวิ่งหาพระโฉมศรี
ตกใจไม่เห็นอยู่ในที่วิ่งตีอกหาประหม่าใจ
เมื่อกี้วิ่งเล่นก็เห็นตัวทูนหัวเอ๋ยซ่อนอยู่แห่งไหน
มองมาพบพระองค์ก็ดีใจพี่เลี้ยงสาวใช้ก็เปรมปรีดิ์
ฯ ๔ คำ      ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษี
เล็ดลอดสอดหามฤดีได้เจ็ดราตรีอยู่ไพรวัน
สายัณห์ตะวันรอนรอนใกล้จะลับสิงขรพนาสัณฑ์
รำลึกถึงลูกใจผูกพันเร่งรีบเร็วพลันระเห็จมา
ฯ ๔ คำ ฯ      เชิด
๏ ถึงรับขวัญอุ้มพระลูกรักจูบพักตร์เศียรเกล้าเกศา
กอดชมดังดวงนัยนานางแสนเสน่หาดังดวงใจ
แลเห็นนิ้วหัตถาพันผ้าเอ็ววันของแม่เป็นไฉน
ผ้าผูกนิ้วถูกอะไรเป็นไรหรือพ่อจงบอกมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ได้ฟังคำว่า
ครั้นแม่จับนิ้วทำมารยากลัวพระมารดาจะเคืองใจ
ทำผิดลูกกลัววพระแม่ตีลูกนี้ไม่มีอัชฌาสัย
จับมีดเข้ามาผ่าไม้บาดเลือดซับไหลฝนไพลทา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ได้เอยได้ฟังชะนางพี่เลี้ยงช่างให้ไม้ผ่า
จับมือพิศดูพันผ้าทูนเหนือเกศารำคาญใจ
จะมากหรือน้อยแม่ขอดูนิ่งอยู่หาทำให้เจ็บไม่
กำมิดปิดซ่อนแม่ทำไมบาดแผลน้อยใหญ่ไฉนนา
ฯ ๔ คำ ฯ
สังข์เอยสังข์ทองทำร้องกุมนิ้วพันผ้า
อุยอุยพระแ ม่อย่าแก้นาเจ็บปวดหนักหนาเป็นพ้นไป
โลหิตติดกรังผ้าอยู่เจ็บปวดพ้นรู้ไม่แก้ได้
ลูกลวนลามเล่นจึงเป็นไปพระแม่จงได้ปรานี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ได้เอยได้ฟังนางมารโกรธพี่เลี้ยงสาวศรี
น้ำตาคลอตาด้วยปรานีให้มัดตีพี่เลี้ยงนางใน
นางนมพี่เลี้ยงเรียงหน้ามึงไม่นำพาเอาใจใส่
ให้เล่นมีดแล่นพร้าผ่าไม้ตีให้บรรลัยประเดี๋ยวนี้
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ได้เอยได้ฟังพระสังข์บังคมขอโทษพี้
อ้อนวอนกราบไหว้ทั้งโศกีมิให้ต้องตีชิงไม้ไว้
ลูกแข็งเขาห้ามแล้วไม่ฟังเขารักข้าหาชังลูกน้อยไม่
ถ้าเขาต้องโทษโพยภัยไหนเขาจะรักลูกน้อยนี้
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา กล่อม
             

ตอนที่ ๔ พระสังข์หนีนางพันธุรัต

ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงนางพันธุรัตยักษี
แต่ว่างเว้นเป็นม่ายมาหลายปีสามีมอดม้วยด้วยไข้พิษ
ได้ลูกน้อยหอยสังข์มาเลี้ยงไว้รักใคร่เป็นบุตรสุจริต
ฟักฟูมอุ้มชูชมชิดลืมคิดถึงผัวของตัวตาย
เมื่อเวรามาติดตามทันนางนั้นจะสิ้นบุญสูญหาย
ให้ร้อนเนื้อเดือดใจไม่สบายผันผายไปป่าพนาวัน
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงอุ้มองค์พระสังข์นั่งตักโลมลูบจูบพักตร์แล้วรับขวัญ
วันนี้แม่จะลาไปอารัญสายัณห์เลี้ยวลับจะกลับมา
แล้วกำชับสาวศรีพี่เลี้ยงจงถนอมกล่อมเกลี้ยงโอรสา
ตามใจอย่าให้โกรธาเคืองขัดอัธยาสิ่งใด
สั่งพลางย่างเยื้องยุรยาตรจากปราสาทเรืองรองผ่องใส
มาลับตาลูกน้อยกลอยใจอรไทเปลี่ยนแปลงกายา
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ บัดใจรูปร่างเป็นนางยักษ์ล่ำสันคึกคักหนักหนา
ถือตระบองป้องพักตร์ทำศักดาดั้นดงตรงมาพนาลี
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน เชิด
๏ ครั้นถึงหิมวาป่าสูงเห็นฝูงเนื้อเบื้อเสือสีห์
นางยักษ์อยากกินก็ยินดีเข้าไล่ตีเลี้ยวลัดสกัดสแกง
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ พิฆาตฆ่าโคกระทิงมหิงสาด้วยกำลังฤทธากล้าแข็ง
โจนจับฉับเฉียวเรี่ยวแรงหักแข็งขาไว้ในดงดาน
ตัวไหนพ่วงพีมีมันเลือกสรรกินเล่นเป็นอาหาร
กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวป่นไม่ทนทานคชสารควายวัวตัวละคำ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ นางกินเหลือล้นจนเรอท้องไส้เอ้อเร้ออิ่มหนำ
ลงล้างปากล้างคอในบ่อน้ำพอพลบค่ำย่ำแสงสนธยา
จึงไปยังที่หยุดพักเคยสำนักแรมทางกลางป่า
ปัดผงลงนอนในศาลานิทรากลิ้งกลับจนหลับไป
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้นองค์พระสังข์ทองผ่องใส
ราตรีเข้าที่บรรทมในถอนฤทัยรำลึกตรึกตรา
คิดถึงชนนีที่เกิดเกล้าจะโศกเศร้าทุกข์ทนบ่นหา
แต่มาอยู่เมืองมารก็นานช้าไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดี
ซึ่งกูจะหลงอยู่ในเมืองยักษ์แม้นมิลักรูปเงาะเหาะหนี
ที่ไหนจะได้เห็นชนนีนับปีเดือนแล้วจะแคล้วไป
จำจะคิดติดตามสืบหาให้พบพานมารดาจงได้
วันนี้แม่พันธุรัตไปแรมไพรได้ช่องคล่องใจจะไคลคลา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นกลางคืนดื่นดึกเดือนเที่ยงเห็นพี่เลี้ยงหลับสนิทถ้วนหน้า
ค่อยย่องลงจากเตียงเมียงออกมาจากห้องไสยาทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ลอบลงชุบองค์ในบ่อทองผิวเนื้อนวลละอองผ่องศรี
เป็นทองคำธรรมชาติชาตรีสมถวิลยินดีดังใจคิด
แล้วขึ้นไปบนปราสาทชัยที่ไว้รูปเงาะศักดิ์สิทธิ์
หยิบขึ้นแลเล็งเพ่งพิศขุกคิดขึ้นมาก็อาลัย
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้อนิจจามารดาเลี้ยงเคยถนอมกล่อมเกลี้ยงรักใคร่
แสนสนิทพิศวาสดังดวงใจมิให้ลูกยาอนาทร
พระคุณล้ำลบจบดินแดนยังมิได้ทดแทนพระคุณก่อน
วันนี้จะพลัดพรากจากจรมารดรค่อยอยู่จงดี
แม้นลูกไปไม่ม้วยมรณาจะกลับมากราบบาทบทศรี
ร่ำพลางทางทรงโศกีอยู่ปราสาทเพียงขาดใจ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นคลายทุกข์ขุกคิดขึ้นมาจะอยู่ช้าฉะนี้ก็มิได้
เกลือกว่ามารดามาแต่ไพรหนีไปไม่ทันจะเสียการ
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเข้าแล้วใส่เกือกแก้วถือไม้เท้าห้าวหาญ
เหาะขึ้นเวหาเหินทะยานออกจากเมืองมารรีบมา
ฯ ๔ คำ ฯ กลม เชิด
๏ เหาะระเห็จเจ็ดคืนถึงเขาหลวงสูงกว่าเขาทั้งปวงที่ในป่า
พอสิ้นกำลังวังชาเหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าเต็มที
จำจะหยุดพักสักหน่อยก่อนทินกรร้อนแรงแสงสี
จึงเลื่อนลงยังยอดคีรีจรลีเข้าใต้ร่มไทร
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นพวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสุริโยทัยนางในต่างฟื้นตื่นตา
ม้วนที่นอนหมอนข้างเก็บงำฉวยขันตักน้ำมาล้างหน้า
แล้วเข้าไปในที่ไสยาแลหาไม่เห็นพระสังข์ทอง
ตกประหม่าตาขาวคิดฉงนฝูงนางต่างตนเร่งหม่นหมอง
ชวนกันลดเลี้ยวเที่ยวมองทุกแห่งห้องตำหนักนอกใน
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ ค้นคว้าหาทั่วที่เคยเล่นจะประสบพบเห็นก็หาไม่
ต่างตีอกชกหัวร่ำไรครั้งนี้ที่ไหนจะรอดตาย
แม้นแม่พันธุรัตมาแต่ป่าจะตีด่าดุเดือดไม่เหือดหาย
จะปลิ้นปลอกออกตัวยักย้ายด้วยแยบคายแก้ไขเห็นไม่ฟัง
ปรับทุกข์กันทุกคนบ้างบนผีเอ็นดูช่วยสักทีพอรอดหลัง
บ้างว่าเลี้ยงลูกเจ้าเฝ้าคลังมักมีภัยสมดังว่ามา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษา
เที่ยวป่าเล่นสบายหลายเวลาก็เหาะกลับคืนมายังเมืองมาร
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงปราสาทมณีที่สำนักร้องเรียกลูกรักก็ไม่ขาน
แลหาแห่งไรไม่พบพานนางมารหวั่นหวาดประหลาดใจ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
เห็นนางยักษามาแต่ไพรกลัวภัยภาวนาละล้าละลัง
แต่เขยื้อนขยับลับล่อเข้าไปแล้วให้ท้อถอยหลัง
จึงก้มเกล้าเล่าเหตุให้ฟังพระลูกน้อยหอยสังข์นั้นหายไป
ข้าเที่ยวค้นหานักหนาแล้วจะพบพระลูกแก้วก็หาไม่
เล่าพลางต่างคนก็ร่ำไรขอชีวิตไว้อย่าฆ่าตี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษี
ได้ฟังดังจะสิ้นลมประดีเอออะไรกระนี้อีพี่เลี้ยง
กูไว้ใจให้อยู่กับลูกรักคอยพิทักษ์ถนอมกล่อมเกลี้ยง
ช่างละให้หายไปจากวังเวียงมันน่าเสี่ยงสับซ้ำให้หนำใจ
ว่าพลางนางร่ำโศกาน้ำตาแถวถั่งหลั่งไหล
ไปเปิดดูบ่อทองเห็นพร่องไปเร่งพะวงสงสัยไม่รู้แล้ว
มาดูรูปเงาะป่าไม่ปรากฎหายหมดทั้งไม้เท้าและเกือกแก้ว
ลูกน้อยกลอยสวาทเจ้าคลาดแคล้วหนีแม่ไปแล้วนะอกอา
จะอยู่ช้าฉะนี้ก็มิได้จำจะเร็วรีบไปตามหา
จึงขึ้นหอคอยสูงลอยฟ้าตีกลองสัญญาเข้าเจ็ดที
ฯ ๑๐ คำ ฯ รัว
๏ บัดนั้นพวกพลกุมภัณฑ์ภูตผี
ทั้งหมู่อสูรศักดิ์ยักขิณีได้ยินเสียงเภรีสัญญา
ไม่แจ้งเหตุเภทผลกลใดต่างตระหนกตกใจเป็นหนักหนา
สำแดงเผลงอิทธิฤทธาชวนกันเหาะมายังเมืองมาร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นเอยครั้นถึงจึงคลานเข้ามายังหน้าฉาน
ไหว้พลางทางถามมิทันนานเหตุการณ์อะมีจึงตีกลอง
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพันธุรัตร้อนเร่าเศร้าหมอง
จึงแถลงเล่าความตามทำนองเจ้าสังข์ทองลูกรักของเรานี้
ลอบลักรูปเงาะและเกือกแก้วสวมใส่เข้าแล้วก็เหาะหนี
เร่งไปตามหาอย่าช้าทีวันนี้ให้ได้ตัวมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นจึงหมู่อสูรศักดิ์ยักษา
คำนับรับคำแล้วอำลานฤมิตกายากำยำ
เหาะเหินเที่ยวหาในป่ากว้างทุกทิศทุกทางเถื่อนถ้ำ
แยกไปบกบ้างไปข้างน้ำต่างสำแดงเดชเกรียงไกร
ฯ ๔ คำ ฯ กราว เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์นั่งอยู่บนเขาใหญ่
เห็นมืดมิดปิดแสงอโณทัยเสียงสนั่นหวั่นไหวนี่นัน
จึงคิดว่าดีร้ายอสุราติดตามเรามาเป็นแม่นมั่น
จวนตัวเต็มทีหนีไม่ทันจำจะผ่อนผันด้วยปัญญา
พระจึงถอดรูปเงาะออกซ่อนไว้ขึ้นนั่งบนต้นไทรสาขา
ทำเป็นเช่นรุกขเทวาพลางนึกภาวนาอยู่ในใจ
ฯ ๖ คำ ฯ รัว เชิด (ยักษ์ออก)
๏ บัดนั้นหมู่มารทหารน้อยใหญ่
เห็นพระสังข์นั่งอยู่บนต้นไทรมิได้รู้จักแต่สักตน
เพ่งพิศดูพลางไม่วางตาคิดว่าเทวาในไพรสนฑ์
ผิวพรรณผุดผาดประหลาดคนให้งวยงงฉงนสนเท่ห์ใจ
จึงถามว่าดูก่อนเทวาเห็นเจ้าเงาะเหาะมามั่งหรือไม่
อย่าแกล้งกล่าวคำอำไว้จงบอกไปตามจริงบัดนี้
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ฟังคำยักษี
บอกพลางทางยกมือชี้เห็นเหาะไปทิศนี้นะขุนมาร
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยักษาได้ฟังว่าขาน
ดีใจเสือกสนลนลานเหาะทะยานติดตามไปพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ตริตรึกนึกพรั่น
แต่กูเหาะระเห็จมาเจ็ดวันมันยังตามทันด้วยฤทธิไกร
จะอยู่ก็ใช่ไม่ชอบกลหนีไปจะพ้นมันที่ไหน
ให้คิดขัดสนจนใจจะแก้ตัวต่อไปอย่างไรดี
พลางตั้งจิตพิษฐานด้วยสัจจาคุณพระมารดาปกเกศี
จงค้ำชูช่วยข้าครานี้อย่าให้มีอันตรายสิ่งใด
ถึงแม่พันธุรัตจะพบข้าขออย่าให้ขึ้นมาบนเขาได้
ให้ลูกแก้วตัวรอดปลอดภัยพลางยกมือไหว้ภาวนา
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษา
เรียกเหล่าบ่าวไพร่มิได้ช้าออกจากพารารีบตามไป
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึงซึ่งเนินบรรพตภูเขาใหญ่
แลไปเห็นคนบนต้นไทรงามวิไลผิวผ่องดังทองทา
ยืนพินิจพิศเพ่งอยู่เป็นครู่ลูกรักของกูแล้วสิหน่า
ตบมือหัวเราะทั้งน้ำตาร้องเรียกลูกยาด้วยยินดี
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ นั่งอยู่ไยนั่นพ่อขวัญข้าวขัดเคืองอะไรเล่าเจ้าจึงหนี
มาเถิดทูนหัวอย่ากลัวตีดูเอาเถิดซียังมิมา
นางร้องไห้ร่ำแล้วซ้ำเรียกปืนตะกายตะเกียกขึ้นไปหา
ด้วยเดชะอำนาจสัตยาเผอิญให้เลื่อยล้าสิ้นกำลัง
พลัดตกหกล้มนอนตะแคงขาแข้งสีข้างขัดขึ้นดัดหลัง
โศกีตีอกเพียงจะพังทรุดนั่งกระแทกก้นจนใจ
ลูกน้อยกลอยสวาทของมารดาแม่บำรุงเลี้ยงมาจนใหญ่
มิให้ระคายเคืองสิ่งใดเจ้าหนีแม่มาได้ช่างไม่คิด
แม่อุตส่าห์มาตามด้วยความรักเจ้าไม่พูดไม่ทักแต่สักหนิด
อกแม่จะแตกตายวายชีวิตสุดคิดอยู่แล้วนะลูกยา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ แม่เอยแม่เจ้าเลี้ยงข้ามาแต่เยาว์จนใหญ่
พระคุณล่ำลบภพไตรจะเปรียบด้วยสิ่งใดนั้นไม่มี
ใช่ลูกจะเคืองแค้นแสนเข็ญด้วยความจำเป็นดอกจึงหนี
เหตุด้วยมารดาขอข้านี้ทุกข์ร้อนไร้ที่พึ่งพา
จะยากเย็นเป็นตายก็ไม่แจ้งจะไปสืบเสาะแสวงทุกแห่งหา
ครั้นจะบอกออกอรรถตามสัจจาก็คิดกลัวเกลือกว่ามิให้ไป
ลูกจึงลักรูปเงาะเหาะหนีโทษผิดทั้งนี้เป็นข้อใหญ่
อย่าพิโรธโกรธขึ้งขัดใจถึงไปไม่ช้าจะมาพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้
๏ เมื่อนั้นพันธุรัตฟังว่าเพียงอาสัญ
ฟูมฟายน้ำตาจาบัลย์เจ้าไปแล้วไหนนั่นจะกลับมา
คิดอ่านอุบายจะหน่ายหนีเอาเหตุชนนีนั้นมาว่า
ถึงไปก็ไม่ขัดอัธยาเชิญลงมาหาแม่แต่สักน้อย
พอแม่ได้ชมโฉมเจ้าให้สบายบรรเทาที่เศร้าสร้อย
แต่ร่ำร้องไห้หาเลือดตาย้อยอุตส่าห์สู้ติดต้อยห้อยตาม
อย่านึกแหนงแคลงเลยว่าเป็นยักษ์มาเถิดลูกรักอย่าเกรงขาม
ถึงจะอยู่จะไปก็ให้งามเจ้าผู้ทรามรักร่วมชีวา
อันรูปเงาะไม้เท้าเกือกแก้วแม่ประสิทธิ์ให้แล้วดังปรารถนา
ยังมนต์บทหนึ่งของมารดาชื่อว่ามหาจินดามนต์
ถึงจะเรียกเต่ปลามัจฉาชาติฝูงสัตว์จัตุบาทในไพรสณฑ์
ครุฑาเทวัญชั้นบนอ่านมนต์ขึ้นแล้วก็มาพลัน
เจ้าเรียนไว้สำหรับเมื่ออับจนจะได้แก้บนตนที่คับขัน
แม่ก็คงจะตายวายชีวันจงลงมาให้ทันท่วงที
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
๏ ร่าย
เมื่อนั้นพระสังข์ฟังคำยักษี
ยิ่งพะวงสงสารแสนทวีแต่รีรอท้อฤทัยรันทด
จะลงไปก็ให้เกรงกริ่งเกลือกว่าไม่จริงจะแกล้งปด
คิดพลางทางกล่าวมธุสรอย่ากำสรดโศกาอาวรณ์
ลูกนี้เหนื่อยยากลำบากกายจะนั่งเล่นให้สบายบนนี้ก่อน
ตะวันเที่ยงอยู่ยังกำลังร้อนพอให้แดดอ่อนอ่อนจะลงไป
ซึ่งมนต์ของชนนีว่าดีนักลูกรักก็อยากจะใคร่ได้
เมตตาลูกแล้วจงเขียนไว้ที่ในแผ่นพื้นพสุธา
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้
๏ เมื่อนั้นพันธุรัตขัดสนเป็นนักหนา
แหงนดูลูกพลางทางโศกาดังหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย
โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ยกรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าไรก็ช่างเฉยเสียได้ไม่ดูดี
สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้วเผอิญให้ลูกแก้วเอาตัวหนี
จะขอลาอาสัญเสียวันนี้เจ้าช่วยเผาผีมารดา
อันพระเวทวิเศษของแม่ไซร้ก็จะเขียนลงให้ที่แผ่นผา
จงเรียนร่ำจำไว้เถิดขวัญตารู้แล้วอย่าว่าให้ใครฟัง
เขียนพลางทางเรียกลูกน้อยมาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์
แต่พอให้ได้ชมเสียสักครั้งขอสั่งสักคำจะอำลา
แม่อ้อนวอนว่านักหนาแล้วน้อยหรือลูกแก้วไม่มาหา
ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกาสองตาแดงเดือดดังเลือดนก
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิตยิ่งคิดเคืองขุ่มมุ่นหมก
กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพกนางร่ำร้องจนอกแตกตาย
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ บัดนั้นพวกยักษาข้าไททั้งหลาย
เห็นนางมารม้วยมอดวอดวายต่างร่ำรักนายไม่สมประดี
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นมารดาล้มดิ้นสิ้นชีวีตกใจแล่นตะลีตะลานมา
เข้าไปนั่งใกล้ดังใจจงกราบลงแทบเท้าทั้งซ้ายขวา
ชลเนตรคลอคลองนัยนาโศการ่ำรักชนนี
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ปี่
โอ้ว่ามารดาของลูกเอ๋ยพระคุณเคยปกเกล้าเกศี
รักลูกผูกพันแสนทวีเลี้ยงมาไม่มีให้เคืองใจ
จะหาไหนได้เหมือนพระแม่เจ้าดังมารดาเกิดเกล้าก็ว่าได้
สู้ติดตามมาด้วยอาลัยจนจำตายอยู่ในพนาวัน
โทษลูกนี้ผิดเป้นนักหนาดังแกล้งผลาญมารดาให้อาสัญ
ทั้งนี้เพราะกรรมมาตามทันจึงสุดสิ้นชีวัตบรรลัย
พระคุณล้ำลบจบดินแดนยังไม่ทันทดแทนสนองได้
ร่ำพลางโศกีพิรี้พิไรซบพักตร์สะอื้นไห้ไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นคลายวายโศกเศร้าหมองพระจึงร้องสั่งเหล่ายักษา
ท่านจงเชิญศพพระมารดาคืนไปพาราของเรา
แล้วตระเตรียมการไว้ให้เสร็จสรรพคอยท่าข้ากลับมาจึงเผา
การพระเมรุใหญ่อยู่อย่าดูเบาท่านจงเอาใจใส่ไตรตรา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีตัวนายซ้ายขวา
จึงเชิญศพใส่วอช่อฟ้ากลับไปพาราทันที
ฯ ๒ ฯ เชิด
สมิงทอง
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี
ครั้นพวกพลยักษาไปธานีจึงเรียนเอามนต์ที่เขียนไว้
เวียนเฝ้าสาธยายอยู่หลายตลบแต่ต้นจนจบก็จำได้
ครั้นเสร็จเสด็จขึ้นไปบนยอดเขาใหญ่มิได้ช้า
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเกือกแก้วถือไม้เท้าเข้าแล้วก็ป้องหน้า
เหาะระวังเห็จเตร็ดทะยานด้วยฤทธาเลื่อนล่องลอยฟ้ามาไวไว
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ถึงแดนพาราสามนต์อาณาเขตมณฑลกว้างใหญ่
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจเมืองนี้ชื่อไรจะใคร่รู้
เห็นภูมิฐานบ้านช่องเยียดยัดผู้คนแออัดอื้ออึงอยู่
หรือจะเป็นพาราบิดากูจะยับยั้งฟังดูกิจจา
คิดพลางทางค่อยคลาเคลื่อนลอยเลื่อนลงจากเวหา
หยุดอยู่เนินทรายปลายทุ่งนาอาศัยร่มพฤกษาสำราญ
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ บัดนั้นฝ่ายพวกเด็กเด็กชาวบ้าน
ล้วนแต่ลูกหลานชายนายโคบาลอยู่ปลายแดนด่านกรุงสามนต์
ครั้นกินข้าวเช้าแล้วลงจากเรือนเที่ยวร้องเรียกพวกเพื่อนสับสน
เปิดคอกไล่โคของตนถือปฏักต่างคนต้อนมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา เชิด
๏ ครั้นออกมาถึงที่ทำไร่จึงปล่อยโคไว้ให้กินหญ้า
เห็นเงาะยืนอยู่บนคันนาอ้ายนี่บ้าหรือมิใช่ไยอย่างนี้
รูปร่างหัวหูก็ดูแปลกลางคนว่าแขกกะลาสี
อย่าไว้ใจมันมักควักเอาดีนึกกลัวเต็มที่วิ่งหนีพลาง
บ้างว่าอ้ายนี่ลิงทะโมนใหญ่บ้างเถียงว่าทำไมไม่มีหาง
หน้าตามันขันยิงฟันฟางหรือจะเป็นผีสางที่กลางนา
คนหนึ่งไม่กลัวยืนหัวเราะนี่เขาเรียกว่าเงาะแล้วสิหนา
มันไม่ทำไม่ใครดอกวาชวนกันเมียงเข้ามาเอาดินทิ้ง
บ้างได้ดอกหงอนไก่เสียบไม้ล่อตบมือผัดพ่อล่อให้วิ่ง
ครั้งเงาะแล่นไล่โลดกระโดดชิงบ้างล้มกลิ้งวิ่งปะทะกันไปมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ พวกเด็กเด็กหยอกเย้าเข้าฉุดอุตลุดล้อมหลังล้อมหน้า
แล้วชวนเล่นจ้องเตเฮฮาโห่ร้องฉาวฉ่านี่นัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นถึงเวลากินผอกแก้ห่อข้าวออกขมีขมัน
เกลอเอ๋ยมากินด้วยกันเห็นเงาะนั้นเข้ากินก็ยินดี
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นว่าเวลาบ่ายควายเด็กเด็กทั้งหลายเข้าล้อมมี่
ไปบ้านด้วยกันหรือวันนี้เงาะเดินเชือนหนีเสียมิไป
ถ้ากระนั้นก็นอนอยู่เฝ้านาช่วยขับนกขับกาอย่าไปไหน
พรุ่งนี้จึงจะมาอย่าร้อนใจแล้วไล่โคคืนมาทันที
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
             

ตอนที่ ๕ ท้าวสามนต์ให้นางทั้งเจ็ดเลือกคู่

๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวสามนต์เรืองศรี
เสวยราชสมบัติสวัสดีในบุรีสามนต์พระนคร
อันองค์เอกอัครชายาชื่อมณฑาเทวีศรีสมร
มีธิดานารีร่วมอุทรทั้งเจ็ดนามกรต่างกัน
น้องนุชสุดท้องชื่อรจนาโสภาเพียงนางในสวรรค์
พรั่งพร้อมพระสนมกำนัลเป็นสุขทุกนิรันดร์วันคืน
ท้าวคิดรำพึงถึงเวียงชัยนานไปจะเป็นของเขาอื่น
เห็นจะไม่จิรังยั่งยืนด้วยลูกเต้าแต่พื้นเป็นธิดา
จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้วให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา
ถ้าเขยคนใดดีมีปัญญาจะยกพารามองให้ครอบครอง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดพลางทางเรียกมเหสีพามาทีปรึกษาสองต่อสอง
เจ้าจงดำริตริตรองแต่เราครองราชฐานมานานช้า
ทุกวันนี้ดูพี่กับตัวเจ้าไม่เที่ยงแท้แก่เฒ่าลงนักหนา
เจ็บปวดครุ่นไปไข้ชราถอยกำลังวังชาลงทุกปี
ยิ่งคิดคิดไปให้ใจสั้นจะตายวันตายพรุ่งมิรู้ที่
พี่ปรารมภ์สมบัติของเรานี้ถ้าแม้นหากบุญพี่ไม่จีรัง
จงช่วยกันดำริตริตรองดูจะหาคู่ให้ลูกปลูกฝัง
จะแบ่งปันข้าวของในท้องคลังให้ครอบครองเวียงวันเห็นทันตา
จะจัดแจงแต่งตามอารมณ์เราเหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า
กลัวเกลือกทั้งเจ็ดธิดามันจะไม่เสน่หาก็มิรู้
ลางเนื้อชอบลางยาไม่ว่าได้ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
คำบุราณท่านว่าไว้เป็นครูพิเคราะห์ดูให้ต้องทำนองใน
พี่คิดจะประชุมให้พร้อมพรั่งกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดหัวเมืองใหญ่
ให้บุตรีเราเลือกตามชอบใจเจ้าจะเห็นกระไรจงว่ามา
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑาเสนหา
จึงทูลสนองพระบัญชาซึ่งตรัสมานี้ต้องประเพณี
จะให้เป็นแก่นสารแก่บ้านเมืองได้ลือเลื่องไปทั่วทุกกรุงศรี
ตามแต่ภูวไนยจะเห็นดีอันน้องนี้ไม่ขัดทัดทาน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
เสด็จจากแท่นที่มิทันนานออกพระโรงชัชวาลทันใด
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
สามไม้
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนือเก้าอี้ตรัสสั่งเสนีผู้ใหญ่
แต่บรรดาเมืองขืนของเราไซร้ทั้งร้อยเอ็ดเวียงชัยเคยไปมา
ผู้ใดมีโอรสรูปงามแต่ในสามสิบเศษชันษา
ที่ยังไม่มีภริยาให้จัดแจงแต่งมาทุกธานี
เราจะให้ธิดาทั้งเจ็ดองค์เลือกดูรูปทรงส่งศรี
ถ้าลูกเราชอบใจจะได้ดีจะเสกกับบุตรีให้ครองกัน
จงแต่งตราว่าตามความในให้คนเร็วรีบไปทุกเขตขัณฑ์
กำหนดไว้โดยช้าสิบห้าวันให้มาถึงพร้อมกันยังธานี
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ บัดนั้นอำมาตย์รับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลีมาแต่งตราตามมีพระบัญชา
แล้วจัดเสนากว่าร้อยเคยใช้สอยคล่องแคล่วแกล้วกล้า
สั่งความตามมีในท้องตราจงรีบไปรีบมาอย่านอนใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนหมื่นพันทนายน้อยใหญ่
ต่างรีบผายผันแยกกันไปเวียงชัยทั้งร้อยเอ็ดพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปวันทากราบทูลกษัตราทุกเขตขัณฑ์
แจ้งตามบัญชาสารพันถวายหนังสือนั้นทันที
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพระยาร้อยเอ็ดบุรีศรี
คลี่สารอ่านดูรู้คดีเปรมปรีดิ์เป็นพ้นคณนา
ต่างเรียกโอรสมาบอกเล่าเป็นลาภเราแล้วลุกเสน่หา
จงตรวจตราบ่าวไพร่เร่งไคลคลาไปพาราสามนต์ให้ทันการ
บ้างคิดมุยุลูกให้หย่าเมียจำจะทิ้งเปรี้ยวเสียไปกินหวาน
ที่บุตรหามีไม่ใจทะยานคิดจัดแจงแต่งหลานเปลี่ยนไป
แล้วเลือกของอย่างยิ่งทุกสิ่งสรรพ์สำหรับบรรณาการประทานให้
ต่างองค์อำนวนอวยชัยเจ้าไปให้ได้ครองพระธิดา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์สรวลสันต์หรรษา
นบนิ้วประนมบังคมลาแล้วมาแต่งองค์อร่ามเรือง
บ้างขึ้นทรงรถคชสารขี่ม้าผ่านขาวเขียวกะเลียวเหลือง
ต่างยกโยธานองเนืองออกจากเมืองรีบร้อนสัญจรไพร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพาราสามนต์จึงพักพลไว้นอกกรุงใหญ่
ชวนกันลีลาคลาไคลเข้าหาเสนาในทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นอำมาตย์ผู้ใหญ่ในกรุงศรี
พูดจาปราศรัยโดยไมตรีเอาบาญชีท้าวพระยาที่มานั้น
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นได้นามทูลหน่อกษัตราเสนาสี่นายก็ผายผัน
เข้าไปในท้องพระโรงคัลอภิวันท์ทูลแถลงให้แจ้งใจ
บันนี้หน่อกษัตริย์ทุกพาราทั้งร้อยเอ็ดนั้นมาถึงกรุงใหญ่
แล้วอ่านรายชื่อเสียงเรียงลงไปตามในหางว่าวท้าวพระยา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา
จึงสั่งทั้งสี่เสนาเร่งแต่งที่ข้างหน้าให้พร้อมไว้
จงนำกษัตราทุกธานีมาประชุมในที่พระโรงใหญ่
เราจะให้ทั้งเจ็ดอรไทมาเลือกตามชอบใจในพรุ่งนี้
เร่งจัดวังให้เสร็จทั้งเจ็ดแห่งจะได้แต่งตั้งการภิเษกศรี
สั่งเสร็จพระเสด็จจรลีขึ้นสู่ที่ข้างในมิได้ช้า
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นจึงเจ้าพนักงานถ้วนหน้า
เร่งจัดแจงแต่งที่ดังบัญชาบ้างไปบอกกษัตราให้เตรียมกาย
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพวกเหล่าท้าวพระยาทั้งหลาย
ต่างองค์กระหยิ่มพริ้มพรายให้กระสันมั่นหมายวุ่นวายใจ
บ้างหยิบผ้ายกทองนุ่งลองดูใครใครเห็นไม่สู้รูปกูได้
พรุ่งนี้มิคนหนึ่งก็คนไรจะจงจิตพิสมัยเป็นมั่นคง
บ้างนั่งนึกตริกหาอุปเท่ห์จะทำด้วยเสน่ห์ให้ลุ่มหลง
เห็นจะรุมรักเราทั้งเจ็ดองค์คิดทะนงเปรมปรี่มกระหยิ่มใจ
ลางองค์ถือมั่นโดยปัญญาวาสนาหลังส่งแล้วคงได้
สุดแท้แต่กุศลสร้างไว้จะเดือดเนื้อร้อนใจไปไยมี
บ้างเรียกหาหมอดูมาจับยามให้ทายตามชะตาราศี
จะสมคะเนหรือไม่ในพรุ่งนี้แต่เซ้าซี้ซักไซ้ไม่นิทรา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
โทน
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริย์ใสไตรตรัสทั้งร้อยเอ็ดกษัตริย์ทรงภูษา
สอดเครื่องประดับระยับตาแต่งกายาโอ่อวดประกวดกัน
บ้างถือห่อบุหงาทัดยาดมผ้าห่มชุบน้ำกุหลาบกลั่น
ต่างองค์กรายกรจรจรัลพากันเข้าไปในวัง
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ ครั้นถึงท้องพระโรงข้างหน้าอำมาตย์มาจัดแจงให้ลุกนั่ง
ต่างชิงขึ้นหน้าว่าไม่ฟังบ้างถุ้งเถียงเสียงดังอึงไป
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ยิ้มแย้มเจ่มใส
จึงชวนเมียรักร่วมใจออกไปแย้มแกลแลดู
เห็นหน่อกษัตริย์ที่มานั้นหน้าตาคมสันขยันอยู่
คนข้างหลังลาดเลาเป็นเจ้าชู้ตาหูชอบกลเจ้ามณฑา
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ คนโน้นรูปร่างกระจ้อยร่อยหนุ่มน้อยน่ารักหนักหนา
คนนี้ที่ถัดกันลงมาหน้าตาเป็นประมาณพานพอดี
โน่นแน่คนนั้นอยู่ชั้นล่างรูปร่างจ้ำม่ำดำมิดหมี
เห็นหรือไม่คนนั้นขันสิ้นดีหน้างอกออกฝีประปราย
ดูพลางทางสั่งเมียรักอย่าช้านักเลยเจ้าจะจวนสาย
จงเร่งรัดจัดแจงแต่งกายบุตรีโฉมฉายขึ้นมา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑาเสน่หา
จึงพาทั้งเจ็ดธิดาไปสระสรงคงคาวารี
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๏ แต่งตัวตั้งใจจะให้งามขมิ้นใส่ส้มมะขามขัดสี
แล้วอาบน้ำชำระอินทรีย์ทาแป้งสารภีรื่นรวย
กระจกตั้งคันฉ่องส่องเงาผิวพรรณผมเผ้างามฉลวย
ใส่น้ำมันกันกวดกระหมวดมวยผัดหน้าด้วยแป้งญวนเป็นนวลแดง
นุ่งผ้ายกอย่างต่างกันช่อชั้นเชิงชายลายก้านแย่ง
สไบหน้าเจียระบาดตาดทองแดงเข็มขัดสายลายแทนประจำยาม
สร้อยนวมสวมสอดสังวาลวรรณตาบกุดั่นเรืองรองทองอร่าม
กำไลสวมเก้าคู่ดูงามใส่แหวนเพชรแวววามครามสอดซับ
ทรงกรอบพักตร์พรรณรายพรายแพรวกรรเจียกแก้วมณีสีสลับ
ใส่ตุ้มหูห้อยพลอยระยับครั้นเสร็จสรรพขึ้นเฝ้าท้าวไท
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลงช้า
มูโล่ง
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ยิ้มย่องผ่องใส
จึงตรัสแก่ธิดายาใจพ่อให้ประชุมกษัตรา
นงเยาว์เจ้าจงไปเลือกคู่ที่สมควรเป็นคู่เสน่หา
ถ้าแม้นประกอบชอบวิญญาณ์จงทิ้งมาลัยไปให้สวมมือ
พ่อจะแต่งตั้งการสยุมพรให้บังอรออกหน้าค่าชื่อ
แต่เฝ้าปลอบสองรื้อสามรื้อดูดู๋ดื้อหนักหนาน่าขัดใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นทั้งเจ็ดบุตรีศรีใส
ผูกคิ้วนิ่วหน้าไม่คลาไคลก้มแกะเสื่อลันไตไปมา
ให้นึกอัปยศอดอายจะไปเลือกผู้ชายน่าขายหน้า
ยิ่งคิดยิ่งเขิมเมินพักตรากัลยามิได้จรลี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์พระบิตุเรศเรืองศรี
กล่าวเกลี้ยงเลี่ยงปลอบให้ชอบทีวันดีแล้วแม่อย่าแชเชือน
อุตส่าห์แข็งวิญญาณ์คลาไคลพ่อจะให้พี่เลี้ยงไปเป็นเพื่อน
อะไรเฝ้าม้วนมิดบิดเบือนไม่เขยื้อนจากที่น่าตีรัน
นวลนางมณฑาช่วยว่ากล่าวลูบหลังลูกสาวแล้วรับขวัญ
ไปเถิดแม่ไปอย่าใจรั้นส่งมาลัยให้พลันทั้งเจ็ดองค์
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระบุตรีแน่งน้อยนวลหง
กลัวจะเคืองจิตบิตุรงค์โฉมองค์ขยัยกายแล้วอายใจ
แต่ทำม่อยม้วยกระบวนกระบิดแก้เก้อสะกิดพี่ผู้ใหญ่
ต่อบิดรเตือนซ้ำจึงจำไปกำนัลในพี่เลี้ยงเคียงมา
ฯ ๖ คำ ฯ กินนรรำ
๏ ถึงท้องพระโรงธารม่านกั้นเจ็ดนางนึกพรั่นเป็นหนักหนา
ให้อดสูผู้ชายอายวิญญาณ์หน่วงหนักชักช้าไม่คลาไคล
พี่เลี้ยงทูลเตือนให้จรลีนางหยิกตีค้อนควักผลักไส
เข้าแอบแฝงม่านกั้นชั้นในขวยเขินสะเทินใจไปมา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์นั่งคอยอยู่ข้างหน้า
บ้างสะกิดเพื่อนกันจำนรรจาเมื่อไรจะออกมารำคาญใจ
ต่างคนกระหยิ่มยิ้มย่องชะเง้อคอคอยมองหาเมินไม่
แลตามตีนม่านเห็นไวไวเอ๊ะแล้วมิใช่ดอกกระมัง
ลางคนคะนองทำร้องบอกหลอนหลอกเพื่อนอยู่ข้างหลัง
ไม่เคยเห็นรูปร่างนางชาววังนิ่งนั่งตั้งสติอย่าเมินไป
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงกัลยาอัชฌาสัย
จึงปลอบพระธิดายาใจเอออะไรมาเป็นเช่นนี้
พระบิดาสั่งให้ไปเลือกคู่จะอดสูใครเล่านะเจ้าพี่
เราเป็นใจไปเองเมื่อไรมีไม่พอที่จะขืนขัดบัญชา
แม้นพระบิตุเรศรู้เหตุผลเห็นพี่จะไม่พ้นโทษา
ว่าพลางผลักไสให้ไคลคลารบเร้าเฝ้าว่าวิงวอน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งเจ็ดพระธิดาดวงสมร
จำเป็นจำใจบทจรบังอรอดสูดูร้าย
ทำลับลับล่อล่อรอรั้งเบียดบังพี่เลี้ยงเมียงม่าย
ผันแปรแลหลบตาชายทั้งอายทั้งสะเทินเดินเลือกไป
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์นับร้อยน้อยใหญ่
เห็นเจ็ดพระธิดายาใจให้คิดพิสมัยในรูปทรง
ตั้งใจดูนางไม่วางตาเสน่หารุมรึงตะลึงหลง
งามโฉมชะอ้อนอ่อนเอวองค์งามขนงวงพักตร์โสภา
บ้างพูดกับเพื่อนสนิทไม่คิดอายอันน้องนุชสุดท้ายคงตายข้า
เดี๋ยวนี้และมาลัยจะลอยมาเจ้าคนนั้นกั้นหน้าข้าไว้ไย
บ้างนั่งหยัดดัดทรงดูนรลักษณ์เหลือบมาสบพักตร์ยักคิ้วให้
ครั้นนางสะเทินเมินหน้าไปแกล้งทำกระแอมไอเป็นแยบคาย
บ้างพลางโกรธขึ้งหึงเพื่อนกันนางคนนั้นของข้าใครอย่าหมาย
ต่างทะเลาะเกาะแกะกันวุ่นวายถุ้งเถียงท้าทายมากมายไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งเจ็ดบุตรีศรีใส
แต่เก้อเก้ออายอายวุ่นวายใจเลือกกษัตริย์น้อยใหญ่ทุกหน้ามา
อันทั้งหกเทวีพี่นางเลือกได้รูปร่างงามหนักหนา
เมียงม่ายหมายทิ้งพวงมาลาสวมหัตถ์กษัตราทั้งหกองค์
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ฝ่ายโฉมรจนาทรามวัยนางไม่ต้องจิตคิดประสงค์
กลับมาเฝ้าบาทบิตุรงค์โฉมยงบังคมก้มพักตรา
จึงทูลว่ากษัตริย์ทั้งนั้นไซร้ลูกมิได้มุ่งมาดปรารถนา
จะขออยู่สนองรองบาทาไปกว่าชีวันจะบรรลัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์บ่นออดทอดใจใหญ่
ลูกเอ๋ยพ่อนี้หวังตั้งใจจะจัดแจงแต่งให้เห็นทันตา
จึงประชุมพร้อมพรั่งครั้งนี้แต่ล้วนลูกผู้ดีมียศถา
ทั้งรูปทรงส่งศรีโสภายังไม่เสน่หาอาลัย
แม่มณฑาจะคิดกระไรเล่ายังคนเดียวดอกเจ้าทำกรรมให้
มันไม่สิ้นห่วงบ่วงใยฉวยชั่วไปก็รำคาญขี้คร้านตี
พี่คิดว่าสุดแท้แต่เราเถิดไม่พักประดักประเดิดจู้จี้
แต่งพร้อมกับพี่สาวเสียคราวนี้หรือไม่เห็นด้วยพี่จงท้วงติง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาหวั่นจิตคิดกริ่ง
จึงแถลงแจ้งในใจจริงอันเป็นหญิงพงศ์เผ่าเหล่ากอ
ถ้าใจไม่สมัครรักผัวมักทำชั่วให้อายขายหน้าพ่อ
พระองค์จงได้รั้งรอน้องจะขอให้ป่าวชาวพารา
ครั้งนี้อย่าเลือกว่าแก่หนุ่มหามาประชุมจงพร้อมหน้า
ให้เลือกตามใจรักอีกสักคราสุดแต่วาสนาธิดาเรา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตอบชอบแล้วเจ้า
ที่ความวิตกนั้นค่อยบรรเทาน้อยหรือนั่นขวัญข้าวเจ้าช่างคิด
ว่าพลางทางมีบัญชาตรัสเรียกเสนาคนสนิท
จงเข้ามาข้างในให้ใกล้ชิดประกาศิตสั่งไปมิได้ช้า
อันหน่อกษัตริย์ทั้งหกองค์ซึ่งลูกรักเราจงเสน่หา
ให้อยู่วังยั้งท่ารจนาจะแต่งการวิวาห์ให้พร้อมกัน
แต่พวกเมืองออกนอกนั้นไซร้ให้กลับไปนิเวศน์เขตขัณฑ์
เร่งร้องป่าวชาวเมืองทั้งปวงนั้นจนชั้นทรพลคนเข็ญใจ
ให้มันแต่งตัวตามทำนองมาประชุมหน้าท้องพระโรงใหญ่
จะให้ลูกรักร่วมฤทัยเลือกคู่ดูใหม่ในพรุ่งนี้
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
มาบอกกษัตราทุกธานีตามมีพระราชบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์ทั้งหกเร่งหรรษา
นั่งสบายอารมณ์ดมมาลาหัวเราะร่าขาแข้งกระดิกเพลา
บ้างพูดจาเปรียบเปรยเย้ยเพื่อนกันอย่างไรนั่นลงนั่งกอดเข่า
วาสนาหาไม่แล้วชาวเราแต่ได้เข้ามาเห็นก็เป็นดี
หกองค์กระหยิ่มยิ้มย่องผุดผ่องพักตราราศี
ต่างต่างย่างเยื้องจรลีเสนีนำหน้าพาไปวัง
พวกที่ไม่สมปรารถนาดังจะเสียวิญญาณ์เป็นบ้าหลัง
น้อยใจด้วยผู้หญิงชิงชังวาสนาหนหลังช่างอาภัพ
ต่างแกล้งทำชื่นฝืนอารมณ์บ้างเดินหกล้มบ้างลมจับ
เหงื่อไหลอาบหน้าเอาผ้าซับขึ้นม้าช้างต่างกลับไปเวียงชัย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นเสนานายอำเภอน้อยใหญ่
ทั้งรั้วแขวงตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วในจังหวัดนัครา
พรุ่งนี้แต่มืดขมุกขมัวจงจัดแต่งตัวให้โอ่อ่า
เข้าไปหน้าพระลานชานชาลาพระธิดาจะเลือกเป็นคู่ครอง
ฯ ๔ คำ      ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นประชาชายรู้ทั่วทุกบ้านช่อง
บ้างเต้นบ้างรำทำคะนองกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ทุกคน
พวกนักเลงเล่นเบี้ยเสียถั่วครอบครัวอัตคัดขัดสน
ไม่มีผ้าเสื้อแสงจะแต่งตนเที่ยวซุกซนยืมหยิบเพื่อนกัน
เหล่าพวกอุตริริร่างตัดผมยักอย่างให้สอยสั้น
หวีกระจายรายเส้นเป็นแปรงชันเช็ดน้ำมันกันหน้าด้วยมีดน้อย
บ้างติดตำรับใหญ่เอาไฟอังกระจกตั้งนั่งหย่งก่งคอสอย
แค้นใจไม่ใคร่จะเรียบร้อยเฝ้าตะบอยหวีหัวมัวเมา
พวกเหล่าเจ้าชู้หัวอะกรมเผ้าผมตกแสกทำหน้าเศร้า
เชิงจะพูดจะจาคิ้วตามเพรานั่งไหนกอดเข่าเฝ้าทำทุกข์
พวกขุนนางต่างแต่งตัวลองนุ่งยกทองเกี้ยวส่านสีหมากสุก
บ้างนุ่งลายพื้นตองลองนั่งลุกดูกระปุกกระปุยกรุยกราย
ที่ป่วยไข้ได้ข่าวเขาป่าวร้องลุกขึ้นเดินได้คล่องเหมือนหนึ่งหาย
พาลโกรธภรรยาด่าแม่ยายเคืองขุ่นวุ่นวายเพราะรายนึก
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นไก่ขันแซ่เสียงเที่ยงคืนต่างคนต่างตื่นขึ้นแต่ดึก
ตกแต่งกายาโอฬารึกอื้ออึงอึกทึกไปทุกคน
บ้างทาแป้งแต่งตัวฉุยฉายนุ่งลายนอกอย่างหางปัดสัน
บ้างนุ่งห่มสมตัวตามจนสับสนอลหม่านไม่หลับนอน
พอท้องฟ้าขาวเช้าตรู่ที่ใครอยู่บ้านใกล้ก็ไปก่อน
เนืองแน่นถนนในนครค่อยผ่อนเข้าไปในวัง
ลางคนแก่เฒ่าเกือบเข้าโลงก็เดินหอบหิ้งโครงมาข้างหลัง
ถือไม้เท้าโซเซเก้กังเข้ามาด้วยเขามั่งไม่เจียมตน
ที่เป็นง่อยเพลียเสียแข้งขาก็นั่งถดถัดมาตามถนน
เจ็บปวดไม่ว่าอุตส่าห์ทนเสลือกสลนกล่นเกลื่อนกันมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ คับคั่งทั้งท้องพระโรงชัยผู้ดีปนเข็ญใจก็ไม่ว่า
อยากจะใคร่ได้องค์พระธิดาต่างคิดสมบัติบ้าอยู่ทุกคน
บ้างชิงที่ตีต่อยปะเตะปะตะเอะอะอึงคะนึงสับสน
ตำรวจวังถือหวายวิ่งวนไล่ขู่ผู้คนอยู่เป็นควัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามานต์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึงตรัสแก่ธิดาดวงจันทร์จอมขวัญของพ่อผู้ยอดรัก
บัดนี้ชาวเมืองมาพร้อมหน้าจงไปทัศนาให้ประจักษ์
เลือกคู่ดูให้งามพักตร์ตามแต่ใจรักเถิดลูกยา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนาเสน่หา
ก้มเกล้าดุษฎีแล้วลีลาสองพี่เลี้ยงกัลยาก็ตามไป
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ เดินดูเสนาข้าเฝ้าทั้งเหล่าเศรษฐีผู้ดีไพร่
ให้เคืองคายนัยน์เนตรนางทรามวัยมิได้ประกอบชอบวิญญาณ์
นางจึงเสด็จกลับมาฉับพลันอภิวันท์บิตุเรศนาถา
ทูลว่าชาวเมืองที่ป่าวมาลูกไม่เสน่หาอาลัย
ขออยู่ด้วยชนกชนนีที่จะมีภัสดานั้นหาไม่
เบื้องหน้าถ้าตัวลูกชั่วไปจงฆ่าเสียอย่าไว้ชีวิต
ฯ ๖ คำ ฯ
             

ตอนที่ ๖ พระสังข์ได้นางรจนา

ช้า
๏ เมื่อนั้นท่านท้าวสามนต์จนจิต
กอดเข่าเข้าตะลึงรำพึงคิดอกกูดูผิดประหลาดใจ
บุรุษในแผ่นดินก็สิ้นแล้วควรหรือลูกแก้วไม่เลือกได้
คิดพลางทางเสด็จคลาไคลออกบัญชรชัยมิได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
เพลงฝรั่ง
๏ จึงตรัสแก่เสนาข้าเฝ้าคนในเมืองเราถึงแสนกว่า
ที่อยู่บ้านนอกขอกนาขับมาหมดสิ้นแล้วหรือยัง
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ บัดนั้นเสนาทูลไปดังใจหวัง
ไพร่ฟ้ามาประชุมอยู่ในวังทั่วทั้งแผ่นดินสิ้นชาย
เหลือแต่เงาะป่าทรพลหน้าตาผิดคนทั้งหลาย
หัวพริกหยิกยุ่งหยาบคายตัวลายคล้ายกันกับเสือปลา
ใครจะบอกจะเล่าไม่เข้าใจพูดจาไม่ได้เหมือนใบ้บ้า
เล่นอยู่กับเด็กที่กลางนาจงทราบบาทาภูวไนย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ฟังแจ้งแถลงไข
ด้วยเดชะเทพเจ้าเข้าดลใจเผอิญให้กริ้วโกรธบุตรี
จึงตรัสแก่องค์อัครชายาน้อยหรือรจนาลูกสาวศรี
เลือกคู่ดูใครไม่ไยดีจนสิ้นชายไม่มีทั้งพารา
เหลือแต่เงาะป่าเป็นบ้าใบ้เอามาให้มันเลือกสมน้ำหน้า
ว่าพลางทางสั่งเสนาจงไปพาอ้ายเงาะมาในวัง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาคำนับรับสั่ง
ต่างวิ่งวางไปมิได้ยั้งมายังกลางทุ่งท้องนา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงบอกแก่เจ้าเงาะรับสั่งจำเพาะให้หา
เร็วเร็วมาไปอย่าได้ช้าต่างคนฉุดคร่าวุ่นวาย
บ้างเปลื้องผ้าคาดพุงผูกมัดเจ้าเงาะวัดถูกอกหกล้มหงาย
ลางคนวิ่งออกมาบอกนายแรงมันมากมายเหมือนควายวัว
บ้างพยักกวักเรียกเจ้าเงาะขาไม่พูดจาด้วยกันเฝ้าสั่นหัว
ที่ใจคอขี้ขลาดหวาดกลัวระวังตัวยืนดูอยู่แต่ไกล
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บ้างทำเย้ายั่วให้หัวเราะค่อยปะเหลาะลูบหลังเข้านั่งใกล้
เกลอเอ๋ยอย่าช้ามาจะไปนี่คนหรือตอไม้ไม่พูดจา
เสนีนายใหญ่ให้ไพร่เลวเอาพวนผูกบั้นเอวเจ้าเงาะป่า
ต่างเข้าฉุดชักเต็มประดาสาระพาเฮโลโย้ตามกัน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เชือกขาดล้มคว่ำคะมำไปลุกขึ้นดัดหลังไหล่กระดูกลั่น
นิ่วหน้าสั่นหัวกลัวแรงมันต่างปรึกษากันเป็นจนใจ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นฝูงเด็กเลี้ยงโคน้อยใหญ่
เห็นคนกลุ้มรุมฉุดเงาะไพรขัดใจวิ่งพลางทางร้อง
จะเอาเงาะเขาไปข้างไหนนั่นข่มเหงกันไม่บอกเราเจ้าของ
มิถูกอิฐหัวผ่าก็อย่าลองไว้ไยไล่ถ่องให้แทบตาย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาฮึกฮักชักหวาย
เหม่เจ้าเหล่านี้หลังจะลายอย่าวุ่นวายอ้ายหัวเหาเต่าเล็น
รับสั่งให้เอาตัวอ้ายเงาะป่าจะทอดพระเนตรหน้าตาไม่เคยเห็น
มันเป็นใบ้บ้าว่ายากเย็นเอ็งรู้ใจได้เล่นกับมันมา
เคยอย่างไรจงบอกอย่าหลอกกันให้ได้มันเข้าไปถวายหน้า
กูจะให้ขนมเข่งของทยากินอร่อยหนักหนาประสาจน
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นฝูงเด็กดีใจเสลือกสลน
ต่างชิงกันบอกออกลนแต่เป็นคนแล้วอย่าฉุดให้เหนื่อยแรง
ถ้าขืนหยักเหย้าเซ้าซี้มันขัดใจจะหนีไปแอบแฝง
จงให้ไปเก็บดอกไม้แดงมาผูกปลายไม้แกว่งแต่ไกลไกล
ค่อยวิ่งรอรอล่อเล่นเงาะเห็นก็จะผลุนหมุนไล่
จะพาไปถึงวังได้ดังใจเอาขนมมาให้ข้าเถิดรา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นอำมาตย์ตบมือหัวเราะร่า
ต่างวิ่งชิงเก็บดอกชบาผูกปลายไม้มาล่อเงาะ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พวกหลังไสส่งให้ตรงไปถือดอกไม้นำหน้าพาวิ่งเหยาะ
ลางคนบ้างกลัวบ้างหัวเราะล่อเงาะเข้ามาถึงวังใน
ฯ ๒ คำ ฯ      เชิด
๏ บัดนั้นฝูงสนมกำนัลน้อยใหญ่
แอบดูอยู่ที่บัญชรชัยแลไปเห็นเงาะหัวเราะอึง
บ้างว่าน่าชังเป็นหนักหนาแลดูหูตาตื่นทะลึ่ง
รูปร่างอัปรีย์ขี้ทึ้งเหมือนหนึ่งภูตผีที่กลางนา
ลางคนบ่นว่าถ้าเช่นนี้ฟ้าผี่เถิดไม่นึกปรารถนา
น่ากลัวตัวดำเหมือนคุลาต่างติเงาะป่าว่าวุ่นไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนามาทูลแถลงไข
ข้าออกไปเอาตัวอ้ายเงาะไพรบัดนี้ได้มาแล้วพระราชา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เห็นเงาะชังน้ำหน้า
เนื้อตัวเป็นลายคล้ายเสือปลาไม่กลัวใครใจกล้าดุดัน
ผมหยิกยุ่งเหยิงเหมือนเซิงฟักหน้าตาตละยักษ์มักกะสัน
พระเมินเสียมิได้ดูมันแล้วมีบัญชาประชดรจนา
จงออกไปเลือกคู่ดูอ้ายเงาะมันงามเหมาะเหลือใจเป็นใบ้บ้า
หรือจะชอบอารมณ์สมหน้าตาหน่อกษัตริย์จัดมาไม่พอใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนานารีศรีใส
เทวดาเดินหนดลฤทัยอยากจะใคร่ดูเงาะจำเพาะเป็น
จึงตรัสแก่พี่เลี้ยงกัลยาเงาะป่าอย่างไรไม่เคยเห็น
เขาว่าหน้ามันปั้นยากเย็นเราออกไปดูเล่นก็เป็นไร
ซึ่งบิดาเคืองขัดตรัสประชดเผอิญลืมไปหมดไม่สงสัย
จึงเสด็จลีลาคลาไคลมายังพระโรงชัยฉับพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
ลีลากระทุ่ม
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะแสนกลคนขยัน
พิศโฉมพระธิดาวิลาวัณย์ผุดผาดผิวพรรณดังดวงเดือน
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์นางในธรณีไม่มีเหมือน
แสร้งทำแลเลี่ยงเบี่ยงเบือนให้ฟั่นเฟือนเตือนจิตคิดปอง
พระจึงตั้งสัตย์อธิษฐานแม้นบุญญาธิการเคยสมสอง
ขอให้ทรามสงวนนวลน้องเห็นรูปพี่เป็นทองต้องใจรัก
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นรจนานารีมีศักดิ์
เทพไทอุปถัมภ์นำชักนงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง
นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นในรูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง
ใครใครไม่เห็นรูปทรงพระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา
ชะรอยบุญไซร้จึงได้เห็นต่อจะเป็นคู่ครองกระมังหนา
คิดพลางนางเสี่ยงมาลาแม้ว่าเคยสมภิรมย์รัก
ขอให้พวงมาลยนี้ไปต้องเจ้าเงาะรูปทองจงประจักษ์
เสี่ยงแล้วโฉมยงนงลักษณ์ผินพักตร์ทิ้งพวงมาลัยไป
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงหลากจิตคิดสงสัย
อกเอ๋ยนี่เห็นเป็นอย่างไรมารักใคร่ไอ้เงาะมีเคราะห์กรรม
ทำให้อายขายพักตร์เผ่าพงศ์ไม่รักองค์เลยสักนิดผิดส่ำ
ไม่ปรึกษาหารือแต่สักคำจะมาทำให้พี่นี้พลอยยับ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เสียใจจนลมจับ
นางมณฑาเข้าประคองรองรับขยำขยับไปสักหน่อยก็ค่อยคลาย
ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดอึงอีรจนาดูดู๋มึงช่างมักง่าย
ทรลักษณ์อัปรีย์ไม่มีอายหน่อกษัตริย์ทั้งหลายไม่เอื้อเฟื้อ
มารักเงาะทรพลคนอุบาทว์ทุดช่างชั่วชาติประหลาดเหลือ
แค้นนักจักใครให้แล่เนื้อแล้วเอาเกลือทาซ้ำให้หนำใจ
ว่าพลางฉวยได้ไม้เรียวโกรธเกรี้ยวตัวสั่นหมั่นไส้
อีลูกชั่วน่าชังจังไรเอาไว้ไยดีเสียให้แทบตาย
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาอกสั่นขวัญหาย
เห็นสามีเคืองขุ่นวุ่นวายจะพิดทูลเบี่ยงบ่ายก็เกรงกลัว
จึงออกมาว่ากับลูกสาวช่างทำความงามฉาวอีคนชั่ว
เสียยศเสียศักดิ์ไม่รักตัวเลือกผัวได้เงาะเห็นเหมาะใจ
เขาจะเยาะเย้ยเล่นเป็นตำราพ่อแม่จะเอาหน้าไปไว้ไหน
จะเชิดชื่อลือลั่นสนั่นไปถึงบรรลัยก็ไม่สิ้นเขานินทา
ควรหรือมาเป็นได้เช่นนี้เสียทีแม่รักเจ้าหนักหนา
ร่ำพลางนางทรงโศกากัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนามารศรี
กล่าวแกล้งแสร้งทูลชนนีทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้
แต่น้ำใสใจจริงของข้าจะรักใคร่เงาะป่านั้นหาไม่
ซึ่งหมายมั่นครั้นลูกจะว่าไปที่ไหนใครเลยจะเห็นจริง
อันชั่วดีมิใช่จะไม่รู้แม่น้ำท่วมปากอยู่จึงสู้นิ่ง
ถึงชนกชนนีจะชังชิงลูกจะวิงวอนง้อขอโทษกรณ์
ทั้งนี้สุดแท้แต่วาสนาจะก้มหน้าใช้กรรมให้สิ้นก่อน
ยากเย็นอย่างไรไม่ทุกข์ร้อนมารดรอย่าทรงโศกาลัย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาหวั่นจิตคิดสงสัย
เฝ้าปลอบถามลูกรักเฝ้าซักไซ้จนอ่อนใจไม่บอกออกความ
กูชังน้ำหน้าลูกว่ายากเหนื่อยปากรำคาญขี้คร้านถาม
มึงเห็นอ้ายเงาะว่าเหมาะงามจะแร่ตามมันไปช่างไม่อาย
ว่าพลางนางกลับเข้ามาเฝ้ากระซิบทูลแบ่งเบาเบี่ยงบ่าย
ข้าไปถามอีลูกแสนร้ายมันพูดเป็นแยบคายไม่เข้าใจ
หลากนักมารักอ้ายเงาะป่าชอบลงอาญาอย่าปราศรัย
แต่พระได้ออกโอษฐ์โปรดไว้ให้เลือกตามชอบใจทั้งเจ็ดคน
ครั้นจะลงโทษทัณฑ์มันเล่าจะนินทาว่าเราทุกแห่งหน
โปรดเพียงขับไล่เสียให้พ้นมันอดอยากยากจนอย่านำพา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ฟังชังน้ำหน้า
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอุรานิ่งนึกตรึกตราอยู่ในใจ
จำจะต้องเงือดงดอดกลั้นคอยหยิบผิดมันให้จงได้
คิดพลางทางสั่งเสนาในอีรจนากูไม่ขอเห็นมัน
จะใคร่ฆ่าเสียให้ตายก็อายเขาจะว่าเรากลับคำทำหุนหัน
จะขับไล่ไปเสียด้วยกันปลูกกระท่อมให้มันอยู่ปลายนา
แต่แรกกูตั้งจิตคิดหวังจะแต่งทั้งเจ็ดคนให้หนักหนา
อีเจ้ากรรมทำให้ขายหน้าตาจะแต่งการวิวาห์ก็ขี้คร้าน
ให้อยู่เสียด้วยกันเถิดตามทีในข้างขึ้นเดือนสี่ปีขาล
ตรัสพลางทางคิดเดือดดาลปิดบานพระแกลไม่แลไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีมี่ฉาวเรียกบ่าวไพร่
ต่างถือมีดพร้าแล้วคลาไคลตรงไปปลายนานอกธานี
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ ครั้นถึงจึงเที่ยวเกี่ยวแฝกตัดไม้ไผ่แบกมาอึงมี่
บ้างกล่อมเสามเกลาฟากมากมีปลูกกระท่อมลงที่ท้องนา
แล้วปัดปูเสื่อฟูกผูกมุ้งม่านหม้อข้าวเชิงกรานตุ่มน้ำท่า
ทั้งปลูกผักฟักแฟงแตงกวาจอบเสียมมีดพร้าหาพร้อมไว้
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นทั้งหกบุตรีศรีใส
รู้ว่ารจนาทรามวัยได้ไอ้เงาะป่าเป็นสามี
ต่างคนแค้นขัดอัธยามันทำให้เขาว่าขายหน้าพี่
เราจะไปพ้อตัดให้เต็มทีว่าแล้วจรลีออกมา
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงเร็ว
๏ ครั้นถึงจึงหยุดยืนอยู่แลดูน้องสาวกับเงาะป่า
เคืองค้อนงอนจริตกิริยาเปรียบประชดชี้หน้าแล้วว่าไป
ฯ ๒ คำ ฯ
เย้ย
๏ ชะนางคนดีไม่มีชั่วช่างเลือกผัวงามนักน่ารักใคร่
รูปร่างน่าหัวร่อเหมือนตอไม้เอออะไรพุงโรสันหลังยาว
มันน่าเชยน่าชมสมประกอบพอชอบทำนองหม่อมน้องสาว
หูตาบั้งแบวเหมือนแมวคราวเขาเล่าลืออื้อฉาวช่างไม่อาย
นอกรีตนอกรอยน้อยหรือนั่นแร่รันไปรักอีมักง่าย
ให้พี่สาวชาวแส้พลอยวุ่นวายอัปยศอดอายขายหน้าตา
ถึงมิดีมิชั่วเช่นผัวกูจะร่วมเรียงเคียงคู่พอสมหน้า
อันอ้ายเงาะเหมาะเหลือเหมือนเสือปลาทุดช่างเสน่หาได้ลงคอ
หรือชะรอยถูกเสน่ห์เล่ห์กลเวทมนตร์ดลใจไฉนหนอ
ไม่คิดถึงพงศ์เผ่าเหล่ากอน้ำใจในคอมึงผิดคน
ยังจะทำแสนงอนค้อนข้าหรือคันมือจะใคร่ต่อยสักร้อยหน
กูจะกรวดน้ำคว่ำคะนนถึงยากจนขาดจากพี่น้องกัน
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้นรจนาตอบไปขมีขมัน
อุแม่เอ๋ยอื้ออึงขึ้นมึงมันเสกแสร้งสารพันโพนทะนา
ท้าคารมสมทบจะตบต่อยมิใช่ลูกเมียน้อยร้อยภาษา
ถึงได้เงาะเป็นผัวชั่วช้าก็สุดแต่วาสนาได้สร้างไว้
อันผัวพี่ดีเหลือเป็นเนื้อหน่อเห็นต่อจะบุญหนักศักดิ์ใหญ่
รูปร่างน้อยจ้อยอร่อยใจจงกอดไว้เถิดคะอย่าละวาง
ถึงพี่จะรุ่งเรืองไปเบื้องหน้าก็ไม่พึ่งวาสนาอย่าอวดอ้าง
ดีแต่จะมาพานรานทางไม่อดสูผีสางบ้างเลย
สำคัญว่าพี่น้องท้องเดียวกันมิรู้มันเหลือแหล่อุแม่เอย
เป็นผู้ใหญ่ไม่เหมาะมาเยาะเย้ยข้าเกินเลยไปมั่งขอสมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางเคืองค้อนแล้วค้อนว่า
ชะช่างเลี้ยวลดอีรจนากลับพาโลข้าว่าเย้ยเยาะ
เออคะกระนั้นและจริงอยู่รูปร่างผัวกูไม่สู้เหมาะ
ที่ไหนจะงามพร้อมเหมือนหม่อมเงาะใครเห็นก็หัวเราะว่ารูปงาม
ยังจะแค่นขึ้นเสียงเถียงเก้อเก้อทำกรุ่งกริ่งหยิ่งเย่อหยาบหยาม
อีกคนชาติชั่วตัวตะกลามจะละเมอเร่อตามไอ้เงาะไป
น้อยหรือปากคอมันพอสมข้าสู้รบคารมเจ้าไม่ไหว
ขี้คร้านเถียงให้เหนื่อยเมื่อยขาตะไกรก็กลับไปห้องหับฉับพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงเร็ว
๏ บัดนั้นจึงมหาเสนาคนขยัน
เข้าไปทูลรจนาสารพันพระบิดาคาดคั้นให้ขับไป
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นรจนาเศร้าสร้อยละห้อยไห้
ครวญคร่ำกำสรดสลดใจเข้าไปกราบกรานพระมารดา
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๏ โอ้ว่าพระชนนีเจ้าพระคุณเคยปกเกล้าเกศา
ถนอมเลี้ยงลูกไว้จนใหญ่มาเป็นสุขทุกทิวาราตรี
พระองค์จงจิตคิดหวังจะปลูกฝังลูกรักเป็นศักดิ์ศรี
มาทำขายบาทาครานี้ถึงจะให้ขับหนีไม่น้อยใจ
กรรมของลูกแล้วจะขอลาพระแม่อย่าทุกข์ทนหม่นไหม้
แม้นว่าชีวันไม่บรรลัยคงจะได้แทนคุณการุญรัก
ร่ำพลางกำสรดสลดจิตยิ่งคิดเป้นห่วงหน่วงหนัก
ชลเนตรฟูมฟองนองพักตร์นงลักษณ์โศกศัลย์พันทวี
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑามเหสี
คิดพะวงสงสารพระบุตรีเทวีอัดอั้นกลั้นโศกา
ลูกรักเฝ้าชะอ้อนวอนวิงนางนั่งนิ่งเฉยอยู่ไม่ดูหน้า
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอุราชลนาคลอเนตรสังเวชใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาทุกข์ทนหม่นไหม้
เห็นเจ้าเงาะพยักหน้าเป็นนัยชี้มือบอกใบ้ไปปลายนา
นางสะทกสะเทินเขินขวยจะไปด้วยง่ายง่ายก็อายหน้า
ครั้นจะหน่วงหนักชักช้าก็กลัวเกรงบิดาจะฆ่าตี
จึงกราบกรานมารดาด้วยอาดูรทรามวัยพิไรทูลถ้วนถี่
ลูกจะขออำลาฝ่าธุลีครั้นนี้มีกรรมจะจำไกล
ว่าพลางนางถวายบังคมลาชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
แล้วดำเนินเดินตามเจ้าเงาะไปเสนาในนำหน้าจรลี
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย
ทยอย
๏ ครั้นออกมานอกทวารวังเหลียวหลังมาดูปราสาทศรี
เคยอยู่สุขเกษมเปรมปรีดิ์อนิจจาครานี้จะจำไกล
แสนวิตกอกเอ๋ยไม่เคยยากจะลำบากเคืองเข็ญเป็นไฉน
ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ฉุกใจจะตามไปไม่รู้ว่าร้ายดี
นางสะอื้นยืนเช็ดชลนาครั้นเจ้าเงาะเหลียวมาก็เมินหนี
แล้วคิดรักหักใจจรลีตรงไปยังที่ปลายนา
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงเร็ว
ร่าย
๏ ครั้นถึงกระท่อมทับที่อยู่แลดูสมเพชเป็นหนักหนา
ไม่เคยเห็นเช่นนี้แต่เกิดมาก็โศกาทรุดนั่งอยู่นอกชาน
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
             

๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
เข้าไปในห้องมิทันนานเที่ยวดูของประทานทั้งปวง
แกล้งหยิบกระโถนมาโยนเล่นทำเป็นเหมือนกับรับลูกช่วง
แลเขม้นเห็นหวดกันกลวงเอามาจ้วงตักน้ำทำจะกิน
รจนาว่าไฮ้ช่างไม่อายเบื่อจะตายผมเผ้าเขาเปียกสิ้น
เจ้าเงาะเมินขายหูไม่ได้ยินทำฉวยพัดปัดริ้นปัดยุง
แล้วแกล้งหยิบครุตั้งบนเชิงกรานควักข้าวสารมาใส่ก่อไฟหุง
คลี่ผ้ากุศราชออกคาดพุงกางมุ้งเสียให้ดีแต่วี่วัน
แล้วหยิบหมอนมาอิงยิงฟันขาวกระดิกเท้าทำเล่นให้เห็นขัน
พอโพล้เพล้เพลาสายัณห์จึงรำพันพูดเกี้ยวเลี้ยวลด
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ชาตรี
๏ น้องเอยน้องรักผิวพักตร์เพียงจันทร์อันทรงกลด
โฉมนางแน่งน้อยช้อยชดจะกำสรดเศร้าหมองไม่ต้องการ
บุญพี่กับนางได้สร้างสมเคยภิรมย์ร่วมรักสมัครสมาน
พี่อยู่ถึงนอกฟ้าหิมพานต์เทวัญบันดาลให้เที่ยวมา
เหมือนหนึ่งแกล้งชักนำจำเพาะจึงได้เมียงามเหมาะจนเกินหน้า
ไม่ควรเคียงลูกสาวท้าวพระยาแต่วาสนาของเงาะเคราะห์ดี
พระโปรดปรานประทานทับกระหม่อมทั้งเครื่องใช้ได้พร้อมเพราะบุญพี่
น่าชมสมบัติเรามั่งมีมารศรีอย่าเศร้าเสียใจ
จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้ามิให้อายกับเขาเขยใหญ่
ขอเชิญโฉมงามทรามวัยมานั่งในห้องหับกับพี่ชาย
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนาโฉมฉาย
ได้ฟังเจ้าเงาะพูดเราะรายแยบคายคมสันขันคะนอง
น่าสำรวลสรวลสันต์ไม่กลั้นได้อรไทสะเทินเมินยิ้มย่อง
แก้ขวยฉวยมีดมาเจียนตองกรีดเล็บเย็บซองจะใส่พลู
เจ้าเงาะรื้อเรียกซ้ำทำกระบวนเมียงชม้อยม่อยม้วนหน้าอยู่
อิดเอื้อนเชือนแชไม่แลดูเป็นครู่มิใคร่จะพาที
คิดถึงรูปทองยังต้องใจเสียแรงได้ติดตามมาถึงนี่
ครั้นจะมิพูดด้วยก็ไม่ดีเทวีจึงตอบวาจา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าชังช่างอวดมั่งอวดมีไม่อายหน้า
เหย้าเรือนเหมือนกันกับรังกาแค่นคิดสมบัติบ้าน่าหัวเราะ
เมื่อกลางวันนั้นทำเป็นบ้าใบ้เดี๋ยวนี้เอออะไรพูดออกเหราะ
ฉลาดเฉลี่ยวเจียวจริงเจ้าเงาะกลับมาเยาะเย้ยหยันขันจริง
นี่หรือชาวนอกฟ้าหิมพานต์ซมซานมาเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
อุแม่เอ๋ยช่างชะอ้อนวอนวิงเพราะพริ้งหวานฉ่ำดังน้ำตาล
น้อยหรือนั่นน่ารักอยู่อักโขหูหนาตาโตเท่าไข่ห่าน
รูปร่างช่างกระไรเหมือนยักษ์มารบ่ำสันขันจ้านสักเท่าพ้อม
บิตุรงค์ทรงศักดิ์รักใคร่จึงโปรดให้สิงสู่อยู่กระท่อม
จอบเสียมสารพัดจัดให้พร้อมพอสมที่ทำปลอมแปลงมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ แสนเอยแสนแขนงน้อยหรือแกล้งตัดพ้อเล่นต่อหน้า
ติเล็กติน้อยคอยนินทาค่อนว่าพิไรไค้แคะ
พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเถียงสักสิ่งมันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ
เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะแฮะแฮะว่าเล่นหรือว่าจริง
อย่าประมาทรูปพี่เห็นขี้เหร่ไม่ว่าเล่นเป็นเสน่ห์ชอบใจหญิง
ชาวรั้วชาวงังไม่ชังชิงอุตส่าห์ทิ้งมาลัยมาให้เงาะ
ใช่ว่าจะแสร้งแกล้งอวดตัวนานไปพี่กลัวจะชมเปาะ
ว่าพลางเย้ายวนชวนหัวเราะแกล้งปะเหลาะปะแหละและเลียม
นี่แน่น้องผินหน้ามาข้างนี้ไม่พอที่จะระคายอายเหนียม
ดูดู๋ขืนยังนั่งเอื้ยมเฟี้ยมใจคอเหี้ยมเกรียมหนักหนานัก
มาเถิดเจ้าเข้าไปเสียในมุ้งกลางนากลางทุ่งยุงมันหนัก
อย่าทำบิดตะกูดพูดเยื้องยักแสนงอนค้อนควักไปทีเดียว
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ น่าเอยน่าสรวลเจ้าสำนวนทายาดฉลาดเฉลียว
ล้ำเลิศคนขยันขันจริงเจียวแก้เกี้ยวเลี้ยวลัดสกัดสแกง
แต่มาลัยให้ทานก็นินทาค่อนว่าแคะไค้ไปทุกแห่ง
เห็นเงาะชอบใจดอกไม้แดงจึงแกล้งทิ้งให้ไปกระนั้น
กลับว่าเขารักตัวน่าหัวเราะรูปร่างเจ้าสิเหมาะน้อยหรือนั่น
หนวดเคราครุ่มคร่ามงามครันหน้าตาตละปั้นขันสุดใจ
เอออะไรไม่อายขายหน้าเอารูปเงาะสวมมาทำบ้าใบ้
แกล้งซ่อนรูปสุวรรณไว้ชั้นในข้าเข้าใจอยู่ดอกอย่าหลอกลวง
พระบิดาขับไล่เพราะใครเล่าได้ความทุกขเท่าภูเขาหลวง
อัปยศอดสูเขาทั้งปวงเพราะไม่หน่วงไม่นักรักรูปทอง
จนตกยากอย่างนี้แล้วมิสายังจะมาเรียกให้ไปในห้อง
ข้ากลัวรูปเงาะป่าตาพองจะให้น้องนั่งใกล้จนใจจริง
ฯ ๑๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ โฉมเอยโฉมเฉลาเอออะไรรู้เท่าไปทุกสิ่ง
แสนเฉลียวฉลาดล่วงท้วงติงมันก็จริงกระนั้นนั่นและซิ
ขืนจะมาควักค้อนค่อนว่าเงาะของข้าเคยใส่ทำไมสิ
ผู้หญิงมักต้องจิตประสิทธิอย่าเฝ้าติตะบอยไปหน่อยเลย
ถึงหนวดเครารุงรังช่างเป็นไรเอาแหนบถอนเสียได้ดอกน้องเอ๋ย
หัวพริกหยิกยุ่งอย่าเยาะเย้ยถ้าหวีเสยสอยหย่งแล้วคงงาม
ทำไมกับรูปชั่วตัวดำจะอาบน้ำขัดสีสัมมะขาม
ละลายดินสอพองสักสองชามทำให้งามตลอดเท้าขาวทั้งตัว
ถึงตาพองท้องพลุ้ยพีพลุอย่าดูหมิ่นกินจุมิใช่ชั่ว
จงปรานีเงาะป่าเถิดอย่ากลัวจะแต่งตัวให้งามตามใจน้อง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ ว่าพลางทางถอดเงาะเสียเอาซ่อนเมียวางไว้ในห้อง
รูปทรงโสภาดังทาทองค่อยย่องมานั่งข้างหลังนาง
เห็นห่มผ้าสไบไพล่พลิ้วทำยื่นนิ้วจะจี้ที่สีข้าง
กระทั่งไอกระแอมแย้มยิ้มพลางสะกิดนางให้รู้ดูนี่แน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาไม่ทะยาทะแยแส
คิดว่าเงาะลูบหลังทำรังแกไม่เหลียวแลร้องอึงคะนึงไป
โมโหหันหน้ามาหยิกทึ้งเห็นรูปงามก็ตะลึงหลงไหล
น้อยหรือถอดเงาะเหมาะสุดใจเนื้อหนังช่างกระไรราวกับทอง
หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรานงเยาว์กระหยิ่มยิ้มย่อง
คิดไว้ก็สมอารมณ์ปองบริสุทธิ์ผุดผ่องผิวพรรณ
งามจริงยิ่งมนุษย์ในใต้หล้าดูดังเทวาบนสวรรค์
เฝ้าชม้ายชม้อยม่อยเมียงมันสะเทินจิตบิดผันไม่พูดจา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์เกษมสันต์หรรษา
เห็นนางอายเอียงเมียงพักตราจึงแกล้งว่าสัพยอกหยอกเอิน
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ไม่พอที่จะระคางห่างเหิน
เฝ้าผินหน้าผินหลังนั่งเมินอย่าสะทกสะเทินเชิญดูเงาะ
นิ่งอยู่ไยสิไม่ติเล่านี่แน่เจ้าจะเหมาะหรือมิเหมาะ
ไม่แกล้งอวดทรวดทรงจงพิเคราะห์อย่าหัวเราะเยาะเย้าไปเลยคะ
เมื่อกี้ค่อนว่าพี่ตาพองเดี๋ยวนี้น้องจงติเถิดสิหนะ
หน้าตาหายเคอะไม่เทอะทะมันต่อจะกระนั้นเป็นมั่นคง
หนวดเคราพี่ถอนเสียล่อนเลี่ยนไม่ว่าเล่นเห็นเจียนจะลุ่มหลง
ยังพ่วงพีเท่าพ้อมหรือย่อมลงรูปทรงคงขยันแล้วกัลยา
ถึงเจ้าจะเข้าหอก็พอได้เห็นจะไม่อับอายขายหน้า
ตามมีตามเกิดเถิดน้องอาตามประสายากเย็นเข็ญใจ
เชิญเจ้าเข้าไปในห้องหับนอนหลับเสียมั่งเจ็บหลังไหล่
แล้วกุมกรกัลยาช้าอยู่ไยมาไปดีดีอย่าดื้อดึง
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดเอยบัดสีอะไรนี่น่าพิโรธโกรธขึ้ง
นางค้อนควักผลักไสหยิกทิ้งร้องไห้อึงดอกเจ้าเฝ้ายื้อยุด
ช่างทำได้ไม่เกรงข่มเหงคนฉุดกระชากลากจนไหล่จะหลุด
เห็นแล้วว่าประเสริฐเลิศมนุษย์ราวกับเทพบุตรสุดปัญญา
งามแล้วคะชะเจ้าอย่าเฝ้าอวดเพริศพริ้งยิ่งยวดเป็นหนักหนา
ใครใช้ให้แกล้งแปลงปลอมมาเขาก็ติก็ว่าให้สาใจ
แม้นมิทำยอกย้อนซ่อนรูปทรงไหนเลยบิตุรงค์จะขับไล่
นี่เป็นเหตุเพราะเงาะหรือเพราะใครจึงได้อัประมาณรำคาญเคือง
ยังจะมาลดเลี้ยวเกี้ยวพานพูดจาน่ารำคาญหูเหือง
ว่าพลางทางทำชำเลืองค้อนควักยักเยื้องเป็นแยบคาย
ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ดวงเอยดวงสมรเจ้าแสนแง่แสนงอนใจหาย
ไม่ควรจะเคืองขุ่นวุ่นวายตีโพยตีพายพาโลเงาะ
พี่เสี่ยงแสร้งแปลงมาทำบ้าใบ้ถ้าแม้นใครเป็นคู่ก็ดูเหมาะ
แม้นไม่เคยอุปถัมภ์จำเพาะก็เย้ยเยาะยิ้มหัวว่าชั่วช้า
ซึ่งสวมรูปเงาะป่ามานี้ไซร้หวังจะให้น้องคิดปริศนา
เจ้าก็ปลงถูกแล้วนะแก้วตาจึงรู้ว่าเงาะงามเป็นรูปทอง
อย่าบิดเบือนเชือนเฉยนะแก้วตาจูงนางย่างเข้าไปในห้อง
นั่งแอบแนบเนื้อนวลละอองเลียมลองโลมเล้าเคล้าคลึง
อะไรเฝ้าฮึดฮัดปัดมือรำคาญวานอย่าดื้อไปน่อยหนึ่ง
ว่าพลางทางกระหวัดรัดรึงจะร้องอึงก็ร้องเถิดน้องรัก
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ น้อยเอยน้อยใจนี่อะไรรุกรานหาญหัก
ข่มเหงคะเนงร้ายน่าอายนักนางค้อนควักชักหน้าแล้วว่าไป
น้องยังเคลือบแคลงไม่แจ้งความอย่าวู่วามลามลวนหาควรไม่
นามวงศ์พงศ์ประยูรอย่างไรประหลาดเหลือเชื้อไพร่หรือผู้ดี
ไม่บอกไม่เล่าเฝ้าแอบอิงแม้นรักจริงนิ่งอยู่อย่าจู้จี้
จะหยิกให้ขาเขียวประเดี๋ยวนี้อะไรนี่ไม่เสงี่ยมเลียมและ
ยิ่งว่าให้นิ่งเหมือนยิ่งยุดูดู๋น่าตีเล่นดีแหละ
จงแถลงแจ้งความให้งามแงะอย่าเหลาะแหละลวงหลอกเร่งบอกมา
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ยอดเอยยอดมิ่งจะแจ้งความตามจริงไม่มุสา
ตัวพี่นี้หน่อกษัตรานามกรชื่อว่าพระสังข์ทอง
แถลงเล่าแต่ต้นไปจนปลายบรรยายตามเรื่องที่เคืองข้อง
เป็นความในใจพี่เช่นนี้น้องนวลละอองอย่าแหนงแคลงใจ
ว่าพลางทางถดเข้าชิดจะอายเอียงเบี่ยงบิดไปข้างไหน
ยื้อยุดฉุดชักชายสไบคว้าไขว่สัพยอกหยอกเย้า
ช่างหยิกข่วนไปได้เหมือนไม่เจ็บข่มเหงนักหักเล็บเสียดอกเจ้า
ดีจริงยิ่งว่ายิ่งหยิกเอาเบาเบาอุยหน่าไม่ปรานี
พระอุ้มองค์อรไทขึ้นใส่ตักอะไรเล่าเฝ้าผลักมือพี่
ความรักรัญจวนยวนยีเปรมปรีดิ์ประดิพัทธ์กำหนัดนาง
อัศจรรย์บันดาลในกลางหาวเดือนดาวส่องแสงเจ้งกระจ่าง
เย็นซาบอาบละอองน้ำค้างค่อยสระสร่างเศร้าหมองทั้งสองรา
ฯ ๑๒ คำ ฯ โลมพิณพาทย์
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้นรจนาเยาวยอดเสน่หา
นั่งแนบแอบองค์ภัสดาจำนรรจาพาทีซี้ซิก
ที่ทุกข์ร้อนผ่อนผันบรรเทานงเยาว์ยิ้มเหยาะหัวเราะหริก
พระอุ้มขึ้นใส่ตักนางผลักพลิกทำกระบวนข่วนหยิกด้วยมารยา
แลสบหลบเนตรภูวไนยสะเทินใจอายเอียงเมียงหน้า
แย้มสรวลยวนยีปรีดากัลยานิยมสมคิด
แสนสมัครรักใคร่ใหลหลงด้วยรูปทรงเป็นทองต้องจิต
ถ้อยทีบรรทมชมชิดแนบสนิทนิทราในราตรี
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี
เชยชมสมสวาทด้วยเทวีในที่กระท่อมทับลับแลง
ครั้นประจุสมัยไก่ขันสุริยันเรืองรองส่องแสง
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงแปลงหวังมิให้ใครแจ้งความใน
แล้วว่าแก่รจนานงลักษณ์น้องรักผู้ยอดพิสมัย
เราผัวเมียสองคนจนใจมาจะไปหาหุงโภชนา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาโศกศัลย์รำพันว่า
น้องนี้แต่กำเนิดเกิดมาจะหุงข้าวหุงปลาก็ไม่เคย
แต่ก่อนร่อนชะไรอยู่ในวังวิเสทหามาตั้งให้เสวย
ไม่เข้าเนื้อเข้าใจอย่างไรเลยอกเอ๋ยมีกรรมก็จำเป็น
ว่าพลางนางทรงโศกีครั้งนี้ยากแค้นแสนเข็ญ
ดังหนึ่งเลือดตาจะกระเด็นจำเป็นจำใจออกไปพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ      เพลง
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะแสนกลคนขยัน
ครั้นโพล้เพล้เพลาสายัณห์สองราพากันเข้าในทับ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงถอดเงาะออกเสียให้เมียเห็นรูปเป็นทองอร่ามงามสรรพ
เอารูปเงาะซ่อนไว้ให้ลับแล้วกลับมานั่งสั่งสนทนา
อิงแอบแนบชิดสะกิดเกาสัพยอกหยอกเย้าขนิษฐา
เชยแก้มแนมปรางปรีดาสรวลสันต์หรรษาพาที
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาแน่งน้อยนวลศรี
พลางชะอ้อนวอนว่ากับสามีจงปรานีน้องเถิดอย่าทรงเงาะ
ผู้คนทั้งปวงไม่ล่วงรู้ให้เขาดูถูกเล่าช่างเห็นเหมาะ
น้องว่าก็ไม่เชื่อนี่เนื้อเคราะห์กลับจะมาหัวเราะน่าขัดใจ
นางนิ่งนึกตรึกแล้วตรึกเล่าจะลักรูปเงาะเผาเสียให้ได้
จึงปูปัดฟูกหมอนที่นอนในชวนให้ทรงธรรม์บรรทม
แล้วนั่งนวดฟั้นคั้นบาทาคลี่ผ้าของตัวให้ผ้าห่ม
ปรนนิบัตรพัดวีโบกลมนงเยาว์นิยมสมปอง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์เชยชมสมสอง
อิงแอบแนบเนื้อนวลละอองกรตระกองน้องแก้วแล้วหลับไป
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นนางรจนานารีศรีใส
คิดจะลักรูปเงาะภูวไนยนางมิได้สนิทนิทรา
เห็นพระหลับไหลไม่ไหวองค์โฉมยงยินดีเป็นหนักหนา
ค่อยขยายยกหัตถ์ภัสดาขยับตัวออกมาเอาหมอนรอง
ฟากลั่นเกรียบเกรียบเหยียบย่างมืดไม่เห็นทางถลำล่อง
ลุกขึ้นลดเลี้ยวเที่ยวมองหาเงาะในห้องกระท่อมทับ
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงเร็ว
๏ ครั้นเห็นหิ้วหัวมาครัวไฟฉวยพร้าโต้ใหญ่เข้าเสี่ยงสับ
ฟันซ้ำร่ำไปมิได้นับรูปเงาะไม่ยับยิ่งขัดใจ
เหน็ดเหนี่อยเมื่อยแขนสิ้นแรงเรี่ยวทุดช่างหนังเหนียวน่าหมั่นไส้
นางโกรธาหาฟืนมาก่อไฟเอารูปเงาะเข้าใส่ในอัคคี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ แล้วฉวยเอาพร้ามาสับซ้ำนางทำร้อยอย่างร้อยสี
อ้ายเงาะสัปดนทนสิ้นทีเผาจี่เท่าไรไม่ไหม้มัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์หลับไหลใฝ่ฝัน
ละเมอกอดหมอนข้างพลางสำคัญคิดว่าเมียขวัญอยู่แนบนอน
ลืมตาคว้าไขว่ไปเป็นครู่จึงรู้ตระหนักแน่อุแม่หมอน
แลดูโฉมยงองค์บังอรไม่เห็นนอนในมุ้งสะดุ้งใจ
ลุกขึ้นมองหาละล้าละหลังไม่เห็นทั้งเงาะทรงยิ่งสงสัย
เห็นแสงเพลิงสว่างข้างครัวไฟตกใจออกมาเที่ยวหาเมีย
เห็นนงเยาว์เผาเงาะเอาไฟสุมจึงตักน้ำในตุ่มมาดับเสีย
แล้วว่าน่าชังช่างทำเยียขิงเงาะทะเลาะเมียมี่ไป
ดูดู๋ยังดื้อเข้ายื้อคร่ายิ่งว่าแล้วยังหาฟังไม่
จะเอาเงาะของเขาไปเผาไฟทำได้ไม่เกรงข่มเหงกัน
หรือเจ้าชอบใจจะใส่เล่นจะได้เป็นนางเงาะเหมาะขัน
นอกรีตน้อยหรือมือคันคันจะใคร่รันเข้าสักผางนางคนดี
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ทรงเอยทรงฤทธิ์ชอบผิดจะรับใส่เกศี
แม้นไม่เมตตาจะฆ่าตีน้องนี้จะสู้ม้วยมุด
พระสวมเงาะร้ายขายหน้าเมียจะชิงเอาเผาเสียให้สิ้นสุด
ถึงพระเรี่ยวแรงจะแย่งยุดผิดชอบแขนหลุดไม่วางมือ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าหัวเราะเก้อแล้วนี่เงาะของเจ้าหรือ
กลับเถียงเสียงแข็งเข้าแย่งยื้อเอออะไรใจดื้อจริงจริงเจียว
ถึงเจ้ามิให้ก็ไม่ฟังน่าชังน้อยหรอืนางมือเหนียว
ฮึดฮัดขัดเขมรเป็นเกลียวแย่งยุดฉุดเหนี่ยวกันไปมา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ชิงรูปเงาะได้ใส่สวมองค์ทำก้มลงหลอนหลอกกลอกหน้า
ตบมือเย้ยหยันกัลยาแล้วคืนเข้าเคหาห้องนอน
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนาดวงสมร
จึงตามมางอนง้อขอโทษกรณ์วิงวอนสามีพิรี้พิไร
น้องได้ผิดพลั้งแต่ครั้งหนึ่งจะพิโรธโกรธขึ้งไปถึงไหน
ผัวเมียสองคนจนไร้ชั่วดีได้เห็นหน้ากัน
ถ้าทีหลังยังขืนทำเช่นนี้จงทำโพยโบยตีให้อาสัญ
ว่าพลางนางเข้าไปนวดฟั้นหลังไหล่ไหนคันจะช่วยเกา
ยื่นมือมาจี้ที่สีข้างจะหย่าร้างกันจริงเจียวหรือเจ้า
เอนอิงพิงทับลงกับเพลาถอนหนวดถอนเคราให้เจ้าเงาะ
แล้วหยิบหมากมาป้อนวอนขอชานเคี้ยวประทานสักคำทำปะเหลาะ
ยียวนชวนผัวให้หัวเราะแสร้งออเซาะสรวลสันต์จำนรรจา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะยิ้มพลางทางว่า
ที่นี้พี่จะอดนางรจนาแม้นถ้าทีหลังไม่ฟังกัน
นี่หากว่ารักเจ้าอักโขจึงสู้ดับโมโหไม่หุนหัน
ว่าพลางเชยชิดติดพันถ้อยทีดีกันดังใจจง
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระสังข์ตั้งแต่วันนั้นมาไม่ไว้ใจรจนานวลหง
เอารูปเงาะศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรงค์สวมองค์ทรงใส่ไว้อัตรา
เช้าค่ำพร่ำสอนสั่งเสียให้เมียปั่นฝ้ายทอผ้า
เจ้าเงาะหัดตีกรับขับเสภารจนาปั่นฝ้ายสบายใจ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
             

บทเสภาเจ้าเงาะขับ

(บทเสภานี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์)

๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิทสบายจิตชื่นชมประสมสอง
นั่งอยู่ด้วยกันกับวันทองที่ร่มไทรในห้องอรัญวา
ให้วิเวกอ้างว้างอยู่กลางดงตะวันบ่ายชายลงลับเหลี่ยมผา
ลมพัดเรื่อยเรื่อยเฉี่อยเฉี่อยมาดอกไม้ป่าหอมหวนชวนชื่นใจ
รวยระรินกลิ่นพุทธิชาดชื่นรื่นรื่นลำดวนดกดอกไสว
เรไรร้องหริ่งหริ่งที่กิ่งไทรเสียงลองไนให้เสนาะเพราะสำเนียง
แจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นป่าดังซอสีปี่ชวาวังเวงเสียง
สกุณาพาคู่เข้ารังเรียงขุนแผนเคียงข้างน้องประคองเชย
ตัวพี่กับรจนามาได้แค้นเหมือนขุนแผนกับวันทองเจียวน้องเอ๋ย
อยู่กระท่อมตรอมใจไม่เสบยกระไรเลยอนิจจาช่างอาภัพ
เคยนอนเตียงเสียงประโคมด้วยแตรสังข์มาตกไร้ได้ฟังแต่เสียงกรับ
พลางอิงแอบแนบน้องในห้องทับถนอมรับขวัญให้เข้าไสยา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
             

ตอนที่ ๗ ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ

๏ เมื่อนั้นท่านท้าวสามนต์เป็นใหญ่
ตั้งแต่เงาะพาธิดาไปให้แค้นขัดฤทัยทุกเวลา
รจนาเจ้ากรรมมันทำชั่วมีผัวเงาะร้ายให้ขายหน้า
จำจะคิดอ่านด้วยมารยาพาลฆ่าเสียให้ได้ไม่ไว้เลย
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดพลางทางสั่งเสนาในจงรีบไปบอกบรรดาลูกเขย
กูจะให้แต่งตั้งสังเวยตามเคยบวงสรวงเทวัญ
พรุ่งนี้หาปลามาคนละร้อยใครได้น้อยจะฆ่าให้อาสัญ
ทั้งอ้ายเงาะขี้ครอกจงบอกมันมิได้ปลามาทันจะบรรลัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งบังคมไหว้
วิ่งวางออกจากวังในมายังบ้านเขยใหญ่ทั้งหกองค์
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแถลงแจ้งคดีบัดนี้รับสั่งต้องประสงค์
เร่งหาปลามาให้ดังใจจงเอาไปส่งให้ทันพระบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยเกษมสันต์หรรษา
ยิ้มพลางทางตอบเสนาผักปลาหน้านี้มีถมไป
อย่าว่าแต่เท่านั้นท่านจะเอาถึงจะลงสำเภาก็รับได้
อาสาพ่อตาแล้วเต็มใจจะหาให้สุดฤทธิ์ไม่บิดพลิ้ว
สงสารแต่เงาะป่าประดาเสียจะพาเมียสุ่มช้อนจนอ่อนหิว
เต็มทีจะได้มาแค่ปลาซิวท้าวจะกริ้วโกรธาให้ฆ่าฟัน
ว่าพลางทางสั่งบ่าวไพร่พรุ่งนี้กูจะไปแต่ไก่ขัน
เรือแพแหอวนทุกสิ่งอันเร่งรัดจัดกันให้พร้อมไว้
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนาลาหกเขยใหญ่
ชวนกันรีบออกนอกเวียงชัยตรงไปยังบ้านปลายนา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงยืนอยู่นอกรั้วระวังตัวกลัวสุนัขหนักหนา
ร้องเรียกเข้าไปมิได้ช้าหม่อมแม่รจนาอยู่แห่งใด
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นรจนาสาละวนลนควันไต้
จับกระเหม่าใส่น้ำมันกันไรถึงยากเย็นเข็ญใจมิให้รก
ทางแป้งแต่งตัวไม่มัวหมองผัดหน้านั่งมองส่องกระจก
นุ่งผ้าจัดกลีบจีบชายพกแล้วยกของมาให้ผัวกิน
จีบพลูใส่ซองรองลำดับเอามีดพับผ่าหมากจนปากบิ่น
เจ้าเงาะนอนถอนหนวดสวดสุบินเล่นลิ้นละลักยักลำนำ
ฯ ๖ คำ ฯ
กาพย์เรื่องสุบิน
๏ จะกล่าวตำนานสุบินกุมาร
อันสร้างสมมาร่ำเรียนเขียนธรรม
ปรากฏนักหนาบวชในศาสนา
ลุถึงอรหันต์
๏ โปรดแม่พ้นทุกข์โปรดพ่อเสวยสุข
ไปยังเมืองสวรรค์นางฟ้าแห่ห้อม
แวดล้อมนับพันเครื่องทิพย์อนันต์
อเนกนานา
๏ แต่ก่อนยังมีเมืองสาวัตถี
นครพาราท่านท้าวเจ้าเมือง
ฤาเลื่องนักหนารี้พลช้างม้า
ข้าคนบริวาร
๏ นอกเมืองออกไปมิใกล้มิไกล
มีบ้านนายพรานเป็นส่วยมังสัง
เนื้อหนังตระการแต่ล้วนหมู่พราน
ย่อมเอามาถวาย
๏ นายพรานผู้ใหญ่ชอบอัชฌาสัย
ตั้งให้เป็นนายคุมไพร่พรานป่า
ล่าเนื้อกวางทรายพรานผู้เป็นนาย
ตักเตือนบ่คลา
๏ รจนานิ่งฟังนั่งหัวเราะน้อยหรือเพราะแจ้วเจื่อยเฉื่อยฉ่ำ
ไม่ทันถึงใบสมุดหยุดกินน้ำสวดซ้ำอีกสักนิดยังติดใจ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ พอได้ยินแว่วเสียงเสนีมาร้องเรียกอยู่ที่ริมไร่
นางจึงลุกเดินออกไปยืนเยี่ยมกระไดมองดู
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาหยุดยั้งนั่งคอยอยู่
เรียกพลางทางมองที่ช่องประตูเห็นโฉมตรูเดินออกมานอกชาน
จึงเข้าไปบังคมก้มหน้าน้ำตาไหลลงด้วยสงสาร
แล้วทูลแถลงเล่าเยาวมาลย์ตามบัญชาการพระทรงยศ
บัดนี้มีรับสั่งใช้มาให้เจ้าเงาะเสาะหาปลาสด
ทั้งหกเขยใหญ่ก็ไม่ลดกำหนดให้ทันวันพรุ่งนี้
ใครได้ไม่ครบร้อยน้อยไปพระจะให้ฆ่าฟันบั่นเกศี
ทูลแถลงแจ้งความตามคดีอัญชลีแล้วกลับไปฉับไว
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นรจนาอกสั่นหวั่นไหว
เข้าไปในกระท่อมทันใดกอดตีนผัวไว้แล้วโศกา
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๏ อกเอ๋ยโอ้ว่าครานี้น่าที่จะม้วยสังขาร์
สมเด็จบิตุเรศไม่เวทนาจะคิดอ่านพาลฆ่าชีวาลัย
ให้หาปลาเป็นร้อยน้อยหรือนั่นประกวดกันกับเขาเหล่าเขยใหญ่
มั่งมีศรีสุขทุกข์อะไรประเดี๋ยวเดียวก็จะได้ง่ายดาย
วิตกแต่ส่วนตัวผัวรักยากนักจะซุกซนขวนขวาย
ผัวเมียสองคนจนจะตายจะหาปลาไปถวายที่ไหนทัน
ถ้าพระรูปทองน้องงบรรลัยเมียจะตามเข้าไปมิได้พรั่น
จะให้เขาพิฆาตฟาดฟันสู้ตายตามกันไปไม่คิดกลัว
ไม่ขออยู่ดูหน้าคนทั้งหลายมิให้ชายอื่นต้องเป็นสองผัว
ว่าพลางนางทุ่มทอดตัวตีอกชกหัวเข้าร่ำไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะยิ่งคิดพิสมัย
ปลอบนางพลางเช็ดชลนัยน์โลมเล้าเอาใจให้เคลื่อนคลาย
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลมใน
๏ น้องเอยน้องรักงามพักตร์ผ่องเหมือนดังเดือนหงาย
อย่าครวญคร่ำน้ำเนตรฟูมฟายแสนเสียดายนวลน้องจะหมองมัว
ทั้งในใต้ฟ้าไม่หาได้พี่ขอบใจเจ้านักที่รักผัว
ทำไมกับมัจฉาเจ้าอย่ากลัวสักแสนตัวก็จะได้ไม่ยากนัก
ไปนอนเสียให้สบายหายเจ็บหลังจะมานั่งโศกาด้วยปลาผัก
แย้มสรวลชวนชิดจุมพิตพักตร์น้องรักเจ้าอย่าปรารมภ์เลย
ถึงยากจนคนเดียวก็หาได้พี่หาพรั่นไม่อ้ายหกเขย
ว่าพลางภิรมย์ชมเชยหลับนอนตามเคยสบายใจ
ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม
ร่าย
๏ ครั้นอุทัยไขแสงขึ้นสางสางพระโลมนางพลางลูบหลังไหล่
สั่งเสียรจนาด้วยอาลัยพี่จะไปสักประเดี๋ยวเที่ยวหาปลา
ว่าพลางทางจับไม้เท้าทรงใส่เกือกแก้วแล้วลงจากเคหา
แผลงฤทธิ์เหาะเหินเดินฟ้าตรงมายังฝั่งชลธาร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงหยุดนั่งที่ร่มไทรใบบังสุริย์ฉาน
ถอดเงาะซ่อนเสียมิทันนานแล้วโอมอ่านมหาจินดามนต์
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
ล่องเรือ
๏ เดชะเวทวิเศษของมารดาฝูงปลามาสิ้นทุกแห่งหน
เป็นหมู่หมู่มากมายในสายชลบ้างว่ายวนพ่นน้ำคล่ำไป
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
ร่าย
๏ เมื่อนั้นฝ่ายเจ้าเหล่าหกเขยใหญ่
ครั้นรุ่งเรียกหาข้าไทบ่าวไพร่นับร้อยไม่น้อยเลย
แต่งองค์ทรงเสื้อลงเรือญวนแหวนของใครเอาไปเหวย
ภรรยาหาขนมนมเนยตามเคยขนส่งลงมาพลัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นจัดแจงพร้อมมุลไม่ขาดเหลือให้ออกเรือจากที่ขมีขมัน
เรืออวนเรือแหแจจันเร่งกันตามนายพายมา
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏ พ้นด่านบ้านช่องล่องเลยถึงท้องคุ้งที่เคยมีมัจฉา
หกองค์ทรงแหทอดปลาลอยมาสองฟากลากเบ็ดราว
บ้างเอาลอบลงดักตักสวิงริมตลิ่งลากอวนอื้อฉาว
ติดแต่จระเข้อยู่เกรียวกราวนายบ่าวต่างโกรธโทษกัน
แล้วพายเลียบริมฝั่งมาทั้งพวกถือฉมวกยืนคอยแทงหวั่น
บ้างลงเฝือกปิดคลองไว้สองชั้นแล้วช่วยกันตีน้ำร่ำมา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ปลาผักสักตัวก็ไม่ได้คิดอัศจรรย์ใจเป็นหนักหนา
รีบพายมาจนถึงบึงปลายนาพบมัจฉานับแสนแน่นไป
เห็นพระสังข์นั่งอยู่ที่ฝั่งชลต่างคนพิศวงสงสัย
จะเป็นเทพารักษ์หรืออะไรเถียงกันวุ่นไปทั้งไพร่นาย
จึงวาดแวะนาวาเข้ามาพลันทั้งหกอกสั่นขวัญหาย
ต่างก้มกรานหมอบยอบกายบ่าวนายนึกคะเนว่าเทวา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์นั่งยิ้มอยู่ในหน้า
เห็นหกเขยเคอะเซอะมาสมดังจินดาก็ยินดี
จึงเสแสร้งแกล้งทำไม่รู้จักถามทักซักไซ้ไปไหนนี่
เอะแล้วออเจ้าเหล่านี้หน่วยก้านพานจะดีมีฝีมือ
เรือแพแหอวนก็เอามาจะลอบลักดักปลาของข้าหรือ
เราเป็นเทพเจ้าเล่าลือนับถือทุกแห่งแพร่งพราย
แต่หักคอคนตายเสียหลายพันอย่าดุดันดูหมิ่นมักง่าย
มาหาเรานี้ดีหรือร้ายบอกยุบลต้นปลายให้แจ้งใจ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งหกอกสั่นหวั่นไหว
สำคัญจิตคิดว่าพระไพรกราบไหว้ท่วมหัวกลัวฤทธา
ใจคอทึกทึกนึกพรั่นปากสั่นเสียงสั่นซังตายว่า
ท่านท้าวสามนต์ผู้พ่อตาให้หาปลาประกวดกับอ้ายเงาะ
ข้าทอดแหแปรซ้อนแต่เช้าตรู่ออกอ่อนหูหิวหอบเที่ยวรอบเกาะ
ไม่ได้ปลาสักหน่อยชะรอยเคราะห์ฉวยแพ้อ้ายเงาะสิน่าอาย
กลัวท้าวพ่อตาจะฆ่าเสียสงสารแต่เมียจะเป็นม่าย
เทวดาเลี้ยงปลาไว้มากมายข้าขอไปถวายพอรอดตัว
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ได้ฟังก็ยิ้มหัว
จึงว่าหกเจ้านี้เมามัวไม่กลัวบาปกรรมทำประมง
แต่ได้มาขอแล้วก็จำให้เราไซร้จะขอมั่งดังประสงค์
จะให้หรือมิให้ทั้งหกองค์ท่านจงปรึกษาหารือกัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยรับคำขมีขมัน
พระองค์จะประสงค์สิ่งใดนั้นสารพันมีแล้วไม่ขัดเลย
สุดแท้แต่ตามจะเลือกเอาเป็ดไก่เหล้าข้าวของเสวย
ทั้งกล้วยอ้อยขนมนมเนยจะแต่งตั้งสังเวยเซ่นวัก
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์กล่าวแกล้งแจ้งประจักษ์
เราเป็นเทวาสุรารักษ์จะเซ่นวักสิ่งของไม่ต้องใจ
จะขอปลายจมูกหม่อมลูกเขยตามเคยคนละน้อยหามากไม่
แม้นให้เราเราจะให้ปลาไปจะให้หรือมิให้ให้ว่ามา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยได้ฟังนั่งปรึกษา
ชิชะเจ้าเล่ห์เทวดาจะเอาปลาแลกปลายจมูกคน
แม้นเชือดเสียเมียเห็นจมูกด้วนจะทำกระบวนผินหลังนั่งบ่น
ของสำคัญหนักหนาเข้าตาจนจะผ่อนปรนแก้ไขอย่างไรดี
บ้างว่าอย่าพักประดักประเดิดทนเจ็บเอาเถิดไม่จู้จี้
หาปลาที่ไหนก็ไม่มีอ้ายเงาะดีหาได้สิอายมัน
หกเขยรีรอท้อจิตสุดคิดสุดที่จะผ่อนผัน
นั่งนิ่งก้มหน้าดูตากันเชือดเสียเห็นวันจะได้ไป
ต่างยอมพร้อมใจไม่กลัวเจ็บฉวยได้มีดเหน็บของบ่าวไพร่
ยื่นให้เทวัญทันใดทอดถอนใจใหญ่ย่อท้อ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สรวลสันต์กลั้นหัวร่อ
ยิ้มพลางทางตรัสตัดพ้อเอออะไรใจคอเหมือนปลาซิว
แล้วเอามีดกรีดลับกับศิลาทั้งหกตกประหม่าหน้านิ่ว
มือบีบหนีบจมูกไว้สองนิ้วอย่าบิดพริ้วดุกดิกพลิกแพลง
ทำเงื้อมีดกระหยับจับจ้องที่ใจชั่วกลัวร้องจนเสียงแห้ง
เอาแล้วนะฉะเชือดเลือดแดงจมูกแหว่งโหว่วิ่นสิ้นทุกคน
ฯ ๖ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้นทั้งหกลูบแผลพลางครางร่น
เจ็บแสบแทบตายเต็มทนต่างคนต่างแลดูแผลกัน
เขยใหญ่ใจแข็งทำแกล้งว่าจมูกด้วนดูหน้าเห็นขบขัน
สะกิดเพื่อนเตือนทวงเทวัญแลกกันเมื่อไรจะให้ปลา
ฯ ๔ คำ ฯ
ล่องเรือ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ได้สมปรารถนา
จึงตั้งสัตย์อธิษฐานด้วยวาจามัจฉานัวใดถึงที่ตาย
จงกระโดดโลดขึ้นมาริมฝั่งให้สมหวังดังจิตที่คิดหมาย
พอสิ้นคำประกาศไม่คลาดคลายปลาตายบนตลิ่งกลิ้งเกลื่อนไป
แล้วแกล้งแบ่งมัจฉาที่ชั่วชั่วให้คนละสองตัวหามากไม่
หกองค์จึงชวนกันคลาไคลเอาปลาไปให้สมอารมณ์คิด
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นหกเขยค่อยคลายสบายจิต
ต่างองค์อำลาสุราฤทธิ์บ่าวตะบิดเชือกน้อยร้อยปลา
หัวท้ายพายวาดนาวาออกบ้างบอกโยนยาวฉาวฉ่า
รีบเร่งโดยด่วนจวนเวลากลับมาจะให้ทันเตือนกันพาย
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สมจิตที่คิดหมาย
จึงหยิบรูปเงาะมาสวมกายแล้วตัดหวายต่อติดบิดพลิ้ว
ร้อยปลามากมายเหลือประมาณเอาไม้เท้าทำคานหาบหิ้ว
แผลงฤทธิ์รูปเงาะพาเหาะปลิวลอยลิ่วมาในเมฆา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงริมไร่ใกล้เรือนก็คล้อยเคลื่อนเลื่อนลงจากเวหา
เดินด่วนขึ้นกระไดมิได้ช้าเอาหาบปลาเหวี่ยงวางกลางนอกชาน
ภรรยาพาไปให้ลูบตัวแล้วเชิญผัวรูปทองกินของหวาน
เจ้าเงาะแถลงเล่าเยาวมาลย์วันนี้ขันจ้านไปหาปลา
พี่ถอดรูปเงาะออกซ่อนไว้ทำเป็นพระไพรพฤกษา
ร่ายมนต์มหาจินดาเรียกมัจฉามาสิ้นทุกตำบล
อ้ายหกเขยเซอะกระเจอะกระเจิงเที่ยวเซอะเซิงหาปลาก็ขัดสน
ไปประสบพบพี่ที่ฝั่งชลทั้งหกคนกราบกรานขอทานปลา
พี่แลกเปลี่ยนเจียนปลายจมูกมันแหว่งวิ่นสิ้นทั้งนั้นขันนักหนา
ว่าพลางเสสรวลชวนรจนาไปดูหน้ามันเล่นก็เป็นไร
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนากลั้นยิ้มมิใคร่ได้
สรวลพลางทางว่าข้าชอบใจเมียมันจะได้ดูหน้ากัน
ช่างแก้แค้นแทนทำพอสาสมที่เมียมาค้าคารมเย้ยหยัน
วันนี้น้องจะตามจรจรัลไปดูจมูกมันให้เต็มตา
ว่าแล้วทาแป้งแต่งตัวตามผัวออกจากเคหา
ปิดประตูเข็นกระไดแล้วไคลคลาเจ้าเงาะหาบปลานำหน้าไป
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระโรงรัตน์รูจีอัญชลีสองกษัตริย์เป็นใหญ่
เจ้าเงาะยืนยิ้มหัวไม่กลัวใครทิ้งปลาลงไว้ให้พ่อตา
รจนาจึงทูลบิตุรงค์นี่ปลาส่งส่วนตัวผัวข้า
อุตส่าห์เสาะเพราะเกรงพระอาญาได้มาน้อยนักสักสองร้อย
ตามประสายากเย็นเข็ญใจไม่มีบ่าวมีไพร่ใช้สอย
ผัวเมียสองคนจนกรองกรอยไม่เลิศลอยเหมือนลูกสาวของท้าว
หกเขยเขาดีมียศศักดิ์ท่านพ่อตาโปรดนักรักใคร่
ไปหาปลามาแล้วหรืออย่างไรเห็นจะได้มากมายหลายกระบุง
ฯ ๘ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เคืองขัดฟัดหมอนผลุ
คันมือคันไม้หมั่นไส้พุงไม่สมที่หมายมุ่งจะฆ่าฟัน
อีรจนาพาผัวมาเย้ยได้แค้นใจเหลือที่จะอดกลั้น
เพราะอ้ายเขยขี้เค้าเหล่านั้นพากันเซอะซะไปกระไร
จึงชี้หน้าด่าลูกทั้งหกนางมึงช่างหากำชับผัวไม่
ปานนี้มิมาน่าแค้นใจกูจะใคร่ฆ่าเสียให้ม้วยมุด
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นหกเขยร้อนใจดังไฟจุด
เร่งฝีพายเต็มทีตีรุดครั้นถึงหยุดจอดเรือเข้าเหนือแพ
หิ้วปลาพากันมาโดยด่วนบ่าวตามเป็นพราวแบกอวนแห
ตรงมาวังพลันไม่ผันแปรหญิงชายร้องแซ่ว่าแพ้เงาะ
ทั้งหกอกสั่นขวัญหนีครั้งนี้ตายจริงวิ่งออกเหยาะ
คลานเข้าไปเฝ้าเขาหัวเราะเห็นปลาอ้ายเงาะยิ่งเสียใจ
คิดอายด้วยปลายจมูกวิ่นก้มหน้าดูดินหาเงยไม่
พรั่นตัวกลัวตายเป็นพ้นไปภาวนาหายใจมิใคร่ทัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เคืองขุ่นหุนหัน
จึงว่าไปแก่หกเขยนั้นกูจะใคร่ฆ่าฟันบั่นรอน
แต่อ้ายเงาะทรพลคนอัปรีย์มันยังดีกว่ามึงมาถึงก่อน
เออนี่มิไปเที่ยวจอดนอนไม่รู้เร็วรู้ร้อนเจ้าคนดี
บ่าวไพร่ไปด้วยก็หนักหนาได้ปลามาไม่พอจะเซ่นผี
กูคิดนิดเดียวดอกครั้งนี้หาไม่ชีวีจะบรรลัย
เออจมูกนั่นถูกอะไรนั่นเหมือนกันกับเขาเชือดเลือดไหล
จงบอกให้แจ้งกูแคลงใจอย่าได้เอาเท็จมาเจรจา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเขยใหญ่ทั้งหกตกประหม่า
แกล้งทูลเลี้ยวลดปดพ่อตาแต่เช้าข้าก็ไปไม่เชือนแช
ลงตีอวนฉุดลากที่ปากลัดปากเป้ากัดจมูกลูกเป็นแผล
ในแม่น้ำลำคลองทั้งสองแควไม่มีปลาเลยแต่สักตัวเดียว
สู้ทนแดดแผนร้อนไปยังค่ำจนตัวลอกออกดำเหมือนม่าเหมี่ยว
อุตส่าห์บุกขึ้นบกรกเรี้ยวไปได้ปลายหน่อยเดียวที่ในบึง
ไม่เคยพบเคยเห็นเลยเช่นนี้ชะรอยผีโขมดมันโกรธขึ้ง
ให้ปวดหัวมัวตาหน้าตึงแทบจะไม่มาถึงท้าวไท
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นทั้งหกบุตรีพี่ผู้ใหญ่
เห็นผัวแพ้เงาะป่าขัดใจผักปลาหาได้มานิดเดียว
มิหนำซ้ำจมูกแหว่งหวะแล้วพระบิดาก็โกรธเกรี้ยว
ขายหน้าทุกสิ่งจริงเจียวนางเหลียวชำเลืองเคืองค้อน
หกนางต่างคนบ่นบ้ามันไม่น่าร่วมเรียงเคียงหมอน
บ้างกอดเข่าเจ่าจุกทุกข์ร้อนมืออ่อนตีนอ่อนเสียน้ำใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาสรวลสันต์ไม่กลั้นได้
เจ้าเงาะหัวร่ององอไปทำบุ้ยปากบอกใบ้ให้เมียดู
เห็นจมูกเขยใหญ่เลือดไหลย้อยแหว่งวิ่นสิ้นทั้งหมดน่าอดสู
สาแก่ใจมันสิติผัวกูนางยิ้มอยู่ในหน้าไม่พาที
แล้วแลดูพี่สาวทั้งหกคนเห็นหน้าหม่นหมองคล้ำดำมิดหมี
ทำแยบคายชายตาดูสามีเทวียิ้มแย้มกระแอมไอ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางเคืองขัดอัชฌาสัย
ต่างคนชื้หน้าแล้วว่าไปหัวเราะเยาะใครอีรจนา
เหตุว่าผัวมึงมาถึงก่อนทำแสนงอนเจ๋อเจ๊อะสะเออะหน้า
ผัวกูไม่รู้จักจับผักปลาจึงได้มาไม่มากเหมือนหม่อมเงาะ
ดูเยี่ยงผัวเจ้ามันเคล่าคล่องห้วยหนองเหนือใต้เข้าใจเสาะ
นางเมียขึ้นหน้ามาหัวเราะเปรียบเปรยเย้ยเยาะไม่เจียมตัว
เขาขับไล่ไปอยู่เสียปลายนายังดื้อด้านเข้ามาว่าแทนผัว
ไม่มีความยำเยงเกรงกลัวไสหัวออกไปเสียจากวัง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาตอบไปดังใจหวัง
ชิชะหม่อมพี่ที่ขึ้นซังออกประดังด่าทอเล่นพอแรง
เฝ้ามาขับไล่ไสหัวหูโกรธหรือว่าดูจมูกแหว่ง
แต่เห็นเขาหัวร่อก็ระแวงออกสกัดสแกงแกล้งพาโล
ผัวพี่ไปหาปลากับบ่าวไพร่น้อยหรือช่างได้มาอักโข
ผัวข้าหาปลาประสาโซแต่จมูกไม่โหว่เหมือนผู้ดี
พอรู้เช่นเห็นอยู่ว่าเท็จจริงสู้ปิดปากหากนิ่งเสียดอกพี่
จะให้ว่าหรือจะว่าออกเดี๋ยวนี้แล้วเหลียวดูสามีเห็นขึงตา
แค้นใจคิดจะใคร่อยู่ทะเลาะแต่เจ้าเงาะชี้ชวนไปเคหา
ถ่มน้ำลายรดให้แล้วไคลคลาตามผัวออกมาไม่พรั่นพรึง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางต่างพิโรธโกรธขึ้ง
ลุกขึ้นเดินตามมาด่าอึงทำไมมึงจึงหัวเราะเยาะกู
เท็จจริงอย่างไรนั่นขันจ้านใครปิดปากไว้วานอย่านิ่งอยู่
จองหองพองขนเป็นพ้นรู้ลบหลู่ดูหมิ่นถิ่นแคลน
ผัวหาปลาผักได้นักหนาหม่อมเมียได้หน้าขึ้นกว่าแขน
ค้าคารมเปรี้ยงเปรี้ยงออกเถียงแทนขีนแค่นเปรียบเปรยเย้ยเย้า
อย่าดูถูกผัวกันกระนั้นนะช่างเถิกคะค่อยยังชั่วกว่าผัวเจ้า
ถึงจมูกโหว่แหว่งก็ทำเนาแต่หน้าตาของเขายังเพราพริ้ม
ไม่เหมือนเงาะอุบาทว์ชาติชั่วน่ากลัวหัวหูกระปุ่มกระปิ่ม
กลับจะมาหัวเราะเยาะยิ้มเปรมปริ่มในใจมิใช่น้อย
ชะช่างได้ผัวเงาะเหมาะสมปากกล้าค้าคารมดังต่อยหอย
ขึ้นเสียงเถียงคนบ่นตะบอยมันน่าต่อยให้ยับลงกับมือ
แต่ปากเป้ากัดเขาก็เฝ้าถากนี่เป็นเบี้ยพอปากของเจ้าหรือ
ว่าพลางต่างเข้ายุดยื้อกล้าปากกลามมืออย่าหนีกัน
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะเห็นวุ่นวางเข้ากางกั้น
ทำบอกใบ้ให้รู้สำคัญแกล้งกระชั้นกระโชกโบกมือ
ก้มลงหลอนหลอกกลอกคอหกนางด่าทอก็ไม่ถือ
ทำเหมือนบ้าใบ้ได้แต่อือตบมือหัวร่อล้อเลียนาง
เห็นพี่เมียชำเลืองเคืองค้อนก็ฉุดเมียมาสอนให้ค้อนบ้าง
ถือไม้เท้าก้าวเดินเป็นท่าทางทีเสือลากหางให้นางกลัว
แล้วเด็ดใบไม้ปิดจมูกเล่นทำเป็นปัดแมลงวันสั่นหัว
ชี้มือให้เห็นแล้วเล่นตัวเย้ายั่วพี่เมียไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยขัดใจเป็นหนักหนา
เห็นเงาะเยาะหยอกภรรยาโกรธาตาเขียวเหลียวดูกัน
โมโหฮึดฮัดขัดเขมรโจงกระเบนคาดกระเบนเสียให้มั่น
หมายเขม้นกำหมัดกัดฟันมุทะลุดุดันไม่พรั่นพรึง
ลางคนบ่นด่าเงาะอุบาทว์จะใคร่เอาเท้าคาดเข้าสักผึง
บ้างว่าจะถองสักสองตึงทำไมมึงมาหยอกหลอกเมียกู
ดูเถิดเกิดมาไม่เคยพบบ้าใบ้บัดซบทำลบหลู่
จองหองถองเสียให้เมียดูด่าพลางทางกรูกันเข้าไป
เห็นเงาะเงื้อไม้ไล่กวัดแกว่งระรันสันหน้าแข็งไม่เข้าใกล้
บ้างนั่งลงลูบล่อยที่รอยไม้น้ำตาไหลครางออดกอดมือ
บ้างหลับตาหน้าเมินซ้อมหมัดเงาะวัดล้มกลิ้งลุกวิ่งตื๋อ
ทรุดนั่งลงนวดปวดสะดือคราวฮือไปทีเดียวไม่เหลียวแล
เขยใหญ่ย่างเท้าก้าวถลำเงาะตำต่อยจมูกถูกแผล
ล้มลงกลอกคอทำท้อแท้เมียมาช่วยแก้ทุบต้นคอ
ลางคนถอยหลังเข้าบังเสาร้องว่าพวกเราอย่ากลัวพ่อ
บ้างกำหมัดขัดเขมรไม่ย่อท้อใจคอเหี้ยมฮึกบึกบึน
เข้าชกเงาะเดาะเอาด้วยเข่าลาล้มผวาเจ็บจุกลุกไม่ขึ้น
พูดไม่ออกกลอกหัวมัวมึนเพื่อนกันวิ่งครืนกระจายไป
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะทำเงื้อศอกบอกใบ้
เหลียวหลังเหลียวหน้าคว้าไม้กวัดแกว่งแกล้งไล่กระชั้นชิด
เห็นเขยทั้งหกตกประหม่าก็หวดไปหวดมาให้ผิดผิด
ควงกระบองลองแรงแผลงฤทธิ์ไล่ติดตามตีหนีกระจุย
ดูเห็นเต็มกลัวก็หัวเราะยิ้มเยาะยกมือขึ้นกุ๋ยกุ๋ย
ตั้งท่าทีทำเป็นรำซุยเบี้ยวบุ้ยปากหลอกกลอกหน้าตา
เห็นหกเขยคอยจะถอยหลังก็หยุดยั้งยืนมองป้องหน้า
แล้วย่างเท้าสาวหมัดเข้ามาถลึงตาขู่เข็ญเขม้นดู
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยเข็ดขยาดไม่อาจสู้
เหลียวซ้ายแลขวาหาประตูเอ๊ะอยู่แล้วกระมังครั้งนี้
บ้างเข้าแอบหลังภรรยารุนเมียออกหน้าเจ้าอย่าหนี
ความกลัวตัวสั่นไม่สมประดีเต็มทีลงนั่งภาวนา
บ้างกำหมัดขัดเขมรหมายเขม้นทำเป็นว่าพี่นี้คนกล้า
ครั้นเห็นเงาะถือไม้ใกล้เข้ามาก็วิ่งล้มถลาขาแข้งเพลีย
ลางคนยืนนิ่งไม่วิ่งหนีอุตส่าห์ทำใจดีแก้เบี้ย
พูดจาอวดฮึกศึกหน้าเมียสู้เสียชีวิตไม่คิดกลัว
ทำเหน็บรั้งตั้งมวยอยู่แต่นอกเห็นเจ้าเงาะเงื้อศอกก็กลอกหัว
ย่อท้อถอยหลังระวังตัวต่างกลัวเงาะป่าทุกคนไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งหกบุตรีพี่ผู้ใหญ่
เห็นผัวกลัวเงาะก็ขัดใจจึงว่าเอออะไรช่างไม่อาย
แต่เงาะป่าล้าใบ้บัดสีช่างชวนกันวิ่งหนีมันง่ายง่าย
เสียแรงกำเนิดเกิดเป็นชายไม่อดสูดูร้ายเขามั่งเลย
โมโหหันมาด่าน้องสาวไม่ว่ากล่าวผัวมั่งทำนั่งเฉย
นิ่งให้ไอ้เงาะมาเยาะเย้ยต่อยตีพี่เขยของตัวเอง
ขึ้นเสียงเถียงพี่แล้วมิหนำยังซ้ำให้ผัวตัวข่มเหง
ดูถูกผู้ใหญ่ช่างไม่เกรงมันเหมาะเหม็งแล้วหรือนางรจนา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนายิ้มพลางทางว่า
เออพี่นี้อะไรช่างพูดจากลับมาว่ากระนั้นขันจริง
เดิมใครด่าทอก่อก่อนควักค้อนเคืองขัดสะบัดสะบิ้ง
ครั้นเขาว่ามั่งก็ชังชิงชวนกันวิ่งมาตามจะต่อยตี
หกเขยเข้ากลุ้มรุมกันชกให้เอามือใส่พกเสียหรือพี่
สาแก่ใจเจ็บปวดอวดกล้าดีเออเดี๋ยวนี้จะให้ใครห้ามปราม
เมื่อเป็นผู้ใหญ่ไม่ไว้ตัวยังจะมาว่าผัวข้าหยาบหยาม
ชะพี่เขยข้าหน้างามงามบุ่มบ่ามบ้าเลือดไม่เหือดเลย
นั่นแนแผลเก่าปากเป้ากัดซ้ำมาถูกหมัดนิจจาเอ๋ย
ว่าพลางทางหัวเราะเยาะเย้ยพี่เขยพี่สาวฉาวไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาหนวกหูอยู่ไม่ได้
ลุกเดินออกมาว่าอะไรไม่เกรงเนื้อเกรงใจผู้ใหญ่เลย
ล้วนแต่พี่น้องท้องเดียวกันจะฆ่าฟันกันได้แล้วหรือเหวย
ลูกเต้าเช่นนี้กูมิเคยอกเอ๋ยแต่ละคนพ้นกำลัง
รจนาพาผัวออกไปเสียเจ้าเหล่านี้ห้ามเมียเสียมั่ง
เอออะไรอื้ออึงตึงตังหน้าที่ลุกที่นั่งชั่งไม่เกรง
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามานต์ว่าเหม่มันข่มเหง
อ้ายเงาะป่ากล้าทำไม่ยำเยงกูออกสู้ดูเองลองสักยก
ทำไมบ้าใบ้ตาขาวอีสาวสาวเหล่านี้อย่าวิตก
ลุกขึ้นขบฟันงันงกเห็นทั้งหกตาลายหมายว่าเงาะ
กระหยับย่างสามขุมสุ่มตะรังไม่ทันตั้งต่อยตำซ้ำศอกเดาะ
ถองลงตรงจมูกถูกจำเพาะเขยใหญ่ใจเสาะร้องออกโอย
มองเขม้นเป็นครู่ก็รู้จักลงนั่งเหนื่อยหอบฮักหิวโหย
แล้วร้องด่าเงาะมี่น่าตีโบยมานี่โวยเล่นกับกูดูสักครั้ง
เห็นฮึกคึกคักขึ้นหนักหนาไล่ล่วงเข้ามาหน้าที่นั่ง
แต่แค้นอ้ายหกคนพ้นกำลังมันเฝ้าถอยหลังไปอย่างเดียว
ยังว่าตัวต่อตัวช่างชั่วชาติน้อยหรือนี่ขี้ขลาดตาเหมี่ยว
เป็นฝูงเป็นคณาทำหน้าเซียวแต่อ้ายเงาะคนเดียวก็กลัวมัน
แล้วเรียกนางมณฑามาเสียนี่ไม่พอที่พอทางออกกางกั้น
อย่าห้ามปรามเลยปล่อยให้ต่อยกันช่างมันเป็นไรจะได้ดู
น้อยหรือสนุกนักไม่พักหายังว่าจะให้มีมวยหมู่
ลูกเขยยายแต่ละคนพ้นรู้ชะต้าน่าเอ็นดูเหมือนลูกเล็ก
ทุดอ้ายหกเขยใหญ่ช่างใจเสาะราวกับอ้ายเงาะมันกินเหล็ก
ถูกเจ็บเข้าไม่ได้ดังใจเจ๊กแต่เด็กเด็กมันก็ดีกว่ามึง
อีเมียก็สุดใจมิใช่ชั่วดูหรือน้องของตัวก็โกรธขึ้ง
อีรจนาด่าพี่มี่อึงกระทบตีนตึงตึงไม่เกรงกลัว
กูยังแค้นมึงอยู่ไม่รู้หายหน้าไม่อายเอาอ้ายเงาะเป็นผัว
นี่หากหาปลาได้จึงรอดตัวหาไม่ก็หัวจะปลิวไป
ฯ ๒๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาหุนหันหมั่นไส้
เห็นบิดาเคืองขุ่นฟุนไฟเข้าข้างเขยใหญ่ก็เดือดดาล
จึงชวนผัวไปลาพ่อตาเสียอย่าอยู่ช้าพาเมียออกไปบ้าน
นางสอนให้นั่งลุกคุกคลานกราบกรานท่านเสียหน่อยหนึ่งตามจน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะก้มกราบยิบสักสิบหน
แกล้งเลียนล้อต่อหน้าท้าวสามนต์เฝ้าก่นหัวเราะริกกระดิกเท้า
เห็นพ่อตาทำไรก็ทำมั่งเหมือนบ้าหลังจริงจริงยิงฟันขาว
ทำโจงกระเบนใหม่ไว้หางยาวแกล้วปัดหัวผัวพี่สาวของเมียไป
แล้วยืนมองป้องหน้าดูจมูกเห็นรอยถูกมีดเชือดเลือดยังไหล
ตบมือหัวเราะเยาะไยไพบอกใบ้บุ้ยปากให้เมียดู
เห็นทั้งหกตกประหม่าก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงเต็มกลัวตัวเป็นหนู
จึงชวนรจนาโฉมตรูออกประตูรีบกลับไปฉับพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงเร็ว
ช้า
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เคืองขัดอัดอั้น
แกล้งให้หาปลาจะฆ่าฟันอ้ายเงาะมันกลับได้มามากมาย
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นใจแม้นมิฆ่ามันได้ก็ไม่หาย
จึงตรัสแสร้งเสเพทุบายจะต้องการเนื้อทรายมาเลี้ยงกัน
ทั้งหกหามาแก้ตัวใหม่แม้นมิได้ชีวาจะอาสัญ
เสนาในไปบอกอ้ายเงาะนั้นหาเนื้อมาให้ทันวันพรุ่งนี้
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้นอำมาตย์รับสั่งใส่เกศี
ออกจากวังวิ่งเป็นลิงคลีตรงไปยังที่บ้านปลายนา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกระท่อมก็ด้อมดูเอ๊ะแล้วหลับอยู่กระมังหนา
ประหลาดใจมิได้ยินพูดจาเสนานั่งมองร้องเรียกอึง
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นรจนาคลี่ผ้าตาชุนขึง
ที่ไหนหย่อนผ่อนผูกเสียให้ตึงนั่งปักสะดึงกรึงกรอง
ตั้งเนื้อตั้งใจจะให้ผัวแต่งตัวไปกฐินเดือนสิบสอง
เจ้าเงาะแสนกลคนคะนองหัดร้องนางนาคปากร่ายซอ
เอากระทายตีแทนรำมะนาทำให้ภรรยาน่าหัวร่อ
รจนานั่งนิ่งฟังเอียงคอเพราะหนักหนาหนอเจียวพ่อคุณ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ พอได้ยินเสนามาร้องเรียกตื่นตะเกียกตะกายวายวุ่น
โดนสะดุดสะดึงผ้าตาชุนกระทายหกตกใต้ถุนลงไป
รจนาเดินออกมานอกชานอำมาตย์เห็นหมอบกรานกราบไหว้
นางจึงถามทักซักไซ้ธุระอะไรนะเสนา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาบังคมก้มหน้า
ทูลว่าสมเด็จพระบิดาให้ข้ามาบอกนางโฉมยง
บัดนี้มีรับสั่งจำเพาะให้เจ้าเงาะหาเนื้อเข้าไปส่ง
พรุ่งนี้มิได้ดังใจจงจะให้ลงอาญาฆ่าฟัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นรจนาตระหนกอกสั่น
เข้าไปในทับฉับพลันรำพันบอกผัวแล้วโศกา
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดชบิตุเรศพาลผิดจะคิดฆ่า
เมื่อวันวานท่านใช้ให้หาปลาก็นึกว่าไม่รอดจะวอดวาย
นี่หากมีมนต์ดลจึงพ้นภัยหาปลามาได้เอาไปถวาย
วันนี้มิหนำซ้ำอุบายแกล้งย้ายสั่งมาให้หาเนื้อ
เป็นเหตุเพราะเงาะร้ายให้ถอดเสียพ่อรูปทองของเมียมิได้เชื่อ
อ้อนวอนเท่าไรไม่เอื้อเฟื้อนี่เนื้อแท้ว่าเวรากรรม
ว่าพลางทางทรงโศกาชลนาฟูมฟองร้องร่ำ
สองกรข้อนอกจนฟกช้ำครวญคร่ำกำสรดโศกี
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
โอ้โลมใน
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะเยาะหยอกนางโฉมศรี
ซึ่งสั่งให้หาเนื้อคราวนี้เห็นพี่จะอับจนไม่พ้นตาย
ถึงตัวจะบรรลัยก็ไม่ว่าวิตกแต่รจนาจะเป็นม่าย
ว่าพลางแย้มยิ้มพริ้มพรายโอบอุ้มโฉมฉายขึ้นบนเพลา
สวมสอดกอดรัดสัมผัสต้องนี่แน่น้องจะให้ตายเสียไยเปล่า
เชยแก้มแนมปรางทางโลมเล้าพี่ว่าเล่นดอกเจ้าอย่าตกใจ
ทำไมกับเนื้อถึกอย่านึกพรั่นสักพันหนึ่งสองพันก็หาได้
ไม่เคยเห็นฝีมือพี่หรือไรร้องไห้ไยให้เสียน้ำตา
แต่เพียงนี้มิพอจะยากเย็นร้องละครนอนเล่นเสียดีกว่า
เหมือนกันนั่นและกับหาปลาอะไรกับน้ำหน้าอ้ายหกคน
พรุ่งนี้มิปากก็ใบหูจะเชือดเสียให้ดูอีกสักหน
เสสรวลชวนนางนฤมลขึ้นบนเตียงนอนสำราญใจ
ฯ ๑๒ คำ ฯ กล่อม
ร่าย
๏ ครั้นดาวเดือนเลื่อนลับเมฆาสุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
พระชมโฉมโลมนางทรามวัยดวงใจเจ้าค่อยอยู่จงดี
ตะวันชายบ่ายหน่อยจะกลับมาแก้วตาอย่าหม่นหมองศรี
สั่งเสียเมียแล้วจรลีมาทรงเกือกแก้วมณีทันใด
จับไม้เท้าก้าวลงจากเคหาสำแดงอานุภาพแผ่นดินไหว
เหาะทะยานผ่านเมฆมาไรไรตรงไปไพรวันอรัญวา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
             

๏ ครั้นถึงจึงลงหยุดยั้งที่ร่มรังสูงใหญ่ใบหนา
พระถอดเงาะซ่อนไว้ให้ลับตาแล้วร่ายมนต์มหาจินดาพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ ฝูงเนื้อไนป่ามามากมายทั้งละมั่งกวางทรายและฉมัน
ดูดาษแดงไปทั้งไพรวันเป็นฝูงฝูงวิ่งพันกันมา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นหกเขยคิดวิตกหนักหนา
ครั้นรุ่งรีบแต่งตัวกลัวจะช้าเรียกหาบ่าวไพร่พร้อมพรัก
บ้างหาแร้วบ่วงหวายหลายอย่างไปถึงกลางพงไพรจะได้ดัก
บ้างเอาผ้าพันพุงจูงสุนัขคึกคักขนข่ายขึ้นหลังช้าง
แล้วผูกม้าเคยขับสำหรับขาบังเหียนอานพานหน้าซองหาง
ม้าหลังเปล่าบ้างผูกเบาะบางต่างต่างแต่งอวดประกวดกัน
เกณฑ์กองกระบือบ่าวชาวบ้านนอกล้วนถือหอกเสวียนแทงแข็งขัน
พรานปืนพื้นแม่นหมายสำคัญโผงไรโผงนั้นไม่ผิดเลย
บ่าวผู้ชายตะพายย่ามถือกล่องหิ้วปิ่นโตลายทองของเสวย
บ้างแบกเสบียงหาบหามตามเคยอย่าช้าเลยจวนสายจะเสียการ
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นพร้อมเสร็จทุกสิ่งไม่นิ่งช้าหกองค์ทรงม้าออกจากบ้าน
รีบขับพาชีตะลีตะลานพวกพรานนำหน้าพาไป
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ลุล่วงมรคามาถึงป่าซึ่งมฤคาเคยอาศัย
สั่งให้ขึงข่ายไว้ชายไพรบ้างดักแร้วแล้วใส่บ่วงราว
ลางคนปักขวากที่ปากทางหาช่างสันทัดขัดจั่นห้าว
ขี่กระบือเข้าค้นอยู่เกรียวกราวโห่ฉาวอึงไปทั้งไพรวัน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พรานปืนซุ่มรกขึ้นนกง่าสวนมาตามรอยจะคอยลั่น
หมายตรงหลงยิงเพื่อนกันล้มดิ้นยันยันอยู่แทบตาย
เนื้อถึกที่ไหนก็ไม่มีพบแต่เสือหมีหมูกระต่าย
ลงนั่งนึกปรึกษากับบ่าวนายดีร้ายจะเป็นเช่นหาปลา
ลางคนบ่นว่าข้าได้ทักไม่เซ่นวักพระไพรเจ้าป่า
จึงให้ปลูกศาลขึ้นเพียงตาสังเวยเทวดาทันใด
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วขึ้นม้าพากันเที่ยวค้นพบรอยเกลื่อนกล่นมาใหม่ใหม่
ตาสอดลอดแลเห็นแต่ไกลโน่นมิใช่เนื้อหรือร้องอื้ออึง
หกเขยยินดีปรีดาวางม้าขับใหญ่เข้าไปถึง
เห็นพระสังข์นั่งอยู่ดูตะลึงงามละม้ายคล้ายคลึงเจ้าของปลา
เอ๊ะจะเป็นเช่นนั้นอีกกระมังจมูกยังไม่หายขายหน้า
ว่าพลางทางลงจากม้าเข้าไปวันทาสุรารักษ์
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์แสร้งทำไม่รู้จัก
ลุกขึ้นขู่เข็ญเต้นคึกคักถามทักซักไซ้ไปไหนมา
เที่ยวซุกซี้ซุกซนเจ้าคนเอกโหยกเหยกยุ่งหยาบบาปหนา
มาลอบลักไล่เนื้อเบื่อปลาข่มเหงเราเจ้าป่าพนาลี
ทำจู่ลู่ดูหมิ่นถิ่นแคลนล่วงลัดตัดแดนมาถึงนี่
จะยำเยงเกรงใครก็ไม่มีเจ้าเหล่านี้คอจะหักสักคราว
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งหกตกประหม่าตาขาว
แข็งใจแจ้งความตามเรื่องราวข้าเป็นลูกเขยท้าวสามนต์
พ่อตาให้หาเนื้อกับอ้ายเงาะทูลเดาะข้อความมาแต่ต้น
เอ็นดูด้วยช่วยชีวิตทั้งหกคนพอพ้นโพยภัยบรรลัยลาญ
ข้าหาเนื้อที่ไหนก็ไม่มีมฤคีหนีมาอยู่หน้าฉาน
เทพเจ้าจงได้โปรดปรานขอประทานเนื้อไปให้พ่อตา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ยิ้มพลางทางว่า
อันหมู่มฤคีนี้นามันหนีมนุษย์มาพึ่งเรา
ข้างท่านก็ร้อนตัวกลัวภัยมาขอแล้วมิให้อย่างไรเล่า
เถิดชิบาปกรรมก็ทำเนาแต่จะให้เปล่าเปล่านั้นไม่เคย
ถ้ารักชีวิตจงคิดดูเนื้อจะแลกใบหูหกเขย
แม้มิยอมให้ไม่ได้เลยผิดวิสัยสังเวยเทวา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นหกเขยได้ฟังนั่งก้มหน้า
เสียใจทุกคนบ่นนินทาเทวดาเดนแช่งมันแกล้งจริง
จมูกแล้วหูเล่าเจ้าเล่ห์สมคะเนคงยักเอาสักสิ่ง
ขี้คร้านง้องอนวอนวิงผิดก็เพียงผู้หญิงมันไม่รัก
ว่าพลางทางหยิบเอาดาบมาส่งให้เทวดาทั้งฝัก
แล้วเอียงหูเข้าไปใจทึกทักอย่าเชือดให้หนักนักเลยพ่อคุณ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ฉุดหูกระชากลากหลุน
จะเชือดแต่เบาเบาเอาบุญแล้วชักดาบญี่ปุ่นออกเงือดเงื้อ
เขยใหญ่ขยั้นพรั่นพรึงร้องอึงอุยหน่าน่าเจ็บเหลือ
อย่างนี้ที่ไหนจะได้เนื้อทำทีจะเชือดเถือแล้วรั้งรอ
แกล้งขยับจับจ้องลองใจเลือกเอาข้างไหนจะดีหนอ
เหนี่ยวหูขวาลงให้ก่งคอแข็งข้อเชือดขาดเลือดสาดไป
ฯ ๖ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้นหกเขยนิ่วหน้าน้ำตาไหล
จมูกแล้วหูเล่าเฝ้าเสียใจนี่เนื้อกรรมกระไรของเรา
เจ็บปวดหนักหนาอุตส่าห์ทนต่างคนบ่นออดนั่งกอดเข่า
เร่งอารักษ์ตักเตือนรบเร้าเนื้อจะให้ไหนเล่าอย่านิ่งนาน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ตั้งสัตย์อธิษฐาน
เนื้อถึงที่ตายก็วายปราณมากประมาณสมหวังดังใจ
แล้วว่าอย่าพักประดักประเดิดเอาไปเถิดคนละตัวตามได้
ถ้าจะต้องการเนื้ออีกเมื่อไรอย่างเกรงใจจงออกมาบอกเรา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยละห้อยสร้อยเศร้า
คำนับรับสั่งแต่เบาเบาแล้วบังคมก้มเกล้าลามา
ทั้งบ่าวไพร่นายมุลวุ่นวายผูกมัดเนื้อทรายขึ้นใส่บ่า
หกองค์ทรงม้าแล้วไคลคลาดั้นดัดลัดป่าไปธานี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สวมรูปเงาะของยักษี
ใส่เกือกแก้วแล้วมัดมฤคีครบยี่สิบถ้วนล้วนมรณา
เอาไม้เท้าทำคานหาบห้อยยกลอยขึ้นวางเหนืออังสา
สำแดงแผลงอิทธิฤทธาเหาะทะยานผ่านฟ้ามาไรไร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงหยุดอยู่นอกประตูบ้านตัวริมรั้วไร่
นึกจะชวนรจนาคลาไคลกลัวจะไปทะเลาะเกาะแกะกัน
ไปแต่กูผู้เดียวดีกว่าจะได้ล้อพ่อตาเล่นขันขัน
ถึงทั้งหกจะชกต่อยตีรันได้สู้กันแต่ลำพังไม่กังวล
คิดแล้วเดินเดาะเหยาะย่างหาบเนื้อมากลางท้องถนน
แกล้งทำเกะกะปะผู้คนเอาหาบชนล้มคว่ำคะมำไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นหญิงชายชาวเมืองน้อยใหญ่
ต่างคนร้องว่าช่างกระไรเรี่ยวแรงสุดใจเจียวเจ้าเงาะ
หาบเนื้อที่ไหนมานักหนาหนอไม่หนักเลยหรือพ่อพาวิ่งเหยาะ
ลางคนบ้างกลัวบ้างหัวเราะบ้างร้องเยาะงามเหวยลูกเขยพระยา
เด็กเด็กเซ็งแซ่เข้าแห่ห้อมพรั่งพร้อมล้อมหลังล้อมหน้า
บ้างร้องว่าเออเกลอกูมาเฮฮาโห่ฉาวกราวเกรียว
บ้างชวนว่าอย่าเพ่อไปก่อนอยู่รำละครสักประเดี๋ยว
เจ้าเงาะไม่หยุดฉุดเป็นเกลียวหน่วงเหนี่ยวห้ามปรามมาตามทาง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะเห็นเด็กพร้อมล้อมรอบข้าง
พอถึงที่ราบราบเอาหาบวางเข้ายืนกลางแล้วเล่นเต้นรำไป
ใครตบมือผิดพลั้งจังหวะประเตะปะตะต่อยถองจนร้องไห้
แกล้งทำฮึดฮัดขัดใจยกหาบขึ้นได้เดินดุ่มมา
ใครจะห้ามอย่างไรไม่ฟังเจ้าตรงเข้าท้องพระโรงข้างหน้า
ทิ้งเนื้อลงไว้ให้พ่อตาแล้วเดินไปเดินมาไม่เกรงกลัว
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เห็นมันให้คันหัว
เรี่ยวแรงกระไรเหมือนควายวัวเนื้อยี่สิบตัวช่างหาบมา
ไม่สมหวังดังจิตที่คิดไว้หุนหันหมั่นไส้จะใคร่ฆ่า
เห็นมันแล้วหรือเจ้ามณฑาหยาบช้าทะนงไม่กลัวใคร
แค้นใจไอ้เขยทั้งหกคนมันไปเที่ยวซุกซนอยู่ข้างไหน
ทำให้อายขายหน้าทุกคราไปอีเมียก็ไม่กำชับกัน
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นหกเขยไม่สบายรีบผายผัน
ครั้นถึงจึ่งขึ้นพระโรงคัลบ่าวแบกเนื้อรันขึ้นไปตาม
เห็นเนื้อเงาะหนักหนาช่างหาได้หลากใจใครช่วยมันหาบหาม
คิดกลัวตัวสั่นครั่นคร้ามกราบสามทีแล้วลงก้มพักตร์
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ผุดลุกขึ้นกุกกัก
ชะลูกเขยข้ามันน่ารักช่างได้เนื้อขาหักที่ไหนมา
ยิ่งให้แก้ตัวยิ่งชั่วช้าจะใคร่ทำโทษทัณฑ์ฟันฆ่า
นี่หากคิดนิดเดียวด้วยธิดาจะเป็นม่ายอาบหน้าประชาชน
บ่าวไพร่ไปด้วยก็พร้อมเพรียงชอบแต่สับเสี่ยงเสียให้ป่น
ก้มหน้าอยู่ไยไอ้หกคนดีแต่จะบ่นนินทากัน
เออหูถูกอะไรเลือดไหลหยดช่างเป็นเหมือนกันหมดอย่างไรนั่น
ไปเรือจมูกวิ่นสิ้นทั้งนั้นเข้าไพรวันหูแหว่งกูแคลงใจ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยก้มหน้าน้ำตาไหล
กราบทูลเยื้องยักกระอักกระไอผันแปรแก้ไขตามจน
ข้าไปหาเนื้อวันนี้ช่างกระไรไม่มีทุกแห่งหน
ให้บ่าวไพร่ไล่บุกซุกซนลดเลี้ยวเที่ยวด้นค้นคว้า
ชะรอยฝีปีศาจประหลาดเหลือซ่อนเนื้อเสียสิ้นทั้งป่า
แล้วดูเหมือนมืดน้อยลอยลงมาถูกหูข้าแหว่งวิ่นสิ้นทุกคน
ทั้งนี้ก็เพราะเคราะห์ของลูกมาซ้ำถูกผีสางที่กลางหน
ต้องปลูกศาลเซ่นสรวงบวงบนจึงได้เนื้อแต่คนละตัวเดียว
บ่ายคล้อยหน่อยหนึ่งก็กลับมาผีพาหลงไปในไพรเขียว
ลำบากบุกชัฎลัดเลี้ยวจนหน้าเซียวแสบท้องเต็มที
รีบเดินแทบตายถึงชายทุ่งก็ขับม้าหมายมุ่งมากรุงศรี
เป็นความสัตย์ทุกสิ่งจริงอย่างนี้ภูมีจงทรงพระเมตตา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์สำรวลสรวลร่า
ตบพระหัตถ์ตรัสแก่นางมณฑามันงามหน้าแล้วเหวยลูกเขยยาย
จมูกแหว่งหูวิ่นสิ้นทุกคนสมประกอบชอบกลใจหาย
ทั้งสองหนก่นแต่เคราะห์ร้ายช่างไม่อายอดสูเลยดูเอา
ยังว่าจะหาญฮึกทำศึกเสือแต่หาปลาหาเนื้อก็แพ้เขา
คิดจะใคร่ฆ่าตีอ้ายขี้เค้ามันจะตายเสียเปล่าไม่เข้าขา
แล้วเหลียวมาว่ากับลูกสาวใหญ่มึงเห็นผัวหรือไม่น่าขายหน้า
จมูกแหว่งหูวิ่นเวทนาอนิจจานิจจาเป็นน่ากลัว
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางต่างพิศดูผัว
สารพัดวิปริตผิดตัวมันช่างชั่วจริงจริงทุกสิ่งไป
จมูกโหว่แล้วมิหนำซ้ำหูแหว่งเหมือนใครแกล้งเอามีดเชือดเลือดไหล
ลางคนบ่นว่าไม่น่าอะไรจมูกใบหูวิ่นสิ้นงาม
บ้างว่าน่าอายกับอ้ายเงาะมันยิงฟันหัวเราะเยาะเย้ยหยาม
ดูดู๋หน้าดำเป็นน้ำครามไม่หมดจดงดงามเหมือนเก่าเลย
ลางคนเคืองค้อนแล้วค่อนว่าสมเพชเวทนานิจจาเอ๋ย
ไม่น่าสมาคมชมเชยแต่นี้ไปไม่เลยแล้วพ่อคุณ
บ้างบ่นออดกอดเข่าเกาหัวโกรธผัวตัวสั่นหันหุน
ทุกข์ทนพ้นกำลังนั่งง่วงงุนต่างคนเคืองขุ่นวุ่นวายใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะย่างย่องมองมาใกล้
เห็นพ่อตาอาธรรม์เข้ากันไปไม่เอาโทษเขยใหญ่ดังสัญญา
ทำนับเนื้อที่กองลองเล่นจะให้เห็นว่าใครได้มากกว่า
ชี้ไปตรงพระแสงแกล้งกลอกตาเงื้อง่าท่าทีเหมือนฟาดฟัน
แล้วชี้เข้าที่คอเขยใหญ่บอกใบ้ให้รู้ดูขันขัน
ตบมือหัวร่ออยู่งองันเย้ยหยันหยอกล้อท่าพ่อตา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ว่าเหม่อ้ายเงาะป่า
จองหองพองขนพ้นปัญญาใบ้บ้าไม่เสงี่ยมเจียมตัวเลย
กลับจะมาชี้มือทำซื้อรู้สอนกูให้ฆ่าอ้ายหกเขย
มิหนำซ้ำหัวเราะเยาะเย้ยเกินเลยนักหนาน่าขัดใจ
รู้แล้วคะชะเจ้ามันดีเหลือหาเนื้อได้มากกว่าเขยใหญ่
ขึ้นหน้ามาอวดข้าหรือไรกูฝากมึงไว้ด้วยเถิดวะ
คิดคิดขึ้นมาน่าต่อยตบบ้าใบ้บัดซบพึ่งพบปะ
เถิดจะงดอดโมโหถวายพระถ้าทีหลังแล้วนะไม่ละมึง
ดูดู๋ยังทะนงองอาจหัวจะขาดแม่นมั่นสักวันหนึ่ง
พระกริ้วโกรธโกรธาด่าอึงแล้วผินหลังนั่งบึ้งอยู่บนเตียง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเขยใหญ่ทูลขยายบ่ายเบี่ยง
อ้ายเงาะนี้หยาบช้าไม่น่าเลี้ยงคนผู้จะดูเยี่ยงทั้งเวียงชัย
ไม่เกรงไม่ยำทำเกะกะจะกลัวพระบิดาก็หาไม่
ชะรอยเป็นปีศาจประหลาดใจดูตามันมิใคร่จะกะพริบ
วิปริตผิดมนุษย์นักหนาข้าเห็นว่าอ้ายนี่เป็นผีดิบ
มีกำลังพลังดังกินทิพย์เนื้อยี่สิบหาบมาถึงธานี
สารพัดผักปลาหาได้คล่องเพราะมันเป็นพวกพ้องกันกับผี
เงาะเงยไม่เคยเห็นเช่นนี้ภูมีอย่าไว้วางพระทัย
ขอให้ไสหัวเสียจากวังน่าชังชั่วชาติอุบาทว์ใหญ่
จะละให้บ้าหลังเข้าวังในนานไปจะเคืองเบี้องบทมาลย์
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ร้อนใจดังไฟผลาญ
พิเคราะห์ดูเห็นจริงยิ่งรำคาญให้หนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว
โบกพระหัตถ์ตรัสสั่งเสนาอ้ายเงาะป่าปิศาจชาติชั่ว
ทั้งหกมันว่ากูน่ากลัวไสหัวออกไปเสียจากวัง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาคำนับรับสั่ง
ลุกขึ้นขัดเขมรเหน็บรั้งพร้อมพรั่งนายไพร่ไม่ย่อท้อ
บ้างขู่ขับจับไม้เงื้อง่าเงาะป่าไม่กลัวทำหัวร่อ
ลางคนเข้าไปจะไสคอเจ้าเงาะงอหมัดชกก็ตกใจ
บ้างยุคนข้างหน้าว่าอย่ากลัวปลิ้นปลอกออกตัวไม่เข้าใกล้
หกเขยร้องว่าช้าอยู่ไยเข้าผลักไสเสนาให้คร่ายื้อ
ผู้คนเข้าพร้อมล้อมหน้าหลังลากลู่ถูกังออกอึงอื้อ
เจ้าเงาะเหวี่ยงวัดสะบัดมือบ้างล้มกลิ้งวิ่งฮือกระจายไป
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะทำโกรธาคว้าไขว่
ปะเตะต่อยทุบถองว่องไวเลี้ยวไล่ประชิดติดพัน
มือจับอำมาตย์ข้างละคนเอาหัวชนกันเล่นให้เห็นขัน
ทั้งสองร้องดิ้นอยู่ยันยันเจ้าเงาะหัวเราะงันชอบใจ
เห็นเขยทั้งหกทำงกเงิ่นแกว่งไม้เท้าก้าวเดินเข้ามาใกล้
ยิ่งถอยยิ่งประชิดติดไปยิ่งวิ่งยิ่งไล่กระโชกมา
เห็นท้าวสามนต์อยู่บนเตียงก้ยืนเมียงเขม้นมองป้องหน้า
ขู่ตะคอกหลอกล้อพ่อตาเงื้อง่าทำทีจะตีรัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตื่นกลัวตัวสั่น
ไม่สู้ไม่รบหลบเป็นควันงันงันงกงกพลัดตกเตียง
สำคัญว่าเงาะตีถูกศีรษะสิ้นสติมานะร้องเต็มเสียง
นี่แน่ยายดูทีหรือที่เพรียงหัวข้าแตกกี่เสี่ยงไม่รู้เลย
นางมณฑาว่าไฮ้ที่ไหนนั่นเมื่อดีอยู่ทั้งนั้นนี่พ่อเอ๋ย
ตื่นเต้นเช่นนี้ข้ามิเคยลูกเขยของตัวกลัวมันไย
ท้าวสามนต์ว่ากล้าก็อย่าหนีเหลือกำลังแล้วพี่ไม่อยู่ได้
ว่าพลางเหวี่ยงวัดสะบัดไปเมียยุดฉุดไว้พัลวัน
หกนางต่างชิงกันวิ่งหนีสิ้นสติสมประดีไม่มีขวัญ
นักสนมกรมในทั้งนั้นวิ่งปะทะปะกันล้มลุก
หกเจยผลุนโจนโดนพ่อตาคิดว่าอ้ายเงาะซ้ำปล้ำปลุก
บ้างวิ่งไปซุ่มซ่อนซอนซุกหมู่มุขมนตรีหนีพล่านไป
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาเห็นผัวกลัวเงาะใบ้
วิ่งหนีเหนื่อยบอบหอบหายใจจึงว่าไฮ้อะไรนี่น่าชัง
พ่อเจ้าเถิดพ่อคุณอย่าวุ่นวายไม่อดสูดูร้ายเขามั่ง
ว่าแล้วลากลู่ถูกังผลักให้นั่งบนเตียงเสียงตึง
เห็นผัวตัวสั่นขวัญแขวนคอยจะแล่นลุกยืนตื่นทะลึ่ง
นางฉวยฉุดยุดมืออย่าดื้อดึงหยิกทึ้งทุบหลังให้นั่งลง
ท้าวสามนต์ได้คิดผิดแล้วแม่คนแก่คนเฒ่าเฝ้าลืมหลง
พี่ไม่ขี้ขลาดดอกบอกตรงตรงทีนี้คงค่อยยังชั่วไม่กลัวมัน
แต่เหน็ดเหนื่อยนักหนายังว้าวุ่นแม่คุณเถิดขอน้ำกินสักขัน
หยิบจอกพลัดตกงกงันเห็นเงาะยังอยู่นั่นพรั่นพรั่นใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะทำเป็นหาเห็นไม่
มองมองแล้วเมินเดินถือไม้เข้ามาข้างเขยใหญ่ทั้งหกคน
เห็นเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่โซมหน้าก็หยิบกามาก้มอมน้ำพ่น
หัวหูเปียกปอนหายร้อนรนทำปากบ่นเสกน้ำชาซ่ำสาดรด
เห็นหกเขยเสยผมก้มหน้าอยู่ก็ฉุดหูออกไปเลือดไหลหยด
แกล้งจูงพาเที่ยวเลี้ยวลดถือไม้เท้าแทนตะพดเหมือนวิ่งวัว
เห็นพี่เมียเมียงมองอยู่ช่องฉากก็บุ้ยปากให้ดูใบหูผัว
เอามือคลำทำเจ็บหูตัวปัดแมลงวันสั่นหัวยั่วเย้า
เห็นพ่อตาหน้าบึ้งขึ้งโกรธทำขอโทษนั่งลุกคุกเข่า
ก้มกรานคลานหมอบพินอบพิเทากราบแล้วกราบเล่าเฝ้าหลอกล้อ
ฉวยได้ฝาชีที่ขันน้ำแกล้งทำปะเตะเล่นเช่นตะกร้อ
ท้าวสามนต์โกรธาด่าทอเจ้าเงาะหัวร่ององอไป
แล้วคุกเข่าเข้ามาลาแม่ยายทำอุบายชี้มือบอกใบ้
ลุกขึ้นเดินลอยชายสบายใจกลับไปกระท่อมทับฉับพลัน
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนเคหานั่งใกล้รจนาเมียขวัญ
แล้วแถลงแจ้งความทุกสิ่งอันสรวลสันต์สำราญทั้งสองรา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
             

ตอนที่ ๘ พระสังข์ตีคลี

ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวสหัสนัยตรัยตรึงศา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมากระด้างดังศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดินอมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัยก็แจ้งใจในนางรจนา
แม้นมิไปช่วยจะม้วยมอดด้วยสังข์ทองไม่ถอดรูปเงาะป่า
จำจะยกพหลพลเทวาลงไปล้อมพาราสามนต์ไว้
ชวนเจ้าธานีตีคลีพนันน้ำหน้ามันจะสู้ใครได้
จะขู่ให้งันงกตกใจออกไปหาบุตรสุดท้อง
พระสังข์ครั้งนี้จะถอดเงาะงามเหมาะไม่มีเสมอสอง
พ่อตาจะได้เห็นเป็นรูปทองทั้งทำนองเพลงคลีตีต่อยุทธ์
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดพลางทางมีพจนารถสั่งมาตุลีเทพบุตร
จงเตรียมพลเทวาถืออาวุธนิมิตเหมือนมนุษย์ชาวพารา
ทั้งหน้าหลังตั้งตามกระบวนทัพให้เสร็จสรรพปีกซ้ายปีกขวา
เราจะยกพลไกรไคลคลาไปล้อมพาราท้าวสามนต์
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นมาตุลีกราบงามลงสามหน
รีบออกมานอกไพชยนต์เตรียมพลเทวัญมิทันนาน
ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม เจรจา
๏ เมื่อนั้นอมรินทร์อินทร์องค์สรงสนาน
สอดใส่เครื่องทรงอลงการเนาวรัตน์ชัชวาลวาวแวว
แล้วลีลามาทรงเวไชยันต์ยกทัพเทวัญเป็นถ้องแถว
เดินโดยอากาศกคลาดแคล้วรีบขับรถแก้วลงมาพลัน
ฯ ๔ คำ ฯ กราวนอก เชิด
๏ ครั้นถึงพาราสามนต์ขับพลเข้าล้อมเขตขัณฑ์
ตั้งค่ายรายรอบเรียงรันปักธงสำคัญทุกหมวดกอง
แล้วยิงปืนมณฑกนกสับปล่อยตับตึงตังดังก้อง
บ้างทำสิงหนาถฆาตฆ้องกลองโห่ร้องสำทับให้เกรงกลัว
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
๏ บัดนั้นชาวเมืองทั้งสิ้นได้ยินทั่ว
ตื่นตระหนกตกใจจวนตัวจะยักย้ายครอบครัวก็ไม่ทัน
ต่างคนลนลานทุกบ้านช่องเสลือกสลนขนของเชี่ยนขัน
หอบที่นอนหมอนฟูกผูกพันถามกันว่าจะไปข้างไหนดี
บ้างอุ้มบุตรฉุดมือเมียมาไหว้วอนพ่อตาให้พาหนี
ลูกหลานรุงรังครั้งนี้มิรู้ที่จะแอบแฝงอยู่แห่งไร
บ้างปืนขึ้นแย่งฝาหลังคาเรือนสำคัญฟั่นเฟื่อนว่าไฟไหม้
ขนเอาข้าวของลงกองไว้ร้องไห้เรียกหากันอึงอล
พวกผู้หญิงสาวแก่แม่ค้าตกใจคิดว่าขโมยปล้น
เบี้ยข้าวเททิ้งแล้ววิ่งวนแน่นถนนปนไปกับผู้ชาย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ พวกพระยาพระหลวงทั้งปวงนั้นต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย
ไม่รู้เหตุผลต้นปลายชวนกันผันผายเข้าวังใน
ครั้นถึงศาลาหน้าประตูพอเพลาเช้าตรู่ประแจไข
ร้องเรียกเถ้าแก่ออกแซ่ไปเร่งให้ปลุกบรรทมบังคมทูล
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ราชนเรนทร์สูร
หลับอยู่ไม่รู้เค้ามูลแว่วเสียงสนมทูลก็ตกใจ
ผวาตื่นฟื้นตัวยังมัวเมียงัวเงียโงกหงับหลับไปใหม่
นางมณฑาตื่นก่อนนอนไวหลงใหลทะลึ่งลุกปลุกสามี
ท้าวสามนต์ละเมอเพ้อพำคิดว่าผีอำทำอู้อี้
ลุกขึ้นแก้ฝันขันสิ้นทีเห็นจะดีหรือร้ายช่วยทายดู
นางมณฑาว่าไฮ้อะไรนั่นยังจะมาแก้ฝันกันอยู่
เสียงคนอึงมี่ที่ประตูเป็นอย่างไรไม่รู้เลยพ่อคุณ
ท้าวสามนต์หวาดหวั่นพรั่นพระทัยเหลียวมาคว้าได้ดาบญี่ปุ่น
งกเงิ่นเดินด่วนซวนซุนเมียรุนหลังส่งตรงออกมา
เปิดพระแกลแลเห็นเสนีอึงมี่คึกคักหนักหนา
ร้องถามลงไปมิได้ช้าอ้ายเงาะมันเข้ามาหรือว่าไร
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่
ได้ยินสุรเสียงท้าวไทต่างคลานเข้าไปตรงบัญชร
พิดทูลถ้อยคำละล่ำละลักหายใจหอบฮักขยักขย่อน
ไม่รู้ว่าใครมาล้อมนครพระภูธรจงทราบพระบาทา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตระหนกตกประหม่า
ให้คิดคร้ามครั่นหวั่นวิญญาณ์เหลียวซ้ายแลขวาละล้าละลัง
ความกลัวตัวสั่นงันงกเพ้อพกพูดจาเหมือนบ้าหลัง
ค่อยกระซิบถามเมียเงี่ยหูฟังเสียงอะไรตึงตังดังเหมือนปืน
เอ๊ะกูอยู่แล้วนะเสนีเห็นไพรีจะมากมายหลายหมื่น
นี่หากว่ากล้าหาญพานยั่งยืนจึงไม่ตื่นตระหนกตกใจ
เสียแต่แก่ชราหูตามัวทั้งตัวก็เจ็บปวดป่วยไข้
ถ้าหนุ่มแน่นแม้นเหมือนแต่ก่อนไซร้จะเกรงกลัวอะไรกับไพรี
เหวยหมู่มาตยาข้าเฝ้าอย่างไรเล่าเราจะสู้หรือจะหนี
กูเห็นเหลือกำลังแล้วครั้งนี้สุดที่จะต้านต่อให้ท้อแท้
ได้ยินคนข้างหลังกระทั่งไอตกใจจริงจริงออกวิ่งแร่
ร้องเรียกเมียตัวสั่นว่านั่นแนเสียงแซ่น่ากลัวทั้งรั้ววัง
ลูกเขยของกูมันอยู่ไหนจะให้ไปต่อสู้ดูสักตั้ง
ขัดเขมรเหม่นเหม่ทำเก้กังปากโป้งโผงดังสั่งเสนี
เร็วเร็วเร่งรัดจัดโยธาขึ้นพิทักษ์รักษาหน้าที่
นายมูลขุนหมื่นพื้นตัวดีกินเบี้ยหวัดผ้าปีมีมากมาย
เกณฑ์ให้ประจำซองป้องกันระวังตัวกลัวมันจะปืนป่าย
ประตูทั้งสี่ทิศให้ปิดตายแล้วคั่วทรายคั่วกรวดเตรียมไว้
ฯ ๑๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่
บังคมลงพากันออกไปเรียกหาบ่าวไพร่วุ่นวาย
พวกเหล่าชาวคลังชาวแสงเอาเสื้อแดงปืนผาออกมาจ่าย
แล้วขับไพร่ให้ขึ้นเชิงเทินรายตัวนายถือดาบตรวจดู
บ้างลากปืนใหญ่ขึ้นใส่ช่องถือชุดจุดจ้องเทดินหู
เร่งกันลั่นดาลบานประตูเป็นหมู่หมุ่เยียดยัดอัดไป
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวมัฆวานเป็นใหญ่
สั่งพระวิษณุกรรมทันใดจงแต่งสารถือไปในเมือง
บอกพระยาสามนต์มาตีคลีพนันเอาบุรีให้ลือเลื่อง
แม้นแพ้เราอย่าพักยักเยื้องจะริบเอาบ้านเมืองเสียบัดนี้
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพระวิษณุกรมมเรืองศรี
รับสั่งพระอินทร์ด้วยยินดีอัญชลีแล้วลามาพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถืงประตูพระนครเห็นใส่กลอนมั่นคงลงเขื่อนขัณฑ์
คนรักษาหน้าที่นี่นันเทวัญร้องเรียกให้เปิดรับ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนหมื่นเฝ้าประตูผู้กำกับ
จึงตอบว่าท่านมาแต่กองทัพจะเปิดรับไม่ได้อย่าเข้ามา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระวิษณุกรรมแกล้วกล้า
ผาดแผลงสำแดงฤทธาเท้าถีบทวาราทลายลง
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เห็นพวกรักษาหน้าที่วิ่งหนีเกลื่อนกลาดตวาดส่ง
แกล้งทำสิงหนาทอาจองเดินตรงเข้าพระโรงรจนา
เห็นท้าวสามนต์อยู่บนอาสน์หมู่อำมาตย์เฝ้าแหนแน่นหนา
แกล้งกรายหัวข้าเฝ้าเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าธานี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ลนลานจะวิ่งหนี
นางมณฑาคร่ามือไว้ทันทีท้าวได้สมประดีก็แลดู
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ คิดได้ไพรีมาคนเดียวถึงรบรับขับเคี่ยวพอต่อสู้
จึงร้องเรียกเสนีอย่าหนีกูแล้วนิ่งดูท่วงทีกิริยา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระวิษณุกรรมแกล้วกล้า
เสแสร้งแกล้งกล่าววาจาเหวยเหวยพระยาเจ้าธานี
จงก้มเกล้าเคารพอภิวาทคอยสดับรับราชสารศรี
นายเราให้มาว่าโดยดีแล้วคลี่ราชสารออกอ่านไป
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๏ ในสารว่าองค์พระทรงเดชมงกุฎเกศกษัตริย์เป็นใหญ่
ยกทัพมาประชิดติดเวียงชัยมิใช่จะณรงค์สงคราม
ให้พระยาสามนต์คนดีมาตีคลีพนันในสนาม
จะได้มีเกียรติยศปรากฏนามให้ชีพราหมณ์ราชครูดูเป็นกลาง
แม้นเราแพ้แก่ท่านในการเล่นจะยอมเป็นเมืองขึ้นไม่ขัดขวาง
เราชนะจะรีบไม่ละวางสาวสรรค์กำนัลนางเป็นของเรา
ในวันนี้มิออกมาเล่นคลีจะเข้าตีกรุงไกรเอาไฟเผา
ท้าวสามนต์แม้นรู้อย่าดูเบาจะวอดวายตายเปล่าทั้งเวียงชัย
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นอ่านสิ้นสาราจึงว่ากล่าวนี่แน่ท้าวสามนต์เป็นใหญ่
นั่งนิ่งก้มหน้าอยู่ว่าไรจะต่อตีหรือไม่จงบอกมา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตัวสั่นพรั่นนักหนา
ทำหน้าเซียวเหลียวดูนางมณฑาหูตาบ้องแบวเหมือนแมวคราว
เรียกเมียว่าช่วยพี่ด้วยซิสิ้นสติตกประหม่าตาขาว
ความกลัวตัวสั่นอยู่ท้าวท้าวมันให้หนาวสะท้านรำคาญใจ
แล้วคิดว่าหกเขยของเรานี้จะตีคลีต้านต่อเห็นพอได้
ลุกขึ้นยืนยิ้มย่องร้องตอบไปเราไม่ย่อท้อต่อไพรี
ท่านอย่าฮึกฮักไปนักเลยออเขยทั้งหกมันไม่หนี
จะแต่งให้ไปต้านตีคลีใครดีได้กันไม่พรั่นพรึง
ท่านจงกลับออกไปบอกนายผัดพอตะวันบ่ายสักหน่อยหนึ่ง
พระแกล้งอวดโป้งโผงอึงตั้งปึ่งขึงไว้เหมือนไม่กลัว
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระวิษณุกรรมก็ยิ้มหัว
นี่แน่ท้าวสามนต์คนเมามัวใจคอพอตัวยังชั่วครัน
พูดจาปากกล้าแต่ตาขาวเนื้อแท้ท้าวก็กลัวจนตัวสั่น
จะให้หกเขยตีคลีพนันว่าให้แม่นมั่นเหมือนสัญญา
แม้นไม่ออกไปสนามตามกำหนดมิริบลูกเมียหมดก็จึงว่า
แกล้งขู่สำทับกำชับกำชาแล้วเทวารีบกลับไปฉับไว
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์คิดพรั่นหวั่นไหว
จึงตรัสแก่เขยขวัญทันใดจนใจด้วยบิดาชราแล้ว
ถ้ากำลังยังหนุ่มเหมือนแต่ก่อนพ่อไม่ให้ร้อนถึงลูกแก้ว
เมื่อกระนั้นหาอีกมันหลีกแคล้วไม่อาจมาว่องแววโดยยำเกรง
เดี๋ยวนี้เห็นบิดาชราลงจึงทะนงอวดกล้ามาข่มเหง
ขัดใจจะใคร่ออกตีเองแต่กริ่งเกรงตาหูไม่สู้ไว
เจ้าหนุ่มแน่นแทนพ่อออกตีคลีแก้กู้บุรีไว้ให้ได้
เหมือนช่วยยกหน้าพ่อตาไว้อย่าให้อัปยศอดอาย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยคิดพรั่นขวัญหาย
มิรู้ที่ทำกระไรให้วุ่นวายแต่เหลียวซ้ายเหลียวขวาดูตากัน
จำเป็นจำรับวาจาลูกจะขออาสาพระอย่าพรั่น
ว่าพลางทางถวายบังคมคัลลาไปตำหนักพลันทันที
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงสั่งข้าไทเร่งผูกมโนมัยที่เคยขี่
รับสั่งใช้ให้ออกไปตีคลีครั้งนี้หนักอกหนักใจ
แพ้ชนะอย่างไรก็ไม่รู้จะลองสู้ดูสักทีหาหนีไม่
เร่งรัดจัดแจงแต่งตัวไว้บรรดาเหล่าบ่าวไพร่ให้พร้อมพรัก
ว่าพลางทางขึ้นบนชาลาเปิดประตูเข้ามาในตำหนัก
นั่งแอบแนบนางเมียรักทุกข์นักก้มหน้าไม่พาที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งหกธิดามารศรี
ประหลาดใจนักหนาเห็นสามีท่วงทีทุกข์ร้อนถอนฤทัย
นางจึงถามไถ่เป็นไรหม่อมจึงหน้ามอมหมองคล้ำดำไหม้
หรือบิดากริ้วโกรธทำโทษภัยจงบอกให้ประจักษ์ที่หนักเบา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยหน้าจ๋อยหงอยเหงา
ความทุกข์เหลือกำลังนั่งเขาบอกเล่าเมียมิ่งทุกสิ่งอัน
บัดนี้พระบิดาบัญชาใช้ท่านวางใจว่าพี่นี้ขยัน
ขืนให้ไปตีคลีพนันจะผ่อนผันฉันใดก็สุดคิด
อันวิชาเช่นนี้เจ้าพี่เอ๋ยไม่ได้ร่ำเรียนเลยแต่สักหนิด
ขุกเอาเดี๋ยวนี้ดั่งนิมิตต้องจนจิตซังตายตะกายไป
โฉมยงจงไปคอยดูพี่อยู่ที่พลับพลาทองผ่องใส
จะได้ภาวนาช่วยอวยชัยเหมือนทัพหนุนอุ่นใจไม่สู้กลัว
ถึงพลั้งพลาดมาตรแม้นสติเสียเห็นหน้าเมียอยู่มั่งค่อยยังชั่ว
แต่ลำพังยังไม่ไว้ใจตัวเจ้าไปเป็นเพื่อนผัวไม่กลัวใคร
ว่าพลางจรลีเข้าที่สรงแต่งองค์ทางเครื่องล้วนใหม่ใหม่
ส่องกระจกดูเงาเศร้าเสียใจจมูกใบหูวิ่นสิ้นงาม
แล้วลีลามาทรงม้าที่นั่งบ่าวไพร่ตามหลังจนออกหลาม
หกนางนึกประหวั่นครั่นคร้ามขี่วอคนหามตามผัวมา
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงราชฐานทวารวังเขาบอกว่ารับสั่งคอยท่า
จึงลนลานลงจากหลังม้าไปเฝ้าพ่อตาไม่ช้าเลย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ครั้นเห็นหกเขย
แสนสำราญอารมณ์ชมเชยลูกเอ๋ยแต่งตัวเต็มประดา
เจ้าจะไปตีคลีวันนี้ไซร้จงตั้งใจตั้งคอนะพ่อหนา
อย่าให้อายขายพักตร์พ่อตาแก้กู้พาราเอาหน้าไว้
ว่าพลางย่างเยื้องจรจรัลมาสรงน้ำที่ขันสาครใหญ่
ตักวารีรดหมดเหงื่อไคลลูบไล้แป้งกระแจะจันทน์ปรุง
ใส่เสื้อก้านแย่งแต่งเต็มที่ผ้ายกอย่างดีเอาออกนุ่ง
แล้วหยิบเจียระบาดมาคาดพุงทรงเครื่องเรืองรุ่งระยับตา
สวมสอดกำไลใส่แหวนหัวเพ่งพิศดูตัวงามหนักหนา
นั่งมองส่องกระจกใส่ชฎาเจ้ามณฑาดูทีดีหรือเอียง
ครั้นเสร็จเสด็จทรงคชสารทวยหาญโห่ลั่นสนั่นเสียง
ซ้ายขวาม้าลูกเขยเป็นคู่เคียงพร้อมเพรียงไพร่พลมนตรี
เมียรักร่วมจิตกับธิดาขี่วอช่อฟ้าหลังคาสี
เถ้าแก่กำนัลขันทีตามเสด็จเทวีมาคึกคัก
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนพลับพลาทั้งธิดามเหสีมีศักดิ์
ท้าวสามนต์นั่งอิงพิงพนักอกใจทึกทักครั่นคร้าม
ไพร่ฟ้ามาดูตีคลีคับคั่งทั้งที่ท้องสนาม
ตำรวจในไล่บุกคุกคามห้ามปรามคนยืนหน้าพลับพลา
หกเขยขับม้าออกมายืนที่เห็นไพรีนับแสนแน่นหนา
ต่างคนคิดพรั่นหวั่นวิญญาณ์ชักม้าเกะกะปะทะกัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นอมรินทร์ปิ่นภพสรวงสวรรค์
เห็นหกเขยมาตีคลีพนันก็ลงจากสุวรรณพลับพลาชัย
ทรงม้าวลาหกผกโผนกระทืบโกลนแกล้งขับเข้ามาใกล้
ร้องสำทับทั้งหกให้ตกใจพวกนี้หรือไรจะสู้เรา
หน้าตาจมูกหูดูชอบกลช่างเหมือนกันทุกคนเจียวหนอเจ้า
เห็นจะดีทายาดดูลาดเลาเป็นลูกเต้าผ่าพงศ์ผู้ใด
เลือกสรรกันมาล้วนตัวดีตีคลีมีฝีมือหรือไฉน
จงเร่งบอกเราให้เข้าใจจึงจะได้สู้กันพนันเมือง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยหน้าจ๋อยหงอยเหงื่อง
อัปยศอายระคายเคืองต่างชำเลืองเหลียวมาดูตากัน
เขยใหญ่ยิ้มแห้งแกล้งแก้หน้าจึงร้องว่าพ่อเอ๋ยอย่าเย้ยหยัน
ข้ามิใช่ชายชั่วตัวสำคัญแต่ล้วนลุกเขยขวัญท้าวสามนต์
เรารับอาสาออกมานี้จะตีคลีต่อสู้ดูสักหน
ไม่ย่อท้อถอยหลังทั้งหกคนตามจนจะแก้หน้าพ่อตาไว้
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโกสีย์ยิ้มแย้มเฉลยไข
ลูกเขยเจ้าพาราแล้วว่าไยช่างกระไรไม่ชั่วล้วนตัวดี
เร่งมาตีคลีสู้ดูฝีมือให้ร่ำลือเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
ว่าพลางชักม้าเป็นท่วงทีแล้วเดาะคลีตีไปมิได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นหกเขยตระหนกตกประหม่า
เอามือขึ้นช่วยรับแล้วหลับตาคนฮาโห่สนั่นยิ่งงันงก
ต่างเข้าตะลุมบอนช้อนคลีพาชีชุลมุนมุ่นหก
ทำพยศหันเหียนเวียนวกพลัดตกลงมาขาแพลง
บ้างเดาะคลีตีผิดไปเป็นวาเหลียวดูภรรยาแล้วยิ้มแห้ง
อาชาพาโผนโดนกำแพงสิ้นแรงร้องโยคนโห่เกรียว
ที่ขี่ม้าไม่เป็นเต้นสามขาฉุดคร่าสายถือสองมือเหนี่ยว
คิดกลัวพ่อตาทำหน้าเซียวมันให้ลนลานเหลียวตละกวาง
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์คอตกตีอกผาง
ดุเดือดเต็มประดาร้องด่าพลางไอ้คนอะไรช่างไม่มีอาย
ท่าทางสอนให้ก็ไม่จำจะแกล้งทำให้เขาริบฉิบหาย
ดูเอาเล่าเถิดชินางแม่ยายลูกเขยมันจะขายพ่อตา
พลางด่าหกธิดาพาโลผัวมึงสำแดงโง่ทำงามหน้า
ยังจะเท้าแขนหยัดดัดกิริยาจะเป็นข้าเขาไม่ทุกข์สนุกใจ
ท้าวคิดเคืองขุ่นงุ่นง่านตัวสั่นสะท้านเหงี่อกาฬไหล
กอดเข่ารำพึงตะลึงตะไลคราวออดทอดใจใหญ่ไม่พาที
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจึงองค์อมรินทร์เรืองศรี
ร้องท้าว่าเหวยเขยคนดีทำไมไม่เดาะคลีตีโต้มา
อย่างไรนั่นกลอกคอทำท้อแท้จะยอมแพ้หรือไรให้เร่งว่า
จะได้ริบเขตขัณฑ์ดังสัญญาเอาตัวพ่อตาเป็นข้าไท
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยตัวสั่นหวั่นไหว
เข้าช้อนคลีพัลวันกันไปพลัดไพล่ไม่ขึ้นมาพ้นดิน
อาชาตื่นแตกแหกกระแซงแต่เหนี่ยวเหนี่ยวเรี่ยวแรงก็สุดสิ้น
เรียกบ่าวงึมงำขอน้ำกินก้มหน้าดูดินไม่เหลียวแล
โกสีย์ยิ้มเยื้อนแล้วเตือนซ้ำตอบคำอยู่ในคอพูดอ้อแอ้
ยกมือขึ้นคำนับรับแพ้ตามแต่จะเมตตาปรานี
ฯ ๖ คำ ฯ      เจรจา
๏ บัดนั้นชาวเมืองที่ดูอยู่อึงมี่
เห็นหกเขยยอมแพ้แก่ไพรีไพร่ผู้ดีเสียใจสิ้นทุกคน
ต่างพูดงุบงิบกระซิบด่าลูกเขยพระยาไม่เป็นผล
มันพอสมน้ำหน้าท้าวสามนต์พลอยให้คนฉิบหายทั้งพารา
บ้างว่าจะร้อนใจไปไยเล่าใครเขามีบุญก็เป็นข้า
เห็นจะต้องริบแน่แต่พระยาเราเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
บ้างตะโกนโพนทะนาท้าวสามนต์ช่างเชื่อคนหูแหว่งจมูกวิ่น
หน่วยก้านเช่นนี้ดีแต่กินต้องเป็นข้าเขาสิ้นสาแก่ใจ
บ้างพูดจาฮึกฮักพยักพเยิดฟ้าผี่เถิดหาว่าเล่นไม่
แม้นเราได้ลูกสาวของท้าวไทจะตีคลีมิให้พ่ายแพ้
เหล่าห้ามแหนแสนสาวท้าวนางงานกลางหลวงแม่เจ้าเถ้าแก่
ผินหน้าปรับทุกข์กันซ้อแซ้คงเขาริบเราแน่แล้วครั้งนี้
ลางคนบ่นว่าข้านึกเดาเห็นท่านจะเลี้ยงเราไว้คงที่
ราชการข้าหมั่นขยันดีจะมานั่งปรารี้ปรารมภ์ไย
หญิงชายแซ่ซ้องทั้งท้องสนามบ่นบ้าไปตามอัชฌาสัย
ต่างติโทษโกรธขึ้งอึงไปทั้งผู้ดีเข็ญใจไม่เว้นคน
ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระอินทร์ขับอาชาม้าต้น
เข้ามาใกล้แล้วว่าท้าวสามนต์เขยทั้งหกคนก็แพ้เรา
ยังผัวลูกสาวน้อยนั้นอยู่ไหนจะแก้มือหรือไม่อย่างไรเล่า
อย่าลงนั่งปรารภซบเซาไม่สู้เราแล้วหรือจะได้ริบ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เสียใจไม่ได้สิบ
พิไรร่ำโศกาจนตาลิบแต่อุบอิบอู้อี้ขยี้ตา
นั่งก้มหน้านึกตรึกไตรมันก็ยังแต่ไอ้เงาะป่า
จะแต่งให้ไปกู้สู้พาราน้ำหน้าไหนจะตีคลีเป็น
จะได้ใครดีหนอออกต่อสู้สุดรู้ไม่มีที่เหลียวเห็น
โศกาจนเลือดตากระเด็นสิ้นสติไม่เป็นสมประดี
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑามเหสี
เห็นพระภัสดาสามีไม่โต้ตอบไพรีประการใด
กลัวเขาจะริบเอาพารากัลยาอกสั่นหวั่นไหว
เข้านั่งชิดสะกิดภูวไนยแล้วกราบทูลไปดังใจปอง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ผ่านเอยผ่านเกล้าอย่าซบเซาทุกข์ทนหม่นหมอง
เออช่างสิ้นสติไม่ตริตรองจงฟังน้องชั่งจิตคิดดู
ขอบใจไพรีที่กล่าวถ้อยให้แต่งลูกเขยน้อยออกต่อสู้
เมียเห็นว่าเงาะนี้มีความรู้พระอย่าได้ลบหลู่ว่าชั่วช้า
เพื่อนพานถือตัวไม่กลัวใครน้ำใจในคอนั้นแกล้วกล้า
เห็นจะรุ่งเรืองอิทธิฤทธาจึงหาเนื้อหาปลาได้มากมาย
แต่ก่อนผ่านเกล้าเฝ้าขึ้งโกรธจงไปง้อขอโทษเสียให้หาย
แม้นเงาะรับผจญเห็นพ้นอายดีร้ายจะได้เวียงชัยคืน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ฟังถ้อยคำค่อยชื่นมื่น
จึงระงับดับโศกกล้ำกลืนผุดลุกขึ้นยืนแล้วร้องไป
ดูราข้าศึกจงงดก่อนข้าขอผัดผ่อนแก้ตัวใหม่
อันผัวลูกสาวน้อยของเราไซร้เป็นเงาะป่าบ้าใบ้ทรพล
แต่ใจคอองอาจทายาดอยู่จะลองให้ออกสู้อีกสักหน
ถ้าเพลี่ยงพล้ำซ้ำแพ้ทั้งเจ็ดคนมันก็จนแล้วพ่อไม่ขอตัว
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นสหัสนัยน์ได้ยินก็ยิ้มหัว
แกล้งทำร้องว่าให้น่ากลัวแม้นมิมาแก้ตัวไม่ละลด
จะริบเอาข้าวของในท้องคลังอีกทั้งลูกเมียเสียให้หมด
วันนี้ขอทุเลาเราจะงดแล้วอย่าปดกันหนาท้าวสามนต์
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตอบความตามขัดสน
เราได้ให้ทานบาดคาดบนเป็นคนมิให้เสียวาจา
ว่าพลางทางชวนมเหสีทั้งกำนัลขันทีถ้วนหน้า
ลงจากที่ประทับพลับพลากลับมานคเรศนิเวศน์วัง
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงไพชนมนเทียรทองเสด็จตรงขึ้นท้องพระโรงหลัง
ลดองค์ลงนั่งบนบัลลังก์นิ่งนั่งครางออดกอดมือ
จึงดำรัสตรัสเรียกนางมณฑาแม่เอ๋ยมาใกล้พี่ถึงนี่หรือ
ความทุกข์จะปรึกษาหารือจะทำถือเชิงชั้นฉันนั้นไย
เจ้าเตือนสติพี่เมื่อกี้นั้นจริงอยู่หาทันคิดไม่
อันเจ้าเงาะลูกเขยของเราไซร้เห็นจะกู้เวียงชัยได้ดังคิด
เจ้าอุตส่าห์แข็งใจออกไปหาบอกว่าพี่เฒ่านี้รับผิด
ให้เจ้าเงาะปรานีช่วยชีวิตมาต่อฤทธิ์ตีคลีแทนบิดา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นโฉมนางมณฑาเสน่หา
นิ่งเสียไม่คำนับรับวาจานางนั่งนินทาว่าเปรียบเปรย
จนจริงจะวิ่งไปหาเงาะน่าหัวเราะหนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย
สิ้นมานะสะทะแล้วพระเอยเงาะเงยก็จะให้ไปง้องอน
ฯ ๔ คำ ฯ
สร้อยสนตัด
๏ ว่าพลางทางยิ้มแย้มหยันแล้วลุกจากแท่นสุวรรณบรรณจถรณ์
พรั่งพร้อมสาวสุรางคนิกรบทจรไปยังบ้านปลายนา
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงหยุดอยู่แต่ไกลร้องเรียกลูกสายใจเสน่หา
เหตุไรไม่ขานพระมารดารจนาไปไหนจะใคร่รู้
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นรจนาออกไปทำไร่อยู่
เจ้าเงาะยืนฟื้นฟันร่องคูปลูกถั่วพูฟักแฟงแตงร้าน
ได้ยินแว่วเสียงชนนีมาร้องเรียกอยู่ที่ประตูบ้าน
นางดีใจไปรับมิทันนานกราบกับบทมาล์แล้วโศกา
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ แล้วทูลเชิญเสด็จชนนีเข้าไปในที่เคหา
ผลักไหล่ไสหลังเจ้าเงาะมาให้กราบกรานมารดาทันใด
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะทำเหมือนถวายตัวใหม่
เฝ้าแต่แลมาแลไปไม่เข้าใจนบนอบหมอบกราน
นั่งยองยองมองดูแล้วปูผ้าพนมมือเมินหน้าท่าแบกขวาน
ราวกับจะรับศีลสมภารพังพาบกราบกรานท่านแม่ยาย
แล้วลุกมาหาครกตำหมากไม่พบสากเจ้ากรรมใครทำหาย
ล้วงมือค้นได้ในก้นกระทายเอาปูนป้ายพลูใส่ลงในครก
ฉวยมีดผ่าหมากดิบหยิบใส่อุตส่าห์ตำตั้งใจมิให้หก
ทำเหมือนอยู่วัดวาดังทารกประเคนครกเข้าไปให้แม่ยาย
แล้วมาเก็บแฟงฟักผักหญ้าใส่กระบุงแบกมาให้เมียถวาย
รจนาว่าไฮ้เบื่อจะตายช่างไม่อายสาวสรรค์กำนัลใน
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
โอ้ปี่
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑาจึงปราศรัย
นิจจาเจ้าจากแม่มาอยู่ไกลยากเย็นเข็ญใจถึงเพียงนี้
ผิดรูปซูบผอมเป็นหนักหนาพักตราสร้อยเศร้าสลดศรี
ต้องเก็บผักหักฟืนเลี้ยงชีวีน่าปรานีลูกน้อยกลอยใจ
ว่าพลางลูบหลังแล้วเชยพักตร์ครวญคร่ำร่ำรักเพียงตักษัย
ทั้งฝูงสาวสรรค์กำนัลในสงสารทรามวัยก็โศกา
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นสร่างกันแสงจึงแจ้งเหตุบัดนี้บิตุเรศละห้อยหา
แต่เฝ้าเร้ารบมารดาให้ออกมาแจ้งความแก่ทรามวัย
เจ้าก็รู้อยู่แล้วสินะลูกเขาดูถูกมาล้อมกรุงใหญ่
ขันพนันตีคลีเอาเวียงชัยหมายใจจะริบบุรีเรา
ท้าวให้ไอ้เขยทั้งหกคนออกประจญตีคลีก็แพ้เขา
พระบิดาทุกข์ร้อนลงนอนเซาเงียบเหงาไปสิ้นทั้งธานี
จะผินหน้าพึ่งใครไม่ได้แล้วเห็นแต่ลูกแก้วทั้งสองศรี
เจ้าช่วยวอนว่าแก่สามีเชิญไปตีคลีอย่าน้อยใจ
ขอพึ่งใบบุญของเจ้าเงาะอนุเคราะห์กู้เมืองไว้ให้ได้
เจ้าอย่าเคืองขัดตัดอาลัยทำคุณแม่ไว้เถิดลูกน้อย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นรจนาฟังเล่าก็เศร้าสร้อย
สงสารมารดาน้ำตาย้อยนางพลอยโศกศัลย์พันทวี
กราบบาทภัสดาแล้วว่าวอนพระมารดรอุตส่าห์มาถึงนี่
พ่อไม่เมตตาปรานีช่วยกู้บุรีให้พ้นภัย
จงถอดเงาะเสียเถิดนะทูนหัวจะซ่อนเนื้อซ่อนตัวไปถึงไหน
จนตกไร้ได้ยากลำบากใจช่างกระไรไม่คิดแกล้งบิดเบือน
พระแม่มาก็ไม่ทักแต่สักคำดีแต่ทำละไลไหลเลื่อน
ไม่เห็นทุกข์ร้อนเลยช่างเฉยเชือนดูเหมือนหนึ่งไม่มีเมตตา
อันความทุกข์ครั้งนี้แม้นมิช่วยเห็นเมียจะมอดม้วยสังขาร์
ว่าพลางทางทรงโศกาปิ้มว่าชีวันจะบรรลัย
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ทองยอน
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะฟังเมียเสียไม่ได้
สงสารรจนายาใจร้องไห้วอนว่าน่าเอ็นดู
แต่คิดแค้นแม่ยายกับพ่อตาจะทรมาเสียก่อนให้อ่อนหู
ถ้าแม้นไม่งอนง้อต่อกูจะทำเชิงเฉยอยู่ให้ช้านาน
แล้วผินผันหันหลังให้แม่ยายหยิบกระบายมาตั้งนั่งสาน
กระดิกเท้าทีทำเป็นสำราญใครว่าขานอย่างไรไม่นำพา
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาถอนใจพิไรว่า
เจ้าเงาะเอ๋ยนิ่งได้ไม่เมตตาจะให้เมียมรณาเสียจริงจริง
อันทุกข์ร้อนครั้งนี้มิใช่เล่นช่างไม่เห็นด้วยมั่งมานั่งนิ่ง
หรือพ่อแค้นบิดาว่าชังชิงแม่ก็วิงวอนง้อขออภัย
เจ้ามาตัดอาลัยเยื่อใยเสียทำให้เมียหม่นหมองนั่งร้องไห้
จงเห็นแก่แม่เถิดอย่าถือใจนางพิรี้พิไรรำพัน
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะสำรวลสรวลสันต์
จึงตอบวาจามารดาพลันจะรับอาสานั้นสุดปัญญา
เงาะนี้พวกปีศาจอุบาทว์ร้ายมากลับกลายสรรเสริญเห็นเกินหน้า
จะล่อลวงให้หลงอย่าสงกาลูกกลัวพระบิดาจะฆ่าแกง
ท่านคิดแยบยลเป็นกลในแต่หลังอย่างไรพระย่อมแจ้ง
ใช่ลูกจะรับเกียจเสียดแทงพระมารดาอย่าระแวงฤทัยนึก
อันท่านทั้งหกเขยย่อมเคยคลีต่อตียังแพ้แก่ข้าศึก
นับประสาหน้าเงาะนี้เห็นลึกจะพึ่งพาอย่านึกให้ป่วยการ
แต่ธุระของข้าหาใส่ปากแสนยากก็ไม่มีใครสงสาร
พึ่งเห็นว่าชนนีนี้โปรดปรานอุตส่าห์มาถึงบ้านข้าขอบใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาชมเปาะเงาะพูดได้
น้อยหรือถ้อยคำร่ำพิไรสำคัญว่าบ้าใบ้ไม่รู้เลย
สารพัดตัดพ้อพ่อตาแหลมหลักหนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย
ทั้งกระทบกระเทียบเปรียบเปรยไม่ปรานีบ้างเลยหรือเจ้าเงาะ
ถึงโกรธพ่อก็เห็นกับแม่บ้างอย่าให้นั่งน้ำตาลงเผาะเผาะ
ดูหรูช่างตั้งใจแต่หัวเราะไม่ช่วยอนุเคราะห์แล้วหรือไร
เสียแรงแม่มาง้อขอโทษแล้วลูกแก้วจะโกรธขึ้งไปถึงไหน
นางรบเร้าเฝ้าวอนจนอ่อนใจจึงผินไปว่ากล่าวลูกสาวตัว
โฉมยงจงเอ็นดูมารดรช่วยอ้อนวอนอีกสักครั้งเถิดทูนหัว
แม่นี้จนจิตคิดกลัวจะรอดก็เพราะผัวเจ้าเมตตา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนาเสน่หา
ให้คิดสงสารพระมารดาก็โศกาวอนผัวรำพันไป
ฯ ๒ คำ ฯ
</sub>โอ้ปี่</sub>
๏ โอ้อนิจจาพระสามีไม่ปรานีน้องจริงนิ่งเสียได้
ควรหรือมาสลัดตัดอาลัยช่างกระไรไม่คิดสักนิดเลย
ทุกข์ของมารดาเหมือนทุกข์ตัวจะผินหน้าพึ่งผัวก็เชือนเฉย
ดีแต่ทำเปล่าเปล่าให้เขาเย้ยอกเอ๋ยจะอยู่ไปไยมี
นางชะอ้อนวอนแล้ววอนเล่าแม้นพ่อเจ้าไม่โปรดเกศี
น้องจะลาอาสัญเสียวันนี้เทวีตีทรวงเข้าร่ำไร
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
กลัวเมียจะอาสัญบรรลัยจึงโลมเล้าเอาใจไปมา
อย่ากันแสงเศร้าหมองเลยน้องรักไว้พนักงานพี่จะอาสา
ออกตีคลีพนันดังสัญญามิให้เสียพาราประจามิตร
แล้วผินหน้ามาทูลชนนีใช่ลูกนี้จะแกล้งเบือนบิด
แต่หากข้นจนเป็นพ้นคิดเครื่องทรงแต่สักนิดก็ไม่มี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาค่อยสบายคลายคลี่
จึงว่าแก่เขยขวัญทันทีเครื่องประดับดีดีมีถมไป
แม่จะให้ไปทูลพระบิดาจัดแจงแต่งมาประทานให้
ว่าพลางนางสั่งสาวใช้เร่งไปทูลองค์พระทรงธรรม์
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นสาวใช้รับสั่งขมีขมัน
ถวายบังคมลาพากันจรจรัลเข้ามาในธานี
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึงทูลกิจจาว่าพระแม่มณฑามเหสี
ให้ข้ามาทูลพระภูมีบัดนี้สมจิตที่คิดไว้
พระธิดาว่ากล่าวเจ้าเงาะป่าจะอาสาออกตีคลีได้
ให้จัดเครื่องทรงส่งออกไปที่ใหม่ใหม่งามงามอร่ามเรือง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์หัวเราะเงาะทรงเครื่อง
ชอบแต่นุ่งผ้าค่าบาทเฟื้องแหวนทองเหลืองลูกปัดจัดให้มัน
หน้าตาหัวหูยู่ยี่ถ้าใส่เครื่องชาตรีทีจะขัน
ไม่สมกับเครื่องทองของทั้งนั้นแต่จะต้องให้มันด้วยจำจน
ว่าพลางทางมีบัญชาการสั่งเจ้าพนักงานเครื่องต้น
จงไปจัดมงกุฏกุณฑลสร้อยสนสังวาลบานพับ
ของกูดีดีมีนักหนาเก่าแก่แต่บรรดาเครื่องประดับ
จะเลือกให้ไอ้เงาะสักสำรับเร็วเร็วรีบกลับมาฉับไว
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพวกภูษามาลาบังคมไหว้
รีบมายังโรงพระแสงในเข้าไปเปิดตู้ดูบาญชี
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ จัดแจงเครื่องต้นขนออกมามอบหมายตรวจตราถ้วนถี่
แล้วเชิญเครื่องตามกันมาทันทีวางถวายภูมีดังบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เลือกสรรกันนักหนา
คิดเสียหายเครื่องต้นพ้นปัญญาจะให้ไอ้เงาะป่าด้วยจำใจ
จึงจัดเครื่องประดับสำหรับกายแต่พอดีพอร้ายซังตายได้
พลางสั่งกำชับสาวใช้เร่งไปบอกมันเข้ามา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นสาวใช้รีบสั่งใส่เกศา
เชิญเครื่องใส่พานแว่นฟ้าแบกเดินลอยหน้ามาทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายเครื่องทรงทูลองค์มณฑามเหสี
รับสั่งให้หาผัวพระบุตรีเข้าไปประเดี๋ยวนี้อย่าช้า
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระชนนีดีใจเป็นนักหนา
จึงว่าเจ้าเงาะของแม่อาเครื่องประดับประดาเอามาแล้ว
ธำมรงค์มงกุฏสังวาลพระบิดาประทานลูกแก้ว
เชิญเจ้าทรงเถิดให้เพริศแพร้วงามแล้วนุ่งห่มพอสมตัว
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะครั้นเห็นก็สั่นหัว
ติว่าเครื่องทรงมัวซัวเต็มชั่วนักหนาข้าไม่เอา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระมารดาว่าไม่ชอบใจเจ้า
ยังมีตรึกมิถองของเราจะเลือกเอาให้งามตามฤทัย
ว่าพลางทางสั่งสาวศรีกลับไปธานีเดี๋ยวนี้ใหม่
ทูลว่าเจ้าเงาะไม่ชอบใจเร่งให้จัดเครื่องอื่นมา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้บังคมก้มเกศา
รับพระเสาวนีย์มิได้ข้าเดินด่วนเข้ามายังวังใน
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงทูลพระภูมีเครื่องทรงเมื่อตะกี้เอาไปให้
เจ้าเงาะเลือกเสียไม่ชอบใจมิได้เครื่องใหม่ไม่เข้ามา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ฟังชังน้ำหน้า
อ้ายเงาะถ่อยร้อยย่างช่างมารยากูว่าไม่ผิดปากจะยากเย็น
นี่แม่ยายแล้วสิริให้เมื่อมันไม่เคยพบเคยเห็น
น้ำหน้าจะสอดใส่ที่ไหนเป็นทำเล่นเครื่องต้นเลือกคนรู้
แล้วจัดเครื่องทรงอย่างเอกแต่ครั้งอภิเษกพระเจ้าปู่
คิดเสียดายนักของรักกูจนอยู่จำใจต้องให้มัน
ว่าพลางทางร้องเรียกไปเหวยเสนาในใครอยู่นั่น
จงเตรียมพลผูกช้างฉับพลันกูจะจรจรัลไปปลายนา
พระมิได้สรงน้ำสว่ำเสวยมาขึ้นเกยหยุดยืนคอยท่า
พร้อมเสร็จเสด็จทรงคชาเสนาแห่แหนแน่นไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงหยุดช้างทรงอยู่ตรงกระท่อมที่ริมไร่
ร้องเรียกรจนายาใจเป็นไรไม่มารับบิดา
พ่อออกมางอนง้อขอโทษสิ้นขึ้งสิ้นโกรธเจ้าเงาะป่า
เครื่องทรงสารพัดจัดแจงมาทีนี้งามนักหนามารับเอา
นางแม่ยายแม่ย่อยก็พลอยเฉยไม่ตักเตือนลูกเขยเร็วเร็วเข้า
รจนาก็ไม่เร่งรบเร้าจะให้เขาริบข้าหรือว่าไร
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนานารีศรีใส
แว่วเสียงบิตุรงค์ร้องเรียกไปจำได้ไคลคลาออกมารับ
ครั้นถึงจึงบังคมก้มเกล้ารับเอาข้าวของเครื่องประดับ
ทั้งมงกุฏสังวาลบานพับแล้วกลับเข้าไปให้เจ้าเงาะ
สวมตัวผัวแก้วแล้วว่าขานพระบิดาประทานทีนี้เหมาะ
งามนักงามหนาอย่าหัวเราะเชิญถอดรูปเงาะเถิดพ่อคุณ
ท่านเสด็จมาเองด้วยเกรงใจช้าไปก็เครื่องจะเคืองขุ่น
ช่วยกู้เวียงชัยไว้เอาบุญพ่อเนื้อนพคุณจงเมตตา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะนั่งนิ่งพิงฝา
พิศดูเครื่องใหม่ที่ให้มาแล้วมีวาจาว่าไป
เหมือนกันนั่นแหละกับเครื่องเก่าจะแต่งตัวผัวเจ้าหาควรไม่
ขายหน้าข้าศึกจะไยไพคืนไปเสียเจ้าอย่าเอามา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นจึงองค์เจ้าตรัยตรึงศา
แจ้งใจในทิพย์วิญญาณ์จะนิ่งดูอยู่ถ้าเห็นช้าที
จึงตรัสสั่งพระวิษณุกรรม์จงจัดสรรเครื่องทรงเรืองศรี
เอาไปให้พระสังข์ครั้งนี้จะได้ใส่ตีคลีอวดพ่อตา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระวิษณุกรรมแกล้วกล้า
คำนับรับเทวบัญชาแล้วพาเครื่องประดับไปฉับไว
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกระท่อมน้อยเจ้าหอยสังข์กำบังกายาเข้ามาใกล้
เอาเครื่องทรงขององค์สหัสนัยน์วางลงส่งให้กับเจ้าเงาะ
แล้วว่าเครื่องประดับสำรับนี้สำหรับใส่ทรงตีคลีเดาะ
มัฆวานประทานจำเพาะว่าพลางทางเหาะกลับมา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ลมพัดชายเขา
๏ เมื่อนั้นเจ้าเงาะเกษมสันต์หรรษา
ได้เครื่องพระอินทร์ดังจินดาจึงเดินเข้ามายังห้องใน
รจนายกพานเครื่องทรงตามมาคอยส่งให้สอดใส่
พระถอดรูปเงาะพลันทันใดมอบให้รจนานงเยาว์
ฯ ๔ คำ ฯ
ลงสรงมอญ
๏ แล้วขัดสีฉวีวรรณผุดผ่องดังทองชมพูนุทเนื้อเก้า
สุคนธาประทิ่นกลิ่นเกลาสนับเพลาเชิงงอนซ้อนซับ
ภูษาผ้าทิพย์กระสันทรงจีบโจงหางหงส์ประจงจับ
ปั้นเหน่งเพชรพรรณรายสายบานพับเฟื่องห้อยพลอยประดับทับทรวง
ทองกรแก้วพุกามงามเงาทับทิมเท่าเม็ดข้าวโพดโชติช่วง
สร้อยสนสังวาลวรรณกุดั่นดวงรุ้งร่วมธำมรงค์เรือนครุฑ
กรรเจียกจอนจำหลักลายซ้ายขวาบรรจงทรงมหามงกุฏ
ห้อยอุบะนฤมิตผิดมนุษย์งามดังเทพบุตรในชั้นฟ้า
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เสร็จทรงเครื่องประดับฉับพลันพระสังข์เกษมสันต์หรรษา
จึงชวนนวลนางรจนามากราบกรานมารดาด้วยใจภักดิ์
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาแลดูไม่รู้จัก
คิดว่าเทวาสุรารักษ์อกใจทึกทักให้ครั่นคร้าม
นางนบนอบหมอบกรานกราบไหว้ลูกสาวยุดฉุดไว้แล้วร้องห้าม
พระมารดานิ่งอยู่ไม่รู้ความลูกเขยถอดเงาะงามแล้วเป็นไร
นางมณฑาว่าอ่อกระนั้นหรือแม่คนซื่อสำคัญว่ามิใช่
ลูกเขยข้าถอดเงาะเหมาะเหลือใจนางลูบไหล่ลูบหลังนั่งมอง
น้อยหรือน่ารักเป็นนักหนาหน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มย่อง
สอดใส่เครื่องประดับก็รับรองผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
คิดคิดขึ้นมาน่าหัวเราะเอารูปเงาะสวมใส่ทำใบ้บ้า
อัปยศอดอายขายหน้าตาเจ้าแกล้งแปลงมาแม่ไม่รู้
รจนายาจิตช่างคิดถูกหมายมั่นพันผูกก็ควรอยู่
ทีนี้แหละลอยแก้วแล้วลูกกูโฉมตรูแย้มยิ้มกระหยิ่มใจ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ แล้วร้องเรียกภัสดาสามีเร็วเร็วมานี่จะบอกให้
รวยแล้วทูนหัวอย่ากลัวใครเห็นจะกู้เมืองได้ดังใจปอง
อย่าดูถูกลูกเขยคนนี้ทั้งในธานีไม่มีสอง
ผิวเนื้อเรื่อเหลืองเรืองรองเปล่งปลั่งดังทองนพคุณ
งามเลิศเหลือมนุษย์สุดแล้วพอปากคอคิ้วตาเหมือนหน้าหุ่น
ถ้าใครได้เห็นก็เป็นบุญไม่เชื่อเชิญพ่อคุณเข้ามาดู
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์หัวเราะเยาะยิ้มอยู่
เออราวกับใครเขาไม่รู้รำคาญหูจู้จี้ไปทีเดียว
ขืนจะให้ไปดูลูกเขยเงาะมันสิเหมาะหนักหนาเหมือนม่าเหมี่ยว
อย่าอวดโอ้โป้ปดลดเลี้ยวพระอินทร์มาเขียวเขียวไม่เชื่อเลย
แล้วตรัสกับเสนานินทาเมียตะแกเสียจริตผิดแล้วเหวย
รูปทองที่ไหนเล่าเฝ้าชมเชยเงาะเงยน่าเกลียดขี้เกียจไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาว่าดู๋ดื้อไปได้
เขาจะริบฉิบหายทั้งเวียงชัยน่าชังช่างกระไรไม่เชื่อเลย
กลับมาหัวเราะเยาะเย้ยข้าจะว่าใครเป็นบ้านิจจาเอ๋ย
ไม่ลวงหลอกดอกนะพระเอยลูกเขยเราไซร้มิใช่เงาะ
ฟ้าผี่เถิดหนาไม่ว่าเล่นท้าวเห้นกลัวแต่จะชมเปาะ
จริงจริงนะขาอย่าหัวเราะแม้นไม่เหมาะตีเมียเสียให้ตาย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์สรวลสันต์ไม่ผันผาย
เห็นนางมณฑาว่าวุ่นวายจึงชังตายดำเนินเดินมา
เข้าไปในทับเห็นลูกเขยพ่อเจ้าลูกเอ๋ยงามนักหนา
น้อยหรือรูปร่างเหมือนเทวดาหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
ผิวเนื้อเรื่อเรืองเหลืองประหลาดดังทองคำธรรมชาติหล่อเหลา
ฟ้าผี่เถิดเอ๋ยลูกเขยเรางามจริงแล้วเจ้านางมณฑา
ถึงตัวพี่เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นรูปร่างก็อ้อนแอ้นโอ้อ่า
ไม่แกล้งอวดทรวดทรงหน้าตาไส่ชฎาเครื่องประดับก็รับรอง
แต่ไม่เหมาะเหมือนลูกเขยคนนี้เป็นต่อพี่อยู่ราวสักสามสอง
แพ้เขาที่เนื้อไม่เป็นทองกระนั้นน้องยังรักว่ารูปงาม
ตรัสพลางแย้มยิ้มพริ้มพรายแล้วภิปรายปราศรัยไต่ถาม
ลูกรักจงแถลงแจ้งความเจ้านี้มีนามกรใด
วงศ์วานว่านเครือเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่ากอเป็นไฉน
อยู่ประเทศธานีบุรีไวทำไมจึงแกล้งแปลงปลอมมา
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์บังคมก้มหน้า
ยิ้มพลางทางทูลพ่อตาตัวข้านี้ชื่อพระสังข์ทอง
เป็นโอรสท้าวยศวิมลแจ้งตามความต้นที่หม่นหมอง
ซื่งแปลงมาจะหาคู่ครองจงทราบฝ่าละอองบทมาลย์
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตบพระหัตถ์ฉัดฉาน
ลูกเขยกูผู้ดีสันดานเป็นเผ่าพงศ์วงศ์วานกษัตรา
สมยศสมศักดิ์น่ารักใคร่ทีนี้ไม่อับอายขายหน้า
พระลูบหลังลูบไหล่ไปมาจูบซ้ายจูบขวาลูกข้างาม
อ้ายหกเขยยุพ่อให้ขับเจ้าแค้นใจยายเฒ่าก็ไม่ห้าม
บิดาโฉดเฉาเบาความไม่รู้เลยว่างามถึงเพียงนี้
อย่าถือโทษโกรธพ่อเลยหนอลูกว่าลบหลู่ดูถูกขับหนี
แม้นเจ้ามีชัยชนะคลีพ่อจะมอบบุรีให้ครอบครอง
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์บังคมทูลสนอง
ข้าจะขออาสาฝ่าละอองอย่าร้อนเร่าเศร้าหมองฤทัย
ซึ่งข้าศึกมาขันพนันคลีลูกจะตีต้านต่อก็พอได้
แต่จะขอมิ่งม้าอาชาไนยที่สูงใหญ่เคล่าคล่องทำนองคลี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงว่าอย่าร้อนใจไปไยมีม้าเราดีดีมีถมไป
ว่าพลางทางสั่งกรมม้าจงไปผูกอาชามาให้
บรรดาม้าต้นที่โรงในมีอยู่เท่าไรเร่งเอามา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีตัวนายซ้ายขวา
คำนับรับพระราชบัญชาบังคมลาแล่นไปดังใจปอง
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงผูกพาชีล้วนตัวดีฝีเท้าเคล่าคล่อง
เบาะอานพานหน้าเครื่องทองเจ้าของคนเลื้ยงเคียงมา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงจูงม้าที่นั่งเข้าไปยังหน้าฉานขนานหน้า
เหล่าพวกขุนนางข้างกรมม้าหมอบคอยบัญชาพระภูมี
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์เลือกม้าไม่น่าขี่
จึงทูลท้าวพ่อตาไปทันทีม้าที่นั่งทั้งนี้ไม่ชอบใจ
ข้าเห็นพาชีสีกะเลียวมาเที่ยวกินถั่วริมรั้วไร่
ท่วงทีขี่ขับจะว่องไวขอพระองค์จงให้ไปจับมา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ได้ฟังพระสังข์ว่า
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนาจงไปจับม้ามาให้ลูกกู
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีสี่เหล่าที่เฝ้าอยู่
รับสั่งแล้วชิงกันวิ่งพรูมาดูเห็นม้าก็ยินดี
จึงแยกย้ายรายกันเข้าล้อมวิ่งอ้อมเอาเชือกขึงอึงมี่
ไล่สกัดทางโน้นทางนี้พาชีหนีหลบว่องไว
ลางคนเข้ามาเอาหญ้าล่อฉวยผมหน้าคว้าคอไว้ได้
ม้าชกหกล้มคะมำไปเลี้ยวไล่ดีดกัดกระจัดกระจาย
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เทวัญบันดาลให้เสนาจับม้ามาได้ดังใจหมาย
จึงผูกเครื่องสุวรรณพรรณรายแล้วจูงมาถวายทันที
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทรงสวัสดิ์รัศมี
สมคิดได้ม้าพาชียินดีเดินออกนอกประตู
พระจึงชวนนวลนางรจนาออกจากเคหาที่อยู่
ท้าวสามนต์ร้องว่าหลีกลูกกูฉวยไม้ไล่ขู่ขับผู้คน
ลูกเขยขึ้นขี่อาชาพ่อตาก็วางขึ้นช้างต้น
ทั้งสองโฉมศรีนฤมลทรงวอลรดลตามมา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นหญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
เห็นพระรูปทองล่องลอยฟ้าต่างว่าภูวไนยมิใช่เงาะ
เกิดมาพึ่งเห็นเป็นบุญตัวหม่อมผัวพระบุตรีคนนี้เหมาะ
เทวดาพานำมาจำเพาะบังคมชมเปาะไปทั้งนั้น
ต่างอำนวยอวยพรพระสังข์ทองหนุ่มแก่แซ่ซ้องทั้งเขตขัณฑ์
มาตามดูภูมีนี่นันเบียดกันกลางถนนแน่นไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท่านท่าวสามนต์เป็นใหญ่
ครั้งช้างที่นั่งถึงวังในตรงไปประทับกับเกยพลัน
เสด็จลงจากคอคชสารภูบาลตรัสชวนเขยขวัญ
ทั้งพระมเหสีบุตรีนั้นจรจรัลขึ้นสู่ปราสาทชัย
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายเจ้าหกเขยใหญ่
ปรับทุกข์กับเมียเสียน้ำใจจะทำให้ไอ้เงาะขึ้นหน้าตา
ถ้อยทีเดือดดาลทะยานจิตต่างคนแค้นคิดริษยา
ผัวเมียพากันรันขึ้นมาเฝ้าพระบิดาทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงจึงบังคมเคารพนอบนบสองกษัตริย์เป็นใหญ่
เห็นพระสังข์ทองยองใยจำได้แน่จิตสะกิดกัน
อ้ายรูปทองคนนี้เจียวสิหว่าที่ทำเป็นเจ้าป่าพนาสัณฑ์
หาปลาหาเนื้อเมื่อคราวนั้นต้องไปง้อขอมันไม่ทันรู้
มันเป็นผัวรจนาอิจฉาเราจึงเล่นเอาจมูกกับใบหู
ต่างก้มคลำแผลไม่แลดูอัปยศอดสูเสียน้ำใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งหกบุตรีพี่ผู้ใหญ่
เห็นพระสังข์นั่งดูตะลึงตะไลพิศวงหลงใหลใจปอง
งามจริงยิ่งมนุษย์ในใต้หล้าน้อยหรือน่าร่วมภิรมย์สมสอง
สอดใส่เครื่องประดับก็รับรองผิวเนื้อนวลละอองดังทองทา
ดูพลางทางทำสะเทินอายชักชายผ้าห่มก้มหน้า
เมียงชม้อยคอยรับนัยนาเสน่หาต้องจิตติดใจ
แล้วเหลียวดูผัวของตัวมั่งเห็นนั่งทุกข์ร้อนก็ค้อนให้
รู้กระนี้ทีทิ้งพวงมาลัยจะเลือกเจ้าเงาะไว้เป็นของตัว
ต่างคิดริษยาน้องสาวมานั่งเท้าแขนเคียงอยู่กับผัว
เริงร่าหน้าบานเป็นใบบัวลืมกลัวบิดาร้องว่าไป
เมียเจ้ารูปทองสิบสองหนักยศศักดิ์ปึ่งชาหาน้อยไม่
พี่น้องพร้อมพรั่งชั่งกระไรแต่จะยกมือไหว้ก็ไม่มี
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาได้ฟังทั้งหกพี่
หัวเราะเยาะหยันขึ้นทันทีเออนี่อะไรช่างไม่อาย
ออกมานั่งตั้งกระทู้ขู่ข่มเจ้าคารี้สีคารมใจหาย
เมื่อแรกได้ผัวเงาะเยาะวุ่นวายทั้งตัดเป็นตัดตายจะตบตี
ประเดี๋ยวนี้จะกลับมานับถือนี่ลืมไปแล้วหรือนะหม่อมพี่
เป็นผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ข้ามิอยากไหว้ให้เสียมือ
ฯ ๖ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นหกนางต่างว่าน้อยไปหรือ
ปากคอพ้อตัดได้หัดปรือยกรื้อความหลังขึ้นพูดจา
อุแม่เอ๋ยหม่อมเมียเจ้ารูปทองจองหองไม่น้อยออกลอยหน้า
จะรวยรุ่งพลุ่มโพลงโด่งฟ้ายิ่งกว่ากรวดลาวแล้วคราวนี้
เหตุว่าพระบิดาออกไปรับจึงได้กลับมาเถียงเสียงมี่
ฝากไว้ก่อนเถิดเป็นไรมีใครดีนานไปได้เห็นกัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาเถียงทะเลาะเยาะหยัน
ช่างแคะได้ค่อนว่าสารพันฝากไว้กี่วันจะเอาไป
อย่าอื้ออึงมึงมันกระนั้นนะไม่ลดละกันดอกจะบอกให้
ผัวพี่รอดตัวเพราะผัวใครเห็นเขาไม่ว่าไรแล้วได้ที
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางร้อนใจดังไฟจี้
จึงว่าเห็นผัวกูชั่วดีอย่างไรนี่ว่าไปให้จริงจัง
อย่าสบประมาทกันกระนั้นเจ้านี่เปล่าเปล่าเตือนค้อนใส่สันหลัง
เร่งว่าออกไปจะได้ฟังใครอำปลังยั้งไว้มิใช่คน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยคิดพรั่นอั้นอ้น
กลัวจะเกิดความใหญ่เห็นไม่พ้นต่างคนห้ามเมียเสียทันใด
วานอย่าว่าวุ่นวายอายเขาอะไรเจ้าไม่อดสูเป็นผู้ใหญ่
ขายหูเสียมั่งชั่งเป็นไรจะทำให้เคืองจิตพระบิดา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางต่างคนบ่นว่า
เถียงทะเลาะผัวไปมิได้ช้ามันว่าฟังเพราะเหมาะหรือไร
เจ้าช่างอดโมโหไม่โต้ตอบหรือทำผิดมิชอบเป็นไฉน
จะมานิ่งเกรงกลัวหัวมันไยแล้วผินหน้าว่าไปแก่รจนา
ผัวกูผิดอะไรไม่ว่าออกพูดหลอกกันเล่นหรือสิหวา
สดสดร้อนร้อนไม่เจรจาแม้นว่าออกมิได้ขัดใจกัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนาหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
จึงว่าพี่นี่แน่อย่าดุดันผัวเมียถามกันก่อนเป็นไร
เมื่อคราวไปหาเนื้อหาปลาผัวหาได้เองหรือใครให้
จะใคร่แจ้งประจักษ์จงซักไซ้จมูกหูอยู่ไหนไม่ถามกัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกนางต่างคนหุนหัน
ผินหน้าว่าผัวของตัวพลันได้ยินมันหรือไม่เจ้าใจเย็น
ไหนว่าจมูกเจ้าปากเป้ากัดผีตัดใบหูมีผู้เห็น
ช่างเงียบเสียงเถียงเขาก็ไม่เป็นให้มันมาว่าเล่นเป็นอย่างไร
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยเงยหน้ามิใคร่ได้
อุบอิบกระซิบตอบเมียไปเขาว่าไรก็ชั่งมั่งเถิดนา
ทำไมกับหูแหว่งจมูกวิ่นถึงจะด้วนเสียสิ้นก็ของข้า
เถียงกันไปเปล่าเปล่าไม่เข้ายาบุราณว่าอดใจได้เป็นพระ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ผุดลุกขึ้นเกะกะ
กูได้ยินแว่วแว่วอยู่แล้วนะมันต่อจะชอบกลเจ้ามณฑา
จึงซักถามรจนายาใจรู้เห็นเป็นอย่างไรให้เร่งว่า
เมื่อพ่อใช้ไปหาเนื้อปลามันไปขอใครมาจงว่าไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นรจนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สรวลพลางทางทูลเป็นนัยจะว่าไปก็ดูไม่สู้ดี
เขาจะลืออื้ออึงเอิกเกริกเหมือนหนึ่งแกล้งลำเลิกผัวพี่
แต่มันน่าอดสูพระภูมีเดิมทีเที่ยวหาเนื้อปลา
ทั้งหกเขยใหญ่ไปกราบกรานงอนง้อขอทานผัวข้า
เสียของต้องใจจึงได้มาจะทราบบาทาท้าวไท
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์สรวลสันต์ไม่กลั้นได้
ตบมืออื้งอึงคะนึงไปนางมณฑาชอบใจหัวร่องอ
จึงถามพระสังข์สอบเห็นชอบกลเหตุผลเป็นกระไรไฉนหนอ
จงแจ้งตามจริงจังอย่ารั้งรอเล่าไปเถิดพ่อจะขอฟัง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทูลตามความหลัง
หกเขยไปหาข้าสองครั้งสิ้นทั้งบ่าวไพร่ก็ได้รู้
เมื่อขอปลาข้าตัดจมูกไว้เมื่อขอเนื้อก็ให้ใบหู
พระองค์จงถามทั้งหกดูเท็จจริงย่อมรู้อยู่เต็มใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ร้องเหวยหกเขยใหญ่
มานั่งก้มหน้าอยู่ว่าไรมึงตั้งใจเลี้ยวลดปดกู
จมูกแหว่งแกล้วว่าปากเป้ากัดผีใขมดโกรธตัดเอาใบหู
กูหลงเชื่อเมื่อแรกก็ไม่รู้ต่อลูกกูบอกเล่าจึงเข้าใจ
ไปหาเนื้อหาปลามาแต่หลังมึงไปขอพระสังข์จริงหรือไม่
อย่าสับปลับรับเสียก็แล้วไปกูจะไว้ชีวาไม่ฆ่าตี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหกเขยสุดรู้ทำอู้อี้
กระอักกระไอมิใคร่พาทีมือขยี้หูตาประหม่าใจ
พ่อตากริ้วกราดตวาดซ้ำยิ่งละล่ำละลักหลงใหล
เพ็ดทูลเลอะเลื่อนเปื้อนไปไม่ได้ความจริงสักสิ่งอัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เคืองขุ่นหุนหัน
ผินหน้ามาว่ากับเมียพลันมันจริงสิ้นทั้งนั้นเจ้ามณฑา
อ้ายเหล่านี้ดีแต่จะปดโป้ไม่เป็นโล้เป็นพายขายหน้า
จะฆ่าเสียก็สมเพชเวทนาเอาไว้ให้เป็นข้าพระสังข์ทอง
ลูกเขยเราคนนี้ดีเลิศแล้วดังดวงแก้วบริสุทธิ์ผุดผ่อง
จะยกบ้านเมืองมอบให้ครอบครองปกป้องไพร่ฟ้าเสนาใน
อันข้าศึกซึ่งขันพนันคลีจะต่อตีสู้กันหาพรั่นไม่
วันนี้จวนค่ำย่ำฆ้องชัยหลับนอนเสียให้เต็มตา
ว่าพลางขับเขยทั้งหกคนไสหัวไปให้พันชังน้ำหน้า
ชวนพระสังข์กับนางรจนาเข้าที่ไสยาผาสุกใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นรุ่งสุริยาการ้องท้าวสามนต์ตรึกตรองไม่หลับไหล
จึงชวนพระสังข์ทองยองใยกับเมียรักร่วมใจและธิดา
สี่กษัตริย์สระสรงทรงเครื่องรุ่งเรืองระยับจับเวหา
แล้วเสด็จยุรยาตรคลาดคลาตรงมาเกยสุวรรณทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ขึ้นทรงคอคชสารศรีพ่วงพีหกศอกสูงใหญ่
พระสังข์ทรงมิ่งม้าอาชาไนยสององค์อรไทขึ้นวอทอง
เกณฑ์แห่เกณฑ์แหนแน่นหนาธงทวนนำหน้าเป็นแถวถ้อง
แซ่เสียงแตรสังข์ฆ้องกลองออกไปยังท้องสนามคลี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงชวนพระสังข์ขึ้นยังพลับพลาหลังคาสี
พร้อมทั้งหกเขยและบุตรีเสนีเฝ้าแหนแน่นนัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นอมรินทร์ปิ่นภพสรวงสวรรค์
ทอดพระเนตรเห็นท้าวสามนต์นั้นพาลูกเขยขวัญออกมา
จึงตรัสบอกเทวัญจันทรีที่นี้สมดังปรารถนา
จำจะทำให้ไอ้เฒ่าพ่อตาเห็นฤทธาพระสังข์ครั้งนี้
ว่าแล้วแต่งองค์ทรงเครื่องรุ่งเรืองจำรัสรัศมี
ทรงเทพอาชาพาชีกรกุมคันคลีแกว่งไกว
เทพบุตรครุฑาคนธรรพแห่แหนแน่นนับอสงไขย
คลายคลี่รี้พลงสกลไกรตรงไปยังท้องสนามคลี
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงหยุดโยธาอยู่ตรงพลับพลาหลังคาสี
แล้วร้องเตือนไปพลันทันทีว่าเหวยภูมีท้าวสามนต์
จะให้ใครไหนเล่ามาต่อสู้หรือสุดรู้สิ้นคิดขัดสน
จะได้รีบเวียงชัยเอาไพร่พลเมียมีกี่คนจงบอกมา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ได้ฟังยังประหม่า
ให้นึกพรั่นหวั่นหวาดวิญญาณ์ด้วยว่าหกเขยนั้นเคยแพ้
จึงถามพระสังข์นั่งซักไซ้เห็นว่าจะสู้ได้เป็นแน่
ค่อยคลายหายอุธัจท้อแท้ลุกขึ้นยืนยิ้มแต้แลไป
เห็นไพรีขี่ม้าป้องหน้าดูแล้วร้องว่ามาสู้กันใหม่
ลูกเขยน้อยเรานี้ดีสุดใจไม่เหมือนไอ้เขยเคอะเซอะซะ
การคลีมีฝีมือลือเลิศฟ้าผี่เถิดท่านแพ้แน่แล้วหนะ
วันนี้ไม่มีลายหมายชนะอย่าเยาะเย้ยเลยคะไม่ย่อท้อ
ว่าพลางทางปลอบลูกเขยลูกเอ๋ยอย่าให้อายขายหน้าพ่อ
คอยระวังตั้งใจตั้งคอแข็งข้อต่อสู้ดูสักที
แล้วบนบานศาลกล่าวเจ้านายจะถวายหัวหมูกับบายศรี
มาตรแม้นมีชัยชนะคลีจะให้มีอิเหนาสักเก้าวัน
เล่นการมหรสพครบสิ่งจะเวียนเทียนทำมิ่งสิ่งขวัญ
นวลนางมณฑามารดานั้นชวนกันอวยชัยให้ลูกรัก
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สุริย์วงศ์ทรงศักดิ์
รับพรพ่อตาสามิภักดิ์เหลียวดูเมียรักแล้วยิ้มพราย
จึงบังคมลาบิตุรงค์มาทรงอาชาเฉิดฉาย
กรกุมคันคลีกรีดกรายชักม้าเรียงร่ายรำมา
ชายหญิงแซ่ซ้องร้องชมงามสมยศศักดิ์นักหนา
งามทั้งท่วงทีขี่อาชาดังพระยาสีหราชอาจอง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโกสีย์มีศักดิ์สูงส่ง
ชื่นชมสมคิดดังจิตจงพลางทางสินธพกระทืบโกลน
สะบัดย่างวางใหญ่ไวว่องม้าต้นรนร้องลำพองโผน
ชักบังเหียนหันหกผกเผ่นโจนพลางโยนลูกคลีตีไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ เมื่อนั้นพระสังข์คอยขยับรับไว้ได้
เดาะคลีตีตอบไปทันใดสหัสนัยน์กลอกกลับรับรอง
ต่างแกว่งค้นคลีเป็นทีท่าขับม้ามีฝีเท้าเคล่าคล่อง
เวียนวนวกวิ่งชิงคลองเปลี่ยนทำนองเข้าออกหลอกล้อ
ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ร้องรับให้ดีพ่อ
ตบมืออือเออชะเง้อคอเห็นลูกเขยเป็นต่อหัวร่อคัก
ลุกขึ้นโลดเต้นเขม้นมุ่งพลัดผลุดลงมาขาแทบหัก
มึนเมี่อยเหนื่อยบอบหอบฮักพิงพนักนั่งโยกตะโพกเพลีย
ฉวยคนโทถมยามาดื่มน้ำหกคว่ำสำลักแล้วบ้วนเสีย
หยิบบุหรี่จุดไฟไหม้ลามเลียวัดถูกจมูกเมียไม่รู้ตัว
สาละวนตึงตังกำลังวุ่นแม่คุณขอโทษอย่าโกรธผัว
พี่ก็พานแก่ชราหูตามัวไม่เห็นตัวว่าใครข้างไหนเลย
ว่าพลางทางเรียกเอาแว่นตาใส่จมูกแหงนหน้าดูลูกเขย
ลุกขึ้นมองร้องเออชะเง้อเงยยายเอ๋ยอย่าปรารมภ์เป็นรองเรา
แล้วผินมาด่าหกเขยใหญ่เอออะไรกินข้าวสุกเสียเปล่าเปล่า
สำคัญคิดว่าดีอ้ายขี้เค้าออกตีคลีแพ้เขาประเดี๋ยวใจ
ดูเถิดซี้นี่แน่ลูกเขยกูมาช่วยกู้แก้หน้าพ่อตาได้
ไม่เหมือนมึงโง่งมก้มอยู่ไยขัดใจจะใคร่ถองสักสองตึง
นางเมียเล่าปากคอก็พอสมเจ้าคารมสิ้นทีไม่มีถึง
พระกริ้วโกรธาด่าอึงผัวมึงอัปรีย์อ้ายขี้แพ้
แล้วเรียกรจนาเข้ามานี่พ่อนี้ไม่เห็นหนเป็นคนแก่
ตาเจ้าสาวอยู่ช่วยดูแลช้างไหนแน่สามีจงชี้ตัว
เสียงคนมี่ก้องร้องเออนางมณฑาชะเง้อง้ำผัว
แพ้ลูกเขยข้าแล้วอย่ากลัวครั้งนี้รอดตัวไม่เสียเมือง
ฯ ๒๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นอมรินทร์ปิ่นฟ้าฟุ้งเฟื่อง
ควบม้ามุ่งหมายชายชำเลืองยักเยื้องย่างท่าสง่างาม
ทรงเลี้ยงลูกคลีตีเดาะพระอินทร์เหาะขึ้นจากท้องสนาม
พระสังข์ไม่พรั่นครั่นคร้ามเหาะตามติดพันกระชั้นชิด
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ บัดนั้นประชาชนคนดูอักนิษฐ์
เห็นเหาะทั้งสองข้างต่างมีฤทธิ์ให้คิดพิศวงงงงวย
บ้างแหงนหน้าอ้าปากตะลึงตะไลแลดูภูวไนยเอาใจช่วย
เบียดเสียดเยียดยัดดังดูมวยแซ่ซ้องรอ้งอำนวยอวยชัย
พวกชาววังนั่งเลิกมูลี่ดูอึงคะนึงหนวกหูห้ามไม่ไหว
บ้างโกรธเพื่อนพ้อตัดด้วยขัดใจที่ทางอะไรของตัว
ท้าวสามนต์มองร้องตวาดอีอุบาทว์เหล่านี้มิใช่ชั่ว
ได้จะดูอะไรแล้วไม่กลัวเคยตัวตีเสียให้แทบตาย
ท้าวนางตกใจเข้าไปห้ามอะไรรูปงามงามไม่กลัวหวาย
แม่เจ้าเถิดแม่คุณอย่าวุ่นวายหลังจะลายเปล่าเปล่าไม่เข้าการ
พวกผู้หญิงชั้นล่างข้างพลับพลาเบียดกันรันเข้ามาถึงหน้าฉาน
จ่าโขลนไล่ตีหนีลนลานสับสนอลหม่านมี่ไป
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระอินทร์แกล้งอ่อนหย่อนมือให้
ชักม้าที่นั่งรั้งรอไว้แล้วแกล้งว่าไปด้วยวาจา
ลูกเขยท้าวสามนต์คนนี้ฝีมือตีคลีดีนักหนา
ต่อสู้เคี่ยวขับไม่อัปราหาไม่พ่อตาจะต้องริบ
ควรที่จะครองเมืองเลื่องลือยศปรากฏทั่วทิศทั้งสิบ
ว่าแล้วเหาะคล้อยลอยลิบกลับไปยังทิพพิมานชัย
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นท้าวโกสีย์หนีไปก็ขับมโนมัยลงมา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ลนลานลงไปหา
จูงกรต้อนรับขึ้นพลับพลาแม่ยายพ่อตาเข้าเชยชม
ปราศรัยสวมสอดกอดจูบโลมลูบหลังไหล่ลูกเขย
ช่างเคล่าคล่องว่องไวกระไรเลยทรงสง่าง่าเงยก็งามครัน
พ่อนี้แต่ครั้งยังไม่ชราอันตีคลีขี่ม้านี้ขยัน
เมื่อครั้งบ้านเมืองดีตีพนันก็ออกชื่อลือกันว่าตัวดี
ทีหนีทีไล่ก็ไวว่องจะเป็นรองเจ้าราวห้าเอาสี่
แต่ลืมเลอะทีเดียวแล้วเดี๋ยวนี้ไพรีล่วงรู้จึงดูเบา
ถ้าลูกแก้วแววตามิมาโปรดหมดสิ้นทั้งโคตรเป็นข้าเขา
เทวดาให้คุณบุญของเราจริงหรือไม่เล่าเจ้ามณฑา
จะต้องรีบฉิบหายอยู่รอมร่อรอดตัวก็เพราะพ่อของข้า
พลางกอดจูบลูบไล้ไปมาผัวเมียปูผ้าลงคำนับ
เจ้าเหน็ดเหนื่อยหนักหนาหน้าตาแห้งปรารมภ์ลมแล้งมันจะจับ
ท้าวพ่อตาตรัสสั่งบังคับยกสำรับมาสู่ลูกกูกิน
แม่ยายละลายแป้งมาทาให้น้ำดอกไม้หอมฟุ้งจรุงกลิ่น
หยิบถาดน้ำชาออกมารินเจ้ากินให้สบายหายหิวมา
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ พนักงานจัดสำรับคับคั่งยกโต๊ะเข้าไปตั้งลงตรงหน้า
พระสังข์นั่งกินกับพ่อตานางเมียมาหมอบพัดปัดแมลงวัน
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นพ่อตาลูกเขยเสวยแล้วท้าวสามนต์ผ่องแผ้วเกษมสันต์
ลงจากที่ประทับพลับพลาพลันพากันเข้ายังวังใน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ขึ้นบนพระโรงคัลไม่ทันนั่งตรัสสั่งเสนาผู้ใหญ่
ลูกเขยกูตีคลีมีชัยจะเสกให้ครองกรุงในพรุ่งนี้
จงช่วยกันเร่งรัดจัดแจงตกแต่งตั้งการภิเษกศรี
แห่แหนให้สนุกกว่าทุกทีแล้วจะมีอิเหนาสักเก้าวัน
ไปปรึกษาครูละครมันก่อนเหวยใครเคยรำดีทีขยัน
อิเหนาเรื่องมิสาอุณากรรณจะประชันดาหลังเมื่อครั้งครวญ
ทั้งหุ่นโขนโรงงิ้นผู้หญิงทุกสิ่งจงให้มีถี่ถ้วน
กำชับกันทำงานการจวนสั่งเสร็จเสด็จด่วนเข้าข้างใน
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นเสนีธิบดีผู้ใหญ่
มาสั่งเวรเกณฑ์กันทันใดนายไพร่เร่งระดมสมทบ
บ้างแต่งที่ปราสาทราชฐานบ้างปลูกโรงทานมหรสพ
กระบวนแห่งแตรสังข์ครันครบตามขนบธรรมเนียมเตรียมไว้
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ไม่อยู่สุขลุกวิ่งไขว่
เที่ยวตรวจงานการข้างหน้าข้างในมิได้หยุดยั้งนั่งลงเลย
บัดเดี๋ยวไปให้เมียแต่งธิดาบัดเดี๋ยวมาจัดแจงแต่งลูกเขย
ครั้นเสร็จนำหน้าพาไปเกยร้องห้ามเฮ้ยอย่าขวางทางลูกกู
ให้สองทรงสีวิกายานุมาศอำมาตย์เดินเคียงเป็นคู่คู่
เคลื่อนกระบวนหน้าหลังพรั่งพรูเลี้ยวออกนอกประตูแห่ไป
อภิรุมชุมสายพรายพรรณเสียงประโคมสนั่นหวั่นไหว
ท้าวสามนต์กับเมียมาข้างในตรงไปมณเทียรที่พิธี
ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน
๏ ถึงพร้อมแล้วพากันมานั่งบนบัลลังก์นั่งเคียงเตียงบายศรี
พร้อมพระวงศาเสนีครั้นได้ฤกษ์ดีให้ลั่นฆ้อง
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นปุโรหิตผู้เฒ่าทั้งสอง
จึงจุดเทียนติดกันแว่นทองค่อยประคองเคารพอภิวันท์
เวียนวงส่งไปข้างในรับประโคมขับขานเสียงเสนาะสนั่น
มหรสพครบสิ่งสิ้นทั้งนั้นก็เล่นขึ้นพร้อมกันทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ มหาชัย
๏ ครั้นครบเจ็ดรอบตามตำรับจึงดับเทียนโบกควันให้
เอาจุณเจิมเฉลิมพักตร์ภูวไนยทั้งองค์อรไทพระธิดา
แล้วอำนวยอวยพรศรีสวัสดิ์สองกษัตริย์จงเป็นสุขา
ทุกข์โศกโรคภัยอย่าพาธาให้ชันษายาวยืนหมื่นปี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงตรัสแก่เขยขวัญทันทีสมบัติในบุรีและรี้พล
สารพัดพ่อให้แก่เจ้าหมดทั้งบ้านเมืองเครื่องยศเครื่องต้น
ตัวพ่อก็ชราตามืดมนขอพึ่งลูกสองคนไปจนตาย
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ชื่นชมสมหมาย
รับสั่งแล้วหมอบยอบกายกราบถวายบังคมก้มพักตร์
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท่านท้าวสามนต์ผู้มีศักดิ์
ครั้นเสร็จสมโภชลูกรักมอบเวนอาณาจักรกรุงไกร
สี่กษัตริย์เสด็จเยื้องย่างจากปรางค์ปราสาททองผ่องใส
แห่แหนเป็นขนัดอัดแอไปคืนเข้าวังในมิได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
             

ตอนที่ ๙ ท้าวยศวิมลตามพระสังข์

ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวสหัสนัยน์ตรัยตรึงศา
ครั้นพระสังข์ได้ดีก็ปรีดาสมความปรารถนานึกไว้
ยังแต่นฤมลชนนีชื่อจันท์เทวีศรีใส
ท้าวยศวิมลนั้นไซร้ขับไล่เสียจากธานี
นางอาศัยอยู่ด้วยยายกับตาแสนทุกข์ทรมาเหมือนทาสี
เที่ยวเก็บผักหักฟืนในพงพีมาขายเลี้ยงชีวีเป็นนิรันดร์
จำกูจะให้ไอ้เฒ่าผัวไปรับตัวโฉมฉายผายผัน
จึงจะได้พบพักตร์ลูกรักนั้นในเขตขัณฑ์สามนต์พารา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดแล้วแต่งองค์ทรงเครื่องรุ่งเรืองระยับจับเวหา
ถือกระบองเหล็กใหญ่ไคลคลาเหาะจากฟากฟ้าในราตรี
ฯ ๒ คำ ฯ กลม
๏ ครั้นถึงปราสาทชัยไพชนท้าวยศวิมลเรืองศรี
เห็นหลับเงียบเยียบเย็นทั้งธานีไม่มีใครฟื้นตื่นสักคน
จึงเลื่อนลอยอยู่บนบัญชรชัยร้องเรียกเข้าไปหลายหน
เหวยเหวยท้าวยศวิมลนอนกรนอยู่ได้ไม่ขานรับ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลมัวหลับ
ได้ยินเรียกเข้าไปตกใจวับไม่รู้ศัพท์สำเนียงว่าเสียงใคร
ค่อยย่องลงจากแท่นแล้วถอยหลังยืนฟังนึกพรั่นหวั่นไหว
เปิดแกลวแลเห็นสหัสนัยน์ถือกระบองเหล็กใหญเท่าลำตาล
ความกลัวตัวสั่นงันงกลูบอกตกประหม่าไม่ว่าขาน
ปิดหน้าต่างทันทีตะลีตะลานซมซานเข้าซ่อนนอนคุดคู้
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นสหัสนัยน์เสแสร้งแกล้งขู่
จึงร้องบอกออกนามให้รู้เราอยู่ฟากฟ้าสุราลัย
ชื่อว่าสมเด็จมัฆวานจะมาผลาญชีวิตให้ม้วยไหม้
เห็นว่าพ้นมือแล้วหรือไรจึงไม่ออกมาหากัน
อย่าพักซ่อนซบหลบหน้าวันนี้ชีวาจะอาสัญ
ว่าพลางทางถีบบัญชรพลันลิ่มสลักหักลั่นด้วยกำลัง
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เข้าไปในที่ไสยาเห็นหลับตานิ่งนอนผินหลัง
ขึ้นกระทืบบนเตียงเสียงตึงตังน้อยหรือยังนิ่งได้ช่างไม่อาย
แกล้งทำหลับหลอกข้าน่าแค้นเข้าจับแขนฉุดชักผลักคว่ำหงาย
ไม่ตื่นก็ตามทีตีให้ตายทำวุ่นวายขู่รู้ดูทำนอง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลยิ่งหม่นหมอง
เห็นพระอินทร์ตั้งท่าง่าตระบองเอามือป้องร้องว่าช้าพ่อคุณ
เมื่อข้าอยู่ดีดีไม่มีโทษท่านมาโกรธโกรธาว้าวุ่น
จงโปรดบอกข้าเจ้าเอาบุญซึ่งเคืองขุ่นคั่งแค้นด้วยข้อใด
หรือจะเอาสมบัติพัสถานยศศักดิ์ศฤงคารเป็นไฉน
เชิญช่วยชี้แจงให้แจ้งใจจะมอบให้ทุกสิ่งสารพัด
ตัวข้าก็จะลาออกบวชเสียขอแต่เมียสักคนปรนนิบัติ
จะจำศีลภาวนาอยู่หาวัดรั้ววังจังหวัดไม่วี่แวว
ข้าเป็นคนแก่เฒ่าเฉาโฉดขอโทษเถิดทูลกระหม่อมแก้ว
ยกมือไหว้ท่วมหัวลูกกลัวแล้วแม้นมิโปรดก็แววไม่เป็นตัว
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นสหัสนัยน์ได้ยินก็ยิ้มหัว
ฟังท้าวเธอมอบครอบครัวเห็นเต็มกลัวตั้งกระทู้ขู่สำทับ
น่าชังนักหนาพระยาเคอะพูดเลาะหลงใหลไม่ได้ศัพท์
มันน่าตีจริงหนอให้คอพับยังจะกลับงอนง้อขอชีวิต
มีแต่โง่เง่าเมามัวไม่รู้หรือที่ตัวกระทำผิด
เชื่อแต่เมียน้อยไปเป็นนิจจะทำไมไม่พิจารณา
นางจันท์นั้นผิดสิ่งไรจึงขับหนีตีไล่ออกอยู่ป่า
มิหนำซ้ำจับพระสังข์มาถ่วงลงคงคาไม่ปรานี
ทำยุ่งหยาบบาปกรรมไม่คิดเห็นเสียแรงเป็นถึงท้าวเจ้ากรุงศรี
เชื่อคนริษยาทั้งตาปีวันนี้ชีวันจะบรรลัย
แม้นรักตัวกลัวตายอย่านิ่งเสียไปตามลูกตามเมียมาให้ได้
แล้วเงือดเงื้อตระบองจ้องไว้ทำฮึดฮัดขัดใจจะตีรัน
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลไม่มีขวัญ
ทำตาปลกปลกงกงันปากสั่นเสียงสั่นขอโทษตัว
ซึ่งงวยงงหลงเชื่อผู้หญิงไม่ทันคิดผิดจริงนะทูนหัว
เหมือนหนึ่งคนโฉดเฉาเมามัวความชั่วเป้นพ้นคณรา
อันนางจันท์นั้นข้าให้ขับหนีก็สูญไปหลายปีนักหนา
หอยสังข์ถ่วงลงในคงคาป่านนี้ปลามันกินสิ้นชีวิต
จะไปตามที่ไหนมาได้เล่าอันโทษข้าเจ้าไม่พ้นผิด
มีเมตตาฆ่าตีคงม้วยมิดขอพระองค์ทรงฤทธิ์จงโปรดปราน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นสหัสนัยน์ได้ฟังจึงว่าขาน
อันลูกน้อยหอยสังข์กุมารบุญญาธิการเขาล้นพ้น
ถึงจะทำอย่างไรก็ไม่ตายบรรยายเล่าความมาแต่ต้น
บัดนี้ได้ลูกสาวท้าวสามนต์ครอบครองไพร่พลงมนตรี
แต่ส่วนนางจันท์กัลยาทนทุกข์ทรมาหมองศรี
ยายกับตาเลี้ยงไว้ในพงพีเทวียากเย็นเข็ญใจ
นางอยู่ยังปลายด่านบ้านนอกนี่เราเอ็นดูดอกจึงบอกให้
ท้าวจงรีบร้อนอย่านอนใจตามไปรับลูกกับเมียมา
ให้ได้สำเร็จในเจ็ดวันมิให้ผ่อนผันผัดผา
แม้นานเนิ่นเกินวันสัญญาจะลงมาตีทุบให้ยุบยับ
เป็นกระไรได้ยินอยู่แล้วหรือมากอดมือนั่งโยกโงกหงับ
พระแกล้งขู่ซ้ำสำทับแล้วแผลงฤทธิ์เหาะกลับไปฉับไว
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
โอ้ปี่
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลหม่นไหม้
ประจักษ์แจ้งแห่งคำสหัสนัยน์พระเร่าร้อนฤทัยดังไฟเลีย
รำลึกถึงลูกน้อยหอยสังข์พ่อผิดพลั้งสั่งให้ไปถ่วงเสีย
แล้วหวนคิดรำพึงถึงเมียยิ่งละห้อยละเหี่ยเสียน้ำใจ
แต่พลัดพรากจากไปหลายปีป่านนี้จะทุกข์ตรอมผอมไผ่
แล้วมิหนำซ้ำลูกก็จากไปจะอยู่เดียวเปลี่ยวใจทุกคืนวัน
พระยิ่งคิดละห้อยสร้อยเศร้ากอดเข่านั่งโงกโศกศัลย์
พระเนตรนองชลนาจาบัลย์สะอื้นอั้นอยู่ในที่ไสยา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นรุ่งร่างสร่างแสงทินกรท้าวยิ่งทุกข์ร้อนเป็นหนักหนา
ไม่แต่งองค์สรงเสวยโภชนาออกมาพระโรงคัลทันที
พร้อมหมู่เสนาข้าเฝ้าจึงตรัสเรียกให้เข้ามาถึงนี่
แล้วแถลงแจ้งความตามคดีคืนนี้หลับไหลอยู่ในมุ้ง
พระอินทร์บนสวรรค์ท่านลงมากูคะเนเพลาราวค่อนรุ่ง
ถือตระบองเหล็กใหญ่เท่าไม้ซุงหมายมุ่งจะทุบให้ยุบยับ
ความกลัวตัวสั่นขวัญแขวนจักแหล่นลมล่อยจะพลอยจับ
เธอยิ่งขู่ซ้ำสำทับให้ไปรับหอยสังข์นางจันท์มา
เร่งเร็วรีบรัดจัดรี้พลจะพากันดั้นด้นค้นหา
ช้านักไม่ได้นะเสนาจะไคลคลาให้ทันวันพรุ่งนี้
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามสามทีออกไปจากที่พระโรงธาร
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงสั่งให้เวรเกณฑ์ผู้คนเป็นการเร็วรีบร้นอลหม่าน
หมายบอกบรรดาข้าราชการพลเรือนทหารให้พร้อมกัน
เอาบาญชีนายไพร่ไตรตรวจกำชับทุกหมวดกวดขัน
เข้ากระบวนโดยเสด็จเจ็ดพันที่เหลือนั้นเกณฑ์ไว้ให้เฝ้าเมือง
เตรียมช้างที่นั่งหลังคาทองช้างพังที่นั่งรองช้างเครื่อง
พร้อมพรั่นตั้งกองนองเนืองคอยท่าท้าวเจ้าเมืองจะคลาไคล
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลหม่นไหม้
จึงเสด็จเยื้องย่างเข้าข้างในแล้วตรัสสั่งสาวใช้ทันที
กูจะออกไปรับนางจันท์มาคืนเข้าพารากรุงศรี
แต่บรรดาข้าคนของเทวีวันนี้ให้ตามกูออกไป
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้นนางจันทรานารีศรีใส
ครั้นได้รู้ข่าวว่าท้าวไทจะคลาไคลไปรับนางจันท์มา
อกใจทึกทึกนึกกลัวด้วยตัวทำผิดริษยา
แม้นนิ่งให้ไปรับกลับมาเห็นว่าจะไม่พ้นโทษทัณฑ์
จำกูจะคิดปิดความห้ามปราบเปรียบเปรยเย้ยหยัน
ให้ท้าวเธออดสูหมู่กำนัลอย่าให้ไปรับมันเข้ามา
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดพลางย่างเยื้องจรลีมาอาบน้ำขัดสีมังสา
กระแจะแป้งแต่งกายละลายทาผัดหน้านวลละอองยองใย
นุ่งผ้ายกแย่งเทพนมแล้วห่มริ้วทองผ่องใส
ครั้นเสร็จลีลาคลาไคลข้าไทแวดล้อมมาพร้อมพรัก
ฯ ๔ คำ ฯ
เย้ย
๏ ครั้นถึงจึงแกล้งทำกระแอมยิ้มแย้มเยาะองค์พระทรงศักดิ์
เอออะไรอึกทึกคึกคักไม่รู้จักเหตุผลต้นปลายเลย
จะยกรี้กรีพลไปไหนหนอน่าหัวร่อนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย
ทุกข์ร้อนถึงใครไม่เสบยฮัดเชยกุ๋ยกุ๋ยฮุ่ยหุยเจียว
ดูเหมือนบ้าหลังนั่งมัวมึนจนฝ้าขึ้นจับหน้าขอบตาเขียว
เซอะซมงมงายไปฝ่ายเดียวช่างไม่เหลียวหลังนึกตรึกตรา
เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่แม่นยำกลับถ้อยคืนคำทำขายหน้า
เหมือนไม้หลักปักเลนเอนไปมายิ่งกว่าลูกเล็กเด็กอมมือ
น้ำลายคายถ่มลงถึงดินจะกลับคืนกลืนกินไม่เกลียดหรือ
ไพร่บ้านพลเมืองจะเลื่องลือออกชื่อท้าวเธอเออน่าชัง
นางจันท์ว่าชั่วตัวอุบาทว์ออกลูกประหลาดเป็นหอยสังข์
ขับไล่ไสหัวจากรั้ววังไม่อินังขังข้อแล้วหนอเรา
เดี่ยวนี้คิดติดใจอย่างไรหรือจึงรื้อจะไปรับกลับมาเล่า
ช่างไม่อดสูเลยดูเอานางเย้ยเย้าหัวเราะเยาะไยไพ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลหมั่นไส้
ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไปกลการอะไรทำไมกู
กลับมาเย้ยเยาะหัวเราะข้าลอยหน้าค้าคารมข่มขู่
จองหองพองขนเป็นพ้นรู้ว่ากูชั่วช้าสารพัน
ระวังตัวเหมือนวัวสันหลังขาดเห็นแต่กาบินผาดก็หวาดหวั่น
ท่วงทีทำนองจะป้องกันเชิงชั้นของเจ้าข้าเข้าใจ
เดิมทีคิดว่าเป็นหน้าซื่อเชื่อถือลุ่มหลงไม่สงสัย
จนลูกเมียกูพรากจากเวียงชัยเพราะมึงหรือไม่ได้ทุกข์ร้อน
คืนนี้ตรีเนตรท่านกริ้วกราดจะตีให้ตัวขาดเป็นสองท่อน
นี่หากกูอ้อยอิ่งวิงวอนผันผ่อนผัดไว้จึงไม่ตาย
เพี้ยงเอยผีสางเทวดาให้ได้ลูกเมียมาเหมือนใจหมาย
แล้วจะจับตัวต้นอีคนร้ายฆ่าเสียให้ตายวายชีวิต
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าหัวร่อเอออะไรใจคอช่างหงุดหงิด
กริ้วโกรธโลตเต้นพึ่งเห็นฤทธิ์มาหยิบผิดว่าข้าอิจฉาเมีย
เดิมว่านางจันท์เป็นกาลีเลี้ยงไว้ไม่ดีจึงขับเสีย
นี่ชะรอยถูกกระทำยำเยียคิดถึงเมียขึ้นมาแล้วพาโล
อ้างเอาสวรรค์ชั้นอินทร์พรหมใครเห็นสมด้วยมั่งชั่งปดโป้
เกิดมาพึ่งได้ยินพระอินทร์โปข้าไม่โง่เง่าดอกอย่าหลอกกัน
น้อยหรือนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ร้อนไปถึงจนบนสวรรค์
ควรแล้วที่พระองค์ทรงธรรม์จะไปรับเมียขวัญนางจันท์มา
เออก็ถ่วงลูกชายสูญหายไปมิต้องให้ประดาน้ำลงดำหา
ปานนี้เลือดเนื้อเป็นเหยื่อปลาไปงมเอากระดูกมาก็เป็นไร
ไม่รู้ว่าลูกดีมีบุญเลยอกเอ๋ยมาเป็นเช่นนี้ได้
มันน่าโจนลงน้ำซ้ำตายไปให้สมที่รักใคร่พระโอรส
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ แค้นเอยแค้นใจกลับจะให้กูนี้เป็นขี้ปด
แสนกระแหน่แก้เกี้ยวเลี้ยวลดจริงแล้วคะข้าคดชดลิ้นคาง
ปากกล้าด่าทอไม่ท้อถอยออกคอยสกัดรีสกัดขวาง
น่าชังจังฑาลทำรานทางร้อยสีร้อยอย่างช่างไม่อาย
ถึงลูกกูถ่วงลงในคงคาจะมอดม้วยมรณานั้นอย่าหมาย
พระอินทร์บอกเหตุผลต้นปลายมึงว่านี้แสนร้ายดังงูพิษ
อย่าพักเถียงทะเลาะเยาะเย้ยข้าคงจะได้ดูหน้าอีคนผิด
แม้นได้ลูกเมียสมอารมณ์คิดกูจะติดไม้ถามสักสามยก
พรุ่งนี้จะไปรับนางจันท์มากลับคืนไม่ช้าอย่าวิตก
พระโกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟันงันงกเคืองขุ่นมุ่นหมกจะชกตี
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ชะเอ๋ยชะต้าโมโหโกรธาไม่พอที่
เอออะไรมาเป็นเช่นนี้ช่วยว่าให้ดีก็มิเอา
มุทะลุดุดันขันเหลือปรานีตีเอาเรือเสียอีกเล่า
รักแต่ที่ชั่วมัวเมาจริงอยู่คะข้าเจ้าเป็นคนโกง
สารพัดไม่ดีมีแต่ชั่วเดี๋ยวนี้ก็เห็นตัวอยู่โต้งโต้ง
เอาพระอินทร์พระอ้อยมาพลอยโกงปากโป้งไปกระนั้นกันนินทา
เจ้าข้าเอ๋ยไม่เคยจะพบเห็นพูดเล่นตามสบายไม่อายหน้า
ยกเมียขึ้นไม่น้อยออกลอยฟ้าที่นี้นะชะต้าจะเลื่องลือ
มิไปรับไปพากันมาไยข้าหน่วงเหนี่ยวไว้เมื่อไรหรือ
อย่าพักหมายมั่นปั้นมือโกรธาขึ้งอึงอื้อจะทำไม
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ อีเอยอีคนคดช่างประชดประชันน่าหมั่นไส้
เยาะเย้ยยิ้มหัวไม่กลัวใครเอออะไรใส่ถ้อยร้อยความ
ว่ากูแอบอ้างเอาพระอินทร์ประมาทหมิ่นจ้วงจาบหยาบหยาม
ปากคอน้อยหรือนั่นไม่ครั่นคร้ามลวนลามหนักหนาอีหน้าเป็น
ดูดู๋ยิ่งว่าด่าทอยังขืนเข้ามาล่อล้อเล่น
ทะเลาะผัวตัดพ้อคอเป็นเอ็นขู่เข็ญเท่าไรก็ไม่ฟัง
จะกำราบปราบเสียสักหน่อยหนึ่งให้มึงรู้สึกสำนึกมั่ง
พระพิโรธโกรธขึ้งตึงตังเหน็บรั้งขัดเขมรเป็นเกลียว
ฯ ๘ คำ ฯ
ศัพท์ไทย
๏ อีเอยอีจันทากล้าดีแล้วอย่าทำตาเหมียว
ฉวยได้ไม้เรียวไล่เลี้ยววพัลวัน
ดูดู๋ด้านหน้ากลับมาเย้ยหยัน
โกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟันตีรันร่ำไป
ฯ ๔ คำ ฯ
รื้อ
๏ ขันเอยขันจ้านงุ่นง่านพาลโกรธโลดไล่
เขาว่าถูกใจจับไม้ไล่ตี
ตบหัตถ์ผัดพ่อเลี้ยวล่อหลีกหนี
เยาะเย้ยภูมีทำทีแยบคาย
ฯ ๔ คำ ฯ
รื้อ
๏ ดูเอยดูเอาขืนเฝ้าเย้ายั่วไม่กลัวหวาย
ตีเสียให้ตายแสนร้ายรังแก
หวดด้วยไม้เรียวช้ำเขียวหลายแผล
คนขยันนั่นแน่วิ่งแร่ไปไย
ฯ ๔ คำ ฯ
รื้อ
๏ ภูเอยภูมีมาทำโพยโบยตีไม่ปราศรัย
แต่ก่อนร่อนชะไรท้าวไม่มุทะลุ
เดี๋ยวนี้นี่หนอใจคอร้ายดุ
ยิ่งกว่าบ้ายุดูรุน่าชัง
แกล้งเย้ยยิ้มหัวเยาะยั่วให้คลั่ง
เลี้ยวล่อรอรั้งเหลียงหลังแล่นไป
ฯ ๖ คำ ฯ
รื้อ
๏ อีเอยอีชาติชั่วขึ้นเสียงเถียงผัวหากลัวไม่
เลี้ยงมันไว้ไยจัญไรใจคด
ล้อเล่นเช่นนี้เหลือที่จะอด
ตัวดีมีพยศไม่ลดละมึง
ทั้งตีทั้งด่าปากว่ามือถึง
ถูกถองสองดึงร้องอึงอื้อไป
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางจันทาเศร้าสร้อยละห้อยไห้
เจ็บปวดยับย่อยด้วยรอยไม้น้ำตาไหลเป็นคราบอาบแก้มคาง
ความกลัวตัวสั่นงันงกพลัดตกอัฒจันทร์ถึงชั้นล่าง
ลุกขึ้นเดินด่วนครวญครางกลับมาตำหนักนางทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลบ่นเมื่อยไหล่
หยุดนิ่งเหนื่อยบอบหอบหายใจร้องเรียกไปใครนี่อีกำนัล
กูอยากน้ำอยากท่านักหนานักเร็วเร็วไปตักมาสักขัน
กินน้ำสำลักกลืนไม่ทันมือสั่นงันงกหกเพรื่อไป
แล้วคิดถึงคำอมรินทราจะหน่วงหนักชักช้าเห็นไม่ได้
ชวนเหล่าสาวสวรรค์กำนัลในเสด็จไปยังที่เกยลา
เห็นเสนีรี้พลคับคั่งพร้อมพรั่งไพร่นายซ้ายขวา
ขึ้นทรงช้างที่นั่งหลังคารีบเร่งโยธาคลาไคล
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ออกจากพาราเข้าป่ากว้างเห็นบ้านเรือนรายทางให้ถามไถ่
ไม่ได้ข่าวราวเรื่องก็รีบไปจนเกือบใกล้ที่อยู่ยายกับตา
โยธาล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนจึงหยุดหย่อนผ่อนพักที่กลางป่า
แล้วดำรัสตรัสสั่งเสนาให้ตั้งพลับพลาทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งบังคมไหว้
มาเกณฑ์กันเร่งรัดตัดต้นไม้ปลูกพลับพลาชัยฉับพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลโศกศัลย์
เสด็จขึ้นพลับพลาพนาวันรำลึกถึงเมียขวัญจันท์เทวี
จึงตรัสสั่งบรรดาเสนาในจงคุมไพร่ไปค้นหาโฉมศรี
แม้นประสบพบปะนางเทวีกลับมาแจ้งคดีจะตามไป
ฯ ๔ คำ ฯ
             

๏ บัดนั้นเสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่
รับสั่งบังคมภูวไนยออกมาเรียกบ่าวไพร่ทุกหมวดกอง
แยกย้ายรายกันเที่ยวสืบสาวฟังข่าวเยาวมาลย์ทุกบ้านช่อง
เห็นคนมีที่ไหนไปด้อมมองเที่ยวท่องทุกแห่งแพร่งพราย
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ช้า
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีโฉมฉาย
อาศัยเคหาตากับยายยากเย็นเป็นม่ายมาหลายปี
เช้าค่ำคำนึงถึงลูกน้อยให้เปลี่ยวเปล่าเศร้าสร้อยหมองศรี
กินแต่น้ำตาทุกราตรีเทวีซูบผอมตรอมใจ
อุตส่าห์เก็บผักหักฟืนขายจะเว้นวายเวลาก็หาไม่
แสนลำบากยากเข็ญเป็นพ้นไปมิได้มีสุขแต่สักวัน
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นเพลาสายัณห์ตะวันบ่ายจึงชวนตากับยายผายผัน
ลงจากกระท่อมทับฉับพลันช่วยกันตักน้ำตำข้าวปลา
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้นเสนีที่ไปเที่ยวหา
ได้ยินสำเนียงเสียงพูดจาย่องเหย่าเข้ามามองดู
เห็นยายตาพากันไปตักน้ำแต่นางจันท์นั้นตำข้าวอยู่
บ้างบอกเพื่อนว่าเหมือนโฉมตรูต่างพินิจพิศดูเป็นครู่พัก
พวกขอเฝ้าคนหนึ่งจึงว่าพระแม่จันท์กัลยาข้ารู้จัก
ดูดู๋ผิดรูปซูบผอมนักสิ้นยศสิ้นศักดิ์สังเวชใจ
ต่างคนต่างจำสำคัญรู้จักสิ้นด้วยกันไม่สงสัย
จึงปรึกษาว่าเราจะเข้าไปถามทักซักไซ้ก็ไม่ดี
จะไปทูลแถลงแจ้งกิจจาเชิญเสด็จมาหานางโฉมศรี
แล้วแบ่งปันกันอยู่ดูเทวีเสนีตัวนายก็กลับมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงทูลเฉลยไขตามที่เที่ยวไปสืบหา
ได้ประสบพบนางกัลยาอยู่ด้วยยายกับตาคนพิการ
รูปโฉมโนมพรรณก็ซูบเศร้าตักน้ำตำข้าวอยู่กลางบ้าน
ยากจนทนทุกข์ทรมานน่าสงสารสมเพชเวทนา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลก็หรรษา
จึงว่าสมคะเนแล้วเสนาเร็วเร็วอย่าช้าพากูไป
แล้วเรียกเหล่ากำนัลขันทีที่เทวีชอบอัชฌาสัย
ลงจากพลับพลาคลาไคลเสนาในนำหน้าจรลี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ถึงไร่ใกล้เรือนยายตาสงัดเงียบนักหนาน่ากลัวผี
เสนาพาเสด็จพระภูมีไปแอบดูที่สุมทุมพุ่มไม้
ท้าวค่อยแหวกช่องมองเขม้นแลเห็นเมียรักก็จำได้
นิจจาเอ๋ยยากเย็นเข็ญใจเขาใช้ตรากตรำตำข้าวปลา
ผอมซูบรูปทรงก็แก่เฒ่าผมเผ้ารุงรังเหมือนดังบ้า
ยิ่งคิดสมเพชเวทนาพระฟูมฟายน้ำตาจาบัลย์
แล้วกลืนกลั้นกันแสงแข็งใจออกจากพุ่มไม้ขมีขมัน
บรรดาเสนานางกำนัลพร้อมกันตามเสด็จจรลี
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีโฉมศรี
ผันแปรแลเห็นพระสามีเทวีหวาดหวั่นวิญญาณ์
อกใจทึกทึกนึกกลัวหรือจะมาจับตัวไปเข่นฆ่า
ทิ้งสากเสียพลันมิทันช้าวิ่งขึ้นเคหาทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายสองเฒ่าชราตายายเห็นคนมามากมายไม่อยู่ได้
ตัวสั่นงันงกตกใจวิ่งขึ้นกระไดไม่เหลียวแล
เข้าถึงห้องในยังไม่หยุดยายพาตามุดเข้าใต้แคร่
กลัวจะดังเกรียบกรอบหมอบกระแตไม่ไหวติงนิ่งแน่ภาวนา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลนาถา
เห็นนางหนีขึ้นเรือนไม่พูดจาพระตามไปค้นคว้าหานวลน้อง
ดูฟากดงคร่ำคร่านักหนานักพรั่นตัวกลัวจะหักค่อยย่างย่อง
ครัวฟืนครัวไฟเที่ยวไล่มองแล้วเข้าไปในห้องเห็นเทวี
ฯ ๔ คำ ฯ
ชาตรี
๏ นั่งลงเคียงนางพลางพูดจาไฉนนั่นกัลยาจึ่งวิ่งหนี
จะรับเจ้าเข้าสู่พระบุรีเสกเป็นมเหสีไว้ตามเดิม
ซึ่งโทษพี่ผิดพลั้งแต่หลังนั้นเพราะคนมันยุยงส่งเสริม
อีจันทาเจ้ากรรมแกล้งซ้ำเติมจึงงวยงงหลงเคลิ้มไม่ทันคิด
เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวว่าชั่วช้าจะออกมาลุแก่โทษที่ทำผิด
สืบไปจนตายวายชีวิตมิได้คิดหลงใหลใจเบา
เป็นด้วยเคราะห์กรรมทำไว้จึงจำให้วิโยคโศกเศร้า
จงปรานีดีกันเสียเถิดเราจะขึ้งโกรธไยเล่าไม่เข้าการ
นิจจาเอ๋ยแต่พรากจากมาดูมอมแมมนักหนาน่าสงสาร
ว่าพลางกอดองค์นงคราญภูบาลซบลงทรงโศกา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เมินเสียไม่ดูหน้า
ให้คิดแค้นคั่งแต่หลังมากัลยาจึงตอบไปทันที
ข้าคนชั่วชาติอุบาทว์เมืองพระแค้นเคืองขับเสียจากกรุงศรี
ลูกเต้าเกิดมาก็กาลีภูมีจับถ่วงเสียทั้งเป็น
ความนี้ระบือลือเลื่องไพร่บ้านพลเมืองก็รู้เห็น
อย่าพูดให้เหนื่อยปากยากเย็นรู้เช่นเห็นลิ้นเสียลิ้นแล้ว
จะมารับกลับคืนเข้าพาราจะพาหน้ามัวหมองไม่ผ่องแผ้ว
ยศศักดิ์ไม่ประเสริฐเพริศแพร้วไม่เหมือนเมียแก้วนางจันทา
ปากคอเขาทายาดขาดเหลือสารพัดพระจะเชื่อเมียว่า
ข้าเป็นคนอาภัพอับปัญญาจะสู้ตายอยู่ป่าไม่ขอไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ น้องเอยน้องแก้วแต่ก่อนพี่ผิดแล้วหาเถียงไม่
เดี๋ยวนี้รู้เท็จจริงไม่กริ่งใจที่ในความชั่วอีจันทา
เมื่อคืนนี้นะน้องสักสองยามพระอินทร์มาบอกความให้ตามหา
ว่าลูกน้อยหอยสังข์ปรีดาเจ้าอย่าปรารมภ์ว่าล้มตาย
กลับไปได้ลูกสาวท้าวสามนต์รี้พลอึกทึกฮึกใจหาย
อย่ามึนตึงขึ้งโกรธเลยท่านยายจะตัดเป็นตัดตายกันทำไม
พี่ก็อุตส่าห์มาหาเจ้าหวังจะเล่าให้สิ้นสงสัย
บัดนี้จะพากันคลาไคลตามไปรับองค์พระโอรส
แม้นได้ลุกเรามาถึงธานีจะฆ่าอีคนร้ายให้ตายหมด
อย่าเศร้าสร้อยโศกศัลย์รันทดพี่ไม่ปดไม่ลวงเจ้าดวงใจ
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีศรีใส
ได้ยินข่าวลูกยาก็อาลัยว่ายังไม่ม้วยมอดวอดวาย
นางเปรมปรีดิ์ดีใจเป็นหนักหนาที่เคืองขัดภัสดาก็เหือดหาย
จึงเคารพนบนอบยอบกายกราบถวายบังคมพระสามี
แล้วนางซักไซ้ไต่ถามจริงหรือได้ความเพราะโกสีย์
แม้นลูกน้อยหอยสังข์ยังอยู่ดีข้านี้จะตามเสด็จไป
แต่ขอบคุณยายตาทั้งสองคนเมื่อยากจนได้มาอาศัย
บัดนี้ที่จะพาคลาไคลจงโปรดให้แทนคุณยายกับตา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลก็หรรษา
จึงตรัสตอบปลอบนางกัลยาอันยายตานั้นพี่จะถึงใจ
เจ้าจงจัดแจงแต่งกายผันผายไปพลับพลาอาศัย
ว่าพลางทางเรียกกำนัลในเอาเครื่องทรงมาให้กัลยา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝูงนางกำนัลก็หรรษา
ต่างเชิญเครื่องต้นสุคนธาเข้ามาถวายนางโฉมยง
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์ชื่นชมสมประสงค์
จึงเข้ายังห้องในดังใจจงสระสรงทรงเครื่องสุคนธา
สาวใช้หมอบกรานอยู่งานพัดนางโฉมยงทรงผลัดภูษา
แต่งองค์ทรงเครื่องประดับประดาแล้วกลับมาเฝ้าองค์ภูวไนย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสวามียิ้มย่องผ่องใส
จึงตรัสถามเมียขวัญทันใดเออยายตาไปไหนไม่เห็นตัว
เมื่อตะกี้พี่เข้ามาในบ้านแกขึ้นเรือนลนลานทั้งเมียผัว
ว่าพลางทางมองไปที่ในครัวค้นคว้าหาทั่วเที่ยวดูแล
เข้าในห้องมองไปมองมาเห็นยายกับตาอยู่ใต้แคร่
พระบอกมเหสีว่านี่แนตาแกเข้าไปอยู่ในนั้น
แล้วตรัสเรียกยายตาออกมานี่ไม่พอที่เกรงกลัวจนตัวสั่น
เงินทองของเราจะรางวัลพากันออกมาเถิดอย่ากลัว
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตายายถอยถดหดหัว
ต่างคนต่างไม่ไว้ใจตัวเมียผัวขยั้นพรั่นเต็มที
ทำลับลับล่อล่อรอรั้งเหลียวหลังลนลานคลานหนี
แล้วแข็งขืนอารมณ์สมประดีออกมาเฝ้าภูมีมิทันนาน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลจึงว่าขาน
ซึ่งยายตาเลี้ยงเจ้าเยาวมาลย์ความชอบของท่านนั้นมากมาย
จะแทนคุณสองเฒ่าคราวนี้ให้ผัวเมียมั่งมีใจหาย
จงตามไปพลับพลาเถิดตายายเราไม่ทำอันตรายอย่าตกใจ
ว่าพลางทางพามเหสีลงจากที่เคหาเคยอาศัย
พร้อมหมู่มาตยาเสนาในกลับไปที่ประทับฉับพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนพลับพลาพระตรัสสั่งเสนาขมีขมัน
จงจัดแจงเสื้อผ้าแพรพรรณทั้งเชี่ยนขันเงินตราข้าไท
เอามาให้เฒ่าชราตายายแล้วตั้งให้เป็นนายบ้านใหญ่
แต่บรรดาพวกเหล่าชาวไพรประกาศให้ร้องเรียกคุณยายตา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นสองเฒ่ารับรางวัลหรรษา
ชื่นชมสมจิตจินดาถวายบังคมลาทั้งตายาย
เรียกบรรดาข้าคนให้ขนของเงินทองผ้าเสื้อเหลือหลาย
ผัวเมียกระหยิ่มพริ้มพรายใครทักทายทำเมินเดินยิ้มไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเป็นใหญ่
จึงสั่งมหาเสนาในเร่งให้ตรวจเตรียมรี้พล
จงหาผู้รู้ทางสันทัดเดินตัดลัดป่าพนาสณฑ์
เราจะไปพราราสามนต์ยกพลให้ทันวันนี้
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
ออกมาจัดกันทันทีตามมีพระราชบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลก็หรรษา
จึงเข้าที่สระสรงคงคาตกแต่งกายาอ่าองค์
แล้วชวนอัครชายาคลาไคลตรงไปขึ้นเกยสูงส่ง
พร้อมกระบวนถ้วนหมู่จัตุรงค์เสด็จทรงช้างที่นั่งหลังคาทอง
องค์พระมเหสีขี่รถชักม่านก้านขดปิดป้อง
เสียงแซ่แตรสังข์ฆ้องกลองให้เดินกองทัพหน้าคลาไคล
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ แรมร้อนนอนป่ามาช้านานจนใกล้ด่านสามนต์กรุงใหญ่
จึงหยุดพักพหลพลไกรซุ่มซ่อนอยู่ในพนาวา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีตัวนายซ้ายขวา
เร่งรัดตัดไม้เกี่ยวคาปลูกพลับพลาที่ประทับฉับไว
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเป็นใหญ่
เสด็จยังพลับพลาพนาลัยภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา
แล้วตรัสเล้าโลมโฉมยงซึ่งจะไปตามองค์โอรสา
พี่คิดขยั้นหวั่นวิญญาณ์เห็นหน้าแต่เจ้าจะเข้าไป
ด้วยแม่ลูกชอบชิดสนิทกันความโกรธโทษนั้นหามีไม่
อันตัวของพี่นี้ไซร้เกลือกจะกระไรก็ไม่รู้
จะเข้าไปในบ้านเมืองเขาถึงลูกเต้าของตัวก็กลัวอยู่
พี่เป็นคนผิดเจ้าคิดดูจะจู่ลู่วู่วามไม่ไว้ใจ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์ยิ้มเย้ยเฉลยไข
ดูดู๋ท้าวเธอเอออะไรช่างพูดไม่ได้อายขายหน้าตา
น้อยหรือแกล้วกล้าประดาเสียไสเมียออกตั้งเป็นตั้งหน้า
คิดอ่านออกตัวกลัวลูกยายิ่งกว่าเสือสางกลางพงพี
โอรสเราได้ผ่านบ้านเมืองรุ่งเรืองปรากฏยศศักดิ์ศรี
พ่อแม่มาหาจะฆ่าตีก็ผิดที่ทำนองในคลองธรรม์
ซึ่งทรงฤทธิ์คิดเกรงกลัวลูกรักไว้พนักงานข้าพระอย่าหวั่น
มิให้ข้องเคืองที่เรื่องนั้นมาไปด้วยกันเถิดพันปี
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเรืองศรี
ได้ฟังกัลยาพาทีค่อยสบายคลายคลี่ดีใจ
จึงตรัสว่าถ้าเจ้ารับประกันเอ็นดูบ้างอย่างนั้นก็ไปได้
แต่จะต้องแปลงปลอมเข้าไปอย่าให้ใครพะวงสงกา
แล้วเรียกเสนามากำชับเป็นความลับล้ำลึกปรึกษา
ตัวเรากับเจ้ากัลยาจะปลอมแปลงกายาเข้าธานี
เที่ยวสืบแสวงหวังดังประสงค์ให้พบองค์โอรสเรืองศรี
ท่านจงซ่อนซุ่มคุมโยธีอยู่ที่กลางป่าพนาลัย
สั่งพลางทางเปลื้องเครื่องทรงเอาซ่อนไส่ลงในย่ามใหญ่
นางถอดเครื่องประดับฉับไวซ่อนใส่ในกระทายมิทันช้า
ภูมีคลี่ผ้าตาโถงนุ่งคาดพุงเขียวครามงามนักหนา
โฉมยงทรงนุ่งตาเล็ดงาห่อผ้าขาวมุ้งรุงรัง
พระหยิบย่ามละว้ามาตะพายนางกระเดียดกระทายตามหลัง
ออกจากที่ประทับยับยั้งไปยังพาราสามนต์
ฯ ๑๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นเข้าไปในกำแพงเมืองหญิงชายเดินเนื่องตามถนน
พระแกล้งทำเหมือนเหล่าชาวชนปลอมปนเบียดเสียดไปตามทาง
เห็นถิ่นฐานบ้านช่องแน่นหนาริมแถวมรคาทั้งสองข้าง
เหย้าเรือนฝากระดานบ้านขุนนางรั้วทึบรั้วตารางเรียงราย
ร้านตลาดสองแถวแนวถนนเกลื่อนกล่นข้าวของกองขาย
สินค้าหลายหลากมากมายที่หน้าวังนั่งรายเรียงไป
บ้างขายเครื่องเงินเครื่องทองแพรดวงม่วงตองโหมดไหม
ชมพลางทางทำตะลึงตะไลท่านยายเตือนให้ไคลคลา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นแม่ค้าขายของถ้วนหน้า
ครั้นเห็นสองกษัตริย์ก็สงกาสะกิดกันพูดจาว่าวุ่นวาย
ลางคนว่าข้าดูท่วงทีตาที่ตะพายย่ามงามใจหาย
รูปพรรณสัณฐานพานจะคล้ายกับลูกเขยเจ้านายของเรา
บ้างว่าข้าเห็นยายก็ชอบกลชะรอยคนมั่งมีผู้ดีเก่า
ถึงทั้งแก่แลดูยังพริ้งเพราไรจุกโตแทบเท่าสองนิ้ว
ที่ปากเปราะเราะรายก็ร้องทักมาหยุดพักให้สบายหายหิว
ดูซื้อแพรเลี่ยงโผโล่ริ้วทั้งซุ่นติ๋วปักเถาของเรามี
ลางคนร้องเรียกพลางทางวิ่งตามเข้าฉุดยบ่ามท่านตาว่ามานี่
ร้านข้าผ้าผ่อนล้วนดีดีเลือกดูที่งามตามชอบใจ
บ้างร้องหยอกหลอกลูกเล็กเล็กจะจับเด็กหรือขาตาย่ามใหญ่
จงแวะเข้ามาอย่าเพ่อไปนี่บ้านช่องอยู่ไหนจะใคร่รู้
บ้างว่าเชิญท่านตามากินหมากเคี้ยวไม่ได้ครกสากข้ามีอยู่
ต่างต่างมีจิตคิดเอ็นดูเรียกตาเรียกปู่ทุกคนไป
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นสองกษัตริย์ยิ้มย่องผ่องใส
เห็นเราเรียกหาพาใจเข้าร้านไหนก็หยุดยืนตะลึง
พระเสแสร้งแกล้งว่ากับท่านยายจะซื้อลายสุหรัดสักผืนหนึ่ง
เข้าไปต่อเฝ้าพะเน้าพะนึงห้าสลึงมิได้ก็ไม่ซื้อ
ท่านยายว่าน่าชังแก่จะตายจะนุ่งลายทำหนุ่มอยู่อีกหรือ
ว่าพลางเข้าฉุดยุดยื้อจูงมือออกมาจากหน้าร้าน
แล้วแกล้งพูดเชือนแชแก้หน้าเราดูซื้อตุ๊กตาไปฝากหลาน
เที่ยวต่ออะไรไม่ได้การมีแต่เขาผ่านแพงแพง
ว่าพลางดำเนินเดินมาแม่ค้าเรียกทักไปทุกแห่ง
เข้าพูดจาปรารภประจบประแจงที่ร้านชำร้านแผงทุกแห่งไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นตลาดเลิกเวลาเย็นพอแลเห็นศาลาอาศัย
พระชวนโฉมนางจันท์คลาไคลเข้าไปหยุดยั้งยังศาลา
จึงปรึกษาว่ากับมเหสีวันนี้มือค่ำหนักหนา
พวกตระว่ำตระเวนเขาตรวจตราจะเดินผิดเวลาดูน่ากลัว
สารพัดไต้ไฟก็ไม่มีไม่รู้ว่าคนดีคนชั่ว
เราก็พานชราตามืดมัวเกลือกกลัวว่าเขาจะจับกุม
แล้วแก้ย่ามทันทีตีเหล็กไฟเก็บสะเก็ดไม้ไหล้ก่อไฟสุม
ไม่มีม่านมีมุ้งยุงชุมมันกัดตัวเป็นตุ่มเต็มไป
ครั้นดึกดื่นเข้าก็หาวนอนเอาผ้าผ่อนปูลงเอนหลังไหล่
พูดปรับทุกข์ปรับร้อนถอนใจมิได้หลับสนิทนิทรา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทองทรงโฉมเสน่หา
ราตรีเข้าที่ไสยาด้วยนวลนางรจนานงคราญ
เมื่อมารดามาถึงพระนครให้เดือดร้อนเคืองขุ่นงุ่นง่าน
เมียรักชักชวนให้สำราญจะอยู่งานพัดวีก็มิฟัง
เนื้อตัวไม่สบายระคายคันผินผันให้นงเยาว์เกาหลัง
แต่พลบค่ำย่ำฆ้องจนเคาะระฆังเวียนนั่งเวียนลุกขลุกขลุ่ยไป
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดจะใคร่ไปเลียบพระนครให้สบายคลายร้อนที่หม่นไหม้
จึงตรัสสั่งรจนายาใจพรุ่งนี้พี่จะไปเลียบธานี
บ่ายคล้อยหน่อยหนึ่งจะกลับมาแก้วตาอย่าเศร้าหมองศรี
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างธาตรีก็เข้าที่โสรจสรงคงคา
แต่งองค์ทรงสอดเครื่องประดับแสงแก้วแวววับจับเวหา
เสร็จสั่งทรามวัยแล้วไคลคลาออกมาพระโรงคัลทันใด
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
             

๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์ตรัสสั่งอำมาตย์น้อยใหญ่
จงผูกช้างเตรียมพลสกลไกรเราจะไปเที่ยวรอบขอบบุรี
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
ออกมาจัดกันทันทีตามมีพระราชบัญชาการ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทรงศักดากล้าหาญ
เสด็จยังเกยลาหน้าพระลานขึ้นทรงคชสารชาญชัย
ช้างทรงตรงออกทวารวังโยธาหน้าหลังไม่นับได้
เสียงฆ้องกลองชนะสนั่นไปคลาไคลไปตามมรคา
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลนาถา
อยู่กับมเหสีที่ศาลาเห็นเขามาอื้ออึงคะนึงไป
ทั้งเกณฑ์แห่เกณฑ์แหนแน่นเนืองชะรอยท้าวเจ้าเมืองจะไปไหน
จึงตรัสชวนเมียขวัญทันใดเราจะไปเมียงหมอบลอบดู
ว่าพลางทางลงจากศาลาถึงริมมรคานั่งคอยอยู่
รี้พลคับคั่งพรั่งพรูเขาเดินกรายหัวหูไม่ว่าไร
ครั้นสิ้นแห่แลเห็นช้างทรงกับองค์พระสังข์ทองผ่องใส
สะกิดถามเมียขวัญทันใดคนนี้หรือมิใช่พระลูกรัก
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีมีศักดิ์
ตั้งตาแลดูเป็นครู่พักแล้วนงลักษณ์บอกกับภัสดา
ข้าพินิจพิศดูรูปทรงไม่คลาดเคลื่อนเหมือนองค์โอรสา
แต่เนื้อเหลืองเรืองรองเป็นทองทาผิดกับลูกยาข้าแคลงใจ
ว่าพลางทางชวนกันดูพลางจนช้างที่นั่งเข้ามาใกล้
ลืมตัวกลัวเกรงภูวไนยลุกยืนขึ้นได้ตั้งใจดู
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกเกณฑ์แห่แลเห็นคนยืนอยู่
ตกใจต่างชิงกันวิ่งพรูมาขู่รู่ยื้อยุดฉุดตัว
บ้างโกรธท่านตาว่าท่านยายจะพาตัวหลังลายยายชาติชั่ว
บ้างชักหวายเงื้อง่าน่ากลัวเคยตัวตีเสียให้แทบตาย
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทองร้องห้ามคนถือหวาย
ช่างเถิดเสนาอย่าวุ่นวายตายายชาวบ้านนอกขอกนา
พลางพินิจพิศดูเหมือนผู้ดีให้เมตตาปรานีหนักหนา
ดูท่านยายคล้ายกันกับมารดาพระราชารอช้างที่นั่งไว้
ครั้นจะถามเหตุผลต้นปลายให้นึกอายเสนาน้อยใหญ่
แต่พินิจพิศดูตะลึงตะไลนึกพะวงสงสัยในวิญญาณ์
พระคิดคะนึงถึงมารดรจะทุกข์ร้อนถึงลูกนี้หนักหนา
แล้วแข็งขืนกลืนกลั้นชลนาให้โยธากลับหลังเข้าวังใน
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลให้สงสัย
เห็นแห่เสด็จกลับลับไปภูวไนยปรึกษากับเมียรัก
พี่ดูพระโฉมยงองค์นี้ทำท่วงทีดูเหมือนจะรู้จัก
แต่หากเธอคิดอายไม่ทายทักเห็นจะเป็นลูกรักเราคนนี้
จึงหยุดอยู่ดูเจ้าเป็นหนักหนาแล้วหน้าตาโศกเศร้าหมองศรี
จะคิดอ่านแก้ไขอย่างไรดีพี่นี้อั้นอ้นจนใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีก็คิดได้
จึงว่าจำเราจะเข้าไปอาศัยอยู่ที่นายประตู
แต่ตัวน้องจะไปในนิเวศน์ให้นายวิเสทเขาใช้อยู่
เห็นชอบกลจะได้ไต่ถามดูให้รู้ตระหนักประจักษ์ใจ
แม้นลูกน้อยหอยสังข์คนนี้แน่จึงจะคิดผันแปรแก้ไข
ให้รู้ว่าข้าน้อยกับท้าวไทตามมาถึงในพารา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสามีดีใจหัวร่อร่า
เจ้าช่างคิดขยันกัลยานั่งอยุ่ไยช้ามาจะไป
จึงหยิบย่ามละว้ามาสะพายนางกระเดียดกระทายทำเหมือนไพร่
แล้วเดินตามกันมาทันใดเข้าไปยังที่ทวารา
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงเห็นนายประตูนั่งอยู่บนร้านสานตะกร้า
ตรงเข้าไปไต่ถามพูดจาแกล้งเจ้าคะเจ้าขาให้ชอบใจ
ข้าเจ้าจะขอถามตามซื่อท่านหรือเป็นนายประตูใหญ่
ข้านี้ยากจนเป็นพ้นไปคิดจะมาอาศัยเจ้าขรัวตา
จะอยู่ให้ใช้สอยเป็นลูกจ้างเฝ้าประตูประต่างก็ไม่ว่า
พอได้กินอิ่มท้องสองเวลาตามประสาแก่เฒ่าเฝ้ารั้ววัง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนายประตูชื่นชมสมหวัง
ทั้งถ้อยคำพูดจาก็น่าฟังจึงเรียกหาให้นั่งแล้วว่าไป
เดือนนี้ไม่มีคนมาเข้าอยู่ด้วยกันเถิดเราจะจ้างใส่
สองคนเมียผัวกลัวอะไรจ้างเดือนกินไปให้สบาย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีโฉมฉาย
คิดจะใคร่ได้พบพระลูกชายจึงเบี่ยงบ่ายพูดจากับสามี
ตัวข้าจะเข้าไปในวังพระหยุดยั้งคอยท่าอยู่ที่นี่
สั่งแล้วแคล้วคลาดจรลีเทวีเข้ายังวังใน
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เที่ยวถามเขาไปในนิเวศน์พบพวกวิเสททำเครื่องใหญ่
จึงพินอบพิเทาเข้าไปแก้ไขพูดจาพาที
ทำรู้จักชักเรื่องชักราวแต่ก่อนข้าก็ชาวกรุงศรี
เป็นวิเสทบุราณบ้านเมืองดีแต่ครั้งนี้ยากจนพ้นประมาณ
จงได้เมตตาการุญจะมาขอพึ่งบุญอยู่ในท่าน
ใจสมัครรักทำราชการแม้นเกียจคร้านชั่วช้าอย่าเอาไว้
การอื่นไม่ขยันขันแข็งแต่หุงข้างต้มแกงพอทำได้
จะช่วยทำเครื่องอานให้ท่านใช้อาศัยพึ่งปากฝากตัวตน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนายวิเสทฟังว่าน่าฉงน
ดูไรจุกไรก้านพานชอบกลจะว่าคนยากจนเห็นผิดนัก
ผิวพรรณรูปทรงส่งศรีน่าจะเป็นผู้ดีมียศศักดิ์
ถ้อยคำพูดจาก็น่ารักแล้วสมัครมาให้ใช้ดีดี
จึงว่าอย่าทุกข์เลยท่านยายถึงล้มตายก็เราจะเผาผี
อุตส่าห์ทำราชการของท่านนี้คงจะให้ได้ดีมิเป็นไร
แม้นทำเครื่องอานการสันทัดเบี้ยหวัดปีหน้าจะว่าให้
ทั้งกินอยู่พูวายสบายใจอยู่ไปด้วยกันเถิดท่านยาย
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางจันท์ชื่นชมสมหมาย
อุตส่าห์สู้เหนื่อยยากฝากกายให้วิเสททั้งหลายเขาเมตตา
นางต้มแกงแต่งเครื่องเวลาไรชอบพระทัยลูกรักนักหนา
สมหวังดัวจิตที่คิดมากัลยาจะแกล้งแกงฟัก
จึงหยิบยกมาตั้งนั่งฝานเอาวางไว้ในจานแล้วเจียนจัก
แกะเป็นรูปขององค์นงลักษณ์เมื่ออยู่กับผัวรักที่ในวัง
ฯ ๖ คำ ฯ
ช้า
๏ ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยาคลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์
ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซังอุ้มลูกไปยังยังพนาลัย
ชิ้นสามเมื่ออยู่ด้วยยายตาลูกยาออกมาช่วยขับไก่
ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพรทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน
ชิ้นห้าบิตุรงค์ทรงศักดิ์ให้จับตัวลูกรักมาจากบ้าน
ชิ้นหกจองจำทำประจานให้ประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย
ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยาไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล
เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรไทใครใครไม่ทันจะสงกา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ นางจัดแจงแกงต้มดิบดีแล้วตักใส่ในที่ชามฝา
ทั้งปิ้งจี่มี่มันนานาใส่โต๊ะตั้งตีตราเตรียมไว้
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเหล่านางพนักงานน้อยใหญ่
ถึงเวลามาเชิญเครื่องไปเรียงเรียบเทียบไว้เหมือนอย่างเคย
สาวสาวเหล่านางที่โปรดปรานเข้าเคียงคอยอยู่งานที่เสวย
ทั้งนางรจนาทรามเชยหมอบเฝ้าตามเคยทุกเวลา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สุริย์วงศ์พงศา
เสวยเครื่องเอมโอชโภชนาอร่อยรสโอชาชอบพระทัย
เอาช้อนทองลองตักแกงฟักเห็นชิ้นสลักก็สงสัย
พระพินิจดูพลางเอาวางไว้แล้วตักขึ้นมาใหม่ก็เหมือนกัน
จึงเลือกตักแต่ชิ้นสิ้นชามฝาเพ่งพิจารณาทุกสิ่งสรรพ์
หลากใจหนักหนาน่าอัศจรรย์พระทรงธรรม์ไม่บอกให้ใครฟัง
จึงเอาน้ำมาล้างแล้ววางรายเห็นเป็นเรื่องนิยายหอยสังข์
พระมารดารมาตามแล้วกระมังคนอื่นทั้งเมืองเราไม่เข้าใจ
ไม่เสวยเลยอิ่มโภชนาจะกลืนกลั้นน้ำตามิใคร่ได้
หยิบเอาชิ้นฟักนั้นถือไว้สะอื้นไห้ถึงพระชนนี
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ แล้วระงับดับความโศกศัลย์จึงสั่งนางกำนัลสาวศรี
ใครแกงฟักขึ้นมาเวลานี้ไปหาตัวมานี่อย่าได้ช้า
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนางกำนัลรับสั่งใส่เกศา
ลงจากปราสาทชัยไคลคลาตรงมายังที่วิเสทใน
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงบอกพวกวิเสทพระทรงเดชให้หาอย่าช้าได้
ใครที่ช่างแต่งแกงฟักไปทำให้พระองค์ทรงโศกา
แต่ก่อนไรไม่เป็นเช่นนี้เห็นทีจะกริ้วหนักหนา
อย่าทำอิดเอื้อนเชือนช้ารีบมาขึ้นไปให้ทันที
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกวิเสทอกสั่นขวัญหนี
ตกใจไม่เป็นสมประดีครั้งนี้ชีวันจะบรรลัย
ต่างคนขึ้งโกรธโทษกันเพราะอีนางจันท์หรือมิใช่
พอใจคลหาเอามาไว้ละให้ทำเครื่องนั้นทุกวัน
ครั้นจะมิบอกออกเล่าพวกเราชีวาจะอาสัญ
ว่าพลางทางเรียกนางจันท์มาเอาคำมั่นสัญญา
เจ้าช่างตกแต่งแกงฟักดีเดี๋ยวนี้มีรับสั่งให้หา
แม้นเคืองขัดตรัสถามสิ่งใดมาอย่าซัดถึงพวกข้าให้วุ่นวาย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีโฉมฉาย
ดีใจจะได้พบลูกชายจึงเสแสร้งแกล้งอุบายพูดจา
ท่านอย่าประหวั่นพรั่นจิตอันชอบผิดจะรับแต่ตัวข้า
ถึงพระโฉมยงลงอาญาก็นึกว่าเคราะห์กรรมทำอย่างไร
จะสู้ม้วยมอดวอดวายไม่ซัดท่านทั้งหลายอย่าสงสัย
สาวศรีจงพาข้าขึ้นไปตามแต่ภูวไนยจะโปรดปราน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ฟังว่าเห็นกล้าหาญ
ดูไม่งันงกสะทกสะท้านก็ลนลานรีบพากันคลาไคล
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นองค์พระสังข์ทองผ่องใส
เห็นมารดามากับสาวใช้จำได้ว่าพระชนนี
ลดองค์ลงจากบัลลังก์อาสน์วิ่งเข้ากอดบาทนางโฉมศรี
มิทันจะพูดจาพาทีโศกีเสือกซบสลบไป
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีศรีใส
เห็นพระโอรสยศไกรมาร้องไห้แน่นิ่งไม่ติงกาย
นางสวมสอดกอดองค์พระลูกรักนงลักษณ์อกสั่นขวัญหาย
ชลนัยน์ไหลหลั่งพรั่งพรายโฉมฉายนิ่งไปไม่สมประดี
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนามารศรี
ตกใจหนักหนาเห็นสามีโศกีนิ่งไปไม่ไหวองค์
มิได้รู้เหตุผลต้นปลายโฉมฉายดังจะม้วยเป็นผุยผง
วิ่งเข้ากอดบาทพระโฉมยงโศกทรงกันแสงสลบไป
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้นฝูงสนมกำนัลน้อยใหญ่
ต่างคนตระหนกตกใจเข้าแก้ไขไม่ฟื้นสมประดี
บรรดาข้าหลวงทั้งแก่สาวร้องไห้รักเจ้าอยู่อึงมี่
บ้างพากันวิ่งเป็นสิงคลีไปทูลพระชนนีกับบิดา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเคารพนบนอบต่างกระหืดกระหอบนักหนา
แล้วทูลแถลงแจ้งกิจจาพระลูกรักสองราพิราลัย
เมื่อเดิมทีมีนางคนหนึ่งเข้ามาถึงก็พากันร้องไห้
เดี๋ยวนี้ไม่ไหวติงนิ่งไปข้าช่วยแก้ไขก็ไม่คลาย
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์อกสั่นขวัญหาย
ร้องเรียกนางมณฑาว่าท่านยายลูกตายเสียแล้วมาจะไป
ย่างลงจากอาสน์พลาดล้มผลุงนางมณฑาเข้าพยุงลุกขึ้นได้
ออกจากปรางค์มาศปราสาทชัยวิ่งร้องไห้ตามกันมาทันที
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงปราสาทพระลูกรักหอบฮักเข้าไปในที่
สำคัญว่าล้มตายวายชีวีต่างตีอุราโศกาลัย
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ ครั้นรู้สึกขึ้นมาให้หาหมอใครใครไม่รอหน้าได้
ชี้นิ้วกริ้วหมู่กำนัลในไม่ทันใจพิโรธโกรธฮึดฮัด
เต้นแร้งเต้นกาด่าทอเร่งหมอให้แก้อยู่แออัด
บ้างนวดบ้างเข้าเป่ายานัตถุ์สามกษัตริย์ก็ฟื้นคืนมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สุริยวงศ์พงศา
ลืมเนตรคเห็นองค์พระมารดาทั้งแม่ยายพ่อตามาพร้อมกัน
จึงบังคมก้มกราบสามกษัตริย์เชิญขึ้นแท่นรัตน์เฉิดฉัน
แล้วทูลแจ้งกิจจาพ่อตาพลันลูกโศกศัลย์สิ้นสมประฤดี
ด้วยองค์สมเด็จพระมารดาอุตส่าห์ติดตามหามาถึงนี่
ได้ความยากแค้นแสนทวีมาอยู่ที่วิเสทเป็นหลายวัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์แจ้งคำลูกเขยขวัญ
จึงให้นางมณฑาธิดานั้นบังคมไหว้นางจันท์เทวี
แล้วพระพูดจาปราศรัยขอบใจอุตส่าห์มาถึงนี่
หนทางก็ไกลใช่พอดีช่างเดินดงพงพีมาอย่างไร
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีบังคมไหว้
จึงเล่าความตามจริงทุกสิ่งไปจนได้มาถึงพระพารา
แล้วผินมาว่ากับลูกแก้วเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ได้เห็นหน้า
อันซึ่งความผิดของบิดามืดมัวชั่วช้างมงาย
เดี๋ยวนี้ตามมาง้อขอโทษลูกรักหักโกรธเสียให้หาย
เจ้าอย่าปองจิตคิดร้ายพยาบาทมาดหมายแก่บิดา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ฟังชนนีว่า
นบนอบแล้วตอบวาจาพระมารดาอย่าถวิลกินใจ
ซึ่งพระบิตุรงค์ให้ลงโทษจะผูกจิตคิดโกรธนั้นหาไม่
เป็นเพราะเคราะห์กรรมทำไว้จึงจำให้พลัดพรากจากพระองค์
ถึงดวงหฤทัยนัยนาถ้าผ่านฟ้าทั้งสองต้องประสงค์
จะแขวะควักออกให้ดังใจจงด้วยคุณของพระองค์เป็นพ้นไป
ตรัสพลางทางถามชนนีเดี๋ยวนี้เสด็จมาอยู่ไหน
จงโปรดเกล้าเล่าแถลงให้แจ้งใจลูกจะใคร่ได้พบพระบิดา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระชนนีดีใจเป็นนักหนา
ฟังลูกรักตอบชอบวิญญาณ์ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป
บัดนี้สมเด็จพระบิตุรงค์ปลอมแปลงแต่งองค์เหมือนอย่างไพร่
นุ่งห่มสมเพชสุดใจมาอาศัยตาเฒ่าเฝ้าประตู
เขาใช้สอยพลอยทำขะมุกขะมอมสานกระบุงสานพ้อมนั่งหง่อมอยู่
อดอยากยากจนเป็นพ้นรู้อุตส่าห์สู้ตามมาหาลูกรัก
ถ้าแม้นเข้ามีแก่ใจออกไปรับเห็นว่านับถือองค์พระทรงศักดิ์
จะดีเนื้อดีใจนักหนานักเพราะลูกรักไปรับพระบิดา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์บังคมด้วยหรรษา
จึงว่าลูกจะถวายบังคมลาออกไปรับพระบิดามาวังใน
พระมารดาว่าแม่จะไปด้วยเจ้าแปลกจะได้ช่วยบอกให้
ท้าวสามนต์ว่าพ่อก็จะไปจึงจะได้รู้จักมักจี่กัน
นางมณฑาเทวีว่าดีแล้วรจนาลูกแก้วมาผายผัน
ทั้งห้าองค์ลงจากปราสาทพลันสาวสนมกำนัลก็ตามมา
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงทิมริมที่ทวารวังเห็นสองคนนั่งสานตระกร้า
จึงถามชนนีมิได้ช้าไหนพระบิดาข้าองค์ไร
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์เทวีศรีใส
ชี้บอกลูกรักทันใดภูวไนยท้าวนี่งอยู่ข้างนั้น
ที่นุ่งผ้าตาโถงถือมีดตอกนางบอกแล้วพากันผายผัน
เข้าไปใกล้องค์พระทรงธรรม์ก้มเกล้าอภิวันท์ภัสดา
พระสังข์กอดบาทเบื้องซ้ายนางโฉมฉายกอดบาทเบื้องขวา
ทั้งสององค์ทรงโศกโศกาปิ้มว่าชีวันจะบรรลัย
ฯ ๖ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเป็นใหญ่
เห็นเมียรักโอรสยศไกรสะอื้นไห้ไม่เงยพักตรา
ให้นึกสงสารเป็นพ้นนักทรงศักดิ์สวมกอดโอรสา
มิอาจที่จะกลั้นโศกาก็ฟูมฟายชลนาจาบัลย์
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ ครั้นสางโศกศัลย์รันทดพระลูบหลังโอรสแล้วรับขวัญ
พ่อนี้ชั่วช้าสารพันให้ทำโทษทัณฑ์กับลูกยา
หากเจ้าไม่ตายวายปราณเพราะบุญญาธิการหนักหนา
อันซึ่งความผิดของบิดาแก้วตาอย่าคุมแค้นเคือง
บัดนี้จะมารับเจ้ากลับไปคงจะให้ระบือลือเลื่อง
จะมอบราชธานีบุรีเรืองให้พ่อผ่านบ้านเมืองสืบไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์บังคมประนมไหว้
จึ่งว่าพระอย่าแหนงแคลงใจลูกมิได้ผูกผิดแก่บิดา
ซึ่งอุตส่าห์มาตามลูกรักพระคุณของทรงศักดิ์นักหนา
จะขอสนองรองบาทาไปกว่าจะสิ้นชีวัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เห็นคลายที่โศกศัลย์
จึงชวนนางมณฑาธิดานั้นบังคมคัลท้าวยศวิมล
แล้วว่าพระองค์เสด็จมาไม่ควรจะพูดจาริมถนน
ขอเชิญเสด็จจรดลขึ้นมณเทียรทองของลูกยา
ว่าพลางทางขับฝูงกำนัลอีเหล่านั้นหลีกทางอย่าขวางหน้า
ให้เถ้าแก่นำเสด็จไคลคลาตรงมาปรางค์มาศปราสาทชัย
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเชิญสองกษัตริย์ขึ้นนั่งเหนือแท่นรัตน์ผ่องใส
ตรัสสั่งท้าวนางข้างในเครื่องทรงใหมใหม่ไปเอามา
เราจะถวายสองพระองค์จงเลือกสรรผ้าทรงแลภูษา
เข้มขาบนุ่งอย่างดีมีราคาที่เกาะหมากถวายมาเมื่อปีนี้
แล้วผินพักตรามาตรัสด้วยสองกษัตริย์เรืองศรี
ขอเชิญเสด็จภูมีเข้าที่สรงน้ำให้สำราญ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเกษมศานต์
จึงชวนเมียขวัญมิทันนานมาสรงชลธารฉับพลัน
สองกษัตริย์ขัดสีวารีรดน้ำดอกไม้ไสสดหมดแม่ขัน
ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัลนั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ชื่นชมสมประสงค์
เห็นกษัตริย์เกี่ยวดองสององค์เสด็จทรงสนานสำราญกาย
พระสังนั่งรินน้ำชารจนาพัชนีถวาย
พระปราศรัยไต่ตามตามสบายถึงเหตุผลต้นปลายแต่เดิมมา
ซึ่งพระองค์บุกป่าฝ่าหนามตั้งใจติดตามโอรสา
มีใครไปแจ้งกิจจาจึงรู้ว่าลูกยาอยู่เมืองนี้
มรคาท่าทางก็ไกลกันมากี่วันจึงถึงกรุงศรี
อันพวกพหลมนตรียับยั้งอยู่ที่แห่งใด
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลแถลงไข
เดิมท้าวมัฆวานชาญชัยถือกระบองเหล็กใหญ่เท่าลำตาล
เข้าไปถึงบรรจถรณ์ข้านอนอยู่จะทุบตีหัวหูทำหักหาญ
นี่หากข้าสารภาพกราบกรานมัฆวานจึงแถลงให้แจ้งใจ
ว่าพระสังข์ทองครองเมืองนี้พระภูมียกราชธิดาให้
ให้ข้ามารับไปกรุงไกรแต่ในเจ็ดวันดังสัญญา
จึงรีบเร่งยกรี้กรีพลสิบห้าวันดั้นด้นเดินป่า
พักพลไว้นอกพาราปลอมมาแต่ข้ากับท่านยาย
เดี๋ยวนี้ได้ประสบพบพระสังข์ที่ธุระปะปังก็สมหมาย
หาไม่ท้าวโกสีย์เธอตีตายมิเชื่อถามท่านยายตะแกดู
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์พลอยว่าน่ากลัวอยู่
นี่หากบุญอุปถัมภ์ค้ำชูพระอินทร์เอ็นดูไม่ตีรัน
แม้นไม่ปะลูกชายสิตายเปล่าใครเล่าจะช่วยผ่อนผัน
ทีนี้ได้ประสบพบกันนับวันแต่จะสบายใจ
พระองค์จงอยู่กับลูกยาให้หายเหนื่อยที่มาในป่าใหญ่
อันพวกพลยังค้างอยู่กลางไพรพระสังข์จงให้ใครไปรับมา
ให้อยู่ที่ริมวังทั้งไพร่นายเลี้ยงดูพูวายให้หนักหนา
แล้วตรัสสั่งนวลนางรจนาปรนนิบัติบิดาให้จงดี
ว่าพลางทางชวนเมียขวัญลาองค์ทรงธรรม์ทั้งสองศรี
พร้อมฝูงกำนัลขันทีไปสู่ที่ปราสาทแก้วแววไว
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์รัศมีศรีใส
จึงทูลพระบิตุรงค์ทรงชัยลูกจะให้ไปรับกองทัพมา
ว่าพลางทางถวายอัญชลีพระชนกชนนีนาถา
ลงจากปราสาทชัยไคลคลาออกหน้าพระโรงคัลทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์ตรัสสั่งเสนาผู้ใหญ่
พระบิดาเรามาถึงเวียงชัยพลไกรยังอยู่นอกบุรี
จงจัดแจงนายไพร่ออกไปรับให้กองทัพเข้ามาในกรุงศรี
พูดจาปราศรัยกันให้ดีรีบไปบัดนี้อย่าได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นอำมาตย์รับสั่งใส่เกศา
บังคมก้มกราบคลานออกมาเรียกหากันอึงคะนึงไป
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ทั้งไพร่นายหลายคนพร้อมพรักล้วนแหลมหลักพูดจาอัชฌาสัย
ต่างขึ้นขี่ม้าคลาไคลตรงไปยังป่าพนาลี
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเห็นพลขันธ์ประชุมกันอยู่ในไพรศรี
จึงเข้าไปไต่ถามทันทีพวกนี้หรือที่ตามเสด็จมา
บัดนี้สององค์ทรงธรรม์พบกันกับพระโอรสา
จึงใช้ให้เราผู้เสนาออกมาพาพวกเจ้าเข้าไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนายทัพนายกองน้อยใหญ่
ต่างคนรู้ข่าวท้าวไทดีใจเป็นพ้นคณนา
ที่บ่าวไพร่ของใครไม่อยู่ให้เพื่อนกันตามกู่ตะโกนหา
แล้วเชื้อเชิญเสนีที่ออกมาเข้านั่งร่มพฤกษาพูดจากัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพวกเสนาสามนต์คนขยัน
ครั้นเห็นจวนเวลาสายัณห์จึงเตือนพวกทัพนั้นให้เตรียมกาย
พร้อมทั้งม้ารถคชสารรี้พลทวยหาญทั้งหลาย
ออกจากพงไพรทั้งไพร่นายตามกันผันผายเข้าพารา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงให้หยุดยั้งอยู่ที่ทิมริมวังข้างหน้า
ตัวนายก็ลงจากม้าเข้ามาเฝ้าองค์พระทรงยศ
แล้วทูลว่าข้าออกไปรับกองทัพในป่าเข้ามาหมด
พร้อมทั้งไอยราม้ารถพระทรงยศจงทราบฤทัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ยินดีจะมีไหน
จึงตรัสสั่งมหาเสนาในเราจะให้เลี้ยงดูหมู่โยธี
ท่านจงบัตรหมายไปบอกพวกวิเสทนอกให้ถ้วนถี่
แต่งสำรับกับข้าวคราวนี้แต่ของที่ดีดีจึงเอามา
ใครเป็นนายใครเป็นไพร่ก็ให้รู้เลี้ยงดูเขาตามวาสนา
ทั้งของหวานของคาวเหล้ายาจัดแจงแต่งมาให้ครบครัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีรับสั่งขมีขมัน
ถวายบังคมลาออกมาพลันบัตรหมายบอกกันวุ่นวาย
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพวกวิเสทแจ้งใจที่ในหมาย
ชวนกันหุงต้มแทบล้มตายตัวนายจัดใส่ในสำรับ
เป็ดไก่คั่วแกงพะแนงพล่าทั้งหวานคาวเหล้ายาเสร็จสรรพ
หาบตามกันไปให้กองทัพตั้งสำรับเคียงเรียงราย
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพวกเสนีรี้พลทั้งหลาย
ต่างคนกินเหล้าเมามายไม่มีอายพูดโป้งโผงอึง
บ้างลุกขึ้นเต้นรำทันทีกูจะซัดชาตรีสักหน่อยหนึ่ง
เพื่อนกันห้ามว่าอย่านะมึงมันจะอึงอื้อไปอ้ายเกลอ
ลางคนประกวดอวดรู้การกูแล้วใครไม่เสมอ
พูดกันเอะอะคะเออบ้างอ้าปากรากเรอวุ่นไป
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา เซ่นเหล้า
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเป็นใหญ่
อยู่ด้วยโอรสยศไกรประมาณได้หลายทิวาราตรี
ท้าวคิดรำลึกตรึกตราถึงคำมั่นสัญญากับโกสีย์
จำจะชวนลูกยาไปธานีนิ่งอยู่อย่างนี้จะมีภัย
คิดพลางทางเรียกพระสังข์มาลูบหลังลูบหน้าแล้วปราศรัย
พ่อนี้นึกประหวั่นพรั่นใจด้วยเกินผัดสหัสนัยน์หลายวันมา
ฉวยท่านกริ้วโกรธทำโทษกรณ์เห็นชีวิตบิดรจะสังขาร์
ขอเชิญลูกแก้วแววตาไปด้วยบิดายังธานี
ท่านลงมาเมื่อไรจะได้เห็นอย่าให้เป็นปดโป้กับโกสีย์
ทั้งฝูงหญิงชายชาวบุรีจะยินดีด้วยองค์พระลูกยา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์บังคมเหนือเกศา
จึงทูลสนองพระบัญชาพระบิดาอย่าประหวั่นพรั่นฤทัย
ซึ่งจะพาข้าน้อยไปเมืองจะให้เคืองบาทาก็หาไม่
ทุกวันนี้ก็หวังตั้งใจจะใคร่แทนคุณของทรงธรรม์
ทูลพลางทางผินพักตราตรัสกับรจนาเมียขวัญ
เจ้าจะคลาไคลไปด้วยกันหรือแจ่มจันทร์จะอยู่บูรี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนามารศรี
นบนอบตอบคำพระสามีเมียนี้มิได้ไกลองค์
แม้นเสด็จไปไหนจะไปด้วยกว่าชีวิตจะม้วยผุยผง
สุจริตคิดไว้ในใจจงตกไหนน้องคงจะตามไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ยิ้มย่องสนองไข
ไม่เสียทีที่รักทรามวัยจะหาเมียที่ไหนได้อย่างนี้
มาเราจะไปทูลลาพระบิตุเรศมารดาทั้งสองศรี
ธุระพระบิดรร้อนเต็มทีพรุ่งนี้จะยกยาตรา
ว่าพลางทางถวายบังคมคัลสองพระทรงธรรม์นาถา
ชวนเมียรักร่วมใจไคลคลาสาวสรรค์กัลยาก็ตามไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงถวายอัญชลีพระชนกชนนีเป็นใหญ่
แล้วทูลว่าบิตุรงค์ทรงชัยจะรับข้าคืนไปยังพารา
ด้วยท้าวมีความผิดติดตัวเกรงกลัวพระอินทร์หนักหนา
พรุ่งนี้ลูกกับนางรจนาขอถวายบังคมลาไปด้วยกัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ฟังคำลูกเขยขวัญ
เป็นธุระแม่พ่อข้อสำคัญสุดที่จะผ่อนผันฉันใด
จึงว่าพ่อหมายมั่นทุกวันนี้จะฝากผีลูกรักเมื่อตักษัย
ครั้งนี้เจ้าจะพรากจากไปเป็นจนใจไม่รู้จะทัดทาน
จงเกณฑ์พวกพลไกรให้หลายพันไปป้องกันเภทภัยในไพรสณฑ์
แม้นสิ้นทุกข์ลูกน้อยค่อยสำราญนานนานแล้วมาหาบิดร
อนึ่งพ่อขอฝากรจนาผิดชอบเมตตาช่วยสั่งสอน
จงคิดหวังดังน้องร่วมอุทรเหมือนเห็นแก่บิดารมารดา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์บังคมเหนือเกศา
คำนับรับพรพ่อตาพระอย่ากินแหนงแคลงใจ
อันรจนานงลักษณ์ลูกรักไม่มีที่เปรียบได้
ด้วยเป็นเพื่อนลำบากยากไร้ถึงผิดพลั้งอย่างไรก็ตามที
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑาโฉมศรี
ลดองค์ลงกอดพระบุตรีโศกีครวญคร่ำรำพัน
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าลูกรักของแม่เอ๋ยทรามเชยเจ้าจะไปด้วยผัวขวัญ
เมื่อไรจะได้มาเห็นหน้ากันนับวันจะลับไปนับปี
เจ้าสายใจไกลตาของแม่แล้วจงฝากตัวผัวแก้วนะโฉมศรี
ทั้งพระชนกชนนีอย่าให้มีเคืองขัดอัชฌา
แม้นผัวพิโรธอย่าโกรธตอบจงเคารพนบนอบดีกว่า
ปกป้องครองตัวของลูกยาไกลตาแม่แล้วแก้วกลอยใจ
ว่าพลางโลมลูบจูบพักตร์สวมกอดลูกรักแล้วร้องไห้
ต่างองค์โศกาอาลัยครวญคร่ำร่ำไรไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนาเสน่หา
ก้มเกล้ากราบกรานมารดาพิไรร่ำล่ำลาด้วยอาลัย
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้เจ้าพระคุณทูลกระหม่อมเคยถนอมเลี้ยงลูกมาจนใหญ่
ครั้งนี้จะพรากจากไปยังมิได้แทนคุณชนนี
เมื่อครั้งลูกออกไปอยู่ปลายนาพระมารดาก็ต้องหมองศรี
ได้กลับมาอยู่วังครั้งนี้ไม่ถึงปีจะต้องไปไกลพารา
ลูกมีกรรมทำทุกข์ให้พระแม่ถึงสองครั้งตั้งแต่โหยหา
จงยกโทษโปรดเกล้าลูกยาอย่าให้เป็นเวราข้างหน้าไป
ร่ำพลางนางกราบลงกับบาทมิอาจที่จะกลั้นน้ำตาได้
ชลเนตรฟูมฟองนองนัยน์สะอึกสะอื้นไห้ไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระสังข์สุริย์วงศ์พงศา
ครั้นบ่ายชายแสงสุรียาจึงก้มกราบพ่อตาลาแม่ยาย
แล้วตรัสชวนนวลนางเมียขวัญสาวสนมกำนัลทั้งหลาย
ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรายผันผายออกท้องพระโรงชัย
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์นั่งเหนืออาสน์แล้วตรัสสั่งอำมาตย์ผู้ใหญ่
เวลารุ่งพรุ่งนี้เราจะไปยังกรุงไกรบิตุรงค์ทรงธรรม์
จงตระเตรียมม้ารถคชสารทวยหาญเลือกล้วนที่ล่ำสัน
ทั้งสองทัพสมทบประจบกันให้พร้อมในไก่ขันวันนี้
ปืนผาอาวุธใสโรงแสงจัดแจงเอาไปให้ถ้วนถี่
สั่งเสร็จเสด็จจรลีเข้าสู่ที่ปราสาทแก้วแววไว
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นเสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่
มาผูกช้างเตรียมพลสกลไกรพร้อมไว้คอยเสด็จดังบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์เศร้าสร้อยละห้อยหา
ครั้นรุ่งรางส่างแสงสุริยาคิดถึงลูกสองราจะจากไป
เตือนนางมณฑาว่ายายเอ๋ยไม่ไปส่งลูกเขยเฉยเสียได้
แล้วชวนกัลยาคลาไคลตรงไปปราสาทพระลูกยา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปในห้องเห็นสองกษัตริย์นาถา
บังคมคัลกันตามลำดับมาพูดจาปราศรัยเป็นไมตรี
พระองค์จะเสด็จกลับไปข้าจะเปลี่ยวเปล่าใจอยู่กรุงศรี
ทั้งคิดถึงโอรสบุตรีเคยอยู่ที่นี่ได้อุ่นวัง
ถ้าพบปะพระอินทร์สิ้นทุกข์แล้วให้ลูกแก้วสองรากลับมามั่ง
มาตรแม้นมีธุระปะปังจะได้พึ่งพระสังข์สืบไป
ไม่คิดว่าลูกเขยเลยแล้วรักเหมือนลูกแก้วเกิดในไส้
อันนวลนางรจนายาใจขอฝากไว้ใต้เบื้องบาทา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลนาถา
ได้ฟังคำร่ำฝากธิดาจึงตอบว่าภูธรอย่าร้อนใจ
จะรักนางอย่างราชบุตรีอันจะมีฉันทานั้นหาไม่
ถึงทั้งสองลูกยาข้าพาไปคงจะให้กลับมาอย่าอาวรณ์
สายนักก็แดดจะแผดกล้าข้าขอลาภูวไนยไปก่อน
ทั้งสององค์จงครองพระนครให้ผาสุกทุกข์ร้อนอย่าแผ้วพาน
ว่าพลางชวนนางจันท์มากับลูกยาสององค์สรงสนาน
ต่างสอดเครื่องทรงอลงการชัชวาลล้วนแก้วแวววาวตา
ครั้นเสร็จก็ชวนพระสังข์ออกไปยังเกยช้างข้างหน้า
ท่านท้าวสามนต์นางมณฑาตามส่งออกมาถึงเกยชัย
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ท้าวยศวิมลกับพระสังข์ต่างทรงช้างที่นั่งสูงใหญ่
นางจันท์รจนาทรามวัยต่างขึ้นพิชัยรถทอง
สาวสรรค์กำนัลในซ้ายขวาขี้ช้างหลังคาเป็นแถวถ้อง
เสียงแซ่แตรสังข์ฆ้องกลองให้เดินกองทัพหน้าคลาไคล
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
             

เชิงอรรถ

ที่มา

บทละครนอก สังข์ทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๐

[ขอขอบคุณ คุณพิกุลแก้ว สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน]

เครื่องมือส่วนตัว