|
| | ๏ นิราศร้างห่างไกลใจกระสัน
|
ปีมะโรงฉศกวิตกครัน | | ไปสุพรรณพาราเรียกอากร
|
ด้วยได้นามตามตราพระราชสีห์ | | ตั้งเป็นที่หมื่นพรหมสมพัตสร
|
เมื่อวันออกนาวาลีลาจร | | ให้อาวรณ์หวั่นหวาดอนาถทรวง
|
เห็นเรือแพแลตลอดตลาดน้ำ | | อยู่ประจำแน่นเนื่องทั้งเมืองหลวง
|
สารพันสินค้าผ้าแพรดวง | | ทั้งโหมดม่วงเหลี่ยนหลินและจินเจา
|
มีเครื่องแก้วเครื่องทองของต่างๆ | | มาตั้งวางเรียงรายจะขายเขา
|
ที่หน้าแพแม่น้ำล้วนสำเภา | | เห็นปลายเสาธงริ้วปลิวปลาบตา
|
บรรทุกของเมืองไทยไปต่างๆ | | ไม้แดงฝางสารพัดแกล้งจัดหา
|
ทั้งเอ็นหนังลูกกระเบาเขานองา | | เอาไปค้าเมืองจีนกินกำไร
|
แลเห็นลำกำปั่นสำคัญคิด | | ว่าอังกฤษแขกชวามาแต่ไหน
|
พิเคราะห์ดูรู้แท้แน่ในใจ | | กำปั่นไทยทอดประทับสำหรับเมือง
|
สง่างามนามเทพโกสิน | | คู่กระบิลบัวแก้วเป็นแถวเนื่อง
|
จินดาดวงรัตนาสง่าเมือง | | ย่อมลือเลื่องไปกระทั่งถึงลังกา
|
ลำที่สามนามแก้วกลางสมุทร | | เคียงพระพุทธอำนาจพระศาสนา
|
ลำหนึ่งชื่อราชฤทธิ์กับวิทยา | | อุดมเดชเดชาประทานนาม
|
กรุงศรีอยุธยาเป็นผาสุก | | นิราศทุกข์ราบเตียนสิ้นเสี้ยนหนาม
|
สารพัดวัดวาพระอาราม | | สง่างามพระนครถาวรครัน
|
บริบูรณ์พูนเกิดประเสริฐศักดิ์ | | เป็นเอกอัคราชัยมไหสวรรย์
|
ประชาราษฎร์เริงรื่นทุกคืนวัน | | เกษมสันต์สาวหนุ่มออกกลุ้มเมือง
|
เมื่อแรกเริ่มรักกันกระสันสวาท | | ไม่สมมาดทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง
|
ที่สมหวังตั้งจิตเป็นนิจเนือง | | ไม่ฝืดเคืองเฉิดฉายสบายตัว
|
ที่เงินทองตวงถังก็ตั้งตึก | | อึกกระทึกไม่เบาเป็นเจ้าสัว
|
มีผู้คนบ่าวไพร่ใช้เหมือนวัว | | ให้ลงหัวลงท้ายสบายใจ
|
แต่ตัวเรายากจนทุพลภาพ | | เที่ยวหาลาภเต็มประดาเลือดตาไหล
|
ได้ร้อยเบี้ยจะบรรจบให้ครบไพ | | จนเหงื่อไหลลงเป็นน้ำระกำกาย
|
สงสารตัวเต็มประดาน่าอนาถ | | แรมนิราศร้างไกลน่าใจหาย
|
จะจากแพแลหาทั้งขวาซ้าย | | ก็ผันผายพ้นมาในวารี
|
|
|
๏ ถึงตำหนักแพหลวงทรวงระทด | | น้อมประณตนบนิ้วเหนือเกศี
|
น้ำตาคลอขาลาพระบารมี | | บังคมที่เสด็จลงพระคงคา
|
ครั้นขะเข้าเฝ้าใกล้ใช่ตำแหน่ง | | ต้องเบี่ยงแบ่งนบบาทตามวาสนา
|
ไม่เคยเป็นข้าท้าวบ่าวพระยา | | เป็นแต่ข้าแผ่นดินเหมือนริ้นยุง
|
ได้อาศัยในแผ่นดินทำกินคล่อง | | มีเงินทองเฟื้องสลึงไม่ถึงถุง
|
ถ้ามีมากมั่งคั่งตั้งกระบุง | | จะทุกถุงเข้าไปกองในท้องพระคลัง
|
จะไปทำสมพัตสรอากรตลาด | | ถ้าไม่ขาดทุนถวายต่อภายหลัง
|
ขอพระเดชพระคุณบุญประทัง | | ให้ได้ดั่งดวงจิตที่คิดปอง
|
รำพันพลางทางนบอภิวาท | | มิใคร่คลาดคลาไกลฤทัยหมอง
|
เห็นหน้ามุขสุดสะอาดปราสาททอง | | งามผยองเอี่ยมฟ้านภาลัย
|
ดั่งพิมานอำมรินทร์ในถิ่นฟ้า | | ลอยลงมาปัฐพีจะมีไหน
|
เป็นศรีเมืองเลื่องลือระบือไป | | ทุกเวียงชัยสรรเสริญเจริญพร
|
มีพระแก้วมรกตสดสะอาด | | ประชาราษฎร์ชื่นชมบังคมสลอน
|
เฉลิมกรุงรุ่งเรืองกระเดื่องดอน | | สถาพรพูนสวัสดิ์เป็นอัตรา
|
จะร่ำเรื่องเนื่องไปก็ไม่หมด | | พระเกียรติยศยังมากเหลือปากว่า
|
นึกบังคมอยู่ในใจแล้วไคลคลา | | นาวามากระทั่งวังบวร
|
เห็นวังเปล่าเหงาเงียบเชียบสงัด | | ว่างสมบัติบพิตรอดิศร
|
เหมือนเดือนดับลับฟ้าไม่ถาวร | | เสด็จจรสู่สวรรคครรไล
|
ยังแต่ดวงสุริยาในอากาศ | | ดูโอภาสพื้นภพสบสมัย
|
ไม่มีเพื่อนส่องฟ้านภาลัย | | เปลี่ยวพระทัยสุริยาทุกราตรี
|
ได้แต่ดวงดารามาเป็นเพื่อน | | ก็ไม่เหมือนจันทราในราศี
|
จะพรรณนาว่าไปก็ไม่ดี | | มิใช่ที่จะประเทียบเปรียบภิปราย
|
ค่อยเลื่อนล่องเข้าคลองบางกอกน้อย | | ดูเรียบร้อยเรือแพแม่ค้าขาย
|
ลางคนเล่าเจ้าคารมดูคมคาย | | ไม่มีอายอดสูกับผู้ใด
|
ที่ลางคนได้ระเบียบดูเรียบร้อย | | ไม่มากน้อยเจรจาอัชฌาสัย
|
มีคนซื้ออื้ออึงคนึงไป | | ไม่มีใครชิงชังทั้งหญิงชาย
|
ที่ลางคนมั่งมีเพราะขี้ฉ้อ | | มันทั้งขอทั้งริบเอาฉิบหาย
|
ลางลำเมียแจวหัวผัวแจวท้าย | | ดูสบายตามประสาเขาหากิน
|
พวกแม่ค้ามิได้ขาดตลาดน้ำ | | สุดจะร่ำเรือแพกระแสสินธุ์
|
ก็รีบเร่งเรือมาในวาริน | | ยิ่งลับถิ่นที่เคยเสบยบาน
|
|
|
๏ ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ | | เย็นยะเยียบโรยราน่าสงสาร
|
เสด็จดับลับลิบเข้านิพพาน | | ยังยืนนานแต่พระนามทั้งสามกรม
|
มีพระหน่อเจ้านายทั้งหลายมาก | | บ้างตกยากเต็มทีก็มีถม
|
บ้างทรงทำราชการสำราญรมย์ | | รับสั่งชมโปรดปรานประทานพร
|
มีสำเภาเลากาเป็นผาสุก | | บรรเทาทุกข์ห้ามแหนแน่นสลอน
|
ขอชมบุญบารมีชุลีกร | | แล้วเลยจรจากมาพ้นหน้าวัง
|
|
|
๏ ถึงวัดทองทัศนาดูอาวาส | | คิดถึงบาทบพิตรเหมือนจิตหวัง
|
เคยเสด็จมาที่นี่ปีละครั้ง | | ทั้งเรือดั้งเรือกันเป็นหลั่นไป
|
ด้วยทรงพระราชศรัทธาอุตสาหะ | | ถวายพระกฐินทิพโกไสย
|
สร้างกุศลต่างๆทุกอย่างไป | | ตั้งพระทัยหมายประโยชน์โพธิญาณ
|
เมื่อข้าบาทบรรพชารักษากิจ | | ที่สถิตเชตุพนวิมลสถาน
|
ได้เล่าเรียนเพียรภาวนานาน | | รับประทานนิจภัตเป็นอัตรา
|
ครั้นสึกออกจากพระสละวัด | | เป็นคฤหัสถ์ลำบากยากหนักหนา
|
ได้อาศัยในสมเด็จพระน้องยา | | ทรงเมตตาโปรดปรานที่บ้านเรือน
|
ท่านชุบเลี้ยงถึงที่มีเบี้ยหวัด | | ไม่เคืองขัดหาพระทัยที่ไหนเหมือน
|
ทูลลามากว่าจะกลับก็นับเดือน | | มิได้เยือนเยี่ยมเฝ้าทุกเช้าเย็น
|
ใช่จะแหล้งเบือนบากจากพระบาท | | จำนิราศไปด้วยการรำคาญเข็ญ
|
คิดถึงเบื้องบาทาน้ำตากระเด็น | | ต้องจำเป็นจำคลาดพระบาทบงส์
|
|
|
๏ บรรลุถึงบางระมาดอนาถจิต | | นิ่งพินิจนึกในน้ำใจประสงค์
|
เคยจดจำสำคัญไว้มั่นคง | | ด้วยพันธุ์พงศ์พวกพ้องในคลองมี
|
มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวคราวขันหมาก | | เพื่อนก็มากมาประมวลอยู่สวนศรี
|
เพราะผู้หญิงตลิ่งชันขยันดี | | เขาจึงมีเมียสวนแต่ล้วนงาม
|
ที่บางกอกกินหมูอยู่ไม่ได้ | | มาพอใจจงรักกินผักหนาม
|
ออกชื่อเพื่อนแต่ในใจอย่าไอจาม | | จะแวะถามกลัวจะช้าขอลาเลย
|
|
|
๏ มาถึงวัดไก่เตี้ยละเหี่ยละห้อย | | เห็นไก่ต้อยเตี้ยวิ่งแล้วนิ่งเฉย
|
ไม่ก่งคอขันฟังเล่นบ้างเลย | | ฤๅไม่เคยขันขานรำคาญคอ
|
ฤๅกลัวแร้วรึงจะตรึงรัด | | เป็นไก่วัดฤๅว่าไก่ของใครหนอ
|
ดูสีเหลืองเลิศล้วนนวลละออ | | น่าใครต่อไปถวายไว้ในวัง
|
ด้วยไก่เตี้ยเช่นนี้เห็นทีจะโปรด | | คงเป็นโสดสุดสมอารมณ์หวัง
|
แต่ไม่มีไก่ต่อต้องรอรั้ง | | ก็นั่งนิ่งเลยไปครรไลจร
|
|
|
๏ บรรลุถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น | | พิกุลรื่นโรยร่วงพวงเกสร
|
ถ้าได้พวงพิกุลทองประคองนอน | | จะวายร้อนรับขวัญทุกวันคืน
|
คิดถึงดอกสร้อยฟ้ากับการะเกด | | ทับทิมเทศเสาวรสยังสดชื่น
|
ช่วงหอมหวนทวนลมมากลมกลืน | | อุตส่าห์ขืนแข็งกลีบไม่ลีบโรย
|
รำคาญแต่ดอกสะเดากับเต่าร้าง | | มาทิ้งขว้างภุมรินให้บินโหย
|
ด้วยเพชรหึงตึงพัดระบัดโบย | | จนดิ้นโดยดอกเด็จระเห็จไป
|
ขาดทั้งต้นโค่นทั้งตอไม่หลอเหลือ | | ไม่มีเยื่อใยติดพิศมัย
|
แต่ดอกกลอยสร้อยฟ้าสุมาลัย | | ไม่จากไกลกล้ำกลืนทุกคืนวัน
|
สุดจะคิดครวญคร่ำร่ำสวาท | | ใช่นิราศร้างนุชสุดกระสัน
|
ประดิษฐ์กลอนค่อนคำเป็นสำคัญ | | ไปสุพรรณครั้งนี้ไม่มีครวญ
|
ไม่เหมือนไปพระแท่นแสนเทวษ | | ทางประเทศร่วมกันคิดหันหวน
|
ไม่กล่าวซ้ำร่ำไรอาลัยครวญ | | ก็รีบด่วนเรือมาในสาชล
|
|
|
๏ บรรลุถึงวัดชลอก็รอจิต | | ใครช่วงคิดชลอวัดไม่ขัดสน
|
ถ้าไม่ชลอก็จะพังลงวังวน | | ชลอพ้นที่จะพังจึงยั่งยืน
|
แต่ชลอจิตมนุษย์นี้สุดยาก | | เอาพรวนลากก็ไม่ไหวอย่าได้ขืน
|
ใครขัดขวางน้ำใจเหมือนไฟฟืน | | ทั้งแผ่นพื้นภพไตรใจเหมือนกัน
|
ประเดี๋ยวร้ายประเดี๋ยวดีมีต่างต่าง | | ประเดี๋ยวร้างประเดี๋ยวเริดระเหิดหัน
|
ประเดี๋ยวกลัวประเดี๋ยวกล้าสารพัน | | เพราะใจนั้นมากมายเป็นหลายใจ
|
|
|
๏ มาถึงหน้าวัดเพลงวังเวงจิต | | นั่งพินิจศาลาที่อาศัย
|
มีตะพานลูกกรงลงบันได | | จึงจำได้แน่จิตไม่ผิดเพี้ยน
|
แต่ก่อนพระวัดนี้ท่านดีมาก | | ชื่อขรัวนาคช่างฉลาดข้างวาดเขียน
|
มีคนจำแบบอย่างมาวางเรียน | | จนช่างเขียนประเดี๋ยวนี้ก็ดีจริง
|
ทุกวันนี้ฝีมือเขาลือมาก | | แต่ฝีปากอับชื่อไม่ลือถึง
|
ไม่มีใครยอยกเหมือนตกบึง | | ต้องนอนขึงคิดอ่านสงสารตัว
|
เสียแรงเรียนวิชาสารพัด | | เที่ยวหยิบยัดยกใส่ไว้ในหัว
|
เหมือนมณีสีอับพยับมัว | | จะเอาตัวเห็นไม่รอดตลอดไป
|
|
|
๏ มาถึงบางอ้อยช้างเมื่อปางยาก | | รำลึกอยากน้ำอ้อยที่ย้อยไหล
|
ไอ้อ้อยเข้าปากช้างจะง้างไป | | ง้างไม่ไหวช้างกินจนสิ้นกอ
|
อันอ้อยเข้าปากช้างแล้วง้างยาก | | ถึงไม่มากมันก็น้อยคงร่อยหรอ
|
เหลือแต่เดนชานช้ำระยำพอ | | ใครกินต่อไปไม่รู้ก็ดูดี
|
|
|
๏ ถึงบางขนุนเห็นขนุนเป็นพวงห้อย | | ทั้งใหญ่น้อยยัดเยียดกันเสียดสี
|
เจ้าของคอยห้ามหวงเพราะยวงมี | | ไม่รู้ทีที่จะสอยนึกน้อยใจ
|
|
|
๏ มาถึงบางขุนกองมองชะแง้ | | ตลึงแลตลอดลำแม่น้ำไหล
|
เห็นกิ่งรักรายเรียงเคียงกันไป | | เป็นลูกใบหล่นลงในคงคา
|
คิดคะนึงถึงรักที่มักมาก | | เอาใจหากห่างเหเสน่หา
|
เป็นรักกัดขัดแค้นแสนระอา | | ตัดตำราทิ้งน้ำจำใส่ใจ
|
|
|
๏ ถึงบางม่วงม่วงปรางลูกลางสาด | | มีรสชาติเปรี้ยวหวานสถานไหน
|
ก็ได้กินสิ้นอย่างต่างวิไล | | จนเบื่อใจเบื่อปากไม่อยากกิน
|
|
|
๏ มาถึงบางในไกลในใจจิต | | นิ่งพินิจคุ้งแควกระแสสินธุ์
|
ท่านผู้เฒ่าเล่าไว้เราได้ยิน | | ว่าที่ถิ่นเรือนเหย้าเจ้าไกรทอง
|
แต่โบราณบ้านช่องอยู่คลองนี้ | | เพื่อนก็มีเมียงามถึงสามสอง
|
ตะเภาแก้วโฉมเฉลาตะเภาทอง | | เป็นพี่น้องร่วมผัวไม่กลัวอาย
|
จึงเรียกบางนายไกรเอาไว้ชื่อ | | ให้เลื่องลือกว่าจะสิ้นแผ่นดินหาย
|
ถ้าใครเป็นเช่นว่าอย่าระคาย | | เราภิปรายเปรียบเล่นพอเป็นกลอน
|
|
|
๏ ถึงบางระนกบางคูเวียงเรียงกันอยู่ | | ดูเหมือนคู่เคยเคียงอยู่เรียงหมอน
|
คิดคะนึงถึงเขนยที่เคยนอน | | เราจากจรทิ้งขว้างไว้ห่างไกล
|
|
|
๏ มาถึงวัดอุทยานสำราญรื่น | | ได้ชมชื่นช่อผกาพฤกษาไสว
|
พระพายชายพัดพามายาใจ | | สุมาลัยลอยฟ้ามารินริน
|
แมลงภู่ชูช่อดอกไม้สด | | ครั้นสิ้นรสร้างโรยโหยถวิล
|
มิได้อยู่ชูชมนิยมยิน | | เที่ยวโบยบินหาอื่นมาชื่นชม
|
เหมือนหญิงร้ายชายร้างให้ห่างห้อง | | ไม่หมายปองที่อยู่เป็นคู่สม
|
เขาหลอกเล่นให้ตายด้วยรายลม | | เหมือนอารมณ์ภุมรากับมาลี
|
|
|
๏ รำพันพลางทางมาถึงบางใหญ่ | | พิศดูหมู่ไม้ในสวนศรี
|
ม่วงทุเรียนมังคุดละมุดมี | | ทั้งลิ้นจี่ลำไยมะไฟเฟือง
|
มะปรางปลิงกิ่งแปล้แต่ละต้น | | เป็นพวงผลสุกงามอร่ามเหลือง
|
ลูกไม้สวนสารพัดไม่ขัดเคือง | | เป็นผลเนื่องตามฤดูไม่รู้วาย
|
แต่มะโรงฉศกนี้ตกแล้ง | | ข้าวก็แพงถังละบาทพวกราษฎร์ขาย
|
ระคนผลเผือกมันพอกันตาย | | ค่อยสบายเป็นเสบียงเลี้ยงแผ่นดิน
|
อยุธยาธานีไม่มีอด | | ถึงข้าวหมดผลไม้ยังไม่สิ้น
|
จะร้อนตัวกลัวอะไรกับไพริน | | อย่าดูหมิ่นล่วงเลียบเข้าเหยียบแดน
|
ทั้งเมืองเอกโทตรีที่ประเทศ | | ต่างพระเนตรคอยรับอยู่นับแสน
|
กลัวอะไรไพรีคงบี้แบน | | เหมือนตั๊กแตนเต้นตอมเข้าลอมไฟ
|
รำพันพลางทางเลื่อนมาหลายเคี้ยว | | ดูลดเลี้ยวเหลือแล้วแจวไม่ไหว
|
คลองก็แคบคดเคี้ยวลดเลี้ยวไป | | ทั้งกิ่งไม้เกะกะระประทุน
|
เจ๊กลูกจ้างแจวเรือก็เหลือเล่ห์ | | ดูเกเรดูท้ายเที่ยวย้ายหมุน
|
พอน้ำขึ้นตามน้ำค่อยค้ำจุน | | ชุลมุนมาตะบึงจนถึงโยง
|
ดูเรือแพแออัดกันยัดเยียด | | ประทุนเบียดถ่อปักก็หักโผง
|
บ้างหลีกกันหันหกเข้ารกโกรง | | เดินทางโยงแสนยากลำบากใจ
|
เป็นโคลนตมหล่มถลำน้ำก็แห้ง | | ฤดูแล้งคลองเขินเดินไม่ไหว
|
ต้องจ้างโยงโยงเรือน่าเบื่อใจ | | เอาเงินให้แต่พองามตามราคา
|
เขาก็เอาเชือกหนังมาทั้งขด | | ผูกเข้าหมดเรือใหญ่ให้ไปหน้า
|
ดูเรียงลำลำดับเป็นตับมา | | ควายก็พาเชือกหนังรั้งกันไป
|
เสียงปังปึงดึงเขม็งดูเคร่งเครียด | | เรือก็เบียดบดกันเสียงหวั่นไหว
|
มะหร้าวผูกหว่างกลางข้างละใบ | | กันมิให้เรือซบกระทบกัน
|
พอมาถึงครึ่งทางในกลางทุ่ง | | จวนจะรุ่งไรไรเสียงไก่ขัน
|
โยงมาจวนสวนทางกันกลางคัน | | จะหลีกกันก็ไม่มีที่จะไป
|
เสียงเอะอะเกะกะปะกันเข้า | | บ้างก็เอาถ่อค้ำตำไถล
|
ข้างหนึ่งมาข้างหนึ่งจะดึงไป | | โยงไม่ไหวน้ำแห้งสิ้นแรงควาย
|
จนเชือกรั้งขาดแล้วต้องต่ออีก | | กว่าจะหลีกกันพ้นก็จนสาย
|
พอคล่องลำฉ่ำเฉื่อยเรื่อยสบาย | | ทั้งหญิงชายปรีดาดูหน้ากัน
|
บริโภคโภชนาผลาหาร | | ต่างสำราญปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
บ้างพบเพื่อนรู้จักก็ทักกัน | | แล้วให้ปันผักปลาประดามี
|
เรือลำหนึ่งติดกับเราลูกสาวสวย | | ไม่พูดด้วยดูสบก็หลบหนี
|
ใช้แต่ตาต่างปากฝากไมตรี | | แม้นอยู่ที่ชอบกลไม่พ้นมือ
|
จีนลูกจ้างร้องฮ้อพลอยอ้อแอ้ | | ถามว่าแม่จะเจียะเหลาเฮียะฤๅ
|
ต่างพูดจาตามประสาว่าไล้ขื่อ | | เสียงอึงอื้ออวดผู้หญิงเหมือนลิงลน
|
ครั้นพ้นจากทางโยงชะโลงล่อง | | ออกจากคลองเรือแพแลสับสน
|
บ้างหยุดจอดจอแจกระแสชล | | บ้างเลยพ้นออกลำแม่น้ำไป
|
เจ้าตลาดปากคลองก็ร้องเรียก | | จนปากเปียกเถียงกันสนั่นไหว
|
พวกชาวเรือลูกค้าระอาใจ | | ต้องยอมให้เบิกเผยแล้วเลยจร
|
แต่เรือเราเจ้าตลาดเขาคาดหน้า | | ก็รู้ว่าหมื่นพรหมสมพัตสร
|
ไม่เบิกเผยเลยมาในสาคร | | ทุเรศร้อนแรมทางมากลางคืน
|
เห็นโรงหีบหีบอ้อยอร่อยรส | | น้ำอ้อยหยดหยาดหยัดไม่ขัดขืน
|
กะทะโตเตาใหญ่ใส่ไฟฟืน | | ไม่ทำอื่นทำแต่การน้ำตาลทราย
|
เขารู้ว่าน้ำอ้อยนั้นย้อยหยด | | เอาฝูงมดบางกอกมาออกขาย
|
แต่ล้วนมดตัวเมียน่าเสียดาย | | ให้เขาขายแลกลำระยำเยิน
|
|
|
๏ มาถึงบางไก่ซ่อนก็อ่อนจิต | | ยังมืดมิดมุ่งมองดูคลองเขิน
|
พบนาวาคลาเคลื่อนเป็นเพื่อนเดิน | | ประมาณเมินมุ่งมาในวารี
|
พระจันทร์แจ้งแสงสว่างกระจ่างเมฆ | | ดูวิเวกอ้างว้างทางวิถี
|
ดูดวงเดือนเหมือนดวงอะไรดี | | ไม่รู้ที่จะประเทียบเปรียบเนื้อความ
|
สงสารแต่ดวงดาวที่วาววับ | | จะเอื้อมจับเอาเองก็เกรงขาม
|
ชมแต่ดวงช่วงแช่มอยู่แวมวาม | | ลอยอยู่ตามท้องฟ้าทุกราตรี
|
ถ้าแม้นได้ดวงดาวที่วาววับ | | จะรองรับด้วยพานมณีศรี
|
ใส่โอษฐ์อมชมเล่นเพราะเห็นดี | | มิให้มีใครต้องถึงสองมือ
|
ไอ้ยามดึกนึกหวาดอนาถหนาว | | จะเอื้อมดาวเดือนได้ดังใจหรือ
|
เป็นความเปรียบเทียบทัดให้ชัดคือ | | เพราะไกลมือก็เหมือนกับเดือนดาว
|
|
|
๏ มาถึงบางปลาดุกสนุกจิต | | เห็นปลาสลิดแอบฝั่งมันรังหยาว
|
ปลาดุกโดดโลดเลี่ยงดูเงี่ยงยาว | | ดูเหม็นคาวคิดขึ้นมาไม่น่ากิน
|
ชังน้ำหน้าปลาซิวเท่านิ้วก้อย | | มันมักพลอยตอดอยู่ไม่รู้สิ้น
|
ประจบประแจงกุมภาเที่ยวหากิน | | ทุกฐานถิ่นมีมากปากปลาซิว
|
ขี้เกียจกล่าวราวเรื่องเปลืองสมุด | | ก็รีบรุดเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว
|
แลตะคุ่มพุ่มไม้เป็นทิวทิว | | ต้นง้าวงิ้วงอกราวชายสาคร
|
|
|
๏ ถึงบางเลนเห็นหลักเขาปักไว้ | | นีกเกลียดไม้ปักเลนมันเอนถอน
|
โยกขยับจับเขยื้อนก็เคลื่อนคลอน | | ไม่แน่นอนหนักแน่นน่าแค้นใจ
|
รักแต่พื้นแผ่นผาอันหนาแน่น | | สักหมื่นแสนโยกถอนไม่คลอนไหว
|
ต่อแผ่นดินเกือบจะสิ้นประลัยไป | | ด้วยฤทธิ์ไฟลมน้ำเป็นธรรมดา
|
จึงไหวหวั่นอันตรายทำลายโลก | | เขยื้อนโยกยับเยินกับเนินผา
|
ไม่เหมือนหลักปักเลนเอนไปมา | | ดูเคลื่อนคลาคลอนหันทุกวันไป
|
|
|
๏ ถึงบางระกำคำนึงถึงสละ | | ไอ้มาปะบางระกำจะทำไฉน
|
เหมือนหักเอาหนามระกำมาตำใจ | | ไม่เข้าใกล้บางระกำคิดรำคาญ
|
|
|
๏ มาถึงบางไทรป่าเวลาดึก | | คำนึงนึกถึงพระไทรในไพรสาณฑ์
|
เคยอาศัยใบร่มเมื่อลมพาน | | แสนสำราญรื่นเริงในเชิงไทร
|
เหมือนขุนแผนกับน้องวันทองน้อย | | ตะวันคล้อยไคลคลาเข้าอาศัย
|
เสียงแจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นไพร | | ทั้งลองไนส่งเสียงสำเนียงนวล
|
ไอ้สงสารแต่พระไทรที่ในบ้าน | | จะหักรานโรยร้างห่างสงวน
|
มาเห็นแต่ไทรป่าเวลาครวญ | | เหมือนจะชวนหยุร่มเมื่อลมชาย
|
|
|
๏ ถึงหินปูนหินมีที่นี่ฤๅ | | จึงเรียกชื่อหินปูนไม่สูญหาย
|
แลไม่เห็นหินผาศิลาลาย | | เห็นแต่ปลายพงแขมขึ้นแกมกัน
|
|
|
๏ ถึงบางหลวงบางน้อยก็คอยท่า | | ไม่เห็นหน้าน้อยหลวงทรวงกระสัน
|
ทั้งสองบางนางรวบประจวบกัน | | ต้องแบ่งปันคนละครึ่งให้ถึงใจ
|
จะว่าแต่บางน้อยเขาคอยท้วง | | ข้างบางหลวงเขาจะว่าไม่ปราศรัย
|
ต้องตัดทอนผ่อนผันด้วยกันไป | | ให้ชอบใจน้อยหลวงตามท่วงที
|
|
|
๏ ถึงบางหวายหวายอะไรผู้ใดตัด | | ฤๅหวายมัดมือไว้มิให้หนี
|
ฤๅผู้ใดทำผิดคิดไม่ดี | | เขาเฆี่ยนตีด้วยหวายให้อายคน
|
จึงเรียกว่าบางหวายไม่หายชื่อ | | ตลอดลือเล่าแจ้งทุกแห่งหน
|
รำพันพลางทางมาในสาชล | | ประจวบจนแสงตะวันพรรณราย
|
|
|
๏ ถึงบางสามบางสองพี่น้องเนื่อง | | เข้าเขตเมืองสุพรรณดั่งมั่นหมาย
|
ตลาดด่านรายรั้งริมฝั่งสบาย | | แลเห็นนายด่านเถ่อชะเง้อคอ
|
ด้วยเคยได้เล็กน้อยนั่งคอยอยู่ | | เรียกเรือดูเข้าของแล้วร้องขอ
|
ร้องเรียกเรือเราไว้ก็ไม่รอ | | กลัวขี้ขอซุกซนจะค้นเรือ
|
|
|
๏ มะตะบึงลุถึงที่ท้ายย่าน | | เขาเรียกบ้านไอ้เดาะช่างเพราะเหลือ
|
ไม่รู้จักชาวบ้านและว่านเครือ | | จนออกเบื่อสุดจะร่ำด้วยตำบล
|
|
|
๏ ถึงบ้านซอซอสีไม่มีเสียง | | ฟังสำเนียงไม่สนัดให้ขัดสน
|
คิดถึงหีบเพลงไขมีไกกล | | เป็นแยบยลย้ายเพลงวังเวงใจ
|
สงสารแต่ซอสีไม่มีสาย | | จะยักย้ายเรื่องร้องทำนองไหน
|
มโหรีปี่พาทย์นิราศไกล | | ต่อกลับไปจึงจะซ้อมให้พร้อมมือ
|
|
|
๏ ครั้นมาถึงบ้านกล้วยระทวยจิต | | นั่งพินิจนึกให้ฤทัยหวาม
|
เห็นบ้านช่องวัดวาพระอาราม | | นิคมคามเคียงกันเป็นหลั่นไป
|
|
|
๏ ถึงสุพรรณพาราเวลาเช้า | | ก็ตรงเข้าจอดท่าที่อาศัย
|
ต่างแต่งตัวทั่วไปด้วยทันใด | | ประแจไขหีบตราออกมาวาง
|
เชิญขึ้นใส่หีบทองทั้งสองฉบับ | | น้อมคำนับตราบัตรไม่ขัดขวาง
|
ยกดำเนินเชิญมาศาลากลาง | | ตามเยี่ยงอย่างประเพณีเคยมีมา
|
ทั้งพระหลวงกรมการขึ้นศาลพร้อม | | ต่างนอบน้อมเรียงรายทั้งซ้ายขวา
|
พระปลัดกรมการให้อ่านตรา | | ฟังราคาพิกัดตัดประทวน
|
แล้วบาดหมายรายความตามตำแหน่ง | | ใครขัดแขงผิดชอบให้สอบสวน
|
แล้วมอบให้หมื่นพรหมตามสมควร | | ไม่ผิดผวนเรียกร้องตามท้องตรา
|
ได้บาดหมายเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง | | ลงมายังเรือพลันด้วยหรรษา
|
ครั้นเย็นค่ำย่ำแสงพระสุริยา | | ทัศนานั่งดูเมืองสุพรรณ
|
ดูโรยร่วงแรมร้างน่าสังเวช | | ดังประเทศแถวป่าพนาสัณฑ์
|
พฤกษาชาติแซกแซมขึ้นแกมกัน | | อเนกนันต์เล็กใหญ่ไม้นานา
|
คืนวันนั้นจันทร์เพ็งเปล่งประเทือง | | ดาราเรืองเรียงรายพรายเวหา
|
ไปไหว้เจ้าหลักเมืองเรืองศักดา | | ตั้งบูชาบัตรพลีพลีกรรม
|
น้อมคำนับอภิวาทประกาศว่า | | ขอเทวาช่วยชับอุปถัมภ์
|
อย่าให้ขาดทุนรอนอากรนำ | | ทั้งทางน้ำทางบกอย่าปกบัง
|
ใครบังไร่ไว้ไหนช่วยไปจับ | | เอาค่าปรับให้สมอารมณ์หวัง
|
ขอให้เรือลูกค้ามาประดัง | | จะเก็บทั้งค่าตลาดอย่าขาดทุน
|
ครั้นไหว้แล้วกลับมานิทราหลับ | | จนเดือนลับลำเนาภูเขาขุน
|
เจ้าหลักเมืองเรืองศักดาช่วยการุณ | | มาค้ำจุนจิตนั้นให้ฝันไป
|
ว่าย่านางนาวานั้นมาบอก | | กำไรออกมั่นคงอย่าสงสัย
|
บอกว่าเรือที่ขี่นั้นมีชัย | | ได้กำไรค้าขายมาหลายคราว
|
ให้แลเห็นรูปร่างของนางไม้ | | งามวิไลแลละมุนพึ่งรุ่นสาว
|
อร่ามเรื่องเครื่องประดับดูวับวาว | | พอฟ้าขาวหายวับไปกับตา
|
ประจักษ์จำความฝันไว้มั่นแม่น | | ให้สุดแสนสมมาดปราถนา
|
สังเกตดูฤกษ์ยามตามเวลา | | ต้องตำราความฝันขยันดี
|
ควรจะให้ชื่อนามตามโฉลก | | ชัยโชคชันษาในราษี
|
ด้วยย่านางนาวาเป็นนารี | | ให้ชื่อมณีสาครขจรนาม
|
จงถาวรพูสวัสดิ์อย่าขัดข้อง | | ให้เงินทองมาเองอย่าเกรงขาม
|
ให้อยู่ดีกินดีอย่ามีความ | | จงงดงามพักตรานายอากร
|
ครั้นเสร็จตั้งชื่อนามตามตำหรับ | | ชวนกันจับการระดมสมพัตสร
|
เอาหมายนำป่าวประกาศราษฎร | | ให้แน่นอนแนะนำทุกกำนัน
|
ต่างอำเภอต่างหาไม้วาวัด | | เสมียนจัดจดบาญชีขมีขมัน
|
เอารุ้งแวงมาประมูลแล้วคูณกัน | | คิดผ่อนผันออกได้เป็นไร่งาน
|
ให้เรียกไร่ละสลึงจนถึงบาท | | พิกัดขาดมากมายหลายสถาน
|
ก็ต่างคนต่างจำได้ชำนาญ | | เสมียนอ่านบาญชีเขียนฎีกา
|
กำนันป่าวชาวบ้านทุกย่านแขวง | | ไม่ขัดแข้งชายหญิงวิ่งมาหา
|
ที่เสียแล้วไปบ้างที่ยังมา | | บ้างมีตราคุ้มห้ามตามกระทรวง
|
ต้องเชิดตรามาดูรู้สำเหนียก | | ก็ไม่เรียกค่าไร่กับไพร่หลวง
|
บ้างเขียนดำทับแดงแปลงในดวง | | ครั้นทักท้วงไล่เลียงก็เพลี่ยงพลำ
|
ไม่รู้จักมุลนายว่าซ้ายขวา | | มีแต่ตราพูดปากถลากถลำ
|
ครั้นไล่จนวนวงไม่คงคำ | | ก็จับจำปรับปรุงถลุงเอา
|
ที่ลางคนบังไร่ไว้ลี้ลับ | | เขานำจับเจ็บใจดั่งไฟเผา
|
ต้องเสียเงินยุบยับนั่งสับเงา | | เขาปรับเอาสามต่อต้องงอไป
|
ที่ไม่มีเงินเสียละเหี่ยละห้อย | | มาสำออยอ้อนวอนก็ผ่อนให้
|
ข้างขี้ตระหนี่ถี่เหมือนทำเชือนไช | | มิใคร่ให้ค่าที่เที่ยวหนีตัว
|
ที่ลางคนข้างเย็นยังเป็นหม้าย | | ค่ำลงกลายกลับหนีไปมีผัว
|
เห็นเขามีตราภูมิได้คุ้มตัว | | พอเป็นรั้วคุ้มไร่ได้สบาย
|
ที่ลางคนมีตราอาสาเขา | | เขาไม่เอาเป็นผัวยิ่งมัวหมาย
|
เฝ้าเวียนแบกตระบอกตราหน้าไม่อาย | | เป็นผู้ชายหญิงชังแล้วยังงม
|
ที่ลางคนเคืองข้องคอยฟ้องผัว | | จะออกตัวมิให้อยู่เป็นคู่สม
|
หมายจะหาชายอื่นมาชื่นชม | | ให้หมื่นพรหมจับตราของสามี
|
เราไม่จับกลับเก้อเขยอเปล่า | | รู้ว่าเราไม่คบก็หลบหนี
|
เป็นหลายอย่างต่างกันขันเต็มที | | เรียกค่าที่ทั่วเมืองรู้เรื่องราว
|
ที่ลางคนคิดประจบคบเสมียน | | ให้วนเวีบยพันผูกกับลูกสาว
|
จะให้เป็นพันธุ์พืชไปยืดยาว | | เพื่อขอกล่าวค่าไร่ให้เบาลง
|
บ้างก็มีผัวผิดจะคิดใหม่ | | ให้ชอบใจน้ำจิตคิดประสงค์
|
มันเล่นเอาเจ้าเสมียนเจียนจะงง | | แทบจะหลงเลยอยู่เมืองสุพรรณ
|
ที่ลางคนเฒ่าแก่ก็แต่ร่าง | | ใจนั้นอย่างสาวน้อยพลอยกระสัน
|
เอากะลาดำดำเข้าทำฟัน | | พอแก้กันแก้มห่อล่อผู้ชาย
|
เห็นเนื้อหนังเหี่ยวแห้งเอาแป้งผัด | | แล้วนั่งคัดไรจุกให้เฉิดฉาย
|
กลัวแก้มตอบอมหมากไม่อยากคาย | | ไม่เจียมกายเลยว่าแก่ยังแสงอน
|
ที่ลางคนมีท้องทำป้องปิด | | เพราะคิดผิดพาเหม็นเหมือนเป็นหนอน
|
ที่ลางคนจนจิตคิดยอกย้อน | | เข้าโรงบ่อนเบี้ยถั่วเล่นพัวพัน
|
ลงจำนำทำดิ้นจนสิ้นท่า | | กะโลกะลาล่อนเลี่ยนทั้งเชี่ยนขัน
|
เพราะเมียชั่วผัวหามาไม่ทัน | | ทะเลาะกันค่ำเช้าเพราะข้าวแพง
|
ถ้าเมียดีแล้วที่ไหนจะได้ยาก | | ต้องลำบากแต่จะกินสิ้นแสวง
|
จนยากจนซนดิ้นแทบสิ้นแรง | | เงินทองแดงเฟื้องไพก็ไม่มี
|
กินแต่ผักบุ้งเปล่าจนเศร้าซูบ | | ดูผิดรูปผิดร่างเหมือนอย่างผี
|
จนผักบุ้งทุ่งนาหาเต็มที | | แทบชีวีจะไม่รอดตลอดดอน
|
ที่เงินทองมีบ้างก็ยังชั่ว | | ได้เลี้ยงตัวไปตลอดไม่ถอดถอน
|
ที่ท่านเป็นญาติกานายอากร | | ไม่ทุกข์ร้อนข้าวปลาพอหากิน
|
เป็นผู้ใหญ่ใจดีอารีอารอบ | | ก็ชิดชอบชื่นชมสมถวิล
|
แต่งสำรับคาวหวานให้ทานกิน | | ไม่ราคินเปรียบปานกับมารดา
|
คิดถึงคุณอุ่นเกล้าทุกเช้าค่ำ | | ขอให้จำเริญสุขอย่าทุกขา
|
เคยพร้อมพรั่งนั่งเล่นเจรจา | | ตามประสากันเคยไม่เฉยเชือน
|
ได้อาศัยไปมาเป็นผาสุก | | ระงับทุกข์ที่อื่นไม่ชื่นเหมือน
|
ทั้งบ่าวไพร่ใช้ชอบออกรอบเรือน | | ลือสะเทื้อนชื่อดังทั้งสุพรรณ
|
ใช่จะแกล้งยกยอแต่พอชื่น | | ทุกวันคืนคิดถึงคุณไม่หุนหัน
|
สุดจะรื้อเรื่องราวกล่าวรำพัน | | ให้เฟือนฟั่นด้วยธุระปะทะทรวง
|
ถึงเดือนสิบรีบเร่งให้เร็วรวด | | จะส่งงวดไปยังพระคลังหลวง
|
ก็ชวนกันตักเตือนเพื่อนทั้งปวง | | ให้เลยล่วงรีบรุดไปสุดแดน
|
|
|
๏ ถึงเขาพระท่าช้างบ้านนางบวช | | จนเจ็บปวดบุกป่าระอาแสน
|
ไปเก็บเงินบางขวากก็ยากแค้น | | เหมือนแคะแค่นขอทานรำคาญใจ
|
ที่บ้านโน้นดอนกระบื้องเป็นเมืองป่า | | ใครแปลกหน้าขึ้นไปมิใครได้
|
ต้องตัดตอนแยกย้ายขายเขาไป | | ด้วยกลัวภัยเจ็บไข้ที่ร้ายแรง
|
ข้างสีโลธรรมดาเป็นป่าใต้ | | ก็ขายให้พวกจีนพอสิ้นแขวง
|
เที่ยวเรียกเงินสมทบประจบประแจง | | เป็นสองแห่งทั้งตลาดไม่ขาดทุน
|
ส่งสมทบครบถ้วนจำนวนหนึ่ง | | ที่ค้างขึงบาญชีคิดสี่หุน
|
เฟื้องสลึงถึงชั่งแล้วตั้งคูณ | | บาญชีวุ่นวนเวียนเสมียนคราง
|
จนถึงเดือนสิบเบ็ดหาเสร็จไม่ | | จะเร่งให้เร็วรัดก็ขัดขวาง
|
สมพัตสรตอนบกยังตกค้าง | | จะไว้วางใจใครก็ไม่ลง
|
แต่เที่ยวรัดทุ่งท่าเหมือนหน้าน้ำ | | ทั้งสองลำล่องเลื่อนจนเฟือนหลง
|
ไปถึงบ้านปากไห่เหมือนใจจง | | แล้ววกวงออกทุ่งเที่ยวมุ่งมอง
|
เห็นบัวหลวงบัวขมน่าชมดอก | | ช่างงามงอกนับแสนดูแน่นหนอง
|
เห็นบัวขาวขาวล้วนนวลลออง | | เหมือนบัวทองที่กระถางสำอางตา
|
เห็นสัตบุษผุดำพ้นขึ้นบนน้ำ | | เหมือนจะร่ำเรียกชวนให้หวนหา
|
เห็นบัวเผื่อนบัวผันสันตวา | | เอามือคว้าฉวยฉุดก็หลุดลอย
|
เห็นผักตบตับเต่าเหล่าสาหร่าย | | ปลาก็ว่ายเวียนวนปนปูหอย
|
ผักกะเฉดแพงพวยสลวยลอย | | ปลาน้อยน้อยแอบแฝงกับแพงพวย
|
น้ำก็ใสไหลแลเห็นลึกล้ำ | | ปลาก็คล่ำว่ายกระดิบน่าหยิบฉวย
|
บุษบงส่งกลิ่นมารินรวย | | หอมระหวยโหยหาให้อาวรณ์
|
แลดูทุ่งทุ่งกว้างว้างวิเวก | | เห็นทิวเมฆกลุ่มเกลื่อนเลื่อนสลอน
|
พระสุริยงลงลับยุคุนธร | | พระจันทร์จรเจ็ดค่ำเป็นสำคัญ
|
เห็นพระจันทร์วงแหว่งตะแคงเหนือ | | เหมือนรูปเรือลอยขวางนางสวรรค์
|
พระอังคารเข้าเรียงเคียงพระจันทร์ | | ตำรานั้นมีอยู่แต่บูราณ
|
ถูกชตาราศีผู้ดีไพร่ | | ว่าจะได้คู่ชมภิรมย์สมาน
|
เพราะพระจันทร์จะสบพบอังคาร | | ไม่ช้านานกำหนดพอหมดเดือน
|
ถ้าผู้ชายทายว่าคู่อยู่ข้างเหนือ | | เป็นว่านเครือมิตรสหายละม้ายเหมือน
|
ไม่สู้มีมิสู้จนเป็นพลเรือน | | จะมีเพื่อนมิตรรักช่วยชักจูง
|
ถ้าผู้หญิงทายว่าคู่อยู่ทิศใต้ | | ท่านผู้ใหญ่อุปถัมภ์ค้ำให้สูง
|
มีวงแววแพร้วพร่างเหมือนหางยูง | | ทั้งเพื่อนฝูงพี่น้องจะต้องใจ
|
ในตำราว่าช้าสักเดือนครึ่ง | | คงเป็นหนึ่งมั่นคงอย่าสงสัย
|
ตำราหนึ่งทายว่ามาแต่ไกล | | มิใช่ไพร่เชื้อวงศ์เป็นพงศ์พราหมณ์
|
รู้วิสัยไตรเพทวิเศษสุด | | แล้วถือพุทธศาสนาภาษาสยาม
|
ตำราทายหลายอย่างในทางความ | | เห็นจะงามบ้างสักคู่ไม่รู้เลย
|
แต่ตัวเราเปล่าดายไม่หมายคู่ | | เป็นหมอดูรู้แยบคายทายเฉยเฉย
|
ไม่ประสงค์จงใจที่ไหนเลย | | เพราะว่าเคยคิดผิดเหมือนติดตัง
|
เป็นหมอดูรู้สิ้นทั้งดินฟ้า | | ยังไม่พาตัวลอยกลับถอยหลัง
|
หากพระเดชพระคุณหนุนประทัง | | มีรับสั่งโปรดมาให้หากิน
|
ใครไม่รู้ดูน่าจะผาสุก | | แต่ความทุกข์เหมือนไฟอยู่ในหิน
|
ถ้าเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นดิน | | ไม่ทำกินเลยให้ยากลำบากกาย
|
นี่สุดแสนแค้นขัดเที่ยวลัดทุ่ง | | ค่ำแล้วรุ่งแรมไปน่าใจหาย
|
ไม่ได้พบบ้านเรือนเพื่อนสบาย | | ทั้งกลิ่นอายก็ไม่มีมาวี่แวว
|
ที่สุพรรณบุรีก็มีมาก | | ทั้งสองฟากฟั่นเฝือล้วนเชื้อแถว
|
เราชั่วดีมีอยู่เขารู้แกว | | ผิดเสียแล้วแลดูแต่หูตา
|
เที่ยวเรียกเงินรายค้างก็ขวางขัด | | จนพระสงฆ์ทุกวัดออกวรรษา
|
เขาทำบุญสุนทานชวนกันมา | | บ้างศรัทธาทอดกฐินด้วยยินดี
|
มีเรือแห่แลงามตามบ้านนอก | | ผู้หญิงออกพายเรือใส่เสื้อสี
|
แต่ประกวดอวดงามกันตามมี | | ดูก็ดีตามเพศประเทศเมือง
|
แล้วไหว้พระวัดฟ่าน่าสนุก | | ที่ความทุกข์รันทดค่อยปลดเปลื้อง
|
มาประชุมกันทั่วพวกรั้วเมือง | | ดูแน่นเนื่องแนวน้ำออกคล่ำไป
|
เดือนสิบสองขึ้นเจ็ดค่ำเคยสำเหนียก | | มาพร้อมเพรียกประทับท่าเคยอาศัย
|
เป็นพวกพวกหญิงชายสบายใจ | | ไม่มีภัยแผ้วพ้นพวกคนพาล
|
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงพระสุริย์ศรี | | พวกนารีร้องเพลงวังเวงหวาน
|
วิเวกโหวยโหยไห้อาลัยลาญ | | เสียงประสานเซ็งแซ่ร้องแก้กัน
|
บ้างร้องส่งปี่พาทย์ระนาดฆ้อง | | เสียงหนอดหน่องโหน่งเหน่งเพลงขันขัน
|
มโหรีรี่เรื่อยเฉื่อยฉ่ำครัน | | ทั้งโอดพันไพเราะเสนาะนวล
|
ได้ฟังเสียงเอียงดูแล้วดูหน้า | | สำคัญว่าเสียงนุชที่สุดสงวน
|
แม่เคยร้องสักวาวิญญายวน | | คิดว่าชวนกันร้องเที่ยวมองดู
|
พบแต่พวกผู้อื่นออกดื่นดาษ | | นึกอนาถน้ำจิตคิดอดสู
|
ถ้าพบพวกเรามั่งจะพรั่งพรู | | ไม่ต้องดูปากเขาของเรามี
|
เคยบอกบทสักวานิจจาเอ๋ย | | ทุกคืนเคยปรีดิ์เปรมเกษมศรี
|
ถ้าเหาะได้จะไปพามาเดี๋ยวนี้ | | จะให้มีสักวาที่หน้าจวน
|
จะบอกบทบูชาวัดป่าบ้าง | | ให้สว่างอารมณ์เมื่อลมหวน
|
โอ้จนใจไม่พบประสบนวล | | ใครจะชวนชื่นใจก็ไม่มี
|
จะดูดาวดาวด็เลื่อนเดือนก็คล้อย | | ต่างเลื่อนลอยลับฟ้าในราศี
|
เหมือนแลลับพักตราทุกราตรี | | ไม่รู้ที่ที่จะชื่นสักคืนวัน
|
|
|
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองขึ้นส่องฟ้า | | ต่างตื่นตาแต่งอวดกันกวดขัน
|
เป็นวันพระแปดค่ำที่สำคัญ | | บ้างจัดสรรค์เครื่องบูชาบรรดามี
|
ชวนกันลงนาวาแล้วคลาเคลื่อน | | ออกกลุ้มเกลื่อนยัดเยียดกันเสียดสี
|
อึกกระทึกกึกก้องท้องนที | | จำเพาะมีลำคลองล่องเข้าไป
|
กระทั่งถึงวัดผ่าพระอาวาส | | ประชาชาติมีจิตคิดเลื่อมใส
|
เอาธูปเทียนบุปผาสุมาลัย | | ก็ตั้งใจจบหัตถ์นมัสการ
|
ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแออัด | | ครั้นถึงวัดเข้าไปในวิหาร
|
ต่างเคารพนบประนมแล้วก้มกราน | | บ้างอธิษฐานตามในน้ำใจปอง
|
ที่ศรัทธาจริงจริงก็นิ่งแน่ว | | เหมือนดวงแก้วเก้าสีไม่มีหมอง
|
ที่หนุ่มสาวคราวรุ่นฉุนคะนอง | | คอยมุ่งมองปรารถนาจะหากัน
|
ที่ลางคนปรารถนาจะหาคู่ | | ให้ได้อยู่ร่วมห้องประคองขวัญ
|
ไปเกิดไหนขอให้ประสบกัน | | ร่วมสวรรค์ร่วมพิมานร่วมบ้านเมือง
|
บ้างปรารถนารูปงามทรามสวาท | | ให้ผุดผาดผิวผ่องละอองเหลือง
|
ขอให้ยศศักดิ์สูงขึ้นรุ่งเรือง | | ให้ลือเลื่องอำนาจทุกชาติไป
|
|
|
๏ ครั้นไหว้พระเสร็จสรรพคำนับน้อม | | สะพรั่งพร้อมรายเรียงเคียงไสว
|
บ้างเที่ยวชมวัดวาป่าเลไลย | | บ้างกราบไหว้เวียนวงชมองค์พระ
|
สังเกตดูทั่วองค์ทรงสัณฐาน | | สูงประมาณเจ็ดวาสาธุสะ
|
ฝาผนังพังผุดูครุคระ | | เอาปูนปะปิดไว้พอได้การ
|
พระวัดป่าเลไลยนี้ใครสร้าง | | ดูรกร้างโรยราน่าสงสาร
|
เป็นพระปั้นปิดทองของบูราณ | | เห็นนานหนักหนากว่าร้อยปี
|
พระพาหาขวาซ้ายทลายหัก | | วงพระพักตรทองหมองไม่ผ่องศรี
|
ห้อยพระชงฆ์ลงเรียบระเบียบดี | | แล้วก็มีลิงช้างข้างละตัว
|
ช้างหมอบม้วนงวงจ้วงจบอยู่ | | ลิงก็ชูรวงผึ้งขึ้นท่วมหัว
|
พื้นผนังหลังคาก็น่ากลัว | | ฝนก็รั่วรดอาบเป็นคราบไคล
|
พวกข้าพระวัดนี้ก็มีอยู่ | | ไม่เหลียวดูพระบ้างไปข้างไหน
|
จนวันวารกรื้อออกปื้อไป | | ไม่มีใครถากถางจึ่งร้างโรย
|
โคกกระสุนมูลมากเหมือนขวากทิ้ง | | ยอกผู้หญิงร้องกรีดเสียงหวีดโหวย
|
มันน่าเอาเลขวัดมามัดโบย | | ไม่เก็บโกยเกียจคร้านในการบุญ
|
ถ้าเรามีวาสนาจะมาสร้าง | | มิให้ร้างรกเรื้อจะเกื้อหนุน
|
เดี๋ยวนี้จนเต็มทีไม่มีทุน | | จะทำบุญก็เสียดายหมายมีเมีย
|
เป็นศรัทธาตัวเต่าเหมือนเขาว่า | | นึกศรัทธาแล้วก็หายละลายเสีย
|
เป็นศรัทธาแทงถั่วทั้งผัวเมีย | | เก็บหัวเบี้ยกันในมุ้งจนรุ่งราง
|
ไปเบื้องหน้าเห็นว่าอาวาสนี้ | | จะเป็นที่ถิ่นอยู่หมู่เสือสาง
|
ไอ้สงสารวัดป่าจะราร้าง | | ใครจะสร้างสืบไปก็ไม่มี
|
เดชะบุญเราได้มาไหว้นบ | | เหมือนได้พบพานองค์พระชินศรี
|
ด้วยเป็นพระแต่บูราณนานเต็มที | | ย่อมเป็นที่นับถือลือมานาน
|
แต่ก่อนเป็นบ้านเมืองเรื่องเณรแก้ว | | อันเลิศแล้วเสภาเขาว่าขาน
|
เมื่อบวชอยู่วัดป่ากับอาจารย์ | | เทศน์กุมารมัทรีมีวิชา
|
เมื่อครั้งเป็นหนุ่มแน่นแสนกระสัน | | ไปติดพันพิมน้อยละห้อยหา
|
เป็นต้นเรื่องแรกเริ่มเดิมเสภา | | ทั้งวัดป่าก็ยังมีที่สำคัญ
|
แต่ปางก่อนเมืองนี้มีกษัตริย์ | | ผ่านสมบัติปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
คือน้องท้าวอู่ทองครองสุพรรณ | | ท่านเล่ากันเนืองเนืองเรื่องก็มี
|
เห็นเชิงเทินเนินวังยังปรากฏ | | ชนบทขอบเขตบ้านเศรษฐี
|
ภูมิประเทศเขตขัณฑ์ทุกวันนี้ | | กลายเป็นที่ท้องนาป่าระกำ
|
พระเจดีย์วิหารบูราณสร้าง | | ก็โรยร้างร่วงหรุบคิดอุปถัมภ์
|
ทั้งพาราอาภัพยับระยำ | | สุดจะร่ำเรื่องว่าน่าเสียดาย
|
น่าสงสารเมืองสุพรรณทุกวันนี้ | | ที่มั่งมีนั้นก็มากยากก็หลาย
|
สุดจะร่ำคำเปรียบเทียบภิปราย | | กลืนน้ำลายติดคอแล้วพ่อคุณ
|
เหมือนหนึ่งเล่นหมากรุกสนุกจิต | | เดินไม่คิดก็เสียเบี้ยหน้าขุน
|
กล่าวแต่พอเบียดเสียดละเมียดละมุน | | จงการุญถ้อยคำที่รำพัน
|
ถ้าหยาบคายคำไหนอภัยโทษ | | อย่าขึ้งโกรธบทกลอนช่วยผ่อนผัน
|
จบนิราศร่ำเรื่องเมืองสุพรรณ | | คิดไม่ทันก็อย่าว่าฉันบ้าเลย ฯ
|
| | |
|