นิราศลà¸à¸™à¸”à¸à¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หม่อมราโชทัย
เป็นส่วนหนึ่งใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๕
บทประพันธ์
อธิบายตำนานนิราศลอนดอน
เมื่อพิมพ์สมุดเล่มนี้ แต่เรกคิดว่าจะพิมพ์แต่จดหมายเหตุของหม่อมราโชทัย ครั้นพิมพ์แล้วส่งสมุดตัวอย่างไปถวายพระเจ้านาง ฯ (๑) ทอดพระเนตร มีรับสั่งมาว่าหม่อมราโชทัยได้แต่งเรื่องนิราศลอนดอนเนื่องจากจดหมายเหตุนี้มีอยู่อีกเรื่อง ๑ เหมือนเปนหนังสือชุดเดียวกันทรงพระราชดำริห์เห็นว่าควรจะพิมพ์หนังสือนิราศลอนดอนในสมุดเล่มนี้ด้วยผู้อ่านจะได้อ่านหนังสือซึ่งหม่อมราโชทัยแต่งในครั้งนั้นให้บริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้จึงได้พิมพ์นิราศลอนดอนเพิ่มเข้าในสมุดเล่มนี้อีกเรื่อง ๑
หนังสือนิราศลอนดอนนี้ ปรากฎในจดหมายเหตุของหมอบรัดเลว่า หม่อมราโชทัยแต่งภายหลังจดหมายเหตุระยะทางราชทูตไทยไปลอนดอน ๒ ปี แต่งแล้วขายกรรมสิทธิ์การพิมพ์ครั้งแรกให้หมอบรัดเลเมื่อปีระกา พ.ศ.๒๔๐๔ หมอบรัดเลลงบันทึกว่าเปนครั้งแรกที่ได้ซื้อขายกรรมสิทธิ์หนังสือกันในเมืองไทย.เรื่องนิราศลอนดอน ตั้งแต่พิมพ์ให้ปรากฎก็ยกย่องกันมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ว่าแต่งดีถึงชั้นเอกในหนังสือกลอนไทย ถึงนิราศของสุนทรภู่ เรื่องที่นับว่าเปนอย่างดีก็ไม่ดีกว่านิราศลอนดอน เห็นจะเปนด้วยประหลาดใจกันว่า หม่อมราโชทัยสิเปนนักเรียนภาษาฝรั่งทำไม จึงแต่งกลอนไทยได้ดีถึงเพียงนั้น จึงมีผู้สงสัยว่านิราศลอนดอนนี้หม่อมราโชทัยมิได้แต่งเอง พระสารสาสน์พลขันธ์ สมบุญ ได้เปนที่ขุนมหาสิทธิโวหาร อาลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ บอกแก่ข้าพเจ้าว่า หม่อมราโชทัยได้วานขุนสารประเสริฐ นุช แต่ง แลยังมีผู้พูดกันอีกอย่าง ๑ ว่าหม่อมราโชทัยวานให้สุนทรภู่แต่ง อ้างว่าเมื่อสุนทรภู่ตาย เขาพบกากร่างนิราศลอนดอนที่บ้านสุนทรภู่ เสียงโจทสอดแคล้วเรื่องนิราศลอนดอนนี้เคยได้ยินมาแต่ก่อนเนือง ๆ จนเมื่อก่อนจะพิมพ์สมุดเล่มนี้ยังมีผู้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า เคยได้ยินเขาพูดกันว่า นิราศลอนดอนนั้นหม่อมราโชทัยหาได้แต่งเองไม่ ข้าพเจ้าจึงเอาหนังสือนิราศลอนดอนมาอ่านพิจารณาดูอิกครั้ง ๑ อ่านไปไม่เท่าใดก็เชื่อแน่แก่ใจว่า หนังสือเรื่องนี้หม่อมราโชทัยแต่งเอง หาได้วานผู้ใดแต่งไม่ ถ้าจะได้อาศรัยขุนสารประเสริฐ นุช บ้าง ก็เห็นจะเพียงวานให้ช่วยอ่านตรวจแก้ถ้อยคำบ้างเล็กน้อย ข้อที่ว่าวานสุนทรภู่แต่ง น่าจะเปนด้วยสังเกตเห็นกลอนในนิราศลอนดอนคล้ายสำนวนกลอนสุนทรภู่มีอยู่หลายแห่ง เช่นเมื่อราชทูตทูลลากลอนตรงนั้นว่า.
“พระทรงจิ้มจันทน์เจิมเฉลิมวิลาศ แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน”
กลอนเช่นนี้เปนกลอนสุนทรภู่แท้ แต่ถ้าสังเกตต่อไปในที่อื่นจะเห็นได้ว่า ที่จริงนั้นหม่อมราโชทัยเอากลอนสุนทรภู่เปนแบบอย่างแต่งตามด้วยความนับถือ แม้คำสำผัสก็พยายามรับแต่ตรงคำที่ ๓ ตามอย่างกลอนสุนทรภู่ แต่ความจริงสุนทรภู่อยู่มาในรัชกาลที่ ๔ ไม่กี่ปีเห็นจะตายเสียก่อนแต่งนิราศลอนดอนหลายปีแล้ว.
หลักฐานที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหม่อมราโชทัยแต่งเองนั้น เพราะถ้าผู้อื่นแต่ง จะเปนสุนทรภู่ก็ตาม หรือขุนสารประเสริฐ นุช ก็ตาม คงจะต้องเอาจดหมายเหตุของหม่อมราโชทัยที่พิมพ์ข้างต้นสมุดเล่มนี้เปนหลัก แต่งกลอนตามความที่ปรากฎในจดหมายเหตุนั้นไม่นอกออกไปได้ แต่ในนิราศลอนดอน ถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่ามีความแปลกออกไปจากจดหมายเหตุหลายแห่ง มิใช่แต่ที่ชมนกชมปลา ซึ่งปล่อยให้กลอนพาไปเท่านั้น ยังมีความจริงซึ่งแต่งได้แต่ด้วยรู้เอง เห็นเองอยู่ในนิราศลอนดอน อันมิได้ปรากฎในตัวจดหมายเหตุอีกมากมายหลายแห่ง ใช่วิสัยที่ผู้แต่งตามหนังสือจดหมายเหตุจะว่าได้อย่างนั้นข้อนี้เปนหลักฐานมั่นคงว่านิราศลอนดลอนนี้หม่อมราโชทัยแต่งเอง สมดังที่บอกไว้ในโคลงบานแพนกว่า
“ตัวเราเกลากล่าวเกลี้ยง | กลอนไข | ||
คือหม่อมราโชทัย | ที่ตั้ง | ||
แสดงโดยแต่จริงใจ | จำจด มานา | ||
ห่อนจักพลิกแพลงพลั้ง | พลาดถ้อยความแถลง” | ||
เพราะฉนั้น หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร ณอยุธยา) ไม่ใช่เปนแต่ผู้แต่งหนังสือดีในทางความเรียง ซึ่งจะเห็นได้ในจดหมายเหตุที่พิมพ์ตอนต้นสมุดเล่มนี้อย่างเดียว ยังเปนกวีที่สมควรจะยกย่องว่าเปนชั้นสูงด้วยอิกอย่าง ๑ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายได้อ่านหนังสือนิราศลอนดอนตอนต่อไปในสมุดเล่มนี้แล้ว จะเห็นเปนอย่างเดียวกันทุกคน.
แท้จริง ถึงมีผู้สอดแคล้วความสามารถของหม่อมราชโชทัยอยู่บ้างดังกล่าวมา แต่ผู้ที่ยกย่องนับถือความสามารถของหม่อมราโชทัยนั้นมากกว่ามาก มีผู้ที่ทราบว่าจะพิมพ์สมุดเล่มนี้แนะนำแก่ข้าพเจ้าหลายคนทั้งเปนผู้คนที่ได้เคยรู้จักตัวหม่อมราโชทัยแลผู้ที่ได้เคยเห็นแต่โวหารต่างตัวหม่อมราโชทัย ว่าควรพิมพ์รูปของหม่อมราโชทัยให้ปรากฎในสมุดเล่มนี้ด้วย รูปของหม่อมราโชทัยมีอยู่ในหอพระสมุด จึงได้ให้จำลองพิมพ์ไว้ในตอนนี้ ด้วยเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะพอใจได้เห็นหม่อมราโชทัยด้วยกันมาก รูปนี้หม่อมราโชทัยถ่ายเมื่อกลับมาจากยุโรปแล้วหลายปี จึงกลับไว้ผมมหาดไทยตามประเพณีในสมัยนั้น.
( ๑ ) คือสมเด็จพระปิตุฉาเจ้า สุขุมาลย์มารศรี พระอัครราชเทวี
นิราศลอนดอน
๏ นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล | |||
จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิน | เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย | ||
ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช | ไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย | ||
โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน | อาสาไทจอมจักรหลักนคร | ||
มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำ | แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร | ||
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน | กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล | ||
ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์ | จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน | ||
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวน | อย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย | ||
ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล | ||
ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไล | ล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง | ||
เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์ | ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง | ||
เดินเข้าในราชฐานพระลานกลาง | ดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล | ||
ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาด | เดียรดาษธงทิวปลิวไสว | ||
พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชย | จะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ | ||
๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์ | เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน | ||
อุปทูตที่สองรองถัดนั้น | เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา | ||
อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ | ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า | ||
แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชา | ส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง | ||
จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์ | บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง | ||
ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทาง | ต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน | ||
คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์ | ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน | ||
ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ | ||
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออก | พระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย | ||
หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาใน | บังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร | ||
พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศ | แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน | ||
เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร | จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน | ||
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้ | ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล | ||
แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกล | พอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา | ||
สมถวิลภิญโญสโมสร | รับพระพรแหวกวางหว่างเกศา | ||
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา | แล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย | ||
จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์ | เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย | ||
ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบาย | แต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา | ||
แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศ | ล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา | ||
เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลา | คนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม | ||
เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อย | เข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม | ||
บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววาม | ประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี | ||
เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษ | ล้วนทองเทศงามงดดูสดสี | ||
นุ่งยกทองทำมาแต่ตานี | ครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน | ||
ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์น | ประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น | ||
อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณ | ทานตวันพัดโบกระบายลม | ||
ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับ | ก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม | ||
เปนสง่างามกระบวนควรจะชม | ทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา | ||
ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำ | ปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา | ||
ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชา | พร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร | ||
พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋ง | ก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน | ||
ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาล | สุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี | ||
จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่น | ไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี | ||
ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มี | ช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ | ||
๏ แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตก | คิดชนกชนนีมิรู้หาย | ||
ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลาย | อิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร | ||
นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่น | แรกรักรื่นจำไปไกลสมร | ||
จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทร | ทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา | ||
แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาท | ควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา | ||
ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยา | มีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา | ||
ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาท | จึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา | ||
อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซา | ค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร | ||
ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่ม | ท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร | ||
สู้ปลิดรักหักใจครรไลจร | ถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล | ||
ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกล้า | ลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน | ||
แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัล | จะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ | ||
ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตร | สุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้ | ||
ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไป | พอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ | ||
๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพัก | จอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน | ||
ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควัน | จนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ | ||
บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหาร | เสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว | ||
ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟ | ล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง | ||
ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถี | สุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง | ||
ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรือง | จะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย | ||
ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมอง | คิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย | ||
หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชย | ยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน | ||
เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่ง | ก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น | ||
เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครัน | นายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ | ||
อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับ | บ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ | ||
คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำ | สาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี | ||
ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่ | ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี | ||
จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรี | ต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ | ||
๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหาร | ให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง | ||
แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปัง | สนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ | ||
สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบ | ควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ | ||
โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือ | เหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย | ||
ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะ | กลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย | ||
สู้ดำรงกายเดินดำเนินกราย | เข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง | ||
ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึก | ดูคักคึกอลวนขนเข้าของ | ||
บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากอง | ที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง | ||
พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่ง | สิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง | ||
พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพัง | เฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม | ||
ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตร | แสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม | ||
แต่นี้นับวันไกลอาลัยงาม | จะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ | ||
๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ | จำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์ | ||
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน | ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี | ||
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ | ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่ | ||
สะกรูหันผันพัดในนัที | เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล | ||
ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับ | ฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน | ||
เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวน | ประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง | ||
พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้าย | เห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง | ||
คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวง | ดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง | ||
ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับ | จนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง | ||
เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทือง | พินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม | ||
กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขา | สล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม | ||
คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความ | ว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล | ||
อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศ | ดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส | ||
ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอ | แต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน | ||
จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตร | สุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน | ||
เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลิน | เรือก็เดินล่วงมาในสาคร | ||
แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ | เมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน | ||
พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน | เรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน | ||
ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุก | ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน | ||
หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียน | สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ | ||
สุริยงลงลับคิรีศรี | ได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ | ||
จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอ | แล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง | ||
ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วน | ไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง | ||
โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคอง | ไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล | ||
นั่งรำฦกนึงถึงคนึงโฉม | ยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล | ||
คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจ | จนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ | ||
ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้าย | ไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์ | ||
ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงัน | เขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ | ||
ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุด | ชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ | ||
เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำ | แล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี | ||
ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่น | มาตามแผนที่ทางหว่างวิถี | ||
พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวี | ทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก | ||
เจ็บระบมตรมในมิใคร่หาย | เจียนจะวายชีวีไม่มีสุข | ||
ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุก | เฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม | ||
ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรัก | ช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม | ||
สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออม | เห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ | ||
ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขก | เพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ | ||
ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวน | เมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา | ||
ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมร | ต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา | ||
ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมา | พอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง | ||
แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิด | จึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง | ||
ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึง | นอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์ | ||
ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระ | แต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร | ||
มาอ้างว้างอาทวาในสาคร | จะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง | ||
อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่ง | สุดประทังสุดทนกระมลหมาง | ||
สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทาง | สุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา | ||
ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่ว | เห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา | ||
คิดก็แค้นแสนเวทนาตา | ถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ | ||
ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่ | ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร | ||
โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญ | มาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน | ||
นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้าย | ยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน | ||
ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์ | อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย | ||
ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบ | ได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย | ||
อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบย | เมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง | ||
ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้า | โอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง | ||
ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวง | อยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ | ||
๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่ง | ให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา | ||
ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทา | เรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน | ||
กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาด | เห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน | ||
จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียน | ช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี | ||
ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึก | อึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี | ||
ถืออาวุธทำท่าจะราวี | กับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ | ||
ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผง | ควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร | ||
ขนกระสุนดินดำทำอาการ | จะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว | ||
บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่ง | ดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว | ||
แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัว | ชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี | ||
แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่น | เห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่ | ||
ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันที | ดูราวีอย่างทหารชาญทเล | ||
ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์ | แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส | ||
ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮ | จนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา | ||
สุริยงลงลับเหลี่ยมไศล | ศศิใสส่องสว่างกลางเวหา | ||
ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรา | รีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน | ||
พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อ | ฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น | ||
คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืน | กลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน | ||
ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัย | นาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน | ||
จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลน | เรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ | ||
๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาว | ระยะยาวในชลาล้วนผาเผิน | ||
บ้างผุดพ้นชลาธารเปนน่านเนิน | กำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญ | ||
ใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิด | กลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่น | ||
ล้วนศิลาดาระดะครุคระครัน | เมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำ | ||
มาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่าน | ทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำ | ||
มีหอคอยลอยโพยมโคมประจำ | เวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญา | ||
ค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์ | จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหา | ||
สักสี่โมงเศษสายได้เวลา | ก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์ | ||
ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่ง | เสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่ | ||
ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโร | ก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรอง | ||
ให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่ | ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมอง | ||
แล้วจัดเรือโบตงามตามทำนอง | โดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดี | ||
ให้มารับทูตไทยไปทั้งสาม | ข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่ | ||
ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรี | จะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ | ||
๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่ง | ด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมาย | ||
จึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกาย | แล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานี | ||
ถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่ง | ทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสี | ||
แขกชวามลายูชาวบุรี | เสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไป | ||
เจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับ | ต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัย | ||
ได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจ | ไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบ | ||
เป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยาม | เคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรป | ||
สิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบ | ควันตลบมืดมนท์อนธการ | ||
พวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอก | มีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหาร | ||
เสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวาน | กลองประสานรัวเร่งตะรังตัง | ||
พวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถ | ม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวัง | ||
สารถีตีขวับขับประดัง | ทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ล | ||
ถึงประทับกับบันไดเข้าในตึก | ดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็น | ||
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น | ไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการ | ||
แล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อน | ค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
อันตรายราคีไม่มีพาน | พวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัย | ||
อังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยม | แต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัย | ||
บ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจ | บ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความ | ||
พระพิเทศพานิชสนิทนัก | สามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยาม | ||
ภูวนาถโปรดปรานประทานนาม | ตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทย | ||
มาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่น | ด้วยความยินดีจิตต์พิสมัย | ||
แล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจ | หมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวัน | ||
ได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่ง | เขาตกแต่งต้อนรับดูขับขัน | ||
วันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณ | แมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญ | ||
ให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศ | บนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขิน | ||
ต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนิน | พินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียร | ||
ปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะ | เปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียน | ||
แถวถนนคนกวาดสอาดเตียน | ทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไป | ||
ครั้นถึงเขตรเคหาสารถี | หยุดพาชีรถเรียงเคียงไสว | ||
ทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทย | ริมบันไดสองข้างที่ทางจร | ||
คนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมาย | มีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อน | ||
อิกเภตราในมหาชโลทร | ถึงนครรู้ตรงธงสำคัญ | ||
ได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาด | แลประหลาดตึกรามงามขยัน | ||
แล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลัน | เจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับ | ||
ก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือ | แล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับ | ||
ธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับ | ครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจร | ||
ได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่น | ค่อมแช่มชื่นภิญโญสโมสร | ||
แต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากร | รวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลา | ||
ก็ชวนกันผันผายออกจากที่ | จรลีลงกำปั่นไม่หรรษา | ||
จะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุรา | อนิจจาจำใจต้องไกลเมือง | ||
แต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยาก | ยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลือง | ||
พี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคือง | ไม่เปล่าเปลืองปลิดปลดรทดทวี | ||
โศกกำสรวญจนจวนประจุสมัย | สกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษี | ||
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรี | กัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ | ||
๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอ | เปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่า | ||
จักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคา | กำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไป | ||
เข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวา | มีเกาะแก่งในมหาชลาไหล | ||
แต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจ | ด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรา | ||
มาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่าน | เปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนา | ||
ชื่อบุรียะกะตราชวาเนา | แต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดา | ||
กัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักร | เข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋า | ||
จึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญา | ฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจ | ||
ก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับ | ยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหว | ||
แล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทย | ให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรี | ||
ก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศ | เที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถี | ||
มีโรงหนึ่งขึงขังหลังนที | น้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็น | ||
แวะสนานธารสบายให้หายร้อน | ที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญ | ||
ทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปน | เลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากัน | ||
ครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับ | ก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์ | ||
เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครัน | จนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพราย | ||
เห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่อง | ล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขาย | ||
ผลาผลต่างต่างเอาวางราย | ดูหลากหลายผักปลาสารพัด | ||
กะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่น | ไว้เปนทุนกินไปได้ถนัด | ||
บ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัด | เผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเล | ||
แต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนา | ไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่ | ||
นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเร | ทำโมเยหน้ายู่ใบหูยาน | ||
บุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยม | ใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐาน | ||
อิเหนาจากจินตะหรายุพาพาน | อาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจ | ||
แม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือน | พี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัย | ||
ขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทย | ถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายาม | ||
นี่จนจิตต์กิจราชการหลวง | จึงไกลดวงเนตรนางห่างสยาม | ||
ถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงาม | ไม่เท่าความกตัญญูพระภูธร | ||
แต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้า | ยิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมร | ||
จะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจร | เขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดิน | ||
กำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่าน | จนสุริฉานบังเงาภูเขาเขิน | ||
ยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกิน | เห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามือ | ||
อังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่น | ใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อ | ||
ฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือ | มันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทราย | ||
พ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้น | แสนกะสันคิดไปแล้วใจหาย | ||
มาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะราย | เห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาคร | ||
นิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่ | ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอน | ||
ไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอน | ทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเล | ||
ต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัด | ซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเห | ||
ละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเท | คนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ | ||
๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาด | เขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
ก็วัดแดดโดยตำราวิชาการ | เชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจ | ||
แล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้ | ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่ | ||
แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกล | ก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทาง | ||
ไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถ | กำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผาง | ||
ลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปาง | แทบวายวางชีวันอันตราย | ||
ถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบ | คลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหาย | ||
ถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจาย | ของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไป | ||
ยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อน | เรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถล | ||
ศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัย | มิใคร่ได้นิทราอุรารึง | ||
หลายทิวามากลางทางทุเรศ | จนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึง | ||
ด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้ง | จะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มี | ||
ทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้ | สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่ | ||
ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรี | เกิดกุลีลมกล้าสลาตัน | ||
เสียงพิฦกฮึดฮือกระพือหวน | กำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหัน | ||
ลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวัน | ต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคา | ||
ว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไข | เราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้า | ||
คือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกา | แจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์ | ||
คอยดูดวงสุริยงจนลงลับ | เจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอน | ||
จนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพร | ทินกรผุดพ้นชลธี | ||
ก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่า | อิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวี | มาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไร | ||
แต่พายุยังจัดพัดกระโชก | เรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหว | ||
เต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบ | แล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลาย | ||
ละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำ | ประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหาย | ||
ต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดาย | ไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวง | ||
ได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้าน | ข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวง | ||
โอ้จำทนทรมาน้ำตาตวง | คิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ | ||
๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อม | กำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหาร | ||
เปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการ | เอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจร | ||
ให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่าน | ที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอน | ||
มันว่ายน้ำราวกับปลาในสาคร | ไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจ | ||
พวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้ง | ก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใส | ||
ลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไสว | คว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียที | ||
เพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือ | สู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรี | ||
ไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารี | เอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญ | ||
ทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมี | ดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสาร | ||
พี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทาน | ต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกัน | ||
เวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศ | เที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์ | ||
ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดัน | เผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรัง | ||
ถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้น | อ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลัง | ||
ปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวัง | ฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอน | ||
มันขยาดไม่อาจออกต่อต้าน | ก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอน | ||
ดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอน | พอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมา | ||
เที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขาย | เห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้า | ||
พวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญา | ต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพง | ||
เมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่น | ไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสง | ||
ทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดง | ฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปี | ||
ต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหาย | มีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรี | ||
หาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มี | ช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณ | ||
กำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้น | ได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่าน | ||
แล้วใช้จักรมากลางทางกันดาร | ค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ | ||
เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่ | ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนา | ||
ถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมา | จะวอนว่าไต่ถามนามกร | ||
ฝูงกะโห้โลมาปลายี่สน | บ้างดำด้นชลสายว่ายสลอน | ||
พิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จร | เที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรย | ||
เหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึก | หวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหย | ||
มัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดย | ยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึง | ||
ปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่ | เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึง | ||
โอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึง | นึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัย | ||
เห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อย | ช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัย | ||
ปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกล | กลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลาง | ||
ปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้ง | งับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหาง | ||
ในกระแสแลหลามตามหนทาง | ลอยสล้างเหลือล้นคณนา | ||
นกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัด | ก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษา | ||
นกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลา | อังกฤษว่าบูบีปีกษีบอ | ||
บ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถม | จับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอ | ||
ไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอ | เอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวล | ||
ได้ดูเล่นมากมายหลายชนิด | ยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวน | ||
แม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวน | ทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลิน | ||
พายุพัดฮือหวนทวนข้าหน้า | กระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่น | ||
เชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยิน | เหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานาน | ||
ทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์ | ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญ | ||
ฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการ | ให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรี | ||
ก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่ง | เห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรี | ||
ชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรี | ช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซ | ||
เที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้ | มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโข | ||
ไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โต | แกล้งพาโลขายคว้าราคาแพง | ||
มาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อ | ลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่ง | ||
แล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจง | ใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ | ||
๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอด | พอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่าน | ||
พี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญ | กลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวน | ||
กัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหา | ถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหน | ||
ขายมิขายคงเอาด้วยคราวจน | จะรีบขนแต่ราคาว่าพอควร | ||
ขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผัน | เข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วน | ||
เจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวน | รับประมาญเปนธุระทุกประการ | ||
ต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิด | ประสามิตรผูกรักสมัคสมาน | ||
ให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญ | ไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจง | ||
ครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศ | ชมตลาดตึกรามตามประสงค์ | ||
ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดง | เอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบน | ||
พอบังลมร่มแดดที่แผดเผา | ผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝน | ||
เขาคิดทำไร่นาประสาจน | อาศรัยชลห้วยลหานธารคิรี | ||
เปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลาย | มิให้ชายอื่นยลวิมลฉวี | ||
แม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรี | ย่อมราคีบาปนักต้องรักตัว | ||
จะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้ม | ช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัว | ||
สาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัว | แต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไร | ||
เที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อย | แล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่ | ||
บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไล | จากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ | ||
๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอด | ระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนัก | ||
ไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทัก | ประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญา | ||
สามราตรีถึงที่เมืองสุเอศ | อยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่า | ||
ให้ชักธงจอมจักรนัครา | ขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญ | ||
เขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึง | สักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผัน | ||
มารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลัน | อิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรง | ||
ทั้งสองข้างยิงปืนเสียครื้นครั่น | บันฦๅลั่นในชลาป่ารหง | ||
ยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธง | ธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรี | ||
แล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหาร | เคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนี | ||
ให้สลูตส่งทูตสิบเก้าที | ก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อย | ||
นั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาด | เดียรดาษแลดูล้วนปูหอย | ||
นกยางย่องจ้องจับขยับคอย | ลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกิน | ||
นกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอด | เที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์ | ||
เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบิน | รู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวี | ||
ตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใส | นกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผี | ||
กระทุงทองล่องลัดในนัที | ฉลาดดีเอาปากลงลากอวน | ||
ถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียง | ก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วน | ||
ริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวล | นับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพ | ||
เห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้ | ก็ตกใจบินบากจากกระแส | ||
ฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอ | ก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิด | ||
นั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษา | ไม่เคลื่อนคลาดคลาดชมสมสนิท | ||
แต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตร | โอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ | ||
๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยว | มาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่า | ||
ชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดา | เขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ล | ||
พวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่น | ช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็น | ||
บ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็น | บ้างพูดเล่นเจรจาภาษากัน | ||
ถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุก | เปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์ | ||
ถ้าไม้ใครไคลคลามาทางนั้น | ได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกิน | ||
มีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้ง | จะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิล | ||
หมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณ | อันราคินข้อไรมิให้มี | ||
แต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้าง | ตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้ | ||
พอทูตถึงที่พลันในทันที | ของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทาน | ||
สำเร็จกิจชวนกันจะผันผาย | พอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉาน | ||
มาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญ | ขับทยานควบห้อไม่รอรั้ง | ||
แต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐ | แล้วตามทูตจรลีต่อทีหลัง | ||
เสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกัง | คนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้ | ||
ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถี | แต่ไกลที่ตึกพักมาอักโข | ||
เหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโต | กัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดี | ||
พาพวกเราเข้าไปข้างในนั้น | ให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่ | ||
กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมี | ตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกิน | ||
จนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศ | ล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์ | ||
ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายิน | เทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวาย | ||
แม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วย | ถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหาย | ||
พี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทราย | ใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกร | ||
เห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่ม | ให้มาชมตามทางต่างสมร | ||
เอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์ | นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนาน | ||
ดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้น | ไม่มีดินแดนน้ำลำลหาน | ||
เมื่อพ้นจากวังวนชลธาร | ก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวาย | ||
หรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์ | เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหาย | ||
มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย | ถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว | ||
ว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือ | ขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาว | ||
กลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาว | โอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครัน | ||
ดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็น | ยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์ | ||
มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญ | ก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาคร | ||
ปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัย | นึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอน | ||
เศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอน | สักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟ | ||
เสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุน | เหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้ | ||
ช่างรวดเร็วยวดยิ่งวิ่งสุดใจ | เห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ | ||
๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษ | ถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขัน | ||
ชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครัน | ธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์ | ||
ที่ดำรงองค์มหาอุปราช | ดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์ | ||
ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูล | ดูมากมูลพลไพร่ในบุรี | ||
พอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุด | อุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่ | ||
เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดี | ให้เสนีมาคำนับคอยรับรอง | ||
ทั้งรัถาพอชีคนขี่ขับ | โคมสำหรับนำหน้าพาผยอง | ||
ตำรวจถือคบไฟไม้ตะบอง | เคียงประคองข้างรถบทจร | ||
บ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนี | จนถึงที่ตึกโตสโมสร | ||
กำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอน | ขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกาย | ||
ไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่ง | ตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสาย | ||
เห็นผู้คนคับคั่งมานั่งราย | ขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการ | ||
ว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศ | ให้เอารถมาเรียงเคียงขนาน | ||
ขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์ | ชมสถานวงวัดจังหวัดวัง | ||
ต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมอง | ล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวัง | ||
มาขึ้นรถม้าพยศผยองปัง | ไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไป | ||
ครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยน | ดูแนบเนียนงดงามตามวิสัย | ||
ศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างใน | เสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมรา | ||
แต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขก | ตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนา | ||
พอแดดชายบ่ายสามนาฬิกา | ก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโร | ||
ในทวารมีทหารถือกระบี่ | ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโส | ||
ดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโช | ประตูโทถัดนั้นทหารปืน | ||
ล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับ | พวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่น | ||
ปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืน | ที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อ | ||
ทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชัก | ช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อ | ||
หกกระบอกม้าลากก็มากพอ | ร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัว | ||
ปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนา | ผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่ว | ||
ขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัว | ไม่พันพัวไพเราะเสนาะดี | ||
รถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียง | ก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่ | ||
เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนี | เธอพาทีจับมือไม่ถือยศ | ||
ให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตร | โดยสนิทเสนหาเห็นปรากฎ | ||
แต่พูดจาจวนตวันลับบรรพต | ก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคล | ||
เจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวน | แล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสว | ||
แดดก็ร่มลมชายสบายใจ | มีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ | ||
กรรณิกาการเกดพิกุลแก้ว | โสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์ | ||
พุมเรียงรงโรกรักลักจั่น | ขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทราง | ||
มลุลีมลิลากับกาหลง | รำดวนดงดกดอกออกสล้าง | ||
สละเสลาลางลิงมะปริงปราง | ข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำ | ||
คัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้ม | ยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำ | ||
ลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำ | มะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดง | ||
ยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอย | ชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์ | ||
กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยง | โลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซาม | ||
หางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่น | แจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนาม | ||
มะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงาม | ม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกร | ||
เกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่าง | เล็บมือนางนมพิจิตรติดไสว | ||
ชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟ | เถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทาง | ||
บ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอย | เกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่าง | ||
เมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้าง | กลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมา | ||
แมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนี | เหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้า | ||
ภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเรา | เรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจ | ||
แล้วทำเฉยเลยชมสระสนาน | ชลธารน่าเล่นช่างเย็นใส | ||
ที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไร | ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏ | ||
มีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่ง | กระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัด | ||
ดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัด | เห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาคร | ||
ปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้อง | แต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมร | ||
ปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอน | ปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกราย | ||
ตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพาก | สุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมาย | ||
ปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกาย | ยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละออง | ||
ปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้ | กระแหแหห่างให้ฤทัยหมอง | ||
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนอง | อันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวม | ||
เห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสน | บ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วม | ||
บ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวม | บ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มา | ||
เขาก่อหินกันดินตามข้างข้าง | มีลำรางร่องน้ำงามหนักหนา | ||
สลักรูปหอยปูเงือกงูปลา | ถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงราย | ||
มีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศ | ดูวิจิตรท่วงทีดีใจหาย | ||
จัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบาย | ทำลวดลายเลขาก็น่าชม | ||
สำหรับเจ้านัครามาประพาส | สำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสม | ||
พี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์ | ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์ | ||
แล้วพากันกลับหลังมายังตึก | อนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมร | ||
โอ้วันไรชิดชื่นคืนนคร | ที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็น | ||
แม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับ | อันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญ | ||
ชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็น | ด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนานฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผาย | เคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถาน | ||
ต่างจัดแจงแต่งกายสบายบาน | แสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟ | ||
เวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรี | ก็ลุที่ริมแควกระแสไหล | ||
เขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์ | เห็นแพใหญ่จอดท่าหน้าสพาน | ||
แต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำ | ไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสาน | ||
ไว้สำหรับจรดลในชลธาร | เคียงขนานเข้าจดรับรถไฟ | ||
แล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึง | พอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้ | ||
ค่อยเคลื่อนลากจากแพให้พ้นไป | รถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบิน | ||
ตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้า | มาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์ | ||
ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์ | เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬาร | ||
อันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึก | ผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | ||
ได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญ | เคยรอนราญไพรีไม่มีกลัว | ||
เขาเชิญราชทูตไทยไปสำนัก | เข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่ว | ||
แต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัว | คิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครัน | ||
ขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่า | ธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์ | ||
สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลัน | นิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตาม | ||
ตื่นผวาหานางเห็นสางแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสาม | ||
ให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลาม | เสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพัง | ||
ทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาท | มิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลัง | ||
สู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวัง | ซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเล | ||
เดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัด | แล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผล | ||
ด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเท | เขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูร | ||
ได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่า | ยิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญ | ||
เข้าในห้องนองเนตรเทวศพูน | จนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์ | ||
เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยง | บนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหัน | ||
ทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพัน | แกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดี | ||
ครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้ว | จะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่ | ||
พอกัปตันขึ้นมาจึงพาที | เชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ | ||
๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผัน | ถึงกำปั่นแสนโสมนัสา | ||
ก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมา | ห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรี | ||
เรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพัก | ได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถี | ||
ให้แวะจอดทอดสมอรอนาวี | เจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทาย | ||
แล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้าน | แสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลาย | ||
นั่งพูดจาเล่นตามความสบาย | แล้วหกนายต่างพากันลาจร | ||
ไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของ | ให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมร | ||
อยู่สามวันจึงครรไลไกลนคร | ไปในท้องชโลทรทางกันดาร | ||
ถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่ | อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหาร | ||
รวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการ | สูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรง | ||
แต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้ | ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็ง | ||
ถ้าใครขืนรบรับคงยับเอง | ต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอา | ||
กัปตันให้เรือรอสมอทอด | ประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวา | ||
แล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนรา | บอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการ | ||
ฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์ | ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหาร | ||
ให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนาน | คำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทย | ||
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบ | ควันตระหลบดินดาลสท้านไหว | ||
แล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไป | อยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมา | ||
เขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวาง | ค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหา | ||
ตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลา | ได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กัน | ||
พักอยู่สามราตรีค่อยมีสุข | แล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์ | ||
ต้องไปในชลสายอีกหลายวัน | ทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรง | ||
นึกคนึงถึงกายไม่วายหมอง | จนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสง | ||
ต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจง | บ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทย | ||
ครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้น | ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล | ||
กัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟ | แล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ | ||
๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลด | ทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเห | ||
ไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเน | ให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึก | ||
คลื่นระดมลมกล้าประดาเสีย | นอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึก | ||
กำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึก | จนยามดึกลมจัดพัดกระพือ | ||
กระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะ | ช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือ | ||
คลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือ | เสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือ | ||
แต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่น | ทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือ | ||
ล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือ | จนข้อเสือก้านจักรหักออกไป | ||
ข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์ | แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่ | ||
เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้ | ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ | ||
๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศ | อยู่ริมเขตรวังวนชลสาย | ||
คลื่นระดมลมกำลังยังไม่วาย | จึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรี | ||
ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่ง | ก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
มาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรี | ต่างยินดีปราไสกันไปมา | ||
บ้างขอดูของเครื่องเมืองสยาม | ชมว่างามผิดอย่างต่างภาษา | ||
บ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดา | บ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกาย | ||
เขาผูกรักชักชิดสนิทสนม | ชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหาย | ||
อยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลาย | ไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ | ||
๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้าย | ยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์ | ||
ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน | พายุนั้นสามารถทายาดพอ | ||
แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ | ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ | ||
เช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอ | คลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอม | ||
พี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดช | จอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอม | ||
เหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อม | ปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัย | ||
เห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิ | ปรกติไปโดยสดวกได้ | ||
ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัย | เห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญ | ||
คือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษ | ที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถาน | ||
เปนเวลาสุริยนอนธการ | ราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลัน | ||
ให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่าง | แลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่น | ||
ระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์ | โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไป | ||
ดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์ | เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัย | ||
ชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้ | รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญา | ||
ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง | พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา | ||
ให้ชักธงจอมโมฬิศอิศรา | โดยถานายศใหญ่ไว้เสากลาง | ||
ธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้า | ตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวาง | ||
ข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นาง | แลสล้างทั้งสามงามวิไล | ||
ฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบ | ครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัย | ||
ก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจ | มาถามไถ่ทักทายเราะรายดี | ||
แล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่อง | พระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรี | ||
มีประสาสน์พระราชเสาวนี | ว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมา | ||
เธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่ง | พร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหา | ||
ไว้สำหรับรับราชสารา | กับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจง | ||
จะได้เปนเกียรติยศปรากฎไป | ว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวง | ||
เหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนง | ร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทา | ||
แต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์ | ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษา | ||
จะต้องทำตามตำหรับเคยรับมา | มิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมือง | ||
แล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศ | ว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่อง | ||
สิ่งใดใดมีในบุรีเรือง | แม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยล | ||
อย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาด | อนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหน | ||
ทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคน | เงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลัง | ||
แจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่น | แล้วลาคืนกลับไปดังใจหวัง | ||
กัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้ง | เข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพาน | ||
ที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับ | แลสลับน่าดูหมู่ทหาร | ||
ยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธาร | แผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดัง | ||
ครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัด | ก็แออัดสับสนคนสพรั่ง | ||
มาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนัง | บ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทย | ||
เขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอด | มีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหว | ||
แล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไล | ตลอดไปจนรถช่างงดงาม | ||
สี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์น | พระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยาม | ||
พร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตาม | ก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไล | ||
แอดมิรัลนายทหารชาญสมุท | ฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหว | ||
สั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัย | ผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์ | ||
ทหารรับจับเชือกกระชากปราด | พอนกฉาดปืนลั่นควันขมง | ||
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรง | คำนับธงแทนนาถบาทยุคล | ||
แล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถ | ม้าพยศวิ่งวางกลางถนน | ||
ไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดล | ประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพ | ||
สารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชัก | ม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับ | ||
แอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับ | ประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวน | ||
ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่าย | ชวนภิปรายปรีดาพากันสรวล | ||
แต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควร | ก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ | ||
๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนัก | เข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณ | สายตวันเวลาสักห้าโมง | ||
เขาเชิญให้ไปที่รถไฟพัก | ต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผง | ||
บ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรง | ไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้ง | ||
สักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อน | กระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่ง | ||
ต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดัง | ขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคน | ||
พอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อน | ดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหน | ||
จนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบน | เห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรอง | ||
มีทหารถือกระบี่เปนทีท่า | ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผอง | ||
งามอาชาร่าเริงเชิงลำพอง | สามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไป | ||
อีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษ | เทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหน | ||
เรียงประทับคอยรับพวกทูตไทย | ต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคน | ||
พาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่ | เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสน | ||
ล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมล | ใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการ | ||
ถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึก | ทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐาน | ||
ทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดาร | โอฬาลานทีท่าน่าสบาย | ||
ทหารม้ากลับหน้ามาคำนับ | รถประทับนายทวารเปิดบานผาย | ||
ผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนาย | มาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจร | ||
แล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับ | ของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์ | ||
เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอน | มีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคน | ||
จะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่ | คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสน | ||
เรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลน | ไม่เกียจกลการงานขยันจริง | ||
เขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่ว | รู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิง | ||
ไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติง | เสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือน | ||
แต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิด | ถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือน | ||
เมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือน | เจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดี | ||
ปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัย | สู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนี | ||
ถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนที | นั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวัง | ||
เมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตร | เชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลัง | ||
นึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพัง | จนระฆังขานก้องถึงสองยาม | ||
ก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์ | ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสาม | ||
ตื่นผวาหวาดพะวงว่านงราม | ละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนาง | ||
ยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญ | สู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมาง | ||
เอาพระเดชจอมจักรหักระคาง | ว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรม | ||
เรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้า | ไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉม | ||
พอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทม | ก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลัน | ||
แต่วิสัยใจบุถุชนนี้ | ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสัน | ||
หักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครัน | ทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอน | ||
อันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่น | ไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอน | ||
วายถวิลเพียงเวลาทิพากร | คงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรี | ||
แล้วดำเนินเดินออกมานอกห้อง | เห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ก็พูดจาปราไสใจยินดี | บ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ | ||
๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขิน | มิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผัน | ||
ไปดูละคอนฟ้องรำระบำบรรพ์ | ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปอง | ||
ออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้า | ขึ้นรัถาจรจรัลผันผยอง | ||
อาชาชาติผาดโผนโจนลำพอง | ช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลัน | ||
เข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึก | ทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์ | ||
แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวัน | มีช่องชั้นห้องหับสำหรับดู | ||
แต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวง | ห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้ | ||
ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปู | ให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนาย | ||
ดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษ | แต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลาย | ||
จับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวาย | เข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรง | ||
ด้วยขัดข้องหมองใจนายทหาร | บังคับการข่มขี่ทีข่มเหง | ||
ข้างพวกแจกคนดำไม่ยำเกรง | คุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวาย | ||
ฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับ | ก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหาย | ||
ลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตาย | ทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือ | ||
ฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญ | เคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือ | ||
ให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือ | ข้างแขกเหลือรบรับก็อัปรา | ||
พวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะ | ไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศา | ||
ยิงระดมล้มระดะดาษดา | คนที่นั่งทัศนาก็ดีใจ | ||
เห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือ | ต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหว | ||
เปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้ | ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพ | ||
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อ | ออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบ | ||
ถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบ | แล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลง | ||
บางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้าง | ทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็ง | ||
แล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเอง | ไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำ | ||
แกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่า | บนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำ | ||
สิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำ | ก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไป | ||
ยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่น | ออกมายืนพูดจาอัชฌาสัย | ||
ส่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไล | ก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอ | ||
ผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้ม | รู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอ | ||
ถ้าแม้คนเลยหน้าม้าแหงนฅอ | คนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตาม | ||
ครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้าง | ถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสาม | ||
ทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงาม | สิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้น | ||
จึงคืนคงลงจากพาชีชาติ | ม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผัน | ||
มีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลัน | หวังจะกันกีดไว้มิให้จร | ||
ม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์ | ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อน | ||
แล้วนารีขี่ควบอัศดร | ออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวน | ||
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัด | เขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วน | ||
ทำแยบคายหลายบทหมดประมวญ | ก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ | ||
๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อ | ขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยง | ||
ยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรง | ควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวง | ||
บางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้า | ยืนแยกขาทำตามความประสงค์ | ||
คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจง | เอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมน | ||
สองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่ว | เลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสน | ||
บางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอน | ไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบัน | ||
บางทีขี่ทั้งสองวิ่งซนเสือก | กระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลัน | ||
กลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกัน | พัลวันไวว่องทั้งสองนาย | ||
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง | คืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมาย | ||
ขณะนั้นทันทีมีผู้ชาย | ก็ผันผายขับอาชาออกมาพลัน | ||
เอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้า | ข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่น | ||
แล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครัน | ช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนา | ||
อีกคนหนงวิ่งพวยฉวยได้บ่วง | กลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้า | ||
ฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้า | โดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิม | ||
แล้วถือแพรยืนขวางกลางสนาม | ก็โจนข้าได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิม | ||
แล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติม | ทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจ | ||
ถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขาม | กระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้ | ||
ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไป | แล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ | ||
๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยด | ดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนา | ||
ชอมิศกุกเจนจัดหัดอาชา | มือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตาม | ||
แล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับ | ประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนาม | ||
สารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความ | คำรบสามสั่งว่าให้ม้านอน | ||
พาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่ง | ไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอน | ||
ชายตลกยกเท้าอัศดร | ให้กอดกายหงายนอนหว่างอุรา | ||
ม้าก็ทำตามใจมิได้ขัด | สารพัดน่าเอนดูรู้ภาษา | ||
บัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลา | แต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกาย | ||
มิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนา | ฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมาย | ||
ตลกจึงกล่าวคำทำภิปราย | นี่แน่นายผู้สันทัดอัศดร | ||
ถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้า | ให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอน | ||
เราจะห้ามปรามไว้มิให้จร | อย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดี | ||
มิศกุกรับคำทำเปนว่า | มาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่ | ||
แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชี | จงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือน | ||
สินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่ง | ช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือน | ||
ตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือน | แล้วแย้มเยือนร้องว่าอย่าเข้าไป | ||
ม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผัน | ขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้ | ||
มิศกุกเรียกกลับมาฉับไว | ลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาที | ||
จงคืนไปโรงในอิกเถิดหนา | ฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋ | ||
คนตลกจึงว่าแก่พาชี | หยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จร | ||
ม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลก | สองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอน | ||
ตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทร | จงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนาย | ||
ทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์ | โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมาย | ||
มิศกุกนายม้าปรีชาชาย | ต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียว | ||
แล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลัง | ม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียว | ||
ควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียว | สักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าใน | ||
คนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อ | ก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
คือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจ | ขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ | ||
เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่ง | เขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์ | ||
เอานารีรูปร่างสำอางครัน | เปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไล | ||
แต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็น | ช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัย | ||
ฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไก | ดังเหาะได้จริงจังลำพังตน | ||
บางทีผุดผายผันจากบรรพต | เห็นปรากฎแก่ตาน่าฉงน | ||
บางทีขึ้นจากพื้นภูวดล | แต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจร | ||
คนที่เปนเทวดามาทั้งนี้ | รัศมีแจ่มจำรัสประภัศร | ||
ช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอร | ดูละคอนจนเวลากว่าสองยาม | ||
เขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับ | คืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวาม | ||
คิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงาม | ถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ | ||
๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศ | ภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสว | ||
มิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทย | จัดรถให้ห้ารถบทจร | ||
ทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวน | ประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอน | ||
เขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์ | ราษฎรเสียให้จึงได้ดู | ||
มีพร้อมหมดจัตุบททวิบาท | สิงหราชกรินีทั้งหมีหมู | ||
อิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรู | ทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกัน | ||
แรดแรงร้ายม้าลายมหิงษา | พยัคฆาหมูละมั่งกวางสมัน | ||
ฟานกระจงเลียงผาสารพัน | จิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขใน | ||
กระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอก | ข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัย | ||
อ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจ | ดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียว | ||
เข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขัง | ก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียว | ||
ขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียว | ไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตราย | ||
มีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขง | เปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหาย | ||
เหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลาย | ใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคา | ||
ทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบ | คางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่า | ||
จรเข้หอยปูงูเต่าปลา | สกุณาหลายอย่างต่างต่างกัน | ||
ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่ | เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผัน | ||
แลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณ | บางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทย | ||
ถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็ก | ซีกไม่เล็กแขงขันตันไม่ไหว | ||
แม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไร | ใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละ | ||
จิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่าง | แล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะ | ||
ใส่หอยปูต่างต่างวางระยะ | ที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโต | ||
ถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้ง | อยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้ | ||
สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซ | กินเนื้อโคเข้าปลาสารพัน | ||
เขาหาทำน้ำหญ้าผลาหาร | ไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกัน | จนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผัน | ดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนา | ||
ยาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวา | เปนมหานาเวศวิเศษนัก | ||
ประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อย | แต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนัก | ||
ไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยัก | คิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดี | ||
ที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้น | เขียนสุวรรณลวดลายระบายสี | ||
มีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มที | ตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำ | ||
ห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาด | ระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำ | ||
ตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำ | เขาหาทำของเข้าเอามาไว้ | ||
ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้อง | แล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสว | ||
เสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบ | ใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการ | ||
บรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่น | แม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้าน | ||
เปนเรือใช้รับจ้างทางกันดาร | ใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ | ||
๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมด | ขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมาย | ||
ถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคาย | ลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลา | ||
ไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้น | ไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผา | ||
ใส่ใบสอก่อนกั้นกันคงคา | ถือปูนยามิดชิดสนิทเนียน | ||
ที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่าง | พื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยน | ||
เขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียร | เที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัด | ||
อยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่อง | ตามแถวท้องวารินยินถนัด | ||
เสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัด | ด้วยจักรวัดวิดวักควักวารี | ||
อุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่น | โดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่ | ||
สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมี | เศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทย | ||
เปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอด | ช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหล | ||
พี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไร | ก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ | ||
๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อย | ช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอ | ||
ขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอ | เขามาขอเชิญทูตทั้งสามคน | ||
ไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่ | ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผล | ||
ถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์ | ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล | ||
กินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง | คืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัย | ||
มิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจ | กำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดิน | ||
อีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่ม | มาควบคุมของขนไปจนสิ้น | ||
บรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์ | ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมา | ||
แล้วท่านทูตสามนายก็ผายผัน | กับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษา | ||
๏ อีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชา | ขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมือง | ||
ได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้า | พระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่อง | ||
อันปรากฎยศฟุ้งย่อมรุ่งเรือง | ดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณ | ||
ฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่ | ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคัน | มีพระบัญชาตรัสดำรัสการ | ||
ว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถ | ให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์น | ||
ด้วยทเลลึกกว้างทางกันดาร | ไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเรา | ||
ในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพ | ทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้า | ||
จึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนา | มาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรี | ||
เธอชื่นชอบขอบใจในพระบาท | ไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี | ||
หยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนี | อัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใด | ||
ขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้า | จงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้ | ||
เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัย | ผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนอง | ||
ราชทูตรับว่าอย่าปรารภ | จะนอบนบโดยดังรับสั่งสนอง | ||
แล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรอง | ที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ | ||
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศ | ล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหง | ||
เขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรง | ว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์ | ||
ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิต | พระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรี | ||
แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี | ในการที่รับทูตขอหยุดไว้ | ||
อีกสักแปดราตรีพอมีสุข | ค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัย | ||
ได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจ | ต้องรอไปป่วยการนานเวลา | ||
ในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญ | ให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหา | ||
เฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญา | กลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปี | ||
แม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่น | ก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรี | ||
คงจะมอดม้วยมุดสุดชีวี | แต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ | ||
๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผัน | ดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถาน | ||
ต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญ | ควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลัน | ||
ลงจากรถคลาไคลเข้าในตึก | แลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ||
สำหรับให้คนดูรู้สำคัญ | ว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไร | ||
ประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของ | มารับรองพูดจาอัชฌาสัย | ||
แล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไป | ให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกล | ||
ก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อน | ดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหน | ||
สักสิบวาสูงครันถึงชั้นบน | แล้วต่างคนจากที่เดินลีลา | ||
เที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอย | เห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนา | ||
มีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา | ลำคงคาเรือแพออกแจจรร | ||
ดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่าง | ทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่น | ||
ฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์ | อเนกนันต์ด้วยคณาดาราราย | ||
รัศมีแววแวมแจ่มกระจ่าง | พื้นนภางค์โอภาษประลาดหลาย | ||
แม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปราย | คนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริง | ||
ด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหล | ทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่ง | ||
ไม่มีข้อสงสัยใจประวิง | ช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำ | ||
ครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่ | จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำ | ||
ฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำ | ไปดูหนังฟังคำบทเจรจา | ||
อันรูปหนังดูงามตามวิสัย | เมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนา | ||
มีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดา | บรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครัน | ||
ทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศ | ไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขัน | ||
ตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้น | ช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิด | ||
ได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่าง | ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์ | ||
อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์ | ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนาน | ||
ครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผัน | จรจัลกลับหลังยังสถาน | ||
ถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลาน | เพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ | ||
๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหน | สุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวง | ||
ยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง | ให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็น | ||
เขามาชวนไปยังที่วังแก้ว | ก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็น | ||
ถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปน | ไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์ | ||
มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศ | อาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอน | ||
ครั้นถึงวังรัตนาพากันจร | เดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไล | ||
ดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ว | วับวามแววแสงสว่างกระจ่างใส | ||
ทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไร | ตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดา | ||
สูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้น | เขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนา | ||
ข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตา | ปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างราย | ||
มีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่น | ไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขาย | ||
แล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชาย | ประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญ | ||
แต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์ | ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวน | ||
รูปคนป่าราษีไม่มีนวล | ทำกระบวนรู้อายใบไม้บัง | ||
แล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อย | ทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้ง | ||
แต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวัง | จนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลย | ||
มิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุด | ช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉย | ||
ให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคย | แล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกิน | ||
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระ | หวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้น | ||
ด้วยสิ่งของควรชมนิยมยิน | แต่พิรุณจวนรินโรยลออง | ||
ต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิด | คนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมอง | ||
เศร้าฤทัยไสยาน้ำตานอง | พอพวกพ้องที่รักมาชักชวน | ||
ไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษ | ต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญ | ||
จึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวน | แต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเครา | ||
แล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่ง | เห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขา | ||
ถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงา | ไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอาย | ||
จนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อย | ล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหาย | ||
ใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกราย | เมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญ | ||
พี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่ง | เขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขิน | ||
ดูจริตกิริยาก็น่าเพลิน | ดูเมื่อเดินงามดีทีทำนอง | ||
ดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้า | ดูพักตราราษีไม่มีหมอง | ||
ดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลออง | ดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณ | ||
ทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่ | ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์ | ||
เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกัน | เปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ | ||
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง | มายับยั้งไสยาที่อาศรัย | ||
จนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัย | พวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวน | ||
ไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้น | สารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วน | ||
รูปพระยอดยุพยงอนงค์นวล | ทีสำรวลมิได้ผิดจริตนาง | ||
ทั้งรูปราชสามีเปนที่รัก | วิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง | ||
กับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอาง | แลสล้างล้อมขนานพระมารดร | ||
รูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลาย | ทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอน | ||
มีคนดำน้ำอดบทจร | ในสาครทนจมอยู่นมนาน | ||
แสนสบายหายใจก็ได้คล่อง | ลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนาน | ||
ต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธาร | วิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอา | ||
อันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อ | ฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขา | ||
แต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนา | เห็นลาดเลาคงมีที่ระแวง | ||
ถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัย | ดีฉันได้อธิบายจะหายแหนง | ||
ด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลง | ครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ | ||
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ | กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์ | ||
สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รัก | มาชวนชักให้สนานสำราญกาย | ||
ต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศ | วิไลเลิศแลอร่ามงามใจหาย | ||
เลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชาย | ดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทย | ||
นุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสน | โจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหว | ||
บ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบใน | ข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรด | ||
ธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชร | แต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยด | ||
ทับทิมแดงแสงวามช่างงามงด | มรกดไพฑูรย์จำรูญราย | ||
เข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหาร | หมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมาย | ||
สอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกราย | ทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลัน | ||
ขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพัก | ถึงสำนักรถไฟจะผายผัน | ||
พอประสพพบเห็นเยนเนอรัล | ก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร | ||
หนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้น | ได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษร | ||
ถึงที่หยุดเกือบกระทั่ววังบวร | ก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรอง | ||
อยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศ | เชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สอง | ||
ขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทอง | ทูตประคองเคียงตั้งระวังดู | ||
อันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์น | ทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้ | ||
ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรู | แปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอน | ||
กระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตร | ประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศร | ||
กระหนกนอกดอกช่ออรชร | ทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลาย | ||
เทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่ | ช่างเสนรู้พอสายถือมือขยาย | ||
ก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกาย | พักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวัง | ||
ทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถ | ก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวัง | ||
ริมถนนคนผู้ดูประดัง | ยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโร | ||
ตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์ | ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโข | ||
น่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โต | ไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครัน | ||
บ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูต | บ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์ | ||
ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมัน | ทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดี | ||
แต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รัก | ต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสี | ||
จะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมี | ถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ | ||
๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยว | ประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่ง | ||
ประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวัง | ทหารตั้งถือปืนยืนคำนับ | ||
ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย | ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ | ||
เสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ | กลองขยับมือถี่ตีออกรัว | ||
เยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหาร | เชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่ว | ||
ดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัว | ในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชน | ||
เชิญพวกทูตจากรถบทบาท | ดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหน | ||
ให้พักพาอาศรัยในตำบล | เปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทย | ||
ชื่อวิน์เซอเธออยู่ฤดูหนาว | ถึงลมว่าพัดกล้าอย่าสงสัย | ||
จัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปใน | กระจกใส่ช่องชิดสนิทดี | ||
เยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่น | ค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรี | ||
ดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมี | ควรเปนที่สบายวายอาวรณ์ | ||
บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์ | ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศร | ||
แล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทร | เชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นาง | ||
เยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วง | ถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้าง | ||
ทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทาง | เสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพัน | ||
ถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤช | คอยสถิตย์ทุกประตูดูขยัน | ||
ท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณ | พานเดียวกันรวมรองทั้งสองราย | ||
ครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสาม | ก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผาย | ||
เจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกราย | แต่เจ็ดนายกรายก้มประนมกร | ||
ครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาด | ก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อน | ||
คุณมณเฑียรที่สามก็ตามจร | พี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไป | ||
แล้วคุณราชามาตย์ชาติทหาร | คุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใส | ||
แล้วขุนจรเจนมหาชลาลัย | ขุนปรีชาล่ามในบวรวัง | ||
ทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงด | เปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลัง | ||
ถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดัง | จะคอยฟังเสาวนีมีบัญชา | ||
ฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์ | ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขา | ||
ตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตา | อยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนใน | ||
แล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้า | ก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสว | ||
ท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทย | เปนข้อไขคำแจ้งแสดงนาม | ||
ราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสอง | ถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สาม | ||
รับพระราชโองการบรรหารความ | จอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬี | ||
ให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่อง | มาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรี | ||
โดยสนิทพิสมัยเปนไมตรี | ร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกัน | ||
จบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไข | ที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผัน | ||
สิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัล | ข้างพวกทูตอภิวันทนาการ | ||
อันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่ง | คลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์น | ||
แล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพาน | ดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกราย | ||
ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหง | จึงนั่งลงชูพานสาส์นถวาย | ||
พระยุพินเหยียดกรมาช้อนชาย | วางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญ | ||
ทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลัง | พร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนาน | ||
ฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์ | จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัย | ||
ในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่า | เราปรีดาโดยจิตต์พิสมัย | ||
ได้รับทูตสององค์พระทรงชัย | ก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืน | ||
ด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้น | เหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่น | ||
เปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืน | จะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิม | ||
จึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่ | เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่ม | ||
ก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติม | จะส่งเสริมความสวาทราชไมตรี | ||
ทั้งปรากฎยศถากว่าแต่ก่อน | สองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
พวกพานิชลูกค้าประชาชี | ได้ไปที่ค้าขายสบายบาน | ||
อนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้าง | ด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหาร | ||
ไปรับทูตข้ามวนชลธาร | ทางกันดารตั้งใจระไวระวัง | ||
ได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผล | ตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวัง | ||
โดยระบอบชอบธรรมตามกำลัง | เสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้ | ||
ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่า | กลับออกมาชี้แจงแถลงไข | ||
ว่าพระนางยินดีมีพระทัย | ที่ตรงได้รับสาราบรรณาการ | ||
สองพระองค์อันดำรงอยุธเยศ | กระเดื่องเดชเลิศลบจบสถาน | ||
ขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณ | แล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทย | ||
ค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้ | พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่ | ||
ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฎไป | ธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความ | ||
ทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้า | จึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้าม | ||
จะคายคมสมควรไม่ลวนลาม | เวลานี้จงประณามประนมลา | ||
ราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้อง | ทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศา | ||
คลานถอยหลังจนกระทั่งทวารา | เยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ | ||
๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราช | เถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหง | ||
อันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรง | ทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบา | ||
ที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่อง | แลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้า | ||
ใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพรา | ช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา | ||
ริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชร | ดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวา | ||
ระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมา | ถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำ | ||
ยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติ | เพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำ | ||
ถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำ | จะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใด | ||
เมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราช | หมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใส | ||
มายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอใน | ประมาณได้สามสิบพอดิบดี | ||
อันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์ | ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรี | ||
สวยสอาดเปนพระราชสามี | แต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพ | ||
ทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาด | เข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับ | ||
อินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับ | ขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยาน | ||
ยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้าย | โดยเบื้องแบบแยบคายนายทหาร | ||
สารพัดเครื่องราชบรรณาการ | พนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ | ||
๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้า | สุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียง | ||
เขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียง | ก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนา | ||
อังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น | กินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวา | ||
ประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวา | ใช้จานฝาโถเถาเปนเงางาม | ||
บ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาด | บ้างเปนชาติทองแท้แลอร่าม | ||
ดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววาม | ที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ | ||
๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผัน | เยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียน | ||
ลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียน | ชมศัสตราดาเดียรดาษดู | ||
อันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำ | รายประจำตามผนังวางเปนคู่ | ||
มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนู | ไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวัง | ||
เดินดูของมาถึงห้องที่เคยพัก | หยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่ง | ||
เขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟัง | เสนาะดังวังเวงบรรเลงลาน | ||
สุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ | ยุรยาตรคืนหลังยังสถาน | ||
ถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบาน | แสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ | ||
จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศ | ผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหา | ||
เสียงม้ารถอึงอัดรัถยา | พลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกาย | ||
ชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้าง | เสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมาย | ||
เที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างราย | เขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวย | ||
แล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่ง | ช่างตกแต่งตึกรามงดงามสวย | ||
สารพัดจัดบรรจงน่างงงวย | อุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ | ||
๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่ | บัญชาให้คนขำนำอักษร | ||
มาถึงทูตแจ้งความตามสุนทร | ว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์ | ||
จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์ | พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรี | ||
ให้เชิญทูตทั้งสามตามคดี | กับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกัน | ||
จะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวย | เหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉัน | ||
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครัน | จนถึงวันนัดกำหนดก็บทจร | ||
ขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถาน | สุริฉานลับเงาเขาศิงขร | ||
เข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนคร | ได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นาย | ||
จวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศร | เสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผาย | ||
มิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลาย | เจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลา | ||
คุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่ | ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษา | ||
ต่างดำเนินเดินด่วนลีลามา | หยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทาง | ||
พอสองทุ่มอัคเรศเกศสมร | เหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมาง | ||
พร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นาง | แลสล้างดังคณาดาราราย | ||
เสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์ | เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลาย | ||
จึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกาย | บรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนาง | ||
ก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาท | แล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวาง | ||
เสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลาง | ให้ปรากฎยศอย่างตรงทูตไทย | ||
ต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่า | นั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่ | ||
อุปทูตที่สองรองลงไป | เขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรี | ||
แล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวา | ให้ทูตาที่สามนั่งตามที่ | ||
ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามี | แต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดา | ||
อันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้ | ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษา | ||
เมื่อขณะเสพย์รสโภชนา | นางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลย | ||
จนสำเร็จก็เสด็จดำเนินาฎ | ลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวย | ||
ไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคย | โปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทย | ||
ครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์ | ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหน | ||
ฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตร | มายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทร | ||
ทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศ | ต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมร | ||
เสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจร | ดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมาน | ||
พระสามีที่สนิทพิศวาท | งามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญ | ||
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปราน | แล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนาย | ||
เสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์ | ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผาย | ||
ราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกราย | มาทักทายพูดจาแล้วลาไป | ||
เจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขย | จึงเฉลยพจนาอัชฌาสัย | ||
เสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคล | ประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชา | ||
ดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้า | ต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษา | ||
โปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชา | อีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทอง | ||
กินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิด | เธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมอง | ||
ได้ตอบต่อข้อไขในทำนอง | แล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟัง | ||
พระบุตราบุตรีสามีราช | มารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่ง | ||
บ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพัง | จนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตี | ||
นางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่น | เสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่ | ||
ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดี | ก็จรลีคืนกลับมาหลับนอน | ||
ต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถาน | โปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอน | ||
คนละห้องไสยาสถาวร | จนทินกรแจ่มจบภพไตร | ||
ฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศ | เปนพระราชสามิศพิสมัย | ||
ก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจ | พิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์ | ||
มารับของภูบาลผ่านพิภพ | ที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์ | ||
ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์ | ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยา | ||
ต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนัก | เห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษา | ||
ทั้งสองข้างต่างคนสนทนา | แล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไป | ||
พนักงานจัดแจงแต่งอาหาร | ล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสว | ||
ให้พวกทูตรับประทานสำราญใจ | จนสี่โมงเศษได้เวลาจร | ||
ก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับ | ถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อน | ||
พี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอน | นึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิด | ||
นิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉม | มีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์ | ||
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิด | แนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรา | ||
กำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่น | พอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหา | ||
แล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลา | ไปชมโรงแพทยารักษาคน | ||
ต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์ | แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหน | ||
ทำเริงรื่นขืนมานะจรดล | ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ | ||
๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถ | พร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสว | ||
ยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างใน | ตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้น | ||
มีกระดูกคนตายทั้งชายหญิง | ประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขัน | ||
อิกกระดูกคนบุราณที่นานครัน | ดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจ | ||
ตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอก | ศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไห | ||
ในตากลมกลวงโหวโตกะไร | ปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟาง | ||
กระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้ | น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสาง | ||
ไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทาง | ออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพัน | ||
บางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอด | แล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญ | ||
หมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์ | ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชน | ||
จึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้ว | พี่เห็นแล้วผมพองสยองขน | ||
อนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคน | ช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไป | ||
บางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิด | แปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัย | ||
ตัวเปนนั้นหัวเปนนี่ที่จัญไร | ก็แช่ใส่ขวดวางสล้างราย | ||
บางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิง | แต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลาย | ||
ก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมาย | ให้หญิงชายทัศนาบรรดามี | ||
ขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่น | ช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผี | ||
ถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดี | ดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยล | ||
แต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัด | ได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหน | ||
ก็ออกจากโรงหมอจรดล | ไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ | ||
๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่น | ฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉน | ||
วิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟ | ทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดที | ||
ทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่าง | ครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่ | ||
ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดี | เหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ | ||
๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อม | ไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหาร | ||
ในนั้นมีตึกโตมโหฬาร | สูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำ | ||
รูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็ก | ใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำ | ||
ถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำ | ล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงราย | ||
มีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิต | คนที่คิดทรยศผิดกฎหมาย | ||
เครื่องจำจองหลากหลากก็มากมาย | อีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์ | ||
แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้ง | ดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์ | ||
มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณ | สารพันอาภรณ์บวรรัตน์ | ||
มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบ | วับวาววาบแววแวมแจ่มจรส | ||
รัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัด | ช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟฯ | ||
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง | คืนมายังที่สำนักพักอาศรัย | ||
ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไล | ไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียร | ||
ที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อน | สโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียร | ||
หน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียน | ศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวัง | ||
ตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้น | เปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลัง | ||
เห็นทวารบานปิดมิดกำบัง | ก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญ | ||
ประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่ง | ออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสาร | ||
เชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนาน | ชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียร | ||
เปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้ | จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน | ||
ลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียน | ดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงาม | ||
มีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่า | แต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยาม | ||
บรรดาห้องทั้งนั้นขนานนาม | ร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไป | ||
ที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสด | ช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหน | ||
เบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไล | แต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดาย | ||
ที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาด | เรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉาย | ||
มีชื่อตามสีสันดังบรรยาย | ห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกัน | ||
งามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียน | วิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้น | ||
ฝาผนังปิดกระดาษสอาดครัน | บ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทอง | ||
บ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วน | ดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมอง | ||
ในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลออง | ที่บางห้องปูพรมอุดมดี | ||
บางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับ | เรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสี | ||
อันของใช้หลากหลากก็มากมี | ประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปน | ||
เสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้น | เปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสน | ||
ของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคน | ทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกัน | ||
เอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์ | วิเศษสุดท่วงทีดีขยัน | ||
บ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยัน | สารพันตั้งแต่งทุกแห่งไป | ||
สุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่ | ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสว | ||
ที่ยเวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจ | แล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ | ||
๏ ครั้นุร่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถ | เชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผัน | ||
ไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณ | ในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรง | ||
เขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึก | ดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถง | ||
พอเวลาแดดชายบ่ายสักโมง | เสียวโกรงโกรงรถรัถอัศดร | ||
ล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาท | วรราชนารีศรีสมร | ||
ครั้นถึงที่ปรีดาสถาวร | พากันจรขึ้นนั่งที่บังควร | ||
บ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุก | บันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวน | ||
จนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวน | มีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยา | ||
เปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขา | ไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษา | ||
เมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมา | มีรถหน้าขึงขำนำครรไล | ||
คือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศา | ล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสว | ||
แล้วต่อมามีขนัดถัดลงไป | ทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศ | ||
สพายปืนขับขี่พาชีชาติ | ห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์ | ||
ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิด | เดินติดติดเนื่องแนวสองแถวราย | ||
ถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็ก | รูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมาย | ||
ถือกระบี่ทีจับขยับราย | ดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดา | ||
ต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่ง | แต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนา | ||
ถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลา | อีกขนัดถัดมาหกสิบคน | ||
ถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตร | มาโดยเขตรสองข้างทางถนน | ||
มารยาตรอาจหาญชาญผจญ | ตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศ | ||
อีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำ | ถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤช | ||
ดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์ | ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้น | ||
แล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์ | พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผัน | ||
จำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณ | กระจกกันกั้นหวังให้บังลม | ||
บนหลังคาทำเปนตรานัคเรศ | เทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสม | ||
สารถีขี่ประจำล้วนขำคม | น่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัว | ||
ทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถ | ช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่ว | ||
เสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัว | เปนที่ยั่วยวนใจให้แลลาน | ||
ข้างหลังถัดมาถึงอัศวราช | ผกผงาดเผ่นผางกลางทหาร | ||
แต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการ | พระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรือง | ||
ครั้นทีหลังพาชีมีทหาร | แสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลือง | ||
สพายปืนถือกระบี่ทีชำเลือง | เปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมา | ||
ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อย | งามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวา | ||
ครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญา | เสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์ | ||
มีทหารถือขวานปลายเปนกฤช | อำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้น | ||
ยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็น | ล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงที | ||
ต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอก | หกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่ | ||
คนเดินนำสามสิบพอดิบดี | พระมาลากำมะหยี่สีบวร | ||
ทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่าง | มีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อน | ||
เมื่อเสด็จจากรถบทจร | พระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคอง | ||
ทรงสไบกำมะหยี่สีสอาด | ดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมอง | ||
ยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทอง | กว้างสักสองศอกงามอร่ามพราย | ||
สตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่ | ถือริมภูษาเดินเชิญถวาย | ||
ถัดออกมาเสนีอีกสี่นาย | คอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลา | ||
ทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้าย | สี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวา | ||
เสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์ | ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้าย | ||
ราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวา | เสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉาย | ||
แต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พราย | ด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลง | ||
ขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบ | ยืนขนาบริมราชอาสน์ระหง | ||
อีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรง | สองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างาม | ||
สี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้าย | ข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลาม | ||
โดยนาถาศักดิ์ศรีที่มีนาม | แต่งตัวตามยศอย่างสำอางตา | ||
อันพระจอมสากลวิมลสมร | ดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหา | ||
ฉลององค์ทรงโขมพัตรา | อีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชร | ||
เพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่าง | แสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จ | ||
เปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ด | ครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญ | ||
เปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจ | จบลิขิตโฉมฉายก็ผายผัน | ||
ลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณ | ทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ | ||
แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่ | ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่น | ||
ในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็น | จะได้เห็นไกกลที่คนทำ | ||
เขายอมให้คลาไคลดังใจหวัง | ก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำ | ||
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำ | โอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญ | ||
ไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับ | ตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสาร | ||
ปานฉนี้ขนิษฐายุพาพาน | จะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัย | ||
แต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่ง | น้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสว | ||
ก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจ | พอเที่ยงได้เวลาพากันจร | ||
แสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์ | ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอน | ||
เปนเพื่อนยากลำบากมาในสาคร | คิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกัน | ||
เมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพราก | ต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์ | ||
จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจัล | ก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ | ||
๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถี | มีไร่นาสาลีแลไสว | ||
นาข้าวโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไร | เขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพง | ||
เมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัด | ทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้ง | ||
ทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรง | ต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงาม | ||
บ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผัก | เปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลาม | ||
มีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกราม | ในที่ตามทางรถบทจร | ||
แม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวาง | ก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขร | ||
เหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อน | ช่างขุดพลอนทำหินดังดินทราย | ||
ถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้น | มืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหาย | ||
บางทีทางน้อยสั้นจะบรรยาย | ก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญา | ||
บางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหล | เรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนา | ||
แต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมา | ดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการ | ||
บางทีทำลำคลองเปนสองชั้น | ข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหาน | ||
ข้างล่างชลลันไหลใต้สพาน | เรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ | ||
๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนัก | เขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมอง | ||
เห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรอง | ต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทาย | ||
เขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึก | อนาถนึกหนาวใจมิใคร่หาย | ||
ค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบาย | จนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณ | ||
ฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถ | มารับทูตไทยหมดให้ผายผัน | ||
ไปดูที่นานาสารพัน | แห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วน | ||
กับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักร | วิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วน | ||
ทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญ | โดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดง | ||
ทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่าง | เจียระไนใสสว่างเปนสีแสง | ||
ที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจง | ดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจง | ||
อีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่ | ทั้งหีบใส่ของงามตามประสงค์ | ||
ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยง | เขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ | ||
๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วน | แล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผอง | ||
จากบุรีรีบไปดังใจปอง | จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลัน | ||
ชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉน | ดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์ | ||
เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครัน | สารพันพิศเพลินเจริญตา | ||
พอรถไฟไปประทับเข้ากับที่ | ผู้รักษาธานีก็มาหา | ||
แล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลา | ขึ้นรถม้าจรลีไปที่พัก | ||
ให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์ | เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จัก | ||
คิดชื่นชอบขอบคุณการุญรัก | มาชวนชักพูดจาแล้วลาไป | ||
ข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์ | จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล | ||
ชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคล | ดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลี | ||
อีกทั้งจักรทอผ้าสารพัด | ช่างเจนจัดดอกก้านประสานสี | ||
ของอื่นนั้นพรรนาจะช้าที | เจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ | ||
๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์ | เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอน | ||
กำปั่นพวกลูกค้าในสาคร | ได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือ | ||
บางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่ | หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือ | ||
เหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือ | ข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพัง | ||
ครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิด | ก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถัง | ||
สูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบัง | เรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลง | ||
คนทำการนั่งยืนกับพื้นหิน | ไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้ง | ||
ชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจง | ในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่ราย | ||
ริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสา | ดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลาย | ||
สุดจะนับคณนาจนตาลาย | ดูมากมายสับสนพ้นประมาณ | ||
ได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้ง | หยุดเอนหลังปรีดากินอาหาร | ||
จนสิ้นแสงสุริยนอนธการ | พนักงานจัดแจงตกแต่งรถ | ||
แล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัย | ขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมด | ||
ดูละคอนฟ้อนรำที่งามงด | อันปรากฎมีอยู่ในบูรี | ||
ต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใส | ก็คลาไคลตามแนวแถววิถี | ||
ถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดี | จึงจรลีเข้าไปดังใจปอง | ||
เขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์ | ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของ | ||
กวิ่งมาทำคำนับแล้วรับรอง | ให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดู | ||
อันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขา | จะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหู | ||
ขอจับเรองอาชาเปนม้ารู้ | ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญ | ||
ดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรก | หัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหาร | ||
ใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยาน | พาชีชาญทำได้เหมือนใจคิด | ||
แล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่า | ฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิด | ||
ให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์ | ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนาย | ||
เรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบ | แล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหาย | ||
แต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคาย | ทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมิน | ||
จึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อม | แกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหิน | ||
แล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนิน | เที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลัน | ||
ม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้า | คาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่น | ||
เจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมัน | สินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัว | ||
จนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุด | วิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่ว | ||
ทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัว | ม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมา | ||
เจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้านิ่ง | เราจะทิ้งผ้าไปในเวหา | ||
จงคอยคาบรับเอาทุกคราวครา | อย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดิน | ||
แล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศ | พาชีชาติรับได้ดังใจถวิล | ||
ถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์ | เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญ | ||
แล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวด | ดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญ | ||
ครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการ | ยังวิตถารมากมายหลายทำนอง | ||
ละคอนเลิกกลับมาเวลาดึก | อนาถนึกหนาวในน้ำใจหมอง | ||
ถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรอง | คนึงน้องเคยสนิทแนบนิทรา | ||
เมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตก | ใครจะกกกอดมิตรขนิษฐา | ||
พี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุรา | เหลือปัญญาที่จะพบประสบกัน | ||
ทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับ | นึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญ | ||
ได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวัน | ครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัย | ||
จนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่าง | ไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัย | ||
อยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไล | ขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ | ||
๏ กลับมาแมนเชศเตอร์เออนี่เคราะห์ | นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนาน | ||
แต่วนเวียนไปมาให้ช้าการ | คิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไร | ||
ถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถาน | ต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัย | ||
เขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไป | เอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือน | ||
เวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้อง | ทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อน | ||
ต่างแต่งตัวโอเอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือน | ดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำ | ||
นักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่น | ลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำ | ||
ปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำ | พวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรัง | ||
ได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์ | ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวัง | ||
อันค่ายในหมายประจญพ้นกำลัง | เพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลย | ||
แต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่น | ให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ย | ||
เราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชย | เขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอา | ||
เปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือ | ผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่า | ||
อังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตา | พวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบา | ||
ครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์ | น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงา | ||
ก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลา | จนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ | ||
๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศ | พร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผัน | ||
ขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลัน | ถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์ | ||
เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่ | บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้น | ||
คนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดิน | เปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคม | ||
อยู่สองวันซื้อหาสารพัด | ไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสม | ||
ขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยม | ถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไป | ||
แวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วน | ตวันจวนเจียนดับลับไศล | ||
จึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟ | สี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดน | ||
เข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพ | ค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสน | ||
เห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลน | ถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ | ||
๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎ | มีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยัน | ||
ให้ชักรูปพวกไทยถวายพลัน | คนสำคัญหกนายล้วนชายชาญ | ||
ถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชัก | ก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนาน | ||
แต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญ | บอกอาการป่วยไปมิได้จร | ||
ทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถา | ถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอน | ||
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกร | แล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ | ||
๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษร | ทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์ | ||
ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรัก | ให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนาย | ||
กับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้า | ดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลาย | ||
พร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชาย | มารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์ | ||
ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉน | เปนจนใจไข้จับยังทับถม | ||
สุดดำรงทรงกายหมายนิยม | แม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเรา | ||
ฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศ | แล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้า | ||
ได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบา | อยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ | ||
๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่ | รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหา | ||
ให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลา | ทัศนารำเท้าเปนคราวดี | ||
ครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์ | ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรี | ||
จะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ที | ต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถ | ||
สารถีขับม้าพาลีลาศ | ก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมด | ||
เข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลด | ดูทรงยศโฉมยงองค์พระนาง | ||
รำกับน้องของเจ้าอาลเบิต | งามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
ควรจะชมสมสง่าเปนท่าทาง | โดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยา | ||
นารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่ | พินิจดูงดงามตามภาษา | ||
เห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมา | ว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวน | ||
กับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์ | ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวน | ||
อันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวน | ก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลาน | ||
ครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้าย | เสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหาร | ||
พร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาร | เสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้ง | ||
โปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยง | มีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้ง | ||
อีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดัง | ขุนนางทั้งภรรยาก็มากิน | ||
ประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อย | มิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้น | ||
ต่างยินดีปรีดาไม่ราคิน | ครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุม | ||
ผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุก | บันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุม | ||
เปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุม | จนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ | ||
๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหาร | แทบสถานทุ่งเถินริมเนินผา | ||
มิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจา | เชิญทูตานุทูตไทยครรไลจร | ||
ขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผาย | ไปถึงชายที่แถวแนวศิงขร | ||
เห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดร | ดูสลอนแลหลามเปนสามกอง | ||
พวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่ | พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมอง | ||
พวกม้าดำดำดีทีลำพอง | คำรนร้องเริงร่านหาญประจญ | ||
พวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลาย | ล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสน | ||
ทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพล | เสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียง | ||
ทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่ | แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียง | ||
ก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียง | เปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกัน | ||
ทหารม้าจรลีทีละตับ | ไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรร | ||
ทั้งแดงดำขำขาวราวสักพัน | เมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดัง | ||
เขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วง | ไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลัง | ||
พอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตัง | เหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยาน | ||
ร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบ | แต่สินธพอาชายังกล้าหาญ | ||
เคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญ | จึงแจ้งการในกลรณรงค์ | ||
ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่ว | แต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์ | ||
ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนง | ทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโต | ||
เชิงฉลาดอาจหาญในการรบ | รู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโส | ||
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโย | ก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ | ||
๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมาย | จะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสม | ||
พระบุตรศรีสวัสดิ์กำดัดชม | ให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียม | ||
เธอเปนราชกุมารชาญสมร | อยู่นครปรูชาโออ่าเอี่ยม | ||
แต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียม | ฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกัน | ||
ถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสาย | พระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์ | ||
ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญ | กับตัวฉันจรลีเปนสี่คน | ||
ไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้ง | ในตำแหน่งอาวาหสถาผล | ||
ต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์ | แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทย | ||
มาขึ้นรถม้าพยศผยองอย่าง | ริมหนทางคนผู้ดูไสว | ||
ครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันได | ก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นาย | ||
สักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราช | พร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลาย | ||
อีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชาย | ก็นำสายสุดสวาทราชธิดา | ||
เข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมด | องค์โอรสเขยขวัญก็หรรษา | ||
อันโฉมยงบุตรีศรีโสภา | แต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัว | ||
ชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำ | ที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่ว | ||
ฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัว | สอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจง | ||
ภูษายาวราวประมาณสักสิบศอก | เปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์ | ||
มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์ | สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไล | ||
ดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลัง | เปนยศหวังว่างามตามวิสัย | ||
แต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไม | เธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธ | ||
กังเกงเสื้อน่าชมสมสง่า | มีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุด | ||
คาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธ | ดังประดุจเข้าสู่สู้สงคราม | ||
ครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย | มายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลาม | ||
ฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างาม | จึงคุกเข่าลงประณามประนมกร | ||
แล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์ | เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | ||
พระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทร | ร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้น | ||
ว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสอง | ที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญ | ||
จงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญ | ขณะวันอาวาห์สถาวร | ||
แม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าว | ให้แตกร้าวคู่ชมสมสมร | ||
ครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอน | แล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาที | ||
ว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์ | จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรี | ||
ถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคี | ในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจา | ||
แม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้ | คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษา | ||
ทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนา | ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป | ||
แล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถาม | โดยคดีมีความข้อสงสัย | ||
ว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัย | ท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รัก | ||
จะรับราชธิดามาเปนคู่ | แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์ | ||
ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยัก | จะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน | ||
ไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่น | คงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญ | ||
มิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์ | แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริง | ||
เจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่า | แกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิง | ||
แล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิง | เสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชาย | ||
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร | รับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้าย | ||
พระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปราย | กล่าวธิบายถามไถ่ในทำนอง | ||
ว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิง | ให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนอง | ||
ฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลออง | จึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดา | ||
มามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่ | ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสา | ||
พระครูรับจับกรสมรมา | เอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลง | ||
แล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมาย | ให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์ | ||
เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์ | จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยาน | ||
ในใจความนั้นว่าข้าพเจ้า | จะรับเอานวลอนงค์คงสมาน | ||
ตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงาน | ไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจร | ||
ถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละ | ตามคำพระโอวาทประสาสน์สอน | ||
สัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอร | เสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์ | ||
พระครูจึงจับหัตถาธิดาราช | มาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่ | ||
แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันที | ให้เทวีว่าตามทุกคำไป | ||
ความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่อง | ก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไข | ||
แต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกล | โดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมา | ||
ต้องว่าจะฟังคำทำตามผัว | รู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษา | ||
จะตั้งใจปรนิบัติภัศดา | เสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกัน | ||
เจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลา | จึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์ | ||
แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลัน | ทำเคียมคัลส่งไปให้พระครู | ||
ท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์ | แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่ | ||
แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชู | ส่งให้กูมารรับคำนับลา | ||
มาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้าย | ของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
แล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจา | ว่าดูราทรามสวาทนาฎนารี | ||
พี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์ | ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษี | ||
โดยคำมั่นสัญญาไม่ราคี | ธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญ | ||
จะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติ | สารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ||
เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลัน | แล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์ | ||
ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์ | สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์ | ||
ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลง | แล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญ | ||
เอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับ | แกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสาร | ||
ว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌาน | ได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครอง | ||
แต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้น | อย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมอง | ||
จงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคอง | จนตราบสองชันษาชีวาวาย | ||
แล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์ | ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลาย | ||
พวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนราย | ร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลง | ||
บันลือเสียงอึงมี่นีฤนาท | ทั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็ง | ||
ที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลง | ดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบัง | ||
ฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวี | กับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลัง | ||
พร้อมพระวงศ์พงศาดาประดัง | คืนเข้าวังสุขสมภิรมยา | ||
แล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้ง | บอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนา | ||
อันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามา | ล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปราน | ||
ถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็น | เหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐาน | ||
พวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆาร | ต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไป | ||
ยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่ง | อย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้ | ||
ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจ | จึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้ | ||
เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราช | พวกพระญาติแลเสนาบดีศรี | ||
ทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดี | เหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงาน | ||
หมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อย | เปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหาร | ||
ครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญ | ต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ | ||
พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ | จันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขร | ||
เดียรดาษด้วยคณาดารากร | พื้นอัมพรเมฆีไม่มีปน | ||
ศรีสวัสดิ์สตรีนารีราช | ใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์ | ||
ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคน | จรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอ | ||
จะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่ | ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอ | ||
ครั้นทราบสารขานไขดีใจพอ | พูดหัวร่อเฮฮาพากันไป | ||
มาถึงวังขึ้นยังตำหนักติก | เห็นคักคึกคนผู้ดูไสว | ||
พร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าใน | แต่งวิไลตามยศหมดด้วยกัน | ||
พระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลา | กับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญ | ||
อีกบุตรีบุตราวิลาวรรณ | ทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมใน | ||
ฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิง | เสนาะจริงจับจิตต์พิสมัย | ||
มโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจ | กลมกันไปกับเสียงสำเนียงคน | ||
ครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่ง | ให้แต่งตั้งภักษาผลาผล | ||
แล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคน | ไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกัน | ||
กินน้ำชากาแฟแลขนม | มีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์ | ||
ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ | อเนกอนันต์คาวหวานใส่จานราย | ||
อิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้ง | อยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหาย | ||
สองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลาย | เสด็จผายผันกลับลับพระองค์ | ||
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด | ขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์ | ||
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนง | นึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญ | ||
เวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย | ใครจะเชยแนบน้องประคองสงวน | ||
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวล | ได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียง | ||
เมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์ | แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียง | ||
ก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียง | ศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวง | ||
ดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศ | ภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวง | ||
พี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวง | ครรไลล่วงเลยออกนอกประตู | ||
เห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อม | แล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสู | ||
เขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดู | ไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอาย | ||
แล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถี | ซื้อของดีตามห้างที่วางขาย | ||
จนเวลาสายัณห์ตวันชาย | ก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ | ||
๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎ | ให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวง | ||
ด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวง | จะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชา | ||
คือนครทรงยศโอรสเขย | ต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศา | ||
ไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดา | เปนยอดยิ่งกัลยาในธานี | ||
ได้เวลาทูตานุทูตหมด | ขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถี | ||
ถึงนิวเศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์ | ก็จรลีขึ้นบนมณฑิรา | ||
พร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาท | เดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนา | ||
ที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยา | พี่ก้มหน้านึกอายระคายใจ | ||
เขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่น | ได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัย | ||
แต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไร | จึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดิน | ||
แลดูเขาเขาดูอดสูแสน | ไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขิน | ||
ใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทิน | ทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดู | ||
จนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษ | กับสามิศแอบองค์ดำรงคู่ | ||
เสด็จออกคนเคยเผยประตู | เปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญ | ||
บรรดาลอร์ดล้วนขุนนางคอยย่างเยื้อง | เข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผัน | ||
มาออกทางทวาราข้างขวาพลัน | พวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไป | ||
เห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศ | กับทรงเดชสามิศพิสมัย | ||
พระบุตรีนงรามงามประไพ | ทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดา | ||
ยืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลด | แถวหลังหมดพระญาติวงศา | ||
แม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลา | เกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนคร | ||
ต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อ | นั่นแลคือบอกนามตามอักษร | ||
เสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทร | ให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดี | ||
ว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้น | จึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรี | ||
น้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันที | พระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกาย | ||
ก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์ | ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลาย | ||
แต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปราย | ให้คอยดูอยู่สบายข้างภายใน | ||
จนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้า | ข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัย | ||
อีกสามวันพระกุมารอันชาญชัย | พานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ | ||
๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่น | ชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนา | ||
เอากิ่งไม้ใส่ผลเปนผกา | ปักรายริมรัถยาตลอดแล | ||
บ้างยืนซ้องสองข้างทางถนน | ลงไปจนนาเวศเขตรกระแส | ||
คนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแช | ออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัย | ||
วันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำ | ช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไข | ||
มือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟ | เหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณ | ||
บนหนทางน้ำค้างที่ตกขัง | ดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้าน | ||
ลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญ | สนุกสนานตามประสาพวกทารก | ||
คนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่น | ด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอก | ||
แต่พอออกนอกทวารก็สั่นงก | ดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ | ||
๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชัก | ด้วยความรักชอบชิดสนิทสนอง | ||
จะพาชมคลังในที่ใส่ทอง | ทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมือง | ||
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมด | มาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่อง | ||
ครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรือง | ค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจร | ||
ดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วน | เห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขร | ||
ทั้งราตรีแลเวลาทิวากร | ทหารนอนเดินนั่งระวังระไว | ||
อันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐ | น่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัย | ||
แม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทย | ได้โภไคสักเท่านี้จะดีนัก | ||
เราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช | คงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์ | ||
ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรัก | ในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาล | ||
แต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมาย | ก็คลาดคลายกลับหลังยังสถาน | ||
ถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญ | จนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ | ||
๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้น | เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | ||
จะไปหาลอร์ดปามิศตอน | กับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาใน | ||
ครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึก | แลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสว | ||
ดูก็น่าผาสุกสนุกใจ | จึงเข้าไปในนั่งที่เก้าอี้วาง | ||
ฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับ | ออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมาง | ||
แกปราไสไต่ถามเนื้อความพลาง | ธุระอย่างไรนั่นพากันมา | ||
ราชทูตจึงแสดงแถลงเล่า | ว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนา | ||
ก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลา | คืนกรุงเทพมหานครคง | ||
ทั้งสองข้างสนทนาประสามิตร | ที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์ | ||
ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจง | ขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวน | ||
แล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่า | แจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วน | ||
เขารับความตามอารมณ์โดยสมควร | ต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุรา | ||
ก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึก | คนึงนึกโหยหวนรัญจวนหา | ||
รำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมา | จะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ | ||
๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบ | พี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่ | ||
พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดู | ท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์ | ||
ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุก | บันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษม | ||
ได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรม | หน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคน | ||
แม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวง | เรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสน | ||
หวนรำลึกนึกบ้านสถานตน | คล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยา | ||
มีสพานข้ามธารถึงแปดแห่ง | ทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนา | ||
บางสพานการถ้วนล้วนศิลา | ถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบา | ||
ในระยะเขตรสพานธารติดตื้น | กำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสา | ||
ก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนา | ไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพาน | ||
แม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้าง | แลสล้างเรือแพแซ่ประสาน | ||
บางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญ | บางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทย | ||
ตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อน | เขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผล | ||
ที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้ | หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำ | ||
มีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้าง | ไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำ | ||
ในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำ | บ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมี | ||
ได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตก | ไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถี | ||
จึงให้กลับคืนมาไม่ช้าที | ประทับที่หน้าท่าพากันจร | ||
ถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศ | อนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอน | ||
จนรุ่งแรงแสงศรีรวีวร | ปิ่นนิกรนาเรศเกศสกล | ||
รับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศ | นำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคน | จรดลสู่เขตรนิวเศน์วัง | ||
ด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมาย | ทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลัง | ||
มานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดัง | จะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปี | ||
จวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้น | จรจรัลตามทางหว่างวิถี | ||
ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรี | ตรงเข้าไปในที่พระโรงเรือง | ||
เสด็จออกบอกให้เปิดประตูผาย | เสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่อง | ||
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมือง | ตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกัน | ||
ฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์ | มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์ | ||
ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัล | พระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรง | ||
แล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้าย | ทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์ | ||
เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์ | แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลัน | ||
ฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้อง | เอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขัน | ||
แล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้น | คือสำคัญรักใคร่ในพระองค์ | ||
แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลัง | มาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์ | ||
ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจง | ดำเนินตรงเลยออกนอกทวาร | ||
พวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอก | ท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญ | ||
ทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญ | สทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกราย | ||
ครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์ | คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวาย | ||
อัคเรศรับสาราเสนานาย | แล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดล | ||
เขาทำตามความไขไว้แต่ก่อน | ที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์ | ||
จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคน | สุริยนเย็นพลับอับอัมพร | ||
เสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์ | สำราญจิตต์ภิญโญสโมสร | ||
ฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอน | เยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจา | ||
ว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษ | เสาวนิศจอมวังสั่งให้หา | ||
พวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชา | เข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้ | ||
พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์ | คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรี | ||
ก็รับคำอำลาไม่ช้าที | มาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษ | ดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหาย | ||
พี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลาย | จนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคล | ||
มาชำระสระสนานสำราญรื่น | ค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัย | ||
ต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไล | ขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วง | ||
ครั้นถึงวังจังหวัดราชฐาน | ก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์ | ||
จากรัถาพากันเดินดำเนินตรง | เข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินี | ||
ในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับ | เครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่ | ||
ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมี | เตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำ | ||
กระจกฉากหลากสลับสำหรับห้อง | ไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำ | ||
วิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำ | ประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดู | ||
เห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรี | กับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่ | ||
ข้างพวกเราเข้าไปในประตู | แล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกัน | ||
เธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้ | โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลัน | ว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเรา | ||
ก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อน | สโมสรสวัสดีไม่มีเศร้า | ||
แต่เราคิดเสียใจมิใช่เบา | ด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดู | ||
ราชทูตทูลพร้องสนองถ้อย | ช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหู | ||
ว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรู | ได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไป | ||
อันความหนาวคราวนี้มิสู้มาก | ไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้ | ||
พระเทพินจึงอวยอำนวยชัย | ว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์ | ||
จงไปดีอย่ามีระคายข้อง | ที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถม | ||
ตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคม | ให้เสร็จสมปราถนาสถาวร | ||
ท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนต | กราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศร | ||
ว่าเราขอน้อมกายถวายพร | ในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนรา | ||
ให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อน | จงถาวรยืนวันชันษา | ||
เสวยราชสมบัติวัฒนา | ขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์ | ||
อนึ่งการอันใดท่านได้รู้ | แลได้ดูเห็นตามความประสงค์ | ||
จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์ | ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจง | ||
พี่จึงแปลข้อความตามรับสั่ง | ให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลง | ||
แล้วทูลตอบพจมานสารแสดง | มิให้แหนงเคืองขัดหัทยา | ||
ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึง | สิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศา | ||
ได้รับรองมีสุขทุกทิวา | พระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัด | ||
การอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็น | ไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัด | ||
ให้ทรงทราบบาทาสารพัด | โดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลาย | ||
พระนงรามงามพริ้มยิ้มพยัก | แล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉาย | ||
จึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปราย | ความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนี | ||
ครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับ | ถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่ | ||
สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี | ก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนา | ||
พูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทด | คอยกำหนดวันวานนานหนักหนา | ||
ยังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลา | เร็วหรือช้าก็มิรู่ดูรำคาญ | ||
แล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์ | จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉาน | ||
ชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญ | ได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ | ||
๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้า | ดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวง | ||
มีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวง | อย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรอง | ||
ถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่ | ตาครูแก่รู้รสบทสนอง | ||
วิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกอง | ทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทย | ||
ในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้น | บ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัย | ||
ดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไร | แลวิไลสรวยสอาดประหลาดตา | ||
ถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้าย | มักปีนป่ายโลดโผนโจนถลา | ||
บางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มา | แล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คน | ||
เขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้อง | มีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหน | ||
นุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตน | ถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลย | ||
มีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติ | สารพัดดูแลไม่แชเฉย | ||
ทุกคืนวันโมงยามตามที่เคย | ให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากิน | ||
บ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วน | บ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้น | ||
คนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณ | ช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจ | ||
เฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวาน | ไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัย | ||
แกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไป | หวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์ | ||
ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับ | คืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสม | ||
แสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทม | แต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ | ||
๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์น | ของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์ | ||
กับสำเนาอีกฉบับกำกับกัน | ให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุง | ||
แล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมด | ขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่ง | ||
ถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุง | ดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมา | ||
ในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่าง | ล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนา | ||
แต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวา | เขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกัน | ||
ไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิต | ช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยัน | ||
ทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์ | สารพันนกปลาคณาเนือง | ||
ครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับ | ฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลือง | ||
เขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมือง | แอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวัน | ||
ก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมด | ขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผัน | ||
จะไปชมของดีที่สำคัญ | ในตึกนั้นหลากหลากมีมากมาย | ||
เขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่าง | ที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขาย | ||
อันชั้นสองชั้นสามทำแยบคาย | มีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คน | ||
เอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสี | ทำท่วงทีกิริยาน่าฉงน | ||
มีรูปองค์อัคเรศเกศสกล | กับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปน | ||
ทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์ | ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็น | ||
พร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญ | ที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมใน | ||
รูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลาย | บ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัย | ||
รูปขุนนางท่าทางแลวิไล | รูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญา | ||
บ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อน | แล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวา | ||
บ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตา | บ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทร | ||
รูปนารีไสยาช่างน่ารัก | ดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอน | ||
เห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอน | น่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจ | ||
บรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือ | กังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหม | ||
ให้ปรากฎตามยศทุกคนไป | ช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปน | ||
ดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตร | โดยสนิทได้ประสบมาพบเห็น | ||
ครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้น | ก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ | ||
๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เข้ามาแจ้ง | กล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์ | ||
อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์ | ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดน | ||
พี่ฟังคำดังอำมฤตรื่น | ให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสน | ||
ดังยาจกจนยากที่กากแกน | ได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนือง | ||
ก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอก | วายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้อง | ||
จะกลับหลังยังที่บุรีเรือง | ถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ | ||
๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง | พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา | ||
จึงชวนกันครรไลขึ้นไปลา | กรมท่าลอร์ดใหญ่ในนคร | ||
เขาต้อนรับนับถือจับมือหมด | ให้เปนยศภิญโญสโมสร | ||
แกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พร | ให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พาน | ||
แล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุข | บันเทาทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนาน | แสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ | ||
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำ | เวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัย | ||
ต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคล | ดูขวักไขว่อลวนสับสนกัน | ||
ใครมีที่ชอบชิดสนิทสนม | ก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์ | ||
ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครัน | บ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจ | ||
บ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รัก | บ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหล | ||
บ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัย | โรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบาง | ||
สงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้า | ทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวาง | ||
ล้วนนารีรูปรวยสวยสำอาง | จะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์ | ||
เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่ | บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนัก | ||
ด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนัก | ได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบาย | ||
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็น | ต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหาย | ||
เพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดาย | จำคลาศคลายล่วงลับกลับนคร | ||
สองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชัก | ก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอน | ||
พี่สุดแสนปรีดาสถาวร | ต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟ | ||
ออกจากกรุงลอนดอนนครหลวง | ก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศล | ||
มาถึงเมืองโดเวอเออกะไร | ช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือ | ||
แสนสนุกทุกตำบลถนนตึก | เห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือ | ||
มีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือ | ดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการ | ||
มิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้น | แล้วให้กินนานาภักษาหาร | ||
ครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญ | สบายบานหยุดพักสำนักเนา | ||
จนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่น | ดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขา | ||
พายุจัดพัดผันไม่บันเทา | เขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลัง | ||
ให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อน | ข้ามสาครตรงไปดังใจหวัง | ||
พวกเราเมาคลื่นซมล้มประนัง | จนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรี | ||
เรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่า | แถวชลาแขวงแควกระแสศรี | ||
เมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนที | แลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้น | ||
คือฟากฝั่งข้างอิงแคลนแดนอังกฤษ | เมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์ | ||
ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกัน | เก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ | ||
ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าว | จะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศร | ||
เปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทร | สถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนา | ||
กำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์ | ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษา | ||
แต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำรา | เพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มี | ||
อยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือ | แต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถี | ||
ที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรี | พฤกษาศรีเบาบางห่างห่างราย | ||
มีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อย | กำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขาย | ||
ตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวาย | ประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตา | ||
เมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์ | ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนา | ||
ไม่มีกำแพงรอบขอบบุรา | ตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดน | ||
มีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อย | เปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสน | ||
วัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลน | ดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ | ||
๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลาย | ทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียน | ||
ทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียน | ช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจง | ||
ละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้ | เขาทำที่ตึกรามงามระหง | ||
มิได้ไปเที่ยวรำตามจำนง | เล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วัน | ||
ครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศ | ก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสัน | ||
กระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยัน | บันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรี | ||
ก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนด | จึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่ | ||
ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคี | สุดแต่มีเงินให้เปนได้ยล | ||
ข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้า | แล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสน | ||
ถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจน | อยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอน | ||
ต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อย | ชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อน | ||
แต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอน | ด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ | ||
๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้ | กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนา | ||
ที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมา | อยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบล | ||
ถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้าง | ครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสน | ||
แม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจน | ก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้ | ||
ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลาย | เปนแต่อายอัประมาณการอดสู | ||
ลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครู | อุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางพอเอา | ||
ตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์ | ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอ | ||
มีสักสองพันแห่งแต่งลออ | พร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยา | ||
คุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วน | ก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนา | ||
คนข้างในเขามิได้พันธนา | เครองตรึงตราตรากตรำไม่จำจอง | ||
เปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้ | ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของ | ||
ไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกอง | ต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไป | ||
พวกทหารคอยระวังตั้งรักษา | พร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหว | ||
ลุกกระสุนดินดำประจำไว้ | สำหรับได้รบรันประจัญบาน | ||
ในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาด | ที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนาน | ||
ทั้งทสอนสาสนามีอาจารย์ | รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟัง | ||
ให้หมออยู่คอยดูอาการไข้ | เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขัง | ||
ใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวัง | ไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือน | ||
ที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้า | ก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือน | ||
อันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือน | พอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกัน | ||
แต่ของกินสารพัดจะขัดสน | ให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญ | ||
ถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ | จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียว | ||
ผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผย | ถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียว | ||
แสนลำบากยากจนอยู่คนเดียว | กินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ | ||
๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่ง | คนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนา | ||
ที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวา | บ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทาง | ||
เอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐ | แล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวาง | ||
สำหรับม้ารถไปเอาไว้กลาง | ริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้ว | ||
ปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษ | ทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้ว | ||
กว้างประมาณห้าศอกออกตลิว | แลเปนทิวขวักไขว่คนไปมา | ||
ถนนรายมีนายอำเภออยู่ | ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษา | ||
ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตรา | ทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์ | ||
ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนน | งามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐ | ||
บนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศ | แลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลา | ||
มิได้ปักปนคู่ดูจังหวะ | ไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนา | ||
ในระหว่างห่างราวสักสิบวา | ให้แสงมาส่องต่อกันพอดี | ||
ไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศ | ดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรี | ||
ประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคี | ไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมัน | ||
เปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติด | แปลกชนิดธรรมดาวิชาขยัน | ||
เมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญ | ที่ควงขันบิดขวับพออับลม | ||
เปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วง | ก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สม | ||
อันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดม | ทุกนิคมใช้การในบ้านเรือน | ||
แต่บรรดาตึกรามดูงามงด | ทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือน | ||
หนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือน | ที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มี | ||
บางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น | ตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถี | ||
บางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดี | ทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไป | ||
บ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหก | หลังคาตกแบนแต้แปล้ไถล | ||
บานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไว | บานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรู | ||
มีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้า | ให้บังตาข้อรำคาญการอดสู | ||
กระดาษลายปิดฝาก็น่าดู | พื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดี | ||
จะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้ | ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐี | ||
ริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคี | พอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบาย | ||
แล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอด | ให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหาย | ||
คนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชาย | ต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนา | ||
จึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่น | ด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนา | ||
ทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรา | มีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอ | ||
ถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่ง | อย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอ | ||
ต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอ | ยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนาม | ||
ถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่ง | เหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขาม | ||
บางทีเข้ารับใช้ดังชายทราม | ทำการตามนายสั่งทุกอย่างไป | ||
อันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้อง | อิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัย | ||
จะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจ | นายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิต | ||
จะออกหากินบ้างอยู่ต่างหาก | ความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์ | ||
ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิด | ทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการ | ||
ตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนน | ในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐาน | ||
เขาขายของต่างต่างเปนห้างร้าน | ช่างคิดอ่านหากำไรได้สบาย | ||
มีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่าง | เครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขาย | ||
เครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลาย | บ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชาม | ||
อันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่ง | อิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลาม | ||
ทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงาม | สิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนง | ||
แม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนา | เที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์ | ||
แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรง | ไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ | ||
๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหล | เหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่น | ||
แต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้น | นามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์ | ||
มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อย | เที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษม | ||
ทำท่วงทีที่ทางสำอางเอม | น่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวง | ||
คอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่อง | ไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวง | ||
อันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวง | ชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลม | ||
ฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้า | บางรัถาสองคู่ดูพอสม | ||
บ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคม | บ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบัน | ||
คอยรับจ้างตามทางแถวถนน | ที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผัน | ||
เขาทำงามตามอย่างต่างต่างกัน | บางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มี | ||
บางรถคนนั่งข้างในได้แต่สอง | บ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่ | ||
ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดี | อีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาว | ||
แต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำ | ออกคลาดคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | ||
บนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราว | เปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลัก | ||
รถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมาก | ไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนัก | ||
เสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนัก | ออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ | ||
๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยม | ไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริด | ||
คือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศ | ในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกล | ||
หนทางที่รถเดินดำเนินนั้น | ทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหว | ||
ดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไป | ถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวง | ||
ถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่น | เสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวง | ||
ถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวง | จะข้ามห้วงนทีมีสพาน | ||
ล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น | ให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถาน | ||
ถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การ | ก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควร | ||
แล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสอง | บางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วน | ||
ทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวน | ทางที่มามาล้วนไม่มีไป | ||
ด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลก | จึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัย | ||
ซึ่งเรียกหาปรากฎว่ารถไฟ | ใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกัน | ||
อันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้า | ผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหัน | ||
ถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครัน | แรงขยันเหลือล้นพ้นกำลัง | ||
จะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนัก | ด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลัง | ||
เจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปยัง | กำหนดตั้งตำราว่าไว้มี | ||
ชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผัน | ถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถี | ||
รถที่ไปใส่ขอต่อกันดี | จัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวน | ||
รถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่อง | เปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วน | ||
ห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควร | หมดประมวญสามห้องสิบสองคน | ||
มีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่น | ทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขน | ||
แล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบน | จะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดี | ||
ข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิด | ให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่ | ||
สำหรับบังสุริเยศวิเศษดี | ล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตา | ||
รถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่อง | ในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝา | ||
นั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามา | แต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลง | ||
ยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำ | แกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์ | ||
คนยากจนหยากไปใจจำนง | ค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลา | ||
แต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้อง | จำจะต้องปนปะคละกันเข้า | ||
เก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพรา | อนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มี | ||
รถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของ | ช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่ | ||
บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชี | ทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ | ||
๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่ง | ช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศร | ||
คนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอน | หรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทาง | ||
ผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลาย | ให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่าง | ||
ไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์ | ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพร | ||
ริมวิถีมีเสายาวหกศอก | ตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอน | ||
แต่ประมาณการแลไม่แน่นอน | ระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวา | ||
บนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่ว | ที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศา | ||
สำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจา | ด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลม | ||
ใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่ | เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสม | ||
อยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคม | แต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไป | ||
จนนครราชสิมาหรือกว่านั้น | จะบอกกันไปมาหาช้าไม่ | ||
เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใด | ได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความ | ||
เราคนนอกบอกเองนั้นมิได้ | ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถาม | ||
คนต้นลวดที่รักษาพยายาม | ก็ทำตามลัทธิเคยตริตรอง | ||
คนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้อง | ต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของ | ||
เขาพูดมาว่ากะไรในทำนอง | คนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกัน | ||
จึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อ | การตอบต่อเหตุผลชอบกลขัน | ||
ถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญ | ลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ | ||
๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวง | คนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียร | ||
สร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียน | ทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งาม | ||
พื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษ | ดูดังลาดพรมดีไม่มีหนาม | ||
เขียวสดสีหรดานประสานคราม | ใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรก | ||
บรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อ | เย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปก | ||
ไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนก | มีทางบกทางเรือเหลือสบาย | ||
แม่น้ำด้วนอยู่กลางระหว่างป่า | ชายชลาริมแควกระแสสาย | ||
แลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทราย | ทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญ | ||
น้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์ | ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนาน | ||
ที่แถวท่าวารีนทีธาร | ทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจง | ||
มีนาวาหลายลำประจำไว้ | ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์ | ||
จะไปชมลำน้ำตามจำนง | เอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือ | ||
หยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้น | สมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือ | ||
ขายสุราอาหารคอยจานเจือ | สนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอน | ||
อันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้าง | แลสล้างคนผู้ดูสลอน | ||
เวลาเย็นสุริยาทิพากร | ราษฎรคลาไคลไปประชุม | ||
ทั้งผู้ดีเช็ญใจมิได้ว่า | ต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุม | ||
บ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุม | ที่ได้พุ่มพฤกษาน่าสบาย | ||
บ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติ | บ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลาย | ||
บ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปราย | สตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวล | ||
หนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์ | ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวน | ||
ขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวน | เฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไป | ||
เขาแต่งตนงามงามตามภาษา | ใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหม | ||
แต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทย | ขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชาย | ||
เท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขา | ดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหาย | ||
คล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควาย | แต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงง | ||
ถึงพาชีมีพยศจะห้อหก | ทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยง | ||
ไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลง | เปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ | ||
เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมาก | บางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหา | ||
ซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวา | ปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดง | ||
แล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัด | เลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์ | ||
กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพง | มฤคยงย่องหยัดระบัดกิน | ||
แล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุข | แสนสนุกตามจิตต์คิดถวิล | ||
บ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดิน | ในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานก | ||
พวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติ | ครั้งได้สัตว์สมหมายสบายอก | ||
แบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยก | ให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกัน | ||
ที่เปนคนจนยากลำบากเหลือ | ได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝัน | ||
ไปวางขายในตลาดไม่ขาดวัน | สารพันหลายหลากดูมากมี | ||
ทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะ | อิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่ | ||
เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดี | เนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลา | ||
เต่าตนุม่านลายเขาขายมาก | ใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนา | ||
ในตลาดมิได้ขาดสักเวลา | ผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทราม | ||
เห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัด | สารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถาม | ||
ช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความ | ถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักครา | ||
คนสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่ง | โดยลำพังจัดแจงแสวงหา | ||
เมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครา | นางพระยาโปรดให้อาศรัยพัก | ||
ในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุข | ที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์ | ||
ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานัก | ด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวัง | ||
เมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่าง | ตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวัง | ||
จึงแต่งกายดูให้งามตามกำลัง | ใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้ | ||
นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวี | ก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัย | ||
เข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟ | เอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียง | ||
ที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัด | ประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยง | ||
น้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียง | แล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลัน | ||
ครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้า | อุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยัน | ||
เอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอัน | พอจุดไฟในนั้นตลอดคืน | ||
ที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่ | เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืน | ||
มิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืน | เปนที่ชื่นวิญญาน่าสบาย | ||
แล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษา | ใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหาย | ||
มาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวาย | บุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศ | จรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหา | ||
เวลาก่อนเสพย์รสโภชนา | คนบรรดาที่สำหรับเคยรับการ | ||
ยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้ง | ขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวาน | ||
กับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาล | ให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไป | ||
ครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวย | เป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหว | ||
ทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้ | ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลน | ||
เวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผล | กินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสน | ||
ขนมจืดขนมหวานจานแบนแบน | อีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปน | ||
พอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้า | มิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญ | ||
ปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็น | ไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือน | ||
ถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟ | โดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือม | ||
เวลากินมิให้พักต้องตักเตือน | ไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญา | ||
ขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหน | ถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนา | ||
จะกินของดีดีมีราคา | สั่งบรรดาคนใช้เปนได้การ | ||
คงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้ | แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขาน | ||
แม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้าน | มีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกล | ||
คงบอกไปโดยสายเตเลคราฟ | ข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้ | ||
เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัย | มารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ | ||
เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้น | จะผายผันคลาไคลใจถวิล | ||
ถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์ | คงสมจินตนานึกที่ตรึกตรา | ||
จะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์ | ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนา | ||
หรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชา | ตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยม | ||
จะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่น | ของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสม | ||
ต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชม | อย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวง | ||
ด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสร | มีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวง | ||
ให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวง | จะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณ | ||
แต่วันทูตถึงพักนัคเรศ | ในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาล | ||
สี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวาร | จึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย | ||
๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำ | ชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉน | ||
จะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัย | ลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนาน | ||
ครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศ | ค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์ | ||
มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการ | จึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจร | ||
ขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึก | จนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอน | ||
ครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวร | ก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลัน | ||
แล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่ว | ดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผัน | ||
สักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญ | ทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวน | ||
พร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษ | รักษาเขตรขอบแดนแสนสงวน | ||
ตั้งสง่าน่าชมช่างสมควร | ใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญ | ||
บ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนัก | แวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผล | ||
แล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดล | สุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็น | ||
ถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้าง | สิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้น | ||
มิศเฟาล์นำเข้าไปในโฮเต็ล | สำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมา | ||
เมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือ | ล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษา | ||
คนที่ในธานีย่อมปรีชา | เรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ | ||
ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่ง | เข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัย | ||
แล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทย | ไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์ | ||
มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนก | ช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขัน | ||
รูปมนุษย์หญิงชายมากมายครัน | สิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางราย | ||
บ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาด | ชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลาย | ||
ของพม่ามอญลาวชาวทวาย | ล้วนแยบคายชอบกลให้คนดู | ||
ได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้ง | เฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหู | ||
โอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรู | เข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรา | ||
รำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับ | แต่นั่งนับวันคิดขนิษฐา | ||
พอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยา | จนเวลาผ่องพื้นโพยมบน | ||
ชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศ | เที่ยวประพาสร้านห้างทางถนน | ||
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยน | ก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ | ||
๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้ | เสนาในเชิงชาญการขยัน | ||
ให้คุมรถงดงามทั้งสามคัน | มาเรียงรันรอประทับกับทวาร | ||
คนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้า | ท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหาร | ||
ยืนประจำทำสง่าท่าทยาน | สวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณ | ||
มาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้า | พระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์ | ||
ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณ | ครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถ | ||
ไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์ | โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมด | ||
จนสองโมงสุริยงเธอลงลด | พระทรงยศจึงเสด็จประเวศมา | ||
กับเอกองค์มเหษีนารีราช | ยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขา | ||
เกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลา | ตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญ | ||
เอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎ | พร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหาร | ||
อันเอกองค์กัลยายุพาพาน | แต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงาม | ||
พวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศ | พระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถาม | ||
อีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตาม | ที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรี | ||
สนทนาทูตานุทูตถ้วน | ให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรี | ||
พอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลี | เข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์ | ||
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด | ขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถาน | ||
แล้วไปชมวัดใหญ่สบายบาน | น่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ | ||
๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพ | พระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหง | ||
นะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์ | สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปี | ||
แต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝัง | ใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรี | ||
เธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานี | พระองค์นี้คือหลานผ่านนคร | ||
จึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพ | ด้วยเคารพทรงพระอนุสร | ||
กตัญญูรู้คุณอันสุนทร | ให้ถาวรเกียรติยศปรากฎไป | ||
อันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่ | ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้ | ||
คเนนึกโดยลึกกำหนดใจ | เห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้น | ||
แต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาว | ลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์ | ||
ที่สำหรับรับศพมีครบครัน | อยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลาย | ||
โมราดีสีดำทำประดับ | แลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉาย | ||
คิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคาย | ของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการ | ||
ได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึก | อนาถนึกข้อนอุราน่าสงสาร | ||
ขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลาน | เหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วาย | ||
จนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขร | ดารากรลับฟ้าเวหาหาย | ||
กระจ่างแจ้งสุริยันพรรณราย | ก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวาร | ||
พอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์ | จึงชวนชักกันออกนอกสถาน | ||
เปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์ | ต้องรับการแทนทูตไปพูดจา | ||
เที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่ง | อีกตำแหน่งมนตรีมียศถา | ||
ครั้นสำเร็ตเสร็จสรรพก็กลับมา | กินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญ | ||
แต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศ | ถ้าจะคิดวันต้นจนอวสาน | ||
เจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านาน | ครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ | ||
๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น | เกษมสันต์ภิญโญสโมสร | ||
ขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนคร | เข้าดงดอนแดนป่าพนาเนิน | ||
จะเชยชมสกุณาพฤกษาไสว | ที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขิน | ||
พอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลิน | รถก็เดินวับวู่ดูไม่ทัน | ||
ถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อ | ไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขัน | ||
อันปักษินแม้จะบินแข่งพนัน | อย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ | ||
ไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่ง | ทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะ | ||
เขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะ | สำหรับจะได้หยุดสุดสำราญ | ||
ถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนัก | ให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหาร | ||
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทาน | ไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืน | ||
น้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือ | ถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืน | ||
เอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืน | สุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ | ||
ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่ง | ก็ลุถึงแขวงแควกระแสใส | ||
มีบุรีริมที่ชลาลัย | ขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคัน | ||
นามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซ | อยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขัน | ||
มิศเฟาล์นำหน้าพาจรัล | ก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ล | ||
แต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผล | จนมาเซสามหมื่นหกพันเส้น | ||
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น | ก็จำเปนขึ้นรถบทจร | ||
พอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอก | ระอาออกอ่อนใจฤทัยถอน | ||
อยู่บนบกวกลงมาในสาคร | จะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทน | ||
แล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศ | สุริเยศลับหล้าเวหาหน | ||
ยังไม่จรถอนสมอจรดล | ด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครัน | ||
คอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้า | ยิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสัน | ||
แสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบัน | จำจากกันอนิจจานึกอาลัย | ||
เคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง | มาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหล | ||
เขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจ | มิได้ให้ขุ่นข้อมหมองวิญญา | ||
จะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวง | ก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนา | ||
อุส่าห์สู้พยายามติดตามมา | จนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดน | ||
เมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับ | ให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสน | ||
ถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลน | เสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดา | ||
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์ | เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้า | ||
ต้องไกลกลับลับเนตรเวทนา | ทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ | ||
เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาด | จะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอ | ||
น้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอ | เปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวง | ||
มิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อย | ค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์ | ||
พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนง | หวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเรา | ||
แต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวก | กลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่า | ||
ทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบา | ควรรักเขานับถือว่าซื่อตรง | ||
พอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับ | หทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลง | ||
ใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์ | ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลาย | ||
แล้วหักห้ามความโศกให้ห่างเศร้า | อะไรเรามัวหมางไม่ห่างหาย | ||
มิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชาย | ต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมีย | ||
ครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์ | มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสีย | ||
ที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนีย | ละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจ | ||
มาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะ | เกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหล | ||
ชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไป | ได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ | ||
ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้ง | ถึงตำแหน่งธานีที่สถาน | ||
แวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาล | พอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไล | ||
แอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่ง | จนสุเอศเขตรลงชลาไหล | ||
อันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจ | เขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญ | ||
ครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผัน | ฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญ | ||
ให้ใช้จักรมากลางทางกันดาร | สี่วันวารถึงท่าหน้าบุรี | ||
ชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้ง | เคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ยังจำได้สารพัดถนัดดี | ด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบล | ||
เจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับ | ก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสน | ||
บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคน | จรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวัง | ||
ขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับ | ต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลัง | ||
แล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟัง | เจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมา | ||
มีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำ | ได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้า | ||
ว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลา | แม้กลับมาถึงเขตรประเทศเรา | ||
จงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อน | ให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขา | ||
จัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบา | ประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้ | ||
สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์ | โดยจำนงจินดาอัชฌาสัย | ||
อย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจ | กว่าจะได้จรดลพ้นนคร | ||
ถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศ | ขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อน | ||
ราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทร | จึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความใน | ||
เราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบ | แต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้ | ||
ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทย | ถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการ | ||
ฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้น | จะผายผันจากบุเรศประเทศสถาน | ||
เจ้าไกโรมีกำหนดพจมาน | ให้นายล่ามพนักงานที่ดูแล | ||
ไปตามส่งลงถึงลำกำปั่น | ยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแส | ||
ราชทูตตอบความให้ล่ามแปล | อย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจ | ||
เสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับ | ทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัย | ||
กำหนดถ้วนสามวันก็ครรไล | ขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ | ||
๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับ | คนสำหรับนำหน้าม้าทหาร | ||
เชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาล | ในสถานโฮเต็ลเปนสบาย | ||
อยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่าม | มาแจ้งความตามเค้าเล่าขยาย | ||
ว่าสุเอศเขตรแควกระแสชาย | เขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการ | ||
ซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับ | ให้มารับทูตไทยดังบรรหาร | ||
บัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวาน | สุดแท้จะโปรดปรานประการใด | ||
ได้ฟังสารปานอำมฤตรส | ที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใส | ||
ครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไร | สำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ | ||
จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่ง | บ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรม | ||
จะเร่งไปใจตรึกนึกนิยม | หวังไปชมเพื่อนยากที่จากจร | ||
ชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุด | ด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมร | ||
เวลาค่ำยามหนึ่งถึงนคร | ชโลทรท่าสุเอศเขตรทเล | ||
ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่ | มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเห | ||
แสนวิตกอกโอ้มาโรเร | นึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวง | ||
เรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่ | เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวง | ||
จะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวง | ในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทาง | ||
คนที่คอยส่องกล้องมองเขม้น | พอแลเห็นเรือไฟใบสล้าง | ||
สำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลาง | ว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทย | ||
ไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบ | ด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไข | ||
หนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจ | ที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคาย | ||
ทั้งอาหารการกินก็ขัดสน | ไม่มีคนหยากมาคิดค้าขาย | ||
เมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบาย | ของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมี | ||
ท่านจะไปไกโรหรือไฉน | ตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่ | ||
ราชทูตตอบต่อข้อคดี | มาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควร | ||
อันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้ | มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญ | ||
อั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญ | หมดประมวญจะขออยู่ในบูรี | ||
จนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับ | จะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรี | ||
ฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคี | จึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจง | ||
ถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉน | ให้คนไปแจ้งความตามประสงค์ | ||
คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนง | แล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ | ||
๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้น | ถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษร | ||
ว่าเรือรบที่มากลางสาคร | จะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วัน | ||
แรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึก | ก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผัน | ||
เหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตัน | เรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมือง | ||
ครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้า | กัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่อง | ||
จะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรือง | แต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือ | ||
สนิมหนักจักรจัดต้องขัดสี | ให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือ | ||
กับสะเบียงอาหารจะจานเจือ | ของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติม | ||
ได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อน | เหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริม | ||
โอ้ทนทุกข์เวทนาแต่เดิม | จะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ | ||
๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่าย | แสนสบายเบาใจดังได้เหาะ | ||
ลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะ | ให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเล | ||
ถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่น | ก็แช่มชื่นชักชวนกันสวรลเส | ||
แสนสุขาอารมณ์สมคเน | บ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจา | ||
กัปตันให้ยิงสลูตทูตสยาม | คำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษา | ||
สิบเก้านัดจัดไว้ในตำรา | ธรรมดารับทูตสลูตปืน | ||
ข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่ง | ตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืน | ||
มาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืน | ล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์ | ||
จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศ | นึกอนาถน่าคิดพิศวง | ||
เปนไฉนไยหนอพระสุริยง | จึงตกลงในที่นทีธาร | ||
เมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่อง | ขึ้นจากท้องวังวลชลฉาน | ||
หรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการ | ว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอ | ||
พระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อน | แต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโข | ||
อันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โต | เราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไร | ||
พอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้ง | เสียงจักรดังดูธารสท้านไหว | ||
ออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชย | เลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ | ||
๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะ | ริมระยะแขวงแควกระแสศรี | ||
เปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรี | ดูบุรีโซเซเกเรเกนัง | ||
ถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือพอ | จะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวัง | ||
ต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟัง | เที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มี | ||
ได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำ | พอประจำใช้พลางกลางวิถี | ||
ต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรี | แล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ | ||
๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถาน | ป้อมปราการเอเดนเปนศิงขร | ||
ก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทร | ให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญ | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศ | ผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉัน | ||
บรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกัน | ฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการ | ||
ราชทูตรับตามเนื้อความสิ้น | เขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหาร | ||
ให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงาน | อภิบาลเภทภัยระไวระวัง | ||
แล้วจัดแจงนาวาให้มาส่ง | โดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
ขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพัง | ได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคล | ||
ลงกำปั่นผันผายออกจากที่ | แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหว | ||
มาหลายวันสลาตันค่อยซาไป | กัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชาย | ||
ขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสา | เมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงาย | ||
มากระทบถูกสีข้างแทบวางวาย | จนเจียนตายตกน้ำระยำยับ | ||
เหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่ง | ปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับ | ||
เอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับ | แล้วพากลับคืนมาไม่ช้าที | ||
หมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนัก | ซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่ | ||
จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดี | ให้นอนที่เปลไปหลายเวลา | ||
แล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง | อยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษา | ||
ฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยา | สักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ | ||
๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อย | เปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถี | ||
สลาตันพัดกล้าจนนาวี | เกือบเสียทีอับปางลงกลางคัน | ||
ลูกเรือทำการงานพานจะขัด | ด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหัน | ||
แต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทัน | เสาสะบั้นหักยับทับลงมา | ||
ใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อน | พี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนา | ||
ละลอกจัดพัดเข้าในนาวา | บนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพ | ||
ทีชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่า | ดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหน | ||
บ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแย | เสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวาย | ||
บ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลด | แสนกำสรดสุดที่คิดหนีหาย | ||
บ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีราย | ถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บน | ||
บ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วย | อย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหน | ||
บ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์ | จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราว | ||
บ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่ง | บ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาว | ||
อสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราว | ทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียน | ||
ถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อย | ดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียน | ||
เหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียน | สะอิดสะเอียนอกใจไม่สบาย | ||
ละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่น | นภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบาย | ||
สักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกาย | พอฝนหายสลาตันนั้นก็ซา | ||
กัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสา | อีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนา | ||
แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา | ในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ | ||
๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศ | ถึงประเทศเกาะลังกามหาสถาน | ||
มีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธาร | แต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลี | ||
สำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่า | เรือไฟมาในระหว่างทางวิถี | ||
ถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มี | เข้าจอดที่รับขนมาจนพอ | ||
ครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าว | เสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอ | ||
เจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอ | ลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจร | ||
ให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศ | เปนขอบเขตรตึกโตสโมสร | ||
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร | ลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงาม | ||
ป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหาร | เขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยาม | ||
เสียงนกฉาดไฟปราดประกายวาม | ครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิง | ||
พวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศ | ดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิง | ||
แต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริง | ถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอัง | ||
หนทางทูตจรลีมีทหาร | เคียงขนานถือปืนยืนสพรั่ง | ||
เหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพัง | พวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญ | ||
สิริรวมพลปืนยืนคำนับ | เขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวน | ||
ในบาญชีมีกำหนดจดจำนวน | นับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดี | ||
มาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับ | รถประทับแล้วครรไลเข้าในที่ | ||
ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมี | ตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองาม | ||
ให้สองชายนายถนนคนฉลาด | ทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขาม | ||
มาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายาม | ระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ | ||
๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผา | เจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมาน | ||
ให้พวกทูตหกนายชายชำนาญ | ไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวน | ||
ราชทูตพูดจาประสามิตร | ต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวน | ||
เขามานั่งสนทนาเวลาควร | ก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอน | ||
จนแสงสายสุริยนพ้นบรรพต | จึงให้รถมารับสลับสลอน | ||
ต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกร | ขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลัน | ||
กินสำเร็จเสร็จการวิสาสะ | สิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผัน | ||
แล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมัน | ดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรง | ||
เร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่า | ปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลง | ||
ดังหนึ่งเทพดามาสำแดง | ให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการ | ||
ออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระ | สาธุสะใครหนอก่อวิหาร | ||
ทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญ | อยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนิน | ||
มีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้าง | ทำที่ทางควรจะสรรเสริญ | ||
แต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญ | ทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไร | ||
แม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่า | อย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้ | ||
ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทย | เอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ | ||
๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนัก | ก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษา | ||
ว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมา | ถึงลังกาธานีก็ดีครัน | ||
จำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้ว | เหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์ | ||
ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกัน | เจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความใน | ||
บอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมาย | แห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัย | ||
เขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไป | ตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคือง | ||
แต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุ | ประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่อง | ||
สถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรือง | อยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้น | ||
แม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศ | อันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยัน | ||
หนทางไกลไปลำลองสักสองวัน | แม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลา | ||
จนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สม | โดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนา | ||
คิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมา | ราวสักห้าหกวันเปนมั่นคง | ||
ในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้าย | มักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผง | ||
เรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลง | แต่คนตายวายชีวงก็มากมาย | ||
อันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขัน | พวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหาย | ||
ไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบาย | คงผันผายมิให้ข้ามสามทิวา | ||
ท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุ | โดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนา | ||
ข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลา | ออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัย | ||
ถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียน | พอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไข | ||
ด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจ | เห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปาง | ||
ครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่า | จึงจะมารับรองอย่าหมองหมาง | ||
ราชทูตคิดสงสัยใจระคาง | ว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทย | ||
ไม่นับถือพุทธบาทสาสนา | จึงพูดจากลับแกล้งแถลงไข | ||
เอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไป | หมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์ | ||
ขณะทูตพูดกับนายกำปั่น | มีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญ | ||
อยู่วัดในคาลีที่สมภาร | อีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมา | ||
เยี่ยมเยียนทูตเมื่องไทยเหมือนใจหมาย | คุณพระนายท่านจึงถามตามภาษา | ||
เปนข้อไขในมคธพจนา | ชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกัน | ||
ทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์ | อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผัน | ||
ไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตัน | ก็เปนอันจนในมิได้จร | ||
จึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้ | ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์ | ||
เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวร | ใช่ว่าจรโดยขนาดราชการ | ||
ซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผาย | ออกแล่นล่องท่องสายกระแสสาน | ||
จนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานาน | ทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควร | ||
ครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่ | ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวน | ||
ว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญ | เห็นแต่ล้วนการยากลำบากที | ||
ถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อน | แล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่ | ||
อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดี | จะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยา | ||
กัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้น | เกษมสันต์แสนโสมนัศา | ||
แต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกา | ได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไล | ||
ตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่ง | โดยจำนงจงจิตต์พิสมัย | ||
แล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคล | คิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืน | ||
สู้มาส่งจนลงถึงกำปั่น | ด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืน | ||
ตามหนทางจรจรัลทหารปืน | ดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมา | ||
เขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัด | แล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่า | ||
กำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลา | พระพายพาล่องแล่นแสนสำราญ | ||
ค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่ง | เรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉาน | ||
กำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวาร | ถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึง | ||
จวบประสบพบมิตรขนิษฐา | มาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึง | ||
เวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึง | คิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ | ||
๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้ง | ลงมานั่งไต่ถามความปฐม | ||
ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคม | ค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย | ||
พระพิเทศพานิชจิตต์จงรัก | ในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย | ||
ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทย | ขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน | ||
มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้าง | เปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน | ||
มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญ | พินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์ | ||
เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผัน | ลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน | ||
มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจร | ริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง | ||
ยิงสลูตทูตตามความคำนับ | หูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง | ||
รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียง | ครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได | ||
ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐาน | ค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย | ||
เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัย | ยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที | ||
ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าว | มันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี | ||
รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานี | เขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง | ||
จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์ | คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง | ||
ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบัง | หมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี | ||
พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้น | ก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี | ||
เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรี | โดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน | ||
ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่น | ได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส | ||
จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกร | ครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ | ||
๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึก | อึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา | ||
ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดา | สักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ | ||
พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูต | ขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ | ||
ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับ | บ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์ | ||
ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถา | ไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์ | ||
พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์ | จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง | ||
แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่น | หมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง | ||
ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวาง | หัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ | ||
เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษ | แรมทุเรศมาในแควกระแสใส | ||
ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัย | คลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ | ||
๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำ | เห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี | ||
ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑี | ก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน | ||
ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือ | เรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน | ||
เร่งโรยรอกนาวาลงสาคร | ให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา | ||
เห็นเรือโบตสามลำประจำที่ | กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า | ||
พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวา | นายรักษาอยู่ประจำลำละคน | ||
บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ด | ครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน | ||
ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดล | ฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน | ||
ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วน | พระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน | ||
ได้สมหวังกลับยังนครคืน | ก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ | ||