นิราศพระยามหานุภาพไปเมืà¸à¸‡à¸ˆà¸µà¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 17:18, 24 สิงหาคม 2556 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: พระยามหานุภาพ
บทประพันธ์
๏ สรวมชีพบังคมบรมนารถ | |||
ด้วยภักดีชุลีลาบาท | อภิวาทขอเบื้องพระบารมี | ||
เป็นร่มโพธิ์สุวรรณกั้นเกศ | ไปประเทศกวางตุ้งกรุงศรี | ||
เป็นจดหมายมาถวายด้วยภักดี | ตามที่ได้สดับเดิมความ | ||
แรกราชดำริตริตรองถวิล | จะเหยียบพื้นปัถพินให้งามสนาม | ||
จะสร้างสรรค์ดังสวรรค์ที่เรืองราม | จึงจะงามมงกุฎอยุธยา | ||
เมื่อไอศูรย์สมบูรณ์ด้วยสมบัติ | กับกษัตริย์ราชคฤคฤๅหา | ||
เคยร่วมพื้นยืนแผ่นสุวรรณมา | แต่นิราเสื่อมเศร้ามาเนานาน | ||
เสื่อมสนองโดยครองกระษัตริย์ชาติ | เสื่อมราชไมตรีไม่มีสมาน | ||
เสื่อมสวาทขาดมาก็ช้านาน | จะประมาณยี่สิบสี่ปีปลาย | ||
จึงทรงคิดจะติดความตามปฐม | สำหรับราชบรมกระษัตริย์สาย | ||
จึงแผ่พื้นสุวรรณพรรณราย | เอาแยบคายฝั้นเฝือเป็นเครือวัลย์ | ||
เอาทับทิมแทนใบใส่ดอกเพชร | งามเสร็จสมบูรณ์ทุกสิ่งสรรพ์ | ||
งามทางทั้งจะสร้างเขตคัน | งามสรรค์ทรงคิดคดีงาม | ||
ควรเป็นจอมจุลจักราราช | แล้วเสด็จบัลลังก์อาสน์ออกสนาม | ||
แย้มพระโอษฐ์ประดิพัทธตรัสความ | อำมาตย์หมู่มีนามประนมฟัง | ||
ได้ยินพร้อมยอมอวยแล้วอภิวาท | กราบบาทด้วยคำนับแล้วรับสั่ง | ||
ทูลโดยลำดับมาเป็นตราตรัง | ที่หยุดแล้วจะยั้งยืนควร | ||
จึงพระบาททรงราชนิพนธ์สาร | เป็นตะพานนพคุณควรสงวน | ||
ให้เขียนสารลงลานทองทวน | จัดส่วนบรรณาการละลานตา | ||
อนึ่งนอกจิ้มก้องเป็นของถวาย | ก็โปรยปรายประทานไปหนักหนา | ||
ทั้งนายห้างขุนนางในนัครา | ให้มีตราบัวแก้วสำคัญกัน | ||
แล้วจัดทูตทูลคำให้จำสาร | บรรณาการพร้อมสิ้นทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ทั้งของแถมแนมความนั้นงามครัน | เป็นกำนัลถวายนอกบรรณาการ | ||
แล้วทรงสั่งสิ่งของเป็นสองเหล่า | อย่าควบเข้าแบ่งพร้องเป็นสองฐาน | ||
ฝ่ายทูตนั้นให้ว่าบรรณาการ | โดยฉบับบุราณรวดมา | ||
อนึ่งนอกจิ้มก้องเป็นของถวาย | รับสั่งยกให้หกนายข้าหลวงว่า | ||
บรรทุกเสร็จทั้งสิบเอ็ดเภตรา | มาทอดท่าคอยฤกษ์เรียงลำ | ||
ครั้นถึงวันภุมเชษฐมาสี | กาฬปักษ์ดิถีสิบสามค่ำ | ||
เมื่อโมงสองบาทเช้าพอเงาง้ำ | สิบเอ็ดลำบังคมลาแล้วคลาไคล | ||
ครั้นเรือล่องคล้อยคลองตลาดเลี้ยว | ตลึงเหลียวแล้วชลนัยน์ไหล | ||
จะจากเรือนจากเพื่อนภิรมย์ไกล | ดังสายใจนี้จะขาดจากอาตมา | ||
โอ้ความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ตั้งแต่จะนับวันคอยหา | ||
จะนับเดือนเคลื่อนสังวัจฉรา | จะก้มหน้านั่งช้ำระกำไป | ||
ชะรอยพรากเนื้อนกวิหคขัง | บำราศรังริบลูกเขาไฉน | ||
มาตามทันบั่นร้างไว้กลางใจ | ให้จำไกลจากราชธานี | ||
แล้วยอกรมัสการขึ้นเพียงผม | พระบรมไตรรัตน์เรืองศรี | ||
เดชะศีลสัจจาบารมี | ทั้งขันตีอดออมอำนวยทาน | ||
ขอเป็นข่ายเจ็ดชั้นไปกั้นเกศ | สรรพเภททุกข์ภัยในชลฉาน | ||
ให้ปลอดเหตุสารพัดกำจัดมาร | มัสการแล้วล่องครรไลไป | ||
ครั้นถึงเมืองปากน้ำพอย่ำฆ้อง | ดุเหว่าร้องเพลาประจุสสมัย | ||
ทอดสมอรอรั้งประทังใจ | อยู่ที่ปากชลาลัยนั้นสองวัน | ||
ต่อน้ำขึ้นจึงได้ถอยออกลอยล่อง | จำเพาะร่องสำเภาผายผัน | ||
แต่ฉุดชากลากเข็นอยู่เป็นควัน | หวังให้ทันมรสุมสำเภาไป | ||
ครั้นข้ามโขดหลังเต่าออกตกลึก | ก็ตั้งตรึกตรมจนกมลไหม้ | ||
เขาผูกจัดเชือกเสาแลเพลาใบ | แล้วคอยลมที่จะได้ไคลคลา | ||
ครั้นเขาชักใบฉุดขึ้นสุดเสา | ก็ปลาบเปล่าทรวงโทรมมนัสสา | ||
คลื่นทุ่มกลุ้มทิ้งเทมา | เภตรากลิ้งกลอกกระฉอกกาย | ||
กระทบปัดฟัดปั่นที่ฟันคลื่น | แลฟูฟื้นฟูมฟ่องนองสาย | ||
แสนทเวศแต่ซบเซาเมามาย | ระกำกายไม่ได้กินโภชนา | ||
แต่ก้าวเสียดค่อยละเลียดด้วยลมขัด | พระพายพัดสลาตันตรานหน้า | ||
แต่แล่นก้าวกลับใบไปมา | แล้วลอยคอยท่าลมดี | ||
สุดคิดจึงอุทิศถึงพระบาท | แล้วยอกรอภิวาทเหนือเกศี | ||
ขอเดชะตะบะบุญพระบารมี | จะแทนที่วรพุทธโพธิญาณ | ||
กับอนึ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงศีล | อันผ่องภิญโญยอดพระกรรมฐาน | ||
มาช่วยป้องลมขัดอย่าพัดตราน | ขอบันดาลลมส่งให้ตรงไป | ||
อนึ่งเขาในชลามัจฉาชาติ | ทั้งปีศาจพวกพรากอย่ากรายใกล้ | ||
ให้ปลอดเหตุสารพัดกำจัดภัย | จำเริญชัยชมชื่นจนคืนมา | ||
ครั้นสิ้นคำบรรยายพระพายพัด | พอคำสัตย์ส่งท้ายก็ย้ายหา | ||
ได้เป็นเหตุในพระเดชเดชา | ก็แล่นไปได้ทวาทสวัน | ||
จึงถึงที่ว่าสามร้อยยอด | เขาหยุดทอดไหว้เทวทำขวัญ | ||
ตามเคยสังเวยแก่เทวัญ | ที่สำคัญหลักตามเคยมา | ||
แล้วใช้ใบบากข้ามไปตามเข็ม | ค่อยเก็บเล็มลมไปด้วยใบผ้า | ||
ได้สองวันแต่สัญจรคลา | ครั้นถึงกึ่งกลางมหาสมุทรไท | ||
จึงบูชาตรงหน้าพุทไธมาศ | เซ่นสาดลงท้องทะเลใหญ่ | ||
กระดาษเผารินเหล้าแล้วลอยไป | เขาว่าไหว้ผีน้ำในท่ามกลาง | ||
แต่จากนั้นสองวันก็ไปเห็น | พระสุริย์หย่อนแสงเย็นถึงเกาะขวาง | ||
ชะโงกเงื้อมเอื้อมแอบอยู่แทบทาง | กระเด็นโดดอยู่กลางวารี | ||
แต่ตราบค่ำย่ำรุ่งจนเรืองแสง | ก็แล่นแซงเสียดพ้นคิรีศรี | ||
ถึงเกาะมันคิดว่ามันยังมากมี | ได้ถามถี่ว่าบุราณประมาณมา | ||
แล้วไปสองวันเล่าก็เขาขนุน | บ้างเรียกเกาะกุ๋นตุ๋นภูผา | ||
เป็นสองเกาะน้อยใหญ่แต่ไกลตา | กับขอบฟ้านั้นสักห้าโยชน์ปลาย | ||
ก็ใช้ใบไปกลางที่หว่างนั้น | ถึงสลุบกำปั่นไปค้าขาย | ||
จะแล่นนอกนั้นไม่ได้ใกล้เกาะทราย | จำเพาะบ่ายเข้าหว่างเป็นทางจร | ||
เขาล้มไก่ลงไหว้เทเวศร | ตามเพศที่สถิตอยู่สิงขร | ||
บรรดาพวกเรือค้าเภตราจร | ถวายกรตามตำแหน่งทุกแห่งไป | ||
ครั้นถึงแหลมเลี้ยวหน้าเมืองปาสัก | ก็ประจักษ์ปากน้ำพอจำได้ | ||
เห็นเรือญวนยืนแจวเป็นแถวไป | เขาใช้ใบเล็มล่าออกหากิน | ||
แล้วไปสองวันครึ่งก็ถึงไศล | เห็นปากน้ำญวนใหญ่ก็ใจถวิล | ||
เกลือกจะออกชิงชัยสิไพริน | ก็คิดสู้กว่าจะสิ้นสุดที | ||
แล้วก็ไปสามวันถึงบรรพต | นามกำหนดช้างข้ามคิรีศรี | ||
ตระหง่านเขาง้ำเงาชลธี | เขาว่ามีนิทานบุราณมา | ||
ว่าเขานี้อัคคีกาลวาต | เมื่อไฟฟ้าผ่าพาดลงภูผา | ||
แล้วลุกไหม้ไล่เลียลามศิลา | พฤกษาจึงไม่ผลัดระบัดใบ | ||
ดูก็เหมือนหนึ่งจะต้องทำนองกล่าว | ด้วยเรื่องราวรอยมีอยู่ที่ไศล | ||
แล้วแล่นผ่านพ้นสถานที่นั้นไป | จนอุทัยแจ่มแจ้งโพยมบน | ||
ก็ลุยังอินตั้งตัวบุตร | สูงสุดเทิดเทียมพระเวหน | ||
ตระหง่านเขาดำลงง้ำชล | ฝ่ายบนเบื้องจอมคิรินราย | ||
มีศิลาหนึ่งปักเป็นกำหนด | ประหลาดหลากกว่าบรรพตทั้งหลาย | ||
ฟังแถลงหลายปากมามากมาย | ว่าเป็นศรนารายณ์อวตาร | ||
เมื่อเสด็จออกดงไปทรงพรต | ยังบรรพตศาลาลัยไพรสาณฑ์ | ||
ทรงแผลงสาตรศรไปรอนราญ | พิฆาตมารซึ่งแปลงเป็นกวางมา | ||
แล้วสาปศรให้เป็นท่อนศิลาปัก | จึงประจักษ์อยู่ที่จอมภูผา | ||
ทรงสถานที่ประมาณสมมุติมา | ก็หมายตาเหมือนจะต้องบุราณกาล | ||
ฝ่ายฝูงคณาอารักษ์ | สิทธิศักดิ์เข้าสู่สิงสถาน | ||
ผู้ไปมาบูชาเชี่ยวชาญ | วิสัยพาลพาณิชนิยมมา | ||
แต่แปลกอย่างออกที่ทำสำเภาน้อย | กระจ้อยร่อยพอพึงเสน่หา | ||
เอาเชือกเสาเพลาใบใส่เภตรา | แล้วเย็บผ้าถุงเสบียงเรียงราย | ||
บรรดามีเงินทองของเอมโอช | สรรพโภชน์ใส่ลงบรรจงถวาย | ||
เอากระดาษวาดรูปทุกตัวนาย | ทั้งนายท้ายต้นหนทุกคนไป | ||
แล้วยกสำเภาน้อยลงลอยน้ำ | เหมือนถ่ายลำที่ร้ายให้คลายได้ | ||
เผากระดาษฟาดเคราะห์สะเดาะไป | ตามวิสัยสัญจรแต่ก่อนมา | ||
แล้วจากนั้นสองวันก็เห็นเขา | เป็นขอบเงายืดยาวไปนักหนา | ||
ค่อยแล่นคล่องไปได้สองทิวารา | ก็ถึงวาโหลลึกทะเลวน | ||
เป็นที่ข้ามตามทางไปกวางตุ้ง | เห็นสุดมุ่งหมอกมืดไม่เห็นหน | ||
แล้วก็กว้างกว่าทางทุกตำบล | ก็พึงยลเขาบูชาเป็นอาจิณ | ||
กำหนดแต่เขาขวางที่ทางมา | เป็นพาราเหล่าล้วนแต่ญวนสิ้น | ||
จนวาโหลขอบแคว้นแดนศีคริน | จึงสุดดินสิ้นเขตนิเวศญวน | ||
ก็บ่ายข้ามตามบูรพาภาค | แสนวิบากคลื่นใหญ่ก็ใจหวน | ||
แต่หาวเหียนป่วนเปี่ยนสกนธ์กวน | ด้วยเมาซวนรากรื้อระทมทน | ||
แล้วบังเกิดพายุใหญ่จนใบกลับ | ทั้งคลื่นทับเทฟองทั้งนองฝน | ||
เป็นพยุหยับทั่วมัวมน | กำลังฝนแลบพรายกระจายไป | ||
เสียงคลื่นประหนึ่งพื้นสุธาวาส | จะวินาศไปด้วยชลไม่ทนได้ | ||
ตลิ่งนิ่งเห็นเขาวิ่งวุ่นวายไป | บ้างร้องไห้รักตนอยู่ลนลาน | ||
บ้างก็ยึดมัดไม้ใบเก่า | บ้างก็เฝ้าถังน้ำแลสำป้าน | ||
เห็นการผิดแล้วก็คิดนมัสการ | สละพาลภาวนารักษาตน | ||
จะแลฝั่งที่หยุดก็สุดเนตร | จะสังเกตพึ่งพนัสก็ขัดสน | ||
แต่นั่งแลดูตากันห้าคน | เห็นจะจนเสียในท้องทะเลลาน | ||
สุดคิดจึงอุทิศถึงพระเดช | มาปกเกศช่วยชีพสังขาร | ||
เดชะตะบะบุญพระคุณฌาน | ลมพาลก็ค่อยเพลาบรรเทาพลัน | ||
เภตราจึงค่อยฟื้นขึ้นคลื่นได้ | จึงชักใบขึ้นรอไว้พอผัน | ||
ครั้นลมหายค่อยสบายอารมณ์ครัน | ถึงกระนั้นยังไม่สุขสักราตรี | ||
ถ้ากลางคืนก็ได้ชื่นแต่แสงจันทร์ | ทิวาวันก็ได้ชมแต่รังษี | ||
กับจะดูมัจฉาในวารี | ก็มีแต่พวกพรรค์จะอันตราย | ||
ที่ตามล้อมตอมว่ายนั้นหลายหมู่ | ก็เหลือรู้จะกำหนดจดหมาย | ||
ชลาดำด้วยน้ำเค็มพราย | ทั้งสุดสายดิ่งร้อยห้าสิบวา | ||
จะดูโดยทิศใดก็ใจหวาด | วิปลาสเป็นวาฬขึ้นข้างขวา | ||
ประมาณยาวราวสามสิบห้าวา | ที่ท่อนหน้าไม่ตระหนักประจักษ์ใจ | ||
เห็นคล้ายกุ้งที่กระพุ้งแพนหาง | ประมาณกว้างนั้นสิบห้าวาได้ | ||
แต่โดยลมอมชลที่พ่นไป | ก็สูงได้โดยหมายกับปลายตาล | ||
เขาก็กลับใบบากออกจากที่ | คะเนหนีจะให้พ้นแถวสถาน | ||
เอาธูปเทียนบวงบนขึ้นลนลาน | วันทนาปลาวาฬวุ่นวาย | ||
แล้วเขาทำเป็ดไก่ไหว้เทเวศร | ตามเพศที่ทะเลแล้วเทถวาย | ||
แต่ขลุ่ยขลุกแล้วลุกขึ้นโปรยปราย | กระดาษพรายเผาเพลิงเถกิงเรือง | ||
เย็นเช้าไหว้เจ้าด้วยม้าฬ่อ | พระหมาจอฟังอึงคนึงเนื่อง | ||
ครั้นค่ำแขวนโคมเคียงเรียงเรือง | ตลอดเบื้องหน้าท้ายที่รายไป | ||
ครั้นอรุณเรืองแสงสุริโยภาส | เยี่ยมราชคิรีศรีไศล | ||
เห็นชอุ่มตะคุ่มเขียวไกล | ตลอดไปล้วนเหล่าคิรินราย | ||
เขาบอกกันว่านั่นแลขอบเขต | เป็นประเทศที่จีนทั้งหลาย | ||
ก็ชื่นเริงบันเทิงร่ำทำกรุยกราย | บ้างธิบายบอกเบื้องเรื่องคิรี | ||
อันโหลบานนี้ทวารแต่ชั้นนอก | ที่เข้าออกกวางตุ้งกรุงศรี | ||
จำเพาะทางเข้าหว่างคิรีมี | ครั้นลมดีก็ได้แล่นเข้าโหลบาน | ||
ขึ้นยืนดูผู้คนมั่งคั่ง | ฝรั่งตั้งเต็มเกาะมะเกาสถาน | ||
เป็นท่วงทีหนีไล่ก็ได้การ | มีกำแพงสามด้านดูดี | ||
เห็นสำเภาเข้าครันกำปั่นทอด | แลตลอดดูไปไม่สุดที่ | ||
แต่มิ่งไม้ไร้สิ้นทุกคิรี | บ้างที่มีคนตัดไม่ลัดทัน | ||
แต่นั่งดูภูผาศิลาลาด | ดังประพาสหิมพานต์พนาสัณฑ์ | ||
ที่วุ้งเวิ้งเชิงผาเป็นหน้าบัน | บ้างเป็นขอบคันธ์กุฎีดา | ||
ที่เลื่อมลายเล่าก็ชมเหมือนพรมลาด | ที่ขาวดาดไปก็ดังปูผ้า | ||
ที่เยี่ยมย้อยออกมาห้อยถึงคงคา | จะไปมาเลี้ยวหลีกครรไลไคล | ||
เห็นเรือเท้งเที่ยวท่องทำมัจฉา | ดูดาไปแต่ล้วนเสาไสว | ||
จนสุดเนตรสังเกตไม่สุดใบ | ดังทัพใหญ่ยกหนักออกหักราญ | ||
อันโดยทางลางเหล่าที่เว้นไว้ | ครั้นจะใส่ถ้วนถี่ให้วิถาร | ||
เหลือสติจะดำริให้รอบการ | ขอประมาณแต่นิราธานี | ||
ถ้านับวันก็ได้สามสิบสามวัน | ถ้าสำคัญว่าเท่าไรในวิถี | ||
ก็ได้สามร้อยโยชน์เศษสังเกตมี | ถึงทวารพยัคฆีทันใด | ||
มีป้อมปืนยืนเยี่ยมอยู่สองฟาก | ประหลาดหลากก่อเข้ากับเขาใหญ่ | ||
ยังป้อมขวางไว้กลางชลาลัย | เรือไปสองข้างอยู่กลางคัน | ||
เป็นสง่าศึกงามทั้งสามป้อม | ที่ก่อล้อมล้วนแหล่งแกล้งสรร | ||
เอาโยธาเจนจัดให้ผลัดกัน | เป็นนิรันดรรักษาระวังการ | ||
ฝ่ายจีนจงเอี้ยซึ่งเป็นใหญ่ | ได้คุมไพร่สิบหมื่นรักษาสถาน | ||
ก็ลงเรือรีบพลันมิทันนาน | มาถามการข่าวข้อคดีดี | ||
ฝ่ายทูตตอบว่าพระราชสาร | พระผู้ผ่านอยุธยาวดีศรี | ||
มาจิ้มก้องโดยคลองประเพณี | จำเริญราชไมตรีตามโบราณ | ||
ฝ่ายจีนจดหมายเอารายชื่อ | แล้วก็รื้อดูทรงส่งสัณฐาน | ||
แต่จำกดจดไปจนไฝปาน | แล้วเกณฑ์เจ้าพนักงานลงคุมไป | ||
กับทหารสามสิบใส่เรือรบ | เครื่องครบอาวุธสรรพไสว | ||
พนักงานป้องกันให้ครรไล | ก็แล่นไปตามเรื่องรัถยา | ||
เห็นวารีนั้นไม่มีมัจฉาชาติ | อรัญวาสเร่าก็ไร้รุกขา | ||
บนอากาศขาดหมู่สกุณา | พสุธาดาดาษด้วยคนไป | ||
เป็นชาวคามนิคมวาสี | ช่างทำที่นั้นอุตส่าห์น่าอาศัย | ||
ล้วนตึกก่อต่อเนื่องเป็นเรื่องไป | ทุกวุ้งเวิ้งเชิงไศลละลานตา | ||
ที่พ้นน้ำนั้นก็ทำเป็นเรือกสวน | บ้างเพาะพวนปลูกผักก็หนักหนา | ||
ที่ลุ่มลาดหาดน้ำก็ทำนา | ไม่มีป่าปลูกไม้ไว้มากมี | ||
พื้นผลแต่ที่คนตระการรส | จะกำหนดนามไซร้ก็ใช่ที่ | ||
แต่เข้าคลองไปได้สองราตรี | ก็ถึงที่หยุดพักนัครา | ||
เห็นกำปั่นแลสำเภาเขาค้าขาย | เป็นทิวทอดตลอดท้ายคฤหา | ||
ทั้งสี่แถวตามแนวนัครา | ก็ทอดท่าหน้าเมืองเป็นเรื่องกัน | ||
แต่เสากระโดงที่ระดะตะกะก่าย | จนสุดสายเนตรแลแปรผัน | ||
บ้างขึ้นล่องเที่ยวท่องจรจรัล | สุดอนันต์ที่จะนับคณนา | ||
พิศภูมิสถานที่นัคเรศ | เป็นขอบเขตอยู่แนวเนินผา | ||
มีกำแพงสามชั้นกั้นนัครา | ล้วนศิลาแลงปรับประดับดี | ||
อันหอรบนางเรียงที่เรียงเรียบ | ไว้ระเบียบป้องกันบุรีศรี | ||
มีป้อมขวางอยู่กลางชลธี | วารีแล่นรอบเป็นขอบคัน | ||
ตรงฟากเมืองไว้เครื่องข้างเรือรบ | ก็เตรียมครบทอดราอยู่ท่านั่น | ||
พอขุกเหตุสังเกตคืนวัน | ก็เรียกทันถอยไล่ก็ได้ที | ||
ที่กองเกณฑ์ให้ตระเวนก็สอดเสาะ | เที่ยวรายเราะเรือรอบบุรีศรี | ||
สรรพสรรพาวุธไว้มากมี | ประจำที่จุกช่องอยู่อัตรา | ||
เหล่าทหารประจำการกินเบี้ยหวัด | ก็เปลี่ยนผลัดกันพิทักษ์รักษา | ||
ล้วนเกาทัณฑ์สันทัดอยู่อัตรา | ถือตำราที่โบราณท่านชิงชัย | ||
ฝ่ายฝูงประชาชนชาติ | ก็เกลื่อนกราดกลุ้มมาไม่นับได้ | ||
สพรั่งพร้อมล้อมพรูมาดูไทย | ทั้งหญิงชายวิ่งไขว่กันไปมา | ||
บ้างลงเรือน้อยน้อยมาพลอยทัก | ยิ้มพยักด้วยไม่รู้ภาษา | ||
บ้างลอยล้อมตอมรอบทั้งเภตรา | เอาผักปลามาจำหน่ายขายไทย | ||
อันนารีเรือลากสำหรับจ้าง | นั้นรูปร่างหมดจดสดใส | ||
นวลนิ่มจิ้มลิ้มละไมใจ | เมื่อดูไกลเอกเอี่ยมลออตา | ||
ครั้นเข้าใกล้เห็นเลือดชายจะเผือดผาด | ด้วยการสวาทไม่หลีกเลือกภาษา | ||
แขกฝรั่งอังกฤษวิลันดา | จะไปมาย่อมได้อาศัยกัน | ||
ต้องห้ามทั้งมิให้ไปอยู่บก | ประจำพกแหล่งหลักสำนักนั่น | ||
ประกวดดีดูที่นับถือกัน | ไม่เว้นวันชายหาจึงว่าดี | ||
แต่บรรจงจริตจัดผัดพักตร์ | บำรุงรักมิให้ชายหน่ายหนี | ||
กันไรให้วิไลกับเมาฬี | มวยมีดอกไม้เงินงาม | ||
นุ่งกังเกงใส่เสื้อที่สังเกต | ทำแปลงเพศก็พอเอี่ยมออกสนาม | ||
รู้ชำเลืองประปรายให้ชายตาม | แต่ต้องห้ามมิให้ไทยไปพบพาน | ||
ถ้าไปไหนพอพักสำนักนั่ง | ไม่ระวังก็กระโจมเอาสูงสถาน | ||
วิสัยเมืองเขาเป็นเรื่องราวพาล | ถึงนอนคลานข้ามได้ไม่ถือกัน | ||
บำรุงเรือแต่ให้เกื้อการสังวาส | นั้นปูลาดจัดแจงแกล้งสรร | ||
ล้วนภู่กลิ่นฟุ้งอบตระหลบครัน | ปะไม่ทันรู้เข้าก็เอาแพง | ||
เขามาชี้แจงความให้ตามกฎ | ในกำหนดที่ตระหนักประจักษ์แจ้ง | ||
ว่าสุวรรณขาวเหลืองเครื่องทองแดง | ทั้งแพรไหมเหล็กแท่งแลสาตรา | ||
มิให้ไทยเอาหญิงมาพิงพาด | อันการสวาทนี้กระชับกันหนักหนา | ||
ที่รักตัวเขาก็กลัวไม่พานพา | ที่แกมกล้าก็เข้ากลั้วเอาตัวพัน | ||
เสียแรงพาร่างมาถึงกวางตุ้ง | เขม้นมุ่งว่าจะลองก็ต้องพรั่น | ||
ได้ชมงามอยู่แต่ไกลมิได้กัน | ครั้นถึงวันรวิวารเวลา | ||
ภัทรบทกำหนดปีอุศุภศก | ข้างหมูอี้จงตกเขาปรึกษา | ||
แล้วมารับคำนับราชสารา | กับทูตาข้าหลวงทั้งปวงไป | ||
ขึ้นขี่เกวียนจรดลด้วยคนหาม | ดำเนินตามที่ทางถนนใหญ่ | ||
ศิลาลาดตาดปูที่ดูไป | นั้นอำไพเรียบริมรัถยา | ||
อันร้านรายขายของทั้งสองฟาก | ประหลาดหลากล้วนทำด้วยฉำฉา | ||
ประจงเจียนเขียนวาดแล้วชาดทา | ที่ตั้งหน้าตรงร้านกระดานทอง | ||
เป็นวิสัยลูกค้าบรรดาขาย | จารึกรายไว้ให้ดูรู้ของ | ||
ที่กระถางธูปเทียนนั้นเขียนทอง | ทั้งเตียงรองหลั่นลดนั้นรจนา | ||
อันเครื่องร้านที่สำหรับประดับของ | ล้วนแก้วแหวนเงินทองนั้นนักหนา | ||
แพรพรรณสรรพสิ่งละลานตา | ทั้งเสื้อผ้ามุ้งม่านตระการใจ | ||
ทั้งถ้วยโถโอจานแลจันอับ | จะคณนานามนับไปเป็นไหน ๆ | ||
บ้างหาบคอนร่อนขายอุบายไป | บ้างเคาะไม้แทนปากก็มากมาย | ||
อันหมูแพะแกะกะทิงมหิงส์ห่าน | วันละพันก็ไม่พานจะพอขาย | ||
เต็มตลาดดาษดูไม่รู้วาย | บ้างซื้อจ่ายวุ่นไขว่กันไปมา | ||
มีแต่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวาตม์ | เป็นตรุษสารทไถยจิตข้างมิจฉา | ||
ไม่อายบาปหยาบพ้นที่คณนา | ความอุตส่าห์มิให้เสียสิ่งไรไป | ||
ที่หน้ากว้านร้านตลาดนั้นกวาดเลี่ยน | ตะลิบเตียนมิให้มีสิ่งใดได้ | ||
อันหญิงชายประชาข้าเวียงไชย | ก็วิ่งไขว่ซ้อนหน้ามาอลวน | ||
บ้างอุ้มลูกจูงยายตะพายหลาน | ก็ลนลานวิ่งเบียดกันเสียดสน | ||
ที่ชรามายากลำบากตน | ก็ขี่คนรีบเร่งมาเล็งแล | ||
เอาแว่นตาติดเนตรเข้าเพ่งพิศ | หวังจิตให้รู้จักตระหนักแน่ | ||
ทั้งหนุ่มสาวกลุ้มกลัดมาอัดแอ | ซ้อแซ้เพ่งพิศพินิจไทย | ||
อันหมู่สาวสุดามัชฌิมาหม้าย | นั้นแต่งกายแซมมวยด้วยไม้ไหว | ||
ที่เยี่ยมยลอยู่บนตึกใน | นั้นอำไพพิศพริ้งพรายตา | ||
ดูยืนแต่ละอย่างกับนางเขียน | ทั้งจีบเจียนยั่วยวนเสนหา | ||
ผัดพักตร์ผิวพรรณดังจันทรา | นัยนากวัดแกว่งดังแสงนิล | ||
นาสิกเสื้องทรงดังวงขอ | งามคองามคิ้วควรถวิล | ||
งามเกศดำเพศภุมริน | ปักปิ่นมวยห้อยสร้อยสุวรรณ | ||
ปากแดงนั้นด้วยแสงลิ้นจี่แต้ม | เมื่อยิ้มแย้มนั้นน่าชมภิรมย์ขวัญ | ||
ใส่เสื้องามสามสีสลับกัน | พื้นสุวรรณแวววาววิไลใจ | ||
แม้นองค์พระธิดาดวงสมร | จะเอกเอี่ยมอรชรสักเพียงไหน | ||
แต่ได้ดูหมู่ข้ายังอาลัย | ดังสายใจนี้จะยืดไปหยิบชม | ||
เห็นการอายทีชม้ายแล้วเมียงพักตร์ | ก็ประจักษ์แต่ว่าต่างภาษาสม | ||
แต่ศรเนตรเสียบเนตรสังเกตคม | ยิ่งนิยมตอบต้องตลอดใจ | ||
ถึงต่างชาติกันก็ดีโลกีย์จิต | อันการคิดนี้จะเว้นแก่ใครไฉน | ||
ก็ห้ามเห็นไว้ให้เป็นประมาณใจ | แล้วครรไลตามรัถยามา | ||
อันชมสาวที่ชาวสถลมาศ | ไม่อุจาดเหมือนจีนประจำท่า | ||
อันรูปทรงสรรเสริญจำเริญตา | ครั้นพิศเบื้องบาทาก็เสียดาย | ||
เอาผ้าคาดขึงเหนี่ยวจนเรียวรัด | พาวิบัติอินทรีย์ให้มีสลาย | ||
จะดำเนินมิใคร่ตรงพอทรงกาย | ย่อมใช้ชายขายค้ามาให้กิน | ||
มีแต่จะพึ่งผัวเป็นครัวใช้ | ตัวได้แต่จะร่วมภิรมย์ถวิล | ||
แต่ชายถ่อยทุจริตผิดกระบิล | ย่อมคว่ำผินประดิพัทธอยู่อัตรา | ||
จะเข้าออกนอกในก็ใช้สอย | บุรุษรูปน้อย ๆ โอ่อ่า | ||
อันยาจกวณิพกที่ไปมา | เที่ยวภิกขาจารขอไม่พอกิน | ||
ก็อุบายทำกายนั้นต่าง ๆ | จะร่ำปางโดยดูไม่รู้สิ้น | ||
บ้างอุจานทานทำทั้งกายิน | บ้างนั่งวอนนอนดิ้นลงโดยจน | ||
บ้างก็เอามีดสับจับอิฐต่อย | จนโลหิตแดงย้อยไปเต็มถนน | ||
มิได้ของแล้วก็ร้องไม่จรดล | ไปเห็นจนก็ได้คิดอนิจจา | ||
อันเหล่าเจียงทหารใหญ่ในกรุงศรี | นั้นใส่หมวกจามรีถ้วนหน้า | ||
แวดล้อมเหล่าไทยให้ไคลคลา | ใครผ่านหน้าตีต้อนตะบึงไป | ||
ก็ลุดลตำบลกงกวนเก่า | สถานทูตเคยเข้าอยู่อาศัย | ||
เป็นตึกตรอกอยู่นอกเวียงไชย | ก็เชิญราชสารไว้ที่ควรการ | ||
แล้วส่งของที่คุมไปขึ้นไว้ห้าง | ตามร่างเรื่องตราโกษาสาร | ||
ทั้งสองห้างตามอย่างธรรมเนียมนาน | แล้วแจ้งของที่ประทานนั้นออกไป | ||
ข้างจงตกหมูอี๋ผู้มีสติ | เขาดำริแล้วไม่รับประทานได้ | ||
ว่ากฎห้ามกวดขันถึงบรรลัย | ประนมไหว้ควรขอบพระคุณมา | ||
แล้วให้คนเร็วรีบยังนัคเรศ | ถวายเหตุราชคฤคฤๅหา | ||
แต่กำหนดนับไว้ทั้งไปมา | นี่ทางม้ายี่สิบเจ็ดราตรี | ||
ผู้ถือสารจึงเอาสารรับสั่งส่ง | ให้กับจงตกดูหมูอี๋ | ||
แล้วคัดข้อสารามาพาที | ว่าพระเจ้าหมื่นปีนั้นโปรดปราน | ||
ให้ส่งทูตไปถวายอภิวาท | ตามราชตำราบุราณสาร | ||
กับสิ่งของในคลองบรรณาการ | ที่นอกอย่างบุราณมีมา | ||
นั้นไม่รับครั้นจะกลับให้คืนของ | ระวางคลองเหมือนไม่แสนเสนหา | ||
เสียดายราชไมตรีที่มีมา | ทางทะเลก็เป็นท่ากันดารนาน | ||
ก็ควรขายจำหน่ายเอาทุนทรัพย์ | ให้คืนกลับอยุธยามหาสถาน | ||
แต่ช้างนอนั้นเป็นข้อประสงค์นาน | ให้บอกบรรณาการส่งขึ้นไป | ||
อันจังกอบสินค้าบรรดาของ | นั้นปลงปองโปรดปรานประทานให้ | ||
ให้นายห้างปรึกษาข้าหลวงไทย | ตามใจจำหน่ายขายกัน | ||
แต่ข้อทูตที่จะได้ไปอภิวาท | ยังพระบาทหมื่นปีศรีสวรรค์ | ||
ต่อแล้วการเคารพอภิวันท์ | ปั้นสื้อนิ้มหนำโหลาน | ||
เป็นปิ่นปักหลักจีนทุกจังหวัด | เหมือนไทยถือน้ำพิพัฒน์พิธีสถาน | ||
ประชุมชอบพร้อมหน้าบูชาการ | วันประสูติพระผู้ผ่านนัครา | ||
ครั้นถึงวันที่จะทำโดยกำหนด | เดือนสิบเอ็ดขึ้นทศมาสา | ||
จึงจงตกหมูอี๋ให้ลีลา | มาเชิญทูตกับข้าหลวงจร | ||
ไปอภิวันท์ปั้นสื้อในนัคเรศ | ตามเพศขุนนางแต่ปางก่อน | ||
ข้างทูตไทยผู้จะไปถวายกร | ก็ผันผ่อนแต่งแง่ให้งามทรง | ||
เป็นคนเจนชัดเช่นในเชิงเก่า | ถึงแก่เถ้าก็จริตยังหยิบหย่ง | ||
นุ่งยกช่องกระจกโจงผจง | ฉลององค์อัตลัดประทานงาม | ||
เอาเสนากุฎใส่วิไลเกศ | ดังชัยเชษฐบุราณชาญสนาม | ||
พระพี่เลี้ยงข้าหลวงทั้งปวงตาม | ทหารหามคันเกี้ยวด้วยกันไป | ||
ครั้นไปถึงที่ประตูเห็นหมู่ทหาร | ริมทวารขัดดาบดูไสว | ||
ทั้งสองแถวรัถยาดาไป | ที่ชั้นในไว้เหล่าที่เกาทัณฑ์ | ||
ทั้งง้าวปืนยืนงามไปตามถนน | ที่ว่างคนลดเลี้ยวเป็นหลายหลั่น | ||
ถึงสถานที่จะได้ไปอภิวันท์ | พิศพรรณเพียงจะแลละลานตา | ||
ล้วนปิดทองธรรมชาติแล้ววาดเขียน | ธงเทียนพื้นสุวรรณเลขา | ||
ที่ถิ่นฐานสะอ้านโอฬาร์ | รจนาโคมเคียงเรียงกัน | ||
อันโรงรีซึ่งเป็นที่กำหนดรับ | นั้นประดับแพรแดงแกล้งสรรค์ | ||
ใส่พู่รายข่ายรอบเป็นขอบคัน | เอาพื้นพรรณแพรลาดเป็นหลังคา | ||
แล้วก็แซมดอกไม้กับใบสน | เป็นที่ยลนับถือกันหนักหนา | ||
พอจงตกหมูอี๋ลีลามา | ทั้งขุนนางซ้อนหน้ามาเนื่องกัน | ||
แต่ยืนรับคำนับก็หนักหนา | ออกระอาแล้วไม่วายที่ผายผัน | ||
ครั้นพร้อมหน้าแล้วก็พากันจรจรัล | ไปอภิวันท์ปั้นสื้อสำหรับมา | ||
เขาขุยขลุกลุกพร้อมกรอมกราบ | ข้างเหล่าไทยมิใคร่ราบแต่โรยหา | ||
ก็กั้นสรวลอยู่จนถ้วนทั้งสามครา | แล้วกลับมาสถิตโรงเมื่อแรกไป | ||
จงตกให้ยกโต๊ะมาตั้งเลี้ยง | ตลอดเรียงรวดรายทั้งนายไพร่ | ||
ครั้นเสพเสร็จสำเร็จกันจะครรไล | หมูอี๋จึงปราศรัยด้วยวาจา | ||
เราปั้นสื้อด้วยกันในวันนี้ | ก็เป็นที่บุญธรรม์นั้นหนักหนา | ||
ครั้นสายแสงแรงศรีพระสุริยา | ก็ต่างคนต่างคลาไปจากกัน | ||
ฝ่ายทูตก็คืนกงกวนเก่า | คำนวณเนานับนานอยู่ที่นั่น | ||
ครั้นถึงเดือนสิบสองศุกรวัน | ขึ้นสำคัญสามค่ำจะจำจร | ||
หมูอี๋จึงให้เชิญพระราชสาร | บรรณาการทูตอันจะผันผ่อน | ||
ประดับด้วยนาวาสถาวร | ขึ้นนครราชคฤห์คราวดี | ||
อันโดยทางที่จะไปนั้นไตรมาส | จึงถึงราชปักกิ่งกรุงศรี | ||
ฝ่ายทูตเขาจะไปเห็นได้ดี | เพราะธุลีบาทคุ้มคลุมไป | ||
อันพวกผู้อยู่ขายจำหน่ายของ | แต่นั่งตรองนอนตรอมจนผอมไผ่ | ||
ที่ขาดเหลือเจือครบบรรจบไป | ก็มีในบาญชีว่าทั้งห้าบาน | ||
ครั้งเสร็จของเงินทองสำเร็จรับ | แล้วประดับเภตราจะมาสถาน | ||
ความดีใจประหนึ่งได้วิมานปาน | แต่นับวารคอยเคร่าทุกเช้าเย็น | ||
อันเหล่าไทยที่ได้ไปเป็นเพื่อนยาก | ข้ามทะเลลำบากนั้นแสนเข็ญ | ||
แต่ตรากน้ำตรำฝนแล้วทนเย็น | จะนั่งนอนแต่เขม้นไม่เว้นวาง | ||
อันที่ท่านสี่ลำสำเภาหลวง | นั้นพุ่มพวงสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
จะแสนยากอยู่แต่เหล่าที่เช่าระวาง | ปิ้มปางจะไม่เห็นว่าเป็นกาย | ||
หากพระขันติคุณกรุณภาพ | ก้มกราบถึงพระบาทไม่ขาดสาย | ||
จึงได้พ้นไภยันอันตราย | รอดตายมาชื่นคืนเมือง | ||
เอากตัญญูตั้งระวังผิด | ราชกิจนั้นอุตส่าห์ไปว่าเนื่อง | ||
ที่ภักดีโดยการก็งานเปลือง | ไม่ยักเยื้องกิริยาเหมือนราไชย | ||
เมื่อท่านยุกรบัตรหาปรึกษาของ | ก็ปิดป้องโรคาไม่มาได้ | ||
เอาอาสัจที่วิบัตินั้นบอกไป | พะวงใจอยู่ด้วยรักข้างลักชม | ||
อีดอกทองราวทองธรรมชาติ | พิศวาสมิได้เว้นวันสม | ||
จนโรคันปันทบข้างอุปทม | เสนหาส่าลมขึ้นเต็มตัว | ||
ครั้นเขาถามเขาหยอกก็บอกพราง | จนนายห้างยืนชี้ลงที่หัว | ||
แล้วเขาก้อว่าเจ้าคุณนี้บุญตัว | จึงจับได้แต่ไอ้วัวนั้นไปแทน | ||
ทำให้อ้อนวอนความถึงสามกลับ | เขาจึงปรับเอาแต่น้อยก็ร้อยแผ่น | ||
หากเอาเงินหลวงใส่ไปให้แทน | จึงได้พ้นค่าแผ่นเพราะทำดี | ||
ให้เขาชมชาวเราว่าเจ้าชู้ | พิเคราะห์ดูก็เป็นน่าบัดสีผี | ||
พลอยเอาตมแต้มหน้าให้ราคี | มิเสียที่เจ้าใช้ไปได้อาย | ||
ประการใดไปทางระวางเหตุ | ก็สังเกตรัถยาเข้ามาถวาย | ||
เห็นการค้าเหลือบ่าจะแบกตะพาย | ถ้าหักค่ายฤาตีทัพขอรับไป | ||
ไม่เห็นช่องเลยว่าของพระราชทรัพย์ | จะได้กลับฤามากลายเป็นง่ายได้ | ||
แล้วแสนยากที่ทะเลคะเนไกล | ก็กลับพามาได้สะดวกดี | ||
ดังเทวามาสุมประชุมทรัพย์ | ไว้สำหรับหน่อเนื้อหน่อพระชินศรี | ||
จะสร้างสมอบรมพระบารมี | ในยุคนี้บรรจบให้ครบกัลป์ | ||
ชะรอยอรรคบุรุษอุดมวงศ์ | ในสิบองค์โพธิสัตว์ดุสิตสวรรค์ | ||
ได้ลัทธยาเทศทายทำนายธรรม์ | ในอนันต์สำนักชิเนนทร์นาน | ||
จึงดลใจให้พระองค์ทรงนั่ง | บัลลังก์รักรสพระกรรมฐาน | ||
ให้ทรงเครื่องนพรัตน์ชัชวาล | พระชมฌานแทนเบญจกกุธภัณฑ์ | ||
เอาพระไตรลักษณ์ทรงเป็นมงกุฎ | ก็งามสุดยอดฟ้าสุธาสวรรค์ | ||
เอาพระศีลสุจริตในกิจธรรม์ | เป็นสุวรรณเนาวรัตน์สังวาลย์ | ||
เอาพระวิมุติธรรม์เป็นคันฉัตร | เอาพระสัจเป็นระไบไพศาล | ||
ล้วนเครื่องศีลวัตรอันชัชวาล | พระอุเบกขาญาณเป็นธารกร | ||
เอาพระไวปัญญาเป็นอาวุธ | ตัดวิมุติสงสัยแล้วสั่งสอน | ||
สว่างแจ้งกว่าแสงทินกร | สถาวรทั่วโลกแลงาม | ||
จะดูโดยโลกีย์เป็นที่รัก | ก็งามนักสุดโลกเหลือถาม | ||
จะดูฤทธิ์เล่าก็คล้ายนารายณ์ราม | จะชูงามไปทั่วกัลปา | ||
ขอพรพระศรีรัตนตรัย | อันเป็นใจจอมพุทธศาสนา | ||
ช่วยบำบัดตัดบาปธรรมา | ให้ลุโดยเจตนาโพธิญาณ | ||
ขอพรบรเมศวร์เรืองฤทธิ์ | ซึ่งสถิตอุศุภราชเรืองสถาน | ||
เชิญช่วยพระองค์ทรงชนมาน | ให้คงการกำหนดพระทัยตรอง | ||
ขอพระพิษณุพงศ์ทรงสังข์ | ประทมทิพบัลลังก์ภุชงค์ฉลอง | ||
ช่วยล้างมารผลาญหมู่ศัตรูปอง | ให้มาซ้องเศียรก้มบังคมคัล | ||
ขอบวรบงกชพิวัลย์ไว | ที่ครรไลหงส์ทิพรังสรรค์ | ||
ช่วยดับโศกวรรณโรคโรคัน | ให้ทรงฉวีวรรณสมบูรณ์งาม | ||
ขอพรสหัสนัยครรไลคช | สารเศวตตรีทศเศียรสาม | ||
ช่วยดำรงดำริชี้คดีความ | พยายามไพร่ฟ้าประชาชน | ||
อันสมบัติในจังหวัดทวีปนี้ | ให้อยู่ในพระบารมีทุกแห่งหน | ||
ให้พระเกียรติก้องฟ้าสุธาดล | ขอพระชนม์ได้ร้อยพระวษาเอย ฯ | ||
เชิงอรรถ
อ้างอิง
นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน ครั้งกรุงธนบุรี ปีฉลู พ.ศ.๒๓๒๕ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายฉลุมาศ อักษรมัต ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๓