นิราศพระประธม
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 04:55, 9 กรกฎาคม 2552 โดย Admin (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ | |||
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ | พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม | ||
น้ำค้างย้อยพรอยพรมเป็นลมว่าว | อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม | ||
มาลับเหมือนเดือนดับพยับโพยม | ยิ่งทุกข์โทมนัสในใจรัญจวน | ||
โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุด | ไม่มีนุชแนบชมเมื่อลมหวน | ||
พี่เห็นนางห่างเหยังเรรวน | มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน ฯ | ||
๏ ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ | ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น | ||
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน | ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์ | ||
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่ | ไปสิงสู่เสน่หานางสาหงส์ | ||
จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง | ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย ฯ | ||
๏ วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพ | ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลย | มาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล | ||
จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้าง | ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน | ||
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวน | แลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว | ||
ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบ | ยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว | ||
ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาว | เป็นลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหวัวใจ | ||
โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรค | แต่ความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน | ||
แม้นได้แก้วแววตามายาใจ | แล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง ฯ | ||
๏ ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิต | เคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง | ||
มายามดึกนึกถึงที่พึ่งพิง | อนาถนิ่งน้อยหน้าน้ำตานอง | ||
บางหว้าน้อยน้อยจิตด้วยพิสมัย | น้อยหรือใจจืดจางให้หมางหมอง | ||
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง | เห็นเจ้าของขายหน้าทั้งตาปี | ||
ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ | เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี | ||
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี | มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน | ||
ขอบุญญาอานิสงส์จำนงสนอง | ช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปัฏิสนธิ์ | ||
ศิวาลัยไตรภพจบสกล | ประจวบจนได้พบประสบกัน | ||
ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์ | จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์ | ||
จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวัน | อย่ามีอันตรายเป็นเหมือนเช่นนี้ ฯ | ||
๏ วัดประขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้ | ด้วยดวงใจเจ้ามันคล้ำดำมิดหมี | ||
แม่หม้ายสาวขาวโศกโฉลกมี | เหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว | ||
โอ้เคราะห์กรรมจำคลาดนิราศร้าง | เพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว | ||
ทั้งเกลียดลิ้นนินทาพาลาเลว | เหมือนควันเปลวปลิวต้องให้หมองมอม | ||
เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ย | จะชวดเชยชวดชิดสนิทสนอม | ||
เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอม | ใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ | ||
๏ บางบำหรุเหมือนบำรุบำรุงรัก | จะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาดหมาย | ||
ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองราย | เห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม | ||
พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัด | พยุพัดฮือฮือกระพือโหม | ||
ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคม | น้ำค้างโซมแสนหนาวให้เปล่าใจ | ||
บางขุนนนท์ต้นลำภูดูหิ่งห้อย | เหมือนเพชรพร้อยพรอยพร่างสว่างไสว | ||
จังหรีดร้องซ้องเสียงเรียงเรไร | จะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน | ||
บางระมาดมาดหมายสายสวาท | ว่าสมมาดเหมือนใจแล้วไม่เหมือน | ||
แสนสวาทมาดหมายมาหลายเดือน | มีแต่เคลื่อนแคล้วคลาดประหลาดใจ | ||
วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำ | กอระกำแกมสละขึ้นไสว | ||
หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจ | ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง | ||
ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก | เหลือที่จักจับต้องเป็นของหลวง | ||
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง | ระรื่นร่วงเรณูฟูขจร | ||
โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าแต่เสาวรส | ยังปรากฏกลิ่นกล่อมหอมเกสร | ||
แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน | ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย | ||
ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมด | แต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหวย | ||
ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบย | โอ้โศกโรงเหมือนพี่ร้างมาทางจร ฯ | ||
๏ ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง | เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน | ||
ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน | ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย | ||
วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่น | โอ้หอมชื่นเช่นกับรสแป้งสดใส | ||
เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาลัย | ที่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล | ||
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น | มาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน | ||
พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวน | เหมือนจะชวนชื่นใจเมื่อไกลเชย | ||
บางสนามนึกขามแต่หนามเสี้ยน | หนามทุเรียนรักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย | ||
ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตย | ไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน | ||
ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาท | มาสิ้นชาติชนมโลกให้โศกแสน | ||
ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดน | ไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ ฯ | ||
๏ ถึงวัดเกดเจตนาแต่การะเกด | ไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล | ||
เคยสบเนตรเกษน้อยกลอยฤทัย | มาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน | ||
น้ำค้างพรมลมชายระบายโบก | หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน | ||
เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวล | มาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง | ||
เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารัก | จะเด็ดหักเสียก็ได้เขาไม่หวง | ||
แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวง | ก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม | ||
เหมือนรักคนคนรักทำยักยอก | จะเก็บดอกเด็ดผลคนก็ขาม | ||
แม้นยางลูกถูกหัตถ์ก็กัดลาม | เหมือนรำรามรักรายริมชายพง ฯ | ||
๏ วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด | เอาอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์ | ||
ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง | ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน | ||
ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อย | แขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน | ||
เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทร | จะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐ์ให้นิทรา ฯ | ||
๏ เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต | ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา | ||
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา | โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี | ||
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก | จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี | ||
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้ | เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา | ||
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ | ด้วยเป็นกำพร้าแม่ชะแง้หา | ||
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา | เช็ดน้ำตาโซมซาบลงกราบกราน | ||
ยิ่งตรอมตรึกดึกดื่นสะอื้นอั้น | จนไก่ขันเอื้อนเอกวิเวกหวาน | ||
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเหนียกนาน | เจียนจะขานหลงแลชะแง้คอย ฯ | ||
๏ บางสีทองคลองบ้านน้ำตาลสด | อร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย | ||
เหมือนปากพี่สีทองของน้องน้อย | เป็นคู่บอกดอกสร้อยสักรวา | ||
ทุกวันนี้พี่ก็เฒ่าเราก็หง่อม | เธอเป็นจอมเราเป็นจนต้องบ่นหา | ||
โอ้จอมพี่สีทองของน้องยา | เมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ ฯ | ||
๏ บางอ้อช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง | มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล | ||
พี่คลาดแคล้วแก้วตาให้อาลัย | เหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง ฯ | ||
๏ พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง | ประสานซ้องเซ็งแซ่ดังแตรสังข์ | ||
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดัง | เหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล | ||
อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน | ||
หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน | เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งซาบทรวง | ||
โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ | ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง | ||
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง | ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม | ||
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย | มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่สนอม | ||
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอม | จนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอย ฯ | ||
๏ ถึงวัดสักเหมือนพึ่งรักที่ศักดิ์สูง | สูงกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย | ||
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย | จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง | ||
บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง | ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ | ||
เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง | แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม | ||
สุดาใดได้เพื่อนอย่าเฟือนพี่ | เหมือนมณีนพรัตน์ฉัตรเฉลิม | ||
อันน้ำในใจรักช่วยตักเติม | ให้พูนเพิ่มพิศวาสอย่าคลาดคลาย | ||
บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้ | ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย | ||
ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย | เป็นยอดชายเชี่ยวชาญการวิชา | ||
ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร | สมสนิทนางตะเข้เสน่หา | ||
เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยา | จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน | ||
ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่ | แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน | ||
ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล | มาด้วยกันกับทั้งคู่ที่อยู่ริม | ||
คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสะอื้นอ้อน | จะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม | ||
ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิม | กว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา | ||
บางคูเวียงเสียงเงียบเซียบสงัด | เป็นจังหวัดเวียงสวนล้วนพฤกษา | ||
ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนียงนา | ไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง | ||
เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน | มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง | ||
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง | โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์ | ||
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนกับอก | น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาพี่กว่าขัน | ||
เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน | เหมือนอ้นอั้นอกกลุ้มรุมระกำ | ||
โอ้น้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย | ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ | ||
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ | นั่นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ ฯ | ||
๏ ถึงบางม่วงง่วงจิตคิดถึงม่วง | ต้องจากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ | ||
มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อ | มิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ | ||
เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด | เป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว | ||
เหมือนตัดรักหักสวาทขาดอาลัย | ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วเจ้าแก้วตา ฯ | ||
๏ ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ | เข้าเทียบกับกิ่งรักไม่พักหา | ||
เมื่อกินข้าวเขาก็หักใบรักมา | จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม | ||
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง | เปรียบเหมือนนางเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม | ||
อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิม | ชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย | ||
โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้ | ไม่พักได้เด็ดรักไม่พักฉวย | ||
แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวย | ใครไม่ช่วยชักนำให้กล้ำกลืน ฯ | ||
๏ เสพอาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก | ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น | ||
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน | ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา | ||
เห็นสิ่งของน้องรักฟักจันอับ | แช่อิ่มพลับผลชิดเป็นปริศนา | ||
พี่จรจากฝากชิดสนิทมา | เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ | ||
แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้น | แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ | ||
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ | เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา ฯ | ||
๏ แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลล่อง | ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา | ||
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา | สะอื้นอาลัยถึงคะนึงนวล | ||
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้ | จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน | ||
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน | ชมลำดวนดอกส้มต้นนมนาง | ||
ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหัก | เอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง | ||
ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลาง | โอ้อ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ | ||
๏ บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อบ้าน | แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาสร | ||
ลงปลักเปลือกเกลือกเลนระเนนนอน | เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน | ||
โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนเพราะศรรัก | ถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน | ||
แม้นเหมือนรสพจมานเมื่อวานซืน | จะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม | ||
โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อย | จะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม | ||
ได้ใกล้เคียงเรียงริมจะอิ่มเอม | แสนเกษมสุดสวาทไม่คลาดคลาย ฯ | ||
๏ ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า | เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย | ||
เป็นบ้าจิตคิดแค้นด้วยแสนร้าย | ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน ฯ | ||
๏ ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน | สะอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน | ||
โสนออกดอกระย้าริมสาชล | บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ | ||
แต่ต้นเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง | เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน | ||
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก | ถึงแสนโซสิ้นคิดไม่ติดตาม | ||
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาด | ขึ้นพ้นพาดเพ่งพิศให้คิดขาม | ||
ชื่อสวาดพาดเพราะเสนาะนาม | แต่ว่าหนามรกระชะกะกาง | ||
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย | ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง | ||
จนชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลาง | เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา | ||
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง | ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา | ||
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา | สันตะวาสายติ่งต้นลินจง ฯ | ||
๏ ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด | ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์ | ||
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง | เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน | ||
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ | ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร | ||
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน | เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย | ||
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก | เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย | ||
เป็นทุ่งนาป่าไม้รำไรราย | พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง ฯ | ||
๏ ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรียงรันควันโขมง | ||
ถึงชะวากปากช่องชื่อคลองโยง | เป็นทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ | ||
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก | ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว | ||
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป | ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย | ||
เวทนากาสรสู้ถอนถีบ | เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย | ||
ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย | อย่าเป็นควายรับจ้างที่ทางโยง ฯ | ||
๏ ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง | เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง | ||
เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง | ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน | ||
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด | บรรพตพืดภูผาพนาสิณฑ์ | ||
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | ตามที่ถิ่นเขตแคว้นทุกแดนดาว | ||
บ้างเดินดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง | ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว | ||
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว | อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว | ||
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด | ไม่คลาคลาดคลอเคลียเหมือนเมียผัว | ||
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว | เที่ยวเดินยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา | ||
นกกระจาบคาบคุ่มอีลุ้มร่อน | ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา | ||
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา | นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิน | ||
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด | ยามนิราศเริดร้างมาห่างเหิน | ||
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน | ส่วนเรือเดินด่วนไปใจจะคืน ฯ | ||
๏ จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน | เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น | ||
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น | น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ | ||
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ | ใครช่างดำยกฟ้าขึ้นมาได้ | ||
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราลัย | จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย ฯ | ||
๏ โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ | ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย | ||
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย | สะอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว | ||
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์ | ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว | ||
แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้ว | เหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง ฯ | ||
๏ ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิต | เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง | ||
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง | เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง ฯ | ||
๏ ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง | เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง | ||
มีรางรองสองชั้นทำคันโพง | ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม | ||
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง | มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม | ||
เมียน้อยน้อยพลอยเป็นสุขไรจุกเจิม | ได้พูนเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย | ||
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ | เหมือนเราหรือเขาจะรักมิผลักไส | ||
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ | จนเข้าในปากน้ำสำประโทน ฯ | ||
๏ ริมลำคลองสองฝั่งสะพรั่งพฤกษ์ | พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น | ||
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน | กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย | ||
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่ | กระลุมพูโพระโดกเสียงโหวกโหวย | ||
วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดย | ละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด | ||
พอมืดมนฝนคลุ้มชอุ่มอับ | โพยมพยับเป็นพยุระบุระบัด | ||
เสียงลมสั่นบันลือกระพือพัด | พิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว | ||
ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วน | เหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว | ||
แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาว | เป็นเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง | ||
เพราะนางเอกเมขลาหล่อนล่อแก้ว | จะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง | ||
เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวง | เฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา ฯ | ||
๏ ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน | ไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา | ||
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา | ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน | ||
จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่ง | เป็นเขตคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์ | ||
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน | เป็นสำคัญเขตโขดโตนดตาล ฯ | ||
๏ ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว | แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน | ||
เป็นเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาพาน | มาสังหารพระยากงองค์บิดา | ||
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่ | เผอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา | ||
อันเท็จจริงสิ่งใดเป็นไกลตา | เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง ฯ | ||
๏ ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้าน | บวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง | ||
เห็นคนทรงปลงจิตอนิจจัง | ให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย | ||
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วย | ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย | ||
อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย | ถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี | ||
แต่บ้านนอกขอกนาอยู่ป่าเขา | ไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี | ||
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี | ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา ฯ | ||
๏ บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง | กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา | ||
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา | ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป | ||
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาดคู่ | สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล | ||
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนใจ | ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร ฯ | ||
๏ ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่ | แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร | ||
ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจร | ยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา ฯ | ||
๏ ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น | สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา | ||
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาดคลา | จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ ฯ | ||
๏ ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก | น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ | ||
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ | อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา | ||
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้ | จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา | ||
สะอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา | สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง | ||
บ้างเริงร้องซ้องแซ่กรอแกรกรีด | หวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง | ||
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ้อนเอียง | บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ | ||
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า | เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห | ||
หวนสะอื้นฝืนใจอาลัยแล | ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ ฯ | ||
๏ ตะวันรอนอ่อนอับพยับแสง | ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล | ||
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาลัย | ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญาณ์ | ||
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ | กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวหา | ||
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า | เทวดายังช่วยรับประคับประคอง | ||
มนุษย์หรือถือดีว่ามีศักดิ์ | มิรับรักเริดร้างให้หมางหมอง | ||
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง | จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป ฯ | ||
๏ น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว | หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว | ||
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ | ให้ทราบในทรวงช้ำสู้กล้ำกลืน | ||
โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก | สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน | ||
แม้นงิ้วเป็นเช่นงานเมื่อวานซืน | จะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ | ||
โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร์ | ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน | ||
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน | คะนึงหวนนิ่งนอนอ่อนกำลัง ฯ | ||
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ | เป็นโรงธรรมภาคสร้างแต่ปางหลัง | ||
เดชะคำทำคุณการุณัง | เป็นที่ตั้งศาสนาให้ถาวร | ||
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาดเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร | ||
หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทร | จงถาพรเพิ่มรักเป็นหลักโลม | ||
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | ให้ละห้อยหวนเห็นเหมือนเช่นโฉม | ||
พอมืดมนฝนพยับอับโพยม | ทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง ฯ | ||
๏ ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเป็นเนินสูง | ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง | ||
เหตุเพราะนางช้างต่อไปล่อลวง | พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง | ||
โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาด | แสนสวาทหวังงามมาตามโขลง | ||
ต้องติดบ่วงห่วงรักชักชะโลง | เสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ | ||
เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง | มีโรงร้างไร้ฝาเข้าอาศัย | ||
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร | พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ | ||
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง | น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ | ||
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ | เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน ฯ | ||
๏ หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า | พออุ่นอารมณ์ระงับได้หลับไหล | ||
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ | แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม | ||
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า | แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม | ||
ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึม | เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง | ||
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด | จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง | ||
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง | แม่ม่ายสองไนเพราะเสนาะใน ฯ | ||
๏ สงสารแต่แม่หม้ายสายสวาท | นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล | ||
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองใน | เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว | ||
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง | จะร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว | ||
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว | ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย | ||
โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน | ที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย | ||
สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชย | เมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ | ||
จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อน | แนบฉะอ้อนอุ่นจิตพิสมัย | ||
พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใด | จนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน | ||
พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วง | กำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน | ||
ยังมีคุ้นอุ่นจิตไม่บิดเบือน | มาเป็นเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร | ||
ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่ม | ขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร | ||
แม้นโฉมงามตามมาจะพาจร | เมื่อขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง | ||
โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรัก | ได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเป็นเจ้าของ | ||
มาสูญชาติวาสนาน้ำตานอง | มิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง ฯ | ||
๏ พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น | ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง | ||
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง | สนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม | ||
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร | ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม | ||
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม | พื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา | ||
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น | ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา | ||
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา | ขึ้นเดินป่าไปตามทางเสียงวางเวง | ||
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ | ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง | ||
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง | ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว | ||
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง | น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว | ||
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว | พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว | ||
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น | กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว | ||
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว | เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา | ||
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ | จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า | ||
สนุกในไพรพนัสรัถยา | ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน ฯ | ||
๏ ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ | สูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน | ||
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทิน | เป็นโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน | ||
ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุข | บุดีบุกบรรจบถึงนพศูล | ||
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน | จงเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน | ||
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่าง | ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน | ||
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์ | ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ | ||
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์ | เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย | ||
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ | ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน | ||
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน | ถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์ | ||
ต่างอุตส่าห์พยายามต้องตามกัน | ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา ฯ | ||
๏ สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น | ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา | ||
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา | ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี | ||
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนด | กราบประณตกรประนมก้มเกศี | ||
ถวายธูปเทียนบุปผาสุมาลี | กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน | ||
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว | จงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล | ||
ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรน | ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา | ||
ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เป็นญาติ | ทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปรารถนา | ||
ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตา | ไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์ | ||
สาธุสะพระประธมบรมธาตุ | จงทรงศาสนาอยู่อย่ารู้สูญ | ||
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล | ให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ ฯ | ||
๏ หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ | ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน | ||
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ | พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร ฯ | ||
๏ อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง | แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร | ||
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน | ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา ฯ | ||
๏ อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด | ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา | ||
ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดา | เหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง | ||
ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยาก | รู้รักปากรักหน้าประสาหญิง | ||
ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้ง | จะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน | ||
จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอด | จะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ | ||
อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้น | ไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาดคลา ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ | ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา | ||
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา | เหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ ฯ | ||
๏ หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส | ซึ่งสิ้นชาติสิ้นภพสบสมัย | ||
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป | ถึงห้องไตรตรึงษ์สถานพิมานแมน ฯ | ||
๏ ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่น | จงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน | ||
มั่งมีมิตรพิศวาสไม่ขาดแคลน | ให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน | ||
นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบ | เสน่ห์มอบหมายรักเป็นพักผล | ||
เผอิญขัดพลัดพรากเพราะยากจน | แบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี | ||
ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รัก | ที่สมศักดิ์สมหน้าเป็นราศี | ||
สืบสกุลพูนสวัสดิ์ในปัถพี | ร่วมชีวีสองคนไปจนตาย | ||
แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอก | ให้ออกดอกทุกวี่วันเหมือนมั่นหมาย | ||
ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชาย | เป็นแม่หม้ายเท้งเต้งวังเวงใจ | ||
ที่จงจิตพิศวาสอย่าคลาดเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย | ||
อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ใน | ได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย | ||
เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ | สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย | ||
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย | จะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน ฯ | ||
๏ แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก | ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์ | ||
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ | ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร | ||
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่ | ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร | ||
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร | ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา | ||
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์ | จะได้ลงสิงสู่ในคูหา | ||
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา | พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ | ||
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์ | เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ | ||
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์ | เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร ฯ | ||
๏ โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก | ที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน | ||
มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอน | ให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม | ||
ยังเหลือแต่แพรชมพูของคู่ชื่น | ทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม | ||
พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออม | เอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง | ||
กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระ | สาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ | ||
ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรอง | เหมือนรูปทองธรรมชาติสะอาดตา ฯ | ||
๏ แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ | เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา | ||
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา | ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร | ||
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม | ด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว | ||
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร | แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง | ||
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา | ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง | ||
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง | ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง | ||
ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน | เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง | ||
เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูง | เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา ฯ | ||
๏ ในอากาศดาดดูล้วนหมู่นก | บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา | ||
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา | สะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ | ||
บนประธมลมเอื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น | กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว | ||
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป | อนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา | ||
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆ | ดังฉัตรเฉกชื่นชุ่มพุ่มพฤกษา | ||
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา | เธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว | ||
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร | รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว | ||
ฉิมพลีปลีอ่อนเกสรปลิว | มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ ฯ | ||
๏ โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาท | คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล | ||
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร | พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร | ||
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง | เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน | ||
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน | สุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย | ||
แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรก | สูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย | ||
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดาย | จะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ | ||
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น | ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน | ||
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัย | ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง | ||
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง | ||
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง | มีต่างต่างตันอกตกตะลึง | ||
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้ | เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง | ||
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึง | ชมกระดึงดอกดวงพวงพะยอม | ||
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแชล่ม | ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม | ||
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอม | แต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ | ||
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน | เที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ | ||
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ | มันบินหวือว่อนลงข้างดงดอน ฯ | ||
๏ ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติ | ระดาดาดดอกดวงบัวหลวงสลอน | ||
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย | ||
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำ | บ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย | ||
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย | จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน | ||
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น | ให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน | ||
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง ฯ | ||
๏ โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน | มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง | ||
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทอง | ดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา ฯ | ||
๏ โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม | เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา | ||
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา | พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น | ||
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ | มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น | ||
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็น | มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน | ||
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวช | โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล | ||
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ | ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ ฯ | ||
๏ แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้าน | คนโบราณรับไปได้ไต่ถาม | ||
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม | เป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ | ||
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้ทราบความตามประสงค์ | ||
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์ | พระยากงพระยาพานกับมารดา | ||
ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราชย์ | เรียงพระญาติพระยากงสืบวงศา | ||
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา | กระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน | ||
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง | ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ | ||
พระยากงส่งไปให้นายพราน | ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย | ||
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง | แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย | ||
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย | ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง | ||
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว | แกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง | ||
รู้ผูกหญ้าผ้าพยนต์มนต์จังงัง | มีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร | ||
พระยากงลงมาจับก็รับรบ | ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร | ||
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาพาน | จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ | ||
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผล | จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ | ด้วยความนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน ฯ | ||
๏ ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด | ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล | ||
เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์ | จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน | ||
แทนคุณตามความรักแต่หักว่า | ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร | ||
ที่ยายตายหมายปักเป็นหลักประโคน | แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเป็นช้านาน | ||
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม | ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน | ||
ครั้นเสร็จสรรพกลับมาหาอาจารย์ | เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศีลา | ||
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ | ปลงพระศพพระยากงพร้อมวงศา | ||
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ขัตติยา | ของบิดามารดรแต่ก่อนกาล | ||
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้ | ที่ถ้ำใต้เนินพนมประธมสถาน | ||
จึงเลื่องลือชื่อว่าพระยาพาน | คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง ฯ | ||
๏ ท่านผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง | ||
ด้วยเลื่อมใสในจิตคิดประคอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม | ||
ก็จนใจได้แต่คำทำหนังสือ | ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม | ||
ให้ลือชาปรากฏได้งดงาม | พอเป็นความชอบบ้างในทางบุญ | ||
ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์ | สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน | ||
ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญ | อย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน ฯ | ||
๏ แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน | ตรวจวารินรดทำคำอักษร | ||
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร | ถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์ | ||
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ | ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร | ||
เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพาน | เคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน | ||
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอก | น้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน | ||
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมสกล | พระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูน | ||
ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ์ | ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ | ||
สิ้นแผ่นดินทินกรรอนจำรูญ | ให้เพิ่มพูนพอสว่างหนทางเดิน | ||
ดังจินดาห้าดวงช่วงทวีป | ได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน | ||
เป็นทำนุอุปถัมภ์ไม่ก้ำเกิน | จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา ฯ | ||
๏ อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปสรราช | บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา | ||
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา | ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง ฯ | ||
๏ ษิโณทกตกดินพอสิ้นแสง | ตะวันแดงดูฟ้าเป็นผ้าเหลือง | ||
เข้าพลบค่ำร่ำรวีราศีประเทือง | ก็จบเรื่องแต่งชมประธมเอย ฯ | ||