นิทานอีสป

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

การปรับปรุง เมื่อ 04:43, 16 เมษายน 2554 โดย Karine (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(ต่าง) ←รุ่นก่อนหน้า | รุ่นปัจจุบัน (ต่าง) | รุ่นถัดไป→ (ต่าง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: พระจรัสชวนะพันธ์ (สาตร์)

ไฟล์:หน้าปกนิทานอีสป.jpg
หน้าปกนิทานอีสป

คำนำ

หนังสือนิทานอีสปเล่มนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระยาดำรงราชานุภาพ เริ่มเป็นผู้ทรงแนะนำให้ข้าพเจ้าแต่งขึ้น ให้ใช้ภาษาง่าย ๆ และประโยคสั้น ๆ สำหรับเด็กในชั้นมูลศึกษาจะได้ใช้เป็นแบบสอนอ่านในเมื่อเรียนแบบเรียนมูลศึกษาจบเล่มแล้ว ธรรมเนียมหนังสือที่เป็นแบบสอนอ่านอย่างดีไม่ว่าจะแต่งขึ้นในภาษาใด ๆ ย่อมเพ่งประโยชน์อยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งเพื่อให้มีความรู้ในวิชาหนังสือดีขึ้น เช่นให้อ่านหนังสือคล่อง ให้อ่านถูกระยะวรรคตอน ให้ทั้งผู้อ่านและผู้ฟังเข้าใจความได้ชัดเจน กับให้จำตัวสะกดการันต์และถ้อยคำสำนวนที่ดีได้เป็นต้น อีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นข้อสำคัญยิ่งและซึ่งครูมักจะละเลยกันเสียมากก็คือเพื่อให้นักเรียนได้ใช้ปัญญาความคิดที่จะตริตรองตามเนื้อเรื่องที่ได้อ่านแล้วให้เห็นประจักษ์ขึ้นในใจตนเอง ว่าภาษิตที่ท่านกล่าวไว้ล้วนเป็นของดี และถ้าตนประพฤติตามก็จะได้รับประโยชน์ด้วยกันทุกคนไม่เลือกหน้าว่าผู้ใด ความเพ่งประโยชน์ในข้อสองนี้ ถ้าครูจะปฏิบัติให้สำเร็จได้ดังประสงค์ ก็มีข้อที่จะแนะนำอยู่บ้างคือ เมื่อนักเรียนอ่านบทใดไปแล้ว อย่าให้ครูถือว่าเป็นเสร็จธุระของตนแต่เพียงเท่านั้น จงอุตส่าห์ซักถามสะกัดสะแกงให้นักเรียนคิดตอบตามเนื้อเรื่องได้โดยอนุมัติของตนเอง เช่นเรื่องราชสีห์กับหนู เมื่อปันให้นักเรียนในชั้นอ่านเป็นตอน ๆ จนจบแล้ว ครูควรให้นักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นเล่าให้ฟังจนตลอดเรื่อง แล้วถามนักเรียนเป็นคน ๆไปว่า ราชสีห์ที่ในรูปนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร เขี้ยวเล็บเป็นอย่างไร ถ้าเด็กไปพบเข้าตามทางสักตัวหนึ่งจะทำอย่างไร ส่วนหนูนั้นใคร ๆ ก็รู้จัก ที่บ้านใครมีหนูชุมบ้าง หีบไม้หนา ๆ และพื้นกระดานแข็ง ๆ ทำไมหนูจึงทะลุลอดเข้าไปได้ ฟันหนูเป็นอย่างไร ราชสีห์โกรธหนูเมื่อตะครุบหนูไว้ได้แล้วทำไมจึงปล่อยตัวไปเสีย ใจคอราชสีห์เป็นอย่างไร ถ้าราชสีห์ฆ่าหนูเสียในเวลาโกรธ เมื่อมาถึงคราวที่ราชสีห์ติดบ่วงแร้วต้องอับจนเข้าดังนี้ราชสีห์จะเป็นอย่างไร ใจคอหนูเป็นอย่างไร ดังนี้เป็นต้น
ในที่สุดนี้ข้าพเจ้าถือเป็นโอกาสขอแจ้งว่าพระเดชพระคุณสมเด็จในกรมพระที่ได้ออกพระนามมาแล้ว ได้ทรงพระกรุณาแก่ข้าเจ้าเป็นพิเศษ คือได้ทรงเป็นธุระช่วยแนะนำตรวจแก้และตัดเติมแบบสอนอ่านเล่มนี้ โดยพระองค์เองทุก ๆ บท ทุก ๆ ตอนจนตลอดเล่ม พระเดชพระคุณเป็นล้นเกล้า ฯ หาที่สุดไม่ได้
พระจรัสชวนะพันธ์ ( สาตร์ )
วันที่ ๒๒ ธันวาคม ร.ศ. ๑๓๐

บทประพันธ์

นิทานที่ ๑ เรื่องราชสีห์กับหนู

ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ ในเวลานั้นหนูตัวหนึ่งขึ้นไต่ข้ามตัวราชสีห์ ราชสีห์รู้สึกตัวตื่นขึ้น กระโดดตะครุบเอาหนูตัวนั้นไว้ ราชสีห์นึกโกรธจะขย้ำหนูตัวนั้นเสีย หนูจึงร้องวิงวอนว่า “ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้สักครั้งหนึ่งเถิด อย่าเพ่อฆ่าข้าพเจ้าเสียเลย ถ้าท่านปล่อยข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะมิลืมบุญคุณของท่านเลย”
ราชสีห์หัวร่อแล้วว่า “ตัวเองเล็กเท่านี้ เอ็งจะมาตอบแทนคุณเราอย่างไรได้” ว่าแล้วก็ปล่อยหนูไป อยู่มามิช้านาน ราชสีห์ตัวนั้นไปติดบ่วงแร้วที่นายพรานเขาดักไว้ จะดิ้นรนเท่าไรก็ไม่หลุด ราชสีห์สิ้นปัญญา ลงร้องครวญครางก้องไปทั้งป่า ฝ่ายหนูตัวนั้นได้ยินเสียงราชสีห์ร้อง จำได้ จึงวิ่งมาปีนขึ้นไปบนคันแร้ว เอาฟันแทะเชือก ให้ราชสีห์หลุดรอดพ้นจากความตายได้
หนูจึงร้องไปแก่ราชสีห์ว่า “แต่เดิมท่านก็หัวร่อเยาะข้าพเจ้า เอ็งตัวเล็กเพียงเท่านี้ จะแทนคุณท่านอย่างไรได้ มาบัดนี้ข้าพเจ้าก็ได้แทนคุณของท่านซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่และมีกำลังมาก ให้เห็นประจักษ์แต่ตาท่านอยู่เองแล้ว”


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่ผู้เลวทรามก็อย่าได้ดูถูก ถ้าเราทำดีแก่เขา เขาอาจจะแทนคุณเราได้


นิทานที่ ๒ เรื่องพ่อกับลูก

นิทานที่ ๓ เรื่องลากับจิ้งหรีด

นิทานที่ ๔ เรื่องหมาจิ้งจอกกับนกกระสา

นิทานที่ ๕ เรื่องหมาจิ้งจอกกับแพะ

หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อลึกจะพยายามตะเกียกตะกายสักเท่าใด ก็ขึ้นไม่ได้ เมื่อจนปัญญาก็เกาะขอบบ่อนิ่งอยู่ แต่พอไม่ให้จมน้ำตาย ขณะนั้นมีแพะตัวหนึ่งกระหายน้ำเดินมาที่ปากบ่อ เห็นหมาจิ้งจอกลงไปอยู่ในบ่อนั้น จึงร้องถามหมาจิ้งจอกออกไป “น้ำลึกหรือตื้น จืดสนิทหรือกร่อยเค็มเป็นอย่างไร” หมาจิ้งจอกได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ หมายจะลวงแพะเอาตัวรอด จึงร้องตอบขึ้นมาว่า “ลงมาเถิดเว้ย น้ำในนี้จืดเย็นดีนัก ลงมากิน อาบเล่นด้วยกันให้สบายใจเถิด” แพะไม่รู้เท่าหมาจิ้งจอก ก็กระโจนลงไปทันที หาได้ตริตรองเสียก่อนไม่ หมาจิ้งจอกได้ช่อง ก็เหยียบเขาแพะ กระโดดขึ้นฝั่งได้ แล้วชะโงกลงไปพูดแก่แพะว่า “ถ้าเจ้ามีความคิดมากกับเส้นเคราใต้คางของเจ้าแล้วไหนเลยเจ้าจะใจเร็วด่วนได้ เสียท่วงทีแก่เราถึงเพียงนี้ ที่ถูกเจ้าจะต้องคิดให้ดีเสียก่อนแล้วจึงค่อยกระโดดลงไปไม่ใช่หรือ”


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การงานใดๆถ้าเราใจเร็วด่วนได้ ไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนแล้วจึงทำลงไป ฉวยพลาดท่า ก็จะเสียหายและได้ความอับอายมาก

นิทานที่ ๖ เรื่องกากับนกยูง

กาตัวหนึ่งนึกอยากจะให้วิเศษยิ่งกว่าเพื่อนกาด้วยกัน จึงไปเที่ยวเก็บเอาขนหางและขนหงอนนกยูง ที่ร่วงหล่นอยู่ตามป่ามาแทรกแซมขนของตัว แล้วละฝูงกาไปทำเดินกรีดกรายและเล็มอยู่ข้างๆฝูงนกยูง เมื่อนกยูงเห็นจำได้ว่า ไม่ใช่พวกของตนก็ช่วยกันจิกตีขับไล่ให้อกไปเสียจากฝูง กาได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก จะทนอยู่ต่อไปอีกมิได้ จึงบินหนีเล็ดลอดไปแอบถอนขนนกยูงทิ้งเสียในป่า แล้วกลับไปเข้าฝูงของตัวอย่างเดิม ฝ่ายเพื่อนกาที่เคยเห็นเพื่อนกาตัวนั้นติดขนนกยูง เมื่อได้เห็นกาเย่อหยิ่งตัวนั้น กลับคืนมาอยู่ในฝูงอีก ก็ช่วยกันจิกตีขับไล่ไม่ให้เข้าพวก แล้วกาตัวหนึ่งจึงร้องว่า “ถ้าเจ้าไม่ใฝ่สูงให้เกินศักดิ์และชาติกำเนิดของเจ้าแล้ว ไหนเลยเจ้าจะได้รับทั้งความลำบากจากผู้ที่สูงกว่าเจ้าและทั้งความเกลียดชังจากพวกเราผู้เสมอกับตัวเจ้า”


  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเย่อหยิ่งจองหองและอวดดี เป็นโทษไม่ว่าที่ไหน

นิทานที่ ๗ เรื่องเด็กจับตั๊กแตน

เด็กคนหนึ่งเที่ยวจับตั๊กแตนเล่นอยู่ตามสนามหญ้าแต่เช้าเมื่อเวลาน้ำค้างยังไม่ทันแห้ง จับมาสักชั่วโมงเศษๆ ก็ได้ตั๊กแตนเป็นอันมาก ครั้นสายขึ้น แมงป่องตัวหนึ่งออกหากิน เด็กเห็นสำคัญว่าเป็นตั๊กแตน จึงเอื้อมมือออกไปจะจับ แมงป่องเห็นดังนั้นก็ขยายเหล็กในออกแล้วร้องว่า “เฮ้ยอย่าซุกซนเจ้าเด็กน้อย ถ้าถูกตัวข้าเข้า มิใช่เจ้าจะได้ตัวข้าเมื่อไร ถึงตั๊กแตนที่เจ้าได้ไว้มากแล้วนั้น ก็จะพลอยศูนย์ไปด้วย”


  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำสิ่งใด อย่าได้ระรานนัก จงเห็นแก่หน้าผู้อื่นเขาบ้าง ถ้าระรานมากไป ก็อาจจะเสียประโยชน์

นิทานที่ ๘ เรื่องมดง่ามกับจักจั่น

เช้าวันหนึ่งในฤดูฝน แต่แดดออกจัดดี มดง่ามพวกหนึ่งจึงช่วยกันขนเมล็ดข้าวที่หาไว้ในฤดูร้อนออกตากแดด ขณะนั้นมีจักจั่นผอมเดินโซเซมาเห็นเข้าจึงแวะเข้าไปหามดแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าอดอาหารมาหลายวันแล้ว หิวเต็มทน ขอทานข้าวให้ข้าพเจ้ากินสักเมล็ดสองเมล็ดพอรอดตายจะได้หรือไม่”
มดถามว่า “ก็ในฤดูร้อนเป็นหน้าเกี่ยวข้าว มีอาหารอุดม ท่านไปทำอะไรเสีย จึงไม่หาอาหารเก็บเอาไว้เล่า”
จักจั่นตอบว่า “ข้าพเจ้าหาเวลาว่างไม่ได้ เพราะฤดูแล้งเที่ยวร้องเพลงเล่นเพลินไปวันยังค่ำๆ จนสิ้นฤดู ครั้นถึงฤดูฝน ข้าวก็งอกเสียหมดแล้ว”
มดจึงเย้ยให้ว่า “อ้าวดีแล้วละเป็นไร ถ้าท่านร้องเพลงเพลินไปในฤดูร้อน ทำไมจึงไม่หัดรำในฤดูฝนเล่า”


  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ขณะที่ยังดีๆอยู่ ถ้าเราไม่อุตส่าห์ทำการงานหาสมบัติเอาไว้แล้ว ในเมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ได้ยาก เราก็จะได้ความลำบากยากแค้นเป็นอย่างยิ่ง

นิทานที่ ๙ เรื่องไก่กับพลอย

นิทานที่ ๑๐ เรื่องกระต่ายกับเต่า

นิทานที่ ๑๑ เรื่องเทวดากับคนขับเกวียน

นิทานที่ ๑๓ เรื่องลูกอ้นกับแม่อ้น

อ้นตัวหนึ่งตาบอดมาแต่กำเนิด วันหนึ่งมันอวดกับแม่ของมันว่า “แม่ แม่ ฉันแลเห็นแล้วแม่” แม่อยากจะใคร่ทดลองดุให้เห็นจริง จึงไปคาบเอากำยานมาวางไว้ต่อหน้าสองสามอัน
แล้วถามลูกว่า “นี่อะไร” ลูกอ้นตอบว่า “ก้อนกรวด”
แม่อ้นได้ฟังดังนั้น จึงบอกกับลูกว่า “เจ้าไม่ใช่แต่ตาบอดอย่างเดียว ซ้ำจมูกก็ดมอะไรไม่รู้สึกกลิ่นด้วย”


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าอวดดีนัก ความโง่เขลาของตนก็จะปรากฏออกมาให้เห็นไม่รู้จักสิ้นสุด

นิทานที่ ๑๔ เรื่องชาวนากับงูเห่า

วันหนึ่งในฤดูหนาว ชาวนาออกไปพบงูเห่านอนตัวแข็งอยู่บนคันนา ด้วยความหนาวทำให้เป็นเหน็บชาไปทั่วทั้งตัว ชาวนาผู้นั้นนึกสมเพช อยากจะใคร่ช่วยชีวิตไว้ จึงจับงูอุ้มมา
เมื่องูเห่าได้ไอตัวคนอบอุ่นเช่นนั้น ไม่สู้ช้านานนัก ก็ค่อยๆขยับตัวขึ้นได้ทีละน้อยๆ จนแข็งแรงดีอย่างเดิม แล้วก็เห่าฟ่อๆและกัดชาวนาเข้าที่แขนเป็นแผลลึก
พิษร้ายแล่นซึมซาบเข้าไปโยรวดเร็ว ในไม่ช้าก็ลงนอนตายอยู่ในที่นั้นเอง แต่เมื่อจะขาดใจชาวนาผู้นั้นร้องว่า “ทำคุณแก่สัตว์ร้ายนี่ให้โทษเช่นนี้แลหนอ”


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า วิสัยพาลแล้วย่อมไม่รู้จักที่จะกตัญญูต่อผู้ใด

นิทานที่ ๑๕ เรื่องลา หมาจิ้งจอก กับราชสีห์

ลากับหมาจิ้งจอกสบถเป็นเกลอกันว่า ถึงจะตกทุกข์ได้ยาก หรือได้ความคับแค้นอย่างไรๆ ก็จะไม่ละทิ้งกัน วันหนึ่งสัตว์ทั้งสองนี้พากันไปหากินในป่า เผอิญไปพบราชสีห์เดินมาแต่ไกล จะหลบหนีอย่างไรก็ไม่ทัน หมาจิ้งจอกรู้ว่าอันตรายจะมาถึงตัว จึงรีบวิ่งไปหาราชสีห์แล้วบอกแก่ราชสีห์ว่า จะรับอาสาหาลาให้กินตัวหนึ่ง แต่ขออย่าให้ราชสีห์ทำร้ายแก่ตัวเลย ราชสีห์รู้เท่าทันหมาจิ้งจอก จึงแกล้งรับว่าถ้าคิดอ่านลวงลามาให้ได้แล้ว จะปล่อยหมาจิ้งจอกไป หมาจิ้งจอกดีใจวิ่งไปพูดแก่ลาว่าราชสีห์จะไม่ทำอันตรายแก่ตนทั้งสอง แล้วก็ลวงลาให้เดินไปจนตกลงในหล่มลึก เมื่อหมาจิ้งจอกเห็นลาติดหล่มแล้ว ก็วิ่งกลับไปแจ้งความแก่ราชสีห์ว่า “ข้าพเจ้าลวงลาไปติดหล่มแล้ว เชิญท่านไปกินลาเถิด” ราชสีห์ก็จับหมาจิ้งจอกกินเสียในมันใด แล้วจึงค่อยๆเดินไปกัดลากินเมื่อภายหลัง


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพื่อนที่ไม่ซื่อตรงต่อเพื่อน ย่อมมีอันตรายมาถึงตนได้

นิทานที่ ๑๖ เรื่องแมลงวันกับไหน้ำผึ้ง

หญิงคนหนึ่งทำไหน้ำผึ้งหกราดอยู่บนพื้นเรือน แมลงวันได้กลิ่นน้ำผึ้งก็พากันบินมาจับกินอยู่ในที่ที่หก ขณะเมื่อกินเพลินอยู่นั้นน้ำผึ้งติดขาติดปีกเกรอะกรังจนกระพือไม่ออก ในไม่ช้าตัวก็คลุกกลั้วอยู่ในน้ำผึ้ง นอนอัดใจตายอยู่เป็นแถวๆ ในเมื่อจวนจะตาย มันร้องบอกกันว่า “เรานี่เป็นสัตว์โง่เขลามาก มาเสียชีวิตครั้งนี้ ก็เพราะเห็นแก่ความอร่อยเท่านั้นเอง”


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การที่หลงเพลิดเพลินในความสุขเกินไป ย่อมทำให้เกิดทุกข์

นิทานที่ ๒๕ เรื่องลูกปูกับแม่ปู

วันหนึ่งเวลาน้ำงวดลง ปูสองตัวแม่ลูกพากันไต่ลงไปหากินตาชายเลน ขณะเมื่อไต่ไปนั้น ลูกเดินหน้า แม่เดินหลัง ตาแม่จับอยู่ที่ลูก พอไต่ไปได้สักหน่อย แม่ก็ร้องบอกไปแก่ลูกว่า “นั่นทำไมเจ้าจึงเดินงุ่มง่ามซัดไปซัดมาดังนั้น จะเดินตรงๆทางไม่ได้หรือ จะได้ไปถึงที่หากินเสียเร็วๆ มัวเดินคดไปคดมาเช่นนี้ น้ำก็จะขึ้นมาเสียก่อนเราไปถึงที่” ลูกปูจึงย้อนถามมาว่า “แม่จะให้เดินให้ตรงทางนั้น เดินอย่างไรฉันไม่รู้ แม่ลองเดินให้ฉันดูสักที” แม่ปูก็เดินตรงไม่ได้ ด้วยวิสัยปูย่อมเดินคดไปคดมาเป็นธรรมดา แต่หากแม่ปูไม่รู้สึกตัวเอง


  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การที่จะสั่งสอนผู้อื่นให้ทำอย่างใดนั้น เราทำอย่างนั้นได้เองจึงควรสอนผู้อื่น

นิทานที่ ๒๘ เรื่องชาวสวนกับลูก

ชาวสวนผู้หนึ่ง เมื่อจวนจะตาม อยากจะสอนลูกของตนให้รู้จักการทำสวน จะได้ดำรงวงศ์ตระกูลของตนต่อไป จึงเรียกลูกเข้ามานั่งพร้อมหน้ากัน แล้วสั่งว่า “นี่แน่ะเจ้าทั้งหลาย พ่อก็จวนจะสิ้นลมหายใจอยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติที่พ่อจะให้เจ้านั้น อยู่ในสวนหลังบ้านเราทั้งสิ้น” พอสั่งดังนั้นแล้ว ชาวสวนก็สิ้นใจ ครั้นปลงศพพ่อเสร็จสิ้นลง พวกลูกจำคำที่พ่อสั่งได้ สำคัญว่าพ่อเอาทรัพย์ฝังไว้ในสวน จึงเอาจอบเสียมเที่ยวไปขุดพรวนดินค้นหาทรัพย์จนทั่วก็ไม่พบทรัพย์ ครั้นอยู่มาต้นไม้ที่อยู่ในสวนเมื่อดินซุยขึ้น และได้เลนซึ่งเขาโกยขึ้นมาจากท้องร่องเป็นปุ๋ยอันดี ก็แตกกิ่งก้านสาขางอกงามขึ้นโดยเร็ว เมื่อถึงฤดูก็มีลูกดก เหล่าลูกเจ้าของสวนก็ขายได้เงินทวีขึ้นกว่าปีก่อนๆ อีกหลายเท่า


  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถึงคนโง่ ถ้ามีความเพียรก็ย่อมได้รับผลอันดี

นิทานที่ ๓๑ เรื่องนายพรานกับไก่ฟ้า

นายพรานผู้หนึ่ง เอาข่ายไปขึงดักนกไว้ที่กลางป่า แล้วก็กลับมาแอบข้างพุ่มไม้ คอยอยู่จนกว่านกจะมาติด ในเวลานั้นมีไก่ฟ้าตัวหนึ่งบินผ่านมาเห็นเมล็ดข้าวที่นายพรานโปรยล่อเอาไว้ จึงถาลงมาจิกกินจนล่วงเข้าไปติดข่าย จะดิ้นรนสักเท่าใดก็ไม่หลุด
เมื่อนายพรายเห็นดังนั้น ก็รีบวิ่งไปปลดตาข่าย แล้วจับนกมาอุ้มไว้ นกมีความกลัวจนตัวสั่น ร้องวิงวอนขอให้ปล่อยตนไป แล้วสัญญาว่า ถ้าปล่อยให้รอดชีวิตไปแล้ว จะไปล่อลวงพวกเพื่อนให้มาติดตาข่ายอีกเป็นอันมาก นายพรานได้ยินดังนั้นจึงกล่าวแก่ไก่ฟ้าว่า
“ผู้ที่ใจคดจนถึงแก่จะล่อลวงพวกเพื่อนให้มาติดตาข่าย เพื่อจะเอาชีวิตของตนรอดอยู่แต่ผู้เดียวเช่นนี้ ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ให้หนักแผ่นดิน เราจะต้องรีบเชือดคอเจ้าให้ตายเสียในบัดนี้”


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่คิดให้ร้ายแก้เพื่อนเพื่อประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว ย่อมเป้นความเสียหายแก่ตนเองยิ่งขึ้น

นิทานที่ ๓๔ เรื่องกบเลือกนาย

ยังมีกบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในบึงใหญ่ อยู่มากบฝูงนั้นอยากจะหานายไว้คุ้มครองป้องกันตัว จึงไปร้องทุกข์แก่เทวดา ขอให้หานายส่งมาให้
ฝ่ายข้างเทวดาเมื่อเล็งเห็นความโง่เขลาของกบ ก็ทิ้งขอนไม้ท่อนใหญ่ลงไปในบึงเสียงดังสะท้านและน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ทำให้พวกกบตื่นตกใจเป็นอลหม่าน
เมื่อเสียงสงบลงแล้ว มีกบกล้าตัวหนึ่งว่ายน้ำเข้าไปดู เห็นขอนไม้ลอยน้ำอยู่ก็ดีใจ กล้ามาบอกเพื่อนว่า เทวดาส่งนายลงมาให้แล้ว ในชั้นแรกกบเหล่านั้นก็ยังขยาดไม่กล้าจะเข้าไปใกล้ขอนไม้นัก ครั้นภายหลังก็จนเข้าทุกทีๆ จนพากันขึ้นไปปีนป่ายอาศัยเกาะนั่งนอนบนขอนไม้ ได้ความสุขสบาย
อยู่มามิช้ามินาน กบฝูงนั้นเกิดความเบื่อหน่ายเห็นว่าขอนไม้ได้แต่ลอยน้ำอยู่เฉยๆ ไม่สามารถที่จะแผ่อำนาจในการคุ้มครองตนอย่างไรได้
จึงพากันไปร้องแก่เทวดาขอเปลี่ยนนายให้แก่ตนใหม่ ให้มีฤทธิ์เดชให้มาก ฝ่ายเทวดาขัดใจขึ้นมา จึงปล่อยนกกระสาลงมาให้เป็นนาย นกกระสาก็จับกบกินเสียทุกๆวัน จนหมดกบฝูงนั้น


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความทะเยอทะยานอยากได้ ไม่รู้จักประมาณ ย่อมเป็นการหาภัยใส่ตัวเอง

นิทานที่ ๓๕ เรื่องยายแก่กับหมอ

ยังมียายแก่คนหนึ่ง เป็นโรคตามัว จะมองดูอะไรไม่ใคร่เห็น จึงวานเด็กให้จูงไปหาหมอยาตาที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
เมื่อพบหมอ แกจึงพูดว่า “ท่านหมอ ตาอีฉันมืดไป ถ้าท่านช่วยรักษาให้เห็นได้ดังเก่า อีฉันจะให้เงินค่ารักษาแก่ท่านพอแก่ใจ” หมอตรวจดูนัยน์ตา เห็นว่าพอจะรักษาให้หายได้ ยอมรับรักษา
ครั้นวันรุ่งขึ้นหมอเอายามาที่บ้านยายแก่ เห็นยายแก่มีทรัพย์สิ่งของมาก จึงนึกในใจว่าถ้าตายายแก่มืดอยู่อย่างนี้ เราจะหยิบฉวยอะไรไปก็จะแลไม่เห็น เราอย่ารักษาให้แกหายเร็วเลย หยิบเอาของแกเสียให้หมดก่อนเถิด เมื่อของหมดแล้วเราจึงจะรักษาให้หาย
นับแต่นั้นเป็นต้นมา หมอก็เอายาที่ไม่ถูกกับโรคมาหยอดให้ยายแก่ทุกเวลาเช้าเวลาเย็น แต่เมื่อขากลับก็ฉวยเอาของของยายแก่ เป็นต้นว่า ขันน้ำ พานรอง ขวดโหล หีบ ถาด ถ้วย ชาม และเครื่องใช้สอยต่างๆติดมือไปด้วย
วันละสิ่งสองสิ่งจนหมด ครั้นเมื่อของหมดแล้ว ตาหมอจึงเอายาขนานที่ถูกกับโรคหยอดตายายแก่ ไม่ช้ายายแก่ก็หาย แลเห็นได้เป็นปรกติ หมอจึงทวงเงินที่ยายแก่บนไว้
ยายแก่รู้ว่าหมอลักเอาของไปหมดแล้ว ก็ไม่ยอมให้ค่ารักษา จึงเกิดโต้เถียงขึ้นกันขึ้น จนถึงแก่ไปฟ้องร้องกันยังโรงศาล เมื่อตุลาการซักถาม
ยายแก่ให้การว่า “เมื่อครั้งตาอีฉันยังดีๆอยู่ ทรัพย์สิ่งของของอีฉันมีมาก อีฉันแลเห็นของในบ้านเรือนได้ทุกสิ่งอย่าง ครั้งเมื่อตามืดมัวลง แลไม่เห็นอะไรจึงได้ไปหาหมอคนนี้มารักษา และหมอยังรักษาอีฉันไม่หายเหมือนแต่ก่อน ตาอีฉันยังแลไม่เห็นทรัพย์สิ่งของในบ้านเรือนเหมือนดังแต่ก่อน หมอจะมาเรียกเอาค่ารักษาตาอีฉันตามสัญญาอย่างไรได้


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การรู้มากและเห็นแต่แก่เล็กแก่น้อย ย่อมตัดประโยชน์ที่ตนยังจะได้ต่อไปภายหน้าอีกเป็นอันมาก

นิทานที่ ๔๐ เรื่องพ่อค้าเกลือกับโคต่าง

ยังมีวัวต่างของพ่อค้าเกลือตัวหนึ่ง เจ้าของบรรทุกเกลือไปขายเนืองๆ ครั้งหนึ่งวัวต่างตัวนั้นเดินข้ามห้วยเหยียบหินพลาด พลัดตกลงไปอยู่ในแอ่งน้ำในห้วย กว่าเจ้าของจะลงไปจูงขึ้นมาได้ ก็พอดีที่เกลือที่อยู่ในต่างถูกน้ำละลายไปหมด เมื่อวัวขึ้นมาถึงบนบกรู้สึกเบาหลัง จึงนึกว่าที่ได้ลงไปแช่อยู่ในน้ำนั้น ทำให้ของที่เขาบรรทุกหลังเบาไปได้ แต่นั้นมาเมื่อเจ้าของพาวัวต่างบรรทุกเกลือไปถึงแม่น้ำลำคลองแห่งใด วัวต่างตัวนั้นก็แกล้งลงไปนอนเสียในน้ำ จนเกลือละลายทุกคราวมา
พ่อค้าเกลือเห็นวัวโกงเช่นนั้น คราวหลังจึงแกล้งเอานุ่นบรรทุกต่างวัวตัวนั้น ให้หนักเท่ากับที่เคยบรรทุกเกลือมาแต่ก่อน ฝ่ายวัวไม่รู้เท่าเจ้าของ ครั้งเดินไปถึงห้วงน้ำก็ลงไปนอนแช่น้ำเสียอีก คราวนี้นุ่นไปถูกน้ำเข้า ก็อุ้มน้ำหนักกว่าเวลาแห้ง วัวตัวนั้นก็หนักหลังยิ่งกว่าแต่ก่อน เจ้าของทำอย่างนี้จนวัวตัวนั้นเข็ด ไม่กล้าลงไปนอนในน้ำอีกต่อไป


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนโกงเอาเปรียบเขาบ่อยนัก เขาคงรู้เท่า ทำโทษคนโกงให้สมกับที่โกงเขาได้

นิทานที่ ๔๑ เรื่องกระต่ายป่ากับกบ

ยังมีกระต่ายป่าฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ที่ป่าละเมาะ กระต่ายฝูงนั้นเคยออกมาหาอาหารกินอยู่ที่ตามนาร้างข้างป่านั้นทุกเวลาเช้าเวลาเย็น ในเวลาที่ฝูงกระต่ายเที่ยวและเล็มหญ้ากินอยู่ ถ้าเห็นวัวควายหรือคนเดินมาแต่ไกล กระต่ายก็หวาดว่า จะมาทำร้ายแก่ตน รีบวิ่งเข้าซุกซ่อนตัวอยู่ในหญ้ารก พวกที่ฝีตีนเร็วก็วิ่งกลับเข้าไปยังป่าละเมาะได้
กระต่ายทำแต่ดังนี้เสมอมา จนนึกเบื่อหน่ายเข้าเอง จึงมาปรึกษากันว่า ถ้าจะอยู่ต่อไปก็ไม่เป็นสุข เพราะจำจะต้องตื่นเต้นตกใจอยู่ทุกเช้าค่ำ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ฝูงกระต่ายจึงเห็นพร้อมกันว่า จะฆ่าตัวตายเสีย จะได้ไม่ลำบากอีกต่อไป พอรุ่งเช้าขึ้น ฝูงกระต่ายพากันวิ่งไปทางลำธาร จะไปกระโดดน้ำตาย
แต่พอไปถึงฝั่งน้ำก็เห็นฝูงกบตื่นตกใจกลัว กระโจนลงในน้ำดำหายไป กระต่ายเฒ่าที่เป็นโจกฝูงหยุดชะงัก แล้วร้องขึ้นว่า “พวกเรานี้โง่จริงๆ มิใช่ว่าพวกเราตื่นตกใจง่ายๆ แต่พวกเดียวเมื่อไร ถึงสัตว์จำพวกอื่นก็ขลาดเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะมาพากันฆ่าตัวตายเสียด้วยเหตุประการใด” ว่าแล้วฝูงกระต่ายก็พากันกลับไปอยู่ในป่าละเมาะตามเดิม


  • นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางทีรู้สึกว่าตัวมีความทุกข์ร้อนยิ่งกว่าผู้อื่น แต่ที่จริงผู้ที่เขามีทุกข์ร้อนกว่าตัวยังมี เพราะฉะนั้นในการที่จะทำอะไรไปด้วยความรู้สึกทุกข์ร้อน ความพิจารณาเสียให้มากก่อน

นิทานที่ ๔๔ เรื่องคนเลี้ยงแพะกับลูกเสือ

ชายคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายแพะ เลี้ยงแพะไว้ที่ริมสถานีรถไฟฝูงหนึ่ง วันหนึ่งชายนั้นเข้าป่าจะไปตัดไม้ไผ่มาทำคอกแพะ ขณะเมื่อเดินไปถึงเชิงเขา ชายผุ้นั้นพบลูกเสือหลงแม่ตัวหนึ่งเดินอยู่ตามลำพัง จึงจับเอามาเลี้ยงไว้ แล้วหัดให้ลูกเสือเที่ยวขโมยลูกแพะของชาวบ้านใกล้เคียง ส่วนลูกเสือนั้น ถ้าวันไหนขโมยลุกแพะของชาวบ้านได้สองตัว จะกัดกินเสียหนึ่งตัว เหลือเอาไปให้เจ้าของแต่ตัวเดียว ถ้าวันไหนขโมยแพะของคนอื่นไม่ได้ พอตกกลางคืนลงก็ขโมยแพะของเจ้าของเสียทุกวัน


  • เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การคิดหาประโยชน์ใส่ตัวในทางมิชอบ ลงปลายมักจะเสียประโยชน์ตนเอง
เครื่องมือส่วนตัว