โคลงนิราศท้าวสุภัติการภักดี

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

การปรับปรุง เมื่อ 15:49, 7 สิงหาคม 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(ต่าง) ←รุ่นก่อนหน้า | รุ่นปัจจุบัน (ต่าง) | รุ่นถัดไป→ (ต่าง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

บางแห่งเรียกว่านิราศกาญจนบุรี

บทประพันธ์

ร่าย

๏ ศรีศรีสุภสวัสดิ์ พิพัฒน์พูลเพิ่ม เริ่มเรื่องรงงสฤษดิ์สาร จากสถานราชธานี โดยพระภูบดีผ่านเกล้า เจ้าจอมภพเสด็จดล ด้าวกาญจนบุรี ตามวิถีสถลมารค จากจวบกลับคืนกรุง ผดุงอยุทธเยศหล้า สนุกนิ์ผ้างแผ่นฟ้า ฟากโพ้นดุจกัน แลแฮ ฯ

๏ เขตรขันธ์อยุทธเยศล้ำเลอสฐาน
เสพศุขกระเษมสานต์เสื่อมเศร้า
สมบัติบริบูรณบานใจราษ ฎรแฮ
สรรพสิ่งสินค้าเข้าออกอ้างเหลือตรา ฯ
๏ นานาประเทศค้าของขาย
แพตึกสินค้ารายเนื่องแหน้น
สกลมารคสอาดทรายโรยเรียบ
เรือเล็กเรือไฟแหล้นฝ่ายน้ำอึงอล ฯ
๏ ดลเดือนมาฆะสิ้นวสันต์
เสด็จแดนพนมวันป่ากว้าง
ชมพฤกษ์อรัญบรรพตใหญ่ น้อยแฮ
สนั่นพยุห์ม้าช้างเพียบพื้นภูวดล ฯ
๏ แถลงปางบำราศเจ้าจากเวียง
แสนเสนาะสำเนียงนุชพร้อง
หนักทรวงพี่หนักเพียงเทคว่ำ ลงแม่
จำจิตรจำละน้องนาฎไว้เนาวัง ฯ
๏ เสียดายขนิษฐน้อยนงพาน พี่เอย
งามดั่งดวงกุสุมาลย์คลี่คล้อย
ละนุชแม่เนาสฐานแต่เอ่ องค์แฮ
ชายเฉียดหญิงชิดน้อยหนึ่งซ้ำเสียใจ ฯ
๏ โฉมแม่จักฝากไว้แห่งใด ดีฤๅ
ฝากกับใครฤๅใครจักเว้น
ฟ้าดินพี่ตรวจไตรดูหมด มาแม่
โฉมแม่ชอบแต่เร้นอยู่ห้องนฤพาน ฯ
๏ โลมลานุชนาฎแล้วจักลา แม่นา
ไปนานกี่เดือนคลา......
.......................มาสู่ แม่แม่
ขอเทพรักษ์น้องไว้ตราบข้าคืนคง ฯ
๏ ยกย่างห่างกึ่งก้าวดำเนิน
ดุจย่องคล้องบาทเดินไป่ได้
ริวริวจิตพันเอินอ่อนอก แลแม่
ร้อนกระมลหม่นไหม้จากหน้าเหลียวหลัง ฯ
๏ เหลียวเหนสายสวาดิเจ้าตามมา ส่งแฮ
ดั่งจะทอดกายาล่มล้ม
น้ำตาบ่อขาดตาไหลหลั่ง ลงแม่
กลืนกล้ำน้ำเนตรก้มภักตรเต้าดำเนิน ฯ
๑๐
๏ ย่างลงนาเวศว้าหวั่นสมร
แลบ่พบภักตรถอนจิตรท้อ
รุ่มรุ่มจิตรรอนรอนเรือแล่น มานา
เฉกดั่งน้ำร้อยหม้อติดต้มกลางทรวง ฯ
๑๑
๏ อรุณอาราเมศแม้นอันใด ดีฤๅ
คือสุริยอุไทยเถือกฟ้า
แสงแดดส่งแสงใสเสมอโอษฐ แม่นา
ปากแม่แดงดูหน้าแม่หน้าเอ็นดู ฯ
๑๒
๏ กัลยานิมิตรอ้างอาราม พระนา
เสมอมิตรเราสองงามเงื่อนพร้อง
เรียมคิดคู่ครองความสุจริต นาแม่
น้องรักพี่รักน้องเล่ห์เพี้ยงอาราม ฯ
๑๓
๏ ร้านแพแลเพียบล้วนของขาย
โหมดเทดตาดทองพรายเพริศพร้อย
รฦกศรีสไบสายสมรมิ่ง
ดาษนอกทรับสุดย้อยสอดช้อนชมภู ฯ
๑๔
๏ วัดยานนาเวศล้ำเรือกล
พาพระโพธิสัตวดลฝั่งแล้ว
วานเวียนประเวศวนกลับน่อย เรือเฮย
เรือช่วยเร็วรับแก้วเนตรน้องตามมา ฯ
๑๕
๏ บ้านชาวยุโรปล้วนตึกราย เรียงแฮ
เป็นระยะริมชายฝั่งน้ำ
บางแห่งก็ห้างขายของมาก มีนา
ชมประชาชนปล้ำกลุ่มซื้อสับสน ฯ
๑๖
๏ นพคุณอาวาศใกล้ชลธาร
งามแต่ชื่อแลชานรกเรื้อ
อ้าโฉมแม่ดวงมาลย์นพมาศ กูเฮย
ผุดผาดผิวผ่องเนื้อแม่แม้นนพคุณ ฯ
๑๗
๏ บัดเดี๋ยวบันลุด้าวดาวคะนอง
นั่งนิ่งคเนตรองเรื่องนี้
เรือเร็วยิ่งม้าผยองพยศย่าง ใหญ่แฮ
ลอยลิ่วลีแล่นจี้ล่วงพ้นดาวคะนอง ฯ
๑๘
๏ บางคอแหลมเล่ห์เสี้ยมนามบาง
เสมอเชี่ยมเสียบอุระพางค์พี่ข้อง
ยามค่ำพี่ลานางนุชพร่ำ สั่งแฮ
แหลมระฦกคำน้องทราบล้านเสียวกระสัน ฯ
๑๙
๏ เรือไฟใช้จักรคว้างคือปาน ลมเฮย
ถึงสมุทรปราการปากน้ำ
พระสมุทรเจดียสฐานที่นมัส การแฮ
ขอเดชพระช่วยค้ำคู่ข้าคืนครอง ฯ
๒๐
๏ ป้อมเสือซ่อนเล็บใกล้ชลธาร
สำหรับดัษกรการศึกสู้
ซ่อนฤทธิ์กำแหงหาญเสมอซ่อน รักนา
ซ่อนรักลักซ่อนชู้พี่ช้ำใจตาย ฯ
๒๑
๏ หลังเต่าบอเติ่งตั้งกลางชล
ฤๅเต่าเที่ยวซุกซนหลบลี้
เต่าเอยฝากนุสนธิ์แก่เต่า ไว้นา
เท่าแม่มาทางนี้เต่าเต้นนำจร ฯ
๒๒
๏ เรือออกปากอ่าวอ้างว้างใจ จริงนอ
แลลิ่วทิวไม้ไกลฝั่งแล้ว
เห็นเรือนตะเกียงในอรรนพ
เรือแล่นเลยแคล้วแคล้วคลาดคล้อยโดยทาง ฯ
๒๓
๏ บัดดลเรือติดตื้นกลางดอน
กรรมพิบัติจำนอนนอกนั้น
ทุกขทับหฤทัยถอนทนเทวศ
เรือติดจิตวนอั้นห่างหน้าไกลหลัง ฯ
๒๔
๏ รอนรอนสุริย์เยื้องสายันห์
เรื่อเรื่อรัศมีจันทร์แจ่มฟ้า
รายรายพระพายผัน พัดเมฆ หมดเฮย
เรื่อยเรื่อยดาเรศกล้าเคลื่อนคล้อยพาโยม ฯ
๒๕
๏ ดวงดาวราวเนตรน้องนงค์พงา พี่เอย
ภักตรเทียบดวงจันทราจิ่มลิ้ม
ขนงเปรียบอ่าวคงคากันเรียบ เสมอฤๅ
โฉมแม่งามยั่วยิ้มยิ่งแย้มอัปศร ฯ
๒๖
๏ หอมกลิ่นการเกษทั้งอรองค์ ออนเอย
เนื้อสนิทนวลผจงเจิดหล้า
งามจริตระทวยทรงเสาวภาค พี่เอย
เนื้ออุ่นยามหนาวหน้าเร่าร้อนผ่อนเย็น ฯ
๒๗
๏ ลมทะเลพัดผ่าวต้องสกนธ์กาย
ผ้าห่มฤๅห่อนหายสั่นสะท้าน
เนื้อนิ้วกิ่งก้อยสายสุดสวาดิ์
แม้นพยุห์ร้อยด้านดีดนิ้วเดียวหาย ฯ
๒๘
๏ เคยสายสมรแนบเนื้อแนมนอน
พลางพี่ตระกองกรกอดเกี้ยว
ยามค่ำร่ำอ่านกลองฉันทกาพย์ โคลงแฮ
พลางพี่ลอดแล่นเลี้ยวไขว่คว้าในเชิง ฯ
๒๙
๏ ป่านนี้นาเรศรั้งแรมวัง
จักหลับฤๅเยาวยังนั่งเหล้น
จากแม่มาอยู่หลังจักเงียบ เหงานา
ละที่เคยขาดเว้นค่ำเช้าคอยหา ฯ
๓๐
๏ จากมาแม่นแม้นว่าตัวตาย
ใจบออยู่กับกายแยกไว้
เร่าร้อนธุรนรายฤๅหลับ เลยแม่
หนาวแต่นอกในไหม้หม่นเศร้าทรวงศลาย ฯ
๓๑
๏ ย่ำรุ่งสุริเยศขึ้นพันชล
ฟื้นจากนิทรามนท์มืดหน้า
ลุกยืนก็เวียนวนจักคว่ำ ลงแฮ
เรือก็โคลงเคลงคว้าเชือกได้เดินเซ ฯ
๓๒
๏ นั่งชมบอได้เพราะคลื่นเหียน
ยินแต่เสียงอาเจียนกึกก้อง
นอนนิ่งก็วิงเวียนค่อยสร่าง
พลางพิงเอกเขนกจ้องจักชี้ชมปลา ฯ
๓๓
๏ เหนโป๊ะปักเรียบรั้วร้วมปลา
ปลาบอรู้ตัวมาติดหมั้น
เฉกโฉมวนิดางามเงื่อน โป๊ะแฮ
ชายเฉียดชักติดอั้นอัดกล้ำจำตาย ฯ
๓๔
๏ ปลาวานวนว่ายค้างดอนทราย
กระดิกกระเดือกกายขัดข้อง
ดุจพี่จากนุชวายสวาสดิ์ มาแม่
ดานระเด่าดิ้นร้องเรียกเจ้าในใจ ฯ
๓๕
๏ เรือมาน้ำลึกได้สามวา เศษแฮ
เห็นแต่ฟ้ากับชลาฝั่งบ้าง
งูเงือกเต่าปูปลาบอผุด พบเลย
แต่จะคอยชมค้างเช่นค้างชมนาง ฯ
๓๖
๏ จำจากพรากพลัดเจ้ามาคืน หนึ่งฤๅ
ช้อนตักเข้าเต็มกลืนติดแค้น
เจ็บจิตรแต่จำขืนกลืนกลับ ลงแฮ
ลมประทะสะท้อนแหน้นคั่งแค้นคืนคาย ฯ
๓๗
๏ คิดวันเรียมจากเจ้าจักลา มานา
ทอดแต่ดวงไนยนาบอกร้อน
จะสั่งออกวาจาจวนแก่ แล้วแม่
กลัวพวกสาวจักข้อนแคะได้คำคม ฯ
๓๘
๏ พอสายสุริเยศแล้วลุถึง
ปากอ่าวแม่กลองจึงแซ่ซ้อง
เจ็บจิตรดังปืนยึงยันอก กูเฮย
บอตลอดเลยต้องยักย้ายลำเรือ ฯ
๓๙
๏ ชาวบ้านปากอ่าวตั้งทำปลา
สาวแก่เด็กเล็กมากลาดกลุ้ม
อายอบสบนาสาเหม็นโฉ่
หน้าดังเนื้อติ่งตุ้มติดก้อยท้าวนาง ฯ
๔๐
๏ เยียมามาลุแล้วอำพวา
ตาสอดลอดแลหาแห่งหั้น
วังอัมพวันนารามราช วังแฮ
ขอพระเดชพระกางกั้นเกษพ้นภัยกษัย ฯ
๔๑
๏ ราชบุรีใดราชได้แรมวัง นี้นา
ใยบ่อยลสนมยังอยู่บ้าง
ชรอยราชแต่ปางหลังจักพราก มาฤๅ
ราชนิราศแรมร้างร่วมรู้ใจเรียม ฯ
๔๒
๏ หยุดยั้งยังท่าขึ้นแรมเมือง
สามราษราตรีเคืองสวาดิ์ไหม้
ทุกขทับบอประเทืองคลายคลี่ เลยนา
เดินเที่ยวชมไม้ไหล้ผักหญ้าสารพัน ฯ
๔๓
๏ ยอแสงสุริเยศเยื้องเวหา
ยามพระลบสนทยาคล่ำคล้อย
เหนจันทรแจ่มนภาพ้นเมฆ มาฤๅ
คิดว่านวลน้องน้อยนาฏเจ้าตามเรียม ฯ
๔๔
๏ ดวงเดือนเหมือนพักตร์กลอยกมล
ใจอยู่วังแต่ตนห่างร้าง
ดาวดาษดื่นนภดลดวงเด่น
แม้แม่มาแนบข้างจักชี้ชวนชม ฯ
๔๕
๏ หมู่หนึ่งนักขัตรขึ้นเปนปถม
ชื่ออัศวนีนิยมเยี่ยงไว้
เชยดาวพี่ขาดชมโฉมชื่น เชยแม่
ดาวแข่งม้าจงได้รับน้องมาเร็ว ฯ
๔๖
๏ ฤกษ์สองดาวก้อนเซ่าภรณี นามแฮ
หรุบหู่ดูรัศมีหม่นเศร้า
หมองเหมือนพี่ไกลศรีเสาวลักษณ์
จำจากพรากพลัดเจ้าพี่ช้ำใจมอง ฯ
๔๗
๏ ฤกษสามนามออกอ้างกฤติกา
ลูกไก่เป็นกลุ่มมาพรั่งพร้อม
เรียมไกลวนิดาดวงสวาดิ์ เดียวนอ
พลไพร่นับพันห้อมพี่เพี้ยงมาเดียว ฯ
๔๘
๏ จมูกม้าฤกษสี่นั้นโรหินี
ดูเด่นดวงแดงสีสดล้ำ
คนึงนุชพี่โสกีทุกค่ำ คืนแม่
สองเนตรแดงคล้ำช้ำแม่นแม้นโรหินี ฯ
๔๙
๏ มฤคเศียรคำรพห้าดาวหัว เนื้อเฮย
ชรมุกชรมนมัวหริบหรี้
จากวังก็แต่ตัวใจจิตร ห่วงนา
ร้างรักบอรู้กี้เมื่อไซ้จักสม ฯ
๕๐
๏ กฤษฉัฐอัทรเรื้องนพภา ดลเฮย
ปลิวลิ่วตามดาราเต่าเต้า
ใจเรียมว่ายเวหาหานุช แลแม่
แม่จักศุขฤๅเศร้าอยู่ห้องหนหลัง ฯ
๕๑
๏ บุรณพัสดุสัตฤกษพร้อมดวงเพรา พรายนา
แลเล่ห์ลำสำเภาลิ่วคว้าง
สำเภาจักพาเยาวมิ่งแม่ มาฤๅ
คอยยิ่งคอยเปล่าค้างคิดค้างคอยหาย ฯ
๕๒
๏ ฤกษแปดไป่แจ่มแจ้งมัวมน
นามบุษป์ดอกบัวกลกล่าวไว้
หวลคิดคู่ยุคลบัวมาศ แม่เฮย
ยามพี่ไกลกลิ่นไซ้จักช้าดีไฉน ฯ
๕๓
๏ อัศเลศเนาวกฤษเต้าตามบัว มาฤๅ
เยียวว่าปูวิ่งรัวไล่ไกล้
บัวเอยจงเกลียดกลัวปูลอบ ดมนา
บัวอย่าน้อมก้านให้เหล่าเปี้ยวปูหอม ฯ
๕๔
๏ มาฆะฤกษ์สิบนี้พานร
ฤๅทหารรามรอญราพร้าย
วานพาพี่เหาะจรสมสู่ แม่แล
ดาวบอพาผาดผ้ายใช่เชื้อหณุมาน ฯ
๕๕
๏ บุพผคุณกฤษไซร้เอกา ทศเฮย
คำเก่าเรียกสืบมาแรดผู้
รอยแรดฤทธิ์เรืองพาหนพระ เพลิงฤๅ
ร้อนรักเกรงแรดรู้เรื่องร้อนรนใจ ฯ
๕๖
๏ อุตรผลฤกษ์นี้สิบสิง
นางแรดตามผู้ปองชื่นชู้
พี่ร้างฤแม่ตรองตรึกเคียด พี่ฤๅ
จึงไม่ตามมาสู้นิ่งแค้นอยู่วัง ฯ
๕๗
๏ สิบสามนามหัษฐอ้างฝ่าหัดถ์
ไพโรจเรืองจำรัสรุ่งเร้า
เรียมร้องหัดถ์แม่ปัดหัดถ์พี่
คิดบอลืมหัดถ์เจ้าหัดถ์คว้าหาหาย ฯ
๕๘
๏ สิบสี่ศรีเพริศแพร้วพรายหาว หนแฮ
ฤกษจิตรคือดวงดาวต่อมน้ำ
จิตรพี่เยือกเย็นหนาวนึกแนบ นุชนา
ชลชุ่มเต็มเนตรช้ำเพียบเพี้ยงตุ่มชล ฯ
๕๙
๏ เบ็ญจรัสสวัสดิแก้วชัชวาลย์
พิศพ่างดวงประพาฬแจ่มจ้า
โฉมน้องติดเนตรปานมณีเนตร เรียบฤๅ
ไกลกว่าไกลนึกหน้าห่อนเว้นเห็นโฉม ฯ
๖๐
๏ ไพศาขดาวบ่อน้ำโสฬศ
ดาดาษดวงปรากฏเกลื่อนกล้ำ
เรียมไกลกลิ่นเสาวรศนานเนิ่น แล้วแฮ
บ่อเนตรเต็มชุ่มซ้ำเช่นน้ำบ่อดาว ฯ
๖๑
๏ อนุราชสิบเจ็ดนี้ดาวหงอน นาคเฮย
กลาดเกลื่อนอัมพรสลอนกล่นกลุ้ม
ร้อนรักพี่ร้อนสมรเสมอพิษ นาคนา
บัดนั่งบัดนอนคลุ้มจิตรร้อนหายหิว ฯ
๖๒
๏ อัฐสรัสเชษฐฤกษเรื้องแสงฉาน
หัวนาคเผ่นทยานหารเหาะเหล้น
ปานนี้นุชเนาสถานคิดพี่ บ้างฤๅ
คิดที่เคยขาดเว้นว่างเว้นวายชนม์ ฯ
๖๓
๏ สิบเก้าดาวท้องนาคนามมูล ฤกษแฮ
งามดังดวงไพทูริย์เทียบแท้
ผิวภักตรแม่เพ็ญบูลณ์ใดเปรียบ ได้เลย
พิศเพ่งดาวเดือนแพ้พ่ายหน้านวลนาง ฯ
๖๔
๏ ฤกษยี่สิบช้างชื่อบุรพา สานแฮ
พลายคชร้างพังคลาคลาศเต้า
เรียมก็จากขวัญตามาเถื่อน
ละแม่เดียวอยู่เหย้าขาดแล้วโลมสงวน ฯ
๖๕
๏ เอกเพศพังคชเต้าตามพลาย มาฤๅ
ชื่ออุตราสานหมายฤกษไว้
เหลียวหาห่อนเห็นสายสวาดิ์พี่ ตามเลย
ก้มภักตร์ตรมอกไหม้นึกหน้าอายคเชนทร์ ฯ
๖๖
๏ อุภาพิศชี้ชื่อสาวัน
ดาวหลักไชยใครสรรพ์เศกไว้
โรครักสลักยันตรึงแน่น ทรวงนา
ถอนบอได้กลับได้แต่ร้อนรนกระสัลย์ ฯ
๖๗
๏ ไตรพิศชนิดรู้ดาวกา
บินร่อนมาเวลาดึกแล้ว
นำข่าวขนิษฐานารีรัตน มาฤๅ
กาบอกข่าวแก้วพี่ได้สักคำ ฯ
๖๘
๏ จคุเพศสัตพิศแม้นมังกร
แผลงฤทธิ์เผ่นอัมพรแล่นเลี้ยว
คิดเคยแอบองค์อรอุ่นอก
กรพี่เคยตระกองเกี้ยวกอดแก้วกับสกนธ์ ฯ
๖๙
๏ บัญจเพศบุร์พภัทรพ้นหาวหน มาแฮ
คือพิศจะบังบนบดฟ้า
รันทวดระทวยทนเทวศร่ำ รักแม่
ลมว่าวผ่าวพัดกล้านึกก้องอนาถหนาว ฯ
๗๐
๏ เพดารลำดับด้าวอุตรา ภัทรฤๅ
ยี่สิบหกฤกษ์มาล่วงแล้ว
หวิวหวิวประวิงผวาพวงหวั่น ใจนา
ไก่ป่าขันแจ้วแจ้วหวาดว้าทรวงเสียว ฯ
๗๑
๏ สับตาพิศสิ้นฤกษเรวดี ปลานอ
บันจบจักรราสีรอบฟ้า
จวนพระสุริยสีลาส่อง โลกยแฮ
เบิกอุไทยเถือกกล้าจวบแจ้งปัจุสมัย ฯ
๗๒
๏ คิดไปใจป่วนเพี้ยงลอยปลิว
เสียงดุเหว่าแว่วหวิวหวาดว้า
อ่อนอกระทวยหิวมึนเมื่อย
หนาวหนักนอนคลุมผ้าสก็อกกลิ้งหลับไป ฯ
๗๓
๏ ถึงวันกำหนดแล้วจักเดิน บกนา
เสียงพวกพลเกรียวเกรินกู่ก้อง
ตราตรอมตระโหมดเหินหวลสวาดิ์
ไตรตรวจทุกหน้าจ้องจบแล้วฤๅเห็น ฯ
๗๔
๏ เดินทางกลางป่ากว้างลำละเมาะ
ถึงทุ่งนามนำเราะราษฎร์รู้
ชื่อนาหากเฉพาะคำกล่าว
ฤๅว่าน้องนางสู้เราะรั้วหาเรียม ฯ
๗๕
๏ ท่าเล่นเห็นท่าเหลี้ยนแลตลุย
แม้นอยู่กรุงจักกรุยเกร่อก้อ
พาน้องแม่ฉายฉุยมาแล่น
มาแต่เดียวนึกท้อจากเจ้าหนาวจริง ฯ
๗๖
๏ ถึงช่องเขาทลุเลี้ยวเลยมา
แลละลิ่วเพิงผาโหว่โหว้
กระทิงถึกพยัคฆาเคยสู่ สิงแฮ
เขาทลุโล่งโต้ตอบด้วยทรวงเรียม ฯ
๗๗
๏ เขาทลุฤาใหญ่เหยี้ยงอกเรา
กว้างกว่าขอบเขตรเขาวากวุ้ง
ทุกแทบสัตวร้ายเนาในอก
นอนแต่นอนสดุ้งยิ่งร้อยสัตวเดิน ฯ
๗๘
๏ หนองบัวค่ายเก่าตั้งแต่เดอม
หวนฤาหายหื่นเหอมอึดอั้น
หนองบัวยิ่งมาเตอมแต่โศก
บัวว่าบัวนุชปั้นเปลี่ยนไว้ให้ชม ฯ
๗๙
๏ สระบัวบงกชช้อยชูดวง
บานเบิกเรณูรวงร่วงรุ้ง
คิดถันยุคลพวงมาลาศ กูเฮย
หอมระรินกลิ่นฟุ้งทราบเนื้อยังหอม ฯ
๘๐
๏ ฝุ่นทรายปรายประถั้วสบสกนธ์
พิศภักตรพี่ฦๅยลเยี่ยงงิ้ว
อายแดดแผดเผาลนกายก่ำ ไหม้นา
โรครักรอบรัดติ้วคิดอื้อเต็มเอือม ฯ
๘๑
๏ ท่านางนางนิ่มน้อยเดินมา พี่ฤๅ
เพื่อจะสรงกายาส่างร้อน
เชิญนุชแม่ลีลาหาพี่ เทอญแม่
คอยบเห็นงนางข้อนอกโอ้อาดูร ฯ
๘๒
๏ ห้วยด้วนด่วนจากเจ้าจำเป็น
ห้วยก็ด้วนดุจเห็นหดห้วน
เห็นห้วยหากคิดเอ็นดูอก ตูนา
ดึงเด็ดสวาดิ์ด้วนขาดด้วยด่วนมา ฯ
๘๓
๏ พนมรักนามแห่งห้วยชลธี
รักพี่รักแสนทวีกว่าฟ้า
จากรักพ่างเพียงชีพิตรมอด แลแม่
รักช่วยแบ่งรักข้าควบด้วยพนมดง ฯ
๘๔
๏ ทับตะโกพฤกษชาติเชื้อสูงรหง
เซ็งแซ่เสียงบุหรงร่ำร้อง
นางเก้งระบือดงทรายถึก กทิงนา
เสียงพยัฆคำรนก้องปีบเปรี้ยงรงมไพร ฯ
๘๕
๏ ค่ายใหญ่อยู่ใกล้ท่านัทที
ลำแม่ภาชีมีชื่ออ้าง
น้ำใสสนิทดีดูดุจ กรองนา
นึกระกำยามร้างถูกร้อนฤาเย็น ฯ
๘๖
๏ นางเนืองกะเหรี่ยงทั้งหญิงชาย
บ่าแบกของถวายอยู่ซ้อง
โอ่อวดประกวดกายตามเพศ เขานา
เมียลูกหลานพี่น้องบ่าวข้าหญิงชาย ฯ
๘๗
๏ สาวสาวเหล่ากะเหรี่ยงสวยสวย
ปักปิ่นเกล้าผมมวยแช่มช้อย
เงินไพลูกปัดรวยร้อยรอบ คอนา
ขมิ้นขัดผัดหน้าชม้อยม่ายเหลี้ยงเอียงอาย ฯ
๘๘
๏ ขับลำทำเล่นได้หลายกล
เขาชิดเฉียดตำทนส่ายอู้
เสื้อแสงที่สวมตนเต็มหยาบ คายนา
พูดอะไรไป่รู้เรื่องเบ้อเบิ่งควาย ฯ
๘๙
๏ เดินทางกลางป่าไม้ดงดอน
เห็นแต่เต็งรังสลอนสลับสล้าง
ไผ่รวกรกทางจรรานกิ่ง ลงแฮ
ปะมะขามป้อมบ้างหยุดยั้งเก็บอม ฯ
๙๐
๏ กล้วยไม้ไต่ไม้ข้างรัถยา
ส่งกลิ่นตระหลบมาเฟื่องฟุ้ง
กลกลิ่นขนิษฐนารีรัตน์      เรียมเอย
หอมตระหลบอบมุ้งรุ่งเช้ายังหอม ฯ
๙๑
๏ ผ้านางนางห้อยคบพฤกษา ไว้ฤๅ
คือว่าตาษพัตราหนุ่มเหน้า
ทองกวาวผาดแลมาแดงดาษ ตานา
คิดว่าทรับในเจ้าแสดพื้นชมภู ฯ
๙๒
๏ ลมชายไม้แผกต้นดงรัง
ใบผลัดร่วงโรยรังพ่างพื้น
ยามแรมนิราศวังมาเถื่อน
ม่นหมกออกราชื้นเช่นไม้รังโรย ฯ
๙๓
๏ ใบไม้โรยร่วงพื้นปัถวี
จ่อจุดเปลวอัคคีลวกไม้
ดุจจิตรพี่จากศรีเสาวลักษณ์
เพลิงราคร้อนลวกไส้สุดสิ้นฉันใด ฯ
๙๔
๏ มะขามเตี้ยชาวด่านตั้งรักษา
ขามรุ่นร่มสาขากิ่งค้อม
พื้นลาดสอาดตาดุจปราบ ไว้แฮ
หญ้าขึ้นปกคลุมล้อมรอบต้นขามดง ฯ
๙๕
๏ คิดความยามจากเจ้ามาเดียว
เห็นสนุกนิ์จักเหลียวเปล่าค้าง
หวั่นหวั่นอุระเสียวสายสวาดิ์ พี่เอย
แรมเริศรศรักร้างใคร่กลั้นใจตาย ฯ
๙๖
๏ ถึงท่าตะคร้อครั่นครื้นดง
มารถคชเกวียนกงกึกก้อง
ลงท่าเรียบริมคงคาแน่น เรือนา
เสียงเรียกเสียงกู่ร้องค่ำแล้วยังอึง ฯ
๙๗
๏ ยินเสียงสุโนกร้องกังวาน
ไก่เถื่อนส่งเสียงขานเจื่อยแจ้ว
จำจรจากสถานถิ่นที่ นั้นนา
เรือจวบแจวคลาศแคล้วเคลื่อนคล้อยโดยทาง ฯ
๙๘
๏ มากลางแม่น้ำเชี่ยวชลปรึง ปรีนา
แจวกระดิกเต็มตึงตืดแท้
ดึงดันดุจเรียมดึงเด็ดสวาดิ์ มานา
ดึงบอหลุดเลยแล้สุดสิ้นแรงโรย ฯ
๙๙
๏ ยามร้อนร้อนยิ่งล้ำเหลือทน
ดุจพิษอัคนีลนลวกไหม้
ร้อยกายฤๅร้อนกลเสมอจิตร ร้อนแฮ
ร้อนยิ่งพิษไข้ไข้ขาดร้อนยังมี ฯ
๑๐๐
๏ ปรานีนุชนาฏน้องเนาวสถาน
แม้นแม่มาจักลานจิตรขึ้น
ชมหาดสอาดปานปูนเปรียบ ใดเลย
สรงสนานน้ำตื้นคิดแล้วคงลง ฯ
๑๐๑
๏ เหนฝูงมยุเรศฟ้อนฟายหาง
รางหมูมยุรนวลนางแวดล้อม
คิดองค์อัปศรสุรางค์รายรอบ เรียมนา
ยามเริศไร้นางห้อมพี่เพี้ยงอายยูง ฯ
๑๐๒
๏ ริมริมนาเวศล้อมกลาดำ มากนา
ปลายปีกมีเดือยประจำจ่อจ้อง
เจี๊ยบเจี๊ยบจี๊บจี๊บทำกระดุก กระดิกนา
ดังจะถามข่าวร้องเรียกให้หยุดเรือ ฯ
๑๐๓
๏ นกตะกรุมสุ้มเที่ยวหาปลา
หัวโม่งเหม่กายาเย่อนเย้อ
ใครมาศสวดิ์นารีรัตน เรียมแฮ
ขอจุ่งกลับกลายเก้อคาดแม้นนกตะกรุม ฯ
๑๐๔
๏ ฝูงพิหกริมมากแล้หลายพรรณ
บ้างร่อนบ้างราผันผาดร้อง
จับไม้ร่ายเรียงรันคล้ายคู่ เคียงนา
ดังจะชวนชักน้องพี่ยิ้มยามครวญ ฯ
๑๐๕
๏ บุญใดมาได้เที่ยวแสนสนุกนิ์
ฤๅบาปมาทำทุกข์โทษให้
จากมาฤๅมีศุขสุกครู่ เดียวนา
ก่นแต่ให้เล่าให้เล่าล้ำเหลือทน ฯ
๑๐๖
๏ เรือล่องระลิ่วล้ำตำบล
บัดลุแก่งหลวงยลย่านแท้
ชลเชี่ยวฉวางวนเวียนวิ่ง มานา
หินเกิดเกะกะแก้กีดค้างกลางทรวง ฯ
๑๐๗
๏ เกิดแก่งกีดกั้นท่าทางจร
อกพี่จากจอมสมรกว่านั้น
ร้อยแก่งประกับถอนมาเทียบ เสมอฤๅ
ยังแต่สองกำปั้นทุกก้อนแก่งทรวง ฯ
๑๐๘
๏ หลายคืนหลายค่ำเช้าขวบเดือน
เช่าค่ำไป่รู้เลือนเลอะหวุ้น
แสนโศกยิ่งซ้ำเตือนแต่กลับ แลแม่
มัวมืดอกชรหมุ้นหมกไหม้หัวใจ ฯ
๑๐๙
๏ น้ำไหลไหลรีบรอนเร็วไป น่อยนา
เยียวล่วงบอทันใจจอดช้า
เขาตกนี่ตกใดดุจอก เรานา
เจ็บดังตกเขาห้าสิบครั้งยังระบม ฯ
๑๑๐
๏ แควใหญ่ใหญ่ยิ่งด้วยอันใด
ใหญ่เพราะชลเชี่ยวไหลคัดกว้าง
เชิญเร็วช่วยพาไคลคลาล่วง ไปนา
ร่วมพี่รักแรมร้างเริศไว้ไกลนาน ฯ
๑๑๑
๏ น้ำไหลจักลากให้ลอยลง ไปนา
ยังจักแจวขืนคงคึ่นเหล้า
ถึงกาญจนบูรีตรงกันฟาก หนึ่งนา
เรือจอดจักชวนเจ้ายาตรขึ้นไหนนาง ฯ
๑๑๒
๏ ครางครวญคร่ำเนตรฉุ้มชลไนยน์
เที่ยวทุกแห่งหนไหนห่อนเว้น
กี่เดือนกี่วันไกลสวาดิ์แม่ มาแม่
สิ่งแต่นาสิกเฟ้นฟกช้ำก่ำแดง ฯ
๑๑๓
๏ ไฉนแม่ถอดรูปไว้ไนยตา พี่ฤๅ
เสียดแซกดวงชีวาเวี่ยด้วย
จับจิตรพี่จึงอา-ดูรคร่ำ ครวญแฮ
จรจากจำม้วยม้วยมอดแล้วฤๅลืม ฯ
๑๑๔
๏ หลวงยวนอยู่ถ้ำที่เงื้อมเขา
เหนศุขสงัดเงาเงียบคลึ้ม
ยามยากวิโยคเยาวมาเปลี่ยว กายแฮ
คิดจะบวชสวดพรึ้มพวกพ้องหลวงยวน ฯ
๑๑๕
๏ พุรางทางน้ำหน่อยหนึ่งไหล
ไหลบ่อหยุดเย็นใสเซาะซึ้ง
ซึ้งสุดเสมอไนยเนตรหลั่ง ไหลแฮ
หลั่งลึกล้นตุ่มครึ่งวิดแล้วยังเหลือ ฯ
๑๑๖
๏ ไปเขาชนไก่บ้านกาญจนบุรี
ที่อยู่ทองประศรีสอบเหล้า
ไม่เห็นสักคนมีอยู่ที่ นั้นนา
มีแต่สิงสัตว์เข้าหยุดยั้งอาไศรย ฯ
๑๑๗
๏ เที่ยวไปพบแม่น้ำลำตะเพิน
ทางทัพข้าศึกเดินสู่ด้าว
ตลิ่งสูงเสมอเนินเขาหนึ่ง แลนา
เพียงแต่ยกบาทก้าวฝุ่นฟุ้งมัวมน ฯ
๑๑๘
๏ เรือล่องดูยิ่งช้าบอทัน ใจแฮ
เยียวว่าเหาะได้พลันสู่เหย้า
บอนานบอเนิ่นวันทนเบื่อ นาแม่
เรือรีบระเห็จเข้าสู่ห้องหานาง ฯ
๑๑๙
๏ จากมาหมายมอดม้วยฤๅคง คืนเลย
นับแต่รอบสกัดวงทุกครั้ง
จ่อจิตรประจวบจงเจียนรอบ ปีแม่
ยืนนั่งนอนเดินตั้งแต่ร้อนฤๅเสบย ฯ
๑๒๐
๏ กำสรวญกำสรดสร้อยเสน่หา
แม้นจักลงเลขาห่อนสิ้น
ร้อยกัลป์กัลปเกิดมาฤๅร่ำ เขียนแฮ
ร้อยหัดถ์ร้อยโอษฐสิ้นลอกไว้ยังเหลือ ฯ
๑๒๑
๏ ร่ำเรื่องนิราศไห้หาศรี
ท้าวสุภัติการภักดีกล่าวอ้าง
แสดงศักดิ์กระสัตรีตรองตริ ทำแฮ
ไร้เพื่อนภิรมย์ร้างรักเร้นแรมไกล ฯ
๑๒๒
๏ ใดใดนิราศเบื้องเบาราณ
ล้วนแต่ชาวชายชาญแต่งแต้ม
แถลงเลศลักษณ์โวหารหญิงร่ำ รักแฮ
ปวงปราชญ์ไป่ควรแย้มเยาะเย้ยยิ้มหยัน ฯ
๑๒๓
๏ คิดการไป่ว่างเว้นวันวาร
ดูเครื่องนำการงานมากแท้
จักแต่งเรื่องพิศดารเหนื่อยนัก นาแม่
เต็มบ่อหร่อป้อแป้สุดสิ้นแรงโรย ฯ
๑๒๔
๏ แม้นมีวันมากได้ตรองทำ
คงจะคิดสู้คำเก่าได้
ตกค่ำง่วงงึมงำม่อยหลับ ไปนา
ผิเกียจเข้าสิงไส้ซิบซื้อเลยลืม ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

ประชุมนิราศคำโคลง รวบรวมโดย พ. ณ. ประมวลมารค พิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๑๓ แพร่พิทยา

เครื่องมือส่วนตัว