โคลงนิราศทวาย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(ที่มา)
()
 
แถว 949: แถว 949:
<sup>๑๓๔</sup>
<sup>๑๓๔</sup>
-
๏ บางคะแยงยินชื่อบ้าน เรียมอาย
+
๏ บางคะแยงยินชื่อบ้าน   เรียมอาย
ดุจหนึ่งแยงใจคาย  แยบเยิ้ม
ดุจหนึ่งแยงใจคาย  แยบเยิ้ม
ความรักแม่ฤๅหาย  จักห่าง หนึ่งรา
ความรักแม่ฤๅหาย  จักห่าง หนึ่งรา
แถว 1,397: แถว 1,397:
๏ ราตรีเรียมร่ำไห้  ฤๅวาย
๏ ราตรีเรียมร่ำไห้  ฤๅวาย
เคยอกแนบถนอมสาย  สวาดิไว้
เคยอกแนบถนอมสาย  สวาดิไว้
-
รับขวัญอยู่กับกาย กรกอด น้องนา
+
รับขวัญอยู่กับกาย   กรกอด น้องนา
ใครอาจรับขวัญให้  แม่เศร้าหายหมอง ฯ
ใครอาจรับขวัญให้  แม่เศร้าหายหมอง ฯ
แถว 1,513: แถว 1,513:
</tpoem>
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== ที่มา ==
== ที่มา ==
โคลงนิราศพระพิพิธสาลี กรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๒
โคลงนิราศพระพิพิธสาลี กรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๒

รุ่นปัจจุบันของ 08:40, 9 ตุลาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: พระพิพิธสาลี

โคลงนิราศทวาย แต่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๓๔ บางแห่งเรียกชื่อว่า โคลงนิราศไปแม่น้ำน้อย หรือ โคลงนิราศแม่น้ำน้อย

บทประพันธ์

ร่าย
๏ ศรีสิทธิ์วิวิธอดุง นครกรุงไกรเกียรติ เบียดปรปักษ์พินาศ อริราชง้อมาเมือง เรืองพระยศทุกด้าน ท้าวทุกด่านระย่อ ยอพระนครขอออก กลอกเกล้ากลัวสยบ ซบศิโรตม์ระรัว ง้อมหัวไหว้ละลน เอาคนต่างเค้าข้า ผ่านแผ่นหล้าดิลก ตกในเงื้อมมืองอบ กรูเกรียวกอบเอางาน ลานพระเดชละล้าว แกวก้าวลาวมลาย หว้ายหวังพึ่งทุกทิศ อิศรภาพรพิน หรินทรธิปัติย์ มหัติยเหาฬาร ผ่านภุดาธารผไท กษัยเศิกให้เกษตร เผด็จภพกระลำพร ในอัดรยุคขุกเข็ญ เป็นกระลีกาลพิบัติ ดัดทุรคตให้ตรง ดำรงแผ่นบ่ให้เอียง พรุนเพรียงเมืองมานมรณ์ นครสิมายศโยค เลี้ยงโลกย์ทั่วถ่องธรรม์ กรรพระศานน์บ่ให้เศร้า เท้าถึงกัลป์เสร็จสูญ หนูนแผ่นดินให้ราบ ปราบแผ่นฟ้าให้ฟื้น แผ้วพื้นภพให้ผ่อง ปองราษฎรให้กระสานติ์ พิสดารเดชเปรมปรือ ปือพระธรรมามิศร ชวลิตโมลี ตรีภูวนัยไทยภูวนานัตย์ ศุภสวัสดิ์วสุนธรี ศรีอยุทธยนิเวศ บุเรศรัตนราชธานิน อินทรเทพยธานี บุรีรมย์ไทยท้าว ทุกประเทศแดนด้าว ช่วงชุม ท่านแล ฯ
             

๏ บรมพรหมอิศรอื้ออมเรนทร์
ปาณิกรบงกชกุมเกลื่อนเกล้า
จันทราทิตย์สุริเยนทร์ยมเยศ
มารุตวรุณฤทธิเร้าเร่งเชิญ ฯ
๏ พระพิษณุเพศเพี้ยนภุชพงศ์
จากขษีรหาวเหินเห็จฟ้า
เสด็จเอาครุฑยานยงยศยิ่ง
มาโปรดแปรทุกข์หล้าล่งดิน ฯ
๏ เสด็จแสดงเมืองมิ่งแก้วกรุงอยุทธ
ดายดัสกรภินท์เพิดแพ้
เอกามิ่งมกุฎตราโลกย์
ใครขัดใครเข็ญแปล้เปล่าหัว ฯ
๏ อาโภคเกรงเกียรติไท้ธรณิศ
ทท่าวอกรันรัวกว่ากว้า
มือมาลย์มอบโมลิศเฉลิมบาท
พลันคอบดลขอข้ามอบเมือง ฯ
๏ พระลาญโลกธาตุตั้งคงตรง
เนานิตย์กรุณาเนืองนั่งเฝ้า
พระดับพิศม์ภัยปลงเปลืองโทษ
เย็นแผ่นภุดาธารเท้าเท่ากัลป์ ฯ
๏ พระเดชนฤโฆษเพี้ยงจตุรภุช
พลพ่างพลอินทร์อันเอกอ้าง
พิทยายิ่งยงยุทธยืนป่าน
ปราบอรินทรมล้างเล่าลือ ฯ
             

๏ เทวาเทเวศไท้เทเวนทร์
องอิศรจอมเมรุสี่เกล้า
เชิญพระจากภุชเคนทร์อุรอาสน์
มาผ่านจอมภพเผ้าแผ่นแผ้วพงศ์พาล ฯ
๏ เดโชไชเยศเรื้องเดชา
เกรงเกียรติทุกพาราร่นร้อม
พระนครอยุทธทวาราราช
ทุกสิมามาน้อมนอบเกล้าถวายกร ฯ
๏ ทรงธรรมทรงทศแท้ธรรมา
ธรรมเมศมาตย์เมธาเรื่องรู้
ทรงศีลสัตยศรัทธาไททั่ว
ทรงพุทธการกกู้ก่อไว้ฤๅวาย ฯ
๑๐
๏ วิริยาวิริเยศสร้างสมภาร
สมโพธิภิยโญญาณอยู่เกล้า
หวังเด็ดดับกันดารเสร็จสี่ สูญนา
ขนข้ามเวไนยเข้าสู่ซร้องเสวยรมย์ ฯ
๑๑
๏ ขอแสดงแถลงลักษณ์อ้างอรองค์
โฉมพธูนงยงแม่ร้าง
ปางพระหริรักษ์มงกุฎโลกย์
เสด็จยาตรพลไปล้างม่านม้วยเวียงทวาย ฯ
๑๒
๏ มุสิกมฤคศิระได้ดฤษถี
แรมสี่ศุกรวารมีฤกษ์เช้า
พันร้อยปัญญาสตรีสังกราช
องค์อิศรภพเกล้าคลาดคล้อยเมืองหลวง ฯ
๑๓
๏ คลาสถานพิมานมาศแม้นวัชรินทร์
เพียงพิภพองค์อินทรอาสน์ฟ้า
สีหาสน์ดุจหงส์บินโพยมมาศ
แสงส่องจำรัสหล้าหล่อเหลื้อมแสงสูริย์ ฯ
๑๔
๏ โสภาเสาวภาคย์ชั้นฉานคลี
เนื่องช่ำนันนนทรีเทิ่งหน้า
ชำนิคชสิงฆสีห์โสภาค
ดูวิวิธไป่ว้าวากเว้นชนชม ฯ
๑๕
๏ พลานแลเลี่อนล้ำเภรินทร์
เทียนทิพธรณินทร์แผ่แผ้ว
รายรูปกิเลนกินนรนาค
ดูระเบียบเรียบแล้วเลิศล้วนลานตา ฯ
๑๖
๏ พรายพรายจตุรมุขหรุ้งรูจี
บันเขบ็จบราลีช่อฟ้า
กรงนาคมกรครีรจเรข
ทวยทาบทาทองหร้าเรื่ยงริ้วเรียงงาม ฯ
๑๗
๏ กุฎาคาเรศหว้ายหาวหน
พายัพพิถีบนบดฟ้า
หงส์เหมดุจยนตร์ยลโพยมยาบ
เพียงกระพือปีกถ้าโลกให้แลลาญ ฯ
๑๘
๏ มนทิราทิตย์เทพย์ไท้ธเรศตรี
เป็นปิ่นปักปัถพีแหล่งหล้า
เทียรเทพศุลีศรีสุรโลกย์
ดูดิเรกนวลหน้าแผ่นพื้นธรณินทร์ ฯ
๑๙
๏ งามกรุงไกรเกียรติไท้ธานี
งามหมู่มุขมนตรีพรั่งพร้อม
โยธาทัดโยธีราเมศ ท่านแฮ
สามารถอาจออกล้อมล่าวล้างสงคราม ฯ
๒๐
๏ ไอยรารณราชร้าไพรี
ตรำศึกตรูมันมีกลั่นกล้า
คชสารเฉกคชสีห์สามารถ
ตัวละตัวตีฟ้าค่าด้วยดูเบา ฯ
๒๑
๏ ส่ำแสนสินธพเชื้อชาญยุทธ
ชำนิรณรงค์ผุดหาศห้าว
เสมอเทพย์มิ่งมารุตเร็วรวด
เกิดเพื่อสมภารท้าวท่านไท้เทียรทอง ฯ
๒๒
๏ นาวาพิลาสล้ำลำทอง
วรรณวิจิตรไกรกรองกิ่งแก้ว
ไกรสรมุขมาศฉลองลำแข่ง
ครุฑพ่าห์สินธุ์ไชยแล้วแล่นห้าวฤๅหิว ฯ
๒๓
๏ ศรีไชยาทิตย์ล้ำลำทรง
ทรงพิมานบรรยงก์ยาตรฟ้า
วัลวีวิไลยอลงกตมาศ
บรรทับสนานสนวนถ้าพรั่งพร้อมโดยขบวน ฯ
๒๔
๏ คล้ายคล้ายสุริเยศได้นาที
ไชเยศยามไชยศรีฆาตฆ้อง
สวนสังข์ตรวจแตรดีพิณพาทย์
เสียงเลวงวังก้องเพรียกพร้อมดนตรี ฯ
๒๕
๏ เสด็จทรงพระธินั่งเพี้ยงหริหงส์
เหมพิมานอลงกตแก้ว
พระสนมอเนกอนงค์นวยนาด
ประณตบทเรศแล้วแซร่ซ้องถวายพร ฯ
๒๖
๏ พลหาญขานโห่เร้าเอาชัย
โบกธุชธงทองไสวเรียบร้อย
เรือคู่คู่ชักไคลคลาคลาด
คือพิมานมาศคล้อยคลื่นเต้นตามชล ฯ
๒๗
๏ โจษจันมหรรณพท้องชลธี
สนั่นเสนาะเภรีตีคู่ฆ้อง
เฉกองค์จักรีกรีธาพยู่ห์
เอกเกริกสาครฝ้องเฟื่องฟุ้งฟูมฟอง ฯ
๒๘
๏ เรือตามหลามแล่นล้อมเสด็จดล
คือคู่หงส์เหินชลแหวกหว้าย
โดยเสด็จพระภุชพลภูวนาถ
ขนานขนัดอัดแอคล้ายแห่ห้อมไคลคลา ฯ
๒๙
๏ เรือมาถั่นถั่นคว้างควิวทรวง
ทรวงละลุงแลลวงลาศเต้า
รับขวันกอดกับดวงสวาดิอยู่ หลัดแม่
บัดบ่เห็นพักตร์เจ้าพี่แล้วลาญสมร ฯ
๓๐
๏ จำไกลโฉมแม่แม้นแมนสวรรค์
ผายพักตร์เพ็ญบูรณ์จันทร์แจ่มหน้า
จักไกลกลิ่นอวลอันจรุงสวาดิ
ไกลรสเรณูฟ้าเฟื่องฟุ้งกำจร ฯ
๓๑
๏ ปรานีอนาถเนื้อนงค์ยง พี่เอย
โฉมชื่นชูกามกรงกล่อมฟ้า
โอ้ศรีสบูบงกชมาศ
จักประจงโฉมถ้าพี่ให้ใครชม ฯ
๓๒
๏ แรมรักอำมฤตร้างรมยา
แรมภิรมย์คฤหาแห่งห้อง
แรมเกษมสุขไสยายงยั่ว ใจแม่
แรมถนอมนุชน้องแนบไว้แนบทรวง ฯ
๓๓
๏ จักเย็นสมรเยียบเหย้ายำยาม
ยามแม่นอนเดียวหวามหวั่นไส้
จักโศกซูบทรงกามโรยร่าง แลแม่
จันทน์กระแจะรสไล้จักร้างแรมองค์ ฯ
๓๔
๏ เสนาะศรีสาโรชสร้อยศรีสมร
เยียอยู่ภายหลังนอนนั่งไห้
อ้าองค์ผลูนอรรวยรูป
โฉมแม่จักหมองไหม้หม่นเศร้าโรยรา ฯ
๓๕
๏ โฉมจันทน์ขจรโกศแก้วฉวยฉม
ประทิ่นรวยตามลมกลิ่นใกล้
ฤๅวายรสเรียมรมย์รวยรื่น อรเอย
ศรีสุคนธ์แนบไหน้ซาบต้องติดทรวง ฯ
๓๖
๏ โอ้บงบัวบุษป์แก้วโกมล กูเอย
คลายคลี่เสาวคนธ์ยลยั่วฟ้า
จักทุกข์ระอุทนธารเทวษ
เฉกรพีพรรณจ้าแจ่มจ้าเรียมโรย ฯ
๓๗
๏ จักฝากโฉมแม่ไว้ธรณี
เกรงกริ่งกรุงพาลีลอบเล้า
จักฝากนทีศรีสาคเรศ ท่านนา
กลัวเกลือกพระสมุทรเจ้าท่านเที้ยรทารุณ ฯ
๓๘
๏ จักวิงวอนว่าฟ้าฝากสงวน
เกรงพระพายชายนวลชอกเนื้อ
จักฝากวลาหกครวญครึมคร่ำ
กลัวแต่โฉมกามเกื้อชุ่มชื้นเสียศรี ฯ
๓๙
๏ จักฝากยุพเรศร้อยเรียมคิด
ฤๅปล่งปลงใจมิตรกิ่งเผ้า
ใดอาจจะปองปิดยังยาก
โฉมแม่ฝากใจเจ้ายิ่งด้วยใครครอง ฯ
๔๐
๏ เรียมริฤๅลุด้วยใจเดา
หวังท่านท่านจักเอารักน้อง
เดชะสัตย์สองเราเพรงพร่ำ ทำนา
ขอพิบากบุญป้องก่อเกื้อพยาบาล ฯ
๔๑
๏ มาพลางเรียมเร่งไห้หาพลาง
ชลเนตรนูนนองรางร่องน้ำ
เสียงสินธุ์คร่นเครงครางครวญคลื่น
เรียมก็ครวญใจช้ำสวาดิลื้นโทรมทรวง ฯ
๔๒
๏ ถึงปากคลองท่าข้ามของขาย
เรือพ่วงเรือนแพรายเครื่องค้า
นั่งแพแผ่โฉมถวายสวาดิสว่าง ใจนา
ผัดผ่องพักตร์ผิวหน้าหนึ่งหน้านวลจันทร์ ฯ
๔๓
๏ เรียมพิศพิศวาสเพี้ยงพิศวง
หวังว่านุชใจจงวากว้ำ
จักปากทักเทียรองค์ฤๅอื่น อกเอย
เจ็บดั่งใครตีซ้ำพี่ช้ำใจถวิล ฯ
๔๔
๏ ลุคลองบางกอกแล้วฤๅเห็น
อกพี่ระกำเป็นเลือดคล้ำ
บางกอกกอกเอยเอ็นดูหน่อย หนึ่งรา
วานช่วยกอกหนองช้ำเลือดเหน้าในทรวง ฯ
๔๕
๏ หลัดหลัดพลัดนิ่มเนื้อมาจำ ไกลนา
เวรสิ่งใดเดิมทำโทษให้
เจ็บจิตระกำกรรมใจจาก
อกพี่คือเพลิงไหม้ผ่าวร้อนรุมรึง ฯ
๔๖
๏ ถึงอาวาศวัดเจ้าจอมหงส์
เห็นพระชุมนุมสงฆ์สวดซ้อง
ยอกรประณตบงบัวบาท ท่านนา
ชอเดชพระไตรป้องช่วยให้พลันคืน ฯ
๔๗
๏ วัดหงส์หงส์เทพไท้ธาดา แลฤๅ
ไฉนบ่เห็นหงส์มาหนึ่งหน้อย
ฤๅทรงกมลาสน์พาผยองยาตร ฟ้านา
จักสั่งสารนุชคล้อยคลาดแล้วฤๅทัน ฯ
๔๘
๏ สังขจายกำจัดแก้วกามกู มาฤๅ
สังข์ใส่สฤษฎิ์สินธูโศกสร้อย
อวยอาศิรพาทชูใจชื่น หนึ่งรา
สระสว่างสมรเรียมหน้อยหนึ่งให้หายหมอง ฯ
๔๙
๏ มาถึงสระไก่โอ้อัศจรรย์
ไก่บ่ขันเคยขันคู่เคล้า
เซียบเสียงไก่กกกันกำสรด ไฉนนา
เสมอสมรเรียมเศร้าโศรกเศร้าใจคะนึง ฯ
๕๐
๏ สระไก่กลสระแก้วกับตน กูเอย
บานบิยุตม์เสาวคนธ์ยั่วแย้ม
ภมรมั่วรสโกมลกาเมศ
สรงสการแกมแก้มเกศแก้วกำจร ฯ
๕๑
๏ จากบางพลางคลาดคล้อยคลาคลาย
ตามกระแสะสินธุ์สายรีบร้อน
ชลเนตรน่านนองพรายพรูพราก
คิดคำนึงข้อนข้อนพี่ข้อนทรวงถึง ฯ
๕๒
๏ มาถึงอาวาสไหว้วันทา
บางยี่เรือเรือราอยู่ยั้ง
เรือรอหยุดคอยหาเห็นแม่ ราแม่
คอยจักขอเห็นครั้งหนึ่งให้คลายใจ ฯ
๕๓
๏ ลุดำบลด่านด้าวบางหลวง
เพลิงสุมดุจสุมทรวงพี่ร้อน
เจ็บจากสุดาดวงดาลเทวษ
ถนัดหนึ่งขอนหลวงข้อนอกร้อยฤๅปูน ฯ
๕๔
๏ ถึงบางหลวงล่วงเลี้ยวลำคลอง
คลองเนตรเรียมนูนนองร่ำไห้
ปากบางปากเบาปองบอกป่วย หนึ่งรา
บางบ่ปากพูดได้โศกด้วยฤๅเสบย ฯ
๕๕
๏ แลเห็นเพลิงด่านดุ้นเสาสุม
ชานเชื่อมชุกไฟชุมดับได้
ไฟรักพี่เล็มรุมทรวงสวาดิ
ฤๅดับสมรเรียมไหม้เพื่อน้องนางเดียว ฯ
๕๖
๏ มาพลางพลางนึกหน้านวลละออง
เรือรี่รีบตามคลองคล่าวน้ำ
ถับถึงวัดนางนองนามนาฏ
เรียมก็นองเนตรผล้ำพรากไห้หาสมร ฯ
๕๗
๏ นางนองนางนิ่มเนื้อเสมอสาย สวาดิเอย
สายเนตรเรียมฤๅวายเลือดย้อย
ใดนางบ่เห็นกรายมาเกริ่น ราแม่
นางใช่นางนุชน้อยพี่โอ้อาดูร ฯ
๕๘
๏ ถึงขุนเทียนเทียบเข้าเรียมถาม
เทียนแม่พอกมืองามเล็บไล้
ขันเอยช่วยบอกความขวัญสั่ง
ขุนบ่ให้เทียนให้พอกช้ำทรวงเรียม ฯ
๕๙
๏ ดลปากบางชื่อบ้านบางบอน
กามระลุงทรวงฟอนฟ่ามแล้ว
เรียมแสนทุกข์อาทรทนเทวษ
ถนัดหนึ่งบอนกาบแก้วแยบไส้เรียมคาย ฯ
๖๐
๏ คลายคลามาลุด้าวดำบล
เรียกชื่อบางกกกลกับน้อง
อกเรียมทุรารนแรงสวาดิ
เสียวสมรราคร้องเรียกเจ้าในใจ ฯ
๖๑
๏ บางกกเห็นกกแก้ว แกมปรือ
กกปักอุณราชฤๅสาตร์ต้อง
เจ็บอกพี่ชำงือใครเท่า
ศรกกกาเมศน้องตระหน่ำแหน้นตรึงทรวง ฯ
๖๒
๏ จรดลหลแคบน้ำคลอคลอง
จุแต่พอลำลองพี่เต้า
ชลขอดขุ่นเป็นฟองฟูมฟาก
เสมอขุ่นใจเรียมเศร้าขอดแค้นอารมณ์ ฯ
๖๓
๏ พลันถึงทางท่าเข้าคลองนา
เรียกชื่อศิระทรพาอาจอ้าง
อกเรียมยิ่งเสนงกาษรเสียบ ราแม่
เจ็บจากชำงายร้างแม่ไว้ฤๅวาย ฯ
๖๔
๏ หัวกระบือกระบินทรราชเรื้องรณรงค์ แลฤๅ
ตัดกระบาลโยนลงลากน้ำ
ศิระกาจกาษรยงยังอยู่ ฤๅแม่
เสมอพี่ทนทุกข์ปล้ำประดักด้วยอาดูร ฯ
๖๕
๏ เห็นปรงปรือปรบต้นแถวถกล
ริมฝั่งสองฝากชลชุ่มช้าม
ลมโลมลาดใบบนโอนอ่อน
เรียมก็อ่อนใจท้ามทาบด้วยเปรียบปรือ ฯ
๖๖
๏ แสมดำประดักน้ำนองกระแส
เห็นแต่ตอตายแลเปล่าเศร้า
อกเรียมทุราแลแรมสวาดิ
จากจำเนียรนุชเคล้าคู่ด้วยแสมหมอง ฯ
๖๗
๏ แสมตายตายตากแห้งหายศรี
ดูหม่นหมองวารีเรี่ยน้ำ
ทนเทวษอยู่นับปีจักเปื่อย ไปนา
ดุจพี่เจ็บอกช้ำอยู่ร้างแรมสมร ฯ
๖๘
๏ มลักเห็นกรกฏเปี้ยวปนปู
ปูแม่กระดองดูคลับคล้าย
ไฉนตัวไต่ตามพรูใครแพร่
หยุบเหยื่อมารูหร้ายว่าก้ามกลกาม ฯ
๖๙
๏ ลุลำเนาบ่อนบ้านโคกขาม
เห็นโคกเขียวผักครามอ่อนอื้อ
คำนึงพะงางามยุพโยค กูเอย
ใครช่างพูนโคกคื้อโคกแก้วกับตน ฯ
๗๐
๏ มาดลโคกเต่าตั้งปอมเปาะ
ดุจเต่าเขาจงเจาะไข่ร้าง
พิมพ์ภาพแต่จำเพาะตัวเต่า ทองแม่
รอยรูปจำมาหร้างรูปไว้เป็นแทน ฯ
๗๑
๏ โคกเต่ากลเต่าตั้งเป็นตัว
ดุจเต่าสระศรีบัวบ่อแก้ว
พิศภาพพี่รนรัวเริมเริ่ม ใจแน่
หวังว่าจริงแล้วแล้วเล่ห์นั้นเรียมหลง ฯ
๗๒
๏ คลอนคลอนสุริเยศคล้อยสนทยา
ถึงมหาชัยคลาคลับแคล้ว
ลำแลสุดสายตาลิบลิ่ว
ดุพี่แลหาแก้วลิ่วล้ำลาญทรวง ฯ
๗๓
๏ มหาชัยไกลเนตรท้องทางชลา
ชเลแม่แลสุดตาคว่างคว้าง
มหาชัยท่านสมญาสมโยค หนึ่งรา
จงช่วยอวยชัยร้างรักให้พลันคืน ฯ
๗๔
๏ เรือทอดจอดรวดริ้วลำคลอง
ทุกหมู่หมวดตามกองแน่นน้ำ
ทั้งหลายชื่นสรวลคะนองคณาเพื่อน
เรียมแต่นองเนตรช้ำอกไหม้ฤๅเสบย ฯ
๗๕
๏ ประทับยับพยู่ห์แล้วคลายคลา
ออกพิชัยนาวาคลาดคล้อย
น้ำตาตกเต็มตาฟูมฝั่ง
ตาฝั่งเลือดตาย้อยพิโยคด้วยเรียมตรอม ฯ
๗๖
๏ คล้ายคล้ายถึงท่าบ้านจีนมี
นามสาครบุรีอยู่ยั้ง
สาวสมบ่ใสศรีสักหยาด
พีล่ำดำโตหมั้งมากเนื้อยุยยาน ฯ
๗๗
๏ ท่าจีนจีนจบเจ้าสังเวย
สรวงเซ่นขอสุขเสบยอยู่เหย้า
ทิ้งทายทอดสลากเคยตนเสี่ยง
เรียมก็เสี่ยงใจเจ้าพี่ด้วยดวงใจ ฯ
๗๘
๏ เห็นเขามักบาปบ้าเสียบุญ
ทำแต่โทษเป็นทุนเที่ยงแท้
บาปใดจะปองปุนปานเปรียบ
บุญสิ่งใดจักแก้โทษได้ฤๅมี ฯ
๗๙
๏ รอยเรียมปางก่อนสร้างสมกรรม
ดุจหนึ่งเขาเขาทำดั่งนี้
เวรหลังจึ่งตามจำนองโทษ
จำพี่ทนทุกข์กี้เมื่อแล้จักวาย ฯ
๘๐
๏ รอยเราพรากนกเนื้อเขาขัง
เขาพลัดรวงรังทังคู่เคล้า
ทนเทวษเพื่อบาปหลังหลายคาบ
มานิราศรักเจ้าพี่ได้อาดูร ฯ
๘๑
๏ ราตรีลีลาศด้วยแสงจันทร์
จันทร์แจ่มพฤกษาพรรณช่อไม้
คะนึงโฉมแห่งนวลวรรโณภาษ
เดือนพักตร์ฤๅมาไล้เลื่อมฟ้าแลลาญ ฯ
๘๒
๏ แสงจันทร์จำรัสฟ้าเรียมครวญ
ไฉนว่านวลจันทร์นวลแจ่มหน้า
กำจรรสจันทน์อวลอบกลิ่น
กลิ่นกระแจะกลอยกล้ากล่อมเนื้อนวลจันทน์ ฯ
๘๓
๏ ลุดำบลบ่อบ้านนาเกลือ
เกลือบ่เจือใจเจือจืดเจ้า
เรียมวอนว่าขอเผือเขษมรัก ท่านนา
วานช่วยสมานสมรเคล้าเสน่ห์น้องนานจาง ฯ
๘๔
๏ ส่ำสาวชาวบ่อล้วนมางส์มูล
ตกแต่งผัดผิวหนูนช่วยเนื้อ
สุงศรีเพ็ญไพบูลย์บัวบ่ง
ดูบ่ยาใจเรื้อราคร้อนรุมทรวง ฯ
๘๕
๏ เรียมทุกข์ทุกท่าน้ำหลายทาง
ทางทุเรศมาพลางโศกสร้อย
เสมอศรเสียบแดกลางทรวงอยู่ ราแม่
เจ็บยิ่งเจ็บใจร้อยเท่าด้วยพันทวี ฯ
๘๖
๏ ฤๅเคยจากนุชร้างแรมวัน
เวรก่อนใดทำทันเท่าส้าง
บาปเพรงแต่ปางบรรพ์มาแบ่ง บุญฤๅ
จำพี่เจียรจากร้างนิ่มเนื้อเรียมสงวน ฯ
๘๗
๏ มาลุลำดับบ้านนาขวาง
เห็นแต่รอยไถรางร่องไว้
ปะมวลละอายพรางไปแพร่ง พร้องนา
เฉลยว่านาขวางไหร้ใช่น้องนารี ฯ
๘๘
๏ ดำบลชนบทบ้านนาขวาง
นาบ่มีลอมฟางฟ่อนเข้า
นาเอยจักรกรางแรมอยู่ ไฉนนา
กลพี่จากสมรเคล้าคู่ร้างนาแรม ฯ
๘๙
๏ ไกลศรีกุสุเมศเนื้อนงพาล
ไกลรสฤดีสมานแม่ร้าง
มาไกลกลิ่นนพมาลย์มาโนช กูเอย
ไกลกล่อมสมรมาว้างว่างเว้นวันชม ฯ
๙๐
๏ สามสิบสองคดคู้เป็นกง
เวียนวกนาวาวงลดเลี้ยว
ดุจคืนกลับหลังหลงมาลอบ โลมแม่
แลลับลำคลองเคี้ยวพี่ค้างตาคอย ฯ
๙๑
๏ เรือมาบรรลุเลี้ยวลำคลอง
คลองชื่อสามสิบสองคดคู้
วักวนบ่ไปปองจักกลับ คืนนา
กลพี่คำนึงชู้วุ่นว้าวนเวียน ฯ
๙๒
๏ เดินดลชลมารคด้าวเดือนฉาย
แสงส่องสายสินธุ์พรายแพร่งพร้อย
ลำพูดอกดกรายโรยร่วง
แลเลื่อมหิ่งห้อยห้อยพริบแพร้วพรายงาม ฯ
๙๓
๏ ลำพูพิลาสเพี้ยงลำเพา
ใครเซี่ยมรวกแหลมเหลาปักล้อม
ขอฝากแม่โฉมเสาข-วพางค์ภาคย์ กูเอย
จงช่วยปักขวากห้อมสวาดิไว้วานสงวน ฯ
๙๔
๏ มาดลหนย่านสื้อคลองยาว
นอนนิ่งคำนึงหนาวสั่นไส้
เรียกบ่นบ่าวผีสาววานสื่อ
ขวัญแม่มาแนบไว้อุ่นเนื้อเรียมนอน ฯ
๙๕
๏ บรรลุยังย่านสื้อสุดตา
ซื่อแต่ปากแวงวาวัดไว้
คลองตรงอยู่เป็นตราตรึงฝั่ง ราแม่
เสมอรักสองเราได้ร่วมด้วยใจกัน ฯ
๙๖
๏ ไคลยคลามาลุด้าวคลองดอน
เรียกชื่อสุนัขหอนแห่งแห้ง
เรือรอคั่งคอยจรเข็นแคบ กันนา
เรียมก็เข็นใจแล้งจากเจ้าจำไป ฯ
๙๗
๏ สนธยาคลาเคลื่อนเข้าลำคลอง
คลองสุนัขมามองมุ่งเนื้อ
ยามดึกสัตว์เสียงคะนองวิเวก ใจนา
เย็นอุระเรียมเรื้อทุเรศน้องในดง ฯ
๙๘
๏ เสาประโคนปักประคิ่นไว้กลางคัน
บอกแบ่งเขตแขวงปันแบ่งได้
ทุกข์ทับอกเรียมรันทรวงสวาดิ
วานแบ่งบรรเทาให้บกบ้างเบาทรวง ฯ
๙๙
๏ เห็นฝูงพานเรศหร้ายริมทาง
เกาะกิ่งกินใบพลางกลอกกล้ำ
ลูกลิงลูกลมลางลิงโลด เล่นนา
ลางก็เด็ดยอดย้ำลอบล้าวลนลาน ฯ
๑๐๐
๏ ตกลึกลุล่วงเข้าสองคลอง
คลองแยกเป็นทางสองแห่งหั้น
ฉงนใจจอดเรือมองเมิลเหม่อ อยู่นา
ทางรกหนเหนือนั้นยากพ้นจักไป ฯ
๑๐๑
๏ ถึงสองคลองคล่าวน้ำหลงใหล
หลงว่าคลองคลองในจักเต้า
ถามเขาอื่นอายใจฤๅบอก ราแม่
แลบ่เหนหนเข้าจอดรั้งเรือรอ ฯ
๑๐๒
๏ สายัณห์บรรลุด้าวบุรี ท่านนา
เมืองแม่กลองกลองตีเร่งร้อง
อกกลองบ่เจ็บฝีมืออ่อน ราแม่
เจ็บแต่อกจากน้องพี่หร้ำรันทรวง ฯ
๑๐๓
๏ แม่กลองรอยแม่แกล้งธารกรรม
ฤๅนิ่งดูเขาทำโทษได้
ปรานีลูกสักคำฤๅห่อน มีนา
อกพี่ปานกลองไม้ค่อนค้อนตูมตี ฯ
๑๐๔
๏ ชมสาวชาวบ่อบ้านทำประมง
เก็บกวดกันไรประจงแจ่มจ้า
รอยรูปบ่ยวนยงใจชื่น
งามแต่ผิวผัดหน้านอกนั้นดูดี ฯ
๑๐๕
๏ ใจบาปหยาบมากม้วยทังมวล
ทำแต่แหตีอวนค่ำเช้า
เย็บถุงนุ่งปะรวนรุยเร่ง
ติดตัวแต็มปลาเหน้าอาบน้ำนวลเกลือ ฯ
๑๐๖
๏ ประทับยับพยู่ห์ด้าวราตรี
แรมราชโยธากระวีทุกผู้
เสมออกพี่แรมศรีเสาวภาคย์
ทนพิบากมาสู้ร่านริ้นยุงพราย ฯ
๑๐๗
๏ ยามดึกสงัดพร้องเพรียกพล
นอนชระอับตากตนดาษด้าว
หลับไหลกระกรุมกรนทุกหมู่
เรียมบ่หลับเลยล้าวลุ่มล้าวหัวใจ ฯ
๑๐๘
๏ ยาวหนาวกระชักชั้นสรรพางค์
เขาห่มนวมหนาพลางสอดเสื้อ
เรียมนอนเปล่าแดครางครวญสวาดิ
ดุจหนึ่งเพลิงสุมเนื้อรุ่มร้อนรุมรึง ฯ
๑๐๙
๏ คำนึงฤๅว่างเว้นนาที
เคยแม่แนบทรวงศรีกอดเกื้อ
วังเวงหว่าฤดีเดียวเปลี่ยว
นอนสระดักออกเอื้ออยู่ร้างแรมสมร ฯ
๑๑๐
๏ อุทัยใสส่องฟ้าเรืองราง
เสียงประโคมดุริยางค์ย่ำฆ้อง
เสนาะเสียงสุโนกรางเกริงเกริ่น
ดุจหนึ่งสำเนียงน้องปลุกให้เรียมชม ฯ
             

๑๑๑
๏ ส่องแสงสุริเยศได้เวลา
ออกพิชัยนาวาคลาดแคล้ว
ถั่นถึงท่าอันทวาเรียมหว่า ใจนา
เรือรี่ตามชลแพร้วพรากน้ำตานอง ฯ
๑๑๒
๏ อันทวาเทวษไห้หาศรี
กระทุ่มทาบทรวงตีอกช้ำ
เจ็บจากแม่ปรานีฤๅอ่อน เห็นนา
ชลเนตรกลายเปนน้ำเลือดย้อยโรยริน ฯ
๑๑๓
๏ อาสูรศรีสวัสดิ์สร้อยสาวสวรรค์ กูเอย
เรียมใฝ่หาวันฝันคะค้อย
ปรานีอยู่หนหันใครเพื่อน ราแม่
เคยแม่แนบอกต้อยแต่นี้จักไกล ฯ
๑๑๔
๏ ดลบางนางชื่อแก้วโกไล
ชลหลั่งลงหลามไหลพร่างพร้าย
สายสินธุ์ดุจสายใจเรียมป่วย
ปักป่วยสมรราศร้ายแม่ร้างแรมเรียม ฯ
๑๑๕
๏ บางกุ้งบังเกิดแก้วโกไล
เดชะอารักษ์ในที่ท้อง
ขอเกิดสิ่งสวัสดิ์ไพบูลย์ภาพ
จงอย่ามีภัยต้องแม่หน้อยวานระวัง ฯ
๑๑๖
๏ เหนหมากสล่างต้นโดดแด
ชุลายตกเต็มลำแลสระแหล้ม
เหนพลูคลี่ใบแบแบะเปล่า
ถนัดหนึ่งพลูนางแย้มยอดให้เรียมชม ฯ
๑๑๗
๏ นาฬิเกแกมหมู่ไม้นางราย
ตกจั่นหลากหลายชะลายถี่ถ้อง
มลักลำกัทลีปลายปลีเปล่ง
กลหนึ่งปลีแปลนปล้องเปลี่ยนให้ชมตาง ฯ
๑๑๘
๏ แลเห็นสะตอตาดแต้วตูมมี
เรียมก็ตีตูมตีอกช้ำ
คำนึงแม่มังศรีเสาวภาคย์ กูเอย
อกพี่คือขอนขว้ำทับไว้ฤๅวาย ฯ
๑๑๙
๏ เหนจากเจ็บจากเจ้าจำไกล
จากอยู่จากฉันใดบ่เศร้า
เจ็บอกแต่เรียมใจจักขาด
ถามเพื่อนจากจากเจ้าเมื่อแล้จักคืน ฯ
๑๒๐
๏ เห็นระกำระกำอกโอ้อัศจรรย์
ระกำระกะกอกันเนื่องน้ำ
แสนสวาดิเจ็บจาบัลย์บวมบ่ง หนองนา
ดุจระกำหนามซ้ำเสียบร้อยรุมทรวง ฯ
๑๒๑
๏ ถึงดำบลคอกตั้งโคขัง
เขาระไวระวังแวดล้อม
อกเรียมพะวงทังวลสวาดิ ราแม่
เอาแต่ใจจงห้อมแม่ไว้ฤๅคลาย ฯ
๑๒๒
๏ เห็นเขมนเขมาหมึกเนื้อหรามสาว
สาวยุพเยาว์ใยยาวยืดเนื้อ
กรุมกริมเมื่อยามหนาวนอนเปลี่ยว
สู้กอดมือต่างเสื้ออยู่หม้ายนอนเดียว ฯ
๑๒๓
๏ ดลบางบำหรุเศร้าใจตรอม
เหมือนพี่บำราศถนอมแม่เคล้า
คิดเคยเมื่อยามออมยังอุ่น ใจนา
บำหรุบำราศเจ้าราศร้างเรียมรมย์
๑๒๔
๏ มาถึงบำหรุร้างแรมสมร
บำราศนุชมานอนเปล่าข้าง
บำรุงรสเรียมวอนวายสวาดิ แล้วแม่
เจียรจากบำเรอร้างอยู่ร้างแรมใจ ฯ
๑๒๕
๏ มาลุถึงท่าน้ำเมืองมี
นามราชบุรีศรีหยุดยั้ง
ยอกรสดุดีดีลกโลกย์ ท่านนา
ขอเดชพระจงกั้งเกศให้สถาพร ฯ
๑๒๖
๏ ราชบุรีบุเรศร้างสุขรมย์
สุขราษฎรจมจ่อมเหย้า
พิโยคยุพเยาว์ชมใครชื่น
เมืองก็โศกเรียมเศร้าสวาดิช้ำฤๅเสบย ฯ
๑๒๗
๏ ไคลคลามาล่วงเลี้ยวลำทาง
ถึงท่าราบเรียมพลางหม่นไหม้
อกพกระบุบางจักบ่ง หนองนา
ท่าราบวานคบให้ราบหน้อยทรวงเรียม ฯ
๑๒๘
๏ ท่าราบราบรื่นแผ้วผงคลี
ผงบ่มีมอมมีหย่อมหญ้า
เทียรทางท่าเคยลีลาเล่น ราแม่
เกษมสนุกนิ์แนบหน้านิ่มเนื้อนวลผจง ฯ
๑๒๙
๏ มาถึงแถวท่าบ้านเจ็ดเสมียน
แสนทุกข์ทับทรวงเจียรจากน้อง
เสมียนเอยช่วยมาเขียนสารสั่ง หนึ่งรา
บอกแก่นุชจงต้องถี่ถ้วนทุกอัน ฯ
๑๓๐
๏ ถึงเจ็ดเสมียนเรียกให้เสมียนหมาย
รายทุกข์จากจำงายเรื่องร้อน
ชลเนตรวิงเวียนสายตาคว่าง
พลางฝากสาวนุชอ้อนสั่งไว้ฤๅวาย ฯ
๑๓๑
๏ ลุบางหางตระโหนดไห้หาศรี
ดุจโหนดตระหน่ำตีอกช้ำ
เรียมปวดตระดักดีดาลสยบ ราแม่
วานตระโหนดนวดน้ำหยาดให้เย็นใจ ฯ
๑๓๒
๏ หางตระโหนดเห็นตระโหนดเต้าตาลมี
ถนัดตระโหนดจาวจีจิ่มเจ้า
ระลึกตาลอ่อนโอชศรีเสาวภาคย์ เรียมฤๅ
อร่อยรับรสเต้าชุ่งช้อนฤๅลืม ฯ
๑๓๓
๏ ถึงบางคะแยงย่านบ้านรายเรือน
เรือนบ่เหมือนนามเหมือนแม่เคล้า
รอยนุชสั่งสารเตือนเติมสวาดิ เรียมฤๅ
คะแยงนึกแยงใจเจ้ายั่วให้แดโดย ฯ
๑๓๔
๏ บางคะแยงยินชื่อบ้านเรียมอาย
ดุจหนึ่งแยงใจคายแยบเยิ้ม
ความรักแม่ฤๅหายจักห่าง หนึ่งรา
ยวนยั่วประดิพัทธ์เผิ้มร่านเร้าแรงรัว ฯ
๑๓๕
๏ โพธารามราชแคล้วคลาถึง
เหนแต่พระรำพึงเปล่าว้าง
เรียมคิดค่อนคำนึงหาอ่อน แลแม่
ขอพระปรารภร้างช่วยให้คืนสม ฯ
๑๓๖
๏ โพธาราเมศเรื้องเรืองโรจน์
เห็นแต่โพเดียวโดดอยู่ว้าง
พระพุทธพระพิมพ์โพธิฤๅห่อน เห็นนา
กลพี่จากสมรร้างคู่ด้วยโพดาย ฯ
๑๓๗
๏ เยียมามาลุแล้วบางเลา
เห็นแต่ลำเนาเขาอยู่เร้น
คำนึงแน่งนงค์เภาพิมพ์โพธิ พี่เอย
เลาแหล่งนุชเคยเหล้นลับแล้วลาญสมร ฯ
๑๓๘
๏ ลูกแกเห็นแต่ไม้รังแก
แกก็แรมรังแรราศร้าง
เฉกอกพี่มาแหเหินห่าง
กลหนึ่งแกจากหว้างมิ่งไม้จำนอน ฯ
๑๓๙
๏ ลูกแกแกเรียกเต้ารสรัง
รสไป่เคยวอนหวังปากป้อน
เสมอเรียมทุเรศวังเวงสวาดิ
กามเลวงทรวงอ้อนรสเจ้าจำงาย ฯ
๑๔๐
๏ ลูกแกปางก่อนกี้ใครยล
แกจักแกมกากลดั่งนี้
อัศจรรย์พิบัติดลดูหลาก
รอยว่าใครจักชี้แม่โพ้นหมายสมร ฯ
๑๔๑
๏ เรือมาถึงท่าบ้านบางพัง
เห็นแต่ปากบางยังอยู่ด้าว
บางเอยจักจีรังสักเท่า ใดนา
ดุจหนึ่งอกเรียมร้าวรักร้าวรานทรวง ฯ
๑๔๒
๏ บางพังใครแสะพู้นเป็นเอง
ชลหลั่งไหลลงเครงหล่มหล้า
เหนบางกริ่งใจเกรงกรมสวาดิ
เกลือกแม่จากใจบ้าคู่น้ำปากบาง ฯ
๑๔๓
๏ ถึงหวายเหนียวน่านน้ำนองสาย
คิดวะวากฤๅวายสวาดิน้อง
อาไลพี่ไป่หายเป็นห่วง เห็นนา
ถนัดหนึ่งหวายเหนียวคล้องเหนี่ยวท้ายเรือตาม ฯ
๑๔๔
๏ หวายเหนียวหวายหน่วงแหน้นฤๅคลาย
เทียรย่อมผูกทุกพายห่อนเว้น
วานหวายช่วยผูกสายสมรมิ่ง แม่นา
ตระหน่ำถนัดหวายเส้นสอดร้อยรึงเรียม ฯ
๑๔๕
๏ มาพลางทางทุเรศท้องชลธี
ลุย่านนันนามมีซ่มเสี้ยว
ถนัดนึกซ่มสุกศรีสายสวาดิ ราแม่
ส้มบ่หวานแปรเปรี้ยวพี่เปรี้ยวใจแปร ฯ
๑๔๖
๏ ถึงตำบลซ่มเสี้ยวสมญา
คิดซ่มสาวฝากมาเมื่อไร้
รับขวันแม่ใจอารีพี่
ส้มเซี่ยวไปเต็มไล้ฝากให้มอญมา ฯ
๑๔๗
๏ แสนตอตอเกลื่อนกลุ้มกลางชล
ตอจักยอกอกทนเทวษช้ำ
ฤๅเจ็บเท่าไกลกลกาเมศ
ปวดยิ่งดาบแสนด้ำหอกร้อยลำแทง ฯ
๑๔๘
๏ แสนตอตอระกะกั้นกลางทาง
ตอทอดตากตายขวางน่านน้ำ
เสมอสมรพี่ตกกลางวังเวก
ทนนิราศรักช้ำคู่ด้วยตอตาย ฯ
๑๔๙
๏ สำรองเรือนราษฎร์ร้างสำราญ
สำฤทธิ์สุขสาธารณ์ทั่วเหย้า
สำเริงสิ่งใดดาลดูเปล่า
สำหรับเวรจากเจ้าพี่ได้อาดูร ฯ
๑๕๐
๏ สำรองสำฤทธิ์ล้วนสำราญ
บำบัดทุกข์บันดาลโศกศร้อย
อกเรียมระอุปานเพลิงพลุ่ง
สำรองสำรายหน้อยพี่ร้อนรุมทรวง ฯ
๑๕๑
๏ ถึงตอกระออมพี่โอ้อาวรณ์
นึกเมื่อยามออมอรเอี่ยมฟ้า
กัลออมกระออมสมรสายสวาดิ แม่ฤๅ
เตรียมสุธาธารถ้าเล่นแล้วอาบองค์ ฯ
๑๕๒
๏ ตอกระออมออมอาบอ้ามเป็นนาม
ดุจหนึ่งกัลออมงามแม่แล้ว
รำฦกฟ่องไฟกามกาเมศ
เห็นแต่กัลออมแก้วใส่น้ำนางสนาน ฯ
๑๕๓
๏ ฤๅยลระมลแม่แม้นสมรหมาย
เรือเร่งรีบเร็วพายลิ่วล้ำ
อาลัยบ่ลืมสายใจหวั่น ถึงนา
ใจจักขาดอกขว้ำวากว้าอาวรณ์ ฯ
๑๕๔
๏ ม่วงชุมชุมช่อไม้มีพรรณ
กลพี่ชุมชนขวัญอยู่เหย้า
นึกนวลวิไลวรรโณภาษ
เชยช่อสุมาลย์เจ้าจิ่มฟ้าเคยชม ฯ
๑๕๕
๏ ม่วงชุมเฉกม่วงชิ้นมือมาลย์
เจียรประจงจงจานสอดส้อม
รีรอยแม่มือฝานฝังฝาก เรียมฤๅ
อร่อยรสงอมง้อมทราบรู้รสใจ ฯ
๑๕๖
๏ เยียมาถึงถิ่นถ้ำเทินผา
อาวาศปฏิมามาแกล่ใกล้
ยอกรกึ่งเกศาอาราธน์
ขอพระไตรรัตน์ให้เศิกท้าวพลันคืน ฯ
๑๕๗
๏ บ้านถ้ำประเทศท้ายชลธี
ถ้ำบ่มีตปัสวีอยู่ร้าง
อนาถแม่ปรานีองค์อ่อน กูเอย
จากพี่จำเนียรร้างคู่ถ้ำดูดาย ฯ
๑๕๘
๏ ศิขรินทร์ศิขเรศบ้านคูหา
หาบ่เห็นสมรมาแม่เต้า
อารักษ์ท่านผยองพาโฉมชื่น ซ่อนฤๅ
จำพี่โหยหาเจ้าร่ำไห้หาศรี ฯ
๑๕๙
๏ ถึงปากแพรกพร่องน้ำสองแคว
ตระขวิดตระเขวียนลาญแลละห้อย
อาดูรประดักแดดวงสวาดิ
ทางแยกกลเรียมคล้อยแยกน้องมาไกล ฯ
๑๖๐
๏ ปากแพรกสองแพร่งเลี้ยวหลายปาง
เรียมสั่งกำสรดพลางเคร่าน้อง
เกลือกมาแม่หลงทางสะเทินอยู่
ปากแพรกวานปากพร้องอย่าได้อำพราง ฯ
๑๖๑
๏ ลุเขตเขาตกน้ำไพรพราย
เขาบ่จมจ่อมหายเลื่อนล้ม
อกเรียมจ่อมจมสายสินธุ์สวาดิ
ประดักกำเดาแดหล้มอยู่เพี้ยงพันปี ฯ
๑๖๒
๏ เห็นโขดเขาตกตั้งชลธี
จมกระแสวารีเรื่องร้อย
เขาเอยอยู่ทนทวีเทวษเท่า ใดนา
ปูนเปรียบสมรเรียมสร้อยเศร้าช้ำใจตรอม ฯ
๑๖๓
๏ วังยางวังเวกด้าวแดนดง
วังใช่นิเวศวังวงเถื่อนท้อง
ยางสูงสุดสูงระหงเห็นหมอก
เสียงชะนีนกร้องรี่เหรื้อยวังเวง ฯ
๑๖๔
๏ วังยางวิเวกด้วยเสียงนก
บินกระพือเกรียวกกกู่ก้อง
น้ำตาตกเต็มอกถึงอ่อน
ดุจหนึ่งสำเนียงน้องเรียกให้เรียมคืน ฯ
๑๖๕
๏ เรือเร็วมาลุแล้วบางลาน
แลลับดวงสวาดิดาลด่าวดิ้น
บางลานพี่เลวลาญลิวโลด
ลาญสมรจักหวิ้นหว่าหวิ้นทรวงถึง ฯ
๑๖๖
๏ บางลานลาญสวาดิโอ้อัสดง
รีบรถสุริเยนทร์ยงย่ำคล้อย
ขอลานลักษณ์จำนงสนองสั่ง แม่นา
ลานพี่เขียนสารห้อยฝากไว้กลางทาง ฯ
๑๖๗
๏ มาดลหนแก่งกั้งกลางคัน
เรียกแก่งหลวงมากันกีดข้อง
ขอเดชพระทรงบรรพชิตเชต ท่านนา
จงช่วยกันภัยป้องอยู่โพ้นภายหลัง ฯ
๑๖๘
๏ เก่งหลวงเกาะลาดตื้นตาคลอง
ชลเฟื่องฟัดฟาดฟองยากเต้า
ทางธารชลาลองขันแคบ
เรียมก็แคบใจเศร้าโศรกสร้อยฤๅเสบย ฯ
๑๖๙
๏ ถึงผาคงคิดแค้นฤๅวาย
ไยจึ่งงอกงำสายสู่น้ำ
บังตาแลลับมลายโฉมสวาดิ กูเอย
ดุจแช่งมาบังซ้ำช่วยด้วยบาปบัง ฯ
๑๗๐
๏ ผาคงคงท่วนเพี้ยงกัลปา
คงอยู่ไป่คลายคลาเคลื่อนได้
อารักษ์รักษาผาโทนถงาด
ขอแม่คุงรักไว้คู่ด้วยคำงาม ฯ
๑๗๑
๏ เรียมเห็นฟากฝั่งน้้ำคลาคลาย
มีแต่แฝกคารายรุ่มเรื้อ
คำนึงแม่หันหายฤๅห่อน เห็นเลย
ชมแต่ฝูงนกเนื้อคล่าขล้ำลงกิน ฯ
๑๗๒
๏ มลักเห็นมยุเรศฟ้อนฟายหาง
มยุรคณานกนางลาศล้อม
ชนฝูงนิกรกางปีกปก กันนา
กลพี่ชมนุชน้อมเสน่ห์น้องยียวน ฯ
๑๗๓
๏ นกคลาคลอคู่เคล้าคลึงนาง
ปันรสพี่รมย์พลางแมกไม้
กางปีกฉีกหางฉวางเฉวียงคู่
กลพี่ปันรสไล้ลูบเล้าโลมถนอม ฯ
๑๗๔
๏ กุลาโหโกกิเลศลุ้มพญาลอ
เขากระทาขันทอไก่ฟ้า
รังนานจับรังรอเรียงร่อ
เสมอพี่รอรสถ้าเรียกน้องนอนใน ฯ
๑๗๕
๏ จากมารำลึกแล้วใหลฝัน
ฝันแม่กำจรจันทร์จิ่มฟ้า
มเมอรับขวัญขวัญจอมสวาดิ
ดาลดิเรกรสฟ้าเฟื่องฟุ้งเจือใจ ฯ
๑๗๖
๏ ตระมาตาตื่นเกี้ยวเกยหมอน
ตระเมอตระเมานอนแนบเคล้า
ตระหนักรสจันทรจรดกลิ่น หายแฮ
ตระหน่ำอกเรียมเศร้าอยู่ดิ้นแดโดย ฯ
๑๗๗
๏ เยียมาเรียมร่ำไห้ฤๅวาย
วายว่ายชลเนตรสายห่อนแล้ว
น้ำตาวิ่งตาพรายพรมย่าน
ดุจห่าฝนฝากแก้วสั่งฟ้าโรยริน ฯ
๑๗๘
๏ จากมาอกสระแอ่โอ้อาทวา
ระลึกรสรัญจวนหาค่ำเช้า
ขันทองใส่ธาราสรงโศรก ใจนา
ฤๅดับไฟรักเร้ารุ่มร้อนรุมทรวง ฯ
๑๗๙
๏ คำนึงโฉมแม่แต้มติดตา
ตาพร้่งไฟกามผาผ่าวไส้
ลันลุงทุรายกามามิ่ง กูเอย
กามกระเวนทรวงไหม้เรียกฟ้าดินตรอม ฯ
๑๘๐
๏ กำสดสารสั่งให้ทุกพาย
ลาเลื่อนตามสินธุสายสุดเคี้ยว
เรือรายเรี่ยริมชายชลหาด
ลางก็เลยลำเลี้ยวล่วงโพ้นไปตาม ฯ
๑๘๑
๏ ถึงกัทลีเขตบ้านรายทาง
เขาตัดเสาเผายางยากพ้น
หญิงชายอยู่เบาบางทุกบ่อน
มีแต่หนังปูต้นท่อนไม้หนุนนอน ฯ
๑๘๒
๏ ดลคามนามบ้านชื่อกัทลี
จอดประทับเรือรีหยุดร้อน
กล้วยตีบตกเครือมีฤๅเปล่า
รำลึกรสกล้วยป้อนแม่ไซ้ฤๅลืม ฯ
๑๘๓
๏ จรจากจากที่นั้นมาไกล
เรียมเร่งรัญจวนใจโศกเศร้า
สุริยฉายบ่ายบทไถงลมเฉื่อย
เย็นแต่นอกอกเร้าเร่งร้อนในทรวง ฯ
๑๘๔
๏ ถึงศาลอารักษ์ร้างริมชล
ตระเหว็ดตระเวนมัวมนท์หม่นเศร้า
อารักษ์ราชฤๅทนเทวษดั่ง นี้นา
เที้ยรทุกข์เรียมจากเจ้าหมื่นไหม้หมองสมร ฯ
๑๘๕
๏ อาราธน์เทเวศไหว้วอนวิง
อารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สิงที่นี้
ขอเชิญออกเอาชิงชัยช่วย พระนา
พลันเสร็จสงครามลี้ลาศเข้าเมืองหลวง ฯ
๑๘๖
๏ จักเฉลาเปลาปลูกสร้างศาลถวาย
ฝาผอวดลวดลงลายเพริศแพร้ว
ราชวัติฉัตรธงชายชวยโชติ
ตระเหว็ดวาดลาดทองแผ้วประดิษฐ์ด้วยใจงาม ฯ
๑๘๗
๏ บายศรีเงินนากแก้วทองพราย
อิกเครื่องสังเวยถวายปู่เจ้า
เป็ดปากปิดคำรายเทียนธูป ทองแฮ
หมูไก่กับแกมเหล้าเค่มข้าบูชา ฯ
๑๘๘
๏ ทังงานมหรสพถ้วนทุกพรรณ
โขนหุ่นละคัผชันเล่นล้ำ
รำมอญเทพทองขยันปรบไก่
วัววิ่งมวยพนันปล้ำถี่ถ้วนขอถวาย ฯ
๑๘๙
๏ เสร็จบำบวงเทพแล้วลีลา
จากสถานเทพาแห่งหั้น
ชลเนตรสระสกอาดูรเทวษ
แสนเจ็บจรเทินกลั้นกลัดกลั้นกลางใจ ฯ
๑๙๐
๏ ถึงปากคลองชื่อเชื้อพระชี
แลโล่งลำคลองรีสุดอ้าง
ไป่เหนพระชีศรีสมโพธิ มีนา
เปนป่ารกเรือนร้างร่มไม้มานาน ฯ
๑๙๑
๏ ขอพระชีช่วยข้าขอพร
ขออย่ามีมารรอนรักร้าว
ขอศรีสัถาวรทุกเมื่อ
ขอเดชบุญบวชน้าวแม่หมั้นใจปอง ฯ
๑๙๒
๏ เซ็งสารสุโนกร้องโจษจัน
ยามเมื่อสายัณห์ตะวันเคลื่อนคล้อย
จอแจรับรังรัญจวนคู่
เรียมก็รัญจวนสร้อยโศกเศร้าอาวรณ์ ฯ
๑๙๓
๏ ราตรีเสียงสัตว์ซ้องทุกภาย
เสือปีบปนกวางทรายกาจก้อง
โดยเสด็จพระนารายนณ์จอมโลกย์
วังเวกวันนาท้องเถื่อนถ้ำทางเดิน ฯ
๑๙๔
๏ ถึงวังตะเคียนคิดแท้เทียรวัง
พระบ่หวังวังหวังป่าไม้
นอนหนาวร่มรุกข์รังเรียงรื่น
รักษก็โรยเรียมไร้นิราศน้องมานอน ฯ
๑๙๕
๏ จากมาเปลื้องปลิดแก้วกับตน
ต่างก็ทนทุกข์ทนเทวษไห้
อกเรียมทนรนขวนขวายสวาดิ
รักษแม่โฉมมือไล้เล่ห์นั้นฤๅลืม ฯ
๑๙๖
๏ อาวรณ์วะว่องหว้ายหาวหา
นอนอนาถคายตาแยบเนื้อ
คำนึงแก่นกามาทุกทุ่ม
คิดบ่วายโฉมเชื้อชื่นเจ้าเคยชม ฯ
๑๙๗
๏ วะวากขวัญจิ่มฟ้าแดโดย
เยียอยู่หนหลังโหยละห้อย
รอยรูปจักแรมโรยรสกลิ่น จันทน์นา
รอยแม่ทุกข์ค้อยค้อยค่ำเช้าฤๅเสบย ฯ
๑๙๘
๏ ราตรีเรียมร่ำไห้ฤๅวาย
เคยอกแนบถนอมสายสวาดิไว้
รับขวัญอยู่กับกายกรกอด น้องนา
ใครอาจรับขวัญให้แม่เศร้าหายหมอง ฯ
๑๙๙
๏ บารนีอนาถเนื้อนงพาล
จักนั่งนอนแดดาลด่าวดิ้น
รำลึกร่านทรวงลานสมรมิ่ง กูเอย
รักร่ำฤๅจักสิ้นสุดฟ้าดินแดน ฯ
๒๐๐
๏ ดวงเดียวคือเกศแก้วกามน
ฟ้าแลดินบวงบนใคร่ได้
เจียรจากพี่มาทนเทวษดั่ง นี้นา
อกอุระเข็ญไข้ข่าวน้องนานตรอม ฯ
๒๐๑
๏ ถึงจระเข้เผือกไซ้สมญา
นามแต่เบาราณมาชั่วท้าว
กุมภีล์บ่เห็นปรา กฏอยู่
มีแต่วังวากอ้าวอ่าวน้ำลาญสมร ฯ
๒๐๒
๏ จระเข้คาบคั้นฤๅขาม
ฤๅเจ็บพิษปากปามแกล่กล้ำ
ปวดปากแก่นใจกามกุมพี่ ราแม่
เจ็บพิษประดิพัทธ์ย้ำสวาดิไว้ตรึงตรา ฯ
๒๐๓
๏ มาดลหนแห่งห้วย ทรายราย
ทรายหาดกรวดแกมทรายพร่างแพร้ว
ระยับจับแสงสายสูริย์ส่อง
พลางคิดคำนึงแก้วพี่เพี้ยงมาชม ฯ
๒๐๔
๏ ห้วยทรายเห็นหมู่เนื้อทรายคะนอง
เคียงคู่ชมสมสองเล่นเลี้ยว
ระลึกแห่งนวลละอองกมุทมาศ กูเอย
เคยพี่โลมกรเกี้ยวแนบน้องเลียมโลม ฯ
๒๐๕
๏ จรเข้คลานคล่าวน้ำนองไหล
เรือลิ่วพายหายใจหลั่งหลู้
ลำบากยากเย็นไฉนเยาวห่อน เห็นฤๅ
ดุจพี่เอากายสู้รักเจ้าฤๅโรย ฯ
๒๐๖
๏ สายัณห์สุริเยศเยื้องอัสดง
รีบรถลีลาลง ลับเลี้ยว
ทังหลายจอดเรือจงภักษ์โภชน์
เรียมแต่จอดทุกข์เผรี้ยวพร่ำน้ำตากิน ฯ
๒๐๗
๏ เดินดงยากดึกด้าวรัถยา
เลียบเลาะหลีกหินผาไผ่ก้าง
แสนยากพี่ทรมาฤๅร่ำ ถึงแม่
นอนเพื่อนเสือสัตว์ช้างน่านน้ำแรมนอน ฯ
๒๐๘
๏ ลำบากจากสวาดิเจ้ามาทน
ทุกข์เทวษทุกดำบลเถื่อนท้อง
ตรำฟ้าละอองฝนคางสั่น
ลมเฉื่อยชายพัดต้องเหน็บเนื้อนอนเดียว ฯ
๒๐๙
๏ กระหนทนทุกข์พ้นพันทวี
โศกซูบผอมอินทรีย์ตกกร้าน
ยามกินบ่ดูดีดาลอิ่ม
กินแต่ชลเนตรผล้านเทวษไห้ตางงาย ฯ
๒๑๐
๏ เป็นตายวายชีพเจ้าฤๅเห็น
ครวญคร่ำลำเค็ญเป็นใช่น้อย
น้ำตาตกกระเด็นเซ็นทุกท่า
อกพี่จักหักร้อยท่อนด้วยดวงสมร ฯ
๒๑๑
๏ ฤๅรอยโฉมแม่เจ้าใจรัก
นอนนั่งคำนึงนักโศกสร้อย
กระหม่ามัวหม่นหมองพักตร์ผายกลิ่น
เยียอยู่เลวลาญละห้อยร่ำไห้หาเรียม ฯ
๒๑๒
๏ โอ้ปรานีนิ่มเนื้อโกมล
เคยตระกองกับตนเพื่อนน้อง
รักจากนุชมาทนลำบาก
ขวัญแม่ใครจักป้องเพื่อนเจ้าจักโลม ฯ
๒๑๓
๏ คิดคืนคิดค่ำเช้าฤๅวาย
คิดทุกยามเพรางายจากเจ้า
โฉมกามทิพย์เทียรสายสมรมิ่ง กูเอย
เคยสุขฤๅกลับเศร้าเสื่อมสิ้นแสนเกษม ฯ
๒๑๔
๏ เจียรจากวันหนึ่งเพี้ยงพันปี
จากแต่เทียมราตรียิ่งร้อย
ไป่เห็นแลทีทีพันคาบ
จากแม่ปูนปีสร้อยโศกเพี้ยงแสนกัลป์      ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

โคลงนิราศพระพิพิธสาลี กรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๒

เครื่องมือส่วนตัว