โคลงนิราศพระประธม

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|คลโงนิราศพระประธม}}…')
(ข้อมูลเบื้องต้น)
 
แถว 6: แถว 6:
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
[[หมวดหมู่:นิราศ]]
'''พระนิพนธ์:''' [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท]]
'''พระนิพนธ์:''' [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท]]
 +
 +
 +
'''คำนำของผู้ชำระ'''
 +
 +
 +
พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงพระนิพนธ์นิราศนี้ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อพระชนม์ ๒๖ พรรษา เวลานั้นยังทรงพระยศเป็นกรมหมื่น เสด็จอยู่วังในคลองตลาด ซึ่งเรียกตามตำนานวังเก่าว่าวังท้ายหับเผยวังที่ ๓ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จย้ายไปอยู่วังริมแม่น้ำเจ้าพระยาใต้วัดพระเชตุพน ซึ่งเป็นวังเดิมของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระราชทานบวรราชาภิเษกเสด็จย้ายจากพระราชวังเดิม (ธนบุรี) เข้าไปประทับในพระราชวังบวรแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหลวงวงษาธิราชสนิทเสด็จย้ายไปอยู่พระราชวังเดิม ได้เสด็จอยู่ที่นั้นต่อมาจนสิ้นพระชนม์
 +
 +
 +
ผู้อ่านโคลงนิราศนี้ ถ้ายังมิได้เห็นมาก่อนแล้ว ก็คงจะเห็นเหมือนกันหมดในบัดนี้ว่า กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงพระปรีชาในเชิงกวีเป็นอันมาก นิราศนี้นับว่าเป็นกาพย์กลอนรุ่นแรกที่ทรงแต่ง ก่อนหน้านั้นคงจะได้ทรงแต่งแต่สั้น ๆ เป็นท่อนเล็กท่อนน้อยมามากแล้ว แต่หากไม่เป็นล่ำเป็นสันจึ่งไม่มีเหลืออยู่ โคลงจินดามณีซึ่งเป็นหนังสือสำคัญอยู่อย่างหนึ่งในกาพย์กลอนไทยนั้น ทรงแต่งภายหลังนิราศนี้ราว ๑๕ ปี
 +
 +
 +
การแต่งนิราศนั้น แต่ก่อนมาไม่ว่าใครแต่ง คงจะเดิรความทำนองเดียวกันแทบทั้งนั้น ขึ้นต้นยอพระเกียรติ์พระเจ้าแผ่นดิน แล้วปรารภไปทางไกล กล่าวละห้อยละเหี่ยเป็นห่วงเมีย บางคนแสดงวิตกว่าเมียอยู่ข้างหลังจะไม่รักษาสัตย์ต่อผัว ที่กล่าวเช่นนั้นถ้าคิดดูตามความเห็นธรรมดาในสมัยนี้ก็ดูเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง แต่อันที่จริงเป็นของซึ่งแต่ก่อนเขาไม่ถือ หรือเป็นของให้อภัยแก่ผู้แต่งนิราศ เพราะการกล่าวเป็นห่วงเมียว่าเกรงชายอื่นจะมาลอบลักเป็นชู้นั้น เป็นวิธีกล่าวยกยอความงามเลิศลอยซึ่งเป็นที่ต้องตาชายทั้งหลาย ใครเห็นก็ต้องอยากได้ เหมือนถ้ากล่าวเป็นห่วงเพ็ชร์ว่ากลัวถูกโขมย ก็หาเป็นการดูหมิ่นเพ็ชรไม่ ที่พูดเช่นนี้ฟังเหมือนหนึ่งหาว่าหญิงไม่ใช่คน แต่ถ้าจะพูดตามทางที่เขาแต่ง หญิงก็ไม่ใช่คนจริง ๆ เขาแต่งประสงค์จะเชิดความงามให้เด่น แลความงามนั้นเป็นคุณนามถึงจะมีในตัวมนุษย์ก็หาใช่มนุษย์ไม่ ตามนัยเช่นนี้อาจกล่าวต่อไปได้อีกชั้นหนึ่งว่า เมียที่กล่าวในนิราศนั้นเป็นของไม่จพเป็นจะต้องมีตัวมีตน เป็นแต่ความคิดเป็นเครื่องนึกขึ้นสำหรับช่วยให้แต่งโคลงไพเราะเท่านั้น เมียจริง ๆ อาจเป็นคนแก่หรือหญิงปราศจากความงาม ซึ่งถ้านึกถึงจริง ๆ ก็ไม่เป็นเครื่องนำปัญญาให้กาพย์กลอนไพเราะเกิดขึ้นได้ บางทีเมื่อเวลาไปจากบ้านนั้นเมียไปด้วย หรือนิราศนั้นแต่งเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว หรือแต่งสำเร็จเมื่อกลับถึงบ้านแล้วช้านานก็เป็นได้ ข้าพเจ้าเองก้เคยแต่งโคลงนิราศเมื่อไม่ได้ไปไหนเลย แลในเวลานั้นเมียก็ยังไม่มี ข้อที่ไม่ได้ไปไหนแลไม่มีเมียนั้น หาเป็นเครื่องกีดกั้นไม่ให้แต่งโคลงนิราศไม่ ที่นำมากล่าวเช่นนี้เพื่อจะแสดงว่าเมียในนิราศนั้นเป็น''ความคิด''เท่านั้น ไม่ใช่''คน''เลย
 +
 +
 +
วิธีแต่งนิราศ เมื่อกล่าวเป็นห่วงเมียแล้ว ถึงตอนเดิรทาง เมื่อไปถึงไหนก็เอาชื่อตำบลนั้น หรือที่นั้นมากล่าวเทียบโยงไปให้ถึงเมียจนได้ ตอนเดิรดงเมื่อกล่าวถึงต้นไม้แลสัตว์ต่าง ๆ ก็เกลือกเอาแต่ต้นไม้แลสัตว์ซึ่งพอจะพูดวกเข้าหาเมียได้อย่างเดียวกัน วิธีแต่งเช่นนี้จะว่ายากก็ไม่ใช่จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ที่ว่าไม่ยากนั้นก็เพราะความเปรียบนั้นมักจะนึกได้ในทันที แลไม่จำเป็นจะพูดถึงอะไรที่จะวกเข้าเปรียบกับนางไม่ได้ วิธีเปรียบนั้นเป็นต้นว่านกแก้วหรือต้นแก้วก็เปรียบว่านางคือแก้ว หรือแก้วตาแก้วใจ แล้วเลยใช้แก้วแปลว่า นางทีเดียว ฉะนี้เป็นตัวอย่าง ส่วนที่ว่าไม่ง่ายก็เพราะการเปรียบเช่นนั้นเขาทำกันมามากแล้ว ผู้แต่งใหม่จำจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เหมือนของเก่า ต้องให้ดีกว่า หรืออย่างนั้ยก็ไม่ให้เลวกว่า มิฉะนั้นก็ขายหน้า
 +
 +
 +
กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์ก็ทำนองนี้ แต่ไม่ทรงดำเนิรตามรอยทางเก่าที่เอาอย่าง (มักใช้ว่า "ล้อ") กันเป็นทอด ๆ เหมือนนรินทร์อินเอาอย่างศรีปราชญ์ ๆ เอาอย่างคนอื่นต่อขึ้นไปอีก เช่นรำพึงว่าจะฝากนางกับใครดี ฝากพระอินทร์ก็เกรงจะเป็นชู้ ฝากนั่นก็เกรงอย่างนั้น ฝากนี่ก็เกรงอย่างนี้ ในที่สุดก็ฝากนางกับใจนางเอง ดังนี้เป็นต้น กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงระบุชื่อนิราศซึ่งนิยมกันว่าดี คือ กำสรวญทวาทศมาส นิราศของพระพิพิธสาลี (เดิมเป็นพระศรีภูมิปรีชา ผู้แต่งอุเทนคำฉันท์ พระสุธนคำฉันท์ แลสูตรธนูคำฉันท์) นิราศพระยาตรัง แล นิราศนรินทร์ แต่ทรงกล่าวว่า "ไป่ลักเทีบยคำบุราณอื่นอ้าง" ซึ่งความจริงโดยประการที่มิได้ทรงเพ่งเล็งเอาอย่างใครเป็น แต่ทรงเดิรรูปตามแบบนิราศ และถ้าไม่ทรงเช่นนั้นก็ไม่เป็นนิราศ
 +
 +
 +
ในการชำระครั้งนี้ได้ความรู้ใหม่อย่างหนึ่งว่า เมื่อกรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์นิราศนี้แล้ว ได้ทรงนำถวายพระอาจารย์ คือ สมเด็นกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ให้ทอดพระเนตรแลทรงแก้ไข สมเด็จกรมพระปรมานุชิตทรงอ่านแล้ว จะได้ทรงแก้บ้างหรือไม่ไม่ทราบ ปรากฏแต่ว่าในสมุดไทยตัวดินสอขาวของกรมหลวงวงษาธิราชสนิท (ซึ่งเดี๋ยวนี้อยู่ในหอสมุดวชิรญาณ) นั้น เขียนเป็นตัวบรรจงฝีมืองาม แต่มีรอยขีดฆ่าบรรจงแล้วเขียนตัวหวัดแก้เปลี่ยนไปหลายแห่ง ที่แก้นั้นดีขึ้นกว่าเดิมทุกแห่ง ผู้แก้จะเป็นสมเด็จกรมพระปรมานุชิต หรือกรมหลวงวงษาธิราชสนิทจะทรงเองก็ทราบไม่ได้ ทราบได้แต่ว่า เมื่อสมเด็จกรมพระปรมานุชิตทรงอ่านตลอดแล้ว ก็ทรงโคลงเติมลงข้างท้ายว่า
 +
<tpoem>
 +
๏ กรมวงษาสนิทผู้  ปรีชา เชี่ยวแฮ
 +
เรียบรจเรขกถา  เพราะพร้อง
 +
เนืองเนกคณเมธา  ทุกทั่ว อ่านเอย
 +
ควรจักยอยศซร้อง  แซ่ซั้นสรรเสริญ ฯ
 +
</tpoem>
 +
การชำระหนังสือนี้ เมื่อแรกได้ใช้ฉบับที่พิมพ์ในหนังสือ "วชิรญาณ" ใน พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นต้นฉบับ แต่เมื่ออ่านตรวจไปได้หน่อยหนึ่งก็เห็นได้ว่ามีผิดจนเสียความไปหลายแห่ง ที่สงสัยว่าผิดเพราะอ่อนไปกว่าฝีโอษฐ์กรมหลวงวงษาธิราชสนิท แต่ไม่ถึงเสียความก็มี จึงได้ให้หยอบฉบับสมุดไทยที่กล่าวมาแล้วออกมาสอบ ก็ได้ความที่ถูกแลดังที่คาดโดยมาก เห็นได้ทันทีว่าฉบับสมุดไทยนั้นเป็นฉบับดี ตลอดจนตัวสกดแลการันต์ก็ไม่พลัด ๆ เพลิด ๆ เหมือนหนังสือสมุดไทยโดยมาก ตัวสกดแลการันต์นั้นใช้เหมือนกับที่เราเคยใช้กันก่อนสมัยปัจจุบัน เข้าใจว่ากรมหลวงวงษาธิราชสนิทคงจะทรงใช้อย่างนั้น ผู้ชำระเห็นว่าเป็นความเปลี่ยนแห่งตัวสกดซึ่งเดิรเป็นหลั่นแต่โบราณมาจนปัจจุบันนั้น เป็นของซึ่งผู้ศึกษาพึงสังเกต เพราะฉะนั้นเมื่อได้ต้นฉบับที่เรียบร้อยถูกต้องตามวิธีซึ่งผู้มีความรู้เขียนกันมาในกรุงเทพ ฯ เมื่อประมาณ  ๙๐ ปีมาแล้ว ก็ควรพิมพ์ไว้ให้เห็นเป็นเครื่องเทียบกับวิธีตัวสกดในสมัยนี้ เหตุดังนั้นจึงได้ชำระหนังสือนิราศเล่มนี้ ตามที่กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงเขียน แต่ในที่บางแห่งซึ่งผู้ชำระมีคำจะกล่าว ก็หมายเลขแลเขียนกล่าวลงไว้เป็นตัวหนังสือเล็กในเบื้องล่างแห่งน่านั้น ๆ
 +
 +
 +
พิทยาลงกรณ
 +
 +
กรุงเทพ ฯ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘
 +
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
==== ====
==== ====

รุ่นปัจจุบันของ 07:22, 31 ตุลาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระนิพนธ์: พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท


คำนำของผู้ชำระ


พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงพระนิพนธ์นิราศนี้ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อพระชนม์ ๒๖ พรรษา เวลานั้นยังทรงพระยศเป็นกรมหมื่น เสด็จอยู่วังในคลองตลาด ซึ่งเรียกตามตำนานวังเก่าว่าวังท้ายหับเผยวังที่ ๓ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จย้ายไปอยู่วังริมแม่น้ำเจ้าพระยาใต้วัดพระเชตุพน ซึ่งเป็นวังเดิมของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระราชทานบวรราชาภิเษกเสด็จย้ายจากพระราชวังเดิม (ธนบุรี) เข้าไปประทับในพระราชวังบวรแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหลวงวงษาธิราชสนิทเสด็จย้ายไปอยู่พระราชวังเดิม ได้เสด็จอยู่ที่นั้นต่อมาจนสิ้นพระชนม์


ผู้อ่านโคลงนิราศนี้ ถ้ายังมิได้เห็นมาก่อนแล้ว ก็คงจะเห็นเหมือนกันหมดในบัดนี้ว่า กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงพระปรีชาในเชิงกวีเป็นอันมาก นิราศนี้นับว่าเป็นกาพย์กลอนรุ่นแรกที่ทรงแต่ง ก่อนหน้านั้นคงจะได้ทรงแต่งแต่สั้น ๆ เป็นท่อนเล็กท่อนน้อยมามากแล้ว แต่หากไม่เป็นล่ำเป็นสันจึ่งไม่มีเหลืออยู่ โคลงจินดามณีซึ่งเป็นหนังสือสำคัญอยู่อย่างหนึ่งในกาพย์กลอนไทยนั้น ทรงแต่งภายหลังนิราศนี้ราว ๑๕ ปี


การแต่งนิราศนั้น แต่ก่อนมาไม่ว่าใครแต่ง คงจะเดิรความทำนองเดียวกันแทบทั้งนั้น ขึ้นต้นยอพระเกียรติ์พระเจ้าแผ่นดิน แล้วปรารภไปทางไกล กล่าวละห้อยละเหี่ยเป็นห่วงเมีย บางคนแสดงวิตกว่าเมียอยู่ข้างหลังจะไม่รักษาสัตย์ต่อผัว ที่กล่าวเช่นนั้นถ้าคิดดูตามความเห็นธรรมดาในสมัยนี้ก็ดูเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง แต่อันที่จริงเป็นของซึ่งแต่ก่อนเขาไม่ถือ หรือเป็นของให้อภัยแก่ผู้แต่งนิราศ เพราะการกล่าวเป็นห่วงเมียว่าเกรงชายอื่นจะมาลอบลักเป็นชู้นั้น เป็นวิธีกล่าวยกยอความงามเลิศลอยซึ่งเป็นที่ต้องตาชายทั้งหลาย ใครเห็นก็ต้องอยากได้ เหมือนถ้ากล่าวเป็นห่วงเพ็ชร์ว่ากลัวถูกโขมย ก็หาเป็นการดูหมิ่นเพ็ชรไม่ ที่พูดเช่นนี้ฟังเหมือนหนึ่งหาว่าหญิงไม่ใช่คน แต่ถ้าจะพูดตามทางที่เขาแต่ง หญิงก็ไม่ใช่คนจริง ๆ เขาแต่งประสงค์จะเชิดความงามให้เด่น แลความงามนั้นเป็นคุณนามถึงจะมีในตัวมนุษย์ก็หาใช่มนุษย์ไม่ ตามนัยเช่นนี้อาจกล่าวต่อไปได้อีกชั้นหนึ่งว่า เมียที่กล่าวในนิราศนั้นเป็นของไม่จพเป็นจะต้องมีตัวมีตน เป็นแต่ความคิดเป็นเครื่องนึกขึ้นสำหรับช่วยให้แต่งโคลงไพเราะเท่านั้น เมียจริง ๆ อาจเป็นคนแก่หรือหญิงปราศจากความงาม ซึ่งถ้านึกถึงจริง ๆ ก็ไม่เป็นเครื่องนำปัญญาให้กาพย์กลอนไพเราะเกิดขึ้นได้ บางทีเมื่อเวลาไปจากบ้านนั้นเมียไปด้วย หรือนิราศนั้นแต่งเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว หรือแต่งสำเร็จเมื่อกลับถึงบ้านแล้วช้านานก็เป็นได้ ข้าพเจ้าเองก้เคยแต่งโคลงนิราศเมื่อไม่ได้ไปไหนเลย แลในเวลานั้นเมียก็ยังไม่มี ข้อที่ไม่ได้ไปไหนแลไม่มีเมียนั้น หาเป็นเครื่องกีดกั้นไม่ให้แต่งโคลงนิราศไม่ ที่นำมากล่าวเช่นนี้เพื่อจะแสดงว่าเมียในนิราศนั้นเป็นความคิดเท่านั้น ไม่ใช่คนเลย


วิธีแต่งนิราศ เมื่อกล่าวเป็นห่วงเมียแล้ว ถึงตอนเดิรทาง เมื่อไปถึงไหนก็เอาชื่อตำบลนั้น หรือที่นั้นมากล่าวเทียบโยงไปให้ถึงเมียจนได้ ตอนเดิรดงเมื่อกล่าวถึงต้นไม้แลสัตว์ต่าง ๆ ก็เกลือกเอาแต่ต้นไม้แลสัตว์ซึ่งพอจะพูดวกเข้าหาเมียได้อย่างเดียวกัน วิธีแต่งเช่นนี้จะว่ายากก็ไม่ใช่จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ที่ว่าไม่ยากนั้นก็เพราะความเปรียบนั้นมักจะนึกได้ในทันที แลไม่จำเป็นจะพูดถึงอะไรที่จะวกเข้าเปรียบกับนางไม่ได้ วิธีเปรียบนั้นเป็นต้นว่านกแก้วหรือต้นแก้วก็เปรียบว่านางคือแก้ว หรือแก้วตาแก้วใจ แล้วเลยใช้แก้วแปลว่า นางทีเดียว ฉะนี้เป็นตัวอย่าง ส่วนที่ว่าไม่ง่ายก็เพราะการเปรียบเช่นนั้นเขาทำกันมามากแล้ว ผู้แต่งใหม่จำจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เหมือนของเก่า ต้องให้ดีกว่า หรืออย่างนั้ยก็ไม่ให้เลวกว่า มิฉะนั้นก็ขายหน้า


กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์ก็ทำนองนี้ แต่ไม่ทรงดำเนิรตามรอยทางเก่าที่เอาอย่าง (มักใช้ว่า "ล้อ") กันเป็นทอด ๆ เหมือนนรินทร์อินเอาอย่างศรีปราชญ์ ๆ เอาอย่างคนอื่นต่อขึ้นไปอีก เช่นรำพึงว่าจะฝากนางกับใครดี ฝากพระอินทร์ก็เกรงจะเป็นชู้ ฝากนั่นก็เกรงอย่างนั้น ฝากนี่ก็เกรงอย่างนี้ ในที่สุดก็ฝากนางกับใจนางเอง ดังนี้เป็นต้น กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงระบุชื่อนิราศซึ่งนิยมกันว่าดี คือ กำสรวญทวาทศมาส นิราศของพระพิพิธสาลี (เดิมเป็นพระศรีภูมิปรีชา ผู้แต่งอุเทนคำฉันท์ พระสุธนคำฉันท์ แลสูตรธนูคำฉันท์) นิราศพระยาตรัง แล นิราศนรินทร์ แต่ทรงกล่าวว่า "ไป่ลักเทีบยคำบุราณอื่นอ้าง" ซึ่งความจริงโดยประการที่มิได้ทรงเพ่งเล็งเอาอย่างใครเป็น แต่ทรงเดิรรูปตามแบบนิราศ และถ้าไม่ทรงเช่นนั้นก็ไม่เป็นนิราศ


ในการชำระครั้งนี้ได้ความรู้ใหม่อย่างหนึ่งว่า เมื่อกรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงพระนิพนธ์นิราศนี้แล้ว ได้ทรงนำถวายพระอาจารย์ คือ สมเด็นกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ให้ทอดพระเนตรแลทรงแก้ไข สมเด็จกรมพระปรมานุชิตทรงอ่านแล้ว จะได้ทรงแก้บ้างหรือไม่ไม่ทราบ ปรากฏแต่ว่าในสมุดไทยตัวดินสอขาวของกรมหลวงวงษาธิราชสนิท (ซึ่งเดี๋ยวนี้อยู่ในหอสมุดวชิรญาณ) นั้น เขียนเป็นตัวบรรจงฝีมืองาม แต่มีรอยขีดฆ่าบรรจงแล้วเขียนตัวหวัดแก้เปลี่ยนไปหลายแห่ง ที่แก้นั้นดีขึ้นกว่าเดิมทุกแห่ง ผู้แก้จะเป็นสมเด็จกรมพระปรมานุชิต หรือกรมหลวงวงษาธิราชสนิทจะทรงเองก็ทราบไม่ได้ ทราบได้แต่ว่า เมื่อสมเด็จกรมพระปรมานุชิตทรงอ่านตลอดแล้ว ก็ทรงโคลงเติมลงข้างท้ายว่า

๏ กรมวงษาสนิทผู้ปรีชา เชี่ยวแฮ
เรียบรจเรขกถาเพราะพร้อง
เนืองเนกคณเมธาทุกทั่ว อ่านเอย
ควรจักยอยศซร้องแซ่ซั้นสรรเสริญ ฯ
             

การชำระหนังสือนี้ เมื่อแรกได้ใช้ฉบับที่พิมพ์ในหนังสือ "วชิรญาณ" ใน พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นต้นฉบับ แต่เมื่ออ่านตรวจไปได้หน่อยหนึ่งก็เห็นได้ว่ามีผิดจนเสียความไปหลายแห่ง ที่สงสัยว่าผิดเพราะอ่อนไปกว่าฝีโอษฐ์กรมหลวงวงษาธิราชสนิท แต่ไม่ถึงเสียความก็มี จึงได้ให้หยอบฉบับสมุดไทยที่กล่าวมาแล้วออกมาสอบ ก็ได้ความที่ถูกแลดังที่คาดโดยมาก เห็นได้ทันทีว่าฉบับสมุดไทยนั้นเป็นฉบับดี ตลอดจนตัวสกดแลการันต์ก็ไม่พลัด ๆ เพลิด ๆ เหมือนหนังสือสมุดไทยโดยมาก ตัวสกดแลการันต์นั้นใช้เหมือนกับที่เราเคยใช้กันก่อนสมัยปัจจุบัน เข้าใจว่ากรมหลวงวงษาธิราชสนิทคงจะทรงใช้อย่างนั้น ผู้ชำระเห็นว่าเป็นความเปลี่ยนแห่งตัวสกดซึ่งเดิรเป็นหลั่นแต่โบราณมาจนปัจจุบันนั้น เป็นของซึ่งผู้ศึกษาพึงสังเกต เพราะฉะนั้นเมื่อได้ต้นฉบับที่เรียบร้อยถูกต้องตามวิธีซึ่งผู้มีความรู้เขียนกันมาในกรุงเทพ ฯ เมื่อประมาณ ๙๐ ปีมาแล้ว ก็ควรพิมพ์ไว้ให้เห็นเป็นเครื่องเทียบกับวิธีตัวสกดในสมัยนี้ เหตุดังนั้นจึงได้ชำระหนังสือนิราศเล่มนี้ ตามที่กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงเขียน แต่ในที่บางแห่งซึ่งผู้ชำระมีคำจะกล่าว ก็หมายเลขแลเขียนกล่าวลงไว้เป็นตัวหนังสือเล็กในเบื้องล่างแห่งน่านั้น ๆ


พิทยาลงกรณ

กรุงเทพ ฯ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘

บทประพันธ์

ร่าย
๏ เปรมปรีดารมเยศ เหตุกุศลสุจริต หวังบูชิตชินธาตุ พุทธไสยาศน์สถูปสถาน ในพนานต์นุประเทศ เขตแขวงแคว้นนครี นครไชยศรีสมญา โดยศรัทธาธิมุติ พิสุทธิสุนทรภาพ มละมล้างบาปบำบัติ สักการสกัจเคารพย์ อายัติภพหวังผล ทำงนงานการปราชญ์ เร่อมนิราศพจนา ปองปรีชาชำนิ ริงรงงสฤษดิกลกลอน อาวรณ์ศุขสำเรอง บำเทองธรรมบัณฑิตย์ กิจกระวีวรชาติ โอภาษแผ่นสุธา เฉลอมอยุทธยายงยศ เสาวภาคย์พจนบรรหาร ภอกระเษมสานต์อภิโมทน์ มาโนชนึกนิพนธ์ แสดงดำบลทุกด้าว ผดุงพระเกียรติไทท้าว ธิราชผู้ผ่านถวัลย ราชนา ฯ
             

๏ โกสินทร์บุรินทร์รัตนอ้างไอสวรรย์ สวรรค์ฤๅ
ยศยิ่งอยุธยาอันล่วงแล้ว
ไตรรัตน์จรัสเจียรจันทร์จรูญโลกย์ แลแฮ
โอภาษพระสาศน์แพร้วเพรอศหล้ากว่าเพรง ฯ
๏ มรกฎใหญ่ยอดแก้วปฏิมา กรฤๅ
คืออนัคฆรัตนาเลอศล้น
เมืองหมื่นอื่นห่อนหาเทียมท่า ถึงเลย
เป็นดิลกโลเกศร์พ้นพิภพด้าวใดเสมอ ฯ
๏ เรืองรัตน์ปริยัติพร้อมธรรมขันธ์
แปดหมื่นเสศสี่พันทั่วถ้วน
ภูวเรศสฤษดิรงงสรรค์จบฉบัพ หลายแฮ
ชิโนวาทศาสน์ล้วนเลอศล้นผลบุญ ฯ
๏ แสนสงฆ์ปริสุทธิสร้างสิกขา ไตรเฮย
สำมถะธรรมธิราอะคร้าว
เถือกถ่องทวัชกาสาวพัตรเพรอศ ภพพ่อ
สังฆรัตน์จรัสรุ่งด้าวดื่นพื้นแผ่นผไท ฯ
๏ ปราสาทสูงสุดห้องเวหา ดลแฮ
อร่ามรัตน์ประภัษศร์ประภาผ่องแผ้ว
สึงหาศน์ราชทวารารจเรข แลฤๅ
เถกองก่องทองแกมแก้วกระจ่างแจ้งแสงสูริย์ ฯ
๏ โสภาอาวาศล้วนโอฬาร หลายเฮย
อุโบสถสถูปธาตุ์สถานทั่วสร้าง
เจดีย์วิหารการบุเรียนเทศ ธรรมนา
รเบียงรเบียบเพียบพระสร้างประเสรอฐสิ้นถิ่นสงฆ์ ฯ
๏ เสร็จสารขานยศเผ้าอยุทธยา ภพแฮ
ห่อนวิถารกฤษฎาย่อยั้ง
จักเร่อมเรื่องรจนานิราศพร่ำ พจน์พ่อ
ไปภิวาทมหาธาตุ์ตั้งชื่ออ้างประธมประโทน ฯ
๏ ถวิลวันเรียมร้างรักแรมโรย
ไปแต่กายใจโหยห่วงน้อง
จักภาสุดสวาดิ์โดยใดสดวก แดนา
เพราะแม่อยู่แยกห้องห่อนได้สมประสงค์ ฯ
๏ สุดาดวงดื่นห้องห่อนภาไป
เลือกภักตร์จักเสียใจโศกเศร้า
เมื้อหมดทุรัศสถานไกลเรือมาก ลำแม่
ลำบากบ่าวไพร่เต้าต่างต้องติดตาม ฯ
๑๐
๏ ประสงค์แต่สุดสวาดิ์สร้อยสายสมร เดียวแม่
คิดใคร่พาขนิษฐจรเพื่อนพร้อง
แรมเรือเมื่อหนาวนอนแนบอุ่น อกเอย
ยุงกัดหวังวานน้องปัดเบื้องปฤษฎางค์ ฯ
๑๑
๏ สายัณห์สุริเยศเยื้องอัษฎงค์
นายมหาดขนเครื่องลงเสร็จแล้ว
พลพายบ่ายเรือตรงประทับท่า รับแฮ
หวนห่วงสุดสวาดิ์แก้วเกษน้องนางเดียว ฯ
๑๒
๏ จวบลงเรือจากแล้วแลหา นุชเฮย
ใคร่สั่งสารสมรลาสักน้อย
จนใจจักไปหาลาแม่ แล้วมา
ได้แต่สั่งลมถ้อยบ่ายหน้าลาสมร ฯ
๑๓
๏ นาวาคลาเคลื่อนคล้อยสพานมอญ
ถวิลบ่วายอาวรณ์สวาดิ์ร้าง
เกลือกพี่ห่างแหสมรจักกลับ ใจแม่
วิตกแต่รักจักค้างคู่ขึ้นคานแขวน ฯ
๑๔
๏ โอ้ศรีเสาวภาคย์ผู้เพ็ญภักตร์ พี่เอย
ยามนิราศรศรักเรอศร้าง
ปรานีนุชนงลักษณ์ลาญเทวศ เดียวแม่
ใครจักแอบแนบข้างคู่เคล้าคลึงถนอม ฯ
๑๕
๏ ถึงสพานกรงข้ามคิดอธิษฐาน ใจเอย
เดชสัตย์สุจริตสมานมิตรหมั้น
เรียมจากนุชไปนานเนาเนิ่น วันแม่
ขอจิตร์สุดเสน่ห์นั้นแน่วเพี้ยงสพานกรง ฯ
๑๖
๏ เอนดูเยาวอยู่ห้องโหยหวล
ภักตร์ที่ผ่องผิวนวลจักคล้ำ
รันทวยรทดครวญใครปลอบ เปลื้องแม่
เสวยสุชลต่างน้ำเนตรน้ำนองเขนย ฯ
๑๗
๏ มาลุะสพานช้างช่องฉุกคิด
สพานก็ก่อกอปอิฐแน่นแท้
ขอสุดเสน่ห์สนิจจิตต์จงแน่น
ด่งงสพานช้างแล้ลากล้อฤๅไหว ฯ
๑๘
๏ ออกคลองตลาดคลาศเศร้าเสียใจ
แลลับชลไนยไหลหลั่งย้อย
ใจหนึ่งจากจรไปใจหนึ่ง เนาแม่
โอ้ว่ากำม์จำคล้อยคลาศคล้ายวายชนม์ ฯ
๑๙
๏ ภอออกแม่น้ำค่ำแขหงาย
เห็นแต่เรือแพรายเรียบร้อย
บเห็นสาวเหล่าแพขายสรรพสิ่ง ของนา
ยิ่งสลดใจละห้อยห่วงน้องนางเดียว ฯ
๒๐
๏ วัดกัลยาณมิตรแม้นมิตรกุศล ร่วมฤๅ
ผดุงร่วมรศฤดีดลแนบน้อง
บำเพ็ญเพื่อนกุศลผลเพรงภพ ฤๅแม่
ในภพนี้จึ่งพ้องเสน่ห์สร้อยสุดสมาน ฯ
๒๑
๏ บางหลวงชลเชี่ยวซึ้งเวียนวน
เป็นชวากแฉวรคนคลื่นคล้อย
เสมอเรียมเมื่อจรดลเด็ดสวาดิ์ มาแม่
ใจพี่วนกลร้อยตระหลบรื้อคืนสมาน ฯ
๒๒
๏ วิไชเยนทรก่อป้อมปราการ
ป้อมก็ปรากฎนานอยู่ช้า
เรียมก่อรักสมัคสมานเสมอชีพ
ขออยู่คู่ดินฟ้าอย่ารู้เสื่อมสลาย ฯ
๒๓
๏ วงงขุนหลวงตากสร้างสรัพสรรค์ ไว้แฮ
สิ้นกุศลกรรมทันปลิดเปลื้อง
ราชถานบ่ยืนพลันตกต่าง กรมแม่
แต่ราชวงงยังเยื้องยักย้ายหลายกล ฯ
๒๔
๏ เห็นสถานสถิตย์ราชร้างเรียมกรม ทรวงเอย
พระนิเวศน์ยังนิยมยักย้าย
เรียมจากนุชแรมชมทันกลับ มาแม่
รักเกลือยักรักร้ายเรอศร้างแรมเรียม ฯ
๒๕
๏ นาวาลุหน้าวัดเชตุวัน
ไพรจิตรพิศสบสรรพ์ราชสร้าง
โอฬารตระการบรรเจอดเนตร์ ยิ่งพ่อ
อาวาศใดไป่อ้างเทียบแท้ถึงสอง ฯ
๒๖
๏ หวลหวลป่วนจิตรพ้นรำพรรณ
เห็นแต่ดวงดาวจันทร์แจ่มฟ้า
พิศพื้นชลาผันภบแต่ ชลเอย
บงบ่สบหนุ่มหน้าแม่หน้านวลเฉลอม ฯ
๒๗
๏ วัดอรุณคิดนิ่มเนื้อนามอรุณ เรียมเอย
เคยประทับทรวงลมุนแนบน้อง
ยามหนาวแม่มีคุณแอบอก อุ่นเอย
เฉกอรุณเรืองห้องส่องให้หายหนาว ฯ
๒๘
๏ คลองนครบาลซื่อแต่บูรพ์
บัดนครบาลสูญเสื่อมบ้าน
คิดยามพิโยคพอูลเออาตม์ มาแม่
สูญเสื่อมสังวาศค้านขาดค้างห่างเขนย ฯ
๒๙
๏ ถึงท่านาเวศจ้างเอาทรัพย์
ข้ามทุกหญิงชายรับส่อซร้อง
บำนานแจกจักนับเงินค่า จ้างนา
จ้างรับนุชเนาห้องเร่งเต้าตามเรียม ฯ
๓๐
๏ ฉางน้ำตาลเฉกน้ำคำหวาน อรเอย
พร้องพร่ำสัตย์ปัติญาณว่าไว้
เว้นเรียมฤห่อนสมานสมัครอื่น เลยนา
จิตร์ไม่ไว้ใจได้เล่ห์ลิ้นลมหวาน ฯ
๓๑
๏ โบราณท่านว่าไว้ใจความ
ชู้รูปสวยสอาดงามอยู่ห้อง
ไว้ใจแต่ใจตามใจห่อน เที่ยงแฮ
กลัวเกลือกลมปากต้องติดเต้าตามลม ฯ
๓๒
๏ กะดีเจ้าเซ็นแขกเต้นตีอก
ไห้รักจนตาฟกฟอกช้ำ
เสมอพี่จากสุดวิตกแต่ทุ่ม อุระเอย
ไห้บ่วายไห้น้ำเนตร์ล้นนองเขนย ฯ
๓๓
๏ ถึงฉนวนดำหนักน้ำในสินธุ์
งามเงื่อนไพชยนต์อินทร์เอี่ยมฟ้า
นฤนารถประพาศวารินรมเยศ
มีที่ฝ่ายในหน้าสนุกนิล้ำเหลือเกษม ฯ
๓๔
๏ ถวิลกาลกติกะมาศเมื้อลอยกะทง
เคยพี่ภาอรอนงค์นุชน้อง
เที่ยวชมกระทงบงประทีปดอก ไม้นา
แสงบุหลันส่องต้องภักตร์เพี้ยงเพ็ญแข ฯ
๓๕
๏ วัดระฆังฝ่งงฟากโพ้นชลธาร
คิดระฆังเสียงขานคู่ฆ้อง
ยามสมสมรมาลย์สดับศับท์ ระฆังนา
พลางพี่โลมลาน้องรีบร้างปางอรุณ ฯ
๓๖
๏ ท่าพระเชิญพระขึ้นหึงกาล
ชื่อก็ปรากฏนานเหมาะหมั้น
แต่คำแม่ปัติญาณกับพี่ ณะแม่
จงอยู่ถ้าเสน่ห์นั้นอย่ารู้ลืมหลง ฯ
๓๗
๏ วัดมหาธาตุชื่อตั้งเถลองนาม
สังฆราชสถิตย์อารามเขตร์นั้น
เป็นปิ่นแก่สงฆ์สยามยศยิ่ง ยงเอย
ขอพระเตชกางกั้นคู่ข้อยคนเดียว ฯ
๓๘
๏ มาดลฉนวนน้ำพระบัณฑูร ประทับเฮย
ตำหนักก็ร้างแรมสูญเสื่อมเศร้า
เสมอแดพี่อาดูรเด็ดสวาดิ์ มาแม่
ชมแต่ชื่อต่างเจ้าจากแล้วแลหาย ฯ
๓๙
๏ วงงน่าคิดหน้านุชนวลฉม หอมเฮย
งามเนตรเนตรขำคมแช่มช้อย
บังเงาพี่ประลองชมขวัญข่วน พี่นา
รอยนขานิ้วน้อยติดเนื้อมาชม ฯ
๔๐
๏ วงงหลังเลอนาถโอ้อนิจจัง
ไร้ราชผู้ผ่านวงงวิบัติสิ้น
ถวิลนุชแม่เนาหลังลับเนตร พี่เอย
ร้างคู่ดูจักดิ้นประดาษเพี้ยงวงงหลัง ฯ
๔๑
๏ เห็นวงงร้างคิดร้างแรมสมร แม่ฤๅ
ร้างเริศรักเรียมจรจากน้อง
เจียรใจจักขานรอนรนสวาดิ์ ราแม่
หวลกลับคิดอายต้องตัดน้ำใจจร ฯ
๔๒
๏ ถับถึงบางกอกน้อยนอนรบม
เรียมอยากกอกรักรมตรากตรึ้ง
วานกอกช่วยกอกรดมดูดอก เรียมเอย
กอกรักเรียมเหลือทึ้งทอดทิ้งกอกถอน ฯ
๔๓
๏ ปรานีสุดเสน่ห์น้องเนาวงง
สัดจักโศกสืบฟังข่าวเศร้า
กรรแสงสุดจักหวังใครปลอบ เปลื้องนา
แต่แม่เดียวจักเข้าสู่ห้องสุดโหย ฯ
๔๔
๏ รันทวยระทดท้อถอนฤไทย
ทวีเทวศถวิลในอุระร้อน
ผ่าวผ่าวพิศม์พิสมัยพิศม์ยิ่ง พิศม์นา
แสนโศกแสบทรวงสท้อนแสบเศร้าเสียใจ ฯ
๔๕
๏ โรงเรือเรียดฝั่งต้งงตาดู
ไชยกิ่งโขนขูท่านไว้
วานเรือช่วยรับพธูพลันพราก มาเฮย
เชอญร่วมนาเวศให้สว่างร้อนเรียมโรย ฯ
๔๖
๏ เห็นเรือคิดแม่เมื้อเรือเก๋ง
เรียมรีบเรือตามเล็งภักตร์น้อง
เนตรสบเนตรเรียมเขม็งเนตรนุช หลบนา
ศรสวาดิ์เนตรน้องต้องแทบสิ้นสมปรดี ฯ
๔๗
๏ อัมรินทราวาสเพี้ยงอัมรินทร์ สฤษดิ์ฤๅ
โสภาคย์พ่างภพอินทร์อาจอ้าง
ขอเดชสุชามบดินทร์พำนักนิ์ นุชแม่
กำจัดดัษกรมล้างเหล่าชู้ชิงโฉม ฯ
๔๘
๏ บ้านบุะบุะภาชนพ้องอุระภางค์ พี่เอย
ข่อนข่อนเพียงจักวางชีพย์ม้วย
สูเอยพี่ไกลนางนับทุ่ม โมงแม่
แม้แม่มาได้ด้วยดับร้อนข่อนหาย ฯ
๔๙
๏ โอ้สายสุดสาวดิ์ล้ำเลอสมร พี่เอย
เรียมบ่วายอาวรณ์ว่างเว้น
ชมนักษัตร์ศศิธรแทนภักตร์ แม่แม่
น้ำเนตรคลอเนตรเร้นซ่อนหน้าจาบัลย์ ฯ
๕๐
๏ วัดสุวรรณ์บรรโบสถ์ล้ำลายสุวรรณ์
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์แจ่มจ้า
ถวิลภักตร์ภพิมลพรรโณภาษ นาแม่
ยามเมื่อผัดผิวหน้าพิศหน้าชวนชม ฯ
๕๑
๏ หอมพิกุลฉุนกลิ่นฟุ้งนาสา
เฉกกลิ่นบุหงายิหวาห่อให้
รินรินกลิ่นมลิลาหอมตระหลบ ลมเอย
เหมือนกลิ่นน้ำดอกไม้เทศแป้งขนิษฐ์ปรุง ฯ
๕๒
๏ ชีประขาวนามชื่ออ้างชีฉงน
ฤๅว่าชีสัปรดนแต่กี้
ชวนตาปะขาวซนโลนลวก หอยแฮ
เหตุจึ่งปรากฏชี้ชื่อไว้สำคัญ ฯ
๕๓
๏ ถวิลปางรเด่นคลั่งไคล้แอหนัง
เสมออกเรียมแรมวงงคลั่งน้อง
ห่วงหน้าระวังหลังหลายห่วง ห่วงแฮ
ห่วงสุดห่วงห่างห้องห่วงให้ใจโหย ฯ
๕๔
๏ บางขุนนนชื่ออ้างแต่ปาง
รอยชื่อขุนนายบางบอกไว้
ขุนเอยนิราศนางนอนเปลี่ยว มาพ่อ
ขุนช่วยบอกเยาวให้รีบร้อนตามเรียม ฯ
๕๕
๏ เสียงนกกดกูดก้องเรียกนาง นกเอย
เสมออกตูแรมสุรางค์ร่ำไห้
ถวิลวันละพันพางชีพย์มอด ม้วยแฮ
แต่ทุกข์ทุกข์จนจะไข้คิดแล้วใจหาย ฯ
๕๖
๏ บางผักหนามนึกเสี้ยนศัตรู นุชนา
เรียมบำราศเยาวยูรยาตรแล้ว
อยู่หลังเกลือกปวงริปูปองเสน่ห์
ใครจักกรรขนิษฐ์แผ้วแผกพ้นพาลไภย ฯ
๕๗
๏ เห็นค้างคาวท่องท้องเวหา หนแฮ
แสวงรศผลเพลาค่ำคล้อย
เสมอพี่ลอบไปมาสมเสน่ห์ นุชฤๅ
จอบรุ่งเรียมลาร้อยชั่งเต้าคืนสถาน ฯ
๕๘
๏ บางบำหรุะเหมือนพี่ไร้บำรุง
จากสถิตย์สถานกรุงกลิ่นสิ้น
เคยเนานุชปรนปรุงสุคนธ์ส่ง พี่นา
มาตรากแดดลมริ้นเริศร้างบำเรอห์ ฯ
๕๙
๏ หอมปาหนันกลิ่นกล้ำกระหลบอวล หอมเฮย
เฉกเช่นแพรศรีนวลนุชย้อม
หยิบผ้าห่มหอมชวนภาชื่น น่อยนา
ใจแม่สุดโอบอ้อมฝากผ้ามาแทน ฯ
๖๐
๏ มาถึงศาลเจ้าที่ท้ายบาง
พลางพี่บ่นพนพลางพร่ำไว้
จ้าวเอยช่วยระวังนางเนานิเวศน์ หลังนา
ท้งงสุดสายสวาดิ์ให้อยู่ห้องผ่องโฉม ฯ
๖๑
๏ ลาจากศาลจ้าวล่องชลที
ถึงวัดสุวรรณคีรีเรียกอ้าง
ขอคุณพระชินศรีสรวมจิตร์ น้องนา
แน่นดุจศีขรง้างงัดรื้อฤๅไหว ฯ
๖๒
๏ รุ่นเริ่มแรกรักชู้เชยชม
ฤๅห่อนเคยนิยมอย่างนี้
ชรอยแรงกุศลสมเคยคู่ สร้างฤๅ
รักยิ่งรักกว่านี้มากชู้หลายเมีย ฯ
๖๓
๏ บางรมาดนามแม้นมาทหมายมิตร
ประมาณสี่ห้าปีคิดมาทน้อง
มาทนุชหนึ่งสุจริตเรียมมาท
ห่อนมาทรักอื่นพ้องเฉพาะสร้อยสุดาเดียว ฯ
๖๔
๏ เมอลดอกเบ็ญมาศแม้นผิวอนงค์
เหลืองแม่เหลืองลออองค์อร่ามจ้า
งามรูปรัดเอวทรงสมสุด สวยเอย
แป้งแม่ผัดผิวหน้าภักตรน้องผ่องนวล ฯ
๖๕
๏ เรือถึงวัดไก่เตี้ยตาแสวง
หาไก่ป่าปู่แปลงแต่กี้
ภาลอลิลาศสมแพงเพื่อนพี่ น้องนา
วานช่วยนำนุชชี้ช่องเต้าตามเรียม ฯ
๖๖
๏ ถวิลลอราชคลั่งไคล้ใหลหลง
ถึงเพื่อนแพงสององค์พี่น้อง
เสมอพี่คลั่งไคล้พวงหวังสุด สวาดิ์นา
รักฤสมเสน่ห์น้องขัดค้างขวางเชิง ฯ
๖๗
๏ วัดท่าถวิลถ้านุชวันจร จากเอย
ถ้าจัดสั่งสารสมรแม่แคล้ว
ถ้าถ้าแต่ทินกรยังเที่ยง
จนล่วงสายัณห์แล้วสุดถ้าลาอนงค์ ฯ
๖๘
๏ หน้าวัดต้นโศกขึ้นสาขา
เห็นโสกพฤกษ์ยิ่งพาโศกเศร้า
พิศใบอ่อนโสกปรากฏเช่น สไบแม่
ฝากเมื่อวันเรียมเต้าบอกเบื้องโศกสมร ฯ
๖๙
๏ วัดน้อยนึกแน่งน้อยทรงนาง
โฉมนุชสุดสำอางสอาดเนื้อ
งามทรงสบสรรพางค์เพ็ญลักษณ เลอศแฮ
ควรภิรมย์รศเกื้อกอดไว้หว่างทรวง ฯ
๗๐
๏ สพานวัดไม้สวาดขึ้นรุงรัง
เหมือนพี่มุ่งสวาดิ์หวังแน่งน้อย
สวาดต้นพิศพึงชังใช่สวาดิ์ เรียมแม่
สวาดิ์พี่หวังสวาดิ์คล้อยคลาศแคล้วสวาดิ์คลา ฯ
             

๗๑
๏ สวนแดนมาลุด้าวแดนสวน
ถวิลบ่วายรำจวนจิตร์ไหม้
เห็นสวนคิดใคร่ชวนสมรเที่ยว สวนแม่
แม้ไม่ขัดมาได้หยุดค้างสวนชม ฯ
๗๒
๏ เสนาะห์เสียงจักรจั่นแจ้วจับใจ
หวาดว่าเสียงทรามไวยหวีดร้อง
ผวาปลอบเปล่าหฤไทยทุกข์เทวศ ถวิลแม่
หลงเรียกรับขวัญน้องนิ่มเนื้อนฤมล ฯ
๗๓
๏ วัดพิกุลฉุนคิดคล้ายพิกุลมา ไลยเลย
นงนุชสุดเสน่หาแม่ร้อย
ถุงยาสูบใส่บุหงาผจงส่ง เรียมฤๅ
ฉมชื่นหื่นหายลห้อยเสื่อมสิ้นเสาวคนธ์ ฯ
๗๔
๏ ถวิลรศยามเมื่อนร้างแรมขวัญ เนตรฤๅ
ริกริกฤๅดียรรยั่วเย้า
พิกุลพิกันกรรณิกาเกษ แก้วเอย
แม้แม่โดยสดวกเต้าพี่ชี้ชวนชม ฯ
๗๕
๏ บางขวางขวางขัดห้ามฤๅไฉน
ขวางบ่ให้ครรไลยละน้อง
จักคืนลาจักไคลใดแน่ ไฉนนา
ถวิลยิ่งวุ่นขุ่นข้องขัดค้านการกุศล ฯ
๗๖
๏ ริ้วริ้วเรือวิ่งน้ำใจคลอ
เร็วแต่เรือเรียมรอเรียดคุ้ง
ตนจากแต่จิตร์ขอเนาเพื่อน แม่นา
นอนบ่เปนนอนสดุ้งเด็ดน้ำใจจร ฯ
๗๗
๏ มาลุศาลเจ้าปากบางสนาม
สนามเล่นสิ่งใดถามห่อนแจ้ง
เทพารักษ์แถลงความบอกหน่อย หนึ่งพ่อ
สนามสนุกนิ์เรียมแล้งขาดเศร้าเซาเขษม ฯ
๗๘
๏ ศาลสถิตศักดิ์สิทธิ์ท้าวเทพา พ่อฤๅ
เชิญผดุงกานดาแม่ด้วย
ใครอย่าริเร่อมตุนาหงันแม่ อีกแม่
แม้หลุดสุดมือม้วยสวาดิ์แล้วเผาศาล ฯ
๗๙
๏ วัดเกษนึกเกษน้องนงพงา พี่เอย
หอมยิ่งหอมบุหงาตระหลบฟุ้ง
ยามแนบนุชนิทรารมย์รื่น รวยแม่
กลิ่นตระหลบอบมุ้งห่อนสิ้นกลิ่นหอม ฯ
๘๐
๏ สงสารสมรเกษแก้วกานดา พี่เอย
ยามนิโยคเยาวชายาอยู่ห้อง
จักไห้จักโหยหาหายชื่น แล้วแม่
ใครจักถ่อมถนอมน้องแนบเนื้อนวลองค์ ฯ
๘๑
๏ วัดชลอคิดใคร่จ้างคนจร
ไปลอบชลอบรรฐรณ์แท่นน้อง
มาร่วมที่เรือนอนแนบหน่อย หนึ่งนา
คิดบ่สมคิดข้องขัดแค้นคำชลอ ฯ
๘๒
๏ ฉิวฉิวลมพัดชื้อเชยทรวง
หนาวนอกกำเดาดวงจิตร์เศร้า
ตากตนประดาษตวงเตอมเทวศ มาแม่
ลมพัดเพียงพิศม์เร้าอกสท้านสุดทน ฯ
๘๓
๏ บางสีทองชื่อพ้องแพรศรี ทองแม่
หนังไก่พุดตานมีแก่เอ้ง
ภอใจห่มตาปีไปปะ ย่อยนา
เห็นดอกดวงเต่งเต้งติดต้องตาเรียม ฯ
๘๔
๏ รฤกทรงสภักน้องรัญจวน ใจเอย
พลางพี่หยิบศรีนวลขนิษฐ์ให้
คลุมองค์ยิ่งหอมหวลยวลเสน่ห์ นุชนา
ได้แก่แพรเคล้นไคล้คลี่เคล้าคลึงชม ฯ
๘๕
๏ บางอ้อยช้างเฉกอ้อยอบปรุง
คิดแม่เคยบำรุงทุกครั้ง
งามเครื่องปรักผูกถุงอรเทียบ ไว้แม่
ยามจากรักแรมท้งงรศอ้อยอบปรุง ฯ
๘๖
๏ ถวิลบางอ้อยช้างชื่อเรียมฟัง
ฤๅว่าพลายแรมพงงเผื่อนกว้าง
เสมือนอกพี่แรมวงงถวิลสวาดิ์ วายฤๅ
ช้างก็พลัดพงงก็ร้างพี่ก็ร้างแรมอนงค์ ฯ
๘๗
๏ ดลวัดสักน้อยน่งงอนาถใจ
น้อยศักดิ์จึ่งโศกในอกอึ้ง
เจ็บรักจากรักไกลกลอยเสน่ห์ มาแม่
โศกไม่น้อยหน้าตรึ้งตรากตรึ้งทรวงเสมอ ฯ
๘๘
๏ หอมโศกยิ่งโศกเศร้าอึมครึม
จิตร์พี่เพ้อพำพึมพร่ำพร้อง
สดับเสียงวิหคคระหึมหวลสวัสดิ์
ถวิลแต่ทุกข์เทวศต้องนิราศร้างแรมชม ฯ
๘๙
๏ แก้วฟ้าอาวาศไว้สมญา วัดฤๅ
เฉกชื่อแก้วขนิษฐาพี่ร้าง
แก้วทิพย์เทียบแก้วตาตูเพรอศ กว่าแฮ
แก้วทั่วฟ้าหล้าอ้างเปรียบได้ไป่เสมอ ฯ
๙๐
๏ เห็นพวงแก้วช่อช้อยเลวงฉม
เฉกกลิ่นแก้วเรียมภิรมย์รศรู้
แก้วเองพี่ขอชมภอชื่น ใจนา
แทนกลิ่นแก้วนุชรู้ที่ร้างแรมเกษม ฯ
๙๑
๏ บางขนุนขนุนหนึ่งต้นผลดก
ผลละผลใหญ่ยกหนักตึ้ง
เหมือนทุกข์ที่ทับอก เออาตม์ มาแม่
แรมรักหนักอกอึ้งปลดปล้ำทำไฉน ฯ
๙๒
๏ ขนุนหนามแต่นอกเนื้อในหวาน
เฉกเช่นหญิงรูปประมาณห่อนพริ้ง
แต่รู้จักประกอปการกิจสัต ตรีนา
ชายฤหน่ายเสน่ห์ทิ้งทอดน้องนางแหนง ฯ
๙๓
๏ บ้านกระเบื้องนามกระเบื้องบอกดำบล
ไยกระเบื้องบยลอย่างอ้าง
เฉกโฉมนุชนฤมลติดเนตร มาแม่
ไยบ่ยลเยาวร้างเนตรไร้ไป่เห็น ฯ
๙๔
๏ ทำไฉนจะได้มิตรมาชม
ภอค่อยคลายอารมณ์ร่านเร้า
แสนทุกข์สุดทุกข์รทมถมอก อยู่เอย
กว่าจักกลับคืนเข้าเขตรน้องยังนาน ฯ
๙๕
๏ บางกร่างกร่างต้นใหญ่ไป่มี
ยลแต่ไกรริมนทีร่มสอ้าน
ควรภาพงาลีลาเล่น ร่มฤๅ
กร่างแต่อ้างนามบ้านบอกไว้ไป่สม ฯ
๙๖
๏ เรียมจากเสาวภาคย์สร้อยโกสุม
เจ็บอุระรึงรุมเร่าเร้า
เปรียบเปลวอัคนีประชุมเผาผ่าว อกเอย
วันละวันครันเศร้ากว่าร้อยคราครวญ ฯ
๙๗
๏ ขุนกองรอยชื่อเจ้าของบาง
ตูจักถามอย่าพลางเร่งพร้อง
ยังไกลฤใกล้ทางประทมพระ สถูปพ่อ
เรียมด่วนคืนถนอมน้องจักช้าฤๅเร็ว ฯ
๙๘
๏ ถามใครใครห่อนแจ้งกิจจา
ภอเสื่อมโศกในอุราคล่องคล้อง
คิดได้แม่มานาเวศร่วม เรียมแม่
ยามพี่พร่ำแม่พร้องพร่ำพร้องภาเกษม ฯ
๙๙
๏ ถึงบ้านจีนเจ๊กจ้อเจรจา
เหล่าเจ๊กเคียงภรรยาหยอกเย้า
เรียมเจ็บจากสมรมาพลัดคู่
อายกับเจ๊กจิตร์เศร้าโศกสท้อนทรวงสเทือน ฯ
๑๐๐
๏ นาวาคลาท่องท้องแถวชล มารคเฮย
หลายล่วงบางดำบลเคลื่อนคล้อย
หวลโหยห่างนฤมลมาเปลี่ยว อกเอย
โศกยิ่งสุมทรวงสร้อยหลั่งล้นชลไนย ฯ
๑๐๑
๏ บางนายไกรชื่อบ้านนายไกร ทองฤๅ
นามบ่หายตนประไลยลับลี้
ไกรเอยพระเวทไววานน่อย หนึ่งพ่อ
เคยเรียกกุมภีล์กี้เรียกน้องลองมนตร์ ฯ
๑๐๒
๏ จำจรจำจากเจ้าจอมขวัญ
พิไรรักร่ำรำพรรณพรากชู้
กี่คืนจักคืนครรไลยสู่ สมนา
ช้าฤเร็วฤๅรู้เร่งร้อนใจถวิล ฯ
๑๐๓
๏ อุทยานขานชื่อให้ใครชม ชื่นเอย
ยามวิโยคเยาวกรมจิตร์ช้ำ
อุระเรียมระบอมระบมทุกขทุ่ม ทับนา
ใจจะฟกอกจะขว้ำชื่นได้ฉันใด ฯ
๑๐๔
๏ บุญใดดาลได้ประสบภบกัน
บาปสิ่งใดดลทันจึ่งร้าง
จำเรียมนิราจรัลแรมทุเรศ ราแม่
บุญก่อบาปเกื้อบ้างแบ่งให้เห็นผล ฯ
๑๐๕
๏ บางรนกนึกอนาถโอ้เอองค์
ไยบ่เห็นนกลงแหล่งนี้
ยินแต่ชื่อนกคงคำเรียก บางนา
นกก็ร้างเรียมก็ลี้ลับน้องนางมา ฯ
๑๐๖
๏ คำนึงเสน่ห์นกแก้วกานดา พี่เอย
เคยหมอบรับพจนาพี่พร้อง
ยามเรียมวิโยคอรอาดูรเปลี่ยว มาแม่
นกนุชจักเนาห้องน่งงไห้นอนโหย ฯ
๑๐๗
๏ คูเวียงใครขุดไว้เป็นคู
เวียงบ่พบพานดูเปล่าอ้าง
เหมือนเรียมนิราศพธูลับเนตร มาแม่
ชมแต่นามอ้างว้างอกว้าอาวรณ์ ฯ
๑๐๘
๏ นอนเปลี่ยวเหลียวฝ่ายซ้ายขวาแล
เห็นแต่สายสินธุ์กระแสเชี่ยวคว้าง
บสบสุดาแดดาลเทวศ
ถวิลนิรารศร้างเร่งร้อนรุมทรวง ฯ
๑๐๙
๏ วัดโบสถ์โบสถ์ก่อไว้แต่ปาง
คิดคู่ภักตร์นวลนางโบดแป้ง
พิศภักตร์ผ่องผิวปรางเปล่งปลั่ง ปลื้มนา
นวลบ่ร้างรู้แล้งพิลาศล้ำนวลจันทร์ ฯ
๑๑๐
๏ คำนึงนุชอยู่ร้งงแรมวงง
จักซื่อสนิทเนาหลังห่อนรู้
ยังคงต่อสัจจังจริงแน่ ไฉนนา
ฤๅแม่หลงลมชู้ชื่นแล้วลืมเรียม ฯ
๑๑๑
๏ วัดหลวงคิดคู่ร้างเวียงหลวง
ร้างศุขสิ่งเกษมทรวงเสื่อมสิ้น
มาเดียวอดูรดวงแดเด็ด สวาดิ์แม่
ยามดึกสดุ้งยุงริ้นเหลือบล้อมตอมกวน ฯ
๑๑๒
๏ เล็งรกำลำสละเกี้ยวกอแกม
รกำคละสละหนามแหลมเหน็บสล้าง
เสมออกอาตม์มาแรมบำราศ สมรฤๅ
รกำอุระสละรักร้ายเร่ร้อนนอนเรือ ฯ
๑๑๓
๏ บางม่วงคิดม่วงน้องนางฝาน
จัดประจงใส่จานจอกแก้ว
รฦกรศสวายหวานวายโอษฐ์ พี่เอย
เห็นแต่บางม่วงแคล้วพี่คล้อยเรือคลา ฯ
๑๑๔
๏      เมอลไม้ม่วงที่ท้ายทางบาง
เหมือนหนึ่งนามนุชนางม่วงน้อง
พิศผลม่วงกลพางพิศคู่ ถันนา
ยามพี่โลมลูบต้องเต่งเต้าเต็มทรวง ฯ
๑๑๕
๏ ถึงศาลอารักษ์ซ้ายทางจร
เรียมแวะบวงบนวอนเทพยไท้
ตูข้านิราสมรเสมอชีพ นี้นา
ขอฝากสุดสวาดิ์ให้ห่างร้างอันตราย ฯ
๑๑๖
๏ แสนถวิลสุดสวาดิ์เพี้ยงหฤๅไทย พี่เอย
แสนยากยากรักใครเท่าน้อง
แสนทุกข์ทุกข์คราใดฤๅทุกข์ ถึงเลย
แสนโศกสุดโศกพ้องพี่พ้นทนทาน ฯ
๑๑๗
๏ ถึงด่านชาวด่านต้งงตามอง เรือแฮ
ฤๅห่อนเห็นสิ่งของราษฎร์ค้า
ยลเครื่องย่ทเครื่องทองต่างตื่น ตระหนกเอย
เรือวิ่งเรียมหวาดว้าเหว่ว้างวังเวง ฯ
๑๑๘
๏ เห็นตาเหลวปักไว้สำคัญ
คุ้มด่านเผด็จไภยันอย่าข้อง
เรียมแรมนิราศขวัญเนตรลับ เนตรเอย
วานช่วยเกียจกรรป้องศึกชู้ชิงเชย ฯ
๑๑๙
๏ บางใหญ่ใหญ่เท่านี้ไหนปาน
รักพี่ใหญ่ฤประมาณใหญ่แท้
ดินฟ้าทั่วนทีธารใหญ่เท่า ไฉนฤๅ
รักแม่สุดใหญ่แล้ใหญ่ล้ำรำพรร ฯ
๑๒๐
๏ ไคลไคลนาเวศร้อนเรวพาย
พลางพี่คำนึงสายสวาดิ์เศร้า
บเหือดบหายวายวางเทวศ
พายเร่งพี่เร่งเร้ารุ่มร้อนรัญจวน ฯ
๑๒๑
๏ วัดพระอินทร์ชื่ออ้างอินทร์ไตร ตรึงษ์ฤๅ
ฤๅว่าองค์สหัสไนยเศกสร้าง
เรียมถวิลสุดสายใจจิตร์ร่วม รักแม่
อินทร์ช่วยเศกเรียมบ้างคู่น้องครองวัง ฯ
๑๒๒
๏ ยามดึกนึกเสน่ห์น้องนอนครวญ
กำสรดสุดกำศรวญหมื่นไหม้
โอ้นิ่มอนงค์นวลเนานิเวศน์ ไฉนนา
สุขฤทุกข์ขุกไข้ขุ่นข้องหมองกระมล ฯ
๑๒๓
๏ โรงภาษีแต่งต้งงตามตะเกียง
เรียมล่วงเรือมาเคียงแค่บ้าน
ยลหญิงหมอบมุ่งเมียงมือพัด วีนา
เรียมยิ่งแสนโศกสท้านอุระร้างห่างโฉม ฯ
๑๒๔
๏ เห็นแต่เพียงเจ๊กเจ้าภาษี
ยังบ่ขาดนารีนั่งน้อม
เรียมฤๅสัตรีมีอเนกนับ เนืองนา
มานิราศขาดห้ามห้อมห่อนให้หายกระสัน ฯ
๑๒๕
๏ ถึงวัดส้มเกลี้ยงที่กลางทาง
ถวิลเมื่อเที่ยวสวนบางแต่กี้
เคยพาคณานางไปสู่      สวนเอย
เรียมชักชวนชมชี้เก็บส้มสอยแสวง ฯ
๑๒๖
๏ จนสามยามเสศแล้วลืมหลับ
ก่นแต่ข้อนทรวงกลับกลอกกลิ้ง
ดาวเดือนก็เลื่อนลับวลาหก หาวเฮย
ยิ่งทุกข์ถอนฤๅไทยทิ้งทอดแท้ทรมาน ฯ
๑๒๗
๏ เห็นเดือนเตือนจิตร์ให้โหยหา นุชเอย
ยามนิราศสมรมาลับแล้ว
คิดยามเมื่อยังปรากฎสถิตย์ สถานฤๅ
เคยเสนาะห์สำเนียงแก้วเกษน้องนางวอน ฯ
๑๒๘
๏ บางโสนคิดโสนน้อยเรือนงาม
เคยประโคมทุ่มยามค่ำเช้า
มโหรีดุริยางค์ทรามสวาดิ์ฝึก ฝนแม่
เห็นแต่โสนนอนเศร้าสุดเศร้าเรียมคนึง ฯ
๑๒๙
๏ บางเชือกเดอมเชือกคล้องคชสาร
เชือกอยู่ด้าวใดวานสักน้อย
ช่วยพันธ์ผูกรักสมานสมรมิ่ง ไว้แม่
จงอย่าสร่างสวาดิ์ข้อยเคร่าถ้าคืนสม ฯ
๑๓๐
๏ เห็นรักกับจากขึ้นเคียงกัน
ถวิลเช่นจากรักรันทดแท้
รักจากพรากทรวงศัลย์แสนเทวศ
จากรักหนักอกแก้กอบให้เบาไฉน ฯ
๑๓๑
๏ ทางโยงโยงเชือกร้งงเรือจร
เรือก็ล่วงลุขนอนนับร้อย
รักเรียมที่ติดดอนดาลสวาดิ์ อยู่แม่
ไฉนจักฉุดโยงคล้อยเคลื่อนเข้าคลองทรวง ฯ
๑๓๒
๏ อาวรณ์นอนนั่งเศร้ากระสันทรวง
โศกจี่ฤๅดีดวงรด่าวดิ้น
ดูใดยิ่งเตือนตวงเติมแต่ ทุกข์นา
เคยชื่นขาดเชยสิ้นเสื่อมน้ำใจเขษม ฯ
๑๓๓
๏ ลิวลิวลุะแหล่งด้าวศาลา กลางเฮย
เป็นที่พักนาวาออกเข้า
เรือราษฎร์เรียบเรียงรดาดูสนุกนิ์ สนานแฮ
แลบ่ลืมจิตร์เศร้าจากสร้อยสูญเขษม ฯ
๑๓๔
๏ ถวิลศรีสุดาอยู่ว้างไป่วาง ใจนา
ประยุรญาติยังบยกนางนุญาตให้
ฉวยใครแซรกผ่ากลางขอสู่ สมรแม่
เรียมกลับเกลือกเรอศไร้ชีพร้างฤๅคง ฯ
๑๓๕
๏ ถึงดงทิ้งถ่อนไห้โหยหวล
ทิ้งนุชไว้ไป่ควรประหมาทแท้
ยิ่งคิดยิ่งรัญจวนใจจ่อ นุชนา
ใครล่วงลอบลักแล้เล่ห์ล้วงดวงใจ ฯ
๑๓๖
๏ พินิจทิ้งถ่อนต้นตอรอญ
เฉกเช่นไม่ตรีทอนทอดกลิ้ง
ยลอย่างพฤกษดงดอนดาลเทวศ
เหมือนพี่ทิ้งแม่ทิ้งท่อยทิ้งเขษมสอง ฯ
๑๓๗
๏ ย่านซื่อตรหล่งล่งโล้งแลตรง
เหมือนพี่ซื่อต่ออนงค์นุชนั้น
อยู่หลังนุชจงคงสัตย์ซื่อ เรียมนา
ซื่อต่อซื่อสัตย์กั้นเกียจพ้นพาลไภย ฯ
๑๓๘
๏ ลรรลุงเหลืออดกลั้นกัลหาย
รักบ่รางว่างวายครุ่นครั้ง
นอนนั่งนึกเสน่ห์สายสมรสุด สวาดิ์เอย
ครู่หนึ่งพึงหย่อนย้งงหยุดได้ไป่มี ฯ
๑๓๙
๏ ลุลานตากฟ้าฝ่งงนที โน้นนา
ภอรุ่งสุริยรังษีสว่างแจ้ง
ตากฟ้าเช่นตากรวีแสงส่อง อกเอย
อกพี่หิวโหยแห้งห่างน้องหมองทรวง ฯ
๑๔๐
๏ มาดลด่านน่านน้ำนองสาย ชลเอย
ตลาดด่านภาษีนายนอบไหว้
นำเนื่องเครื่องของถวายอเนกนับ สิ่งนา
แฟงฟักผักผลไม้อีกอ้อยตาลหวาน ฯ
             

๑๔๑
๏ รับของคนึงแน่งน้อยอนงค์นวล
แม้แม่มาจักชวนชื่นพร้อง
เป็นเพื่อนสำรวลบำราศ โศกนา
ดูแต่เดียวเหลียวน้องลับหน้าหาหาย ฯ
๑๔๒
๏ เรียมจากจรจวบบ้านบางนาง เกร็งเอย
เกร็งแต่นามนึกบางรูปสร้อย
โฉมแม่พิศอย่างกลางฤๅพ่วง ผอมนา
เกร็งบ่เกร็งร่างน้อยประหนึ่งอ้างนางเกร็ง ฯ
๑๔๓
๏ งามภักตร์งามพิศน้องงามผิว
โฉมแม่งามดุจปลิวจากฟ้า
งามนิ้วหัตถ์จิ๋วมหริวเรียวรัด นาแม่
งามโอษฐ์เมื่ออรอ้าออกเอื้อนสารเสนอ ฯ
๑๔๔
๏ งิ้วรายรายงิ้วเรียดเรียงริม เฉนียรฤๅ
ดอกดั่งศรีทับทิมแถบจ้า
คิดอรอ่าองค์ถนิมภรณ์ผ่อง ผิวเอย
ศรีจับศรีนวลหน้าเนตรหน้าจับศรี ฯ
๑๔๕
๏ แรมชมเรียมแต่ซ้ำชำงือ
รุมรุ่มอุระฤๅสร่างเศร้า
โศกทรวงนี่หนักคือเขาทุ่ม ทับเฮย
รอาอ่อนศรโศกเร้าเร่งร้อนแรงรุม ฯ
๑๔๖
๏ บ้านลาวแลเหลือบล้วนลาวกาว
เต็มแต่ลาวพุงขาวโคตรเชื้อ
พิศภักตร์พวกหญิงลาวประโลมเนตร โหดเฮย
ดูบ่มีอเคื้อคู่เท้าธุลีนาง ฯ
๑๔๗
๏ เล็งลาวรุ่นรุ่นล้วนสาวสาว
ล้วนนุ่งซิ่นถุงลาวจืดจ้าน
หน้าตาก็ขาวขาวเขินเคอะ คะแฮ
ดูเบื่อดูคี่คร้านคร่ำไห้หาสมร ฯ
๑๔๘
๏ สำปทวนประเทศนี้นามคลอง แลฤๅ
คิดใคร่ทำปทวนสนองเสน่ห์สร้อย
ประทับประทวนสองสมสู่ กันนา
รับประทวนธุระน้อยหนึ่งจ้างเขียนประทวน ฯ
๑๔๙
๏ ถวิลทวนคราวครั้งเมื่อสอดสาร เสน่ห์นา
ก่นแต่เที่ยวสื่อสมานห่อนเว้น
ไป่ต่อตอบพจมานสักฉบับ เลยแม่
สงวนศักดิ์ปิดรักเร้นห่อนให้ใครหยาม ฯ
๑๕๐
๏ ท่านานาใกล้หลิ่งแลเห็น
ชนพวกชาวนาเข็นฟ่อนเข้า
คำนึงพอูลเอ็นดูอยู่ เดียวแม่
แม้แม่ตามเรียมเต้าจักชี้ชมนา ฯ
๑๕๑
๏ เรียมเมอลทิวท่งท้องนาทัง ทั่วเอย
เห็นแต่ชาวนาประนังนวดเข้า
มอมแมมคราบไคลตรังตราติด ตนแฮ
ชมห่อนชื่นใจเศร้าเสน่ห์น้องเนาเวียง ฯ
๑๕๒
๏ เรียมลุโรงเล่าแล้วลอยเรือ
กลิ่นเล่ากำจรเจือจิตร์กลุ้ม
เมารักพี่เมาเหลือเมาเล่า อีกเอย
เมามืดดินฟ้าคลุ้มคลั่งเคล้าฤๅคลาย ฯ
๑๕๓
๏ เมาเล่าฮึกฮักให้เฮฮา
เมาถั่วโปมักภาสัปปลี้
เมายศยิ่งยศหาฤๅเหือด หยิ่งแฮ
เมารักเช่นพี่นี้นั่งเพ้อนอนพึม ฯ
๑๕๔
๏ ถับถึงบางแก้วถิ่นธานี
เสนอชื่อนครไชยศรีท่านต้งง
ขวาแขวงแห่งนทีคลองหนึ่ง แวะนา
เรียมเร่งเรือฤๅย้งงด่วนเลี้ยวคลองไคล ฯ
๑๕๕
๏ คลาคลามาเคลื่อนคล้อยคลองบาง แก้วนา
ทุกข์พี่พรากพรัดนางหนุ่มเหน้า
อาวรณ์ห่อนจืดจางใจจี่ โศกเฮย
กลืนแต่ทุกข์แทนเข้าคั่งแค้นคาคอ ฯ
๑๕๖
๏ ดลวัดปากน้ำนึกในกระมล
วานปากน้ำยุบลบอกน้อง
เรียมนิราศนุชมาทนทุกขเทวศ ทวีเอย
ปากบ่รับเรียมพร้องพร่ำเพ้อวอนวาน ฯ
๑๕๗
๏ ยินนามรียกปากน้ำเรียมถวิล
ถึงโอษฐ์อรยุพินพี่พร้อง
งามโอษฐ์ดั่งกินรินไรเรียบ โอษฐ์แม่
ยลแต่ปากน้ำพ้องชื่อเพี้ยงโอษฐ์สมร ฯ
๑๕๘
๏ โพเตี้ยโพแต่ครั้งพญาพาล
มล้างบิดรวายปราณปลูกไว้
มหาโพธิ์ก็พิกาลติดต่ำ เตี้ยแฮ
เหตุจึ่งปรากฏให้หากแจ้งผลกรรม ฯ
๑๕๙
๏ พญาพาลปิตุฆาฎแท้กรรมถึง เห็นเฮย
รักพี่กรรมใดดึงเด็ดมล้าง
ดลเรียมนิรารึงโศกรัก มาแม่
ถวิลบ่เห็นกรรมร้างเร่งเศร้าทรวงกระสัน ฯ
๑๖๐
๏ วัดไทรไทเทพยท้าวเทพา รักษ์ฤๅ
อุ้มอนิรุทธ์สมอุษาสร่างเศร้า
เรียมบำราศสมรอาดูรปรดาษ เดียวพ่อ
เชิญช่วยอุ้มอรเต้าสู่ข้อยคอยสม ฯ
๑๖๑
๏ ถวิลไทอนิรุทธ์ครั้งสมอุษา
เสมอพี่ลอบสมยิหวาหับห้อง
อรุณกลับสู่คฤหาหอมจับ ทรวงเอย
หวลคนึงนุชน้องแนบเนื้อนวลถนอม ฯ
๑๖๒
๏ ลุศาลจ้าวจ้าวอยู่สึงศาล
จ้าวอยู่เดียวกันดารคู่เคล้า
เหมือนเรียมนิราสถานเดียวเด็ด สวาดิ์พ่อ
ไร้นุชสุดสมรเศร้าโศกไหม้ใจหมอง ฯ
๑๖๓
๏ อารักษ์ยังไร้คู่อยู่เดียว
เรียมก็ไร้คู่เหลียวว่างว้าง
ถวิลทุกข์คู่กันเจียวจริงเทียบ เสมอนา
อารักษ์กับเรียมอ้างอกร้าวราวกัน ฯ
๑๖๔
๏ วัดบางแก้วแก้วที่ไหนมี
เห็นแต่ดงเทพีรกเรื้อ
ตรีดอกดุจแพรศรีอรห่ม หอมนา
ถวิลภิรมย์รศเกื้อกอดแก้วกลกัน ฯ
๑๖๕
๏ พิศเทพีที่คุ้งควรแสยง
ยลแต่หนามตามแขยงนึกขยั้น
เทพีที่เมอลแสวงหมายสวาดิ์
พิศใช่เทพีอั้นอกโอ้เทพี ฯ
๑๖๖
๏ วัดสิงห์สิงห์สถิตย์เบื้องโบสถ์บรร
สิงห์ก็สิงสำคัญเขตรคุ้ง
เรียมแรมสถานขวัญเนตรแต่ กายแม่
ใจพี่สิงสู่มุ้งแม่หมั้นสมรเสมอ ฯ
๑๖๗
๏ อาดูรภูลเทวศร้อนอุระครวญ
สุดโศกสุดกำศรวญสุดเศร้า
ดูใดบ่ดูชวนจิตรชื่น เลยเอย
ตั้งแต่จากคู่เคล้าคลั่งคลุ้มสติเฟือน ฯ
๑๖๘
๏ วัดท่าท่าวัดร้างโรยชน
เปลี่ยวบ่เห็นสักคนอาบน้ำ
เหมือนมาเปลี่ยวสกนธ์ทนทุกข์ทับ อกเอย
เปลี่ยวจิตรปลิดทุกข์ปล้ำปลดเปลื้องเปลืองไฉน ฯ
๑๖๙
๏ ใจหนึ่งนึกหน้าบ่ายบูชิต สถูปเอย
ใจหนึ่งคืนหลังคิดสู่ห้อง
บ่ตกบ่ลงจิตรคนึงแน่ ไหนนา
บุญยิ่งสิ่งสนุกนิ์ต้องตัดผ้ายฝ่ายกุศล ฯ
๑๗๐
๏ วัดน้อยเหมือนนึกน้อยใจเอง
ยังบ่สิทธิ์คิดยำเยงญาติน้อง
จะภาพงาเกรงใจจึ่ง โศกนา
จัดโทษใครไป่ต้องนิ่งน้อยใจตน ฯ
๑๗๑
๏ น้อยใจไป่จวบแท้ทางความ
ตรองแต่เดอมดูงามอยู่แล้ว
จักภาสุดาตามใจขัด ขวางนา
ยังบ่เอออวยแก้วติดเต้าตามไฉน ฯ
๑๗๒
๏ ดลท่าพเนียดจับช้างแต่บรรพ์
เหตุ์เพราะตามพังพลันถูกคล้อง
ถวิลวันพี่จรจรัลลอบสู่ สถานแม่
เจียรจะจับเรียมต้องแอบเร้นสูตแฝง ฯ
๑๗๓
๏ สงสารคชเรศร้างกิริณี
ก่อนแต่น้องสุชลตีอกร้อง
เสมอเรียมนิราศศรีศุภลักษณ์ มาแม่
เทวศบ่วาลถวิลน้องอนาถน้ำตากระเด็น ฯ
๑๗๔
๏ ท่าช้างรอยท่าข้ามโขลงตรง นี้นา
พลายเถื่อนติดโขลงหลงโลภเคล้า
คิดคู่กับตูคงเคียงเทียบ กันนา
หลงแต่กามกวนเร้ารุ่มร้อนฤๅโรย ฯ
๑๗๕
๏ เรียมร้างห่างแนบน้องนานวัน
ครวญคร่ำกำศรวญศัลย์คลั่งคลุ้ม
เสมอแม้นคชเมามันมึนสวาดิ์
มันตกอกกลัดกลุ้มจิตรบ้าบ่นกระหึม ฯ
๑๗๖
๏ ห้วยตโกเดอมห้วยเหตุเภตรา
บันทุกตกั่วเกรียบมาล่มไว้
จึ่งบัญญัติสมญาห้วยตะ กั่วแฮ
คนทุกวันนี้ให้ชื่อห้วยตโกแปลง ฯ
๑๗๗
๏ หวลถวิลสุดสวาดิ์เว้นวายสงวน นุชเอย
จักห่วงฤๅจักหวลห่อนรู้
บางยังกลับแปรปรวนแปลงเปลี่ยน ไปแม่
รักเกลือกยักรักชู้เฉกห้วยตโกกลาย ฯ
๑๗๘
๏ มาดลด้าวเขตรบ้านธรรมสา ลาเอย
เป็นที่ประชุมเมธาแต่กี้
แก้วิมุติปัญหาแห่งราช
ชื่ออยู่ชั่วเดี๋ยวนี้เนิ่นช้าถาวร ฯ
๑๗๙
๏ แสนรทมกรมอกอั้นรอิดรอา
เหลือทุกข์ทนเวทนาขัดค้าง
แต่เรียมจากสมรมาวันครึ่ง คืนแม่
ดุจสักสิบปีร้างรักน้องแรมนาน ฯ
๑๘๐
๏ มาเดี่ยวเปลี่ยวอกโอ้อาทวา
คนึงนุชสุดเสนหาห่างห้อง
กี่คืนจักคืนคลายังเย่า เยือนแม่
เชยชิดจุมพิตน้องแนบเนื้อนวลถนอม ฯ
๑๘๑
๏ วงงเวงวิเวกอ้าอางขนาง
วงงคนึงหน่ายนางคู่เคล้า
วงงเอยอีกสักปางใดนิวัต วงงนา
วงงจักเยือกเย็นเช้าค่ำถ้าคืนถึง ฯ
๑๘๒
๏ แว่วแว่วดุเหว่าซั้นเสียงหวาน
ถวิลเมื่อเนาสถิตย์สถานถิ่นน้อง
เคยสดับศับท์รฆังขานกลองพิฆาฎ รุ่งแฮ
เนาป่ากานกซร้องศับท์ทั้งทรวงกระสัน ฯ
๑๘๓
๏ ครวญครวญจวนรุ่งเร้ารังษี สูริยแฮ
เสียงไก่กาสกุณีพร่ำพร้อง
พวกนายไพร่เปรมปรีประสงค์สู่ สถูปเอย
รีบเร่งรี้พลซร้องแซร่สิ้นเสร็จขบวน ฯ
๑๘๔
๏ ชาวช้างผูกช้างเทียบคชสาร
ประทับรับหมอควาญนอบน้อม
เสร็จเสพย์โภชนาหารเสร็จสู่ คชแฮ
เถลิงคเชนทรไพร่ห้อมแห่หน้าหลังหลาม ฯ
๑๘๕
๏ ถวิลรเด่นเทวศร้างหมันหยา
โศกรักแรมจินตหราเร่าร้อน
อนงค์นางสการวาตีสุด สวาดิ์เอย
รฦกรเด่นหมันหยาข้อนอกไห้ดุจเรียม ฯ
๑๘๖
๏ เนาในกูปนั่งกั้งเอองค์
เดินดัดวนัศแดนดงดื่นไม้
มาโพนประพาศพงพฤกษ์พราก สมรนา
เรียมจักชมเฌอให้ชื่นชี้ใครชม ฯ
๑๘๗
๏ แม้แม่มาด้วยพี่เป็นสอง
จักมุ่งจักเมอลมองแมกสล้าง
ชี้ชวนชื่นชมผองพรรลอก หลายแฮ
น้องจักชวนชมบ้างพี่บ้างชมชวน ฯ
๑๘๘
๏ โฉมหอมหอมยิ่งไม้ดอกหอม
กลิ่นยิ่งกลิ่นประยงพยอมรศเร้า
รฦกกลิ่นเกษแก้มตรอมทวีเทวศ ถึงแม่
ฉุนกลิ่นบุหงาภาเศร้าโศกซ้ำกำศรวญ ฯ
๑๘๙
๏ ดอกซ่อนชู้รฤกชู้เอกองค์
ชู้มากหมื่นพันอนงค์ห่อนแม้น
ศรีเสาวภาคย์พิมลทรงสวยสุด สวาดิ์นา
โกรธเท่าโกรธแสนแค้นสบหน้าภาเขษม ฯ
๑๙๐
๏ ลำดวนอวลอบฟุ้งสุคนธ์ขจร
คนึงกลิ่นลำดวนอรอบเนื้อ
นมสวรรค์นึกนมสมรเคยอุ่น อกเอย
หวลภิรมย์รศเกื้อกลิ่นกล้ำลำดวน ฯ
๑๙๑
๏ ชมพยอมชูช่อคล้อยชวนถวิล
กลพยอมอรยุพินพี่พ้อง
โฉมเจ้าดุจกินรินไกรลาศ นาแม่
จากนุชป่านนี้น้องเนื่องน้ำตาคลอ ฯ
๑๙๒
๏ นางแย้มเฉกเช่นแย้มเนาสถาน
เคยหยอกยิ้มแย้มหวานเสนาะถ้อย
ใช้ชิดชอบการงานทุกสิ่ง สรรพ์เอย
ป่านฉะนี้จะละห้อยหอบไห้โหยหา ฯ
๑๙๓
๏ สาวหยุดหยุดคชย้งงยลกล
สาวใช่สาวหยุดยลหย่อมไม้
สาวเอยบ่เห็นหนใดหยุด
จักสั่งสารสาวให้สื่อแจ้งทรวงสาว ฯ
๑๙๔
๏ บุนนากนึกนากน้องเนาวงง
จักละห้อยคอยฟังข่าวเศร้า
นุชเอยใช่จะรังเกียจเกี่ยง ไฉนนา
จงค่อยอยู่เถิดเจ้าจากเจ้าจำใจ ฯ
๑๙๕
๏ อบเชยเชยกลิ่นกล้ำกลางทาง
ถวิลว่าอบเชยนางชื่อนี้
เรียมโดยพนาพลางเชยช่อ เฌอเอย
เชยใช่อบเชยชี้ชื่อพ้องอบเชย ฯ
๑๙๖
๏ ชเอมเฌออ้างชื่อชวนชม
เฉกเช่นเอมเรียมนิยมหยอกเย้า
กรรณ์เกษเนตรขำคมคิดชื่น ใจนา
เอมจักอยู่เดียวเศร้าโศกหน้าตาหมอง ฯ
๑๙๗
๏ สารภีนึกหนุ่มหน้าสารภี
กรรเจียกเพ็ชร์รย้ามีห่วงห้อย
ประดับหูอยู่ตาปีสมภักตร์ แม่แม่
นิ้วนุชใส่แหวนน้อยเพ็ชร์พริ้งเพราตา ฯ
๑๙๘
๏ พิศพรรณสรรพมิ่งไม้ชายดง
ชี้ชื่อพ้องนามอนงค์นิ่งเศร้า
รฦกอรเอกองค์สุดสวาดิ์ ยิ่งนา
ทวีเทวศรุมอุรเร้ารักร้อนรนทรวง ฯ
๑๙๙
๏ เรียมยินมยุเรศร้องเรียกนาง ยูงเอย
ฟังยิ่งเสียวอุรภางค์ผ่าวเศร้า
โอ้แต่สัตว์ยังครางครวญใคร่ กันนา
เสมอพี่แรมเสน่ห์เต้าแต่ตั้งครวญสมร ฯ
๒๐๐
๏ โนรีเนารักน้องรัวเสียง
นกคุ่มแนบคางเคียงคู่เคล้า
รักนานร่ายนางเรียงเรียกเพื่อน
กระจาบบรูจับเปล้าจิกปล้อนพลอนผล ฯ
๒๐๑
๏ โมงเมียงแมกม่วงไม้มองเมียง
ยางเหยียบยอดยางเยียยาตรเยื้อง
คลิ้งโคลงคล่ำคล้าเคลียคลอคล่อ
แอ่นแอ่นอกแอบเอื้องออกเอื้องอึงอล ฯ
๒๐๒
๏ อัญชันแอบซุ่มซุ้มอัญชัน
แก้วจับแก้ววันพรรณดอกแก้ว
หกโหนกิ่งเหียงหันหาหก
นกพริกจับพริกแล้วโลดเต้นตามเมีย ฯ
๒๐๓
๏ ตลิงปลิงปลิงปลูกต้งงรังเรียง
รังแน่นรังนานเสียงแซร่อื้อ
คบแคคับแคเคียงคู่พลอด กันนา
โมงแมกเค้าโมงยื้อยอดโย้โผบิน ฯ
๒๐๔
๏ ตับคาคาคาบแคล้วคลารัง
กระลุมพุกกระลุมภูผังพักพร้อง
กระทุ่มกระทาประนังศัพท์แซร่
แก้วเกาะกิ่งแก้วซร้องสื่อถ้อยแถลงสาร ฯ
๒๐๕
๏ กรรไภยกระพ้อพรั่งหรูลง
หงษ์เห็จหามหาหงษ์แห่งไหล้
รวังไพรร่อนรวังพงไพรเพรียก พร้องแฮ
ไผ่สู่พงไผ่ไซร้ปีกป้อนเหยื่อกัน ฯ
๒๐๖
๏ เห็นวิหคนกไม้ไป่เพลิน
ขับคชย่างบาทสเทินเร่งเร้า
ถึงพนัศพนมเนินสถูปพระ ประทมแม่
ประทับช้างต่างเข้าสู่เบื้องบันได ฯ
๒๐๗
๏ ขึ้นบนลานพระแล้วปรีดา
จุดธูปเทียนบูชาทุกผู้
แต่เรียมนึกปราถนาจักเสี่ยง เทียนเฮย
หวังจิตร์คิดใคร่รู้ร่วมได้ฤๅเสีย ฯ
๒๐๘
๏ จุดเทียนสองเล่มแล้วอธิฐาน
แม้จักได้วิวาหการกับน้อง
จงเรืองโรจเสมอสมานทังคู่ เทียนแฮ
หากห่อนได้ร่วมห้องดับสิ้นแสงสูญ ฯ
๒๐๙
๏ เห็นเทียนเรืองรุ่งเร้ารัศมี
จิตร์ยิ่งเกิดยินดีแก่กล้า
ดั่งได้ร่วมภิรมย์ศรีสุดสวาดิ์ แล้วเอย
ถึงมาทแม้นเร็วช้าเชื่อได้โดยทาย ฯ
๒๑๐
๏ กำสรวลศรีปราชญ์ทั้งทวาทศ มาศฤๅ
อีกพิพิธสาลีพจน์พร่ำพร้อง
ตรังนิราศนรินทร์รจเรขเรื่อง ครวญพ่อ
สารโศกเรียมแรมน้องยิ่งถ้อยทังมวญ ฯ
๒๑๑
๏ ซึ่งนิพนธ์นิราศร้างแรมสถาน
ไป่ลักเทียบคำบุราณอื่นอ้าง
สริรักษรวบรวมสารรจเรข เรื่องเอย
ประสงค์แต่จริงจิตร์ร้างรักให้ขนิษฐ์ฟัง ฯ
๒๑๒
๏ เสร็จเรื่องนิราศร้างแรมสมร
นิพนธ์พจนกลกลอนกล่าวแกล้ง
เฉลิมพระเกียรติอดิศรเกษมกุฎิ สยามแฮ
กับจักให้อรแจ้งเรื่องร้างไปประทม ฯ
๒๑๓
๏ วันเสาร์สิบห้าค่ำศุกปักษ์
กติกมาศมเมียศกนักษัตรอ้าง
พันร้อยฉะนวุติศักราชจวบ จุลนา
ปางแรกบำราศเรอศไร้ไกลสถาน ฯ
๒๑๔
๏ บันลุสิบค่ำขึ้นชิวา วารเฮย
บุษยมาศในพรรษาแสะนั้น
นิพนธ์พจนรศสารานิราศเรื่อง นี้ฤๅ
สัมฤทธิ์สฤษดิฤๅขั้นขวบค้างโทถึง ฯ
๒๑๕
๏ กรมวงษาสนิจผู้ปรีชา เชี่ยวแฮ
เรียบรจเรขกถาเพราะพร้อง
เนืองเนกคณเมธาทุกทั่ว อ่านเอย
ควรจักยอยศซร้องแซ่ซั้นสรรเสริญ ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

ประชุมนิราศคำโคลง รวบรวมโดย พ. ณ. ประมวลมารค พิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๑๓ แพร่พิทยา

เครื่องมือส่วนตัว