|
| | ๏ ครุวารกติกมาเส
|
สุกรอัศสังวัจฉเร | | เหมันต์จตุมีดิถียัง
|
นาฬิกาหึ่งหึ่งถึงยามสอง | | ได้สามบาทคาดฆ้องประโคมสังข์
|
พระมงกุฏปิ่นเกษนิเวศวัง | | ไม่รอรั้งร้างมิ่งพิมานเย็น
|
พระสถานสถิตย์เยือกยินแต่เสียง | | สุรางค์เรียงร่ำเทวศก็เหลือเข็ญ
|
ข้าธุลีมีกรรมจึงจำเปน | | ไม่เห็นเลยหลักภพพิบัติวาย
|
โอ้พระมิ่งโมฬีที่พึ่งโลกย์ | | ประชาโศกแสนละห้อยไม่รู้หาย
|
ฤๅผลเวรสัตว์ทำประจำกาย | | จึงทำลายเจาะจอมกระหม่อมจง
|
พระกฤษฎาดังพรหมอุดมเดช | | ที่ทรงเพศพาหนพระยาหงษ์
|
เหมือนสุริเยศไขศรีรวีวงษ์ | | เมื่อเสร็จทรงกลดเยี่ยมโพยมงาม
|
อรินราชกราบเกรงพระบารเมศ | | มงกุฏเกษสรวมชีพทวีปสาม
|
เคยเปนฉัตรแก้วกั้นสุวรรณวาม | | ดังศศิตามส่องโลกย์สว่างวาว
|
เย็นเกษบารเมศบรมจักร | | ที่พำนักนิ์หายหาชนาหนาว
|
พระอานุภาพเลิศลบจบแดนดาว | | ปัจจาผ่าวอุรพาระอาใจ
|
อันปิ่นราชนิเวศน์วังบวร | | ดัษกรรื่นราบกราบไสว
|
ถึงรัตนังอังวะที่ฦๅไกร | | ก็ปราบได้ด้วยพระฤทธิเดชาชาย
|
เมื่อปางหลังที่นั่งสุรามรินทร์ | | อยุทธสิ้นย่อยยับประหารหาย
|
เพราะไพรินลุยลามตามทำลาย | | กระหม่อมหมายเมืองล่มไม่เล็งคืน
|
บิตุรงทรงนามธรรมิกราช | | ทั้งสามโลกย์เนียรนาศไม่อาจฝืน
|
มายกพระสาสนาภิญญายืน | | ประชาชื่นชมโพธิสมภาร
|
คือล้นกระหม่อมมิ่งมไหวงษ์ | | สองพระองค์เลิศฟ้ามงกุฏสถาน
|
แบ่งภาคจากองค์พระอวตาร | | ผ่านนิเวศน์ปราบดาด้วยบารมี
|
จึงสิ้นยุคสุขกระเษมทั้งสามภพ | | เทพนบน้อมเกษทุกราษี
|
สรรเสริญเดชาทั้งธาตรี | | กรชุลีโปรยทิพย์สุมาลย์มา
|
โอ้พระคุณเคยการุญพำนักนิ์โลก | | ยิ่งวิโยคยามร้อนไม่ผ่อนหา
|
เมื่อดับเข็ญเย็นแล้วทั้งโลกา | | ไยนิราร้างราษฏร์อนาถเนา
|
ปางครั้งทศเศียรอสุรภักตร์ | | เที่ยวหาญหักสามโลกย์ได้โศกเศร้า
|
นารายน์รามตามล้างจึงบางเบา | | บันเทาทุกข์ทั่วเทพดาคืน
|
สุดเกษมไตรภพสบกระสัน | | อภิวันท์ทุกพิมานสำราญรื่น
|
เหมือนปิ่นจอมล้นกระหม่อมเมื่อยังยืน | | หมื่นนิเวศน์วรถวายสุมาลี
|
จึงนิพนธ์แต่หลังไว้หวังสนอง | | ให้จำลองสืบกระษัตริย์บดีศรี
|
หนึ่งครุลหุเคียงแต่เพียงตรี | | ที่ท่านปรีชาช่วยอำนวยกลอน
|
ใครยลอย่าเพ่อเย้ยพึ่งศึกษา | | ใช่เมธาเจนจิตรบัณฑิตย์สอน
|
แสนถวิลถึงพระปิ่นชนากร | | สุดนิวรณ์หวั่นเทวศกำศรวญครวญ
|
ปัญญาหญิงไหนจะพริ้งไม่คล่องเคล้า | | นี่โดยเดานึกคเนอย่าเสสรวล
|
ถ้าชำนาญอ่านเล่นเห็นสำนวน | | ปราชญ์ช่วยปรวนเติมแต้มให้งามคำ
|
เราใช่ราชกระวีที่เฉลียว | | ก็เสียวใจจะไม่คมเหมือนลมขำ
|
อ่อนหัดไม่สันทัดพึ่งลองทำ | | จะริร่ำร่างลงก็งงนาน
|
หนึ่งชุลิตฝ่าธุลีมีพระเดช | | ซึ่งก่อเกษเลื่องโลกย์ระบือหาญ
|
เสด็จสู่สวรรค์เทวพิมาน | | ขอมัสการกรน้อมศิโรดม
|
ถวายต่างทิพมาศมโนแผ้ว | | กราบแล้วจึงลิขิตอักษรสม
|
โอ้พระปิ่นภพร้อนดังเพลิงรม | | ล้มพระโรคแรกประทับจะอับจน
|
ประชวรแต่มาฆมาสเหมันต์ | | ฤดูนั้นเดือนหนาวเปนคราวฝน
|
สิ้นทั้งวังตั้งแต่ทุกข์ระทมทน | | ถึงยุคลมิ่งแก้วเกษกำนัล
|
เสด็จนั่งหนือบัลลังก์วิเชียรช่วง | | ประดับดวงมณฑามาแต่สวรรค์
|
ดารารายพรายพร้อมเข้าล้อมจันทร์ | | เหมือนสุริยันย่างเยี่ยงพระเมรุทอง
|
หมู่อับสรเฝ้ารอบหมอบระดาษ | | พร้มพระราชธิดาประนมสนอง
|
สุวรรณผุดโพธิญาณ์ฝ่าลออง | | ให้แผ่ปองทรงปิดพระปฏิมา
|
พระรัศมีหมองเหมือนเมื่อเดือนดับ | | ลูกวาววับหวั่นทรวงสหัสา
|
พระฉวีเสียศรีสุนทรา | | ชลนานองเนตรตลึงแล
|
ยลอนงค์นุชนางสนมน้อม | | งามลม่อมหมอบผจงดังวงแข
|
เคยรองบาทจะบำราศสวาดิแด | | เหมือนจะแปรปราศจากไม่อยากยล
|
เหนพระไทยจะเปนห่วงหน่วงถนอม | | จะไกลกล่อมขวัญให้ระหวยหน
|
จึงเรียกรศอมฤตยวิเชียรชล | | เสี่ยงกุศลซึ่งสร้างพระโพธิญาณ
|
แม้นชนม์จะอยู่ช่วยบำรุงทวีป | | ขอให้รีบรับน้ำรศาหาร
|
ถ้าชีวิตรนี้จะปลิดไม่เนานาน | | อย่าให้พานสอคล่องนิยมยิน
|
เทวศว่าต่อพระภักรพระชนศรี | | แล้วทวีทรงพระวิตกถวิล
|
พิศฐานเสร็จเสวยวารีริน | | แต่ชั้นกลิ่นกลืนกลับวิบัติเปน
|
พระอาเจียนเวียนประทะอุรหมอง | | จึงตรัสร้องว่าโอ้มิพ้นเข็ญ
|
เคยเปนร่มเกล้าโลกย์ได้อยู่เย็น | | เห็นสุเมรุเอนแล้วจะตรมตรอม
|
สุเรศดังสุรางค์บำเรออินทร์ | | จะไกลกลิ่นกล่อมกลีบมณฑาหอม
|
เคยสงวนนวลเฉลิมเปนเจิมจอม | | ยามถนอมแนบชื่นไม่คืนเคียง
|
แต่ครวญคร่ำน้ำพระเนตรนั้นนองเนตร | | แสนเทวศพร้องเพราะพระสุรเสียง
|
พระสนมรอบร่ำพิไรเรียง | | เคยชุบเลี้ยงจะนิราศพระบาทา
|
จึงดำรัสเรียกเหล่าบุตรีสมร | | ประโลมสอนพ่อจะร้างนิราศา
|
ดวงจิตรฝากชีวิตรพระบิตุลา | | วาศนาหาไม่จงเจียมสกนธ์
|
สมรยากฝากองค์ให้การุญ | | ถ้าพระคุณเคืองเข็ญไม่เปนผล
|
จะพึ่งพ่อเล่าก็พ่อไม่ยืนชนม์ | | ยลแต่บาทนะจงตั้งภักดีตรง
|
หนึ่งพระเสาวนีที่มียศ | | พระธิดาปรากฎมงกุฎหงษ์
|
จงฝากกายนะอย่าหมายหมิ่นทนง | | เจ้าเปนวงษ์จงรักษ์ธุลีลออง
|
ที่นี้ถึงเทพถือโอสถทิพย์ | | ผจงหยิบมาประมูลทูลฉลอง
|
ไม่เสวยเลยให้เวทนาปอง | | จะต้องเนิ่นทรมานรำคาญเคือง
|
สดับตรัสดังมัจจุราชรีบ | | ประหารชีพลูกหายทำลายเบื้อง
|
เมรุมุ่งเคยประจำทวีปเรือง | | ถ้าล่มแล้วจะมิเนืองน้ำตาตาย
|
บ้างข้อนอกร่ำโอ้มิควรเข็ญ | | ดังกระเด็นเศียรเกล้าของเราหาย
|
เคยปราโมทมีศุขทุกวันวาย | | เหมือนสายเนตรจะเปนสายโลหิตกอง
|
ถึงยามเกษมเคยแสนสำเริงรื่น | | กลับสอื้นนึกโอ้มโนหมอง
|
แต่นั้นมาพร้อมหน้าไม่ไกลลออง | | หมายฉลองพระคุณคอยระวัง
|
ผลัดโมงกันไม่ให้คลาดสักบาททุ่ม | | ดังเพลิงรุมร้อนอกวิตกหลัง
|
แต่นั่งยามย่ำฆ้องจนเคาะระฆัง | | ลูกหวังฟังราชกิจจะหนักเบา
|
ปางปิ่นโมฬีทั้งสี่ทวีป | | ดังศศิธรร่อนรีบขึ้นเหลี่ยมเขา
|
เสวยทุกข์มิได้ศุขสถิตย์เนา | | ให้เชิญเอาพระอาการนราพงษ์
|
พอรตินทิวาเวลาสงัด | | ดำรัสร่ำคำหวานละลานหลง
|
ตลึงแลดูนิเวศจังหวัดวง | | ยิ่งแสนทรงพระวิโยคเมื่อยามตรอม
|
ว่าอนิจจังครั้งนี้จะไกลเนตร | | นึกสังเวชก็แต่บุตรสุดถนอม
|
จะพึ่งวงษ์ไม่จงเหมือนบิตุจอม | | จะร่ำโอ้ทูลกระหม่อมนิราคลา
|
พรหมภักตร์พร้อมภักตร์ละห้อยหวล | | แต่นี้นวลนะอย่าโหยละห้อยหา
|
ทั้งพิมานดุสิดาสวรรยา | | ฤๅจะราแรมร้างจากปรางค์ไป
|
แต่พื้นทรงสมญาปราสาทซื่อ | | ประสิทธินามไว้ให้ฦๅพิภพไหว
|
แล้วนึกพระบิตุลายิ่งอาไลย | | จะเปลี่ยวพระไทยจินดานุชาครัน
|
คราวณรงค์เห็นจะทรงดำริห์คิด | | เคยร่วมจิตร่วมคู่เสวตรสวรรค์
|
ร่วมชีวิตรปลิดพรากไปจากกัน | | ร่วมสุวรรณเสวตรฉัตรกระจัดนาม
|
จะภินทนาอยู่เออนาโถ | | จะนึกโอ้ฤๅไม่เอื้อนระคางขาม
|
ฤาจะแสนโศกเทวศถวิลความ | | เปนเพื่อนไร้ในยามกันดารนาน
|
พระเดชขจรนครกระษัตริย์สิ้น | | แต่พื้นผินน้อมศียรหัตถ์ประสาน
|
ถวายเครื่องทิพย์มาศสุมาลย์ | | บรรณาการเนื่องแน่นประนมคม
|
ออกพระนามก็ให้ขามขยาดยศ | | เห็นปรากฎเกียรติเกินพระสยม
|
อาณาราษฎร์ร้องถวายพระพรชม | | จนประถมล่วงพระชนม์นรินทร์
|
ร้อนอาศน์เทวราชอมรเมศร์ | | เทพเทวศทุกวิมานรังสิน
|
สิบหกชั้นช่อฟ้าดุสิตอินทร์ | | ประชุมผินผันย้ายราษีจร
|
เข้าสถิตย์สิงสู่กำภูฉัตร | | กระจัดแจ้งออกด้วยเทพสังหร
|
หวังให้เลื่องบารมินปิ่นนคร | | กระฉ่อนภพจบหล้าลือขจาย
|
มหัศจรรย์โลกย์ลั่นกำปนาท | | สุธาวาศไหวกระทบคูหาหาย
|
สุเมรุเอียงแทบจะเอนอันตราย | | สายสินธุ์เปนละลอกกระฉอกฟอง
|
พระสมุทเพียงจะทรุดไม่หยุดคลื่น | | ภุชชงศ์ตื่นเผ่นน้ำผันผยอง
|
ประทุมเกตุอาเภทดังสีทอง | | แสงส่องยลปลาดไม่อาจแล
|
เมฆหมอกออกมัวไปทั่วทวีป | | พิรุณรีบโปรยกระสินธุ์รินกระแส
|
ฟ้าดินวิปริตเห็นผิดแปร | | ทีนี้แน่แล้วพระจอมกระหม่อมเวียง
|
ทั้งโพยมก็พยับพยุฝน | | ดูฤกษ์บนเทเวศร์ถวายเสียง
|
สุนีฟาดอากาศก้องสำเนียง | | ดังเปลื่องเปลี้ยงฟ้าลั่นคำรามรน
|
วายุพาพัดปาริกชาติ | | ก็พินาศพังรเนนไม่ตั้งต้น
|
เสวตรฉัตรหักยับระยำยล | | ฤๅเทพดลบันดาลฟ้ามาเชิญ
|
วิหคร้องในห้องเวหาหาว | | เหมือนเสียงสาวสมรอัปศรเหิน
|
เหมือนศุลีรอยชลอพิมานเกิน | | คอยพระราชดำเนินเสด็จคลา
|
บังเกิดมีองค์พระศรีมหาโพธิ | | นิโรธร่มฝูงสัตวมนัศา
|
ก็แรมร่วงล่วงลับอยู่โรยรา | | กลับระย้ายอดลัดระบัดใบ
|
เมื่อจวนจอมรพีพงษ์ทิวงคต | | โพธิ์สลดเอนล้มระทมไข้
|
ดังมีจิตรคิดแสนเทวศใจ | | ดังอาไลยในเบื้องบดินทร์วาย
|
ฦๅล้นกระหม่อมจอมดาวดึงษ์เดช | | แสดงเหตุแจ้งอัตถ์กระจัดถวาย
|
ว่าโพธิ์ทองหมองแล้วจะอันตราย | | เมื่อลูกหมายเหมือนพระจอมโลกากร
|
ด้วยพระปิ่นจรรโลงอยุทธเยศ | | ทุกประเทศเกรงจบสยบสยอน
|
จึงสำแดงบารเมศฦๅขจร | | ว่าร่มร้อนเกล้าโลกย์เคยอยู่เย็น
|
|
|
| | |
|