นิพพานวังหน้า
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
ล (→ข้อมูลเบื้องต้น) |
||
แถว 5: | แถว 5: | ||
[[หมวดหมู่: โคลง]] | [[หมวดหมู่: โคลง]] | ||
[[หมวดหมู่: กาพย์]] | [[หมวดหมู่: กาพย์]] | ||
- | '''พระนิพนธ์:'''[[ | + | '''พระนิพนธ์:''' [[พระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร]] |
==เรื่องนิพานวังน่า== | ==เรื่องนิพานวังน่า== |
การปรับปรุง เมื่อ 11:47, 26 สิงหาคม 2556
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
พระนิพนธ์: พระองค์เจ้ากัมพุชฉัตร
เรื่องนิพานวังน่า
๏ | นิ | ราศบาทเบื้องโอ้ | โมฬี | |||||
พาน | จะโศกทั้งศรี | อยุทธเยศ | ||||||
วัง | เย็นสงัดตี | อกร่ำ ก่ำเอย | ||||||
น่า | มุขพิมานเมศร์ | เมื้อมิ่งแรมหมอง ฯ | ||||||
๏ | แต่ | พระจอมมงกุฎโลกย์ | แรมวัง | |||||
แผ่น | พิภพเพียงพัง | ม้วยไหม้ | ||||||
ดิน | โดยอดูรหวัง | หวั่นเทวศ | ||||||
ต้น | แต่ตีทรวงให้ | ห่อนเว้นวันเสบย ฯ | ||||||
๏ วงษ์อินท์กรุงธิปัตเอก | อิศรา | ||
หน่อมงกุฎอยุทธยา | เลื่องโลกย์ | ||
สืบสายกรมฝ่ายน่า | แรมนิราศ | ||
ทรงคิดคราววิโยค | พระบิดุร้างสู่สวรรค์ ฯ | ||
๏ พระปิ่นอยุทธเยศเจ้า | ทรงธรรม์ | ||
นุภาพปราบมนุษย์สวรรค์ | ฟากฟ้า | ||
สี่ทวีปถวายบรร | ณาน้อม | ||
เกรงบพิตรพระจอมหล้า | โลกย์ลั่นฦๅแขยง ฯ | ||
๏ เคยเสด็จออกแสนเส | หนางค์ | ||
ร้อยเอ็ดโอนอุตมางค์ | นอบน้อม | ||
พระฤทธิ์เรืองปานปาง | สุริเยศ | ||
ทั้งหมื่นกรุงสพรั่งพร้อม | กราบเกล้าเศียรสยอง ฯ | ||
๏ พระคุณเฮยแต่นี้เงียบ | วังเย็น | ||
เคยเผยสีหเหน | ลูกไห้ | ||
ยามศุขกลับไปเปน | ทุกข์เทวศ | ||
คิดฤๅวายวางไข้ | จิตรโอ้อาดูร ฯ | ||
๏ พระจอมมกุฎสามภพไห้ | สั่งเวียง | ||
พระสนมเสนาะเรียง | ร่ำร้อง | ||
หมู่มุขมนตรีเคียง | ครวญคร่ำ | ||
เสียงพิฦกลั่นก้อง | โศกแส้วังโหย ฯ | ||
๏ พระญาณยอดแก้วเฮ่ย | ยังหัน | ||
เสร็จมาเมื้อเมืองสวรรค์ | สู่ฟ้า | ||
ฤๅเคียดเสน่ห์ผัน | หุยหุง เสียเนอ | ||
ม้วยแต่นับโมงถ้า | ทุกค่ำคืนหาย ฯ | ||
๏ พระร่มโพธิ์เกษมิ่ง | กระหม่อมเฮย | ||
ยามกระเษมแสนเสวย | ศุขภาพ | ||
สุรางค์บำเรอเคย | สพรั่ง พร้อมแฮ | ||
เรียงรอบศิโรราบ | ราชร้างแรมโฉม ฯ | ||
๏ โอ้จอมมงกุฎเกล้า | จากจร | ||
กรมพระราชวังบวร | แรมร้าง | ||
ลูกทุ่มทรวงอาทร | เทวศไห้ | ||
แสนทุกข์บวายหว้าง | กี่เหมื้อจักเห็น | ||
๏ ย่ำยามสดับเสียง | ประโคมวัง | ||
ดุริยางค์เสนาะดัง | พาทย์ฆ้อง | ||
ทีนี้จะเงียบแตรสังข์ | สูญถนัด | ||
ฟังแต่เสียงสกุณก้อง | กรู่แก้วเกริ่นขัน ฯ | ||
๏ พระคุณเอ๋ยเคยทรงสร้าง | สมภาร | ||
ปราถนาพระโพธิญาณ | ยอดแก้ว | ||
ออกโอษฐ์ขอคชทการ | นำสัตว์ | ||
จากบ่วงสงสารแคล้ว | คลาศพ้นพลันเข็ญ ฯ | ||
๏ ครุวารกติกมาเส | |||
สุกรอัศสังวัจฉเร | เหมันต์จตุมีดิถียัง | ||
นาฬิกาหึ่งหึ่งถึงยามสอง | ได้สามบาทคาดฆ้องประโคมสังข์ | ||
พระมงกุฏปิ่นเกษนิเวศวัง | ไม่รอรั้งร้างมิ่งพิมานเย็น | ||
พระสถานสถิตย์เยือกยินแต่เสียง | สุรางค์เรียงร่ำเทวศก็เหลือเข็ญ | ||
ข้าธุลีมีกรรมจึงจำเปน | ไม่เห็นเลยหลักภพพิบัติวาย | ||
โอ้พระมิ่งโมฬีที่พึ่งโลกย์ | ประชาโศกแสนละห้อยไม่รู้หาย | ||
ฤๅผลเวรสัตว์ทำประจำกาย | จึงทำลายเจาะจอมกระหม่อมจง | ||
พระกฤษฎาดังพรหมอุดมเดช | ที่ทรงเพศพาหนพระยาหงษ์ | ||
เหมือนสุริเยศไขศรีรวีวงษ์ | เมื่อเสร็จทรงกลดเยี่ยมโพยมงาม | ||
อรินราชกราบเกรงพระบารเมศ | มงกุฏเกษสรวมชีพทวีปสาม | ||
เคยเปนฉัตรแก้วกั้นสุวรรณวาม | ดังศศิตามส่องโลกย์สว่างวาว | ||
เย็นเกษบารเมศบรมจักร | ที่พำนักนิ์หายหาชนาหนาว | ||
พระอานุภาพเลิศลบจบแดนดาว | ปัจจาผ่าวอุรพาระอาใจ | ||
อันปิ่นราชนิเวศน์วังบวร | ดัษกรรื่นราบกราบไสว | ||
ถึงรัตนังอังวะที่ฦๅไกร | ก็ปราบได้ด้วยพระฤทธิเดชาชาย | ||
เมื่อปางหลังที่นั่งสุรามรินทร์ | อยุทธสิ้นย่อยยับประหารหาย | ||
เพราะไพรินลุยลามตามทำลาย | กระหม่อมหมายเมืองล่มไม่เล็งคืน | ||
บิตุรงทรงนามธรรมิกราช | ทั้งสามโลกย์เนียรนาศไม่อาจฝืน | ||
มายกพระสาสนาภิญญายืน | ประชาชื่นชมโพธิสมภาร | ||
คือล้นกระหม่อมมิ่งมไหวงษ์ | สองพระองค์เลิศฟ้ามงกุฏสถาน | ||
แบ่งภาคจากองค์พระอวตาร | ผ่านนิเวศน์ปราบดาด้วยบารมี | ||
จึงสิ้นยุคสุขกระเษมทั้งสามภพ | เทพนบน้อมเกษทุกราษี | ||
สรรเสริญเดชาทั้งธาตรี | กรชุลีโปรยทิพย์สุมาลย์มา | ||
โอ้พระคุณเคยการุญพำนักนิ์โลก | ยิ่งวิโยคยามร้อนไม่ผ่อนหา | ||
เมื่อดับเข็ญเย็นแล้วทั้งโลกา | ไยนิราร้างราษฏร์อนาถเนา | ||
ปางครั้งทศเศียรอสุรภักตร์ | เที่ยวหาญหักสามโลกย์ได้โศกเศร้า | ||
นารายน์รามตามล้างจึงบางเบา | บันเทาทุกข์ทั่วเทพดาคืน | ||
สุดเกษมไตรภพสบกระสัน | อภิวันท์ทุกพิมานสำราญรื่น | ||
เหมือนปิ่นจอมล้นกระหม่อมเมื่อยังยืน | หมื่นนิเวศน์วรถวายสุมาลี | ||
จึงนิพนธ์แต่หลังไว้หวังสนอง | ให้จำลองสืบกระษัตริย์บดีศรี | ||
หนึ่งครุลหุเคียงแต่เพียงตรี | ที่ท่านปรีชาช่วยอำนวยกลอน | ||
ใครยลอย่าเพ่อเย้ยพึ่งศึกษา | ใช่เมธาเจนจิตรบัณฑิตย์สอน | ||
แสนถวิลถึงพระปิ่นชนากร | สุดนิวรณ์หวั่นเทวศกำศรวญครวญ | ||
ปัญญาหญิงไหนจะพริ้งไม่คล่องเคล้า | นี่โดยเดานึกคเนอย่าเสสรวล | ||
ถ้าชำนาญอ่านเล่นเห็นสำนวน | ปราชญ์ช่วยปรวนเติมแต้มให้งามคำ | ||
เราใช่ราชกระวีที่เฉลียว | ก็เสียวใจจะไม่คมเหมือนลมขำ | ||
อ่อนหัดไม่สันทัดพึ่งลองทำ | จะริร่ำร่างลงก็งงนาน | ||
หนึ่งชุลิตฝ่าธุลีมีพระเดช | ซึ่งก่อเกษเลื่องโลกย์ระบือหาญ | ||
เสด็จสู่สวรรค์เทวพิมาน | ขอมัสการกรน้อมศิโรดม | ||
ถวายต่างทิพมาศมโนแผ้ว | กราบแล้วจึงลิขิตอักษรสม | ||
โอ้พระปิ่นภพร้อนดังเพลิงรม | ล้มพระโรคแรกประทับจะอับจน | ||
ประชวรแต่มาฆมาสเหมันต์ | ฤดูนั้นเดือนหนาวเปนคราวฝน | ||
สิ้นทั้งวังตั้งแต่ทุกข์ระทมทน | ถึงยุคลมิ่งแก้วเกษกำนัล | ||
เสด็จนั่งหนือบัลลังก์วิเชียรช่วง | ประดับดวงมณฑามาแต่สวรรค์ | ||
ดารารายพรายพร้อมเข้าล้อมจันทร์ | เหมือนสุริยันย่างเยี่ยงพระเมรุทอง | ||
หมู่อับสรเฝ้ารอบหมอบระดาษ | พร้มพระราชธิดาประนมสนอง | ||
สุวรรณผุดโพธิญาณ์ฝ่าลออง | ให้แผ่ปองทรงปิดพระปฏิมา | ||
พระรัศมีหมองเหมือนเมื่อเดือนดับ | ลูกวาววับหวั่นทรวงสหัสา | ||
พระฉวีเสียศรีสุนทรา | ชลนานองเนตรตลึงแล | ||
ยลอนงค์นุชนางสนมน้อม | งามลม่อมหมอบผจงดังวงแข | ||
เคยรองบาทจะบำราศสวาดิแด | เหมือนจะแปรปราศจากไม่อยากยล | ||
เหนพระไทยจะเปนห่วงหน่วงถนอม | จะไกลกล่อมขวัญให้ระหวยหน | ||
จึงเรียกรศอมฤตยวิเชียรชล | เสี่ยงกุศลซึ่งสร้างพระโพธิญาณ | ||
แม้นชนม์จะอยู่ช่วยบำรุงทวีป | ขอให้รีบรับน้ำรศาหาร | ||
ถ้าชีวิตรนี้จะปลิดไม่เนานาน | อย่าให้พานสอคล่องนิยมยิน | ||
เทวศว่าต่อพระภักรพระชนศรี | แล้วทวีทรงพระวิตกถวิล | ||
พิศฐานเสร็จเสวยวารีริน | แต่ชั้นกลิ่นกลืนกลับวิบัติเปน | ||
พระอาเจียนเวียนประทะอุรหมอง | จึงตรัสร้องว่าโอ้มิพ้นเข็ญ | ||
เคยเปนร่มเกล้าโลกย์ได้อยู่เย็น | เห็นสุเมรุเอนแล้วจะตรมตรอม | ||
สุเรศดังสุรางค์บำเรออินทร์ | จะไกลกลิ่นกล่อมกลีบมณฑาหอม | ||
เคยสงวนนวลเฉลิมเปนเจิมจอม | ยามถนอมแนบชื่นไม่คืนเคียง | ||
แต่ครวญคร่ำน้ำพระเนตรนั้นนองเนตร | แสนเทวศพร้องเพราะพระสุรเสียง | ||
พระสนมรอบร่ำพิไรเรียง | เคยชุบเลี้ยงจะนิราศพระบาทา | ||
จึงดำรัสเรียกเหล่าบุตรีสมร | ประโลมสอนพ่อจะร้างนิราศา | ||
ดวงจิตรฝากชีวิตรพระบิตุลา | วาศนาหาไม่จงเจียมสกนธ์ | ||
สมรยากฝากองค์ให้การุญ | ถ้าพระคุณเคืองเข็ญไม่เปนผล | ||
จะพึ่งพ่อเล่าก็พ่อไม่ยืนชนม์ | ยลแต่บาทนะจงตั้งภักดีตรง | ||
หนึ่งพระเสาวนีที่มียศ | พระธิดาปรากฎมงกุฎหงษ์ | ||
จงฝากกายนะอย่าหมายหมิ่นทนง | เจ้าเปนวงษ์จงรักษ์ธุลีลออง | ||
ที่นี้ถึงเทพถือโอสถทิพย์ | ผจงหยิบมาประมูลทูลฉลอง | ||
ไม่เสวยเลยให้เวทนาปอง | จะต้องเนิ่นทรมานรำคาญเคือง | ||
สดับตรัสดังมัจจุราชรีบ | ประหารชีพลูกหายทำลายเบื้อง | ||
เมรุมุ่งเคยประจำทวีปเรือง | ถ้าล่มแล้วจะมิเนืองน้ำตาตาย | ||
บ้างข้อนอกร่ำโอ้มิควรเข็ญ | ดังกระเด็นเศียรเกล้าของเราหาย | ||
เคยปราโมทมีศุขทุกวันวาย | เหมือนสายเนตรจะเปนสายโลหิตกอง | ||
ถึงยามเกษมเคยแสนสำเริงรื่น | กลับสอื้นนึกโอ้มโนหมอง | ||
แต่นั้นมาพร้อมหน้าไม่ไกลลออง | หมายฉลองพระคุณคอยระวัง | ||
ผลัดโมงกันไม่ให้คลาดสักบาททุ่ม | ดังเพลิงรุมร้อนอกวิตกหลัง | ||
แต่นั่งยามย่ำฆ้องจนเคาะระฆัง | ลูกหวังฟังราชกิจจะหนักเบา | ||
ปางปิ่นโมฬีทั้งสี่ทวีป | ดังศศิธรร่อนรีบขึ้นเหลี่ยมเขา | ||
เสวยทุกข์มิได้ศุขสถิตย์เนา | ให้เชิญเอาพระอาการนราพงษ์ | ||
พอรตินทิวาเวลาสงัด | ดำรัสร่ำคำหวานละลานหลง | ||
ตลึงแลดูนิเวศจังหวัดวง | ยิ่งแสนทรงพระวิโยคเมื่อยามตรอม | ||
ว่าอนิจจังครั้งนี้จะไกลเนตร | นึกสังเวชก็แต่บุตรสุดถนอม | ||
จะพึ่งวงษ์ไม่จงเหมือนบิตุจอม | จะร่ำโอ้ทูลกระหม่อมนิราคลา | ||
พรหมภักตร์พร้อมภักตร์ละห้อยหวล | แต่นี้นวลนะอย่าโหยละห้อยหา | ||
ทั้งพิมานดุสิดาสวรรยา | ฤๅจะราแรมร้างจากปรางค์ไป | ||
แต่พื้นทรงสมญาปราสาทซื่อ | ประสิทธินามไว้ให้ฦๅพิภพไหว | ||
แล้วนึกพระบิตุลายิ่งอาไลย | จะเปลี่ยวพระไทยจินดานุชาครัน | ||
คราวณรงค์เห็นจะทรงดำริห์คิด | เคยร่วมจิตร่วมคู่เสวตรสวรรค์ | ||
ร่วมชีวิตรปลิดพรากไปจากกัน | ร่วมสุวรรณเสวตรฉัตรกระจัดนาม | ||
จะภินทนาอยู่เออนาโถ | จะนึกโอ้ฤๅไม่เอื้อนระคางขาม | ||
ฤาจะแสนโศกเทวศถวิลความ | เปนเพื่อนไร้ในยามกันดารนาน | ||
พระเดชขจรนครกระษัตริย์สิ้น | แต่พื้นผินน้อมศียรหัตถ์ประสาน | ||
ถวายเครื่องทิพย์มาศสุมาลย์ | บรรณาการเนื่องแน่นประนมคม | ||
ออกพระนามก็ให้ขามขยาดยศ | เห็นปรากฎเกียรติเกินพระสยม | ||
อาณาราษฎร์ร้องถวายพระพรชม | จนประถมล่วงพระชนม์นรินทร์ | ||
ร้อนอาศน์เทวราชอมรเมศร์ | เทพเทวศทุกวิมานรังสิน | ||
สิบหกชั้นช่อฟ้าดุสิตอินทร์ | ประชุมผินผันย้ายราษีจร | ||
เข้าสถิตย์สิงสู่กำภูฉัตร | กระจัดแจ้งออกด้วยเทพสังหร | ||
หวังให้เลื่องบารมินปิ่นนคร | กระฉ่อนภพจบหล้าลือขจาย | ||
มหัศจรรย์โลกย์ลั่นกำปนาท | สุธาวาศไหวกระทบคูหาหาย | ||
สุเมรุเอียงแทบจะเอนอันตราย | สายสินธุ์เปนละลอกกระฉอกฟอง | ||
พระสมุทเพียงจะทรุดไม่หยุดคลื่น | ภุชชงศ์ตื่นเผ่นน้ำผันผยอง | ||
ประทุมเกตุอาเภทดังสีทอง | แสงส่องยลปลาดไม่อาจแล | ||
เมฆหมอกออกมัวไปทั่วทวีป | พิรุณรีบโปรยกระสินธุ์รินกระแส | ||
ฟ้าดินวิปริตเห็นผิดแปร | ทีนี้แน่แล้วพระจอมกระหม่อมเวียง | ||
ทั้งโพยมก็พยับพยุฝน | ดูฤกษ์บนเทเวศร์ถวายเสียง | ||
สุนีฟาดอากาศก้องสำเนียง | ดังเปลื่องเปลี้ยงฟ้าลั่นคำรามรน | ||
วายุพาพัดปาริกชาติ | ก็พินาศพังรเนนไม่ตั้งต้น | ||
เสวตรฉัตรหักยับระยำยล | ฤๅเทพดลบันดาลฟ้ามาเชิญ | ||
วิหคร้องในห้องเวหาหาว | เหมือนเสียงสาวสมรอัปศรเหิน | ||
เหมือนศุลีรอยชลอพิมานเกิน | คอยพระราชดำเนินเสด็จคลา | ||
บังเกิดมีองค์พระศรีมหาโพธิ | นิโรธร่มฝูงสัตวมนัศา | ||
ก็แรมร่วงล่วงลับอยู่โรยรา | กลับระย้ายอดลัดระบัดใบ | ||
เมื่อจวนจอมรพีพงษ์ทิวงคต | โพธิ์สลดเอนล้มระทมไข้ | ||
ดังมีจิตรคิดแสนเทวศใจ | ดังอาไลยในเบื้องบดินทร์วาย | ||
ฦๅล้นกระหม่อมจอมดาวดึงษ์เดช | แสดงเหตุแจ้งอัตถ์กระจัดถวาย | ||
ว่าโพธิ์ทองหมองแล้วจะอันตราย | เมื่อลูกหมายเหมือนพระจอมโลกากร | ||
ด้วยพระปิ่นจรรโลงอยุทธเยศ | ทุกประเทศเกรงจบสยบสยอน | ||
จึงสำแดงบารเมศฦๅขจร | ว่าร่มร้อนเกล้าโลกย์เคยอยู่เย็น | ||
ครั้งนี้จะเสด็จสู่สวรรคต | ก็ปรากฏอัศจรรย์จะให้เห็น | ||
นิจาโอัอกเอ๋ยมิเคยเปน | จะเกิดเข็ญูแน่แล้วสุชลริน | ||
บัญูชรวายุสถานอัมเรศ | ทั้งพิมานพรหเมศนรังสิน | ||
เลร็จศุขจตุรมุขพระแกลยิน | เยยดังพิณพาทย์เพลงบรรเลงกลอน | ||
ไฉนหมองกลับร้องสำเนียงโหย | อดูรโดยพระมิ่งอดิศร | ||
แต่พระที่นั่งดังภินทนาวรณ์ | นี่ฤๅเราจะมิข้อนอุระครวญ | ||
ซรอยเทพยดารักษาวัง | ถวิลหวังบริรักษ์แรมสงวน | ||
เคยรองมุลิกานิรานวล | รเหยหวลอาไลยธุลีลออง | ||
มหัศเหดุใหัเทวคทวีร่ำ | ยิ่งกลืนระกำกอบกินสุชลหมอง | ||
สารพัดจะวิบัติบังเกิดปอง | ชวนกันพร้องพร่ำโอ้แต่นี้เรา | ||
อันฉัตรแก้วร่มเกษเฉลิมโลกย์ | เห็นวิโยครัศมีมณีเศร้า | ||
เคยเรืองแสงส่องวามเห็นงามเพรา | เสมอเขาพระสุเมรุเอนทำลาย | ||
สุกรปักษ์เหมันติกามาค | เสร็จปำราศเอกานิราหาย | ||
กำสรดสั่งยังวิหารอารามพราย | ถวายกรวอนทูลพระชินวงษ์ | ||
มณฑปดังจุฬามณีสวรรค์ | พระเพลิงหั่นล้างใหัเปนผุยผง | ||
พึ่งทรงสรัางฤๅจะรัางไปเอองค์ | จะชีพจงคตสิ้นเสียก่อนกาล | ||
สถิตย์เถิดลาแลัวพระชินศรี | ชุลีหัตถ์ไห้ร่ำด้วยคำหวาน | ||
พระวรรณโรครึงรนไม่ทนทาน | ทรมานนานเนิ่นก็เกินแรง | ||
ประชวรซูบผิดพระรูปร่ำเทวศ | ชลเนตรนองภักตร์ชักพระแสง | ||
จะล้างองศ์ลงใหัวางเสียกลางแปลง | โอรสแย่งเคียงยุดพระกรกุม | ||
อนิจาอาดูรแล้วทูลหัาม | จงโปรดตามอย่าเพ่อทอนพระชนม์ทุ่ม | ||
พระเป็นที่ร่มฉัตรสัตว์ประชุม | ค่อยเหือดกลุ้มพระอุระสบายคลาย | ||
กลับสู่พระนิเวศน์นิวาศสถาน | ถีงพระทวารสั่งเสร็จพระไทยหาย | ||
โอ้เวียงเอ๋ยเคยเกษมเปรมปราย | ประมาณหมายแม่นมิ่งพิมานอินทร์ | ||
ทีนี้จะเงียบเหงาเย็นเปนวังร้าง | ดำรัสพลางทอดถอนฤทัยถวิล | ||
แต่ครรไลรอบราชวังนรินทร์ | แล้วก็ผินเผยผันพระบัณฑูร | ||
ว่าอนิจาครั้งนี้จะนิราศ | เคยเอนอาศน์ปัจฐรณ์จะสิ้นสูญู | ||
พระภักตร์หมางหมองเศร้าด้วยอาดูร | ภูลเทวศทุกทิวานิจากรรม | ||
จึงเอื้อนเทวบัณฑูรสั่งสนม | ต่างประนมหัตถ์รับพิไรร่ำ | ||
จงค่อยอยู่เถิดวิบากจะจากจำ | น้ำพระเนตรอาบชลธารนอง | ||
ตรัสสั่งวสันดรพิมานแก้ว | จะลาแล้วแรมรัางอย่าหมางหมอง | ||
เคยสำราญูเนาสถานพิมานทอง | จะไกลห้องทิพเยศนิเวศน์วัง | ||
นิเวศน์เวียงยินแต่เสียงสนมโศก | เสน่ห์แสนสุดวิโยคไม่วายหวัง | ||
ไม่เว้นว่างนางในไห้ประดัง | ประดาหวลครวญตั้งตลอดปี | ||
แต่ปางหลังครั้งเบื้องบรเมศร์ | บรมบาททุเรศนิราหนี | ||
นิราศร้างแสนสุรางคเทพี | เทพินมีแต่ตีอุระกรม | ||
อุราเกรียมเทียมแทบไคลทับ | ศิลาทุ่มทรวงคับด้วยทุกข์ถม | ||
ทุกข์ปะทะถึงบดินทร์สุรินทร์รมย์ | สุเรศร้างจะระบมอารมณ์โรย | ||
อารามร่ำจำจากจอมนิเวศน์ | จึงนิวรณ์อ่อนเกษถวิลโหย | ||
ถวิลหาถีงฝ่าลอองโอย | ลอายอาบเนตรโกยแต่กองชล | ||
แต่การชื่นฝืนใจใม่มีศุข | มาน่ามุขเหงาเงียบละห้อยหน | ||
ละห้อยหวลล้วนลางพิไรรน | พิลาปแล้วจะไม่ยลยุคลคืน | ||
ยิ่งฆ้องค่ำย่ำสนธยาหมอง | ทเยศหมางห่างห้องหวลสอื้น | ||
โหยสอึกนึกอนาถสวาดิกลืน | เสวยทุกข์ไม่ชื่นสักนาฬิกา | ||
นาฬิกาลฆ้องขานประจวบทุ่ม | สุชลชุ่มเนตรซับกับภูษา | ||
มิไดัเยื้อนเบือนเบิกสักเวลา | ชลนาดังสายพิรุณโปรย | ||
จึงโศกสั่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ | ว่าแต่วันนี้จะลาระหาโหย | ||
เคยจำเริญเมาฬีสวัสดิ์โดย | โอ้จะโอยโอษฐร่ำระกำครวญ | ||
ถีงเกยเคยปรัทับพระยานุมาศ | แล้วลีลาศตามท้องวิถีฉนวน | ||
เทพบุตรนำน่าสง่าควร | กระบวนแห่แล่ล้วนประนมเรียง | ||
บ้างก็เชิญเครึ่องสูงมยุรฉัตร | แน่นขนัดแตรสังข์ประดังเสียง | ||
วรเทพมลายูเปนคู่เคียง | เหมือนอิเหนาเข้าเวียงนาดกรมา | ||
ล้วนกุมกฤชกรายเยี้องชำเลืองคม | ดูสวยสมเมื่อมะงุมมะงาหรา | ||
ฤๅปันหยีที่มาปลอมจอมชวา | งามสง่าปางก่อนบ่ห่อนมี | ||
ฝูงอนงค์ถือทิพย์ประทุเมศ | ดังสุเรศแรมฟัาจากราษี | ||
ที่เดินถัดเชิญพัชนีวี | เหมือนลักษมีแบ่งภาคจากนารายน์ | ||
นางถือพระแส้แลเลี่อนลอยโพยม | งามโฉมดังจะล่องละลิ่วหาย | ||
นางเชิญพระแสงแต่งกรีดกระบวนกราย | เสมอหมายเหมือนอุเมศครรไลลง | ||
ที่เชิญเครื่องค่อยเยื้องมาเจียนจริต | เมื่อพินิจดังนางสุรางค์หงษ์ | ||
อันแห่น่ากุมารีมีพงษ์ | ล้วนทรงเครื่องประดับสำหรับกาย | ||
ถือดอกไม้ทิพมณฑาสวรรค์ | ดังเทวัญว่ายเมฆลงมาถวาย | ||
กรประนมสมภักตร์ประพริ้มพราย | ฝรั่งรายเดินคู่ก็ดูงาม | ||
อันเกณฑ์แห่แลสล้างดังนางเขียน | ก็หันเวียนวงรอบคำรบสาม | ||
กระบวนนำพฤฒาราชกระวีพราหมณ์ | เคียงตามโปรยเจียนวิเชียรวรรณ | ||
อันฝ่ายหลังล้วนฝูงสนมแน่น | ประหนึ่งแสนกัญูญามแต่สวรรค์ | ||
ดังอับศรจรจากพิมานจันทร์ | พระกำนัลนางสระละออองค์ | ||
บรรดาหมู่มนตรีที่มีหน้า | ก็ตัองมาตามเสด็จโดยประสงค์ | ||
พระโอรสรับเครื่องกุภัณฑ์ทรง | ดังอินทร์องค์ทรงเอราวรรณจร | ||
เสด็จพระราซดำเนินดูสง่า | ดังนราหน่อนารายน์เมื่อกรายศร | ||
อันเขาแก้วดังแก้วคิรินทร | เทียมนครไกรลาศศุลีฦๅ | ||
สงสารแกัวกำพร้าที่อยู่หลัง | โอ้จะได้เหมือนยังพระชนม์ฤๅ | ||
เคยตั้งการมงคลจนระบือ | ข้างน่าคือใครจะช่วยอำนวยนาม | ||
ชรอยสิ้นวาศนาโอ้อาภัพ | จะแลลับหวั่นเวทนาหวาม | ||
ได้พึ่งพระบิตุลาพยายาม | จึงงามยศงดยังประทังทน | ||
เสด็จออกท้องพระโรงวินิจฉัย | ไขเทวบัณฑูรอนุสนธิ์ | ||
แด่บรรดาเหล่าข้าฝ่ายุคล | ไม่ยลภักตร์จะนิราศแรมคลา | ||
จึงดำรัสสั่งเสวกามาตย์ | เคยรองบาทเปนศุขเถิดทุกหน้า | ||
เราจะล่วงทิวงคตครรไลลา | จงชีพใตัฝ่าธุลีลออง | ||
อย่าคิดคดทรยคไม่จงรัก | จงตั้งภักดีต่อยุคลสนอง | ||
อาสาอย่าได้คิดชีวิตรปอง | ฉลองพระเดชกว่าจะสิ้นชีวินปลง | ||
เสนางค์ต่างแสนกำสรดเศรัา | แล้วรับสั่งใส่เกล้าตลึงหลง | ||
สุชลอาบกราบเบื้องบรมวงษ์ | โอ้พระทรงคุณโลกย์ไดัความเสบย | ||
จะนิราศแรมร้างนิราสถาน | จะแดดาลโดยวิตกนะอกเอ๋ย | ||
เมื่อเฝ้าบาทไม่ขาดเวลาเคย | จะแลเลยทุกนิรันดร์นับวันตรอม | ||
พระบิตุลาปรีชาเฉลียวแหลม | ขยายแย้มสั่งให้ห้อยมณฑาหอม | ||
พระโองการร่ำว่านิจาจอม | ถนอมขวัญตรัสโอ้พระอนุชา | ||
ว่าพ่อผู้กู้ภพทั้งเมืองพึ่ง | จงข้ามถึงพ้นโอฆสงสาร์ | ||
ดำรงจิตรคิดทางพระอนัตตา | อนาคตนำสัตว์เสวยรมย์ | ||
ครั้นทรงสดับโอวาทประสาทสอน | ค่อยเผยผ่อนเคลื่อนคล้องอารมณ์สม | ||
แต่หนักหน่วงห่วงหลังยังเกรงกรม | ประนมหัตถ์ร่ำว่าฝฝ่าลออง | ||
บุญน้อยมิได้ครองยุคลคืน | ยิ่งทรงสอื้นโศกสั่งกันทั้งสอง | ||
จึงทูลฝากพระนิเวศน์ที่เคยครอง | ประสิทธิปองมอบไว้ใต้ธุลี | ||
ฝากหน่อขัติยานุชาด้วย | จงเชิญช่วยโอบอ้อมถนอมศรี | ||
แต่นั้นพงษ์จงพึ่งพระบารมี | จงปรานีนัดดาอย่าราคิน | ||
เหมือนเห็นแก่นุชหมายถวายมอบ | จะนึกตอบแต่บุญการุญถวิล | ||
ก็จะงามฝ่ายุคลไม่มลทิน | ก็เชิญผินนึกน้องเมื่อยามยัง | ||
อนึ่งหน่อวรนารถผู้สืบสนอง | โปรดใหัครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง | ||
อย่าบำราศใหันิราแรมวัง | ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ | ||
จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย | ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร | ||
เปนห่วงไปไยพ่อใหัทรมาน | จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ | ||
อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ | ที่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์ | ||
ครั้นทรสดับแน่นึกลำเนาคำ | ก็คลาย่ำทุกข์ถ้อยบันเทาทน | ||
จึงออกโอษฐเรียกโอ้ปิโยรส | ทรงกำสรดซ้ำสั่งอนุสนธิ์ | ||
อยู่หลังนะจงเจียมเสงี่ยมตน | ฝากชนม์พระปิตุลาอย่าอาวรณ์ | ||
อย่าประมาทเกรงราชไภยผิต | ระวังจิตรนะจงจำคำสอน | ||
สุจริตคิดพระคุณดังบิดร | พ่อจะจรจากแล้วประโลมลา | ||
อันสมเด็จหน่อนารถพระราชบุตร | จะเปนมงกุฎสืบสายในภายน่า | ||
อย่าบังอาจล่วงพระราชอาญา | พ่อจะนิราร้างเจ้าไม่เนานาน | ||
จึงให้หาพระบัญชาวังหลังสั่ง | พ่ออยู่หลังเลี้ยงน้องประคองหลาน | ||
พระนัดดาน้อมศิราลงกราบกราน | ก็จากสถานเมื้อมิ่งพิมานแมน | ||
ครั้นเสร็จสั่งพอได้พิไชยฤกษ์ | บ่ายเบิกบุษบกอมรแสน | ||
มาตุลีชักรถออกจากแดน | เทวแน่นเภรีลั่นกลองประโคม | ||
ลูกยินแว่ววาบกรรณประหวั่นเสียง | สำเนียงเพียงพิณพาทย์อมรโฉม | ||
แด่ยลเวชยันต์นั้นลอยโพยม | คะครึกโครมแตรสังข์ทั้งวิมาน | ||
พระบิตุรงค์ทรงบุษบกเคลื่อน | ละลิ่วเลื่อนออกช่องบัญชรสถาน | ||
ต่างสยองศิโรราบลงกราบกราน | ชมโพธิสมภารอเนกนันต์ | ||
ปางพระเนาวโลกโมฬีล่วง | ก็ตกพวงมณฑามาแต่สวรรค์ | ||
คราวนี้ก็จะมีพระเกียรติครัน | ด้วยอัศจรรย์เห็นแจ้งประจักษ์ความ | ||
ผู้ใดสดับอย่าหมิ่นประมาทแหนง | ถ้าใครแคลงจงลืบสำเนาถาม | ||
ใช่จะยกพระยศยอแต่พองาม | เราแต่งตามจริงใจในนิพนธ์ | ||
มาดถ้าใครฟังอ่านนิพานนี้ | ไม่น้อมศิราราบกราบสามหน | ||
ให้วิบัติอุบาทว์อย่าขาดสกนธ์ | แต่ยลเร่งประนมนมัสการ | ||
จะเหมือนพรธาดาประกาสิต | ต้วยบพิตรเลิศภพจบสถาน | ||
จะนำสัตว์ลัดล่วงตัดบ่วงมาร | โพธิญาณแท้เที่ยงพระชินวร | ||
จึงจาฤกนึกดังสุพรรณบัตร | ออกพระนามจักรพรรดิในนอักษร | ||
อย่าเมินหมิ่นว่ารบิลเปนราวกลอน | จงอ่อนเศียรบังคมให้สมควร | ||
อันหน่อสุริวงษ์ดำรงโลกย์ | สุดวิโยคมิได้วายกระหายหวล | ||
ทั้งบุตรีโอรสกำสรดครวญ | ฤๅโดยด่วนเด็ดพระอาไลยไป | ||
พระคุณเอ๋ยผันภักตร์มาสักน้อย | ลูกละห้อยซลเนตรนี่เหลือไหล | ||
ไหลหยัดๆ ย้อยแต่ชลไนย | ในใจนึกที่ไหนจะเสร็จคืน | ||
คืนมาวังวังเหงาให้เปล่าจิตร | จิตรยิ่งเศร้าเศร้าคิดโศกสอื้น | ||
ลอื้นโอ้โอ้จะพร่ำระกำกลืน | กลืนทุกข์ๆ ไม่ชื่นมโนตรอม | ||
ตรอมในอกๆ เอ๋ยลูกเคยเห็น | เห็นหายๆ เว้นแต่ทูลกระหม่อม | ||
กระหม่อมโลกย์ๆ ร้อนนิวรณ์จอม | จอมนิกรๆ น้อมทั้งหมื่นกรุง | ||
กรุงเทพๆ พระนครสถาน | สถานเพียงๆ พิมานดุสิตมุ่ง | ||
มุ่งเหมือนเมืองๆ แมนแดนผดุง | ผดุงเดชๆ บำรุงโลกาควร | ||
ควรเปนปิ่นๆ ปักหลักเฉลิม | เฉลิมยศๆ เพิ่มกุศลสงวน | ||
สงวนงามๆ พระเกียรติระบือทวน | ทวนภพๆ ครวญอยู่เครงคราง | ||
ครางครุ่นๆ ยังหวลรำจวนหา | หาองค์ๆ อิศราขนาง | ||
ขนางนึกๆ เสียดายไม่วายวาง | วางโศกๆ ไม่สร่างอดูรตรม | ||
ตรมตรอมๆ จิตรพระบิตุราช | ราษฎร์ร่ำๆ อนาถราคินขม | ||
ขมก็กลืนๆ เฝื่อนฝาดระทม | ระทมแทบๆ ระบมอุระราน | ||
รานร้างๆ พระจอมกระหม่อมโลกย์ | โลกย์ร่ำๆ วิโยคทั้งทวยหาญู | ||
หาญเหิมๆ บรรดาข้าราชการ | การศึกๆ สท้านทั้งโลกา | ||
ดังนเรศร์อวตารมาผ่านภพ | ทหารรบพระนารายน์ฝ่ายสวา | ||
เหมือนสิบแปดมงกุฏของรามา | ฤๅราเมศร์พวกพานรินทร์ราม | ||
นารายน์แรมจึงแจ่มขจรเดช | กระจ่างดังสุริเยศไพรินขาม | ||
ไพรีเข็ดสั่นเศียรเวียนประณาม | หวังประนอมนึกคร้ามพระเกียรติครัน | ||
ด้วยมีพระเดชาอานุภาพ | ทั้งสามภพรื่ราบสโมสันต์ | ||
เสมอองค์กับพระทรงอาศน์สุบรรณ | เสด็จมาปราบอาธรรม์ประไลยลอย | ||
โอ้ครั้งนี้มานิราศพระบาทแล้ว | ดังหลักแก้วหักล้มระทมถอย | ||
ไม่ยลใครชาญสนามจะตามรอย | ไหนน้อยยศยามตกอกระกำ | ||
แล้วคืนคิดถึงพระบิตุลาเล่า | สร่างเศร้าอยู่ด้วยได้ที่อุปถัมภ์ | ||
เพราะสั่นรับสัจจาสัญญาคำ | เห็นจะลำฦกได้ไม่แปรปรวน | ||
ลูกยลล้นกระหม่อมสวรรคต | ฝ่าลอองกำสรดแสนกำสรวญ | ||
ยังรักน้องคงประคองนัดดาครวญ | ถ้าหุนหวลเห็นจะทำเพราะกรรมเคย | ||
แด่ทรงเสนหาพระนุชมาก | เมื่อคราวฝากนั้นก็เศร้าโศกเสวย | ||
นึกพระน้องหมองฤไทยไม่เสบย | เสด็จเลยมาพอยลพระชนม์วาย | ||
ทรงสถิตย์เหนือจอมศิโรเพศ | เห็นสังเวชหวามวาบพระไทยหาย | ||
กรายพระกรกรีดน้ำพระเนตรกระจาย | กระหม่อมหมายเหมือนชีวิตรประไลยไป | ||
พระสนมตรมทรวงไม่สร่างเทวศ | พระบารเมศเลิศหล้าจะหาไหน | ||
เคยเย็นเกษคุ้มเภทระงับไภย | เห็นเขาไห้ก็ละห้อยพระไทยตรอม | ||
ดำรัสร่ำเรียกโอ้พ่อมิ่งเมือง | ถึงยามเคืองพี่ก็ข้ามตามถนอม | ||
สู้เอาใจใม่ถือทั้งอดออม | เพราะหมายกล่อมขวัญูน้องประคองเคียง | ||
ถึงคราวณรงค์เคยรบประจันหน้า | หมู่ปัจจาถอยท้อไม่ต่อเถียง | ||
ความศุขให้พี่แสนสำราญเวียง | อุระเพียงเพียบทุกข์สักพันกอง | ||
โองการร่ำว่าโอ้โมฬีเฉลิม | เชษฐเติมตวงชลวิมลหมอง | ||
เคยดับเข็ญูเย็นราษฏร์อำนาจครอง | ประชาปงอพึ่งพ่อทั้งอยุทธยา | ||
มาซัดพี่หน่ายหนีประยูรญาติ | พ่อนิราศแต่เออนาถา | ||
ดังนเรศร์เริงฤทธีอิศรา | พระบิตุลาทรงโศกกำสรดโทรม | ||
ฝูงอนงค์ร่ำร้องแล้วนองเนตร | ว่าโอ้พระเดชปกจอมกระหม่อมโฉม | ||
ดังทินกรจรเยี่ยมเหลี่ยมโพยม | ทุกกรุงโน้มน้อมพึ่งพระเดชา | ||
ทั้งหมื่นเมืองเลื่องพระยศระย่อขาม | ออกพระนามดังนารายน์อยู่ฝ่ายน่า | ||
เศียรสยองต้องออนศิโรมา | จนชั้นข้าทูลบาทก็เกรงครัน | ||
พระคุณเอ๋ยดังองค์พระสุริเยศ | เสร็จประเวศเลื่อนล่วงเสวยสวรรค์ | ||
ไม่เยี่ยมยอดเขาแก้วสัตภัณฑ์ | เหมือนบุหลันลอยฟ้าเมื่อราตรี | ||
อันดาวอื่นถึงจะเอี่ยมไม่เทียมแข | กระจ่างแลก็แต่จันทร์จำรัสศรี | ||
ดังหิ่งห้อยน้อยกว่าพระบารมี | ถึงจะชี้แข่งเรียงไม่เคียงดวง | ||
ไหนจะเทียมเท่ารัศมีเหมือน | สว่างเดือนสิมาดับลับล่วง | ||
ดังอกเราก่นแต่เฝ้าระหน่ำทรวง | จะตั้งตวงเติมเทวศไม่วายวัน | ||
โอ้สุเมรุหลักหล้าโลกาสถาน | มานิพานสู่ฟ้าเสวยสวรรค์ | ||
เหมือรคราวพบครั้งไภยประไลยกัลป์ | ถึงวิสัญญียุคประจวบเปน | ||
เพราะพระมิ่งโมฬีนิราศา | หากลอองพระบิตุลาคุ้มเข็ญู | ||
คลายร้อนด้วยเอนดูให้อยู่เย็น | ก็เขม้นหมายพึ่งพระบารมี | ||
แต่กำสรดระทดวิมลหมอง | จนย่ำฆ้องจวนอรุณรังษี | ||
เชิญพระแสงปราบประจามาชุลี | แสนทวีโศกถวายยุคลครอง | ||
แล้วพิลาปต่างว่านิจาเอ๋ย | พระคุณเคยปกจอมกระหม่อมหมอง | ||
พี่นางเกษราชลนานอง | กลืนเต่กองทุกข์ทบสลบลง | ||
เหล่าขนิษฐคิดหวั่นอุระร้อน | ประคองช้อนเชิญสุคนธ์มาโสรจสรง | ||
ยิ่งอาดูรฤๅจะสูญไปตามองค์ | พอดำรงฟื้นสมประดีมี | ||
ลืมพระเนตรมิได้ยลล้นกระหม่อม | สอี้นพร้อมกันพิไรอยู่ในที่ | ||
จึงพระจอมบดินทร์ปิ่นธรณี | มงกุฎตรีโลกย์เลื่องสุธาดล | ||
นึกธรรมสังเวชสมเพชเห็น | จะดับเข็ญใหัเปนศุขสถาผล | ||
ว่าจะเลี้ยงเหมือนบิดาอย่าร้อนรน | ดังคืนชนม์ได้ชื่นด้วยโองการ | ||
ครั้นสุริยงรังษีรวีไข | เชิญให้บรมเบื้องสรงสนาน | ||
ก็ชุบรอยฝ่าพระบาทไว้กราบกราน | โศกประลานแซ่เสียงสำเนียงระงม | ||
จึงเชิญพระศพสถิตย์พระโกษฐแก้ว | ประดับแล้วแห่มาสง่าสม | ||
ประทับที่ยิ่งทวีเทวศตรม | บอบระบมแต่ด้วยทุกข์ไม่ศุขมี | ||
พระโองการสั่งประภาศให้โกนเกษ | ทั่วทั้งอยุทธเยศบุรีศรี | ||
อีกร้อยเอ็จนัคราประชาชี | แจ้งคดีกัฎหมายมีตราวาง | ||
พระคุณเอ๋ยเอกาอนาโถ | นิจาโอ้องค์เดียวอางขนาง | ||
เมื่อยามศุขพร้อมองค์อนงค์นาง | ถึงคราวร้างไร้ลวาดิอนาถองค์ | ||
ลูกใคร่ตามไปสนองรองธุลี | ห่วงมีอยู่เหมือนไม่อาไลยหลง | ||
จะทอดทิ้งเล่าก็มิ่งมาตุรงค์ | แล้วไรัพงษ์จึงสถิตย์เปนเพื่อนยัง | ||
โอ้พระจอมอิศเรศเกษกระหม่อม | บุตรีตรอมแสนเทวศถวิลหวัง | ||
เพราะมงกุฎประชานิราวัง | ร้อนทั้งอยุทธร่ำทุกเวลา | ||
ครั้นทรงพระโสภะบุพโพไหล | ปลาดใสสีแดงระแวงว่า | ||
ฦๅตลอดแต่พระยอดสัพพัญญา | เสด็จมาเมืองแก้วพระนิพาน | ||
พระบุพโพเพียงหรคุณชาด | ดังพระบาทปิ่นโลกย์โศกประสาน | ||
จะสำเร็จปรมาภิเศกฌาน | อันว่าการมีมาเหมือนบาฬี | ||
ฤๅไนยสืบรงสร้างพระบารเมศ | ไม่เพี้ยนเพศผิดพุทธชินศรี | ||
จะนำสัตว์ตัดกิเลศในโลกีย์ | ใหัถึงที่วิโมกข์อมรเมือง | ||
ฝ่ายคนคอยประจำสำหรับเฝ้า | ก็นำเอาพระบุพโพโมฬีเลื่อง | ||
เชิญสุคนธ์ปนปรุงอำรุงเรือง | ได้กลิ่นเฟื่องรศทิพย์อาบลออง | ||
เชิญพระโกษฐเพ็ชรรัตน์จำรัสเนตร | นำประเวศชูช้อนกรสนอง | ||
ขึ้นอาศน์พระยานุมาศทอง | คนประคองเคียงตามเสด็จมา | ||
อันเกณฑ์แห่แต่งเปนเทพบุตร | กรก็ยุดเครื่องสูงสพรั่งหน้า | ||
ประโคมฆ้องกอลงลั่นปี่ชวา | ฝูงประชาโศกแซ่สำเนียงพล | ||
เห็นเกณฑ์แห่แลตามความวิโยค | ว่าโอ้โลกย์แล้วจะไม่จำเริญผล | ||
จะนองเนตรเทวศท่าฝ่ายุคล | ราษฎร์รนร้อนร่ำทุกเวลา | ||
ครั้นถึงวัดไชยชนะสงครามขันธ์ | เคยปลุกเครื่องคงกระพันได้ศึกษา | ||
จึงหยุดประทับเชิญพระบุพโพมา | ขึ้นมหาเชิงตะกอนดำเกิงพราย | ||
โอ้พระหนึ่งจุลเจิมเฉลิมโลกย์ | ข้าพระบาทหวาดวิโยคไม่เหีอดหาย | ||
จึงจุดเพลิงเริงแรงแสงขจาย | ไม่ขาดสายเนตรสอี้นแล้วคืนวัง | ||
พอประจักษ์พวกที่นั่งนามวิเชียร | โคมเขียนเพ็ชรพนักฝาผนัง | ||
กระหนาบยกเปนกระจกช่องกระจัง | ตังพระแท่นแว่นฟ้าสง่างาม | ||
วัดพระจอมจุลจักรสวรรคต | ก็ระทดทุกข์สิ้นถวิลหวาม | ||
จึงโถมถาสาครินทร์ทุเรศตาม | ไม่ขามชีพไว้ชื่อใหัฦๅชาย | ||
ก็เลื่องโลกย์เปนตราดังจารึก | อันตายงามนามนึกไม่วายหาย | ||
ดังทหารทรงครุธบุตรพระพาย | สู้ถวายชีวาตม์บาทบงสุ์ | ||
ยังมึสารนามสังหารคชสีห์ | ที่นั่งนี้คู่ศึกเสร็จประสงค์ | ||
ดังพระยาไอยเรศสุรินทร์องค์ | เคยทรงอานุภาพได้ปราบดา | ||
อนิจาเครื่องประดับสำหรับหาญ | อันตรธานโดยเสด็จนิราศา | ||
เสด็จอยู่ถีงฤดูดวงผกา | เคยพาวรพงษ์อนงค์นวล | ||
ไปรับพวงทิพมาศประทุเมศ | โอ้ถึงเทศกาลแล้วสิหายหวล | ||
มหาชาตึไตรมาสประจวบจวน | เคยประมวญดวงมาลย์ประทานทำ | ||
ยังแต่พระที่นั่งทรงธรรมสถิตย์ | ธรรมาศน์แม้นวิจิตรเลขาขำ | ||
พระชินวงษ์ช่วยทรงบำบัดกรรม | ขอเชิญนำเสด็จคืนสักหมื่นปี | ||
ติกมาศกาฬปักษ์จะชักโคม | เคยชวนโฉมสุเรศในราษี | ||
สนมน้อมพร้อมพระราชบุตรี | ดังศุลีพานางสุรางค์จร | ||
ล้วนอนงค์ทรงลักษณ์ละลานโฉม | ลอยโพยมมาด้วยเทพอับศร | ||
จุดพระเทียนกระทงลอยชโลธร | ถวายกรพระคงคาในสาชล | ||
ฤดูวสันต์อาสุชมาศา | เปนน่ากระฐินทานการกุศล | ||
พลแห่โห่กระหึ่มเสียงคำรน | กระสินธุ์วนเวียนละลอกกระฉอกโครม | ||
อันพระที่นั่งกิ่งแกัวนำเสด็จ | บรรทุกเสร็จไตรเพทวิเศษโสม | ||
พยุพยับมืดเมฆมัวโพยม | เสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นวัง | ||
เสด็จตรงลงพระตำหนักแพ | ประสานแตรพิฌพาทย์ดีดสีสังข์ | ||
กระทุ้งส้าวกลองชนะสำเนียงดัง | ทรงขี่นั่งโคมเพ็ชรเพียงนารายน์ | ||
ประชาราษฎร์ก็ขยาดพระเดชรอบ | ประนมหมอบโอษฐอวยพระพรถวาย | ||
แต่นี้นับทิวาไม่ราวาย | ไหนจะคลายเคลื่อนทุกข์ทวีเติม | ||
ถึงทวารวดีบุรีร้าง | ก็ทรงสร้างพระอารามงามเฉลิม | ||
ที่วัดค้างโรยราปัจจาเจิม | จะรื้อเพิ่มบารมินภิญโญปอง | ||
ประสงค์สร้อยสรรเพ็ชญ์ให้เลร็จสม | โดยนิยมโพธิญาณการฉลอง | ||
พวกข้าเฝ้าใต้ฝ่าธุลีลออง | นำสนองในสำนวนมาลวนลาม | ||
ซึ่งขอคำเหน็บแนมดูแหลมเหลือ | หมายว่าเชื่อตั้งกระกู้ขู่ให้ขาม | ||
แม้นดีจริงก็จะตรงออกสงคราม | นี่ปิดนามหลบหน้าท้าแต่มนต์ | ||
หมายสู้พระบารมีโมฬีโลกย์ | จะกระโชกผุดกลางหว่างพหล | ||
เมี่อทัพหลวงล่วงเดินดำเนินพล | ประชาชนสามทิวาชล่าแล | ||
จะหักยอดพระสุเมรุทำลายล้าง | อวดอ้างห้าวหาญในสารกระแส | ||
ประชาชาวอยุทธเยศสังเกตแปร | สำคัญจตรคิดว่าแน่ประหม่าใจ | ||
ขวัญหายพร้อมถวายบังคมทัด | พระบิตุลาทราบอรรถก็สงไสย | ||
เสน่ห์พระอนุชายังอาไลย | ดำรัสให้หมู่มาตยากร | ||
ถือรับสั่งทูลห้ามตามนุกิจ | จะทรงพิจารณาในอักษร | ||
ชำระเสี้ยนพสุธาใหหถาวร | จึงค่อยเชิญบทจรไปจากวัง | ||
ปางบรมกรมราชบิตุเรศ | ไว้พระเดชมิได้พรั่นประหวั่นหวัง | ||
ขัดโองการให้ทหารโห่ประดัง | ทรงที่นั่งนามสวัสดิชิงไชย | ||
นำโอรสธิดาคณาสนม | ไป่สร้างสมบารมินแผ่นดินไหว | ||
อรินราบกราบเกรงพระเกียรตไกร | ไม่เหมือนในอักขราที่ท้าทาย | ||
พลปืนๆ พลประจำหัตถ์ | ใหัจัดทวนๆ จัดประจำหมาย | ||
ที่ชักกฤชๆ ชักจากฝักกราย | สพายดาบๆ สพายเงื้อกรคอย | ||
ง่ากระบี่ๆ ง่าจะถาโถม | กระโจมง้าวๆ กระโจมไม่ราถอย | ||
บ้างซัดหอกๆ ซัดตัดเศียรลอย | ตะบองพลอยๆ ตะบองลงสองมือ | ||
แล้วโบกธงๆ โบกเอาโชคศึก | ล้วนฮึกเหิมๆ ฮึกกระหึมหือ | ||
ที่โล่ห์ถือๆ โล่ห์โห่กระพือ | คือที่ฤทธิๆ คือทหารราม | ||
พระเดชสยองพองเศียรทั้งสามภพ | มาเคารพไม่อาจประมาทหยาม | ||
เกรงพระยศปรากฎพระเกียรติงาม | เปนอุปราชฦๅนามมงถุฎชาย | ||
เสี้ยนสงบหลบคลาดอำนาจขึง | ไม่ดันดึงกล้าสู้ศัตรูหาย | ||
แต่ปางหลังครั้งมฤทผิดทวาย | แทบจะหมายตะนาวได้ไว้วงกร | ||
พระบารเมศเลิศหล้าไม่หาถึง | ทั้งทรงรำพึงผลบำเพ็ญสอน | ||
คือพระราชกุศลมาดลจร | สมสมรเทวมิ่งวิมานทอง | ||
เคยเสด็จออกตั้งพิชัยยุทธ | ทีนนี้สุดสิ้นแล้วไม่คืนสนอง | ||
จะมิเคืองถึงเบื้องยุคลลออง | เห็นจะต้องเปนธุระดำริห์ราญ | ||
อันพระเจ้าเอกาทศรฐ | ใช่พระยศจะไม่ยิ่งทุกสิ่งหาญ | ||
แต่ฝ่ายน่าต่างพระเนตรสังเกตการ | เคยเบิกบานเสวยศุขจะขุกเคือง | ||
ยังพระราขสมภารสารเสวก | ตระกูลเอกผ่องศรีฉวีเหลีอง | ||
รัศมีขำขาวดังตาวเรือง | ทั้งเมืองกระเดื่องด้วยพระเดชา | ||
ควรเปนอาคมบรมจักร | ประเสริฐศักดิ์ฉัททันต์สุดสรรหา | ||
ราษฎร์น้อมพร้อมชมพระโพธิญา | ดังเอราวรรณเพ็ชรปาณี | ||
สมสำอางเปนนางพระยาหญิง | สองพระองค์เฉลิมมิ่งโมฬีศรี | ||
ทุกกระษัตริย์จัดแพ้พระบารมี | ปิ่นทวารวดีสถาวร | ||
พระนุภาพฦๅสห้านแต่ผ่านภพ | ทุกกรุงกระทบเศียรราบกราบสลอน | ||
อินทปัตจักรพรรดิผ่านนคร | พระอินทรลงมาสร้างบุรินทร์ราม | ||
พระประทุมสุริวงษ์ดำรงภพ | พระเกียรติจบดินฟ้าชนาขาม | ||
ประสาทขรรค์ศักดาสง่างาม | เคยปราบสามโลกย์เลื่องพระเดชครัน | ||
เกิดพระเกษมาลาหน่อนเรศร์ | พระเมาฬีมีเพศมาแต่สวรรค์ | ||
พระเดชาปรากฏเสมอกัน | จนถึงพระขันธกุมารหลานชาย | ||
จึงมอบมิ่งอดิเรกเศกฉัตร | ให้กระษัตริย์สุริวงษ์ผู้สืบสาย | ||
สองพระองค์พงษ์อินทร์นรินทร์กลาย | ก็ว่ายเมฆขึ้นสถิตย์พิมานแมน | ||
มิได้สวรรคตปรากฏกล่าว | ประทุมท้าวคือบุตรอมรแสน | ||
อันบดินทร์ที่เปนปิ่นประชาแทน | ในพื้นแผ่นธรณีไม่มีปาน | ||
นุภาพเพียงสุริโยวโรภาษ | เหมือนบิตุราชสืบวงษ์มหาศาล | ||
ลอยโพยมล่องพยับเผ่นทยาน | ขึ้นเฝ้าอินทร์อัยการพระบิดา | ||
รู้ชำแรกปัถพีด้วยมีฤทธิ์ | ทั้งสิบทิศน้อมทิพบุบผา | ||
พอนาคินทร์ขี้นเย้าองค์อมรา | บังคมคลานผ่านน่าที่นั่งไป | ||
แสนพิโรธเคืองดุดุ๊ดูหมิ่น | แทรกแผ่นดินเดชาสุธาไหว | ||
ถึงบุรียลวาสุกรึไกร | พระขรรค์ชัยไล่ล้างวางชีวี | ||
โลหิตของพระยานาคราช | กระเด็นสาดต้องพระกายสลายศรี | ||
กำลังแค้นมุ่งเขม้นก็เปนที | เมื่อเหตุมีจะวิบัติอัศจรรย์ | ||
บังเกิดเปนพยาตเพลิงถเกิงแสง | พระโรคแรงขาดเฝ้ามงกุฎสวรรค์ | ||
มัฆวานแจงการด้วยทิพกรรณ | สงสารขวัญไนยนานัตดาเธอ | ||
สั่งเทพนิมนต์มุนีนารถ | เทวราชฝากชีพโอสถเสนอ | ||
ฝ่ายกระษัตริย์หมิ่นความตามอำเภอ | มิได้เออเอี้อนคิดให้ระอา | ||
ละเลยไม่เสวยโอสถทิพย์ | จนสักจิบวิงวอนไม่ผ่อนหา | ||
ถึงเจ็ดครั้งเวียนปลอบประกอบยา | อิศราบิดเบือนแต่เชือนไป | ||
จึงถวายพระเพิ่มภิญโญยศ | ใหัปรากฏพระเกียรติขจรไหว | ||
จะชุบโฉมใหัประโลมลานฤไทย | เปนฉัตรไชยพำนักนิ์ทั้งจักรวาฬ | ||
ถึงจะไม่เสพทิพโอสถ | ก็ปรากฏผิวพรรณสัณฐาน | ||
จะหายประชวรราคินสิ้นสันดาน | ดังอวตารงามล้ำอัมรา | ||
ปางสมมติเทวัญอินทปัต | เวรุวิบัติเมื่อจะน้อยวาศนา | ||
เปนกองกรรมที่ได้ทำปาณา | ในวิญญาเคลิ้มเขลาเหมือนเมามัว | ||
จะสิ้นบุญเสี่อมฤทธิวิทย์เวท | บันดาลเหตุเห็นดีเปนที่ชั่ว | ||
อวิชาครอบงำประจำตัว | พเอิญกลัวทิ้งอายอุบายลม | ||
จึงไขเทวโองการสารสนอง | พระคุณของสิทธาอยู่เหนือผม | ||
มัสการขอเผดียงพระโคดม | เชิญบรมอิศเรศวิเศษฌาน | ||
โยมนี้พรั่นหวั่นหวาดอนาถนัก | จงโปรดชักชี้เช่นให้เห็นหาญ | ||
เมี่อยศเยี่ยงก็จะเพียรเหมือนเรียนปราณ | พระยอดญาณจึงค่อยชุบกระหม่อมตาม | ||
พระทรงสิกขาบทประเสริฐศิลป์ | ถืออัตเวทินไม่เข็ดขาม | ||
ตั้งสัตย์เปนบรรทัดไม่วู่วาม | ประสาทสามศิษย์สำอยู่ลำพัง | ||
จงชุบกายเถิดถวายบพิตรเห็น | เมื่อจะเปนการแล้วจึงกลับหลัง | ||
แจ้งเราจะนิวัติเข้ามาวัง | ครั้นเสร็จสั่งคืนที่กุฎีดง | ||
ส่วนสามสานุศิษย์ที่ศึกษา | มิได้ทราบมารยานราหลง | ||
ดำรัสเตือนเดินตามกันสามองค์ | เสด็จตรงเข้ากองพิธีกรรม์ | ||
ซ้ำซัดทิพโอสถถวาย | ก็ละลายสูญสิ้นเบญจขันธ์ | ||
ยังไม่กลับคืนคงเปนองค์ทัน | ให้รีบพลันออกไปเททเลลอย | ||
ผลบุญเดชะตระบะกิจ | พระนักสิทธิเสร็จมาน้าวผลาสอย | ||
เห็นปริ่มๆ ริมกระสินธุ์วารินลอย | เหมือนจอกน้อยติดสวะมาปะกัน | ||
จึงพินิจพิศดูเปนครู่เพ่ง | ปลาดเล็งญาณทราบทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ก็ชุบสามฤๅษีมีชีวัน | พระนักธรรม์สาปสรรด้วยคำคม | ||
อันพระจอมโมฬีวงษ์ตรีเนตร | เคยเรืองเดชแต่ตั้งสุธาปฐม | ||
ให้เสื่อมสิ้นศักดาวรารมย์ | จงระทมไปชั่วกัลปา | ||
อย่าเหาะเหินเดินได้ดังใจหวัง | แต่นี้ตั้งไปจนสืบพระวงษา | ||
นครวัดอันกระษัตริย์กัมพูชา | หญิงชายให้นิรากำจัดวัง | ||
ไม่ควรเนาพระมณเฑียรอัมเรศ | ต้วยผิดเพศเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง | ||
เพราะไม่มีขันติกระตัญญัง | อันสัจจังสิ้นหายละลายธรรม | ||
ถ้าผู้ใดขืนสถิตย์คงสถาน | จงบันดาลเกิดอันตรายร่ำ | ||
แต่พระขรรค์ตกไหนจงให้นำ | มาประจำคืนมอบสำหรับเมือง | ||
อันกรุงอินทปัตนิเวศน์นี้ | ถึงใครจะมีเดชฦๅระบือเลื่อง | ||
ผิดวงษ์อย่าใหัผ่านบุรีเรือง | เว้นแต่เนื่องหน่อขัติยามา | ||
สาสมที่พระองค์ไม่ทรงสัตย์ | จะวิบัติเร็วรุดเพราะมุสา | ||
จงหย่อนตระบะเดชะที่ฦๅชา | ไปจนสิ้นสาสนาทั้งห้าพัน | ||
ให้ได้ความเคืองแค้นแสนเทวศ | เมื่อไรองค์ประทุเมศเจ้าของขรรค์ | ||
เกิดในสุริวงษ์ดำรงธรรม์ | พระเกียรตินั้นจึงจะเรืองเดชาชาย | ||
จะมีพระกฤษฎาอานุภาพ | ปัจจาราบคอยถือบังเหียนถวาย | ||
อาริยเจ้าจะตรัสกำจัดวาย | จึงจะหายสิ้นสาปที่หยาบกัน | ||
ครั้งนี้ก็มารองบทเรศ | บรรณาการน้อมเกษประหวั่นขวัญ | ||
เพราะพระบารมีทวีครัน | บันฤๅลั่นสามโลกย์อรินเกรง | ||
โอ้พระจอมติลกภพนิราศา | ทุกทิวาจะระดมกันข่มเหง | ||
พระนิเวศน์เย็นเยือกอยู่วังเวง | ราษฎร์เครงครวญคร่ำระกำใจ | ||
เจ็บอกดังหนึ่งยกไศลทับ | มาทอดทุ่มทรวงคับไม่พูดได้ | ||
ไม่เล็งเห็นใครจะเปนที่พึ่งไป | เหมือนหาไม่ไร้ญาติขาดระทม | ||
เสียมิได้ก็พอกันครหา | เมตตานั้นไม่เห็นเท่าเส้นผม | ||
แต่หลักโลกย์ยั่งยืนอยู่ชื่นชม | เพราะพระร่มเกล้าร่วมครรภาพันธุ์ | ||
ถึงเจตรมาศหิมหันต์ประหวั่นโหย | สุชลโปรยเปรียบรินพิรุณลวรรค์ | ||
เคยชำระเบื้องพระบาทอนาถครัน | ดังฉัตรกั้นเกษกลิ้งแต่กายกร | ||
ด้วยเคยเห็นสองพระองค์ดำรงราษฎร์ | ใจจะขาดถึงพระมิ่งอดิศร | ||
ถ้าพระคุณอุ่นวังไม่แรมจร | ฤดูร้อนน่านี้สิเทศกาล | ||
เคยฉลองกองก่อพระทรายพลาง | ด้วยเห็นทางเวียนวงในสงสาร | ||
แล้วเสร็จปล่อยมัศยาในท่าธาร | หวังจะเพิ่มโพธิญาณบำเพ็ญภูล | ||
โดยพระราชประสงค์ทรงดำริห์ | พระปิติเลื่อมใสไม่เสี่อมสูญ | ||
ก็ไม่ชูชนมาให้อาดูร | พระบัณฑูรทิ้งลูกระกำทวี | ||
ถึงเวลาฝูงคณาสนมแน่น | กำสรดแสนโศกเข็ญโมฬีศรี | ||
บ้างร่ำโอ้อนิจาฝ่าธุลี | นิราศหนีข้าบาทยุคลจร | ||
เสวยเคยถวายสุพรรณภาพ | ศิโรราบในมโนสโมสร | ||
ดังผกายรายรอบศศิธร | แต่ปางก่อนไม่นิราศสวาดิวาง | ||
พระคุณเอ๋ยเคยทรงพระปราโมทย์ | เกษมโสตรปราไสมิให้หมาง | ||
โอ้เคยมีมาโนชทุกหน้านาง | ถึงยามร้างแต่พระองศ์เอกากาย | ||
เวลาเฝ้าเปล่าเนตรคนึงบาท | เคยบำเรอบำราศฤไทยหาย | ||
ที่นั่งเย็นๆ เหงาสงัดดาย | ลูกยิ่งฟายอสุชลนานอง | ||
ผคุณมาศอาสาธมาศา | ทรงลร้างโพธิญาไม่หาสอง | ||
เชิญชักพระชินราชบาทประคอง | หอมลอองทิพมาศตระหลบวัง | ||
อันทางรัถยานิวาวาศน์ | ปาริกชาติโปรยปรายถวายหวัง | ||
ปื่นนิเวศน์ไว้พระเดชดังเสร็จยัง | เหมือนปางครั้งเนาเขตรพระเชตุพน | ||
พระเนาวโลกย์เสด็จโดยนภางค์เคลี่อน | ลอยละเลื่อนโปรดสัตว์สำเร็จผล | ||
พระอรหันต์ห้าร้อยคอยนิมนต์ | ประสาจนก็มีใจศรัทธาทำ | ||
คราวนี้ตั้งสถิตย์ประดิษฐาน | เพราะพระราชสมภารอุปถัมภ์ | ||
พระพุทธรูปเสด็จดำเนินนำ | พระชินวงษ์ประจำไม่ขาดวัน | ||
เหมือนพระอรรคสาวกบิณฑบาต | เพดานดาดห้อยพวงโกสุมภ์สวรรค์ | ||
ระย้าภู่กลิ่นระคนจันทน์ | สำคัญว่าไปชมพิมานทอง | ||
พระสถานปานเมืองอมรเมศ | โอ้สังเวชเศร้าศรีมณีหมอง | ||
นิราคร้างสุรางค์บำเรอประคอง | ฝ่าลอองเอกานิราโรย | ||
สุราฤทธิสถิตย์บำรุงโลกย์ | ยามวิโยคก็ไม่ดับระงับโหย | ||
ไยพระราชกุศลไม่ดลโดย | กลับโกยทุกข์ทวีไม่มีเสบย | ||
ลูกทรงษิโณทกอุทิศถวาย | กระหม่อมหมายใหัพระคุณศุขเสวย | ||
บรรพชาศีลาธิคุณเลย | อกเอ๋ยมีแต่พร่ำระกำกิน | ||
ต่างนิมนต์ราชาคณะเทศน์ | ถวายองค์อิศเรศวิเศษสิ้น | ||
แล้วเคาะพระโกษฐกราบทูลสุชลริน | เชิญพระปิ่นเกล้าโลกย์สดับธรรม | ||
พระโกษฐลั่นยินแสยงพอแจ้งเหตุ | ถึงสองเชษฐต้องคดีที่ข้อขำ | ||
เขาว่าโทษลึกลับให้จับจำ | ก็ค้างคำเทศนาเข้ามาฟัง | ||
ต่างคนึงสุดคเนสนเท่ห์จิตร | ไม่ทราบกิจโอ้ไฉนอย่างไรมั่ง | ||
ครั้นรู้แน่ว่ากระบถหมดทั้งวัง | ชวนกันชังไม่มีภักดีปอง | ||
ควรเคืองเบื้องบรมจักรพรรดิ | ไม่คิดว่าฉัตรแก้วกั้นเกษสนอง | ||
จะได้พึ่งเดชาฝ่าลออง | ฉลองบาทบิดุเรศนิราไป | ||
พระบิดาบัญชากำชับสั่ง | คำหลังลืมพระคุณไม่คิดได้ | ||
เพราะทนงนึกประมาทราชไภย | ไม่อาไลยถึงถวายพระเพลิงปลง | ||
สาใจจนไม่ยลยุคลธเรศ | สองเทวศแสนคนึงตลึงหลง | ||
ตั้งภักตร์จำเภาะเบี้องพระบิดุรงค์ | บังคมตรงมาพระโกษฐวังบวร | ||
เสียเชิงที่เปนชาติชายกำแหง | หาญเสียแรงรู้รบสยบสยอน | ||
เสียพระเกียรติมงกุฎโลกย์ฦๅขจร | เสียแรงรอนอรินราบทุกบุรี | ||
เสียดายเดชเยาวเรศปิโยรส | เสียยศบุตรพระยาไกรสรสีห์ | ||
เสียชีตรผิดแพ้พระบารมี | เสียทีทางกตัญญุตาจริง | ||
เทพสอดส่องเวไนยสัตว์ | ก็เห็นแพ้น้ำพิพัฒน์สนัดกลิ้ง | ||
จึงดลพระไทยไม่อ่อนให้วอนวิง | จะมิชิงเชิญเชษฐราคลา | ||
ฤๅชรอยทูลกระหม่อมจะตรอมถึง | นึกคนึงนำสองโอรสา | ||
ไปตามเสด็จเสวยศุขสวรรยา | ประเสริฐกว่าน้องยังอยู่วังตรอม | ||
นี่หากศุขด้วยพระเดชปกเกษเลี้ยง | บวรเวียงสรรเสริญไม่สิ้นหอม | ||
ค่อยเหือดโหยโดยแด่อาดูรจอม | ได้ชื่นด้วยล้นกระหม่อมบันเทาทน | ||
พระคุณเอ๋ยคราวหลังเมี่อครั้งเถิน | พม่าเกินเกือบจวนจะขัดสน | ||
ชนากรร้อนร่ำเสียดายชนม์ | ต้องเสด็จไปประจญจึงเมื้อมรณ์ | ||
ก็กรีธาพาหน่อดรุณเรศ | ดังราเมศปราบยุคด้วยแสงศร | ||
ไปทำศึกไกยเกษธิเบศร์จร | พระมงกุฎต่อกรกับพานา | ||
พระโอรสเทียมหน่อนารายน์หมาย | สังหารหายศึกเลร็จนิราศา | ||
ทั้งสิบทิศเกรงพระฤทธิไม่รอรา | ไยมิฝ่าฝากชีพในบาทบงสุ์ | ||
แม้นซื่อต่อสามองค์มงกุฎเกล้า | ไหนจะเศร้าคงจะสืบตระกูลหงษ์ | ||
แต่กาวิลมีวิทยายง | ยังขามองค์อิศยมบังคมเชิญ | ||
เสร็จออกช่วยรณรงค์จึงคงชีพ | สี่ทวีปแซ่ซร้องสรรเสริญ | ||
อันพระเจ้าเชียงใหม่แต่ก่อนเกิน | หมิ่นประเมินมิได้น้อมประนมคม | ||
ครั้งพระลอก็ประหารชีวาวาตม์ | นี่เกรงบาทเศียรพองสยองผม | ||
เปนข้าทูลลอองธุลีประนม | จิตรนิยมยอมพึ่งพระเดชา | ||
บรรณาเนื่องล้วนเครื่องสุวรรณมาศ | มิได้ขาดต่างประเทศทุกภาษา | ||
แขกลาวชาวปกันกัมพูชา | ก็เข้ามาพึ่งโพธิสมภาร | ||
มีพระพุทธสิหิงค์พระมิ่งโลกย์ | เปนหลักภพในโอฆสงสาร | ||
แด่พระองค์ยังทรงเกษมฌาน | พระยอดญาณโมฬิศสถิตย์ยัง | ||
กระษัตริย์หมายหล่อพระโฉมโสมนัศ | จะมัสการแทนองค์จำนงหวัง | ||
จึงสร้างพระปฏิมาจินดาดัง | พเอิญบังเกิดอัศจรรย์เจียว | ||
คือพระพุทธสิหิงค์มิ่งมงกุฏ | พระอุตคุตหล่อไม่ติดจิตรเสียว | ||
เหล่ากระษัตริย์หมื่นแสนแน่นกรูเกรียว | แต่ขับเคี่ยวพากเพียรศรัทธาทำ | ||
ทุกพระองค์จะประสงค์ไม่สมมาด | บุพเพนิวาศไม่เคยอุปถัมภ์ | ||
สุดฤทธิที่จะคิดมานะนำ | จึงแจ้งคำมีพระพุทธทำนาย | ||
พระมหากรุณาธิคุณตรัส | แย้มพระโอษฐโปรดดำรัสพิกัดหมาย | ||
เยื้อนพระพุทธฎีกาวาทีทาย | จะมีบดินทร์ดังนารายน์สี่กร | ||
มายกพระสาสนาตถาคต | ให้ปรากฏภิญโญสโมสร | ||
จะต่อหัตถ์พระลิหิงค์ได้แน่นอน | จะเลื่องยศฦๅขจรเกียรติขจาย | ||
คือจอมหริวงษ์องค์บิตุเรศ | เรืองพระเดชต่อได้ดังใจหมาย | ||
เทวทั่วพรหมโลกย์ก็โปรยปราย | กราบถวายบุบผาสาธุการ | ||
กระษัตริย์อื่นหมื่นเมืองที่เรื่องฤทธิ | อย่าคิดว่าจะหักทนงหาญ | ||
น้อยทั้งวาศนาปรีชาชาญ | แต่บันดาลเดินดินไม่หมิ่นองค์ | ||
พระคุณเอ๋ยไยไม่ช่วยอวยสงวน | ให้ประชวรละเลยเสวยสรง | ||
็ีก็ทรงสร้างศรัทธาธกจง | ไฉนปลงพระโรคมารุมรึง | ||
ระกำกลืนโอ้สอื้นไม่สร่างโศก | ยังวิโยคยินทุกข์ปะทะถึง | ||
ไม่เล็งเห็นหลักโลกย์โศกตลึง | พอที่พึ่งแลลับก็กลับกลาย | ||
ด้วยพระมิ่งมงกุฎอยุทธเยศ | ในสาเหตุคุมเข็ญเขม้นหมาย | ||
ความหลังไม่ประทังประเทืองกาย | แทบจะวายชีะระเนนในเวรจำ | ||
เพราะพระปิ่นดำรงบวรสถาน | กระหึมหาญหุนเหี้ยมกระหยับย่ำ | ||
เหมือนจะวางกลางเมืองเมื่อเคืองคำ | พิโรธร่ำดังจะรุกเข้าโรมรัน | ||
ครั้นทรงทราบว่าพระจอมบิดุลา | ให้พลกัมพูชาลากปืนขัน | ||
ประจุป้อมล้อมราชวังจันทร์ | จึงมีบันฑูรสั่งให้สืบความ | ||
ตรัสใช้มาตุรงค์ตรงรับสั่ง | มิไปฟังราชกิจก็คิดขาม | ||
มาสืบเรื่องพระไม่ปลงจะสงคราม | ก็ประณามทูลบาทไม่พาดพิง | ||
ว่าคำขอมน้อมพจมานสาร | ไม่หาญเสนหาพระนุชยิ่ง | ||
แต่พิธีตรุศยืนลากปืนจริง | ยังนึกกริ่งกริ้วนั้นพอบันเทา | ||
ครั้นสู่สวรรคตนิราศา | จอมจุธาเจ็บพระไทยดังไฟเผา | ||
กระทู้หลวงตวงฟังดูลาดเลา | ก็ไม่เบาทูลกิจให้ผิดคำ | ||
จึงหาคหบดีกรุงธิปัต | กำลังขัดเคืองเชษฐราร่ำ | ||
แท้ขยาดเกรงพระราชทัณฑ์ทำ | บดซ้ำเสียที่อ้างเปนอิงความ | ||
ให้การเกินเมินไม่รู้จักภักตร์ | เจียนจะหักลงให้หั่นเมี่อวันถาม | ||
พระคาดโทษแทบไม่หวังบยังแต่นาม | มงกุฎลามโลกย์ลงพระอาญา | ||
แต่คนใช้ให้พันธนาแน่น | สุดแสนพระพิโรธพิไรว่า | ||
ครั้งบรมกรมพระราชบิดา | เขาก็มาฝากตัวด้วยกลัวเรา | ||
ปางพระไอยกาดำรงราชย์ | สนองบาทมาดุราเปนข้าเฝ้า | ||
ชะคราวนี้ฟังเสียงเห็นเกลี้ยงเกลา | ดั่งใช่เชาว์พระนิเวศน์กัมพูชา | ||
นี่เดชะผลสัตย์สุจริต | ชีวิตรจึงไม่ร้างนิราศา | ||
นราพงษ์คือองค์สัพพัญญา | จึงไว้ชีพสัตวสาธุการเกรียว | ||
แล้วนรินทร์นึกแหนงระแวงผิด | ปกาสิตสั่งสารโองการเฉลียว | ||
ให้สืบถามวันทาสุดาเดียว | ไฉนเจียวยุเย้าให้เราแคลง | ||
ฝ่ายจอมฉลองโอษฐพระบิดุเรค | สดับเหตุให้การไม่เคลือบแฝง | ||
ว่าคงตายขอถวายสัตย์แสดง | จึงแจ้งจริงสมคำไม่อำพราง | ||
พระคุณเอ๋ยถ้าเสด็จยังพร้อมสอง | ถึงจะต้องกริ้วกราดเพราะบาดหมาง | ||
จะทรงผลัดกันเปนทิพย์นทีทาง | พอสว่างโทมนัศให้สัตว์เย็น | ||
นี่ยังเดียวแต่ทูลกระหม่อมแก้ว | ไม่โปรดแล้วก็ไม่มีที่จะเห็น | ||
แม้นล้างแม่แน่ลูกไม่ยอมเปน | จะถึงเข็ญแล้วก็ตามเวรามี | ||
จึงยกพาหาวันทาสนอง | ขอเทเวศร์ทั้งสิบสองราษี | ||
อินทร์พรหมยมเรศพระศุลี | นางเทพธรณีเปนพยาน | ||
อิกบรมสมมุติเทวโลกย์ | ขอบารเมศทราบโศกอธิฐาน | ||
จะเปนตราชูเที่ยงดังนาฬิกาล | เชิญเทพบันดาลดลพระไทย | ||
ครั้งนี้พระชนกปกเกษหาย | ท่านมั่นหมายชนนีที่สงไสย | ||
กระหม่อมฉันก็เปนบุตรสุดอาไลย | ไม่เห็นใจด้วยไม่แจงกระจัดตรง | ||
จึงสาบาลแห่งสัตย์พระชนนารถ | แม้นประมาทมุ่งร้ายหมายประลงค์ | ||
ประทุษฐจิตรต่อจอมจุธาพงษ์ | ขอให้ปลงชีพสิ้นชีวินวาย | ||
ดังเชษฐาทั้งสองทรงพิฆาฏ | อาญาจักรอย่าให้คลาดตัวขยาย | ||
ไม่ปกงำนำถ้อยค่อยระคาย | ขอให้หายเคืองข้อที่ราคี | ||
ถ้าคดคิดแต่ผิดมิมากนัก | ขอเทพชักดลจอมโมฬิศรี | ||
อย่าเลี้ยงแต่อย่าล้างเลยชีวี | พระบารมีจงแจ้งดังส่องญาณ | ||
แม้นสุดซื่อต่อลอองธุลีแล้ว | ให้ชุบเลี้ยงแก้วแม่กระหมอมฉาน | ||
เทวศดังอุเบกขาอภิบาล | พิศฐานทั่วเทพโพยมยิน | ||
พอขาดคำที่ภิปรายถวายสัตย์ | ถึงเบี้ยหวัดโปรดให้หายเคืองสิ้น | ||
จึงเห็นจริงไม่กริ่งเสี้ยนแผ่นดิน | ถือกัตเวทินตั้งดั่งธารกร | ||
แล้วพระบาทคืนประสาทที่คนใช้ | ประทานให้พ้นพันธนาถอน | ||
ไม่มีใครกรุณาช่วยว่าวอน | ผลสัตย์พเอิญอ่อนพระไทยเออ | ||
เชิญพระอรหังมาตั้งมั่น | ขันติกตัญญังชั่งเสมอ | ||
ดูเจียรดังวิเชียรมนินเธอ | สุดเสนอคำขยายสบายมี | ||
พระเนาวโลกย์ดับโศกสงลารสัตว์ | จนกำจัดอันตรายให้หน่ายหนี | ||
ขออุทิศแผ่ทิพวารี | ถวายปิ่นธรณีเสวยรมย์ | ||
อันพระจอมจุลจักรหลักทวีป | ประทานชีพแล้วไม่มาดอาฆาฎถม | ||
ค่อยสว่างสร่างเศร้าบันเทาตรม | ดังได้พรมอำมฤตในเมืองอินทร์ | ||
ครั้นทุกข์เปลื้องค่อยประเทืองหวั่นวิโยค | โมฟีโลกย์หมายเชิญพระศพถวิล | ||
ปิ่นกระหม่อมอยู่ยังจอมระกำกิน | เสด็จแล้วซ้ำจะภินทนาครวญ | ||
ยังยลมิตรคิดอาไลยใจจะขาด | แสนสวาดิหวั่นหวามถึงทรามสงวน | ||
จึงกุมกรช้อนคู่ประคองชวน | ถนอมนวลนุชขึ้นบนเพลาตรอม | ||
เจ้าซบภักตร์ลงกับตักนั่งสอื้น | ทั้งเที่ยงคืนเปลี่ยนให้สไบหอม | ||
ไหนจะโศกถึงพระมิ่งมงถุฏจอม | ไหนจะผอมเพื่อนยากจะจากวัง | ||
เปนสองทุกข์มาปะทะอุระพี่ | ฤๅเวรีเราประมาทแต่ชาติหลัง | ||
เคยบำราศมยุเรศให้แรมรั้ง | สุดาดังดวงชีวิตรจะปลิดไป | ||
พี่รับขวัญขวัญน้องอย่าหมองโฉม | ปลอบประโลมจนแจ้งประจุไสมย | ||
เรียมจะร้างโอ้นิราสุมาไลย | จะจำไกลกล่อมนุชเสน่ห์นวล | ||
เจ้าพี่เพียงจะจากกำจัดเจ้า | กำสรวญโศกสุดเศร้าแสนกำสรวญ | ||
ครวญครุ่นๆไม่เว้นชีวาครวญ | เคยสงวนเสงี่ยมงามไม่ตามเคย | ||
ถนอมน้องยิ่งหมองเมื่อยามถนอม | ระเหยหอมกลิ่นยาบุหงาระเหย | ||
เลยจะลับสายใจไฉนเลย | อนิจจาเอ๋ยโอ้มิตรอนิจจา | ||
ขวัญเนตรอย่าเทวศพี่มอบขวัญ | หาไม่เห็นหวนประหวั่นไม่เห็นหา | ||
พงางามทรามสงวนนวลพงา | ใจผวาหวั่นจิตรยังมิตรใจ | ||
โฉมวไลยล้ำนางสำอางโฉม | ไขแขเด่นโพยมเด่นแขไข | ||
ไกลรักเรียมยิ่งรานด้วยการไกล | นวลโหยนำพี่ไห้เมื่อสั่งนวล | ||
สายเนตรชลไนยไม่ขาดสาย | หวลกระหายนึกนุชคนึงหวล | ||
จวนอรุณส่องฟ้าเวลาจวน | กรรแสงหวลทนทุกข์ที่จากกัน | ||
เวชยันต์มาประทับกับเกยมาศ | พิณพาทย์อลเวงเพลงสวรรค์ | ||
เชิญพระโกษฐประทับเพ็ชรเรือนสุวรรณ | กระหนกช่อกระหนาบชั้นนารายน์ทรง | ||
ครุธขยับนาคยืนสุบรรณนอบ | กระจังรอบกระจ่างรายเรือนระหง | ||
อันรูปสัตว์อัดแสนคชาพงษ์ | ขี่ช้างองค์เคียงอินทร์ดำเนินจร | ||
เทเวศร์หัดถ์ถวายมณฑาสวรรค์ | สลับคั่นสส้างคชไกรสร | ||
จตุรภักตร์ชักพรหมประนมกร | ก็ถือฉัตรหัดถ์ช้อนวิเชียรชู | ||
อินเภรีตีก้องกัมปนาท | โลกธาตุลั่นกระทบกระทั่งหู | ||
เทวราชดาเรียงมาน่าดู | ประนมคู่น้อมเคียงยุคลนรินทร์ | ||
มาตุลีตีอัศวราช | เผ่นผงาดผาดผงกผกผิน | ||
นกอินทรีตีปีกสบัดบิน | ก็มีสิ้นมาโศกประชุมกัน | ||
เทพนมเทวนองชลเนตร | มยุเรศเหมือนจะราปีกผัน | ||
อันสิงห์อัดจัดออกมายืนยัน | ประโคมลั่นประคองเลื่อนพระโกษฐมา | ||
ปิโยรสเยาวเรศผู้สืบสาย | ทั้งสองโปรยโยงปรายทิพย์บุบผา | ||
ดังพระลบพระมงกุฎบุตรสีดา | กริ่งนราเกรงนารายน์ลงมาดิน | ||
ทรงกุภัณฑ์สรรพ์เสร็จพริ้งพร้อม | งามลม่อมหมางเศร้าแต่ราศิน | ||
ดูภักตร์คล้ำผิวหมองเปนมลทิน | เนตรรินนุชร่ำแล้วจำจร | ||
พระพุทธองค์ทรงวอลอออาศน์ | แสนกำสรดทรงพระราชอักษร | ||
ข้าทูลบาทมาตยาประชากร | ก็อาวรณ์มีแต่ทุกข์ระทมโทม | ||
ฝ่ายสุรางค์รองบาทบรมเบื้อง | ชลเนื่องเศร้าศรีฉวีโฉม | ||
ละห้อยหวลครวญตามพระศพโทรม | พยับเมฆมัวโพยมอรุ่มไป | ||
อันบุตรีที่เนาพลับพลาสถิตย์ | ต่างชุลิตแล้วนองสุชลไหล | ||
เห็นเกณฑ์แห่แลสพรั่งมาแต่ไกล | ยิ่งอาไลยเทวศหาฝ่าลออง | ||
เสร็จนิราอนิจาอยู่ภายหลัง | แต่ลูกยังเขาจะยำระหน่ำหมอง | ||
ที่เคยขามก็จะหยามละเลิงลอง | เห็นหายใจจะไม่คล่องสักเวลา | ||
จะเหลียวหลังยังพระนามพระองค์สูญ | โอ้อาดูรสุดจะดั้นโพยมหา | ||
ยังแต่กายหายเกษยิ่งเวทนา | ดั่งนิราสูญชีพไม่คงชนม์ | ||
แสนวิตกอกเอ๋ยจะเลยลับ | ไม่เสร็จกลับคืนแล้วละห้อยหน | ||
พอบุษบกประทับพระเมรุบน | ก็หมายยลเยี่ยมภักตร์ประนมชม | ||
เขาเชิญชักพระโกษฐบรมนารถ | ขึ้นเหนืออาศน์ชวลิตประสิทธิสม | ||
ชั้นหนึ่งเทพน้อมศิโรดม | ถึงชั้นสองมีพรหมประนมกร | ||
อันชั้นสามแลงามเจริญเนตร | อมเรศเรียงเทพอับศร | ||
ที่ชั้นสี่มีเทพกินร | วิชาธรคนธรรพสลับกัน | ||
ชั้นห้ารจนาองค์อิเหนา | เบื่อโศกเศร้าแรมห้องคูหาสวรรค์ | ||
เหมีอนลอองร้างสิบสองพระกำนัล | ทั้งแปดหมื่นสี่พันเคยปกครอง | ||
ชั้นหกเปนกนกระหนาบอินทร์ | ทรงกรินทร์เจ็ดเศียรผันผยอง | ||
ถึงชั้นเจ็ดเพ็ชรรับหิรัญรอง | เห็นสีส่องแสงรุ้งอร่ามพราย | ||
ยลรูปสัตว์ที่ประดับเหมือนกลับหมอง | ดังจะนองเนตรไห้ไม่ขาดสาย | ||
ไม่มีจิตรดอกยังคิดระกำกาย | ฤๅอกเราจะมิฟายสุชลโกย | ||
มหรศพตระหลบตลอดรุ่ง | พระเกียรติฟุ้งทุกประเทศเทวศโหย | ||
กัลปพฤกษ์ทิ้งสุวรรณหิรัญโปรย | ฝูงประชาพากันโดยประชุมทาน | ||
ยามเกษมมิได้แสนสำเริงศุข | คราวสนุกไม่นำใจสมาน | ||
เลร็จยังจะมีตั้งประชันงาน | ก็จะสำราญเล่นน่าพลับพลาทอง | ||
นี่กระไรที่สถิตย์สงัดเงียบ | แต่เยือกเยียบเย็นละห้อยเหมือนพลอยหมอง | ||
ดังมีจิตรคนึงหาฝ่าลออง | นี่ฤๅเราจะมินองสุชลตรม | ||
ถึงเพลาไปมหาสุเมรุมาศ | บังคมบาทแล้วยิ่งทุกข์ระทมถม | ||
พระสุริเยศลับเหลี่ยมพนม | พระสนมคืนแน่นเข้าสู่วัง | ||
ถีงยามดึกวิเวกฤไทยเหงา | ให้ปลาบเปล่าทรวงนึกอาไลยหลัง | ||
ป่านฉนี้เสด็จเดียวแต่องค์ยัง | ก็จะมีตั้งภักตร์ตรอมคนึงเวียง | ||
จะเหลียวซ้ายแลหายพระไทยถอน | จะอาวรณ์ยินแต่แว่วประโคมเสียง | ||
พระคุณเอ๋ยเคยสุรางค์บำเรอเรียง | ประคองเคียงข้างที่ทวีตรอม | ||
อนิจังครั้งนี้มาบำราศ | เสร็จอนาถองค์เดียวเปลี่ยวถนอม | ||
ยิ่งยลวังสังเวชถวิลจอม | ถึงทูลกระหม่อมมิ่งโลกย์ลูกโศกครัน | ||
แต่ร่ำร้องนองชลไม่เหือดแห้ง | จนส่องแสงอรุโณไทยไก่ขัน | ||
พอคำรบจะถวายพระเพลิงวัน | พระจอมจันทร์ทรงสถิตย์เปนประธาน | ||
ประชุมพร้อมวงษาคณาสนม | ต่างประนมหัตถ์ร่ำด้วยคำหวาน | ||
โอ้พระยอดอิศราปรีชาชาญ | จะได้พานพบมั่งเมี่อไรมี | ||
จะดับแล้วหายเห็นเปนวันสูญ | ยิ่งอาดูรด้วยพระมิ่งโมฬีศรี | ||
ลูกเคยพึ่งบาทาไม่ราคี | ข้าธุลีรองบาทเพียงขาดใจ | ||
ดังวิเชียรฉัตรสุวรรณกั้นทวีป | ทุเรศรีบไว้โลกย์โศกไฉน | ||
จอมบดินทร์สิ้นเสร็จเด็ดอาไลย | ทิ้งไว้ทั้งนิเวศน์บวรวัง | ||
อันกระหม่อมน้อมชีพอยู่รองบาท | เสนอนารถอกโอ้มโนหวัง | ||
ขอคุณพระดลพระไทยอย่าให้ชัง | เชิญช่วยตั้งต่อบุญการุญปอง | ||
พระคุณเอ๋ยสุดจะมีที่พำนักนิ์ | ยลแต่หลักโลกย์เดียวจะยังฉลอง | ||
ระงับเข็ญเย็นเกล้ายุคลครอง | เปนโพธิทองร่มญาติให้อยู่เย็น | ||
แล้วน้อมเศียรกราบษมาฝ่าลออง | หัดถ์ประคองช้อนอกเคยปกเข็ญ | ||
โอัพระอิศโรราชขาดกระเด็น | ประชาเปนทุกข์ไห้พิไรรน | ||
จึงประนมกรจุดเทียนถวาย | ยิ่งใจหายแสนละห้อยระหวยหน | ||
พอเพลิงชุมโศกทุ่มทรวงสกนธ์ | อนิจาจะไม่ยลยุคลคืน | ||
ครั้นเวลาจวนใกล้พระสนธเยศ | น้อมเกษลาธุลีไม่มีชื่น | ||
กลับหลังยังนิเวศน์ระกำกลืน | สอี้นโอ้ตั้งแต่จะแลไกล | ||
พระยอดมิ่งยุทธยาไม่หาเหมือน | ดังดวงเดือนสิ้นศรีมณีไข | ||
เจ้ากรุงสัตนาคนหุตไกร | จะประไลยล่วงชีพด้วยอาญา | ||
พระบิดุรงศ์ทรงสัตย์ดังฉัตรแก้ว | พระไทยแผ้วผ่องโพธิญาหา | ||
ช่วยชีวิตรที่จะปลงคงชีวา | ตั้งเมตตาปรากฎพระทศพล | ||
เจ้านันท์จึงได้เนิ่นนิราม้วย | พระสมภารไยไม่ช่วยอำนวยผล | ||
ครั้นถึงองค์สิให้ปลงปลิดสกนธ์ | ราษฎร์รนร้อนร่ำทุกค่ำครวญ | ||
แรมศุขไปเสวยสมบัติสวรรค์ | ลูกนี้รันทดทุ่มอุระหวล | ||
ต่างสลดหมดศรีไม่มีนวล | แสนรัญจวนถึงพระมิ่งมงกุฎวัง | ||
เคยดับทุกข์บันเทาทุเลาโลกย์ | ลูกแสนโศกใจหายเสียดายหลัง | ||
แต่เสร็จนิราข้าทูลลอองยิง | ยิ่งจะตั้งภักตร์ตรอมถึงจอมพงษ์ | ||
โอ้พระปิ่นอัคเรศเกษกระหม่อม | พระเดชจอมเทียมท้าวครรไลหงษ์ | ||
จักหาไหนได้เหมีอนเสมอองค์ | ทุกพระวงษ์ร่ำหาฝ่าลออง | ||
ไม่คืนแล้วยังแต่จอมกระหม่อมโลกย์ | ดับวิโยคราษฎร์คลายให้หายหมอง | ||
ต่างเทวศเนตรอาบสุชลนอง | จนแสงทองส่องเยี่ยมยุคุนธร | ||
พร้อมพระวงษ์ขัติยาธิดาสนม | เสียงระงมไห้ร่ำระกำถอน | ||
ประคองเชิญสุคนธ์รินกลิ่นขจร | ก็ทรงช้อนอัฐิใส่พระโกษฐทอง | ||
อันสมเด็จบิดุลาฝ่าพระบาท | อยู่เหนืออาศน์บัลลังก์แก้วเกิดสนอง | ||
พระทรงโศกวิโยคถึงฝ่าลออง | ยลหมองอัฐิคล้ำจำระคาย | ||
ก็สุดคิดที่จะใคร่เข้าไปถึง | ลูกตลึงแลแล้วก็ขวัญหาย | ||
ออกระนี้ฤๅมิมีอันตราย | เปนสุดหมายที่จะมุ่งประมาณการ | ||
แล้วเชิญภูษาทิพย์โกไสยพัตร | ประจงจัดพานช่อวิเชียรประสาน | ||
ศิโรราบกราบเชิญพระอังคาร | แห่ขนานนำเสด็จลงวาริน | ||
มาตยาหมอบน่าที่นั่งทรง | ไม่ยลองค์อาไลยมิใคร่สิ้น | ||
เห็นแต่เครื่องยศหยาดสุชลริน | โอ้พระปิ่นเกล้าโลกย์นิราศลา | ||
ข้าทูลบาทหมอบกลาดสพรั่งพร้อม | แต่พระจอมมงกุฎนี่สุดหา | ||
ไม่เห็นหายกรฟายสุชลนา | ทิ้งข้าฝ่าธุลีไม่อาไลย | ||
อันเกณฑ์แห่นำเสด็จฝ่าลออง | มีแต่หมองทุกข์แทบน้ำตาไหล | ||
พลพายๆ พานาวาไป | มาจนใกล้ปากชลวาริน | ||
จึงเชิญเสด็จลงสู่กระสินธุ์หลวง | ข้าพระบาทหวาดทรวงแสนถวิล | ||
แล้วทูลลาล้นกระหม่อมจอมแผ่นดิน | จึงกลับผินนาเวศนิราไป | ||
พระโองการสั่งให้นำอังคารเสร็จ | แห่เสด็จลงท่ากระสินธุ์ไหล | ||
แล้วโปรดให้เชิญพระโกษฐแก้วครรไล | สถิตย์ในกรมพระราชวังคืน | ||
เชิญจอมอิศราขึ้นยานุมาศ | ได้รองบาทสร่างเศร้าบันเทาชื่น | ||
ที่ลูกหมองนั้นค่อยคล่องระกำกลืน | ประโคมครืนเชิญเสด็จเข้าสู่เวียง | ||
เนาพิมานรัถยาสง่าเนตร | พระนิเวศน์เย็นเยือกสงัดเสียง | ||
เวลาเฝ้าน้อมเกล้าศิโรเรียง | ยินสำเนียงแด่วิหคประจำวัง | ||
พระบัณฑูรมิได้เอื้อนโอษฐเฉลย | ประหนี่งเคยตรัสอย่างแต่ปางหลัง | ||
ชุลีกรอ่อนโสตรสดับฟัง | ประนตนั่งคอยสนองบัญชามา | ||
ก็ไม่เยื้อนพระสุนทรผ่อนกระแส | ลูกแลแลลับเนตรนิราศา | ||
จึงกราบถวายเทียนทิพย์สุมณฑา | โอ้พระยอดขัติยาฝ่าลออง | ||
แล้วผลัดกันเฝ้าบาทไม่ขาดภักตร์ | ไม่นานนักพอยินรบิลสนอง | ||
สงไสยในสุรางค์บำเรอประคอง | พระไทยหมองทุกยุพาเปนราคิน | ||
จะใคร่ทราบซึ่งคนในกลเมด | พระอิคเรศให้หาลงมาสิ้น | ||
ต่างเทวศเนตรนองสุชลริน | สุดถวิลหวั่นทรวงไปสร่างเสบย | ||
ให้สาบาลต่อพระพุทธชิโนเนตร | บ้างน้อมเกษแล้วก็ร่ำคำเฉลย | ||
ขอบารมินปิ่นโลกย์ที่ล่วงเลย | พระคุณเคยปกเกล้าบันเทาทน | ||
เดชะสัตย์ซื่อต่อฝ่าพระบาท | ให้นิราศอันตรายจำเริญผล | ||
ที่ไม่มีราคินมลทินระคน | จอมสกลโลมเลี้ยงสำราญวัง | ||
ไหนราคีฝ่าธุลีลอองหมาง | คิดระคางมิได้เอื้อนสวาดิหวัง | ||
จัดให้ออกนอกเขตรทุเรศยัง | สั่งให้โปรดประทานประยูรวงษ์ | ||
อันพระจอมโมฬิศบิดุลา | งามสง่าไม่ละเลิงในเชิงหลง | ||
ทรงธรรม์ทศเที่ยงไม่เอียงตรง | ดำรงราชย์ขาดพะวงโลกีย์รอน | ||
แต่ซึ่งทรงพระวิตกตรอมถวิล | เพราะนรินทร์แรมพงษ์อดิศร | ||
พระอัฐิคล้ำสีฉวีวร | จึงเคียดค้อนสนมบรมวงษ์ | ||
ครั้นสำราญผาศุกทุกข์ประเทือง | แขกเมืองเข้ามาน้อมจอมประสงค์ | ||
จะเฝ้าบาทอิศราชวราพงษ์ | จึงเอื้อนองการสั่งให้พาจร | ||
พระโอรสเคารพรับสั่งโปรด | ก็ปราโมทย์มาจัดปัจฐรณ์ | ||
ทิวงคตพระยศยังทุกนคร | ดัษกรอ่อนเศียรศิโรพิน | ||
พระบารเมศเลิศหล้าเฉลิมภพ | เล็งจบทุกทวีปไม่เทีบมถวิล | ||
อันพระราชนิเวศน์ดังวังอินทร์ | พิมานเมืองอมรินทร์ชลอมา | ||
ถวายไว้ในเสวตรเอกฉัตร | ยี่ภู่ตัดด้วยสุวรรณบุบผา | ||
ระย้าเพ็ชรห้อยพวงสุมณฑา | ดูสง่าเมื่อจะออกประชาชม | ||
เชิญพระบรมโกษฐครรไลเคลื่อน | ลอยละเลื่อนเหนือแท่นที่โสตสม | ||
แล้วลั่นดุริยางค์ประโคมระงม | กรมฝ่ายน่าสนองประนมทูล | ||
ว่าพระเจ้าแวดนามนมัสการ | ไทยทานถวายบดินทร์สูร | ||
ขอพระเดชดับเข็ญเย็นประยูร | ให้เพิ่มภูลยศยิ่งภิญโญยง | ||
พระจอมภพมิได้ผินยินประภาษ | ทูตอนาถน้อมเกล้าตลึงหลง | ||
สดัปกรณ์แล้วทอนใจพะวง | ไฮ้พระทรงคุณโลกย์แต่ปางเคย | ||
มาเฝ้าบาทอิศราบัญชาทัก | อาไลยนักฤๅพระยอดอยู่หัวเอ๋ย | ||
เขาร่ำร้องนองเนตรไม่มีเสบย | จนสุริยงลงเลยศิขรินทร์ | ||
ประนตน้อมเศียรศิโรเพศ | ลาประเวศคืนที่สถิตย์ถวิล | ||
ให้เชิญพระโกษฐ์แก้วจอมบดินทร์ | เข้าสู่ถิ่นพระนิเวศน์ที่เคยเนา | ||
แล้วผลัดเวรแต่งเครื่องนมัสการ | ค่อยสำราญตามเคยแต่ก่อนเฝ้า | ||
ไม่ยลยินแต่พระเดชร่มเกษเรา | วังก็เหงาเงียบง่วงอยู่โรยริน | ||
พิมานทองดังห้องพระหิมเวศ | จะสังเกตเย็นเยือกสงัดสิ้น | ||
ดุเหว่าร้องร้องโหยแล้วโบยบิน | สกุณินขานขันสนั่นเวียง | ||
เมี่อโมฬิศยังสถิตย์สำเริงรื่น | วังก็ครื้นพิณพาทย์ประสานเสียง | ||
เคยประนอมพร้อมภักตร์บำเรอเรียง | อนงค์เคียงคอยเฝ้าประนมคม | ||
ครั้งนี้ฟังแต่ฝูงวิหคร้อง | วิเวกก้องต่างสำเนียงนางสนม | ||
ลูกไปเฝ้าเช้าเย็นยิ่งอกกรม | เมี่อไรร่มเกษกระหม่อมจะเสร็จคืน | ||
อนิจังยังแต่พระราชฐาน | ดูตระหง่านสง่าเนตรตลอดรื่น | ||
ตำหนักตึกพิฦกยังคงยืน | วังสอื้นแรมร้างอยู่อาทวา | ||
ครั้งพม่าตีสงขลาถลางได้ | แล้วรุกไล่ตะกั่วทุ่งตะกั่วป่า | ||
ถึงปาตลีบุตแตกยับอัปรา | ก็หนีล่าทัพถอยไม่ต่อกร | ||
จึงถวายสารามาทูลแถลง | ครั้นทรงแจ้งในศุภอักษร | ||
ยกพยุหยาตราคลาจร | คืนนครได้ด้วยพระบารมี | ||
สั่งให้ลุยล้างพม่าปัจจามิตร | รักชีวิตรแพ้พ่ายกระจายหนี | ||
ให้ผู้รั้งตั้งมั่นทุกธานี | เสร็จคืนกรุงศรีอยุทธยา | ||
เมื่อพระองค์ยังดำรงพระนิเวศน์ | ทุกประเทศนอบน้อมศิรษา | ||
มยุรยูงนำฝูงคณามา | อ่อนศิราถวายเสียงเพียงดนตรี | ||
เหมือนสังคีตบรรเลงเพลงสวรรค์ | เสนาะกรรณรี่เรื่อยดังดีดสี | ||
นกนิยมชมพระบารมี | โอ้ปางนี้ไร้สัตว์สงัดคน | ||
พระสุริเยศอาเภทจำรัสแสง | ไม่แจ่มแจ้งเปนพยับโพยมฝน | ||
ภาณุมาศอยู่ถึงราชรถบน | กระหม่อมยลดังวิโยคพระบารมี | ||
ด้วยพระบาทอำนาจดังทินกร | มาเขจรจากจักรราษี | ||
เคยเยี่ยมฟ้าส่องหล้าทุกราตรี | ให้โลกย์ทวีหวาดตวงสุชลเติม | ||
พระสุริยงลงลับเมรุมาศ | แลปลาดดวงจันทร์เมื่อวันเฉลิม | ||
ไฉนแขจึงไม่ไขวิไลยเติม | ฤๅภูลเพิ่มทนเทวศเพราะเหตุเรา | ||
เห็นกำพร้าเวทนากระมังมาก | ไม่เคยยากถอยยศกำสรดเศร้า | ||
จึงอับแสงศศิฉายไม่พรายเพรา | ให้เห็นเงารัศมีให้มีงาม | ||
แต่มีงานดูงานมาหลายครั้ง | ดำแหน่งนั่งต่อรองกันสองสาม | ||
เมี่อสององค์ยังดำรงวราราม | เลี่องพระนามไตรภพจบขจร | ||
เว้นแต่จอมพระธิดาดวงกระษัตริย์ | เปนปิ่นฉัตรพระบุตรีศรีสมร | ||
ด้วยสองสรวมร่วมมาตุโครทร | ไม่อาวรณ์คิดเคียดรังเกียจกัน | ||
อันหน่อนางสุรางค์บรมนารถ | ให้ร่วมอาศน์สองวังนรังสรรค์ | ||
มิใช่นำคนละอย่างจะต่างพันธุ์ | พระบิดุลาทรงธรรม์ยังตามเคย | ||
เพราะพระไทยอนุกูลประยูรวงษ์ | โอ้พระองค์จงทิพศุขเสวย | ||
ไหนนิ้วร้ายทรงตัดสลัดเลย | พระคุณเอ๋ยสุจริตดังบิดา | ||
จะพี่งเขาพระสุเมรุก็เอนหาย | สุดจะว่ายเมฆข้ามไปตามหา | ||
ดังม้วยดินสิ้นดวงพระสุริยา | เหมือนนิราปิ่นเกษบวรวัง | ||
ลูกคิดถึงพระบิตาน้ำตาตก | สงลารอกแสนพะวงแลธงหลัง | ||
จะเหลียวดูธงน่าดังฟ้าบัง | กระไรซึ่งไกลกันสักพันวา | ||
โอ้พระคุณบุญน้อยไม่มีบุตร | เปนมงกุฎสืบสายไปภายน่า | ||
จะสนองแทนลอองอิศรา | กับพระอรรคชายาไม่เล็งยล | ||
มีแต่หน่อพระสนมไม่สมยศ | สวรรคตว้าเหว่ระเหระหน | ||
กองกรรมจำนิราศบาทยุคล | บรรดาชนฤๅจะชื่นทั้งหมื่นกรุง | ||
แต่นิราฝ่าลอองบิดุเรศ | ตังฉัตรเกษหักหายไม่หมายมุ่ง | ||
โอ้พี่นัองควรประคองเคียงบำรุง | มีแต่ยุ่งหยิบความไม่งามเลย | ||
วังบวรใครห่อนนิยมหวัง | ก็จะชังกันถึงไหนนะอกเอ๋ย | ||
ที่ความดีนั้นไม่ยินรบิลเปรย | มีแต่เฉยกับจะชั่วทุกตัวคน | ||
ถีงเพียงนี้น่าทวีเทวศโอ้ | พระร่มโพธิ์ที่พึ่งมาสูญผล | ||
ควรสวาดิมาดร่วมครุรภาสกนธ์ | ประสาจนรักกันคุ้มวันตาย | ||
เออไฉนไยมามุ่งเขม้นมาด | พระบิดุราชแรมร้างยังหมางหมาย | ||
ช่างค่อนเคียดเสียตสำคำระคาย | ไม่นึกสายโลหิตบิดาเดียว | ||
บ้างก็คิดแต่งกลยุบลฬ่อ | มีแต่ก่อจะให้เกิดความเฉลียว | ||
ไม่ปรกติริกันกระนั้นเจียว | คนอื่นฟังเขาจะเกรียวไม่อยากชม | ||
ที่ประจบท่านผู้ดีมีบุญมาก | เห็นญาติยากหันเหออกเทถม | ||
มิใช่โจรก็มาจับประจานลม | จะคอยข่มกันให้เข็ดฝีมือกลัว | ||
คราวสิ้นวาศนานิจาช่วย | กระไรเลยนึกมาก็น่าหัว | ||
ราวกะเปนโทษขบถไม่งดตัว | ขุนนางพัวรอบข้างมาซักคำ | ||
พระคุณเอ๋ยตัวลูกก็เปนหญิง | นิราศมิ่งโมฬีที่อุปถัมภ์ | ||
มาซ้ำแสนอัประภาควิบากกรรม | กลืนแต่น้ำตาตกในนาภี | ||
พระสุเมรุเอนโลกย์เปนหลักปัก | เทพชักช่วยชลอคีรีศรี | ||
ให้ดำรงคงทวีปสวัสดี | จะเปนที่สามภพอำนวยพร | ||
ฤๅอนงค์นางตะเคียนในเขตรเขา | ทั้งอารักษ์สถิตย์เนาแนวสิงขร | ||
เขาสรวงเส้นธูปเทียนเศียรสุกร | สังเวยวอนแรงรับภิรมย์ชม | ||
โอ้พิมานอมรินทร์ดังอินทร์สว่าง | เด่นอยู่กลางสระรอบกระสินธุ์สม | ||
มีโลกเรียงเคียงน่าลำดวนดม | รำเพยลมกลิ่นแก้วผการาย | ||
ทรงไว้พระเนาวโลกโมฬีเลี่อง | แต่งเครื่องมัสการทุกวันถวาย | ||
มณฑาหอมน้อมก้านบานขจาย | ดังจะหมายน้อมรศเรณูนวล | ||
บูชาพระสัพพัญูอู่ทวีป | ขยายกลีบแย้มพุ่มโกสุมภ์สงวน | ||
เคยมีสีหโนภาษบัณฑูรชวน | สั่งประมวญหมู่สนมหนึ่งบุตรี | ||
ให้สวดมัสการพระชินรัตน์ | ตามบัญญติเพศพุทธชินศรี | ||
ประทานทั้งแตรดังระฆังตี | จบแล้วก็ชุลีบรมญาณ | ||
เคยถวายพระกุศลศรัทธารับ | ทรงคำนับน้อมรศพระกรรมฐาน | ||
เคยประสาทโภชาพระราชทาน | มัจฉซ้องสาธุการถึงเมืองพรหม | ||
ประกอบหมู่มัจฉาในสาคเรศ | ทอดพระเนตรระงับร้อนแรมปฐม | ||
แขยงแย่งแย้งเย้ายวนนิยม | เนื้อออนอ่อนอ้อนระทมบ้าบ่มใจ | ||
เห็นกระแหแห่แห้โบกหางเห็น | แก้วลองล่องล้องเดินสายชลไหล | ||
แมลงภู่ทองท่องท้องมากินไคล | ลวายหว่ายหว้ายไปแสวงรอย | ||
จะหาเหยื่อเผือเผื่อเผื้อภักษา | เหล่าเทพาพ่าพ้าสื่อสนสร้อย | ||
กระทิงหลายห่ายหล้ายกรายกรีดลอย | นกเขาเข่าเข้าคอยชะม้อยตู | ||
ได้เคยรับประทานอาหารหาย | ตวันบ่ายว่ายเวียนมาเปนหมู่ | ||
ไม่ยลพระมิ่งมณเฑียรยกเศียรชู | เหมือนจะรู้ว่าพระราชบิดา | ||
เสร็จนิราศแรมร้างมไหสูรย์ | โอ้อาดูรทุกข์ทั่วถึงมัจฉา | ||
ประพาศสวนเสร็จสรวลชวนพงา | นำยุพาเคยพายุพินชม | ||
คณานางล้วนนางอนงค์แน่น | ประดับแสนนับแสนพระสนม | ||
สำราญรื่นเริงรื่นชื่นอารมณ์ | ถวายลมโบกลมอยู่งานงาม | ||
เห็นกาหลงเพลินหลงประสงค์หอม | ลูกจันทน์น้อมกิ่งน้อมเหลืองอร่าม | ||
ระย้าแก้วแสงแก้วออกแวววาม | กุหลาบหนามหลีกหนามเด็ดดอกดม | ||
เสาวคนธ์ระคนกลิ่นบุหงา | จำปาแขกเมื่อแขกมาถวายถม | ||
มณฑาหอมหวลหอมยิ่งตรอมตรม | จะจากชมชวนชมระบมทรวง | ||
ยิหุบหุ้มกลีบหุ้มขยายแย้ม | ลำเจียกแหลมกลิ่นแหลมล้วนของหลวง | ||
ลำดวนเย็นหอมเย็นดูเด่นดวง | พิกุลร่วงดอกร่วงลงดาดดิน | ||
เลาวรศทรงรศตระหลบฟุ้ง | ดังจันทน์ปรุงประปรุงระคนกลิ่น | ||
การเกดแก้วเกดอินทนิล | บุหรงบินรีบบินไปจากรัง | ||
ให้หนักจิตรจิตรหวลรัญจวนโหย | ฤดีโดยๆ ดิ้นถวิลหวัง | ||
เหมือนอกเราๆ จะร้างนิราศวัง | จึงโศกสั่งๆ สวนอยุทธยา | ||
เทวศโอ้ๆ สอื้นไม่คืนกลับ | จะแลลับๆ แนนิราศา | ||
จะแรมเวียงๆ เอยไปเอกา | มาเห็นหน้าๆ นุชสุดอาไลย | ||
ถนอมขวัญๆ ใจอย่าไห้ร่ำ | นี่เนื้อกรรมๆ สร้างแต่ปางไฉน | ||
เคียงหมอบเคียงๆ ข้างล้วนนางใน | จะจำไกลๆ สงวนยังครวญโครม | ||
สุรางค์นางๆ น้อมประนมเสนอ | ไม่เอี้อนเออๆ จะจากจึงฉากโฉม | ||
เคยชื่นเชยๆ นวลชวนประโลม | จนแสงโคมๆ สว่างกระจ่างจันทร์ | ||
นิจาเรียมๆ จะร้างนิรารัก | ยิ่งพิศภักตร์ๆ ผ่องเพียงบุหลัน | ||
สพรั่งพร้อมๆ สิบสองพระกำนัล | ชุลีกรๆ รันอุระตรอม | ||
เวรุพรากๆ เจ้าลำเภาภักตร์ | ธุระรักๆ ไม่เหือดจนเผือตผอม | ||
ยุคลเคยๆ ปกเกษพระเดชจอม | จะไกลกล่อมๆ ขวัญอย่าหวั่นใจ | ||
ไม่ยลข้อๆ ระคายมาหน่ายหนี | จะเคืองพี่ๆ นี้ตรงอย่าสงไสย | ||
ทุกอนงค์ๆ นุชสุดพิไร | จะพาให้ๆ เรียมหลงอารมณ์เฟือน | ||
ต่างซบเศียรๆ เกล้าลงกราบบาท | ใจจะขาดๆ ที่ไม่มีเหมีอน | ||
สงวนบุตรๆ นางอย่าห่างเรือน | จึงเอื้อนโอษฐสั่งพระหน่อจะขอลา | ||
โอ้พระมิ่งมงกุฎอยุทธเยศ | ไยทุเรศแรมร้างพระวงษา | ||
กระทั่งถือน้ำพิพัฒน์สัจจา | มาหยุดน่ามุขน้อมศิโรเรียง | ||
ครั้งนี้ยังแต่ที่พรหมภักตร์ | ไม่ประจักษ์สิงหนาทประภาษเสียง | ||
อันอนงค์ชิดเชยที่เคยเคียง | บำราศเวียงจากพระอัฐิเธอ | ||
ไปเปนข้าพระนรินทร์ผู้ปิ่นโลกย์ | ที่สิ้นโศกสบชื่นไม่คืนเสนอ | ||
ไหนยังคิดถึงพระคุณเคยบำเรอ | ก็ลเมอวร่ำว่าข้าทูลลออง | ||
จนจิตรจำนิราฝ่าพระบาท | มิได้ขาดชลเนตรคนึงหมอง | ||
มายลวังยังลูกผูกประคอง | กรตระกองกอดคิดถึงบิตุตรอม | ||
เห็นแต่หน่อยุคลกระมลเศร้า | สำศัญเท่าแทนองค์ประจงถนอม | ||
จะหาไหนที่พึ่งประหนึ่งจอม | เหมือนพระมิ่งล้นกระหม่อมไม่เล็งปาน | ||
ครั้งสละสมบัติทรงบรรพชิต | มิได้คิดห่วงใยในสงสาร | ||
ไม่ชื่นชมด้วยสนมบริพาร | ศฤงฆารทั้งนิเวศน์ไม่เจตนา | ||
บุตรีโอรสประนตน้อม | ทูลกระหม่อมเมินปลงทรงสิกขา | ||
สำรวมพระกายหมายเอกะคตา | อิศราโทมนัศดำรัสวอน | ||
อ้าพ่อดุจไนยเนตรพี่ | อย่าเพ่อหนีออกทรงผนวชก่อน | ||
เชษฐเปลี่ยวเอองค์ดำรงนคร | เราร่วมร้อนร่วมชีพอันเดียวกัน | ||
ช่วยบำรุงราษฎรขจรเดช | ดังสุริเยศส่องเยี่ยมเหลี่ยมสวรรค์ | ||
ประชาชาวหนาวสท้านอารมณ์ครัน | แต่รำพรรณเวียนวอนอ่อนพระไทย | ||
เหมือนพระเจ้าสญไชยบรมนารถ | เชิญพระบาทยศยิ่งมิ่งมไห | ||
บรรพชาลาพรตออกจากไพร | คืนไอสวรรยาโอฬาฬาร | ||
ก็เรืองยศปรากฏพระเกียรติฟุ้ง | กระษัตริย์อื่นหมื่นกรุงขยาดหาญ | ||
ระทดถอยคอยถวายบรรณาการ | นับทิวารตั้งแต่จะแลเลย | ||
ชิโนรสปรากฏสังวรศิล | ก็ยังรินน้ำเนตรไม่วายเสวย | ||
ทั่วพิภพจบโลกไม่เล็งเสบย | พระคุณเคยโอบอ้อมอารีครัน | ||
พระยอดขัติยวงษ์ทรงพระเดช | ทุกนิเวศน์เกรงหวาดประหวั่นขวัญ | ||
ราษฎรห่อนชื่นทุกคืนวัน | มีแต่รันอกร่ำอุระรอน | ||
ลูกโศกสุดดังบุตรสิงหพราก | กำจัดจากมงกุฎราชไกรสร | ||
แสนรำจวนหวลคิดพระบิดร | ชวนกันจรจะไปเฝ้ายิ่งเปล่าใจ | ||
สำคัญจิตรคิดจะชื่นขืนวิโยค | พระปิ่นโลกย์ลูกเล่าจะเนาไหน | ||
นุภาพเพียงสุริโยวโรไกร | ฤๅครรไลล่วงทวีปจักรวาฬ | ||
ยลแต่จอมบิดุลานราสรรค์ | อันเปนฉัตรแก้วกันกระหม่อมหลาน | ||
ข้าพระบาทมาดหมายเสมอปาน | บิตุเรคค่อยสำราญมโนปรีดิ์ | ||
จะดับเข็ญเย็นเกล้าทุเลาร้อน | ประนมกรขอบพระเดชโมฬีศรี | ||
ขอพระชนม์ยลยืนสักหมื่นปี | อย่ารู้มีพระโรคมารุมรึง | ||
เชิญศุลีเลิศหล้าธาดาเดช | มาคุ้มเภทอย่าให้พ้องพระองค์ถึง | ||
ขอวัชรินทร์ปิ่นิเวศน์ดาวดึงษ์ | ประชุมช่วยที่พึ่งให้อยู่เย็น | ||
เชิญนารายน์จากสายกระสินธุ์หลวง | จะเล็งล่วงทิพเนตรสังเกตเห็น | ||
อย่าวิมุติมิได้ทุจริตเปน | ไม่ว่างเว้นคิดพระคุณทุกนาที | ||
ข้าซื่อต่อแผ่นดินไม่หมิ่นประมาท | เทวราชจงจำเริญทุกราษี | ||
อันพระปิ่นกรุงทวารวดี | หมื่นบุรีอ่อนราบศิโรลาน | ||
จงสามิภักดิ์เปนข้าฝ่าลออง | ต่างฉลองพระบาทเบี้องสอดประสาน | ||
ขอสุนทรให้เหมือนพรแปดประการ | ดังมัฆวานอวยศรีสวัสดี | ||
ถวายเวสสันดรบรมนารถ | ที่จากราชนิเวศน์เปนฤๅษี | ||
กับอนงค์ทรงสร้างพระบารมี | เธอยกองค์พระมัทรีอำนวยทาน | ||
อินทพราหมณ์ก็ประณามศิโรเพศ | มาเพิ่มพระบารเมศภินิหาร | ||
อัศจรรย์ลั่นโลกย์ทั้งจักรวาฬ | เทวส้องสาธุการถวายพร | ||
ขอคำให้ประสิทธิดังอิศราช | จึงภิวาทจาฤกไว้ในอักษร | ||
จะน้อมเกษมัสการประสานกร | ให้ถาวรคุ้มโทษบันเทาทำ | ||
ถีงจะเนาในพระเพลิงถเกิงแสง | อย่าให้ไหม้ร้อนแรงช่วยอุปถัมภ์ | ||
ถ้าตกใตัพระคงคาเมตตานำ | พระคุณค้ำชูฉันอย่าอันตราย | ||
พระบารเมศเคยปกดิลกโลกย์ | บำบัดโศกปัทวะเทวศหาย | ||
โจรไภยราชไภยอย่าใกล้กราย | ขอถวายชีวินพระชินวร | ||
แม้นผู้ใดใส่โทษออกโจทย์หา | มุสาข้าพเจ้าเหมือนคราวก่อน | ||
สรรพทุกข์สารพัดอธิกรณ์ | ขอเทพย้อนให้ท่านผู้นั้น เอย ฯ | ||
๏ ประนมน้อมศิโรราบ | บังคมกราบพระบาทา | ||
บพิตรพระบิดา | อันเปนที่นมัสการ | ||
ลูกรฦกถึงฝ่ายุคล | จึงนิพนธ์ประกอบสาร | ||
หวังพระยศในบทมาลย์ | ให้ปรากฎพระเกียรติระบือ | ||
ดังองค์นารายน์ราม | ยังพระนามสนั่นฦๅ | ||
ทั้งสามภพบ่เคียงคือ | เหมือนบิดุเรศปิ่นเกษเรา | ||
พระอานุภาพมาปราบยุค | ให้เปนศุขบันเทาเบา | ||
สองพระองค์ดำรงเนา | เปนมงกุฏอยุทธยา | ||
ราษฎร์สนองมโนปรีดิ์ | ก็ยินดีด้วยปราบดา | ||
หมายพึ่งพระเดชา | ให้เปนสุขสถาผล | ||
ทุกประเทศก็เกรงฤทธิ์ | ไม่อาจคิดจะโจมผจญ | ||
รักกายเสียดายชนม์ | ถวายเครื่องบรรณาการ | ||
ถึงอังวะที่จะรบ | ในแผ่นภพอยุทธราญ | ||
สุรามรินทร์นั้นแพ้พาล | แต่ครั้งนี้พระมีไชย | ||
ดังฤๅเลร็จนิราศัน | สู่สวรรคครรไล | ||
พระกฤษฎาสุธาไหว | โอัพระคุณเคยอุ่นวัง | ||
ประโคมยามมหรทึก | ฟังพิฦกทั้งแตรสังข์ | ||
พิณพาทย์เสนาะดัง | ดุริยางค์บำเรออินทร์ | ||
หนึ่งนางสุรางค์เรียง | บังคมเคียงยุคลนรินทร์ | ||
ดังอับศรในราษิน | ถวายกรอยู่งานงาม | ||
ทั้งสิบลองพระกำนัล | ทิวันระวังทุกทุ่มยาม | ||
เสนางค์ล้วนชาญสนาม | เคยขึ้นเฝ้าทุกหมวดกรม | ||
พระวงษาสพรั่งพร้อม | กราบน้อมศิโรดม | ||
ประดับแสนสุดาสนม | มานิราศพระบาท เอย ฯ | ||
๏ ปางปิ่นธรณี โมฬีโลกย์ฦๅพระเดช ดั่งอิคเรศวโรฤทธิ์ ชายชาญชิตเลิศภพ ทุกกรุงนบน้อมเกล้า เปนจอมเจ้ามงกุฎหล้า พระเกียรติขจรเฟื่องฟ้า หมื่นนคราร้อนรีบ ทั้งสี่ทวีปพงษ์จักรพรรติ ร้อยเอ็ดกระษัตริย์โอนเศียร บังคมเวียนบรรณาถวาย ดังนารายณ์มาปราบดา จอมอยุทธยาล้ำโลกย์ ดับวิโยคเมื่อยามยุค ราษฎร์เปนศุขสรรเสริญ ขอจำเริญพระชัณษา ทรงอิศราอานุภาพ ไพรีราบเกรงระย่อ ทุกกรุงท้อถอยหลัง พระยศยิ่งพระสุริเยศ ส่องทุกประเทศสว่างแผ้ว ดังวิเชียรแก้วมณีโชติ แสงรุ่งโรจน์ชัชวาลย์ รัศมีปานทิพากร เทพอับศรอยู่เรียงรอบ ชุลีหมอบเมีองชม้าย ส่วนสุริฉายส่องภพ เร่งรถจบจักรวาฬ แล้วคืนสถานเมื้อมิ่ง พร้อมเพราพริ้งเลิศลักษณ์ วิไลยลักษณลออโฉม งามประโคมล้วนอนงค์ แทบเทียมองค์เทพกัญญา ดังนางฟ้าจากสวรรค์ ผาดผายผันเยี่ยมเมฆ สำอางเอกเอี่ยมลออง สุรางค์รองบทเรศ มงกุฎเกษปิ่นพระสนม เคยชิดชมสำราญรื่น วังเครงครื้นพิณพาทย์ หมู่อำมาตย์ฟื้นชาญสนาม ทหารรามพอเท่าถีง พระเกียรติกึ่งบ่เกินกัน เปนหลักจรรบำรุงราษฎร์ พร้อมพระญาติวงษา ทรงศักดากำแหงหาญ ล้วนชำนาญณรงค์รบ ทั้งไตรภพบ่อาจหยาม ฦๅพระนามสยองผม ทุกนิคมก้มเกษกราบ ปัจจาราบเกรงพระฤทธิ์ ทั้งสิบทิศกระถดถอย ประสมสร้อยสรรเพ็ชญ์ คงจะเสร็จได้นำสัตว์ ให้ล่วงวัฏสงสาร พ้นบ่วงมารเปนเที่ยงแท้ บารมีแผ่เผื่อทั่วโลกย์ ขอข้ามโอฆกันดาร พระโพธิญาณยิ่งแล้ว ทรงดวงแก้วกุมกรกำ อันเทวทำบ่ลืมหลง พระไทยจงจำเริญผล สร้างพระกุศลก่อเกื้อ ปางหลังเหลือมามาก ยังภายภาคอนาคต กำหนดสี่อสงไขย มีกำไรยิ่งแสนกัป อเนกนับคณนา จึงสำเร็จปรมาภิเศกสร้าง จะนำทางมนุษย์สวรรค์ องค์พระสัพพัญูเจ้า เลิศแล้วใครเสมอ ฯ | |||