นิราศเมืองเพชร

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: สุนทรภู่

บทประพันธ์

๏ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพรายพระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการอธิษฐานถึงคุณกรุณา
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา
จึงจดหมายรายทางกลางคงคาแต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อย ฯ
๏ ได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย
ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอยเป็นหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง
ถึงวัดพลับลับลี้เป็นที่สงัดเห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง
เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้องมาถึงคลองบางลำเจียกสำเหนียกนาม
ลำเจียกเอ๋ยเคยชื่นระรื่นรสต้องจำอดออมระอาด้วยหนาหนาม
ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงามคิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย
จนไม่มีที่รักเป็นหลักแหล่งต้องคว้างแคว้งคว้าหานิจจาเอ๋ย
โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชยชมแต่เตยแตกหนามเมื่อยามโซ
ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็กล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข
เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรายโปหัวอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก
ไทยเหมือนกันครั้นว่าขอเอาหอห้องต้องขัดข้องแข็งกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก
มีเงินงัดคัดง้างเหมือนอย่างเจ๊กถึงลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไม ฯ
๏ ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน
หรือหลวงชีมีบ้างเป็นอย่างไรคิดจะใคร่แวะหาปรึกษาชี
ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาสเลยลีลาศล่วงทางกลางวิถี
ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมีมาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา
ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นไม่เป็นห่วงแต่เศร้าทรวงสุดหวังที่ฝั่งฝา
ที่เห็นเห็นเป็นแต่ปะได้ประดาก็ลอบรักลักลาคิดอาลัย
จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเป็นเขตสวนมะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว
พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละออง ฯ
๏ โอ้รื่นรื่นชื่นเชยเช่นเคยหอมเคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง
ถึงบางหว้าอารามนามจอมทองดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม
สาธุสะพระองค์มาทรงสร้างเป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม
ในพระโกศโปรดปรานประทานนามโอรสราชอารามงามเจริญ
มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึกกุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ
ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลินจนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน
โอ้เทียนเอ๋ยเคยแจ้งแสงสว่างมาหมองหมางมืดมิดตะขวิดตะเขวียน
เหมือนมืดในใจจนต้องวนเวียนไม่ส่องเทียนให้สว่างหนทางเลย ฯ
๏ บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิตพอป้องปิดเป็นหลังคานิจจาเอ๋ย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพยได้พิงเขนยนอนอุ่นประทุนบัง ฯ
๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวาใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง
ทุกวันนี้วิตกเพียงอกพังแนะให้มั่งแล้วก็เห็นจะเป็นการ ฯ
๏ ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่มเป็นเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล
ขอเดชะพระไทรซึ่งชัยชาญช่วยอุ้มฉานไปเช่นพระอนิรุธ
ได้ร่วมเตียงเคียงนอนแนบหมอนหนุนพออุ่นอุ่นแล้วก็ดีเป็นที่สุด
จะสังเวยหมูแนมแก้มมนุษย์เทพบุตรจะได้ชื่นทุกคืนวัน ฯ
๏ ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อเขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน
อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมันแต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟัง ฯ
๏ ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้ายเป็นรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง
ถูกทะลุปรุไปแต่ไม่พังแต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน
แม้นมั่งมีมิให้ร้างจะสร้างฉลองให้เรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร
ด้วยที่นี่ที่เคยตั้งโขลนทวารได้เบิกบานประตูป่าพนาลัย ฯ
๏ โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่ากำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล
จะเหลียวหลังสั่งสาราสุดาใดก็จนใจด้วยไม่มีไมตรีตรึง
ช่างเป็นไรไพร่ผู้ดีก็มิรู้ใครแลดูเราก็นึกรำลึกถึง
จะปรับไหมได้หรือไม่อื้ออึงเป็นที่พึ่งพาสนาพอพาใจ
โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอกเห็นแต่กกกอปรงเป็นพงไสว
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบเรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง
เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเขี้ยวเหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง
หริ่งหริ่งแร่แม่ม่ายลองไนเรียงแซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวน
เหมือนดนตรีปี่ป่าประสายากทั้งสองฟากฟังให้อาลัยหวน
ดังขับขานหวานเสียงสำเนียงนวลเมื่อโอดครวญคราวฟังให้วังเวง ฯ
๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้านระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง
ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรงให้วังเวงวิญญาณ์เอกากาย
ถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยวเหมือนมาเดียวแดนไพรน่าใจหาย
ถึงศีรษะละหานเป็นย่านร้ายข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน
ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถามโคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น
ไม่เห็นแจ้งแคลงทางเป็นกลางคืนยิ่งหนาวชื้นช้ำใจมาในเรือ
ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุดใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือเหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน
ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษมีอาวาสวัดวาที่อาศัย
ออกชะวากปากชลามหาชัยอโณทัยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุ ฯ
๏ ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่นนภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลนลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า
หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้ายแสนสบายบังลมร่มรุกขา
บรรดาเรือเหนือใต้ทั้งไปมาคอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว
บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิงบ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว
เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราวเหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงาน ฯ
๏ เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอมาคอยขอโภชนากระยาหาร
คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทานต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อยกระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว
บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิวดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลย ฯ
๏ โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตรเพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชยกระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู
แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือจนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหารได้สมานยอดแสมพอแก้หิว
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้วกลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตา ฯ
๏ ได้ชมเล่นเห็นแต่นกวิหคกลุ้มเที่ยวดุ่มดุ่มเดินดินกินมัจฉา
กลางสมุทรผุดโผล่ล้วนโลมาดูหน้าตาแต่ละตัวน่ากลัวเกรง
ล้วนหัวบาตรวาดหางไปกลางคลื่นศีรษะลื่นเลี่ยนโล่งดูโจ่งเหม่ง
ดูมากมายหลายอย่างยิ่งวางเวงจนน้ำขึ้นครื้นเครงเป็นคราวเรือ
บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่าบ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ
บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน
เป็นประมงหลงละโมบด้วยโลภลาภไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สิน
ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตีนตะกายปีนเลนเล่นออกเป็นแปลง ฯ
๏ ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูกทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพงเขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด
ถึงบ้านบ่อกอจากมิอยากสิ้นเหมือนจากถิ่นท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต
อันใบจากรากกอไม่ขอคิดแต่ลูกชิดชอบใจจะใคร่ชม ฯ
๏ ถึงคลองที่อีรำท่าแร้งเรียกสุดสำเหนียกที่จะถามความปฐม
เขาทำน้ำทำนาปลาอุดมเป็นนิคมเขตบ้านพวกพรานปลา
ที่ปากคลองกองฟืนไว้ดื่นดาษดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา
ถึงบางขวางข้างซ้ายชายชลาไขคงคาขังน้ำไว้ทำเกลือ
หรือบ้านนี้ที่เขาว่าตำราร่ำช่างปั้นน้ำเป็นตัวน่ากลัวเหลือ
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือล้วนรกเรื้อรำเริงเป็นเซิงซุ้ม
ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้าดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม
เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุมดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม
ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อมมีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม
เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็มบ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน
โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะเท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มันเป็นเพศพันธุ์ไร้ผัวเพราะมัวเมา
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อเอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้าอุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบเมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ยยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ
สมเพชสัตว์ทัศนาพฤกษาสล้างล้วนโกงกางกุ่มแกมแซมแสม
สงัดเหงาเปล่าเปลี่ยวเมื่อเหลียวแลเสียงแอ้แจ้จักจั่นหวั่นวิญญาณ์ ฯ
๏ ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้งชะวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา
ให้หนูน้อยคอยนับในนาวาแต่หนึ่งมาถ้วนสามสิบสองคด
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลดถึงคลองคดก็ยังไม่เหมือนใจคน ฯ
๏ ถึงปากช่องคลองชื่อสุนัขหอนทั้งเรือแพแลสลอนเสลือกสลน
ต่างแข็งข้อถ่อค้ำที่น้ำวนคงคาข้นขุ่นตื้นแต่พื้นเลน
เข้ายัดเยียดเสียดแทรกบ้างแตกหักบ้างถ่อผลักอึดอัดขัดเขมร
บ้างทุ่มเถียงเสียงหญิงขึ้นเกนเกนล้วนโคลนเลนเปื้อนเปรอะเลอะทั้งตัว
ที่น้อยตัวผัวเมียลงลากฉุดนางเมียหยุดผัวโกรธเมียโทษผัว
ด้วยยากเย็นเข็นฝืดทั้งมืดมัวพอตึงตัวเต็มเบียดเข้าเสียดแซะ
ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประเสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ
ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำแขยะมันเกาะแกะกันจริงจริงหญิงกับชาย ฯ
๏ จนตกทางบางสะใภ้ครรไลล่องมีบ้านช่องซ้ายขวาเขาค้าขาย
ปลูกทับทิมริมทางสองข้างรายไม่เปล่าดายดกระย้าทั้งตาปี
บ้างดิบห่ามงามงอมจนค้อมกิ่งเป็นดอกติ่งแตกประดับสลับสี
บ้างแตกร้าวพราวเม็ดเพชรโนรีเขาขายดีเก็บได้ใส่กระเชอ
มาตั้งขายฝ่ายเจ้าของไม่ต้องถือเห็นเรือล่องร้องว่าซื้อทับทิมเหนอ
จะพูดจาคารวะทั้งคะเออเสียงเหน่อเหน่อหน้าตาน่าเอ็นดู
นึกเสียดายหมายมั่นใคร่พันผูกไว้เป็นลูกสะใภ้ให้เจ้าหนู
พอนึกหยุดบุตรเราก็เจ้าชู้อุตส่าห์รู้ร้องต่อจะขอชิม
เขาอายเอียงเมียงเมินทำเดินเฉยไม่เกินเลยลวนลามงามหงิมหงิม
ได้ตอบต่อล้อเหล่าเจ้าทับทิมพอแย้มยิ้มเฮฮาประสาชาย ฯ
๏ ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้านน่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย
บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงรายดูวุ่นวายวิ่งไขว่กันใหญ่น้อย
ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอกกระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย
ลูกค้ารับนับกันเป็นพันร้อยปลาเล็กน้อยขมงโกรยโกยกระบุง
นางแม่ค้าปลาเค็มก็เต็มสวยกำไรรวยรวมประจบจนครบถุง
บ้างเหน็บท้องป่องปุ่ยตุ่ยตุ่ยตุงต่างบำรุงรูปร่างสำอางตา ฯ
๏ พอออกช่องล่องลำแม่น้ำกว้างบ้านบางช้างแฉกแชไปแควขวา
ข้างซ้ายตรงลงทะเลพอเวลาพระสุริยามืดมัวทั่วแผ่นดิน
ดูซ้ายขวาป่าปะโลงหวายโป่งเป้งให้วังเวงหวั่นไหวฤทัยถวิล
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบินไปหากินแล้วก็พากันมารัง
บ้างเคียงคู่ชูคอเสียงซ้อแซ้โอ้แลแลแล้วก็ให้อาลัยหลัง
แม้นร่วมเรือนเหมือนนกที่กกรังจะได้นั่งแนบข้างเหมือนอย่างนก
นี่กระไรไม่มีเท่ากี่ก้อยโอ้บุญน้อยนึกน่าน้ำตาตก
ต้องลมว่าวหนาวหนังเหมือนคั้งคกจะได้กกกอดใครก็ไม่มี
จนเรือออกนอกอ่าวดูเปล่าโว่งทะเลโล่งแลมัวทั่ววิถี
ไม่เห็นหนสนธยาเป็นราตรีแต่ลมดีดาวสว่างกระจ่างตา
สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรี่ยมทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภาแสงคงคาเค็มพราวราวกับพลอย
เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่มแลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย
เป็นหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอยตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย
ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึกหวนรำลึกแล้วเสียดายไม่วายโหย
แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดยทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น
จะเพลินชมยมนาเวหาห้องเช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น
ทะเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็นดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม
จะเปรมปรีดิ์ดีใจมิใช่น้อยน้องจะพลอยเพลินอารมณ์ด้วยชมโฉม
โอ้อายจิตคิดรักลักประโลมทรวงจะโทรมตรงช่องปากคลองโคน
ด้วยมืดค่ำสำคัญที่นั่นแน่เรียกแสมตายห่าพฤกษาโกร๋น
ลำพูรายชายเลนดูเอนโอนวายุโยนยอดระย้าริมสาคร
หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลืองดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกรยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา ฯ
๏ ถึงคลองช่องล่องเลียบเงียบสงัดเห็นเมฆกลัดกลางทะเลบนเวหา
เสียงโครมครื้นคลื่นกระทั่งฝั่งชลาลมสลาตันตึงหึ่งหึ่งฮือ
นาวาเหเซหันให้ปั่นป่วนต้องแจวทวนท้ายหันช่วยกันถือ
ถึงสี่แจวแล้วเรือยังเหลือมือลมกระพือพัดโงงดูโคลงเคลง
ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่นโอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง
น่าอายเพื่อนเหมือนคำเขาทำเพลงมาเท้งเต้งเรือลอยน่าน้อยใจ
ยิ่งแจวทวนป่วนปั่นยิ่งหันเหลมทะเลเหลือจะต้านทานไม่ไหว
เสียงสวบเสยเกยตรงเข้าพงไพรติดอยู่ใต้ต้นโกงกางแต่กลางคืน
พอจุดเทียนเซี่ยนขันน้ำมันคว่ำต้องวิดน้ำนาวาไม่ฝ่าฝืน
เสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมชื้นเหลือแต่ผืนผ้าแพรของแม่น้อง
ได้กันลมห่มหนาวเมื่อเช้าตรู่ยังรักรู้จักคุณการุญสนอง
ลมรินรินกลิ่นกลบอบละอองได้ปกครองคุมเครือเมื่อเรือค้าง ฯ
๏ เขาหลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิทพี่นี้คิดใคร่ครวญจนจวนสว่าง
เสียงนกร้องซ้องแซ่ครอแครครางทั้งลิงค่างครอกโครกละโอกโอย
เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สานวิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดยชะนีโหยหาคู่ไม่รู้วาย
เหมือนวิตกอกน้องที่ตรองตรึกเหลือรำลึกอาลัยมิใคร่หาย
จะเรียกบ้างอย่างชะนีก็มีอายต้องเรียกสายสวาทในใจรำจวน
จนรุ่งแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้นต้องค้างตื้นติดป่าพากันสรวล
จะเข็นค้ำล้ำเหลือเป็นเรือญวนพอเห็นจวนน้ำขึ้นค่อยชื่นใจ
ต้นแสมแลดูล้วนปูแสมขึ้นไต่แต่ต้นกิ่งวิ่งไสว
เขาสั่นต้นหล่นผอยผ็อยผ็อยไปลงมุดใต้ตมเลนเห็นแต่ตา ฯ
๏ โอ้เอ็นดูหนูน้อยร้องหอยเหาะขึ้นไปเกาะกิ่งตลอดยอดพฤกษา
ล้วนจุ๊บแจงแผลงฤทธิ์เขาปลิดมากวักตรงหน้าเรียกให้มันได้ยิน
จุ๊บแจงเอ๋ยเผยฝาหาข้าวเปียกแม่ยายเรียกจะให้ไปกฐิน
ทั้งงวงทั้งงาออกมากินช่วยปัดริ้นปัดยุงกระทุงราย
เขาร่ำเรียกเพรียกหูได้ดูเล่นมันอยากเป็นลูกเขยทำเงยหงาย
เยี่ยมออกฟังทั้งตัวกลัวแม่ยายโอ้นึกอายด้วยจุ๊บแจงแกล้งสำออย
เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสน่หาแต่หากว่าพูดยากเป็นปากหอย
เปรียบเหมือนคนจนทุนทั้งบุญน้อยจะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก
พอลอยลำน้ำมากออกจากป่าได้แอบอาศัยแสมอยู่แต่ดึก
ในดงฟืนชื่นชุ่มทุกพุ่มพฤกษ์ผู้ใดนึกฟันฟาดให้คลาดแคล้ว
แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่องไปตามร่องน้ำหลักปักเป็นแถว
ข้ามยี่สานบ้านสองพี่น้องแล้วค่อยคล่องแคล่วเข้าชะวากปากตะบูน
น้ำยังน้อยค่อยค้ำพอลำเลื่อนไม่มีเพื่อนเรือประหลาดช่างขาดสูญ
ในคลองลัดทัศนายิ่งอาดูรเป็นดินพูนพานจะตื้นแต่พื้นโคลน
ป่าปะโลงโกงกางแกมแสมแต่ล้วนแต่ตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น
ตลอดหลามตามตลิ่งล้วนลิงโลนอ้ายทโมนนำหน้าเที่ยวคว้าปู
ครั้นล้วงชุดสุดอย่างเอาหางยอนมันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู
เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรูลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต
ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่องฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซอกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝงตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา
เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนาทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอดเหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจก็บรรลัยแลกลาดดาษดา
แม้นเดี๋ยวนี้มีหญิงไม่ทิ้งผัวถึงรูปชั่วฉันจะรักให้หนักหนา
โอ้อาลัยใจอย่างนางแมงดาแต่ดูหน้าในมนุษย์เห็นสุดแล ฯ
๏ จนออกช่องคลองบางตะบูนใหญ่ล้วนป่าไม้ตีนเป็ดเสม็ดแสม
นกกะลางยางกรอกกระรอกกระแตเสียงซ้อแซ้สองข้างทางกันดาร ฯ
๏ ถึงที่วังตั้งประทับรับเสด็จมาทรงเบ็ดปลากะโห้ไม่สังหาร
ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดานแต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา
แต่เดี๋ยวนี้ที่วังก็รั้งร้างเป็นรอยทางทุบปราบราบรุกขา
ยังแลเลี่ยนเตียนดีที่พลับพลานึกระอาอนิจจังไม่ยั่งยืน
เดิมเป็นป่ามาเป็นวังตั้งประทับแล้วก็กลับไปเป็นป่าไม่ฝ่าฝืน
เหมือนมียศลดลงไม่คงคืนนึกสะอื้นอายใจมาในเรือ ฯ
๏ ถึงบางหอหอใครที่ไหนหนอมาปลูกหอเสน่หาในป่าเสือ
อันย่านนี้ที่บนบกก็รกเรื้อทั้งทางเรือจระเข้ก็เฉโก
ถึงเจ้าสาวชาวสวรรค์ฉันไม่อยู่จะโศกสู้เอกาอนาโถ
ด้วยพรั่นตัวกลัวเสือก็เหลือโซเห็นแต่โพธิ์ทะเลจระเข้ลอย
ทั้งเหลืองดำคร่ำคร่าล้วนกล้าแกล้วจนเรือแจวจวนใกล้มิใคร่ถอย
ดูน่ากลัวตัวใหญ่มิใช่น้อยต่างคนคอยภาวนาอุตส่าห์สำรวม
เห็นนกบินกินปลาล้วนน่ารักนกปักหลักลงน้ำเสียงต้ำป๋วม
นกกระเต็นเต้นตามนกกามกวมกับเหี้ยต้วมเตี้ยมต่ายตามชายเลน ฯ
๏ ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาทมีอาวาสวัดวามหาเถร
มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณพอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ
กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์พิษฐาน
เขานับถือลืออยู่แต่บุราณใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน
ขึ้นลานวัดทัศนาดูอาวาสศิลาลาดเลียบเดินเนินสิงขร
พฤกษาออกดอกช่ออรชรหอมขจรจำปาสารภี
ต้นโพธิ์ไทรไม้งอกตามซอกหินอินทนิลนางแย้มสอดแซมสี
เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรีสุมาลีหล่นกลาดดูดาษดิน
ได้ชมเพลินเดินมาถึงหน้าโบสถ์สมาโทษถือเทียนเวียนทักษิณ
เคารพสามตามกำหนดหมดมลทินกับหนูนิลหนูพัดเข้ามัสการ
ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน
ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดารท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง
ให้ได้แหวนแทนทรงสักวงหนึ่งกับแพรซึ่งหอมห่มให้สมหวัง
แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจังจะแต่งตั้งบายศรีมีละคร
ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวยเหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร
สาธุสะพระสัมฤทธิ์ประสิทธิ์พรให้ได้นอนฟูกฟูเหมือนชูชก ฯ
๏ แล้ววันทาลาเลียบลงเหลี่ยมเขาพอบังเงาแดดร่มทั้งลมตก
ออกนาวามาทางบ้านบางครกมะพร้าวดกดูสล้างสองข้างคลอง
มีส้มสูกลูกไม้เหมือนในสวนตลอดล้วนเรียงรายเรียกขายของ
เขาเลียนล้อต่อถามตามทำนองไม่ยิ้มย่องนิดหน่อยอร่อยใจ
จนเรือออกนอกชะวากปากบางครกต้องเลี้ยววกไปตามลำแม่น้ำไหล
เป็นถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไรเขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง
แต่ฟักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้าฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง
ล้วนเลี้ยงวัวทั่วถิ่นได้กินแรงแต่เสียงแปร่งเปรี้ยวหูไม่รู้กลัว
เจ้าสำนวนชวนตีแต่ฝีปากพูดด้วยยากชาวบางกอกจนกลอกหัว
แสนแสงอนค้อนว่าค่อนด่าวัวเขาตัดหัวแขนห้อยร้อยประการ
ล้วนแช่งซ้ำล้ำเหลืออ้ายเสือขบลำเลิกทบทวนชาติเสียงฉาดฉาน
อ้ายวัวเฒ่าเขาล้มคือสมภารมันขี้คร้านทดข้าวเขาจึ่งแทง ฯ
๏ ถึงบ้านใหม่ไถ่ถามตามสงสัยว่ายังไกลอยู่หรือบ้านท่านขุนแขวง
ไม่บอกก่อนย้อนถามเป็นความแคลงจะพายแรงหรือว่านายจะพายเบา
ถ้าพายหนักสักครู่หนึ่งก็ถึงดอกสำนวนนอกน้ำเพชรแล้วเข็ดเขา
บ้างโห่ฉาวกราวเกรียวเกี่ยวข้าวเบาบ้างตั้งเตาเคี่ยวตาลพานอุดม ฯ
๏ ถึงบางกุ่มหนุ่มแก่สาวแซ่ซ้องมีบ้านสองฟากข้ามนามประถม
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านสะท้านยายนมน่าใคร่ชมชื่นจิตคิดรำพึง
อย่างไรหรือชื่อเช่นนั้นขันหนักหนอหรือแกล้งล้อจะให้นึกรำลึกถึง
ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้งเคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่สถิตที่ทับนาพออาศัย
เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจจึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ
นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่งเธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอเพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน ฯ
๏ โอ้สงสารท่านรองเคยครองรักเมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร
เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอนทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้างไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชายแสนเสียดายดูหน้านึกอาลัย ฯ
๏ ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาคเมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไลมาทำไร่ทำนาท่านการุญ
เมื่อเจ็บป่วยช่วยรักษาจะหาคู่จะขอสู่ให้เป็นเนื้อช่วยเกื้อหนุน
ยังยากไร้ไม่มีของสนองคุณขอแบ่งบุญให้ท่านทั่วทุกตัวตน
ทั้งนารีที่ได้รักลักรำลึกเป็นแต่นึกลับหลังหลายครั้งหน
ขอสมาอย่าได้มีราคีปนเป็นต่างคนต่างแคล้วแล้วกันไป
แต่ปรางทองน้องหญิงยังจริงจิตแนบสนิทนับเชื้อว่าเนื้อไข
จะแวะหาสารพัดยังขัดในต้องอายใจจำลากลัวช้าการ ฯ
๏ ถึงอารามนามที่กุฎีทองดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร
ริมอารามข้ามน้ำทำตะพานนมัสการเดินมาในวารี
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อยตะวันคล้อยคล้ำฟ้าในราศี
ค่อยคล่องแคล่วแจวรีบถึงพริบพรีประทับที่หน้าท่าพลับพลาชัย
ด้วยวัดนี้ที่สำหรับประทับร้อนนรินทรท้าวพระยามาอาศัย
ขอเดชะอานุภาพช่วยปราบภัยให้มีชัยเหมือนเช่นนามอารามเมือง
ดูเรือแพแซ่ซ้องทั้งสองฟากบ้างขายหมากขายพลูหนวกหูเหือง
นอนค้างคืนตื่นเช้าเห็นชาวเมืองดูนองเนืองนาวาบ้างมาไป ฯ
๏ ได้เยี่ยมเยือนเรือนบ้านท่านขุนแพ่งมาปลูกแปลงแปลกกว่าเมื่ออาศัย
ด้วยศึกลาวคราวนั้นเธอบรรลัยไม่มีใครครอบครองจึ่งหมองมัว
แสนสงสารท่านผู้หญิงมิ่งเมียหลวงเฝ้าข้อนทรวงเสียใจอาลัยผัว
ทั้งเมียน้อยอ้อยอิ่งหญิงคนครัวพากันมัวหมองคล้ำระกำตรอม
เมื่อมาเรือนเยือนศพได้พบพักตร์ไม่หมองนักคราวนี้รูปช่างซูบผอม
เพราะครวญคร่ำกำสรดสู้อดออมเหมือนแก่งอมหงิมเงียบเซียบสำเนียง
โอ้อกเอ๋ยเคยสำราญอยู่บ้านนี้ได้ฟังปี่พาทย์เพราะเสนาะเสียง
ทั้งหญิงชายฝ่ายเพื่อนริมเรือนเรียงเคยพร้อมเพรียงเพรางายสบายใจ
โอ้คิดคุณขุนแพ่งเสียแรงรักไม่พบพักตร์พลอยพาน้ำตาไหล
ได้สวดทั้งบังสุกุลแบ่งบุญไปให้ท่านได้สู่สวรรค์ชั้นวิมาน ฯ
๏ แล้วอำลาอาลัยใจจะขาดจำนิราศแรมร้างห่างสถาน
ลงเรือจอดทอดท่าหน้าตะพานแสนสงสารศิษย์หาออกมาอึง
เห็นหน้าน้องทองมีอารีรักครั้นจะทักเล่าก็กลัวผัวจะหึง
ได้เคยเห็นเป็นฝีมือมักดื้อดึงจะตูมตึงแตกซ้ำระยำเยิน
ทั้งที่ปรางค์นางใหญ่ได้ให้ผ้าเมื่อครั้งมาสอนบุตรสุดสรรเสริญ
ได้ห่มหนาวคราวระกำจงจำเริญยังเชื้อเชิญชวนชักรักอารมณ์ ฯ
๏ แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่ยังรักใคร่ครองจิตสนิทสนม
ที่ธุระจะใคร่ได้ใจนิยมเขารับสมปรารถนาสามิภักดิ์
จะกลับหลังยังมิได้ดั่งใจชั่วต้องไปทั่วบ้านเรือนเพื่อนรู้จัก
เมื่อเป็นบ้ามาคนเดียวเที่ยวสำนักเขารับรักรู้คุณกรุณา
ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้นเว้นแต่อินวัดเกศของเชษฐา
ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตาพอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย
โอ้คิดแค้นแหวนประดับกับแพรเพลาะเป็นคราวเคราะห์เพราะเป็นบ้านิจจาเอ๋ย
จนรักตายกลายตอเป็นกอเตยไม่เห็นเลยว่าจะเป็นไปเช่นนั้น ฯ
๏ โอ้คิดถึงพึ่งบุญท่านขุนแพ่งไปหน้าแล้งรับแขกแรกวสันต์
ตำข้าวเม่าเคล้าน้ำตาลทั้งหวานมันได้ช่วยกันคั้นขยำน้ำกะทิ
เขาไปเที่ยวเกี่ยวข้าวอยู่เฝ้าห้องเหมือนพี่น้องนึกโอ้อโหสิ
เนื้อเอ๋ยเนื้อเหลือเจ็บจนเล็บลิยังปริปริปริ่มพร้อยเป็นรอยราย
ครั้นไปเยือนเรือนหลานบ้านวัดเกาะยังทวงเพลาะแพรดำที่ทำหาย
ต้องใช้สีทับทิมจึ่งยิ้มพราย ฯวิลาสลายลอยทองสนองคุณ ฯ
๏ แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน
พอวันนัดชัดน้ำเขาทำบุญเห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ
เขาว่าน้องของเราเป็นเจ้าสาวไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ
เหมือนจุดไต้ว่ายน้ำมาตำตอเสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ
จะแทนบุญคุณมาประสายากต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ
ได้ฝากแต่แพรผ้ากับป้าทรัพย์ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง
ไปปีหนึ่งครึ่งปีเมื่อมีลูกจะมาผูกมือบ้างอย่าหมางหมอง
แล้วมาเรือเหลือรำลึกเฝ้าตรึกตรองเที่ยวฉลองคุณท่านทุกบ้านเรือน ฯ
๏ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้องเฝ้าท้องท้องทุกทุกปีไม่มีเหมือน
ช่างกระไรใจจิตไม่บิดเบือนจะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ
จึงฝากคำทำกลอนไว้สอนสั่งเมื่อมิฟังพี่ห้ามตามวิสัย
พอวันพระศรัทธาพากันไปเที่ยวแวะไหว้พระอารามตามกำลัง
พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลังสาธุสะพระนอนสิงขรเขา
ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย
พระเนตรหลับทับพระบาทไสยาสน์เหยียดอ่อนละเมียดอาสนะพระเขนย
พระเจ้างามยามประทมน่าชมเชยช่วยรำเพยพัชนีนั่งวีลม
แล้วนึกว่าหน้าหนาวมาคราวนี้ถึงแท่นที่พระสถิตสนิทสนม
ยังมีแต่แพรหอมถนอมชมได้คลี่ห่มหุ้มอุระพระประธาน
อุทิศว่าผ้านี้ของพี่น้องฝ่ายเจ้าของขาดรักสมัครสมาน
มาห่มพระจะให้ผลดลบันดาลได้พบพานภายหน้าสถาพร
ทั้งรูปงามทรามประโลมโฉมแฉล้มขอให้แก้มสองข้างอย่างเกสร
ทั้งเนื้อหอมพร้อมสิ้นกลิ่นขจรคนแสนงอนให้มาง้อมาขอชิม
หนึ่งผ้าข้าได้ห่มประทมพระขอทิฏฐะจงเห็นเป็นปัจฉิม
ให้มีใหม่ได้ดีสีทับทิมทั้งขลิบริมหอมฟุ้งปรุงสุคนธ์
ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่มคลุมประทมพิษฐานการกุศล
ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปนได้เยาะคนขอจูบรักรูปเรา ฯ
๏ แล้วลดเลี้ยวเที่ยวไปบันไดอิฐต่างเพลินพิศเพิงผารุกขาเขา
จิกจันทน์แจงแทงทวยกรวยกันเกราโมกข์แมงเม่าไม้งอกซอกศิลา
เหล่าลั่นทมยมโดยร่วงโรยกลิ่นระรวยรินรื่นรื่นชื่นนาสา
โบสถ์วิหารลานวัดทัศนาล้วนศิลาแลสะอาดด้วยกวาดเตียน
มีกุฎีที่พระสงฆ์ทรงสถิตพฤกษาชิดชั้นไผ่เหมือนไม้เขียน
น่าสนุกรุกขชาติดาษเดียรเที่ยวเดินเวียนวงรอบขอบคีรี ฯ
๏ พอแดดร่มลมชายสบายจิตเที่ยวชมทิศทุ่งทางกลางวิถี
ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรีเหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล
ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร
พะองยาวก้าวตีนปีนทะยานกระบอกตาลแขวนกันคนละพวง
แต่ใจดีที่ว่าใครเข้าไปขอให้กินพออิ่มอุทรบห่อนหวง
ได้ชื่นฉ่ำน้ำตาลหวานหวานทรวงขึ้นเขาหลวงเลียบเดินเนินบันได
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศรุกขชาติช่อดอกออกไสว
บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัยต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง
ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้องเหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง
เวียนประเวศเกษราบุปผาพวงได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจง ฯ
๏ โอ้อกน้องท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิตไม่มีมิตรที่จะชมสมประสงค์
กับหนูน้อยพลอยเพลินเที่ยวเดินวงขึ้นถึงองค์พระเจดีย์บนคีริน
ต่างเหนื่อยบอบนอบน้อมอยู่พร้อมพรั่งบ้างหยุดนั่งเอนนอนกับก้อนหิน
เห็นประเทศเขตแคว้นในแดนดินมีบ้านถิ่นทิวไม้ไรไรราย
คีรีรอบขอบเขื่อนดูเหมือนเมฆแลวิเวกหวาดหวั่นยิ่งขวัญหาย
เห็นทะเลเคหาหน้าหาดทรายดูเรียงรายเรี่ยเรี่ยเตี้ยติดดิน
ได้ชมเพลินเมินมุ่งดูทุ่งกว้างมีแถวทางเถื่อนท่าชลาสินธุ์
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากินบ้างโบยบินว้าว่อนบ้างร่อนเรียง
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวร้องประสานซ้องสกุณาภาษาเสียง
กินปลีเปล้าเขาไฟจับไม้เรียงกรอดเคียงคู่กรอดแล้วพลอดเพลิน
รอกกระแตแลโลดกระโดดแล่นกระต่ายเต้นตามลำเนาภูเขาเขิน
ที่ทุ่งกว้างกลางหนเห็นคนเดินหาบน้ำตาลคานเยิ่นหยอกเอินกัน
ทั้งล้อเกวียนเดียรดาษดูกลาดเกลื่อนทุกถิ่นเถื่อนทุ่งแถวแพ้วจังหัน
โสมนัสทัศนาจนสายัณห์แล้วพากันเข้าในถ้ำน่าสำราญ ฯ
๏ มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียดคนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร
พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวรานโอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย
ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำโอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย
ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชยต่างแหงนเงยชมชะง่อนก้อนศิลา
เป็นลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับแลสลับเลื่อมคล้ายลายเลขา
กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้าดาษดาดูดูดังพู่พวง
ฉะเช่นนี้มีฤทธิ์จะคิดช้อนเอาสิงขรเข้าไปตั้งริมวังหลวง
เห็นหนุ่มสาวชาวบุรินสิ้นทั้งปวงจะแหนหวงห้องหับถึงจับกุม
เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อยดูผ็อยผ็อยเผาะลงที่ตรงหลุม
เป็นไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแข็งคุมเป็นหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดี ฯ
๏ แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อมบ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี
เป็นห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมีคิดถึงปีเมื่อเป็นบ้าเคยมานอน
ชมลูกจันกลั่นกลิ่นระรินรื่นจนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน
เห็นห้องหินศิลาน่าอาวรณ์เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี
พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้องเรไรซ้องเสียงจังหรีดดังดีดสี
คิดคะนึงถึงตัวกลัวต้องตีต่อช้าปีจึงค่อยวายฟายน้ำตา
โอ้ยามยากจากบุรินมาถิ่นเถื่อนไม่มีเรือนแรมอยู่ในคูหา
เดือนสว่างต่างไต้เมื่อไสยาแผ่นศิลาต่างฟูกกระดูกเย็น
ยังรินรินกลิ่นกลั่นจันทน์กระแจะเหมือนจะแนะนำจิตให้คิดเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็นโอ้จำเป็นเป็นกรรมจึงจำไกล
มาเห็นถ้ำน้ำตาลงพรากพรากแต่เพื่อนยากยังไม่เห็นว่าเป็นไฉน
จะไปเรือนเยือนเยี่ยมก็เจียมใจขอสั่งไว้เถิดถ้ำที่ช้ำทรวง
อันถ้ำนี้ที่มนุษย์หยุดกินน้ำมิใช่ถ้ำของอิเหนาถ้ำเขาหลวง
เขาช่วยเล่าเถิดว่าเขาไม่ล่อลวงแต่เขาหวงเขาห้ามต้องขามใจ
จึงเขียนกลอนนอนค้างไว้ต่างพักตร์หวังประจักษ์มิ่งมิตรพิสมัย
จะภิญโญโมทนาให้อาภัยอย่าน้อยใจเลยถ้ำขออำลา ฯ
๏ แล้วลัดออกนอกลำเนาภูเขาหลวงดูเด่นดวงเดือนสว่างกลางเวหา
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างที่กลางนาเสียงปักษาเพรียกพลอดบนยอดตาล
มาตามทางหว่างโตนดลิงโลดจิตแต่พวกศิษย์แสนสุขสนุกสนาน
เห็นกระต่ายไล่โลดโดดทะยานเสียงลูกตาลกรากตึงตะลึงแล
ต่างชิมชมดมเดินเจริญรื่นเที่ยวชมชื่นเขตแขวงด้วยแสงแข
ต่างลดเลี้ยวเที่ยวเด็ดดอกแคแตรได้เห็นแต่นกน้อยต้อยตีวิด
สักสองยามตามทักล้วนปักษาเสียงแจ้วจ้าจ้อยเจี๋ยวเตี๋ยวเตี๋ยวติด
โอ้ฟังฟังหวังสวาทไม่ขาดคิดช่างไม่ผิดเสียงสาวชาวพริบพรี ฯ
๏ แล้วเลี้ยวลงตรงหน้าวัดพระธาตุพอเดือนคลาดคล้อยจำรัสรัศมี
ดูพระปรางค์กลางอารามก็งามดีแต่ไม่มีเงาบ้างเป็นอย่างไร
สาธุสะพระมหาตถาคตยังปรากฏมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส
พอไก่ขันวันทาลาครรไลลงเรือใหญ่ล่องมาถึงธานี ฯ
๏ จึงจดหมายรายความตามสังเกตถิ่นประเทศแถวทางกลางวิถี
ให้อ่านเล่นเป็นเรื่องเมืองพริบพรีผู้ใดมีคุณก็ได้ไปแทนคุณ
ทั้งผ้าหอมย้อมเหลืองได้เปลื้องห่มพระประทมที่ลำเนาภูเขาขุน
กุศลนั้นบรรดาที่การุญรับส่วนบุญเอาเถิดท่านที่อ่านเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

เครื่องมือส่วนตัว