นิราศเมืà¸à¸‡à¹à¸à¸¥à¸‡
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 06:53, 9 กรกฎาคม 2552 โดย Admin (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
๏ โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย | |||
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย | ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา | ||
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า | ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา | ||
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา | ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน | ||
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท | จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร | ||
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร | ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน | ||
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม | น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์ | ||
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ | จะพากันแรมทางไปต่างเมือง ฯ | ||
๏ ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อน | พอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง | ||
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง | แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา | ||
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้า | จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา | ||
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดา | โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง | ||
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์ | สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง | ||
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง | เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย | ||
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย | เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส | ||
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพร | ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแพ้วพาน | ||
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ | แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน | ||
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน | ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง | ||
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย | นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์ | ||
จะลำบากยากแค้นไปแดนดง | เอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือน ฯ | ||
๏ ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่ง | ยิ่งดึกยิ่งเสียใจใครจะเหมือน | ||
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือน | จนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร | ||
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่ | กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย | ||
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจ | เดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์ | ||
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้ | คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร | ||
หอมสุคนธ์ปนกายขจายจร | โอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย | ||
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้าง | พี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย | ||
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชาย | แม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล | ||
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้น | ดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน | ||
เขาแจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญ | มาพบบ้านบางระเจ้ายิ่งเศร้าใจ | ||
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวน | จนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย | ||
ศศิธรอ่อนอับพยับไพ | ถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง | ||
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล | ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง | ||
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง | เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที | ||
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต | ใช่จะคิดอายอางขนางหนี | ||
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี | ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป | ||
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ | ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส | ||
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจ | พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง | ||
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิง | ดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง | ||
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคอง | ก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย | ||
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด | ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล | ||
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป | นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา | ||
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้าย | ตะวันฉายแสงส่องต้องพฤกษา | ||
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวา | เป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน | ||
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบ | ระเนนนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน | ||
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรัน | เป็นเขตคันขอบป่าพนาลัย ฯ | ||
๏ ถึงทับนางวางเวงฤทัยวับ | เห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย | ||
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจ | คราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม | ||
อันนางในนคราถึงทาสี | ดีกว่านางทั้งนี้สักสองสาม | ||
โอ้พลัดพรากจากบุรินแล้วสิ้นงาม | ยิ่งคิดความขวัญหายเสียดายกรุง | ||
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ | ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง | ||
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง | ต้องลากจุงจ้างควายอยู่รายเรียง | ||
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด | เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง | ||
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง | บ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย | ||
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้ง | เห็นนายแสงผู้เป็นใหญ่ก็ใจหาย | ||
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลาย | เห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน | ||
น้อยกับพุ่มหนุ่มตะกอถ่อกระหนาบ | เสียงสวบสาบแทรกไปด้วยใจหาญ | ||
นายแสงร้องรั้งไว้ไม่ได้การ | เอาถ่อกรานโดยกลัวจนตัวโกง | ||
สงสารแสงแข็งข้อไม่ท้อถอย | พุ่มกับน้อยแทรกกลางเสียงผางโผง | ||
ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรง | นาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม ฯ | ||
๏ จนตกลึกล่วงทางถึงบางโฉลง | เป็นทุ่งโล่งลานตาล้วนป่าแขม | ||
เหงือกปลาหมอกอกกกับกุ่มแกม | คงคาแจ่มเค็มจัดดังกัดเกลือ | ||
ถึงหัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกร๋น | ดูเกรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ | ||
ที่กิ่งก้านกรานกีดประทุนเรือ | ลำบากเหลือที่จะร่ำในลำคลอง | ||
ถึงหย่อมย่านบ้านไร่อาลัยเหลียว | สันโดษเดียวมิได้พบเพื่อนสนอง | ||
เขารีบแจวมาในนทีทอง | อันบ้านช่องมิได้แจ้งแห่งตำบล | ||
ถึงคลองขวางบางกระเทียมสะท้านอก | โอ้มาตกอ้างว้างอยู่กลางหน | ||
เห็นแต่หมอนอ่อนแอบอุระตน | เพราะความจนเจียวจึงจำระกำใจ | ||
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ป่าแสม | ตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว | ||
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร | ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม | ||
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวาก | ข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม | ||
เข้าสร้างศาลเทพาพยายาม | กระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา | ||
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้ | โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา | ||
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลา | เห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก | ||
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก | ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม | ||
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ | ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน | ||
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง | เขาว่าลิงจองหองมันพองขน | ||
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน | เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง ฯ | ||
๏ ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพร่ง | น้ำก็แห้งสุริยนก็หม่นหมอง | ||
ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครอง | ข้างขวาคลองบางเหี้ยทะเลวน | ||
ประทับทอดนาวาอยู่ท่าน้ำ | ดูเรียงลำเรือรายริมไพรสณฑ์ | ||
เขาหุงหาอาหารให้ตามจน | โอ้ยามยลโภชนาน้ำตาคลอ | ||
จะกลืนข้าวคราวโศกในทรวงเสียว | เหมือนขืนเคี้ยวกรวดแกลบให้แสบศอ | ||
ต้องเจือน้ำกล้ำกลืนพอกลั้วคอ | กินแต่พอดับลมด้วยตรมใจ | ||
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบลงหรบรู่ | ยุงออกฉู่ชิงพลบตบไม่ไหว | ||
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟ | แต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย | ||
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้ง | มากรำยุงเวทนาประดาหาย | ||
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย | แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา | ||
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่อง | เข้าในคลองคึกคักกันนักหนา | ||
ด้วยมืดมัวกลัวตอต้องรอรา | นาวามาเรียงตามกันหลามทาง | ||
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้ง | ทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง | ||
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์ | วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ | ||
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝก | ทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว | ||
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัย | เช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย | ||
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาด | กัมปนาทเสียงนกวิหคโหย | ||
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรย | เมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย | ||
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก | ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย | ||
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกย | เมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจ ฯ | ||
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อ | ค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล | ||
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัย | ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง | ||
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง | เป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง | ||
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนคะนอง | ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ | ||
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก | เห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ | ||
กระทบผางตอนางตะเคียนดำ | ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา | ||
พวกเรือพี่สี่คนขนสยอง | ก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา | ||
พ้นระวางนางรุกขฉายา | ต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง | ||
ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์ | ขอฝากภัคนีน้อยแม่น้องหญิง | ||
ใครสามารถชาติชายจะหมายชิง | ให้ตายกลิ้งลงเหมือนตอที่ตำเรือ | ||
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบ | ไม่อาจแอบชิดฝั่งระวังเสือ | ||
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลัดดาเครือ | ค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนือง | ||
ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ | สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง | ||
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง | ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม | ||
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาด | มาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม | ||
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์ | จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ | ||
แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็น | ยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว | ||
โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัย | จะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ | ||
ประจวบจนถึงตำบลบ้านมะพร้าว | พอฟ้าขาวขอบไพรเสียงไก่ขัน | ||
เป็นที่กุมภาพาลชาญฉกรรจ์ | ให้หวาดหวั่นรีบมาในสาชล | ||
ถึงบางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้ำ | ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน | ||
ดาวเดือนดับลับเมฆเป็นหมอกมน | สุริยนเยี่ยมฟ้าพนาลัย | ||
พอเรือออกนอกชะวากปากตะครอง | ค่อยลอยล่องตามลำแม่น้ำไหล | ||
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งวิเวกใจ | เป็นพงไพรฝูงนกวิหคบิน ฯ | ||
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านบางมังกงนั้น | ดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสินธุ์ | ||
แต่ล้วนบ้านตากปลาริมวาริน | เหม็นแต่กลิ่นเน่าอบตลบไป | ||
เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่ | ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย | ||
เกเลเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัย | ช่วยคุ้มภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย | ||
พอพ้นบ้านลานแลดูปากช่อง | เห็นทิวท้องสมุทรไทน่าใจหาย | ||
แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทราย | ทั้งสามนายจัดแจงโจงกระเบน | ||
ไปตามช่องล่องออกไปนอกรั้ว | เห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน | ||
สักประเดี๋ยวเหลียวดูลำพูเอน | ยอดระเนนนาบน้ำอยู่รำไร | ||
ป่าแสมแลเห็นอยู่ริ้วริ้ว | ให้หวิวหวิววาบวับฤทัยไหว | ||
จะหลบหลีกเข้าฝั่งก็ยังไกล | คลื่นก็ใหญ่โยนเรือเหลือกำลัง | ||
สงสารแสงแข็งข้อจนขาสั่น | เห็นเรือหันโกรธบ่นเอาคนหลัง | ||
น้ำจะพัดปัดตีไปสีชัง | แล้วคุ้มคลั่งเงี่ยนยาทำตาแดง | ||
ปลอบเจ้าพุ่มพึมพำว่ากรรมแล้ว | อุตส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง | ||
สงสารน้อยหน้าจ๋อยนั่งจัดแจง | คิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ | ||
พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง | แลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ | ||
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ | คลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย | ||
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุก | จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย | ||
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลาย | ทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา | ||
หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อย | พุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา | ||
นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธา | ชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม | ||
แล้วหุงหาอาหารสำราญรื่น | จนเที่ยงคืนขึ้นศาลาได้อาศัย | ||
ฟังเสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นไป | ดูมือในเมฆานภาภางค์ | ||
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทร | ละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง | ||
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางราง | กระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย | ||
เห็นคล้ายคล้ายปลาว่ายเฉวียนฉวัด | ระลอกซัดสาดกระเซ็นขึ้นเต้นหยอย | ||
ฝูงปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอย | น้ำก็พลอยพร่างพร่างกลางคงคา ฯ | ||
๏ แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุช | ไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา | ||
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตา | เห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล | ||
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ | พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล | ||
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ | สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย | ||
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้าน | ถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวหาหอย | ||
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอย | เอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน | ||
อันพวกเขาชาวประโมงไม่โหย่งหยิบ | ล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร | ||
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพล | ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม | ||
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป | แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม | ||
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม | ใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม | ||
โอ้ดูเรือนเหมือนอกเราไร้คู่ | ผู้ใดดูจึงไม่ออกเอี่ยมสนาม | ||
หรือต้องสาปบาปหลังยังติดตาม | ผู้หญิงงามจึงไม่มีปรานีเลย | ||
จะรักใครเขาก็ไม่เมตตาตอบ | สมประกอบได้แต่สอดกอดเขนย | ||
เอ็นดูเขาเฝ้านึกนิยมเชย | โอ้ใจเอ๋ยจะเป็นกรรมนั้นร่ำไป | ||
พลางรำพึงถึงทางที่กลางเถื่อน | จึงคล้อยเคลื่อนนาวาเข้าอาศัย | ||
มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทย | สำนักในคูหาขุนจ่าเมือง ฯ | ||
๏ ใครพบพักตร์เขาก็ทักว่าทรงซูบ | จะดูรูปตัวเองก็ผอมเหลือง | ||
ซังตายชื่นฝืนฤทัยให้ประเทือง | เที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง | ||
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่ง | บ้างยืนบ้างนั่งร้านประสานเสียง | ||
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียง | เห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง | ||
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้า | หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง | ||
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง | มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง | ||
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง | ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ | ||
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง | พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์ | ||
ดูก็งามตามประสาพนาเวศ | ไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์ | ||
แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวัน | ก็ชวนกันเลยลาขุนจ่าเมือง | ||
พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลื่อนลด | อร่ามรถสุริยาเวหาเหลือง | ||
จากเคหาชลนาพี่นองเนือง | ขืนประเทืองปล้ำทุกข์มาตามทาง | ||
พอพ้นบ้านลานแลล้วนทุ่งเลี่ยน | หนทางเตียนตัดเข้าภูเขาขวาง | ||
ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินราง | หยาดน้ำค้างข้อหลุมที่ขุมควาย | ||
ดูสีขาวราวกับน้ำตาลโตนด | ที่หว่างโขดขอบผาศิลาฉลาย | ||
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายราย | เห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง | ||
ถึงหมองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่ | เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง | ||
ต้องเดินเฉียงเลี่ยงลัดตัดทแยง | ตามนายแสงนำทางไปกลางไพร | ||
กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขน | ไม่มีต้นพฤกษาจะอาศัย | ||
ล้วนละแวกแฝกคาป่ารำไร | จนสุดไร่เลียบริมทะเลมา | ||
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงบางพระ | ดูระยะบ้านนั้นก็แน่นหนา | ||
พอพบเรือนเพื่อนชายชื่อนายมา | เขาโอภาต้อนรับให้หลับนอน ฯ | ||
๏ พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ | ลงเลียบหาดหวนคะนึงถึงสมร | ||
เห็นกรวดทรายชายทะเลชโลทร | ละเอียดอ่อนดังละอองสำลีดี | ||
ดูกาบหอยรอบคลื่นกระเด็นสาด | ก็เกลื่อนกลาดกลางทรายประพรายสี | ||
เป็นหลายอย่างลางลูกก็เรียวรี | โอ้เช่นนี้แม่มาด้วยจะดีใจ | ||
จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาด | เห็นประหลาดก็จะถามตามสงสัย | ||
พี่ไม่รู้ก็จะชวนสำรวลไป | ถึงเหนื่อยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย | ||
โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อน | ไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย | ||
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทราย | เห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน | ||
อันชื่อนี้ศรีมหาราชาชาติ | ขึ้นจากหาดเข้าป่าพนาสัณฑ์ | ||
ค่อยเลียบเดินเนินโขดสิงขรคัน | เสียงจักจั่นแซ่เซ็งวังเวงใจ | ||
สองข้างทางนางไม้ไพรสงัด | ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว | ||
เย็นระรื่นชื่นชุ่มชอุ่มใบ | หนาวฤทัยโทมนัสระมัดกาย | ||
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่า | ฟังภาษาสัตว์ไพรก็ใจหาย | ||
จนออกดงลงเดินเนินสบาย | ค่อยเคลื่อนคลายรอเรียงมาเคียงกัน | ||
ถึงเขาขวางว่างเวิ้งชะวากวุ้ง | เขาเรียกทุ่งสงขลาพนาสัณฑ์ | ||
เป็นป่ารอบขอบเขินเนินอรัญ | นกเขาขันคู่เรียกกันเพรียกไพร | ||
บ้างถาบถาพาคู่ลงฟุบฝุ่น | เห็นคนผลุนโผผินบินไถล | ||
บ้างก่งคอคูคูกุกกูไป | ฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง | ||
โอ้ปักษีมีคู่ที่ชูชื่น | สำราญรื่นปกปิดด้วยปีกหาง | ||
พี่เปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนาง | มาเดินกลางดงแดนแสนกันดาร | ||
แล้วรีบรุดไปจนสุดที่ทิวทุ่ง | ถึงบางละมุงพบน้ำลำละหาน | ||
เป็นประเทศเขตนิคมกรมการ | มีเรือนบ้านแออัดทั้งวัดวา | ||
น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อย | ให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา | ||
ลงหยุดหย่อนผ่อนนั่งที่ศาลา | ต่างระอาอ่อนจิตระอิดแรง | ||
ลงอาบน้ำลำห้วยพอเหนื่อยหาย | แต่เส้นสายรุมรึงให้ขึงแข็ง | ||
สลดใจเห็นจะไม่ถึงเมืองแกลง | แต่นายแสงวอนว่าให้คลาไคล | ||
พี่ดูดวงสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อย | ชวนพุ่มน้อยจากศาลาที่อาศัย | ||
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไป | ค่อยคลายใจจรเลียบชลามา ฯ | ||
๏ ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม | ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา | ||
โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดา | ตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล | ||
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำ | ระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย | ||
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัย | โอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี | ||
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วย | เป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี | ||
รำจวนจิตคิดมาในวารี | จนถึงที่ศาลาบ้านนาเกลือ | ||
หยุดประทับดับดวงพระสุริย์แสง | ยิ่งโรยแรงร้อนรนนั้นล้นเหลือ | ||
จะเคี้ยวข้าวตละคำเอาน้ำเจือ | พอกลั้วเกลี้อกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ | ||
ทั้งล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท | จนอาทิตย์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล | ||
อนสะอื้นตื่นตายังอาลัย | รำจวนใจจรจากศาลามา | ||
เข้าเดินดงพงชัฏสงัดเงียบ | เย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา | ||
ออกชะวากปากทุ่งพัทยา | นายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน | ||
บุกละแวกแฝกแขมแอร่มรก | กับกอกกสูงสูงเสมอเศียร | ||
ด้วยน้ำฝนล้นลงหนทางเกวียน | ขึ้นโขดเตียนตอกรอกยอกระยำ | ||
กลัวปลิงเกาะเลาะลัดตัดเขมร | ลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลำ | ||
ถึงแนวน่องย่องก้าวเอาเท้าคลำ | แต่ท่องน้ำอยู่จนเที่ยงจึงพบทาง | ||
พอยกเท้าก้าวเดินบนเนินแห้ง | ทั้งขาแข้งเข่าข้อให้ขัดขวาง | ||
เจ็บระบมคมหญ้าคาระคาง | ค่อยย่องย่างเหยียบฝุ่นให้งุนโงง | ||
เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อย | ทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง | ||
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรง | เป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย | ||
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้า | จะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย | ||
นี่เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าบรรดาตาย | แสนเสียดายดูเดินจนเกินไป | ||
ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวาง | พอได้ทางลงมหาชลาไหล | ||
เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไป | เป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน | ||
ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขา | ก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร | ||
ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอน | บ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล | ||
ต้องเลี่ยงเลียบเหยียบยอกเอาปลาบแปลบ | ถึงที่แคบเป็นเขินเนินไศล | ||
ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไป | จะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย | ||
ถึงที่โขดต้องกระโดดขึ้นบนแง่ | ก่นเอาแม่จีนใหม่นั้นใจหาย | ||
บอกว่าใกล้ไกลมาบรรดาตาย | ทั้งแค้นนายแสงนำไม่จำทาง | ||
ทำซมเซอะเคอะคะมาปะเขา | แต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง | ||
แกไขหูสู้นิ่งไปตามทาง | ถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย | ||
ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็ง | ในคอแห้งหอบรนกระหนกระหาย | ||
กลืนกระเดือกเกลือกลิ้นกินน้ำลาย | เจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง | ||
น้ำก็นองอยู่ในท้องชลาสินธุ์ | จะกอบกินเค็มขมไม่สมหวัง | ||
เหมือนไร้คู่อยู่ข้างกำแพงวัง | จะเกี้ยวมั่งก็จะเฆี่ยนเอาเจียนตาย | ||
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำไว้ | นึกอะไรจึงไม่สมอารมณ์หมาย | ||
แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชาย | มาถึงท้ายทิวป่านาจอมเทียน | ||
เห็นบ่อน้ำร่ำดื่มเอาโดยอยาก | พออ้าปากเหม็นหืนให้คลื่นเหียน | ||
ค่อยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียน | ไม่แวะเวียนเดาเดินดำเนินไป ฯ | ||
๏ ถึงห้วยขวางตัดทางเข้าไต่ถาม | พบขุนรามเรียกหาเข้าอาศัย | ||
กินข้าวปลาอาหารสำราญใจ | เขาแต่งให้หลับนอนผ่อนกำลัง | ||
สงสารแสงแสนสุดเมื่อหยุดพัก | เฝ้านั่งชักกัญชากับตาสัง | ||
เสียงขาคะอยู่จนพระเคาะระฆัง | ต่างร่ำสั่งฝากรักกันหนักครัน | ||
แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้าง | ถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์ | ||
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพัน | สะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว | ||
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์ | กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว | ||
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัว | ให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์ | ||
อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอก | สำเนียงนกเพรียกไพรทั้งไก่ขัน | ||
เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวัน | ก็ชวนกันอำลาเขาคลาไคล | ||
เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึก | ดูซึ้งซึกมิได้เห็นพระสุริย์ใส | ||
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นไพร | ไม้ไหวไหวเหลียวหลังระวังคอย | ||
สงัดเงียบเยียบเย็นยะเยือกอก | น้ำค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย | ||
พฤกษาสูงยูงยางสล้างลอย | ดูชดช้อยชื่นชุ่มชอุ่มใบ | ||
ถึงปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผ้วถาง | แม้นค่ำค้างอรัญวาได้อาศัย | ||
เป็นที่ลุ่มขุมขังคงคาลัย | วังเวงใจรีบเดินไม่เมินเลย | ||
หนทางรื่นพื้นทรายละเอียดอ่อน | ในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย | ||
หายละหวยด้วยพระพายมาชายเชย | ชะแง้เงยแหงนทัศนามา | ||
ถึงบางไผ่ไม่เป็นไผ่เป็นไพรชัฏ | แสนสงัดเงียบในไพรพฤกษา | ||
ต้องข้ามธารผ่านเดินเนินวนา | อรัญวาอ้างว้างในกลางดง | ||
ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขิน | ต้องขึ้นเนินภูผาป่าระหง | ||
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรง | เมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน | ||
ไต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัด | ต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน | ||
ทั้งรากยางขวางโกงตะโขงโคน | สะดุดโดนโดดข้ามไปตามทาง ฯ | ||
๏ ถึงพุดรสาครเป็นพวยพุ | น้ำทะลุออกจากชะวากขวาง | ||
ดูซึ้งใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลาง | สไบบางชุบซับกับอุรา | ||
แล้วขึ้นเนินเดินในดงไม้หอม | สะพรั่งพร้อมปรูปรายปฤษณา | ||
ยามพระพายชายเชยรำเพยมา | หอมบุปผารื่นรื่นชื่นอารมณ์ | ||
เหมือนกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่น | คิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม | ||
ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดม | พี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร | ||
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุด | ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว | ||
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป | ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง | ||
สะท้อนหล่นใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้ง | ฝูงค่างลิงกินเล่นเป็นเจ้าของ | ||
ต่างเก็บเคี้ยวเปรี้ยวปรายเสียก่ายกอง | แต่โดยลองเลือกชิมจนอิ่มไป | ||
ถึงโตรกตรวยห้วยพระยูนจะหยุดร้อน | เห็นแรดนอนอยู่ในดงให้สงสัย | ||
เรียกกันดูด้วยไม่รู้ว่าสัตว์ใด | เห็นหน้าใหญ่อย่างจระเข้ตะคุกตัว | ||
มันเห็นหน้าทำตากระปริบนิ่ง | เห็นหลายสิ่งคอคางทั้งหางหัว | ||
รู้ว่าแรดกินหนามให้คร้ามกลัว | ขยับตัววิ่งพัลวันไป ฯ | ||
๏ ครู่หนึ่งถึงชะวากชากลูกหญ้า | ล้วนพฤกษายางยูงสูงไสว | ||
แต่ล้วนทากตะเละลำรำพูไพร | ไต่ใบไม้ยูงยางมากลางแปลง | ||
กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบ | ถีบกระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง | ||
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรง | ทั้งขาแข้งเลือดโซมชะโลมไป | ||
ออกเดินถี่หนีทากถึงชากขาม | เป็นสนามน้ำท่าได้อาศัย | ||
เห็นรอยคนแรมค้างอยู่กลางไพร | ขึ้นต้นไม้หักรังไว้เรียงราย | ||
เห็นลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวย | กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย | ||
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกาย | เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง | ||
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว | เหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง | ||
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง | พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ | ||
เห็นป่าสูงฝูงนกในดงดึก | หวนระลึกถึงสุดาน้ำตาไหล | ||
จักจั่นร้องพร้องเพราะเสนาะไพร | ทั้งเสียงไก่เถื่อนขันสนั่นเนิน | ||
พฤกษาเบียดเสียดสีดังปี่แก้ว | วิเวกแว่วหว่างลำเนาภูเขาเขิน | ||
สดับฟังวังเวงเป็นเพลงเพลิน | ต้องรีบเดินโดยด่วนด้วยจวนเย็น | ||
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล | คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น | ||
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น | บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม | ||
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศ | พระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ | ||
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำ | สล้างลำแลสลับอยู่กับกอ | ||
หอมบุปผาสาโรชมารื่นรื่น | ต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ | ||
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอ | จะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน | ||
ทลายลูกสุกแลดูแออัด | เอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์ | ||
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากัน | ออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิม ฯ | ||
๏ ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า | เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม | ||
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม | อุระปิ้มศรปักสลักทรวง | ||
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกย่าง | กลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง | ||
ด้วยครื้นครึกพฤกษาลดาพวง | ไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร | ||
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้น | รอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย | ||
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจ | รู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง | ||
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ | ยิ่งเหยียบฟุบขาแข็งให้แข็งขึง | ||
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึง | ดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน | ||
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่ง | ต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร | ||
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนน | จนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล | ||
ผลัดกันทำย่ำเหยียบแล้วยืนหยัด | กระดูกดัดผัวะเผาะให้โผเผ | ||
ค่อยย่างเท้าก้าวเขยกดูเกกเก | ออกโซเซเดินข้ามตามตะพาน | ||
เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อม | ระยะหย่อมเคหาน่าสนาน | ||
เป็นเนินสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาล | เข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป | ||
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง | ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว | ||
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ | เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน | ||
ฝ่ายนายแสงถึงตำแหน่งสำนักน้อง | เขายิ้มย่องชมหลานคลานสลอน | ||
พี่ว้าเหว่เอกาอนาทร | ด้วยจะจรต่อไปเป็นหลายคืน | ||
ครั้นรุ่งเช้าเท้าบวมทั้งสองข้าง | จะย่องย่างสุดแรงจะแข็งขืน | ||
อยู่ระยองสองวันสู้กลั้นกลืน | ค่อยแช่มชื่นชวนกันว่าจะคลาไคล | ||
นายแสงหนีลี้หลบไม่พบเห็น | โอ้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล | ||
น้อยหรือเพื่อนเหมือนจะร่วมชีวาลัย | มาสูญใจจำจากเมื่อยากเย็น | ||
จึงกรวดน้ำร่ำว่าต่ออาวาส | อันชายชาตินี้หนอไม่ขอเห็น | ||
มาลวงกันปลิ้นปลอกหลอกทั้งเป็น | จะชี้เช่นชั่วช้าให้สาใจ | ||
เดชะสัตย์อธิษฐานประจานแจ้ง | ให้เรียกแสงเทวทัตจนตัดษัย | ||
เหมือนชื่อตั้งหลังพิหารเขียนถ่านไฟ | ด้วยน้ำใจเหมือนมินหม้อทรชน | ||
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิต | ให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน | ||
จากระยองย่องตามกันสามคน | เลียบถนนคันนาป่ารำไร ฯ | ||
๏ ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่ | เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย | ||
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป | ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา | ||
ถึงบ้านแสงทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง | เฟื่อนหนทางทวนทบตลบหา | ||
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคา | จนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง | ||
มีเคหาอารามงามระรื่น | ด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง | ||
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กง | พี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ | ||
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่ | บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ | ||
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอ | ผ้าห่มห่อหมากแห้งตาแบงมาน | ||
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูง | เสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน | ||
คิดถึงน้องหมองใจอาลัยลาน | แม้นแจ้งการว่าพี่จากอยุธยา | ||
จะเศร้าสร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อน | ถึงยามนอนยามกินถวิลหา | ||
พี่ก็แสนสุดยากลำบากมา | ทั้งเดินป่าปิ้มกายจะวายวาง | ||
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยว | ด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง | ||
ระหกระเหินเดินภาวนาพลาง | พอพบทางลงถึงท้องทะเลวน | ||
เสียงพิลึกครึกครึ้มกระหึ่มคลื่น | ร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน | ||
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกล | สล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา | ||
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้าง | มีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา | ||
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลา | ไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง | ||
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาด | เลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง | ||
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง | เห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ | ||
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก | จนมือหงิกงอแงไม่แบได้ | ||
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกร | เด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคน ฯ | ||
๏ พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อน | ดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน | ||
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกล | ไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง | ||
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่ | ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง | ||
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวาง | ปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน | ||
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัข | มันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน | ||
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดร | สังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง | ||
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศก | บริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ | ||
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดง | ต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น | ||
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่ง | เอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น | ||
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็น | เสียดายเป็นกลางไพรมิได้การ | ||
อยู่ใกล้วังดังนี้นางสาวสาว | จะโน้มน้าวกิ่งเก็บเกษมศานต์ | ||
นึกดำเนินเดินกลางทางกันดาร | ถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร | ||
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้น | จึงพากันลุยเลียบทะเลไหล | ||
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจ | ลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง | ||
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด | ทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง | ||
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลาง | ถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ | ||
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้าง | ทำถามทางชักชวนให้สรวลเส | ||
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเล | สมคะเนกินแตงพอแรงกัน | ||
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศ | ลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญ | ตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน | ||
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้าง | ไปตามทางโขดเขินเนินถนน | ||
สดับเสียงลิงค่างครางคำรน | เหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา ฯ | ||
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ | ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา | ||
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา | กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย | ||
ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิต | รำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย | ||
ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราย | จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา | ||
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่ | ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา | บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร | ||
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ | ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล | ||
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย | จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว | ||
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว | ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว | ||
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว | ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย | ||
บรรดาเหล่าชาวบ้านประมาณมาก | ต่างมาฝากรักใคร่เหมือนใจหมาย | ||
พูดถึงที่ตีโบยขโมยควาย | กล่าวขวัญนายเบียดเบียนแล้วเฆี่ยนตี | ||
ถามราคาพร้าขวานจะวานซื้อ | ล้วนอออือเอ็งกูกะหนูกะหนี | ||
ที่คะขาคำหวานนานนานมี | เป็นว่าขี้คร้านฟังแต่ซังตาย | ||
เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่า | มันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย | ||
พอเวลาสายัณห์ตะวันชาย | ได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง | ||
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่ว | เขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง | ||
ต้องอดสิ้นกินแต่ข้าวกับเต้าแตง | จนเรี่ยวแรงโรยไปมิใคร่มี | ||
อยู่บุรินกินสำราญทั้งหวานเปรี้ยว | ตั้งแต่เที่ยวยากไร้มาไพรศรี | ||
แต่น้ำตาลมิได้พานในนาภี | ปัถวีวาโยก็หย่อนลง | ||
ด้วยเดือนเก้าข้าวสาเป็นหน้าฝน | จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์ | ||
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ | ไปบ้านพงค้อตั้งริมฝั่งคลอง | ||
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต | ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง | ||
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง | ไม่เห็นน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น | ||
แล้วไปชมกรมการบ้านดอนเด็จ | ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ | ||
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น | เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา ฯ | ||
๏ แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อ | ไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา | ||
จะเที่ยวดูคนผู้ทำยาตา | ไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ | ||
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยว | สันโดษเดี่ยวด้วยว่าจิตผิดวิสัย | ||
มาอยู่ย่านบ้านกร่ำระกำใจ | ชวนกันไปชมทะเลทุกเวลา | ||
เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่น | ลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา | ||
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลา | ดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน | ||
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขา | บ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน | ||
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียน | ดาษเดียรดูสล้างกลางชลา | ||
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่ง | เป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา | ||
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตา | ถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง | ||
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำ | จนพลบค่ำมืดมนขนสยอง | ||
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครอง | แม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้ | ||
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถาม | ตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี | ||
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลี | แล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา | ||
ไหนตัวพี่นี้จะชมทะเลหลวง | จะชมดวงนัยน์เนตรของเชษฐา | ||
โอ้อาลัยไกลแก้วกานดามา | กลั้นน้ำตามิใคร่หยุดสุดระกำ | ||
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ย | ยังชื่นเชยชมชิมไม่อิ่มหนำ | ||
มายากเย็นเห็นแต่ผ้าแพรดำ | ได้ห่มกรำอยู่กับกายไม่วายตรอม | ||
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศ | ถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม | ||
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออม | ประณตน้อมพุทธคุณกรุณา | ||
ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช | เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา | ||
พยายามตามกิจด้วยบิดา | เป็นฐานานุประเทศอธิบดี | ||
จอมกษัตริย์มัสการขนานนาม | เจ้าอารามอารัญธรรมรังษี | ||
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี | กำหนดยี่สิบวสาสถาวร | ||
ได้พบเห็นเป็นทำนุอุปถัมภ์ | ก็กรวดน้ำนึกคะนึงถึงสมร | ||
ให้ไพบูลย์พูนสวัสดิ์พิพัฒน์พร | อย่ารู้ร้อนโรคภัยสิ่งไรพาน | ||
ถึงชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิด | ด้วยองค์อิศรารักษ์จะหักหาญ | ||
ขอให้น้องครองสัตย์ซึ่งปฏิญาณ | ได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์ | ||
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิต | ได้ชื่นชิดชมน้องประคองสม | ||
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนม | ให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา | ||
อย่ารู้จักพลักผลิกทั้งหยิกข่วน | แขนแต่ล้วนรอยเล็บเจ็บหนักหนา | ||
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์ | แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงตะบอน | ||
ขอแบ่งบุญคุณศีลถวิลถึง | ให้ทราบซึ่งโสตทรวงดวงสมร | ||
ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดร | แต่ใจจรจงสวาทไม่คลาดคลา | ||
ไปเที่ยวเล่นเห็นดอกไม้แล้วใจอยาก | จะใคร่ฝากดวงเนตรของเชษฐา | ||
ก็จนใจไกลทางต่างสุธา | แต่น้ำตานี้แลฟูมละลุมลง | ||
เวลาค่ำช้ำใจเข้าไสยาสน์ | โอ้อนาถในวนาป่าระหง | ||
ยินแต่เสียงลิงค่างที่กลางดง | วิเวกวงวันเวศวังเวงใจ | ||
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง | เหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล | ||
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร | โอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก | ||
ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นให้ฉุนชื่น | ระรวยรื่นรสลำดวนเมื่อจวนดึก | ||
ทั้งหอมแพรดำร่ำยิ่งรำลึก | ทรวงสะทึกทุกทุกคืนสะอื้นใจ ฯ | ||
๏ จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝน | ทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล | ||
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจ | จนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์ | ||
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่น | อินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน | ||
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์ | มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์ | ||
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสาง | ที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก | ||
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนัก | ทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา | ||
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บ | ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา | ||
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบา | ท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด | ||
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้ | ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด | ||
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมด | จึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา | ||
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ | ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา | ||
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยา | ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน | ||
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้าง | กลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน | ||
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลาน | ไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา | ||
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์ | จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุปผา | ||
ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกา | ก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน | ||
ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค | กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน | ||
เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล | แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน | ||
ครั้นจะมิหนีมาจะลาเล่า | จะสร้อยเศร้าโศกาเพียงอาสัญ | ||
จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ | ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย | ||
อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า | จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย | ||
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อาย | จงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์ | ||
โอ้จากหลานบ้านกร่ำระกำจิต | ก็เพราะคิดถึงแม่หญิงมิ่งสมร | ||
สู้ฟูมฝนทนฟ้าอุตส่าห์จร | เป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร | ||
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำ | จึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข | ||
ให้ดวงเนตรเชษฐาด้วยอาลัย | จงเห็นใจเถิดที่จิตคิดคำนึง | ||
ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรัก | มีแต่ลักลอบนึกรำลึกถึง | ||
ช่วยยิ้มแย้มแช่มชื่นอย่ามึนตึง | ให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ | ||
พี่อุ้มทุกข์บุกป่ามหารณพ | มาหมายพบพูดความกับงามขำ | ||
อย่าบิดเบือนเชือนช้าทาระกำ | แต่อยู่กร่ำตรอมกายมาหลายเดือน | ||
ได้ดูงามตามทางที่นางอื่น | ก็หลายหมื่นเหยียบแสนไม่แม้นเหมือน | ||
ไม่มีสู้คู่ควรกระบวนเบือน | เหมือนแม่เพื่อนชีพชายจนปลายแดน | ||
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้อง | มากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน | ||
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน | อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา | ||
ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหึงหวง | คนทั้งปวงเขาคิดริษยา | ||
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดา | ไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย | ||
แม่อยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสวัสดิ์ | หรือเคืองขัดขุกเข็ญเป็นไฉน | ||
หรือแสนสุขทุกเวลาประสาใจ | สิ้นอาลัยลืมหมายว่าวายวาง | ||
หรือพร้อมพรักพักตร์เพื่อนที่เยือนยิ้ม | ให้เปรมปริ่มประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง | ||
จะปราบปรามห้ามหวงพวงมะปราง | ให้จืดจางจำจากกระดากใจ | ||
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก | เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย | ||
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย | ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย ฯ | ||