นิราศเมืà¸à¸‡à¸à¸²à¸à¸ˆà¸™à¸šà¸¸à¸£à¸µ
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศมเืองกาญจนบุ…')
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|นิราศมเืองกาญจนบุ…')
รุ่นปัจจุบันของ 11:17, 22 กันยายน 2553
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: ขุนวรการ (ทิม)
บทประพันธ์
ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานทูลเกล้า ฯ ถวาย พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ผู้รับพระบรมราชโองการ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
๏ นิราศ นางปางเสด็จเจ้า | จอมนคร | ||
กาญ จนวนาจร | จากน้อง | ||
บุ เรศเรียมรอญ | รักสัตว์ โศกฤๅ | ||
รี ปุเวรเวียนต้อง | ตัดร้างทางถนอม | ||
๏ ปางนิราศแรมไปไกลสมร | |||
โดยเสด็จธิบดินทร์นิกร | ดลนครเขตสถานกาญจน์บุรี | ||
ด้วยเป็นข้าฝ่าละอองฉลองบาท | ฟุตกาตราชวัลลภเฉลิมศรี | ||
เคยพิทักษ์รักษาฝ่าธุลี | โดยภักดีกตัญญูต่อภูธร | ||
ศุกร์ระกาเบญจศกขึ้นหกค่ำ | เดือนสามจำลองลักษณ์เป็นอักษร | ||
วันจะลงนาวาล่วงหน้าจร | ทรวงสะท้อนถอนใจอาลัยครวญ | ||
จะลอบลานารีศรีสวัสดิ์ | ก็ข้องขัดขามกิจจะผิดผวน | ||
เป็นเร้นรักหนักในใจรัญจวน | ต้องจำด่วนพรากนางไว้กลางคัน | ||
ลงจากเรือนเฝื่อนฤดีทวีหวน | ให้ปั่นป่วนไปด้วยรักดังจักรผัน | ||
มาถึงท่าหน้านิเวศน์พระเชตุพัน | ก็เลยครรไลตรงลงในเรือ | ||
บ่ายห้าโมงออกนาวาอาเทวษ | จากประเทศถิ่นไปอาลัยเหลือ | ||
นั่งง่วงเหงาเศร้าใจอยู่ในเรือ | เหมือนตัดเยื่อใยรักภักคินี | ||
พลางน้อมเกล้า ฯ บังคมบรมนาถ | พระจอมราชธรณินทร์ปิ่นกรุงศรี | ||
ขอพระเดชกฤษดาบารมี | จงเป็นที่คุ้มกันอันตราย | ||
อันโรคาอาพาธและความผิด | จงเปลื้องปลิดจากร่างให้ห่างหาย | ||
ทุรพลคนประทุษจริตร้าย | ให้แพ้พ่ายด้วยอำนาจราชฤทธิ์ | ||
หนึ่งอัญเชิญเทเวศร์มเหศรศักดิ์ | จงพิทักษ์ไมตรีที่สนิท | ||
แม้ชายอื่นหมื่นหมายทำลายมิตร | จงดลปิดอย่าให้ปองเป็นสองราย | ||
ถึงป้อมคลองบางกอกใหญ่ฤทัยสะท้อน | พระนครยังมีป้อมอยู่ล้อมหลาย | ||
กายนครสมรที่จากชาย | ไม่มีค่ายมีป้อมล้อมระวัง | ||
ได้แต่พึ่งเทพไทกับใจพี่ | พอเป็นที่ค่ายคุมได้คุ้มขัง | ||
แม้ศึกไส้ไม่มีเหมือนพี่ยัง | ก็พอสังเขปความตามขบวน | ||
ถึงวัดกัลยาณมิตรให้คิดหวาด | นามอาวาสคล้ายนามงามสงวน | ||
กัลยาณมิตรสนิทนวล | พี่เคยชวนชมวัดนมัสการ | ||
โอ้จากไปใครจะพาเจ้ามาอีก | จะเปลี่ยวปลีกเปล่าอุราน่าสงสาร | ||
ที่เคยสุขก็จะทุกข์ทรมาน | มีเพื่อนบ้านไหนจะเหมือนเพื่อนชีวี | ||
ถึงวัดโมฬีโลกย์โศกสะทึก | คะนึงนึกถึงคุณพระชินศรี | ||
ทรงตรัสเทศนาไว้ในคัมภีร์ | ว่าโลกนี้มิได้เที่ยงอยู่เพียงใด | ||
อันเพื่อนรักจากเรือนก็เหมือนโลก | จะย้ายโยกฤๅจะยืนเพียงพื้นไหน | ||
แม้ปรวนแปรไม่แน่แน่วก็แล้วไป | พี่จะได้จดจำเป็นตำรา | ||
ถึงวัดหงส์ให้รัญจวนถึงนวลหงส์ | จะสรรทรงรูปนุชเห็นสุดหา | ||
กริยาท่าทางเหมือนนางคลา | คล้ายพระยาหงส์เดินดำเนินจร | ||
มาถึงวัดสังกจายน์กระจัดชัด | ฟังชื่อวัดหวาดไหวฤทัยถอน | ||
กรรมวิบัติพลัดพรากจากบังอร | ดั่งใครรอนรักแยกแตกกระจาย | ||
ประสานอื่นหมื่นหมอไม่ต่อติด | กระจายมิตรจิตต่อจะพอหาย | ||
พี่หางเหมาแต่ร่างห่างแต่กาย | ใจจำหน่ายไปสนิทวนิดา | ||
เขาลือว่าวัดนี้มีทรัพย์มาก | ท่านใบ้ปากไว้ให้คิดปริศนา | ||
ทำไฉนจึงจะได้ประจักษ์ตา | จะได้มาปลงเปิดให้เพลิดเพลิน | ||
คิดมาก็ไม่น่าจะปลงใบ้ | แต่ปลงใจยังไม่ตกระหกระเหิน | ||
ยิ่งคิดไปใจยิ่งช้ำต้องทำเมิน | ไม่เจริญมีแต่เรื่องระเคืองใจ | ||
ถึงโรงเรือเรือรบสงบเงียบ | ทอดประเทียบอยู่ในอู่ดูไสว | ||
สำหรับรุดยุทธนาชลาลัย | เคยปราบไชยไพรินทร์ทมิฬมาร | ||
แต่ก่อนมาปัจจามิตรติดจะมาก | ต้องลำบากนาวังทั้งทหาร | ||
เที่ยวหักโหมโรมรันประจัญบาน | จนพวกพาลหย่อนระย่อไม่ต่อกร | ||
ทุกวันนี้ศึกเสี้ยนไม่เบียนเบียด | ด้วยพระเกียรติเดชมหิศร์อดิศร | ||
ได้ดับเข็ญเย็นอมาตย์ราษฎร | ทุกนครมาประณตบทมาลย์ | ||
ถึงวัดเวฬุราชินทร์ถวิลเศร้า | ทุกค่ำเช้าเคยชินอยู่ถิ่นฐาน | ||
มาพลัดพรากจากงามยามกันดาร | มิได้ชาญชินน้องเป็นกองกรรม | ||
ถึงวัดอินทรารามหวามถวิล | ขอองค์อินทร์จงช่วยชุบอุปถัมภ์ | ||
ถึงตกทุกข์ได้ยากกระกรากกรำ | อย่าให้กำพร้ารักมาแรมทาง | ||
ถึงวัดจันทรารามงามสง่า | จันทราเรืองรองไม่หมองหมาง | ||
ทั้งจันทน์อินกลิ่นหอมพร้อมสำอาง | ไม่เหมือนปรางประปรุงจรุงจันทน์ | ||
ถึงวัดราชคฤห์คะนึงถึงพระเดช | พระจอมเกศโลกานราสรรพ์ | ||
ทรงประทับราชคฤห์แสดงธรรม์ | วิหารนั้นจะอยู่หนตำบลใด | ||
โอ้ตัวเราเกิดมาเวลาเคราะห์ | ไม่เฉพาะพบพระบาทขาดนิสัย | ||
ถ้าประสบก็คงเสร็จสำเร็จไป | ไหนจะได้ทรมานอยู่ป่านนี้ | ||
แท้ว่ากรรมนำเกิดในกามภพ | สุดจะหลบโลกอาลัยให้หน่ายหนี | ||
เดชะบุญเบื้องหลังถ้ายังมี | คงจะลี้หลีกรีกได้สักปาง | ||
ร่ำรำพึงมาถึงตลาดพลู | พิศดูพลูกองแล้วหมองหมาง | ||
เหมือนเมื่อรับจับหมากจากมือนาง | พี่รับพลางต้องมือเจ้าถือเคือง | ||
เคยหยอกเย้าสนทนาวิสาสะ | แต่นี้จะไม่ได้อยู่กินพลูเหลือง | ||
ในทรวงช้ำกำสรดไม่ปลดเปลือง | มีแต่เรื่องรักซ้อนไม่ผ่อนทรา | ||
พิไรร่ำรำพึงมาถึงด่าน | เรือเพ่นพ่านแจวพายทั้งซ้ายขวา | ||
ด่านคอยดักตรวจดูหมู่ปัจจา | ใครไปมาเรียบร้อยแล้วปล่อยไป | ||
แต่ด่านกักรักเรียมเปี่ยมอุระ | ไม่ปล่อยปละละวางไปข้างไหน | ||
ทุกข์ก็แถมแกมกวมท่วมฤทัย | เหมือนแก้ไกปริศนาติดงาแซง | ||
ยิ่งคะนึงถึงอนงค์อเนจอนาถ | ดั่งชีวาตม์ขาดกระดอนถูกศรแผลง | ||
เห็นคลองชลสามแฉกเป็นแยกแย้ง | ให้ระแวงห่วงสวาทพะวงเวียน | ||
เกรงรักใคร่จะไปคล้องกับคลองแยก | นานมักแปลกเหมือนหนังสือมือเสมียน | ||
กำหนดในสามวันไม่หมั่นเพียร | ที่เคยเขียนงดงามก็ทรามซวน | ||
นาวาคลามาถึงช่องคลองขุดใหม่ | ดูวิไลล้วนผลาพฤกษาสวน | ||
ทั้งสองฟากหมากมะพร้าวมะม่วงพรวน | ตลิ่งล้วนแลเหมือนกับเขื่อนคัน | ||
ทรงโปรดเกล้าเหล่านราแลพาณิช | จึ่งขุดคิดคลองจรให้ผ่อนผัน | ||
ประสงค์ว่ามาไปได้ใกล้กัน | พอแบ่งปันลำบากบ่าประชาชี | ||
ควรกระกองพระคุณเกื้อไว้เหนือเกศ | ด้วยพระเดชปกผมร่มเกศี | ||
ได้พึ่งพาบารเมศพระภูมี | ชาวบุรีสรรเสริญเจริญพร | ||
ซึ่งข้าพระพุทธเจ้ามาคราวนี้ | ก็เป็นที่สุขโขสโมสร | ||
เหมือนเทพย่นมรรคาแลสาคร | ไม่ต้องย้อนอ้อมคุ้งให้ยุงกวน | ||
แสนรำพึงถึงพระคุณทูลกระหม่อม | แล้วหน่วงน้อมคิดถึงนุชสุดกำสรวล | ||
มาพลัดพรากจากกันน่ารัญจวน | มิได้ชวนชื่นอารมณ์มาชมคลอง | ||
โอ้น้องอยู่ผู้เดียวดูเปลี่ยวเปล่า | จะโศกเศร้าเสียใจอาลัยหมอง | ||
แม้ป่วยไข้ใครจะเข้าประคอง | มีพี่น้องไหนจะเหมือนเพื่อนอาลัย | ||
ป่านฉะนี้โฉมเฉลาเยาวพักตร์ | จะผูกรักฤๅจะรื้อฤๅไฉน | ||
ฤๅไม่หักรักร้างฤๅอย่างไร | ใจเอ๋ยใจเห็นจะคลั่งเสียครั้งนี้ | ||
แต่รักฝากชายฝากให้รักเฝ้า | ขอรกเก่ารักใหม่อย่าหน่ายหนี | ||
เรียมรักเจ้าเท่าไรใจอารี | ขอให้มีรักเราเท่าเท่ากัน | ||
ใครร้างรักลักลอบไม่ตอบรัก | จะค้อนควักแคะไค้เสียให้ขัน | ||
ถ้ารักยังยั่งยืนทุกคืนวัน | จะรับขวัญนาฏน้องครองอาลัย | ||
คะนึงนางนั่งนึกจนดึกดื่น | นภาพื้นมัวหมองไม่ผ่องใส | ||
พระพายพัดฮือเฮือกเยือกเย็นใจ | เรือก็ไคลคลาคล่ำมาตามคลอง | ||
ถึงหนามแดงโศกแซงสลักจิต | เหมือนหนามมิตรติดทรวงตำมาซ้ำสอง | ||
อันหนามร้ายชายป่าสักห้ากอง | จะถูกต้องยอกบ่งก็คงคลาย | ||
แต่หนามยอกซอกทรวงในดวงจิต | สุดจะคิดบ่งออกให้ยอกหาย | ||
ทั้งหนามรักหนามสวาทมาบาดกาย | แม้ได้สายสวาทบ่งจะเบาใจ | ||
ถึงนางสาวพี่ให้สาวไปสื่อสาร | เวลาราญร้าวมิตรที่พิสมัย | ||
มาแรมทางร้างสาวหนาวฤทัย | คลองอะไรน่ารำคาญมาผ่านเรือ | ||
แต่คลองนี้มีนิทานท่านขานกล่าว | ว่าหนุ่มสาวเกี้ยวกันแจมาแต่เหนือ | ||
มาหยุดริมคลองนี้จึงมีเชื้อ | เรียกกันเพรื่อคลองนางสาวทุกคราวไป | ||
มาถึงคลองกระทุ่มแบนแดนกระทุ่ม | ว่าสาวหนุ่มสองเราเข้าอาศัย | ||
ได้ร่วมรสร่วมภิรมย์ที่ร่มไม้ | คนจึงได้เรียกสุมทุมกระทุ่มแบน | ||
นิยายบางทางนี้ก็ดีอยู่ | แต่อดสูเรียกยากกระดากแสน | ||
มีบ้านเรือนเกลื่อนชุมกระทุ่มแบน | ดันดารแดนดอนเกษตรทุเรศใจ | ||
ถึงดอนคลองไก่ดีทวีเทวษ | ผิดสังเกตเงียบเสียงสำเนียงไก่ | ||
เคยหยอกเย้าสนทนาประสาใจ | จนเสียงไก่ขันเพราเพราไม่หาวนอน | ||
ด้วยเป็นคู่ชูพาอุราชื่น | ถึงดึกดื่นก็ไม่หลับลงกับหมอน | ||
ตั้งแต่วันพลัดพรากมาจากจร | พี่ซบซอนเหงาง่วงทรวงรันทด | ||
สิ้นระยะคลองพระศรีเจริญนาม | ศิริตามหลักประจำเป็นกำหนด | ||
หกร้อยเส้นเศษมีเป็นที่ลด | ทอนไปทดคลองบางยางต่อทางจร | ||
นาวาออกคลองขุดสุดลำนำ | ถึงแม่น้ำลมครืนคลื่นกระฉ่อน | ||
อุราเรียมเทียมคลื่นพื้นสาคร | แทบจะคลอนเคลื่อนกระจายเช่นสายชล | ||
เห็นน้ำเค็มเป็นประกายคล้ายหิ่งห้อย | เหมือนแหวนก้อยเพชรรุ้งมุ่งฉงน | ||
เมื่องามปลอดสอดใส่ให้พี่ยล | ดูชอบกลพราวแพรวเมื่อแจวพา | ||
มัศยาลอยล่องพ่นฟองผุด | เห็นเรือมุดหนีคล่ำดำน้ำหาย | ||
สงสารแต่แมลงกระพรุนเป็นพรุ้นพราย | เนื้อเหมือนทรายลอยซัดในนัทที | ||
เขาเอาแจวกรีดปราดก็ขาดวิ่น | ไม่โดดดิ้นน่าสมเพชม้วยเป็นผี | ||
ที่คนชั่วทำเล่นเห็นเป็นดี | มิได้มีเกรงบาปทำหยาบคาย | ||
ได้ชมสัตว์สาครพอผ่อนหมอง | คะนึงน้องหวนให้ฤทัยหาย | ||
ถ้ามาด้วยจะได้ชมสมสบาย | แสนเสียดายสุดจะกลับไปรับนาง | ||
ทัศนาลานชลาตลิ่งลิ่ว | จากเป็นทิวแถวทับสลับสล้าง | ||
เหมือนเรียมจากพรากรักมาแรมทาง | ทั้งจากร้างจากอารมณ์ที่ชมเชย | ||
จากอื่นหมื่นสำเนียกที่เรียกจาก | ถึงพบมากก็พอเบือนทำเชือนเฉย | ||
แต่จากรักหักอาลัยไม่ได้เลย | โอ้จากเอ๋ยใยมาพ้องให้หมองใจ | ||
ถึงปากช่องคลองบางยางหนทางลิ่ว | ไม่เห็นทิวยางมีอยู่ที่ไหน | ||
เมื่อจากนางยางรักยังฝากไว้ | พี่มาไกลยางจิตยังติดมา | ||
พอเช้าตรู่สุริยเรืองขึ้นเรื่อเรื่อ | เห็นชาวเรือจอดพักกันหนักหนา | ||
ก็เลยแมะแวะกับเขาหุงเข้าปลา | ขึ้นวัดวาคารวะพระอาราม | ||
เห็นวัดสวนส่วนพี่ก็มีสัตย์ | ถึงจะวัดวาใจก็ไม่ขาม | ||
ยังคงเส้นคงวาไม่บ่าความ | พี่กริ่งคร้ามวัดสวาทจะขาดวา | ||
เดชะคุณศีลทานการกุศล | จะดอดดลดวงจิตกนิษฐา | ||
ให้ดำรงคงสัจเหมือนวัดวา | อยู่ชั่วนาตาปีอย่าคลี่คลาย | ||
คะนึงนางพลางลงมาถึงนาเวศ | พระสุริเยศเยี่ยมฟ้าเวลาสาย | ||
ทั้งร้อนแดดแผดใจไม่สบาย | ก็ผันผายจากอารามไปตามคลอง | ||
ถึงทุ่งกว้างว้างเวิ้งอุราว้า | แต่อุราพี่ไม่กว้างตั้งแต่หมอง | ||
ดูเรืออื่นชื่นเชิงเริงคะนอง | เรือพี่ครองครวญคร่ำระกำกาย | ||
อันนาวังทั้งปวงที่ล่วงหน้า | ไปคอยท่าราชบุรีตามมีหมาย | ||
ทั้งกลางคืนกลางวันแจวกันดาย | มาถึงท้ายทุ่งสวนล้วนไร่โรง | ||
บ้างปลูกมูลเผือกมันแลพันธุ์ผัก | คนขึ้นลักเจ้าของปะเสียงโขมง | ||
ตามตลิ่งกล้วยสล้างริมทางโยง | ต้นโคร่งโคร่งแต่ละเครือเหลือประมาณ | ||
พอแก่เฒ่าเข้าไคลใบก็เผือด | เข้าฟันเชือดโค่นต้นก่นสังหาร | ||
เหมือนตัวเราถ้าเวลาชรากาล | ใครจะปราณปรานีไม่มีจริง | ||
ตำราว่าต้นไม้ตายเพราะผล | นรชนฝ่ายชายตายเพราะหญิง | ||
ด้วยความโลภหลงเล่ห์ประเว่ประวิง | สุดจะทิ้งถอนทอนนิวรณ์ใจ | ||
ถึงโคกไผ่ใฝ่ประสงค์เพราะหลงโลก | จะข้ามโคกโขดเขินก็เกินไหว | ||
จะข้ามโอฆโคกบึงที่พึงใจ | เกรงจะไม่ข้ามพ้นต้องวนวง | ||
ถึงสวนพริกพริกร้อนพอผ่อนพัก | ไม่เท่ารักร้อนชีพรีบประสงค์ | ||
อันรูปเสียงกลิ่นรสเหลือปลดปลง | ต้องเลือนหลงโลมลูบด้วยรูปพราง | ||
ถึงบางนกแขวกนกแสกแถกถาร้อง | ป่านฉะนี้ขวัญน้องจะหมองหมาง | ||
นกเอ๋ยฝากขวัญใจไปให้นาง | จงสู่ร่างมิ่งขวัญอย่ารัญจวน | ||
พอโพล้เพล้เวลาจะใกล้ค่ำ | สุริยย่ำดวงดับลงลับสวน | ||
ตะวันย่ำย่ำรักอารมณ์ซวน | จิตจวนจะดับลับอาลัยลาญ | ||
ทุ่มหนึ่งออกปากทางบางนกแขวก | มีบ้านแขกเมืองตั้งฝั่งสถาน | ||
เป็นห้างห้างห่างชิดพิศดาร | ชาวเรือร้านริมฟากก็มากมี | ||
สร้างโบสถ์โตโอ่สะอาดมีบาทหลวง | เหมือนกลควงไขจิตผิดวิถี | ||
บ้างลงเนื้อเชื่อเห็นว่าเป็นดี | บ้างหลีกหนีหน่วงยุดพุทธมนต์ | ||
พี่ห่วงแต่แม่คุณเคยอุ่นอก | กลัวจะวกหวังรักอกุศล | ||
ด้วยสื่อสายไถ่เทหลายเล่ห์กล | พี่ร้อนรนอยู่ด้วยรักจะแรมนาน | ||
แต่บางยางมาถึงบางนกแขวกนั้น | สรุปมรรคาหมดกำหนดขาน | ||
เจ็ดร้อนเส้นเศษมีวิถีธาร | นับประมาณตามหลักที่ปักไว้ | ||
แล้วเลยด่วนทวนน้ำไปตามฝั่ง | ดูเดือนยังไม่สู้ส่องขึ้นผ่องใส | ||
มัวเมฆีสีคล้ำเห็นรำไร | เหมือนอกใจหมองคล้ำประจำเจน | ||
รีบตัดข้ามนามบางด้วยทางมาก | มาถึงฟากคุ้งกะถินถิ่นเขมร | ||
มีกองไฟรายเรียงส่งเสียงเกณฑ์ | บ้างก็เล่นลงผีนั่งตีโทน | ||
ใครป่วยไข้เข้าผีวิธีเอก | ทำโยกเยกยักหน้าดั่งท่าโขน | ||
เสียงเทิบเทินเทิ่มจะหวะเหมือนตะโพน | สำเนียงโยนเย็นใจไปในเรือ | ||
แม้ยุพามาด้วยพี่เป็นที่รื่น | จะชวนชื่นชมลำเนาบ้านชาวเหนือ | ||
อุราเดียวถึงสนุกก็ทุกข์เจือ | จะกลับเรือรับนางก็ทางแรม | ||
พ้นภูมิบ้านนั้นไปมิได้ช้า | ถึงบ้านป่าบ้านมีอยู่ที่แหลม | ||
โรงภาษีแสงไฟไสวแรม | คอยสอดแนมเก็บสินค้าหากำไร | ||
อันตัวพี่อุปมาเหมือนภาษี | เฝ้ารอรีเก็บรักไม่ผลักไส | ||
ไม่เพิ่มผูกแบ่งตำบลกับคนใด | เก็บรักได้แล้วมาส่งอนงค์นาง | ||
คลองบำหรุหวังบำรุบำรุงสนอง | ไม่ทันครองมาบำราศสวาทหมาง | ||
พี่บำบวงเทวาทุกท่าทาง | ขอให้นางค้อนจิตไว้คอยใจ | ||
คลองนั้นเดิมเป็นลำน้ำแม่น่ำอ้อม | ครั้นคดค้อมเขาจึ่งลัดตัดทางใหม่ | ||
ไม่ใคร่มีนาวาใครมาไป | แม่น้ำใหญ่ย่อมเยาเข้าทุกที | ||
เหมือนรักพี่แม้มีใคร่มีใครรัก | เห็นทรวงจักเหมือนลำนำแม่น้ำนี่ | ||
คงคับแคบแอบใจไปทุกปี | อินทรีย์พี่ก็จะผอมเพราะตรอมกาย | ||
โอ้กรรมมากหากให้เห็นเป็นเวรพ้อง | ชั้นชมคลองเกิดเป็นทุกข์ขึ้นชุกหลาย | ||
เลยเมินหน้ามาถึงย่านบ้านลาวราย | ถึงเนินทรายท้ายหาดราชบุรี | ||
ดูเรือนโรงดงนครสลอนสลับ | เหมือนโศกซับซ้อนทุกข์ไม่สุขี | ||
แพตลอดจอดท่าหน้าธานี | ทั้งนาวีหน้าเมืองก็เนืองนอง | ||
ที่ค่ายหลวงแลไปไฟสว่าง | ด้วยขุนนางล่วงหน้ามาทั้งผอง | ||
พอเรือจอดทอดลำพอย่ำฆ้อง | กำหนดสองยามได้หมายเวลา | ||
เห็นดึกดื่นฝืนกายลงไสยาสน์ | ให้เคลิ้มหวาดว่าแม่งามมาตามหา | ||
เผยอขยับรับขวัญกัลยา | พอลืมตาตื่นกายละอายใจ | ||
เสียงฆ้องยามในบุรีตีหึ่งหึ่ง | ระลึกถึงความลับไม่หลับไหล | ||
จนรังสีส่องหล้านภาลัย | ให้เลื่อนเรือจอดใหม่ใต้ลงมา | ||
แล้วจัดกองของขนขึ้นบนค่าย | อยู่ห้องรายริมคลังข้างเบื้องขวา | ||
คอยรับองค์ทรงศักดิ์จักรา | ทั้งคอยอาลัยสมรร้อนรำพึง | ||
อังคารขึ้นสิบค่ำเวลาบ่าย | อธิบายว่าเป็นเสร็จเสด็จถึง | ||
ขุนนางน้อมพร้อมเพรียงเสียงกลองตึง | ทหารจึงพรีเซนต์เป็นธรรมเนียม | ||
พิศพระองค์ทรงยังบัลลังก์อาสน์ | สุวรรณราชยานใหญ่ใหญ่ใหม่เอี่ยม | ||
งามดั่งองค์สุริยันพอทันเทียม | เมื่อยาตรเยี่ยมรถทองส่องสุธา | ||
เสด็จขึ้นประทับพักตำหนักขวาง | ขนัดขุนนางเฝ้ารายทั้งซ้ายขวา | ||
ทรงสำราญพระจริตอิศรา | พร้อมด้วยข้าละอองบาทภิบาลองค์ | ||
ทหารนั้นปันยามตามมากน้อย | สำหรับคอยห้ามปรามตามประสงค์ | ||
บ้างกองนอนบ้างป้องกันเป็นมั่นคง | เป็นเขตดงต้องระดมทุกกรมไป | ||
ถึงสองทุ่มเสียงแซ่ด้วยแตรเป่า | ที่แท่นเสาธงอยู่ดูไสว | ||
เพลงฝรั่งตั้งต้นปนเพลงไทย | เดี๋ยวนี้ใช้เพลงเจ้าสู่ดูชอบกล | ||
ครั้นย่ำรุ่งสุริยงเอาธงขึ้น | ทหารยืนล้อมกันเข้าเป่าอีกหน | ||
ธรรมเนียมนอกคำนับธงว่ามงคล | เป็นเลิศล้นอยู่เพียงตรงธงสัญญา | ||
รอบตำหนักปักไม้เป็นค่ายตับ | ตั้งประกับป้องปิดทุกทิศา | ||
ในค่ายมีที่แรมแฉล้มตา | เป็นปั้นหยาหลายหลังทั้งวังใน | ||
ท้องพระโรงโถงแถวโคมแก้วห้อย | ระย้าย้อยพรายพร่างสว่างไสว | ||
ที่เสวยที่สรงพระทรงชัย | สิ่งของใช้บริบูรณ์จรูญตา | ||
หลังค่ายปลูกเพาะต้นผลไม้ | บ้างเป็นไร่พืชผักงามหนักหนา | ||
ริมตำหนักทิวแถวเป็นแนวมา | ดูสง่าขึงแข็งทุกแห่งไป | ||
ที่หน้าค่ายชายฝั่งตั้งตลาด | ล้วนร้านราษฎรอยู่ดูไสว | ||
สำหรับประดับพระเดชผดุงนอกกรุงไกร | เป็นกำไรพระบรมสมภาร | ||
เวลาเย็นทรงม้าด้วยข้าเฝ้า | ประพาสเหล่าเขาเขินเนินละหาน | ||
พักค่ายหลวงล่องทิวาวาร | จะเสด็จไปกาญจนบุรี | ||
เดือนสามขึ้นสิบสองค่ำพฤหัส | ปางผูกอาสน์ขนัดแลหัตถี | ||
พร้อมอมาตย์มาตยาโยธี | เตรียมไว้ที่ตามควรจวนเวลา | ||
พอรุ่งได้สุวฤกษ์วรายง | เสด็จทรงอัศวราชเรืองสง่า | ||
สะพรั่งพระบรมญาติมาตยา | ออพฟิเซอร์ซ้ายขวารักษาพระองค์ | ||
ขึ้นมาตามเสด็จออกจากค่าย | เดินเรียงรายเป็นระยะงามระหงษ์ | ||
ดังเทพล้อมอมเรศประเวศดง | ในระหว่างวงทวีปนี้ไม่มีปาน | ||
ชมพระเกียรติเพลินใจไปประเดี๋ยว | แล้วกลับเลี้ยวคิดถึงนุชสุดสงสาร | ||
สู้หักโหยโดยเสด็จพระภูบาล | ทั้งทวยหาญแห่ห้อมพร้อมกันไป | ||
มาถึงเขานามบัญญัติสัตนาถ | ให้หวั่นหวาดอนาถจิตคิดสงสัย | ||
คะนึงนึกนุชนาฏอนาถใจ | จากเขาไปไม่ช้าถึงนาเราะ | ||
คิดเมื่อครั้งคราวคิดไปติดสอย | พี่เวียนคอยไม่ใคร่พบได้สบเหมาะ | ||
แสนลำบากยากเย็นเป็นเวรเคราะห์ | เหมือนนกเราะร่ายย่างอยู่ข้างทาง | ||
มาถึงทุ่งไล่ไก่ไฉนหนอ | ใครมาล่อไล่ไก่ไพรระหง | ||
จะไล่ได้ฤๅไม่ได้ที่ในดง | แต่พี่หลงไล่รักไม่พักทัน | ||
มาถึงหนองหญ้าปล้องหมองวิตก | ในทรวงอกช้ำหนองปองกระสัน | ||
ถึงหนองคอยคอยหายมาหลายวัน | ให้หวั่นหวั่นว่าแม่งามจะตามมา | ||
ถึงห้วยแล่นไปเสียไกลน้อง | หมายเป็นทองแผ่นเดียวกันเจียวหนา | ||
มาเปราะแตกแยกตัดอนาถตา | พี่หวังว่าจะเป่าแล่นเป็นแผ่นเดียว | ||
ถึงเนินม่วงม่วงไม้ก็หายหมด | ยังปรากฏอยู่แต่ไม้ในไพรเขียว | ||
ได้แต่แพรม่วงแนบมาแถบเดียว | พอได้เที่ยวชมแทนแม้นสุดา | ||
ถึงหนองปลิงปลิงเกาะก็เลาะหลุด | จะเลาะสุดสวาทพรากยากหนักหนา | ||
เหมือนตัวปลิงยิงยืดในกายา | ใครจะมาเลาะฉุดให้ชายคลาย | ||
ถึงสำนักยกฟ้าน่าอนาถ | ใครบังอาจยกฟ้ากล้าใจหาย | ||
มีฤทธากล้าแข็งกว่าแรงกาย | วานช่วยย้ายยกทุกข์ที่ชุกใจ | ||
ถึงลำเนาเขาทะลุดูปรุโปร่ง | บ้างเป็นโพรงโกรกเกริ่นเนินไศล | ||
พฤกษารกปรกงำอยู่รำไร | บ้างโยกไกวแกว่งกวัดสบัดลม | ||
บ้างเป็นถ้ำง้ำเงื้อมชะง่อนผา | ร่มรื่นพื้นศิลาเหมือนอาศรม | ||
บ้างเป็นเหวเปลวปล่องมีช่องลม | บ้างเป็นปมปุ่มกระเปาะละเมาะเนิน | ||
บ้างเป็นแอ่งอ่างหินกระสินธุ์ขัง | บ้างพรุหลั่งไหลพร่าบนผาเผิน | ||
พฤกษาออกดอกดวงพวงเจริญ | วิหคเพลินพลอดจับสลับพรรค์ | ||
ชนสำเนียกเรียกลำเนาเขาทะลุ | เหมือนฉลุบรรพตเป็นลดหลั่น | ||
โอ้อุตส่าห์ฝ่าสวาทเข้าฟาดฟัน | ไฉนบั่นบากอาลัยไม่ทะลุ | ||
รีบดำเนินเดินข้ามบนโขดเขา | ขยาเหล่าสัตว์เสือก็เหลือดุ | ||
ยกมือไหว้เทวาว่าสาธุ | ขอให้ปรุโปร่งปลอดตลอดไป | ||
ถึงหนองบัวที่ประทับพลับพลาตั้ง | ดูมั่งคั่งคนผู้อยู่ไสว | ||
มีโรงครัวโรงเลี้ยงเคียงกันไป | พระจอมไทยทรงประทับบนพลับพลา | ||
กรมวังตำรวจงานทหารครบ | รวมสมทบกองตระเวนเกณฑ์รักษา | ||
นายเวรนายหมวดตรวจตรา | ภิบาลฝ่าละอองบาทไม่ขาดกรม | ||
บ้างหักซุ้มนอนซองเป็นห้องหับ | บ้างทำทับทุ่งเถียงเสียงขรม | ||
บ้างโหยหวนครวญถึงชู้ที่คู่ชม | บ้างนั่งงมง่วงงูบสูบกัญชา | ||
ยามกลางคืนฟืนไฟไสวสว่าง | จุกช่องทางคอยพิทักษ์รักษา | ||
พี่โศกเศร้าเข้าที่นอนค่อนอุรา | เอาแขนขวาก่ายหน้าผากวิบากครัน | ||
โอ้อกเอ๋ยเลยมาลัยมาไกลลับ | เมื่อวันใดจะได้กลับไปรับขวัญ | ||
เจ้าอยู่บ้านก็สำราญทุกคืนวัน | พี่แรมรัฐจวนใจอยู่ในดง | ||
สงสารทรวงห่วงหลังระวังหน้า | ยามนิทราตรอมใจอาลัยหลง | ||
ฟังแต่เสียงสกุณาในป่าดง | ไม่หลับลงเลยจนสางสว่างวัน | ||
ไม่มีสุขทุกข์ทับระทมถม | เที่ยวเดินชมชายป่าพนาสัณฑ์ | ||
เขาว่าหนองบัวค่ายนั้นใหญ่ครัน | บุษบันจะมีบ้างฤๅอย่างไร | ||
ถึงหนองบัวมองเขม้นเห็นแต่หนอง | ประทุมทองบัวบังอยู่ฝั่งไหน | ||
หวนคะนึงถึงประทุมคลุมสไบ | พี่มาไกลใครจะคลุมประทุมทอง | ||
หนองบัวนี้ทีจะนานจนธารแห้ง | บัวจึงแล้งลับเชื้อเหลือแต่หนอง | ||
สงสารสองบัวบกที่อกน้อง | ถ้าเลยละก็จะหมองเหมือนหนองบัว | ||
เห็นนกยางนั่งเจ่าเหมือนเราจ๋อย | แสวงคอยภักษามากลืนกลั้ว | ||
พี่เหงาหงอยคอยน้องจนหมองมัว | เพราะทุกข์ทั่วไปถึงเจ้าทุกเช้าเย็น | ||
แต่นาเราะถึงหนองบัวค่ายนี้ | ทางเจ็ดร้อยเศษมีอีกสี่เส้น | ||
ประทับแรมแรกถึงอยู่หนึ่งเวร | พอบ่ายเบนก็เสด็จดำเนินไพร | ||
พยายามตามสนองละอองบาท | มิได้ขาดพักปลงที่ตรงไหน | ||
บังคมขอพระเดชปกเกศไป | อันโพยภัยมิได้แว่วมาแผ้วพาน | ||
ถึงห้วยกาบใจพี่ไม่มีกาบ | พจน์สุภาพมั่นแม่นเป็นแก่นสาร | ||
เกรงแต่จิตขนิษฐานิรานาน | จะเป็นก้านกาบกระเทาะเลาะอาลัย | ||
ถึงหนองแร้งเขาว่าแร้งนี้แรงสาบ | แต่ไม่บาปเสพภักษ์ที่ตักษัย | ||
ถึงรูปทรามความดีมีข้างใน | พี่หวังใจว่าอนงค์คงอย่างนี้ | ||
มาถึงห้วยท่านางระคางเขิน | เหมือนท่านางย่างเดินดำเนินหนี | ||
พี่คอยท่าขนิษฐาทุกราตรี | ไม่จรลีตามหลังมาบ้างเลย | ||
ถึงห้วนดอนดอนใจอาลัยแห้ง | ยังซ้ำแซงดอนอุรานิจจาเอ๋ย | ||
เคยอยู่ลุ่มชุ่มชื่นสะเบยเคย | มาหลงเลยเดินจรดอนอรัญ | ||
มาถึงห้วยท่ารักเรียมขนาง | พี่ข้ามทางห้วยท่ามาหลายหน | ||
ยากแต่ข้ามห้วยรักไม่พักพ้น | ต้องเวียนวนเลียบห้วยระทวยใจ | ||
มาถึงห้วยท่าช้างไม่เห็นช้าง | เห็นแต่ทางห้วยท่าน่าสงสัย | ||
พี่แรมทางท่าน้องหมองฤทัย | เหมือนร้างไร่ห้วยท่าคชาธาร | ||
มาถึงที่ทับตะโกโอ้อนาถ | คราวนิราศรักมาได้ว่าขาน | ||
เมื่อต่อหน้าว่ามะพลับครั้นลับนาน | เกรงจะพาลพูดจาว่าตะโก | ||
ที่ประทับพลับพลาแรมระยะนี้ | ภูมิฐานที่ตำหนักมุขเป็นสุโข | ||
ดูขึงขึงทำใหม่ล้วนใหญ่โต | เป็นมโหฬารเลิศประเสริฐสบาย | ||
ด้วยอำนาจบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ | เหมือนเทวามาประสิทธิ์สร้างถวาย | ||
ทวยประเทศเขตคันอรัญราย | ต่างถวายอภิบาลบาทยุคล | ||
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จประทับ | ขึ้นบนพลับพลาไชยไพรสณฑ์ | ||
พร้อมอมาตย์มาตยาสามนต์ | ดั่งดาวล้อมมณฑลศศิธร | ||
ครั้นรุ่งพระสุริยาเวลาสาย | กระเหรี่ยงนายนำหน้ามาสลอน | ||
ดูรุงรังร่ำร่ายถวายกร | พระทรงศรแย้มพระสรวลชวนสำราญ | ||
โปรดพระราชทานทรัพย์กับเสื้อผ้า | กระเหรี่ยงป่าปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ | ||
กราบถวายบังคมลาสาธุการ | ด้วยถิ่นฐานันดรค่อนจะจน | ||
บ้างได้ข้าวของป่ามาถวาย | พระโรปดปรายทรัพย์สร้างทางกุศล | ||
โดยมหากรุณาประชาชน | ทั่วทุกคนสรรเสริญเจริญพร | ||
กระเหรี่ยงในไพรสณฑ์ชอบกลนัก | อารีรักเหมือนเป็นญาติแต่ชาติก่อน | ||
จะมาไปใกล้เคียงไม่เกี่ยงงอน | แต่รูปค่อนข้างขี้เหร่เกเรไร้ | ||
ใส่ตุ้มหูสวมลูกปัดขัดขมิ้น | ดูจนสิ้นไม่เห็นแยบที่แถบไหน | ||
ปลูกเหย้าเรือนเหมือนห้างอยู่กลางไพร | สับไม้ไผ่ปูแทนแผ่นกระดาน | ||
มีคู่ครองห้องหับพอดับทุกข์ | ประสาสุขโศกเสี้ยนไม่เบียนผลาญ | ||
โอ้ตัวเราเอกามาช้านาน | ไม่พบพานชื่นชูที่คู่ครอง | ||
อนึ่งที่ทับตะโกรโหฐาน | มีลำธารไหลเป็นทิวละลิ่วล่อง | ||
ล้วนกรวดทรายรายทอดตลอดคลอง | สะอาดมองเห็นมัจฉาในวาริน | ||
หมู่วิหคนกกาได้อาศัย | ชลาไหลอยู่เสมอไม่หมดสิ้น | ||
ยะเยือกเย็นกระเซ็นซาบน่าอาบกิน | ดังสายสินธุ์ที่สีทันดร | ||
กระสินธุ์ใสใจพี่ไม่มีใส | ให้ขุ่นไหม้หมองทรวงห่วงสมร | ||
แม้เหาะเหินเดินได้ในอัมพร | จะชูช้อนโฉมมาชมยมนา | ||
เป็นขัดสนจนใจด้วยไร้ฤทธิ์ | ได้แต่คิดคะนึงคาดปรารถนา | ||
เหมือนดักแร้วแพ้วนกพนาวา | เสน่หาห่างแหไม่แน่นอน | ||
ที่ท่าน้ำทำฉนวนตำหนักสูง | มีรั้ววงรอบเหมือนกับเขื่อนขอน | ||
บ้างพื้นสูงต่ำลดทดสาคร | เป็นที่ผ่อนประทับสรงคงคา | ||
อันนทีที่เขตประเทศอื่น | ไม่เย็นชื่นเช่นธารละหานผา | ||
เกิดสำหรับประดับพระเดชา | ดั่งธาราสระสวรรค์อันอุดม | ||
ได้กินอาบซาบกายสบายจิต | จืดสนิทใสสะอาดไม่ฝาดขม | ||
เห็นจะเป็นพุห้วยเหวพนม | น้ำจึ่งล่มไหลลาดไม่ขาดคลอง | ||
แต่หนองบัวถึงทับตะโกนี้ | รวมวิถีห้าร้อยสามสิบสอง | ||
ตามฉลากปักกะระยะจอง | พอรุ่งสองโมงเสด็จดำเนินคลา | ||
อันตัวพี่เคราะห์โศกมาตกใส่ | เผอิญให้ป่วยเป็นบิดจิตผวา | ||
ทั้งหยูกยาหาไม่ได้แต่ชา | กินเป็นยาแก้บิดประสิทธิ์ดี | ||
เมื่อยามไข้ได้เห็นแต่หน้าเพื่อน | อารีเยือนพยาบาลไม่คร้านหนี | ||
ค่อยทุเลาแต่กำลังยังไม่มี | ต้องขึ้นขี่เกวียนเดินในดอนดง | ||
ทุเรศเถื่อนแรมทางไปกลางป่า | ชมคณานกไม้ไพรระหง | ||
นกแก้วแจ้วจับคู่อยู่ริมพง | เหมือนน้องส่งเสียงสนั่นจำนรรจา | ||
แต่นกในไพรศรียังมีคู่ | พี่ไร้ชู้ห่างชิดกนิษฐา | ||
นกขุนทองเหมือนทองของน้องยา | ที่อังสาสวมห้อยสายสร้อยทอง | ||
สีชมพูเหมือนสีชมพูฟ้า | เจ้าห้อยบ่าบังใบไม่มัวหมอง | ||
นกแขกเต้าเหมือนเต้าเต่งละออง | จะจับต้องเจ้าก็ปัดสะบัดเบือน | ||
นางนวลเหมือนนวลฉวีพักตร์ | วิไลลักษณ์หาไหนจะได้เหมือน | ||
โอ้อุบัติพลัดพรากมาจากเรือน | มิได้เยือนเตือนน้องให้แต่งนวล | ||
ขมิ้นเหมืองเหลืองเหลือเหมือนเนื้อน้อง | เหลือละอองเปล่งปลั่งช่างสงวน | ||
ไม่ทันชิดพิศใกล้ก็ใจยวน | เหมือนจะชวนให้พี่ชมภิรมยา | ||
ระวังไพรมิได้อยู่ระวังแล้ว | เป็นกรรมแคล้วคลาดเหเหน่หา | ||
จะไว้ทางวางใจก็ไกลตา | เกรงแต่ถ้าเจ้าจะทำให้ช้ำใจ | ||
ถึงทุ่งแฝกแฝกบาดก็เมาพิษ | ไม่เจ็บเหมือนจากมิตรที่พิสมัย | ||
ลำภาชีแม้พี่มีมโนมัย | จะรีบไปเยี่ยมถามงามผจง | ||
ถึงหนองไผ่อกใจพี่ผ่ายผอม | เพราะตรมตรอมตรองครวญถึงนวลหงส์ | ||
ถึงมะขามเตี้ยคิดจิตพะวง | พี่ต่ำลงกว่ามะขามเพราะยามไร้ | ||
พ้นมะขามเตี้ยเดินเข้าเนินป่า | ร่มพฤกษายางยูงสูงไสว | ||
เห็นเถาวัลย์พันเหนี่ยวเป็นเกลียวไป | เหมือนอกใจผูกพันนิรันดร | ||
หอมประดูดกดอกออกไสว | เหมือนเมื่อใกล้กลิ่นกายสายสมร | ||
นางแย้มแย้มขยายขจายจร | เหมือนบังอรแย้มยิ้มให้อิ่มใจ | ||
เห็นพวงจันทร์รัญจวนเหมือนนวลพักตร์ | วิไลลักษณ์ลออตาไม่ฝ้าไฝ | ||
สุรภีหอมหวนรัญจวนใจ | เหมือนนางไล้ลูบประสุรภี | ||
มหาหงส์ทรงนางเหมือนอย่างหงส์ | กาหลงหลงประโลมโฉมฉวี | ||
ชงโคโยทะกาจำปาปี | โอ้สักกี่ปีเล่าจะเบาใจ | ||
เกดแก้วแก้วตานิราลับ | เหมือนดาวดับเดือนแรมไม่แจ่มใส | ||
บุนนาคนาคทองของสิ่งใด | ไม่สดใสสำอางเหมือนปรางทอง | ||
พิกุลตระกูลก็สมเกียรติ | ไม่ชิดเฉียดชั่วทำให้ใจหมอง | ||
กรรณิการ์กาแกไม่แซ่ซ้อง | เจ้าครุ่นครองรักนามงามเจริญ | ||
สายหยุเหมือนพี่หยุดภิปรายทัก | พอสมบพักตร์เนตรนางระคางเขิน | ||
สเมเช้าเช้าค่ำพี่ร่ำเชิญ | เทพเหินหาวหนให้ดลนาง | ||
กระดังงาพี่อุส่าห์สงบปาก | ไฉนหลากดังข่าวจนร้าวหมาง | ||
ระกำกรรมพี่ได้ทำไว้ก่อนปาง | จึ่งเริศร้างแรมสงวนนวลอนงค์ | ||
พอโพล้เพล้เวลาฟ้าพยับ | ชอุ่มอับมืดไม้ไพรระหง | ||
จักจั่นเรไรร้องกึกก้องดง | ชะนีส่งเสียงหวนรัญจวนใจ | ||
เหมือนโอ้ครวญทวนสมุทรเมื่อบุตรลบ | พี่โศกซบลงกับเกวียนเจียนตักษัย | ||
เธอพลัดพรากมารดามาแต่ไพร | พี่จากไกลน้องน้อยจึ่งพลอยเลือน | ||
ครั้งพระรามเดินไพรไปในป่า | ยังได้น้องกับสีดามาเป็นเพื่อน | ||
พี่เดินดงพงดอนมาค่อนเดือน | ไม่มีเพื่อนบุกรกเลยอกเรา | ||
ชั้นจะมีที่รักประดักประเดิด | เสียแรงเกิดมาเป็นชายไม่คล้ายเขา | ||
อกุศลผลกรรมมาตามเงา | ทุกค่ำเช้าช้ำอกดังตกเตียง | ||
ตกดึกดื่นเดือนดับพยับฟ้า | สกุณาแซ่ขานประสานเสียง | ||
วังเวงใจไพเราะเพราะสำเนียง | เสนาะเพียงจะเคลิ้มหลับวับวิญญา | ||
รื่นรื่นชื่นกลิ่นกระถินแดง | ให้พะวงหวาดกระสันเสน่หา | ||
น้ำค้างตกซกกระเซ็นเย็นอุรา | เสียงไก่ป่าขันเจกวิเวกใจ | ||
ครั้นจวนพระสุริยเรืองขึ้นเรือเหลือง | ออกปากเหมืองตัดมาเข้าป่าไผ่ | ||
มาถึงท่าตะคร้อแจ้งด้วยแสงไฟ | ทั้งนายไพร่ขานฆ้องกองตระเวน | ||
ตั้งแต่ทับตะโกไพรไปถึงท่า | รวมมรรคาแปดร้อยเก้าเส้น | ||
ทรงประทับพลับพลารอนแรมเวร | พอสุริเยนทร์โอภาสก็ยาตรา | ||
เสด็จลงทรงเรือพระที่นั่ง | ข้ามไปฝั่งเบื้องบูรพทิศา | ||
ประพาสทุ่งนาคราชแล้วยาตรา | ไปประทับพลับพลากาญจนบุรี | ||
พลับพลาแรมริมสมุทรสุดสะอาด | แม้นทิพย์พิมานมาศโกสีย์ | ||
ดั่งจะรอนแรมป่าอยู่กว่าปี | ทั่วทั้งสี่ด้านดูดั่งบุรินทร์ | ||
ตั้งแต่ราชบุรีพลับพลาสถาน | หน้าเมืองกาญจนบุรีวิถีถิ่น | ||
กับเถื่อนที่ทรงประเวศเขตคีริน | จนสุดสิ้นระยะที่กะเกณฑ์ | ||
ศิริทางสถลมารคฉลากป่า | สองพันห้าร้อยเก้าสิบแปดเส้น | ||
ประทับพลับพลาไพรอยู่หลายเวร | ต่างกะเกณฑ์กันรักษาฝ่าธุลี | ||
ประจำซองกองแซงทุกแห่งหน | รอบมณฑลพลับพลาพนาศรี | ||
ทั้งเรือแพแออัดในนัทที | ประชาชีรื่นเริงบันเทิงใจ | ||
ทั้งเจ้าเมืองกรรมการด่านตำบล | นำเหตุผลทูลฉลองสนองไข | ||
ทรงโปรดเกล้าราษฎรนครไพร | ให้เฝ้าได้อภิวาทบาทบงสุ์ | ||
บ้างจัดหายาลังแลของป่า | ตามประสายากไร้ใจประสงค์ | ||
ให้นำขึ้นทูลถวายดังใจจง | โปรดประสงค์มิประสงค์ทรงรับไว้ | ||
พระราชทานตอบแทนกว่าแสนส่วน | ต่างชื่นชวนปรีดิ์เปรมเกษมใส | ||
น้อมกายถวายคำนับแล้วกลับไป | โดยพระทัยทรงมหาเมตตาคุณ | ||
ทั้งฝ่ายข้าราชการสำราญมาก | ไม่อดอยากชุ่มชื่นทุกหมื่นขุน | ||
เพราะบุญบารเมศพระเดชพระคุณ | ปกเกล้าอุ่นอกอาณาประชาบาล | ||
บ้างเที่ยวเตร่เร่หาเครื่องยาหยูก | บ้างเที่ยวผูกไมตรีที่สมาน | ||
บ้างสืบหวยเสาะหาพระอาจารย์ | ที่เชี่ยวชาญกำหนดวันได้ทันแทง | ||
บ้างเที่ยวหานกเนื้อมาเถือพล่า | บ้างเที่ยวหาตามตลาดอุจาดแสลง | ||
บ้างกินเหล้าเมามายดูร้ายแรง | บ้างเที่ยวแทงโปถั่วออกทั่วไป | ||
แต่ตัวพี่ตรอมใจอยู่ในแต๊น | ด้วยโศกแสนทรวงหมองไม่ผ่องใส | ||
ทุกเช้าค่ำรำพึงถึงอาลัย | ให้โหยให้ห่วงหลังเป็นกังวล | ||
มาต่างเมืองเหมือนเมินมาเกินลับ | สุดจะนับนึกสังเกตซึ่งเหตุผล | ||
จะส่งข่าวกล่าวแถลงแจ้งยุบล | ก็ไร้คนขัดขวางด้วยทางไกล | ||
แสนลำบากยากเย็นอยู่เช่นนี้ | จะร้ายดีมิได้เห็นว่าเป็นไฉน | ||
จะทุกข์โศกโรครานประการใด | ก็ยังไม่ทราบข่าวทราบคราวเลย | ||
ให้ขุ่นคิดจิตใจไม่หายห่วง | สงสารดวงฤดีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
เสียแรงช้ารอชมภิรมย์เชย | บุญไม่เคยเคียงฉวีนีฤมล | ||
ตั้งแต่วันพรากรักไปแรมเข็ญ | พี่ฝันเห็นน้องน้อยกว่าร้อยหน | ||
นิมิตชื่นตื่นเช้าเศร้ากมล | เหมือนโศกปรนทรวงปรวนให้รวนรี | ||
เวลาเย็นเห็นแต่นกนั้นนำคู่ | กลับมาสู่พุ่มไม้ในไพรศรี | ||
โอ้อกเรียมแรมมาพนาลี | จะได้มีรวงรังเมื่อครั้งไร | ||
ครวญครวญหวนระลึกจนดึกดื่น | ทุกวันคืนคอยแต่ทุกข์ไม่สุขใส | ||
บางเวลาเพื่อนมิตรสนิทใจ | มาชวนให้บ่ายบากไปฟากเมือง | ||
เที่ยวชมสาวชาวตลาดสะอาดเหลือ | เป็นจีนเจือเชื้อญวนดูนวลเหลือง | ||
นั่งร้านรายขายของอยู่นองเนือง | ต่างชำเลืองตาสบหลบละอาย | ||
โรงสุราร้านชำประจำท่า | ทั้งเสื้อผ้ายากรอกกร่างออกวางขาย | ||
บ้างถักเสื้อทอผ้าหาอุบาย | พอซื้อขายตามประสาวนาลี | ||
แต่ญวนจีนปีนไปอยู่นั้นดูมาก | เที่ยวตกลากเสาไม้ในไพรศรี | ||
บ้างค้าขายบ่ายเบี่ยงเพียงบุรี | จนมั่งมีทุนรอนนอนสบาย | ||
ในธานีที่เมืองก็เขื่องคึก | ดูครื้นครึกเรือนบ้านประมาณหลาย | ||
จวนพระยาฝากระดานสำราญกาย | กรมการบ้านรายระยะเมือง | ||
ศาลากลางวางตราแลบอกบั่น | ยุติธรรม์ถ้ยความก็ตามเรื่อง | ||
มีศาลเทพารักษ์พิทักษ์เมือง | เจริญเรืองวัดวาประชาชี | ||
อันถิ่นฐานกาญจนบุรีเดี๋ยวนี้ตั้ง | อยู่แหลมฝั่งตรงคุ้งเหมือนกรุงศรี | ||
ชัยภูมิพาราสง่าดี | เป็นธานีหน้าด่านรานณรงค์ | ||
เดิมจะเรียกปากแพร่ฤๅแควแยก | เรียกปากแพรกคำโบราณท่านประสงค์ | ||
มีลำน้ำสามแควกระแสลง | เดี๋ยวนี้คงชื่นขานกาญจนบุรี | ||
แต่เมืองนี้มิใช่กาญจนบุรีก่อน | สร้างนครคอยสงครามสามวิถี | ||
ที่เมืองเดิมแดนสถานกาญจนบุรี | เปลี่ยนชื่อศรีสวัสดิ์ถัดขึ้นไป | ||
แต่เขตคามนามเมืองยังเยื้องยัก | อันความรักจะเที่ยงอยู่เพียงไหน | ||
กาญจนบุรีแปลงศรีสวัสดิ์ไป | เกรงอาลัยเจ้าจะแปลงน่าแคลงคลาง | ||
แต่มั่นหมายอยู่ว่ามิตรไม่คิดคด | ด้วยได้ทดลองใจมาหลายอย่าง | ||
ยังไม่เป็นด้วงแมลงที่แหนงนาง | เมื่อจะร้างทุจริตก็ผิดไป | ||
เที่ยวประเมินเดินดูพอรู้เห็น | เวลาเย็นกลับมาที่อาศัย | ||
เวียนระวังราชกิจเป็นนิจไป | กว่าจะได้กลับหลังยังนคร | ||
วันหนึ่งเขาเล่าว่าน่าประหลาด | ว่าพระธาติประดิษฐานชานศิขร | ||
ในเงื้อมถ้ำงำผาพนาดอน | พัดนครออกไปไม่ไกลนัก | ||
แสนยินดีปรีดาปรึกษามิตร | ที่ชอบชิดชวนกันไปใคร่รู้จัก | ||
ออกหลังค่ายรีบรุดไม่หยุดพัก | คนรู้หลักแหล่งถ้ำก็นำไป | ||
เข้าไร่ยาป่าไม้ออกชายทุ่ง | เขม้นมุ่งเขาเขินเนินไศล | ||
พูดกันเพลินเดินเรื่อยไม่เหนื่อยใจ | ประมาณได้โมงกึ่งถึงบรรพต | ||
ค่อยดำเนินเดินขึ้นบนคูหา | ดูเพิงผารุ่มสบายเมือนฉายกลด | ||
ที่ปากถ้ำมีพระสงฆ์ดำรงพรต | สำรวมอิริยาบถอยู่เอกา | ||
แต่เมื่อเราเข้าไปท่านไม่อยู่ | เห็นแต่อาสน์ลาดปูในคูหา | ||
มีย่ามกาผ้าเหลืองเครื่องบูชา | อนาถน่าเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย | ||
ทั้งขัดเข็ญเย็นเยียบเงียบสงัด | แต่สิงสัตว์เสือช้างนั้นห่างหาย | ||
อำนาจศีลสินสรรพ์ภยันตราย | สำราญกายสุโขกว่าโลกีย์ | ||
คิดจะใคร่ตัดห่วงเป็นหลวงจีน | ไปอยู่ถ้ำจำศีลเหมือนฤๅษี | ||
ก็หนักหน่วงห่วงใยด้วยไมตรี | ไม่มีชีหุงจังหันให้ฉันเพล | ||
แล้วรีบด่วยชวนกันไปเข้าในถ้ำ | มี่มืดคลำลุกล้มดั่งงมเถร | ||
ติดตะกุกตะกักแก่งไม่แจ้งเจน | ต้องบ่ายเบนออกมาเที่ยวหาไฟ | ||
จุดอัคคีเข้าไปส่องทุกช่องผา | เที่ยวเสาะหาในถ้ำลำไศล | ||
พบแต่ก้อนกรวดทรายออกรายไป | จะพระใช่ฤๅมิใช่ก็ไม่รู้ | ||
อยู่กับฝุ่นมูลดินในถิ่นถ้ำ | บ้างขาวคล้ำคล้ายพระธาตุชาติต้องสู้ | ||
บ้างซ่อนเหน็บเก็บได้ไม่ให้ดู | บ้างก็ชูเชิดอวดประกวดกัน | ||
คนละเจ็ดแปดองค์คงเป็นได้ | ต่างดีใจชื่นชวนกันสรวลสันต์ | ||
บ้างละโมบโลภบ้าหาตะบัน | ไม่ว่าชั้นชนิดใดเอาไปพอ | ||
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวดูในคูหา | บ้างเป็นฝาพื้นเกลี้ยงเหมือนเกรียงก่อ | ||
บ้างเป็นแท่นแผ่นลาดอาสน์ลออ | บ้างเป็นหอห้องหับที่ลับตา | ||
บ้างนูนมูลเหมือนมณฑลก้นกะทะ | บ้างเป็นปละแปลงตื้นที่ผืนผา | ||
บ้างเป็นบ่อท่อธารชานชลา | บ้างเป็นท่าทางลาดเหมือนหาดทราย | ||
บ้างเป็นอแงอ่าวโอฆชะโงกชะง่อน | บ้างกลมก้อนกลางหว่างเหมือนอ่างหงาย | ||
บ้างพูลโผกโพรกพรุนเป็นโพรงพราย | บ้างดาษดายเหมือนเพดานละลานแล | ||
บ้างตูมตุ่มปุ่มปมเหมือนนมตั้ง | บ้างเป็นวังเวิ้งชะวากปากแฉว | ||
บ้างเครอะคร่ำดำเป็นตอสะมอสะแม | บ้างเป็นแควคุ้งสอกซอกศิลา | ||
บ้างเป็นเหวหินเห็นเย็นชิดชื้อ | ดูมืดตื้อเต็มดูในคูหา | ||
เป็นหลืบลึกเหลือเล่ห์คะเนตา | ถ้าพลาดท่าก็เหมือนตกนรกตาย | ||
บ้างเป็นฟองหินย้อยเพราะฝนหยาด | เหมือนลูกกวาดตกเกลื่อนอยู่เลื่อนหลาย | ||
ฝุ่นระคนปนงำในถ้ำราย | คนจึ่งหมายว่าพระไม่คะเน | ||
ใช่จะแกล้งท้วงทักขัดมรรคผล | ก็สวดมนต์อยู่ทุกวันไม่หันเห | ||
เป็นสิ่งที่พึ่งหนึ่งแน่ไม่แปรเปร | แต่ทำเลถ้ำนั้นยังหวั่นตรอง | ||
ที่เสาะหามาไว้ใช่จะบาป | แม้ไหว้กราบมีผลกุศลสนอง | ||
จงตั้งใจหมายมาดว่าธาตุจำลอง | เหมือนทำนองพุทธรูปสถูปธรรม์ | ||
แต่ปัญญาข้าพเจ้านั้นเขลาซื่อ | อยากจะถือแต่ที่จริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ก็ยังไม่พบดีที่สำคัญ | เพราะพระนั้นหายากลำบากใจ | ||
แล้วออกจากลำน้ำถ้ำศิขร | มาพักร้อนเพิงผาที่อาศัย | ||
บ้างเอาพระออกประกวดอวดกันไป | บ้างขีดไฟสูบบุหรี่ค่อยมีแรง | ||
พอแดดร่มลมตกวิหคเหิน | ชวนกันเดินเลียบผาตาแสวง | ||
เที่ยวหาต้นจักจั่นจันทน์แดง | ได้มาแบ่งปันกันไม่ฉันทา | ||
ที่ชานชั้นบรรพตเป็นลดเลี้ยว | ล้วนรกเรี้ยวรวกงอกบนซอกผา | ||
ดูกร่องแกร่งแห้งกรอบหลอบในตา | เพราะเป็นหน้าแล้งฝนไม่หล่นโปรย | ||
แต่ใบไม้ร่วงเตียนยังเปลี่ยนก้าน | จะตายด้านแต่ไมตรีทวีโหย | ||
มะลิวัลย์ลั่นทมยมโดย | พระพายโชยชื่นถวิลว่ากลิ่นปราง | ||
แล้วรีบเลียบลัดตัดบากลงจากเขา | ไปตามเค้ามรรคาเข้าป่ากว้าง | ||
แสวงสรรพคุณยามาพลาง | เลยลัดทางเที่ยวไปตามไร่ยา | ||
เห็นโรงจีนญวนตั้งอยู่กลางเถื่อน | มีแต่เพื่อนเมียผัวน่ากลัวขลา | ||
เพราะจนยากจากนครสัญจรมา | อุตส่าห์หาเลี้ยงชีวิตที่คิดควร | ||
ต้นเต็งรังยางยูงอันสูงร่ม | ก็โค่นล้มลงเป็นฟืนพื้นเป็นสวน | ||
เสียแรงมีมือตีนพวกจีนญวน | ช่วงเพียรทวนป่าไม้เป็นไร่กง | ||
จนเจริญทรัพย์สมบัติไม่ขัดเข็ญ | เป็นสุขเย็นตามประสาป่าระหง | ||
อันเงินทองนี้ไม่ว่าในป่าดง | ย่อมดำรงอยู่ทุกถิ่นแผ่นดินไทย | ||
ด้วยภูมิพื้นปฐพินพระปิ่นภพ | ไม่สิ้นจบนคราป่าไศล | ||
ทั้งแปดทิศใต้เหนือถึงเหลือไกล | เป็นมไหดิลกหล้าธานี | ||
มีเมืองขึ้นใหญ่น้อยกว่าร้อยเศษ | อยู่ในเขตเถื่อนธารด่านวิถี | ||
ห้อมล้อมกรุงทวารวดี | เป็นบุรีบริวารชานนคร | ||
โดยพระเกียรติมหาอานุภาพ | บำรามราบอริราชขยาดหย่อน | ||
ไม่ต้องตั้งท่อปราการทุกด่านดอน | มีนครคั่นแดนแทนปราการ | ||
ประเทศใดในหล้าที่กล้าฤทธิ์ | ก็มาสนิทนอบน้อมยอมสมาน | ||
ถวายสุวรรณบุปผาบรรณาการ | เพราะภินิหารบุญญาบารมี | ||
อนึ่งพระองค์ทรงธรรม์ทศพิธ | ประกอบกิจพระกุศลราศี | ||
บำรุงราชศาสนาประชาชี | ทั้งธรณีนิราศเข็ญเย็นฤทัย | ||
ในมณฑลมงคลคุ้งกรุงสยาม | เจริญงามทั่วพิภพสบสมัย | ||
ทั้งข้าวปลาฟ้าฝนผลไม้ | ก็พร้อมไพบูลย์ถูกทุกตำบล | ||
มีบ่อแร่ทองทรายไม้ขอนสัก | ทั้งพืชภักษ์ปฐพีก็มีผล | ||
แลทางท่าค้าขายหลายตำบล | แระชาชนหากิ่นทุกถิ่นไป | ||
ประเทศอื่นชั้นแต่ฟืนก็หายาก | เหลือลำบากยากจนพ้นวิสัย | ||
จะหาเงินแต่ละเฟื้องก็เคืองใจ | ไม่หาได้คล่องแคล่วเหมือนแถวเรา | ||
แต่อย่างนั้นบางคนยังบ่นออด | ลงนอนทอดโทษว่าเคราะห์เพราะพระเสาร์ | ||
มาเสวยอายุจึ่งมุเมา | ให้เวียนเคล้าโปหวยจนซวยโซ | ||
ที่จริงเพราะขี้เกียจเข้าพระเสาร์ผุ | ฝาทะลุหลังคาร่วงจนกลวงโหว่ | ||
ตั้งแต่โจทย์โทษพระเสาร์เฝ้าพาโล | ท่านโกรธโกรธาเคืองด้วยเรื่องไร | ||
ความยากจนเราท่านทุกวันนี้ | ก็เพราะขี้เกียจคร้านการไถล | ||
ครั้นกรอบเกรียนเหี้ยนโหดจะโทษใคร | จะโทษได้ก็แต่กรรมเป็นธรรมดา | ||
อันเรียนศิลป์แสวงทรัพย์เกินไศล | แม้เร็วไว้ปรูดปราดก็พลาดท่า | ||
ในสามกิจคิดประกอบชอบช้าช้า | ต้องอุตส่าห์หากินอย่าหมิ่นใจ | ||
ประเทศอื่นไม่รื่นเรืองเหมือนเมืองนี้ | ทุกเดือนปีต่างภาษามาอาศัย | ||
ทุกแดนกรุงทุ่งเขาลำเนาไพร | เหมือนเขตไร่ญวนย่านกาญจนบุรี | ||
จะสรรเสริญเจริญพระราชอาณาเขต | สุดสังเกตบ้านเรือนเถื่อนวิถี | ||
ได้ชมดูอยู่เพียงไร่ใกล้บุรี | ยังเต็มที่เหนื่อยล้าระอาใจ | ||
ตอก็แล้งแห้งผากบากเข้าสวน | ถึงไร่ญวนหยุดสำนักพักอาศัย | ||
เจ้าของโรงต้อนรับคำนับใจ | บุหรี่ไฟเชียนสลาน้ำชาชง | ||
เชิญให้พักชักให้กินเหมือนชินชอบ | แล้วพูดตอบไตาถามตามประสงค์ | ||
ดูท่วงทีมีอาชาชาวป่าดง | เพราะเขาปลงใจว่าข้าราชการ | ||
โดยพระเดชพระปรมินทร์พระปิ่นโลก | รำงับโศกปกเกล้าเหล่าทหาร | ||
ประชาชนทั่วถิ่นไม่หมิ่นพาล | บำราศราญราคินสิ้นทั้งปวง | ||
ครั้นเย็นลงเลยลามาสำนัก | ยังที่พักแต๊นรายริมค่ายหลวง | ||
หวนคนึงถึงสมรสะท้อนทรวง | ด้วยลับล่วงเลยมาก็ช้านาน | ||
พอทราบข่าวว่าจะเสด็จกลับ | ไปประทับราชบุรีที่สถาน | ||
ความยินดีดั่งจะได้ไปวิมาน | ทวยทหารร่านเริงบันเทิงใจ | ||
พนักงานจัดเรือพระที่นั่ง | ทั้งบัลลังก์รองเรียงเคียงไสว | ||
เทียบประทับกับท่าชลาลัย | พอฤกษ์ได้บ่ายโมงเศษเสด็จพลัน | ||
เรือแห่นำซ้ายขวาหน้าหลัง | ดาประดังดาษชลพลขันธ์ | ||
ดั่งพยุหนาวาคลาจรัญ | ต่างผายผันเรือตามออกหลามไป | ||
ปิกนิกโบทญวนแหวดแวดล้อม | สะพรึบพร้อมธงทิวปลิวไสว | ||
บ้างแจวแข่งแซงเคียงเกี่ยงกันไป | ชลาลัยเป็นระลอกกระฉอกคลอน | ||
ที่ลำเดียวเปลี่ยวปลอดไม่ทอดร่าย | เร่งฝีพายรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
ที่ห่วงเค้าข้าวหอก็รอจร | ไม่รีบร้อนเร่งไปทำใจเนือย | ||
ที่คอรักสักวาก็ล้าหลัง | เสียงโทนทั่งรำมะนาพัดชาเฉื่อย | ||
แต่ลำเราเปล่าปลี้เหมือนชีเปลือย | ไม่อาจเอื่อยเอ่ยออมตรอมกมล | ||
ถึงแควน้อยพลอยคะนึงถึงน้องน้อย | จะเปรมคอยฤๅจะปรวนหวนฉงน | ||
พี่ท้อแท้แต่น้ำใจจะไม่ทน | เหมือนสายชลแควน้อยเมื่อถอยลง | ||
ถึงสีโละชั่งอาลัยได้หลายโละ | ไม่ปู้โหละน้ำหนักเพราะรักหลง | ||
จะสอบตรงชูเต็งก็เล็งตรง | หวั่นพะวงสวาทไกลจะใจเบา | ||
ถึงสำรองสำรองใจไปฝากรัก | สมัครหมายน้อมโน้มโฉมเฉลา | ||
ขอให้น้องสำรองรักไว้คอยเรา | ฤๅจะเปล่าเช้าค่ำไม่สำรอง | ||
ถึงท่าเรือพระแท่นดงรังรก | ไม่แวะวกนบใจไปสนอง | ||
ต่างประทีปเทียนชัยมาลัยกรอง | เคารพสองบัวบาทพระศาสดา | ||
แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานการกุศล | ที่ส่วนตนได้กระทำตามประสา | ||
จงจุนใจไปทุกชาติอย่าคลาดคลา | ให้ผ่องผาสุกสวัสดิ์ขจัดภัย | ||
หนึ่งราคะอกุศลระคนชั่ว | จงเกลียดกลัวอย่าได้ติดในนิสัย | ||
สิ่งใดเข็นเป็นกุศลมงคลไป | ขอให้ได้ปฏิบัติเป็นอัตรา | ||
ถึงลูกแกแกกาไม่วาว่อน | แต่เรียมร่อนนิราศเร่เสน่หา | ||
ก็นับเดือนมิได้เยือนวนิดา | ลูกแกกาไม่บอกข่าวเราบ้างเลย | ||
ท่ากระทุ่มกระทุ่มทิ้งมาทั้งรัก | วิตกหนักอุรพานิจจาเอ๋ย | ||
ทุกโมงทุ่มทอดใจไม่สะเบย | เหมือนกายเกยกองอัคคีทุกวี่วัน | ||
ถึงบ้านโป่งใครช่างมานั่งโป่ง | จะยิงโขลงช้างเสือฤๅเนื้อสมัน | ||
ฤๅปิดตาอยู่โยงจนโป่งครรภ์ | ถ้าเช่นนั้นอย่าให้พ้องกับน้องยา | ||
ถึงเบิกไพรใครมาเบิกพระไพรหาญ | จึ่งมีศาลเทวฤทธิ์สถิตป่า | ||
จะหาฤกษ์เบิกรักแต่สักครา | ให้พยากรณ์ฤกษ์เหมือนเบิกไพร | ||
เรือขึ้นล่องต้องพักพำนักก่อน | มะพร้าวอ่อนบายศรีตองแลฟองไก่ | ||
ทั้งเทียนธูปบุปผาหาขึ้นไป | คำนับไหว้วันทาเทพารักษ์ | ||
แต่ลำเราธูปเทียนก็เตียนหมด | พฤกษาสดเก็บกิ่งไม้เอาไปปัก | ||
ว่าสุขีสุขีที่พำนัก | ขออารักษ์คุ้มกันอันตราย | ||
ที่ศาลอยู่ดูสันโดษนิโครธครึ้ม | สงัดหงึมเงียบไพรน่าใจหาย | ||
สะพรั่งพฤกษ์ร่มเย็นเห็นสบาย | แต่ระคายข่าวว่ามีกุมภีล์พาล | ||
ครั้นเสร็จทำบำบวงล่วงลีลาศ | ถวิลสวาทอ้างว้างมากลางสนาน | ||
ระเถื่อนเรือนบางทางกันดาร | เหมือนรักรานเรือเดียวมาเปลี่ยวลำ | ||
นครชุมเหมือนน้องชุมนุมนั่ง | ดูเปล่งปลั่งกลางประชุมสุขุมขำ | ||
สะอาดทรงวงนัยนาดำ | จะหาก้ำเกินนี้ไม่มีชุม | ||
โพธารามเมื่อยามอร่ามรัก | ให้อึกอักหนักอกเหมือนตกหลุม | ||
เพราะมีที่กีดขวางระคางคุม | จึ่งกลัดกลุ้มใจอยู่ไม่รู้วาย | ||
ถึงบางเลาพอเป็นเลาอาลัยแล้ว | มาคลายแคล้วเคลื่อนคลาดสวาทหาย | ||
อยู่ไกลมือเกรงจะรื้อรานระคาย | ไม่เห็นลายแล้วก็เลือนที่เงื่อนงำ | ||
ถึงเจ็ดเสมียนวานเสมียนจงเขียนต่อ | ช่วยเติมข้อพ้อคารมให้คมขำ | ||
จะฝังฝากรักไว้ที่ใจดำ | ให้สมน้ำใจเราที่เมามัว | ||
ตำบลเจ็ดเสมียนจำเนียรนี้ | นิทานมีผู้เฒ่าเล่ากันทั่ว | ||
ว่าจระเข้เร่กายขึ้นหลายตัว | จนมืดมัวไม่น้อยกว่าร้อยพัน | ||
บ้างโผล่ลอยเลียบฝั่งบ้างกลางน้ำ | ออกคลาคล่ำคำกล่าวดูข่าวขัน | ||
เสมียนหนึ่งนับกำหนดจดไม่ทัน | ต้องช่วยกันเบ็ดเสร็จถึงเจ็ดนาย | ||
แล้วเลยล่องมาถึงคลองบางสองร้อย | คะนึงถึงน้องน้อยไม่หน่ายหาย | ||
นารีอื่นรื่นรวยสักร้อยราย | ก็ไม่หมายคบค้าเป็นราคี | ||
ถึงบ้านหม้อเดิมเตาเขาเผาหม้อ | จึ่งเกิดก่อโคกบ้านสถานที่ | ||
เขายังดีมีหม้อข้าวเตาอัคคี | เราไม่มีหม้อข้าวเปล่าอุรา | ||
ถึงวัดตาลน้ำตาลว่าหวานล้ำ | ไม่หวานฉ่ำเฉื่อยฉิวเหมือนชิวหา | ||
แต่ลิ้นชายจืดชืดไม่โอชา | จะพูดจาจับเส้นเป็นเถรตรง | ||
ถึงอารามนามวัดหน้าพระธาตุ | อภิวาทระลึกความตามประสงค์ | ||
เห็นอารามพุทธปรางร้างเป็นพง | เห็นรักคงจะร้างราเหมือนอาราม | ||
ข้างฝั่งบูรพ์ราชบุรีที่ประเทศ | เป็นบริเขตรอมไรในสยาม | ||
ภูมิสถานบ้านเมืองก็เรืองงาม | เจริญความสุขเย็นไม่เข็ญเคือง | ||
นรชนกล่นเกลื่อนเรือนสล้าง | ทำฟืนฟางไร่นาในป่าเหมือง | ||
บ้างจอดแพขายของอยู่นองเนือง | ดูเนื้อเหลืองสวยสาวสักคราวนาง | ||
จะชมอื่นก็ชื่นเหมือนชมมิตร | ถึงหน้าจวนจวนจิตจะจากร่าง | ||
ถึงค่ายหลวงล่วงพ้นตำบลบาง | พลางจอดนาวาที่ท่าวัง | ||
เรือหลามตามตลิ่งชิงกันจอด | เต็มตลอดฝั่งชลาหน้าหลัง | ||
ปางพระจอมจักรพงศ์ดำรงวัง | เสด็จยังที่ประทับพลับพลา | ||
แรมรอนผ่อนพักพลหลวง | ทุกกระทรวงเกษมสันต์หรรษา | ||
ประชาราษฎร์ชื่นชมภิรมยา | นบพระเดชเดชาบารมี | ||
ผู้ว่าราชการเมืองกรมการ | มาประสานน้อมเกล้าเกศี | ||
ทูลแถลงแจ้งเหตุร้ายดี | พระบารมีปกเปลื้องทุกเรื่องไป | ||
ดั่งษิโณทกทิพย์อากาศ | มาประพรมประชาราษฎร์ให้เย็นใส | ||
ทั่วนครนิคมพนมไพร | บูชาไหว้อภิวาทบาทบงสุ์ | ||
ครั้นรุ่งเตรียมโยธานาเวศ | ด้วยสิ้นเขตรายระยะพระประสงค์ | ||
เสด็จจากราชบุรีที่ดำรง | เฉพาะตรงกรุงทวารวดี | ||
ต่างเคลื่อนนาวาเนื่องมาเบื้องหลัง | แวดระวังภิบาลบาทบทศรี | ||
คั่งคับสับสนนาวี | ถึงกรุงศรีอยุธยามหานคร | ||
ซึ่งข้าบาทไปราชการหลวง | สิ่งทั้งปวงก็เป็นสุขสโมสร | ||
โดยพระเดชนฤบดินทร์ปิ่นนิกร | ขจัดร้อนด้วยอำนาจบาทมูล | ||
ขอพระองค์ทรงสุขศิริสวัสดิ์ | ดำรงรัตน์ราชัยมไหศูรย์ | ||
ให้ผ่องเหมือนเดือนเด่นเมื่อเพ็ญบูรณ์ | พระราชประยูรวงศาจงถาวร | ||
หนึ่งโภไคยในพระคลังทั้งสิบสอง | เจริญพูนมูลมองอย่าพร่องหย่อน | ||
สมณพราหมณ์อำมาตย์ราษฎร | จงอวยพรพร้อมกันกตัญญู | ||
ทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารที่หว่านปลูก | ให้ทั่วถูกทุกตำบลที่คนอยู่ | ||
จบจังหวัดวรรษาจงพร่าพรู | ตามฤดูปีเดือนอย่าเคลื่อนคลา | ||
ขอสิ่งซึ่งเป็นใหญ่ในพิภพ | มาบรรจบภิบาลรักษา | ||
กรุงเทพโกสินทร์มหินทรา | อยู่ชั่วสิ้นศาสนาพยากรณ์ | ||
ซึ่งเจริญเรื่องสังวาสนิราศนี้ | มิได้มีประสงค์ตรงสมร | ||
ที่กล่าวความนามนางเป็นทางกลอน | ดั่งอาภรณ์ประดับพจน์พองดงาม | ||
ดำริสฤษดิ์คิดไว้เหมือนหมายเหตุ | คราวทุเรศราชกิจไม่คิดขาม | ||
กตัญญูมุลิกาพยายาม | โดยได้ตามเสด็จไปในไพรเอย ฯ | ||
๏ ศิริพากย์สุวภาพสิ้น | สารครวญ | ||
ผิดชอบอดสำรวล | เยาะแย้ม | ||
รีบคิดกิจราชจวน | วันกลับ จบฤๅ | ||
เกินตัดขาดติแต้ม | ตกแก้วงกา ฯ | ||
เชิงอรรถ
ที่มา
กาญจนบุรีศึกษา ๒๕๔๒