นิราศทวาราวดี
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
(→) |
||
แถว 635: | แถว 635: | ||
อันบุปผาส่าหรีที่มีกลิ่น เขาไม่กินเหมือนมะกอกดอกโสน | อันบุปผาส่าหรีที่มีกลิ่น เขาไม่กินเหมือนมะกอกดอกโสน | ||
แต่ก่อนน้ำว้าถูกลูกโตโต เดี๋ยวนี้โอ้น้ำว้าราคาแพง | แต่ก่อนน้ำว้าถูกลูกโตโต เดี๋ยวนี้โอ้น้ำว้าราคาแพง | ||
- | + | จึ่งจดจำคำเพียรทั้งเขียนคิด โอ้ญาติมิตรทั้งหลายอย่าหน่ายแหนง | |
- | + | ไว้ต่างคนจนตายเหมือนลายแทง ได้จำแจ้งจดจิตไม่ปลิดปลิว | |
- | + | ดูสาวสาวชาวแพพวกแม่ค้า แต่ละหน้านวลละอองผุดผ่องผิว | |
+ | ไม่ถูมิฐานการกิจไม่บิดพลิ้ว ไม่กรีดนิ้วเหมือนกะสาวชาวบุรี | ||
+ | เราไม่พรากจากนี่แล้วที่ไหน ก็พอได้นั่งแพขายแพรสี | ||
+ | นี่พลัดไพล่ไปปองซึ่งของดี พบที่ที่เอวฉะอ้อนอ่อนระทวย | ||
+ | แม่รุกรุยรุงรังข้างบางกอก มักปอกลอกเล็งเห็นแต่เล่นหวย | ||
+ | ที่การงานคร้านทำแต่สำรวย รูปสวยสวยเข้าบ่อนอยากนอนกิน | ||
+ | บุญไม่เคยเลยแล้วจึ่งแคล้วคลาด ที่มุ่งมาดมิได้ชมสมถวิล | ||
+ | จะก้มหน้าไปบางกอกดมดอกดิน มิได้กลิ่นดาวเรืองที่เมืองกรุง | ||
+ | เราก็เหมือนเถื่อนอุทามที่ตามต่อ ถูกพังล่อลมลวงถอนงวงผลุง | ||
+ | โอ้หลายปีมิได้พบน้ำอบปรุง จนคล้ำคลุ้งไคลเหงื่อทั้งเนื้อตัว | ||
+ | โอ้ยามนี้ที่ว่ามาแต่นึก จะวายตรึกตรมกริ่มจะยิ้มหัว | ||
+ | นี่นึกเปล่าเฝ้าตรองยิ่งหมองมัว เพราะแม่บัวใบบังไม่หวังยล | ||
+ | เขานั่งแพแต่เรานี้เร่าร้อน เที่ยวเร่คอนขายรักไม่พักผล | ||
+ | ไม่มีใครซื้อรักแต่สักคน เป็นรักจนจำลาแล้วหนาเรา | ||
+ | มาวันครึ่งถึงกรุงเทพสถาน ยังไม่พานพบประโลมโฉมเฉลา | ||
+ | จึงเขียนกลอนข้อคำเป็นสำเนา ไว้เพื่อนเจ้าจงฟังสิ้นทั้งเพ | ||
+ | โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก ที่เคยลักลอบชวนเคยสรวลเส | ||
+ | เจ้าปลิดปลื้มลืมหลังไปลังเล จงคะเนน้ำใจเถิดในกลอน | ||
+ | แต่น้องพี่ที่หวังยังไฉน ไม่เห็นใจจริงรักในอักษร | ||
+ | เฝ้าหนักหน่วงหวงหึงตะบึงตะบอน ไม่โอนอ่อนรุมเร้าพอเคล้าคลึง | ||
+ | พี่ไปเมืองเคืองเข็ญไม่เป็นสุข สู้อุ้มทุกข์เหลือทนมาจนถึง | ||
+ | ได้ดูงามตามวิถีก็มีอึง ไม่เหมือนหนึ่งมิ่งมิตรที่ติดพัน | ||
+ | พี่จากไปได้แต่รักมาฟักฝาก ขอพบปากงามสรรพพอรับขวัญ | ||
+ | ถึงเงินทองของใครจะให้ปัน ไม่เหมือนกันกะเจ้ามีไมตรีเรียม | ||
+ | เสียแรงหวังตั้งหน้าสามิภักดิ์ ขอฝากรักโฉมฉายอย่าอายเหนียม | ||
+ | พอเหือดหายคลายระทมที่ตรมเตรียม ไม่โลมเลียมลวงเล่นเหมือนเช่นพาล | ||
+ | แต่จริงใจสุดนิสัยจะหยิบยก ถ้าเห็นอกแล้วก็คงจะสงสาร | ||
+ | แม้ครั้งนี้มิได้โฉมประโลมลาน ไหนจะทานทุกข์ทนเห็นจนจริง | ||
+ | ด้วยยากไร้ได้แต่หมอนมานอนกก เมื่อหนาวอกก็อาศัยแต่ไฟผิง | ||
+ | จงเห็นทุกข์สุขบ้างอย่าชังชิง ขอพึ่งพิงพอเป็นยาอายุยืน | ||
+ | ด้วยแสนโศกโรคภัยไม่ไข้เจ็บ แต่หนาวเหน็บในอุราไม่ฝ่าฝืน | ||
+ | ถ้าแม้ได้ยาดมชมสักคืน เห็นจะชื่นแช่มสบายไปหลายปี | ||
+ | พี่ตกถังยังมีแต่ฝีปาก เป็นขันหมากมาโลมแม่โฉมศรี | ||
+ | นิราศเรื่องเมืองทวาราวดี ของเรานี้นึกความเล่นตามสบาย | ||
+ | ใช่มักมากราครนมาบ่นบ้า อย่านึกราคีฉันท่านทั้งหลาย | ||
+ | เพราะหากลอนผ่อนผันบรรยาย มิใช่ง่ายเหมือนกะเช่นที่เป็นเอง | ||
+ | ก็ย่อมรู้อยู่กระนั้นด้วยกันหมด ว่าต้องปดจึงจะเพราะจะเหมาะเหมง | ||
+ | แต่นิสัยใจรักข้างนักเลง ย่อมอดเพลงมิใคร่ได้แต่ไรมา | ||
+ | ซึ่งครวญคร่ำทำทีอย่างนี้ไซร้ เป็นนิสัยนักกลอนแต่ก่อนหนา | ||
+ | ต้องติดบ้างสังวาสชาติโอชา เหมือนสังขยาต้องใส่ไข่น้ำตาล | ||
+ | ไว้อ่านเล่นเป็นแต่พอแก้โงก ของโลมโลกพาหลงในสงสาร | ||
+ | อย่าควรจำคำคะนองเป็นของพาล ที่แก่นสารถ้อยคำจึ่งจำไว้ | ||
+ | บรรดาบาปหยาบช้าแล้วอย่าชอบ จงประกอบก็แต่ผลกุศลสมัย | ||
+ | มล้างเกลศเลศล้ำในน้ำใจ ให้ผ่องใสสิ้นขุ่นจึ่งบุญแรง | ||
+ | เป็นจบเรื่องเมืองเก่าแต่เท่านี้ มิสู้ดีบลบาทปราชญ์อย่าแหนง | ||
+ | เห็นผิดชอบชั่วดีช่วยชี้แจง เพราะฉันแต่งตามประสาปัญญาทุย | ||
ใช่ประกวดอวดรู้กับผู้ปราชญ์ ถ้าพลั้งพลาดรับประทานวานอย่ากุ๋ย | ใช่ประกวดอวดรู้กับผู้ปราชญ์ ถ้าพลั้งพลาดรับประทานวานอย่ากุ๋ย | ||
กลัวแต่ศักดิ์นักเลงเล่นเพลงคุย เที่ยวรำซุยนอกม่านสงสารครัน | กลัวแต่ศักดิ์นักเลงเล่นเพลงคุย เที่ยวรำซุยนอกม่านสงสารครัน | ||
แถว 643: | แถว 688: | ||
ไม่บัดสีที่ท่านได้เห็นไรฟัน ทำเช่นนั้นชูชื่ออยู่ฤๅเอย ฯ | ไม่บัดสีที่ท่านได้เห็นไรฟัน ทำเช่นนั้นชูชื่ออยู่ฤๅเอย ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
+ | |||
== เชิงอรรถ == | == เชิงอรรถ == | ||
== ที่มา == | == ที่มา == | ||
นิราศทวาราวดี / โดย หลวงจักรปาณี. บทละคอนเรื่องมณีพิไชย / พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2512. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนางเอิบ ทังสุบุตร 20 ธ.ค.2512. | นิราศทวาราวดี / โดย หลวงจักรปาณี. บทละคอนเรื่องมณีพิไชย / พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2512. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนางเอิบ ทังสุบุตร 20 ธ.ค.2512. |
การปรับปรุง เมื่อ 07:29, 4 สิงหาคม 2553
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หลวงจักรปาณี (มหาฤกษ์)
ยังขาดความช่วงท้ายอยู่ส่วนหนึ่ง
บทประพันธ์
๏ นิราศร้างห่างไกลอาลัยสมร | |||
ไปกรุงเก่าเศร้าอุราให้อาวรณ์ | จะจำจรจากงามเมื่อยามเย็น | ||
เสียดายดวงพวงกลิ่นประทิ่นทิพย์ | จะลอยลิบลับไปมิได้เห็น | ||
เมื่อวันออกนาวาน้ำตากระเด็น | แต่จำเป็นจำไปอาลัยลาน | ||
เฝ้าแลเหลียวเสียวทรวงเป็นห่วงหลัง | ไม่ทันสั่งวรนุชสุดสงสาร | ||
นิจจาเอ๋ยเคยยลวิมลมาลย์ | แต่นี้นานไหนจะเห็นเหมือนเช่นเคย | ||
เมื่อยามแนบมิได้แนบแอบถนอม | เมื่อยามหอมกลิ่นอายจะหายระเหย | ||
ไปต้องน้ำค้างพรมเมื่อลมเชย | จะแนบเขนยนอนหนาวทุกเช้าเย็น ฯ | ||
๏ พี่จากมิตรก็เพราะคิดถึงคุณป้า | อยู่เคหาต่างเมืองได้เคืองเข็ญ | ||
ด้วยทุกข์โศกโรคชราน้ำตากระเด็น | ฉันนี้เป็นหลานขวัญกตัญญู | ||
แต่น้อยน้อยท่านถนอมได้กล่อมเกลี้ยง | รักฉันเพียงโอรสไม่อดสู | ||
พระคุณท่านอุปถัมภ์ที่ค้ำชู | เป็นไม่รู้จะประมาณว่าปานใด | ||
เหมือนชนนีที่ประเสริฐบังเกิดเกล้า | เมื่อแก่เฒ่าหมายว่าจะอาศัย | ||
ฉันเหมือนชั่วหัวอกมาตกไกล | มิได้ไปปฏิบัติเพราะขัดแคลน | ||
ครั้นได้ข่าวราวเรื่องว่าเคืองเข็ญ | ก็ยิ่งเป็นทุกข์ทรวงเพราะห่วงแสน | ||
จึงจำพรากจากนางไปต่างแดน | หมายทดแทนคุณท่านที่กรุณา | ||
พี่ละโลมโฉมฉายแต่กลายเปล่า | ใจยังเนาแนบชิดขนิษฐา | ||
แต่ขัดสนจนใจมิได้ลา | ตอบแต่ตาต่างถ้อยไว้หน่อยเดียว ฯ | ||
๏ พอนาวาคลาคล่องออกคลองน้อย | แล้วเคลื่อนคล้อยคลองใหญ่อาลัยเหลียว | ||
จะร้างรักหักใจไม่ไหวเจียว | แลยิ่งเปลี่ยวเปล่ากายในสายชล | ||
พอโพล้เพล้เพลาฟ้าละห้อย | น้ำค้างย้อยหยาดเย็นทุกเส้นขน | ||
โอ้หนาวใจไหนจะซ้ำต้องจำทน | เพราะยามจนจากเจ้าจึ่งเศร้าโทรม | ||
โอ้พระพายชายชวนให้หวนหา | จวนเวลาค่ำคืนเคยชื่นโฉม | ||
แสนวิตกอกเอ๋ยจะเลยโลม | แลโพยมคลุ้มคล้ำช้ำวิญญาณ์ | ||
เหลือบเห็นบ้านดอกไม้อาลัยนัก | นึกถึงพักตร์พุ่มพวงดวงยิหวา | ||
เมื่อน้องน้อยลอยกระทงในคงคา | จุดบุปผาเทียนสว่างกระจ่างนวล | ||
ดูปรางน้องยองใดประไพพริ้ม | ช่างจิ้มลิ้มเหลืองามทรามสงวน | ||
เมื่อจากนุชดุจเราเจ้ากระบวน | มิได้ชวนโฉมงามติดตามมา ฯ | ||
๏ ถึงเขาทองตรองคะนึงถึงพระบาท | บรมนาถนั่งเกล้าเจ้าเกศา | ||
แต่คราวครั้งยังมีพระชนมา | ทรงอุตสาหะสร้างเป็นด้างเดิม | ||
ไม่ทันเสร็จก็เสด็จสู่สวรรค์ | พระทรงธรรม์ทุกพระองค์ก็ทรงเสริม | ||
ไม่เสร็จงานการก่อที่ต่อเติม | ได้พูนเพิ่มพอเป็นที่เจดีย์ทอง | ||
โอ้แต่พระสถูปรูปคำนับ | ยังอาภัพมิได้เสร็จสำเร็จฉลอง | ||
ดูเจดีย์เหมือนจะมีน้ำใจตรอง | ยังมัวหมองรั้งรกตกตระตรำ | ||
เหมือนตัวเราวาสนานั้นหาไม่ | ไม่มีใครชูชุบอุปถัมภ์ | ||
จนยากยับคับแค้นแสนระกำ | เหลือจะปล้ำปลุกตนให้พ้นอาย | ||
เพราะโง่เง่าเต่าตุ่นพ่อคุณเอ๋ย | ผู้ใดเลยจะประสงค์จำนงหมาย | ||
ซึ่งเล่าเรียนเพียรพากมามากมาย | ขอถวายพระกุศลวิมลมาลย์ | ||
ให้พระองค์ทรงเสวยสวัสดิสุข | จนสิ้นทุกข์ถึงวิมุติสุดสงสาร | ||
หวนคะนังถึงอนงค์เมื่อสงกรานต์ | เคยพบพานโฉมเฉลาที่เขาทอง | ||
ชวนเข้าถ้ำคลำพุ่มประทุมทิพย์ | พลางกระซิบมิให้นางแม่หมางหมอง | ||
มาจากชื่นคืนค่ำให้ตรำตรอง | แลดูท้องฟ้าเกลื่อนด้วยเดือนดาว | ||
ออกคลองบางลำพูดูวะวับ | หิ่งห้อยจับพฤกษ์แจ่มแอร่มหาว | ||
เหมือนแหวนเพชรเม็ดพร่างสว่างวาว | ของเจ้าสาวแน่งน้อยสอดก้อยกร | ||
ให้ช้ำชอกออกลำแม่น้ำกว้าง | ดูอ้างว้าวหวั่นไหวฤทัยถอน | ||
มาว้าเหว่เอกาในสาคร | สายสมรเนาหลังจะยังไร | ||
ดูหนุ่มสาวชาวแพยังแซ่เสียง | โคมตะเกียงแก้วกระจ่างสว่างไสว | ||
ล้วนเคียงคู่ชูชื่นรื่นฤทัย | น่าน้อยใจชาวแพไม่แลเพลิน ฯ | ||
๏ บางขุนพรหมโอ้บรมพรหเมศร์ | ขอพระเดชเสด็จทรงบนหงส์เหิน | ||
ไปเกลี้ยกล่อมจอมขวัญว่าฉันเชิญ | ให้มาเทอญเรียมจะคอยอย่าน้อยใจ | ||
ไม่เห็นพรหมกุมหน้าน้ำตาตก | อกเอ๋ยอกโอ้กรรมจะทำไฉน | ||
เห็นโรงเหล้าเศร้าหมองตรึกตรองไป | อันนิสัยเมาเหล้าเราไม่เคย | ||
โอ้บาปกรรมน้ำกรดก็อดสิ้น | ด้วยไม่กินก็ไม่เมาน้ำเหล้าเอ๋ย | ||
แต่น้ำรักหักใจไม่ไหวเลย | ถึงนอนเฉยอยู่เปล่าเปล่าก็เมามาย ฯ | ||
๏ ถึงบางปูนปูนนี้ก็ลี้ลับ | ช่างอาภัพจริงนะปูนมักสูญหาย | ||
แต่หมากพลูชูชื่อฦๅขจาย | ปูนไม่วายอดสูด้วยดูเบา | ||
เหมือนนิยมสมญามหาฤกษ์ | ไม่เอิกเกริกชื่อบ้างเหมือนอย่างเขา | ||
ด้วยคนดีฝีปากมากกว่าเรา | จึงอับเฉาชั่วชื่อไม่ฦๅชา | ||
ทั้งรู้น้อยถ้อยคำไม่ล้ำลึก | จะไปนึกน้อยใจอย่างไรจ๋า | ||
ต้องเจียมตัวกลัวมนุษย์อยุทธยา | สู้ก้มหน้านิ่งลับอัประมาณ ฯ | ||
๏ ถึงบ้านลานลานตะลึงคะนึงโฉม | พี่ลอบโลมลานจิตคิดสงสาร | ||
เมื่อมาจากฝากใจอาลัยลาน | มาดูบ้านลานไม่อาลัยเลย | ||
ถึงบางจากจากบางไม่หมางจิต | ด้วยจากสถิตอยู่กะที่เจ้าพี่เอ๋ย | ||
พี่จากชื่นจากโฉมประโลมเชย | ทั้งจากเสบยจากบ้านมาย่านบาง | ||
ถึงเสาหินสิ้นแดนแสนระทด | แต่โศกสลดมิได้สิ้นมลทินหมาง | ||
เพราะลับโลมโฉมแฉล้มมาแรมทาง | ยังจะร้างเริศระคายไปหลายคืน | ||
โอ้หินหลักปักแดนแน่นถนัด | ถึงลมพัดพานพาไม่ฝ่าฝืน | ||
ขอใจเจ้าเนาหลังให้ยั่งยืน | อย่ารู้ลิ้นลิ้นลมคารมพาล | ||
นิสัยใจพกนุ่นไม่อุ่นจิต | ถึงเป็นมิตรก็ไม่รักสมัครสมาน | ||
เป็นรักกัดขัดแค้นแสนรำคาญ | พอลมพานเข้าสักหน่อยก็คอยบิน | ||
สุดาใดใจน้องแม่ครองรัก | ถ้าแน่นหนักในอกเหมือนพกหิน | ||
ถึงรูปชั่วตัวดำดั่งน้ำนิล | ไม่ขอสิ้นสุดรักภัคินี ฯ | ||
๏ ถึงบางพลูพลูเจ้าเอ๋ยเคยสงวน | จีบแต่ล้วนใบเหลืองเมลืองศรี | ||
หมากดิบเจียนจำปาสุมาลี | ทั้งบุหรี่ใบจากมาฝากเรียม | ||
อนาโถโอ้อกมาตกยาก | กินแต่หมากพลูใบน่าอายเหนียม | ||
ถึงบางพลัดพลัดนามตามธรรมเนียม | บางไม่เทียมทุกข์ข้าดอกหนาบาง | ||
พี่พลัดพรายสายสุดามาปรารภ | ยังซ้ำพบบางพลัดให้ขัดขวาง | ||
ถึงทุกข์ใครได้แค้นสักแสนปาง | ไม่เหมือนอย่างทุกข์พี่ครั้งนี้เลย | ||
จะเหลียวกลับลับน้องไม่มองเห็น | ยิ่งเยือกเย็นในอุรานิจจาเอ๋ย | ||
หนาวน้ำค้างพร่างพรายพระพายเชย | คิดถึงเคยแนบเนื้อเหลืออาลัย ฯ | ||
๏ ถึงบางซื่อชื่อเพราะเสนาะพริ้ง | จะซื่อจริงเหมือนกะชื่อฤๅไฉน | ||
แต่ชื่อบางอย่างจะเห็นไม่เป็นไร | เว้นแต่ใจของมนุษย์ฉันสุดแล | ||
มีแต่ชื่อซื่อตรงให้หลงรัก | ใจนั้นมักคดคิดปกปิดแผล | ||
ที่หงิมหงิมยิ้มแผยะแปะแปะแบ | แม้หยิบแต่ละอันมันไม่วาย | ||
เหมือนตัวน้องของฉันทุกวันนี้ | ได้พาทีไว้กะปากก็มากหลาย | ||
จะสัตย์ซื่อฤๅจะกลับให้อับอาย | สุดจะหมายจิตหวังว่ายั่งยืน | ||
ถึงบางซ่อนซ่อนอะไรขอไต่ถาม | ไม่บอกความเรื่องระหัสเฝ้าขัดขืน | ||
เหมือนน้องรักรักฉันต่างกลั้นกลืน | ซ่อนคนอื่นมิให้อึงคะนึงไป | ||
อันซ่อนอื่นหมื่นพันฉันไม่ว่า | ขออย่าซ่อนความกลทนไม่ไหว | ||
ยิ่งซ่อนเงื่อนเอื้อนอำแล้วช้ำใจ | จะแก้ไขพันผูกไม่ถูกเลย | ||
เหมือนโฉมฉนกินรีศรีสมร | หล่อนงามงอนเหลือดีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
ทำรักซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนไม่เคย | พี่หลงเชยหมายจะแน่ไม่แปรปรวน | ||
เมื่ออยู่วังยังแอบมาแนบเคล้า | เดี๋ยวนี้เจ้าจืดจางห่างสงวน | ||
ไปอยู่อื่นคืนครองเป็นของควร | นี่ฤๅนวลว่าจะรักประจักษ์จริง | ||
ไม่มีผิดพบพักตร์ยังควักค้อน | ให้เรียมร้อนใจระริกเหมือนพริกขิง | ||
นิจจาเอ๋ยเคยจรมาวอนวิง | ยังทอดทิ้งทำเล่นไม่เห็นงาม ฯ | ||
๏ แลเห็นวักสร้อยทองมองชม้อย | หมายว่าสร้อยทองประดับไว้วับหวาม | ||
ไม่เหมือนสายสร้อยทองของนงราม | ชมแต่นามวัดเปล่าเศร้าอุรา | ||
ถึงบางเขนอกใจให้ไหลเลื่อน | คิดถึงเพื่อนพูเอกเมขลา | ||
เจ้าจากวังจากพี่หลายปีมา | ได้ภรรดาบางเขนเป็นแดนเกลอ | ||
ข่าวว่าผัววายปราณโอ้ป่านนี้ | จะอยู่นี่ฤๅจะไปข้างไหนเหนอ | ||
พี่ผันแปรและเลอะไม่เจอะเจอ | จะแก้เก้อแก้เผ็ดให้เข็ดมือ | ||
ไม่เห็นนวลหวนถึงนุชสุดสงสาร | มาถึงบ้านตลาดแก้วเข้าแล้วฤๅ | ||
ไม่เห็นแก้วแววฟ้าจะหารือ | ว่าจะซื้อสิ่งใดไปไว้ชม | ||
นิจจาเอ๋ยเคยอยู่เคยดูเล่น | เวลาเย็นเจ้าไปจ่ายท้ายสนม | ||
ได้พบหน้าตาชม้ายดูคายคม | เคยหยุดร่มเฟี้ยมแฝงกำแพงเมือง | ||
ได้ตอบคำสำนวนแล้วสรวลสันต์ | ทั้งหอมจันทน์เจือประทิ่นขมิ้นเหลือง | ||
โอ้แสนยากจากกรุงที่รุ่งเรือง | มาดูเครื่องตลาดแก้วไม่แผ้วตา | ||
ยิ่งดึกดื่นโดยดิ้นถวิลหวัง | ดูสองฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา | ||
น้ำค้างชุ่มพุ่มพวงดวงผกา | พระพายพาหอมหวนมารวนรวย | ||
เหมือนหนึ่งเนื้อเจือประทิ่นกลิ่นตระหลบ | สไบอบร่ำโรยโหยระหวย | ||
โอ้เคยหอมถนอมชมเมื่อลมชวย | แสนระทวยระทดถึงคำนึงนวล | ||
แม้มาด้วยจะได้วอนให้หล่อนว่า | สักรวาดอกสร้อยละห้อยหวน | ||
ให้หอมเนื้อเจือจันทน์ที่รัญจวน | จะชักชวนเชยชิมอิ่มกมล | ||
สุดเสียแล้วแก้วตาไม่มาด้วย | ใครจะช่วยปฏิบัติเห็นขัดสน | ||
เจ้างามรื่นชื่นใจของคนจน | มาวายยลวายชื่นสะอื้นโอย | ||
ไม่หลับไหลไสยาสน์อนาถเหลือ | หาเพื่อนเรือก็ไม่ได้ยิ่งไห้โหย | ||
เขาแจวจรอ่อนจิตดูอิดโรย | ฤดูโดยน้ำลงกะพงแรง | ||
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจฤทัยทอด | จึ่งให้จอดแอบบังเข้าฝั่งแฝง | ||
เขาเหนื่อยอ่อนนอนรายหงายตะแคง | จนสิ้นแสงจันทร์ดับลับอัมพร | ||
เสียงเรไรไก่ขันจักจั่นแจ้ว | ให้แว่วแว่วว่าเสียงสำเนียงสมร | ||
จนแสงทองส่องสีรวีวร | เด็กยังนอนทนเนื้อเป็นเหยื่อยุง | ||
ปลุกให้ตื่นฟื้นพลางแล้วล้างหน้า | คนหนึ่งหาไฟก่อตั้งหม้อหุง | ||
ให้ออกเรือรีบไปยังไกลกรุง | เห็นหมอฟุ้งฝั่งชลดูวนเวียน | ||
ชมพฤกษาหน้าฤดูก็ชูช่อ | ทุกก้านกอกิ่งใบเหมือนไม้เขียน | ||
เห็นรักต้อนหล่นกลาดดูดาษเดียร | คิดถึงเพียรผูกรักอยู่ปลักปลอม | ||
ครั้นผลิดอกออกผลหล่นไปอื่น | แต้กล้ำกลืนกรมใจจนไผ่ผอม | ||
กลับเป็นเตยหนามหนาระอาออม | จนหายหอมแห้งกรอบทุกดอกดวง | ||
เสียดายด้วนดอกฟ้ามณฑาทิพย์ | มาลอยลิบแล้วก็กลับไปลับสรวง | ||
หอมละห้อยลอยฟ้ามายาทรวง | เหมือนล่อลวงภุมรินให้บินโบย | ||
โอ้ยี่สุานจัณจันทน์อำพันเอ๋ย | เคยชื่นเชยชักชวนให้หวนโหย | ||
ยังหอมหวนทวนลมมาชมโชย | ช่างรีบโรยร้างรักหักอาลัย | ||
ไม่มีเยื่อเหลือหลอสักกอกิ่ง | มาทอดทิ้งภุมราน้ำตาไหล | ||
แต่ดอกสละระกำที่ช้ำใจ | ไม่ใกล้ไกลเตร็ดเตร่ทุกเวลา ฯ | ||
๏ มาถึงบ้านตลาดขวัญสำคัญแน่ | มีเรือแพเรียงรันน่าหรรษา | ||
ขายผ้าแพรผ้าลายพะพรายตา | คิดขาวม้านวลลออเจ้าทอฟืม | ||
แล้วชุบหอมย้อมเปลี่ยนแพรเลี่ยนหลิน | ยังหอมกลิ่นชวนฉมน่าดมดื่ม | ||
เมื่อขวัญตามาตลาดคาดจะยืม | ก็หลงลืมเสียมิทันเมื่อวันมา | ||
เวลาด่วนจวนมาถึงหน้าวัด | เขาจอดจัดเพียญชนังแลมังสา | ||
เสร็จรับประทานเอมโอชโภชนา | ดูแม่ค้าชาวสวนล้วนขาวเนื้อ | ||
คอนเรือรายกรายใกล้มาให้เห็น | ดูเครื่องเล่นโตใหญ่วิไลเหลือ | ||
บ้างจอดเทียบเลียบเคียงมาเรียงเรือ | ทำฟั่นเฝืออยากจะขายชม้ายมอง | ||
พวกเด็กเราเฝ้าเคาะหัวเราะร่า | เขาพูดจาแต่อุบายจะขายของ | ||
ทุเรียนฉันมีชื่อเชิญซื้อลอง | กลัวจะต้องติดใจเวียนไปมา | ||
พี่ฟังคำจำสนองเพราะต้องหู | ฉันชอบพูโยใหญ่เนื้อในหนา | ||
แม้พูลีบตีบแกนแสนระอา | เป็นปลาร้าแล้วกระดากไม่อยากเชย | ||
เขาจึงว่าถ้ากระนั้นฉันไม่ขืน | ถึงจะคืนก็ไม่ว่าเจ้าข้าเอ๋ย | ||
ไม่ดูเนื้อดูหนังเขาบ้างเลย | ฤๅนายเคยแต่จะอมขนมปลากริม | ||
ฉันตอบว่าหนาเนื้อไม่เชื่อดอก | ด้วยภายนอกฉันดูเห็นพูหลิม | ||
ถ้ากระนั้นฉันไม่ต่อจะขอชิม | เขาแย้มยิ้มเยื้อนแก้เป็นแง่งอน | ||
ฉันกลัวสางบางกอกมาหลอกลิ้ม | นายเคยชิมก็ไปชมขนมบ่อน | ||
อันของสวนล้วนฦๅชื่อขจร | จะชิมก่อนนั้นนะนายอย่าหมายอม | ||
ฉันสุดแก้แพ้มือต้องซื้อเขา | พวกเด็กเราเริงร่าฮาประสม | ||
เกี้ยวแม่ค้าพาทีตีคารม | พอวายตรมตรอมทุกข์สนุกครัน | ||
กษัตริย์บ้านเมืองดีกระนี้ฤๅ | มิให้ชื่อชลมารถตลาดขวัญ | ||
ออกนาวาอาลัยรีบไปพลัน | ดูตะวันหมดเมฆวิเวกโพยม | ||
หอมดอกไม้ในสวนให้ชวนชื่น | รวยระรื่นรินรินเหมือนกลิ่นโฉม | ||
โอ้ยามนี้มิได้กลิ่นประทินชโลม | มาทราบโทรมแต่บุปผาสุมาลี | ||
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองเคล้า | ดอกไม้เศร้าเหมือนกะน้องแม่หมองศรี | ||
เห็นจากต้นปนสละสุดทวี | เหมือนตัวพี่จากละสละไกล | ||
เห็นโศกแซมแกมระกำช้ำละห้อย | ยิ่งโศกสร้อยอุราน้ำตาไหล | ||
โอ้โศกต้นไม่วิโยคเหมือนโศกใจ | ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำมา ฯ | ||
๏ ถึงบ้านบางธรณีไม่มีชื่น | โอ้ภาคพื้นแผ่นไผทก็ใหญ่หนา | ||
เรายามจนอ้นอั้นเหลือปัญญา | สุดจะอาศัยดินสิ้นทั้งปวง | ||
ถึงภาษีตีฆ้องร้องเอิกเกริก | จะคอยเบิกของไปเข้าในหลวง | ||
พี่ทุกข์โศกโรครักเหลือตักตวง | อยู่ในทรวงพี่จะเพิกไม่เบิกเลย | ||
ทั้งด่านดักกักเรือไว้เหลือแหล่ | เขาแลแลดูเราแล้วเขาเฉย | ||
เหมือนจะรู้ดูใจว่าไม่เสบย | โอ้อกเอ๋ยอายจิตอนิจจา | ||
เข้าคลองเกร็ดเกร็ดตรองให้หมองจิต | เหมือนไร้มิตรเตร็ดเตร่ร่อนเร่หา | ||
เห็นมอญนุ่งถุงเดินดำเนินมา | ดูยวนตาแลโปร่งกว่าโจงกระเบน | ||
โอ้รามัญนั้นก็งามไปตามเขา | มีเรือนเหย้าวัดวามหาเถร | ||
จนออกจากปากคลองพอน้องเพล | ดูไม้เอนอ่อนระงมด้วยลมปลิว | ||
ทั้งสามชายท้ายหน้าอัชฌาสัย | เขาคลี่ใบกางเรื่อยแล่นเฉื่อยฉิว | ||
ดูเพื่อนเรือเหนือใต้ไปเป็นทิว | บ้างก็ผิวปากพร้องร้องระงม | ||
พอน้ำใหญ่ไหลหลั่งขึ้นบ้างแล้ว | เขาหยุดแจวพูดจ้อหัวร่อขรม | ||
เรือเป็ดสามแจวเพรียวดูเกลียวกลม | ได้น้ำลมแล่นเหลือจนเรือเอียง ฯ | ||
๏ ถึงบางพูดพี่แลเห็นแต่ตลิ่ง | ไม่พูดจริงเหมือนกะฦๅซึ่งชื่อเสียง | ||
ไม่เหมือนน้องพร้องเสนาะเพราะสำเนียง | ทั้งกลมเกลี้ยงฉ่ำชื่นเหมือนกลืนเดือน | ||
แต่จริงจังยังไม่ได้พิสูจน์ | จะเหมือนพูดกันไว้ฤๅไม่เหมือน | ||
ด้วยเคยเห็นเช่นจริตมักบิดเบือน | แม้เล่นเพื่อนพูดหลงแล้วคงเลว | ||
ด้วยมนุษย์พูดกันทุกวันนี้ | ไม่มีที่ยึดหน่วงเหมือนห้วงเหว | ||
ไม่มีรสหมดเนื้อเหลือแต่เปลว | พูดเหลวเหลวมีมากไม่อยากฟัง | ||
แต่รักกันสัญญาสารพัด | ยังทิ้งสัตย์เสียไพล่ไปใช้ถัง | ||
เมื่อต่อหน้าว่าดีไม่มีชัง | ไปลับหลังแล้วก็ว่าสารพัน | ||
เคยพบเห็นเช่นนี้มีมามาก | พูดเขายากยอมกลัวแล้วตัวฉัน | ||
แต่พระนอนวัดโพธิ์โตไม่บัน | คนทุกวันเขายังอมละลมละลาย ฯ | ||
๏ ถึงบางพังพังจำเพาะน้ำเซาะตลิ่ง | ทรวงพี่ยิ่งกว่าฝั่งพังสลาย | ||
ด้วยโศกเซาะเราะอุรังซังกะตาย | มาถึงท้ายย่านทางบางโควัด | ||
โอ้โคทรงองค์ศุลีนี่ฤๅหนอ | ฉันจะขอพรพระองค์ทรงสวัสดิ์ | ||
ไม่เห็นเคลื่อนเลื่อนโพยมโทมนัส | เห็นแต่มัดอ้อยสล้างเขาวางราย | ||
โอ้อ้อยเอ๋ยเคยกลืนชื่นคอหอย | หวานอร่อยรสชาติประหลาดหลาย | ||
ข้างต้นหวานพานจะชืดไปจืดปลาย | เหมือนหญิงชายใจจางหมางอารมณ์ | ||
เมื่อแรกรักน้ำผักก็ว่าหวาน | ครั้นเนิ่นนานน้ำอ้อยก็กร่อยขม | ||
เหมือนคำพาลหวานนักมักเป็นลม | แต่เขาชมกันว่าดีนี่กระไร | ||
บอระเพ็ดนั้นเป็นยารักษาโรค | แต่ความโลกเขาว่าขมหาชมไม่ | ||
เหมือนคนซื่อพูดจาประสาใจ | ไม่มีใครชมปากมิอยากยิน | ||
เหมือนตัวเราเล่าก็วาสนาน้อย | จะกล่าวถ้อยท่านบเชื่อเหลือถวิล | ||
จะตกปลาปลาไซร้ก็ไม่กิน | เพราะว่าชิ้นเหยื่อประกอบไม่ชอบปลา ฯ | ||
๏ ถึงบ้านใหม่ใครเล่าเป็นเจ้าของ | เขาตรึกตรองหาใหม่ยังได้หนา | ||
แต่เราหนอทรมานก็นานมา | จะตรองหาบ้านใหม่ไม่ได้เลย | ||
โอ้บุญน้อยน้อยน่าน้ำตาตก | สงสารอกอนาโถพุทโธ่เอ๋ย | ||
มาถึงโคกช้าพลูไม่สู้เสบย | พี่แหงนเงยดูโคกยิ่งโศกใจ | ||
หมายว่ามีช้าพลูดูก็เปล่า | เห็นแค่เค้าโคกหญ้าน้ำตาไหล | ||
เหมือนแนะนำน้ำจิตให้คิดไป | เหลืออาลัยลับโคกยิ่งโศกทรวง | ||
ถึงบางหลวงเชิงรากยิ่งยากนัก | เหมือนราครักรึงใจเป็นใหญ่หลวง | ||
นึกถึงเล่ห์เสนหาสุดาดวง | เชิงเจ้าล่วงรู้ใจพี่ในเชิง | ||
ตะวันแจ๊ดแดดจัดกำดัดร้อน | ทินกรบ่ายคล้อยดูลอยเหลิง | ||
โอ้ร้อนไฟไหม้กลับยังดับเพลิง | แต่ร้อนเริงราคขับไม่ดับลง ฯ | ||
๏ ถึงสามโคกโคกใครที่ไหนนี่ | ถึงสามสี่แสนละโมบด้วยโลภหลง | ||
แต่โคกเดียวเจียวนะเราเฝ้าจำนง | สุดประสงค์ที่จะเสาะเที่ยวเกาะกุม | ||
อันชื่อสามโคกนี้มีแต่ก่อน | ประชากรเก็บบัวมามั่วสุม | ||
จึงเปลี่ยนชื่อฦๅเลื่องเมืองปทุม | เพราะบัวชุมเดือนสิบเอ็ดเสด็จมา | ||
แต่ก่อนนี้เล่าก็มีอยู่บ่อยบ่อย | เดี๋ยวนี้คอยดูเล่นไม่เห็นหนา | ||
โอ้เยี่ยงอย่างปางหลังแล้วยังซา | วาสนาจะมิตกเล่าอกเรา | ||
นามปทุมคิดปทุมที่พุ่มถัน | แต่ละอันเต่งลออเหมือนหล่อเหลา | ||
นิจจาเอ๋ยเคยพึ่งเจ้าคลึงเคล้า | มาจากเจ้าพุ่มพวงเพียงทรวงฟก | ||
๏ ถึงบ้านงิ้วหวิวจิตให้คิดขาม | แต่เห็นหนามเข้าประเดี๋ยวยังเสียวอก | ||
ให้พรั่นใจไหวหวิวถึงงิ้วนรก | แม้นไปตกแล้วก็หนามคงตำตีน | ||
เพราะรูปาวจรหล่อนทำเข็ญ | ใครเกิดเป็นบุรุษวิสุทธิ์ศีล | ||
เห็นสาวสาวเข้าไม่ได้เหมือนใจจีน | จะพ้นปีนงิ้วนี้สักกี่คน | ||
อันห้ามอื่นหมื่นมากพอหากห้าม | แต่ห้ามความปฏิพัทธ์เห็นขัดสน | ||
แต่ก่อนนั้นเราก็พานจะซุกซน | ยังจะพ้นฤๅไฉนไม่รู้เลย ฯ | ||
๏ บางกระบือรื้อคะนึงถึงกาสร | มาต้องตอนเวทนานิจจาเอ๋ย | ||
ถ้าเราขืนตื่นอยากมักมากเชย | จะต้องเสวยทุกข์บ้างเหมือนอย่างควาย | ||
อันกาเมสุมิจฉานี้สาหัส | จะฝากวัดไว้กะพระสละถวาย | ||
อันคู่เขาเราหนอไม่ขอกราย | แต่แม่ม่ายจำจะคิดสิทธิ์แก่ตัว | ||
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลับลมอับแล้ว | เขาจับแจวจ้วงกรายทั้งท้ายหัว | ||
ต่างพูดจาฮากันสนั่นนัว | แต่พี่มัวหมองช้ำระกำกาย | ||
ถึงมามากจากเจ้าแล้วเปล่าเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดั่งจะให้น้ำใจหาย | ||
โอ้ยามเข็ญแลเห็นแต่เพื่อนชาย | แม่เพื่อนตายมิได้มาอานุกูล | ||
ที่เคยชื่นเคยชมกลับกรมทุกข์ | ที่เคยสุขเคยสบายก็หายสูญ | ||
ถึงเกาะใหญ่ในอุราพี่อาดูร | เป็นเกาะพูนขึ้นเพราะดินนั้นภิญโญ | ||
จนพฤกษาคากกขึ้นรกที่ | เหมือนทรวงพี่เกิดรักขึ้นอักโข | ||
จนทุกข์โศกโรคภัยเกิดใหญ่โต | หัวอกโอ้เหลือจะรับอัประมาณ | ||
ยิ่งครวญคร่ำร่ำมาในนาเวศ | จนสุดเขตเกาะใหญ่อันไพศาล | ||
พอได้ลมระดมแล่นแสนสำราญ | ถึงบ้านลานเทถวิลในวิญญาณ์ | ||
โอ้ลายเอ๋ยเคยเทอย่าเหหัน | วานช่วยเททุกข์ฉันสักหน่อยหนา | ||
ด้วยนางเททอดใจอาลัยมา | เหลืออุราแล้วจึงวานบ้านลานเท | ||
เห็นลานเฉยพี่ก็เลยลานถวิล | ฤดีดิ้นแดรนระหนระเห | ||
แม่น้ำกว้างว้างวุ้งทุ่งทำเล | เหลือคะเนแลหมายสุดสายตา | ||
หัวอกโอ้อ้างว้างมาทางเปลี่ยว | จะแลเหลียวลิบลิ่วทิวพฤกษา | ||
แสนกันดารบ้านช่องล้วนท้องนา | ทั้งกุมภิลาพาลจะร้ายในสายชล | ||
จนชาวเรือเหลือระอาที่ค้าขาย | ทั้งผู้ร้ายเร้นแฝงทุกแห่งหน | ||
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน | เห็นหมอมนเวหาดูน่ากลัว | ||
ฝูงปักษาพาเพื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม | นกตะกรุมหัวล้านประจานหัว | ||
อีโก้งกางยางกรอกนกดอกบัว | กระเต็นกระตั้วบินเตี้ยเรี่ยเรี่ยดิน | ||
ช้อนหอยหาปลามองตามท้องทุ่ง | นกกระทุงลอยแพกระแสสินธุ์ | ||
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | บ้างโบกบินคาบเหยื่อไปเผื่อเมีย | ||
โอ้ตัวเราเล่าก็อกเหมือนนกผู้ | ถ้าคงคู่แล้วก็คงจะส่งเสีย | ||
น่าอายนกอกใจเหมือนไฟเลีย | จะได้เคลียคลอนางเมื่อปางใด | ||
พระสุริยงเย็นระย่อลงยอแสง | ดูฟ้าแดงดั่งจะพาเลือดตาไหล | ||
ค่อยคล้อยคล้อยลอยต่ำลงรำไร | เหมือนอาลัยโลกาจะลาจร | ||
แต่ใจนางปางจะหน่ายกระไรนัก | มาร้างรักรีบรุดจนหลุดถอน | ||
ไม่รอรั้งสั่งใจอาลัยวอน | ให้เร่าร้อนใจเจ็บทั้งเหน็บแนม | ||
เสียดายเหลือเรื้อรังไปทั้งหมด | ต้องแรมรสรักรามาป่าแขม | ||
ฟ้าสลัวมัวมนเป็นฝนแกม | พอเลี้ยวแหลมบางไทรก็ใจมา | ||
ไทรนี้ฤๅคือเทพยสิงสู่ | ที่อุ้มชูอนิรุทธสมอุสสา | ||
ช่วยอุ้มพาข้าไปชมสมสุดา | พอดับอาดูรฉันให้บรรเทา | ||
วอนเทพใดเทพไทไม่รับขวัญ | ฤๅเห็นฉันอนาถายิ่งกว่าเขา | ||
แต่น้ำตาข้าไหลก็ไม่เบา | พอสรงเท้าท่านให้สร่างสว่างแด | ||
พิไรทางพลางแลตลิ่งข้าม | เป็นสองง่ามสงแยกฉะแวกแฉว | ||
แม่น้ำเดียวเจียวยังต้องเป็นสองแคว | ใจมนุษย์ฤๅจะแน่เป็นหนึ่งใจ | ||
จึงเจ็บอกฟกช้ำระยำยอก | ล้วนนมหลอกล่อหลงให้สงสัย | ||
เห็นฝนชอุ่มคลุ้มคล้ำช้ำฤทัย | นภาลัยแล่นแลบวะแวบแวว | ||
เพื่อนเรือด่วนชวนกันกันเข้าฝั่ง | จอดที่บังลมต้องเป็นถ่องแถว | ||
พอเรือเราเข้าจอดเขาถอดแจว | ไม่ทันแล้วฝนลมระดมกราว | ||
บ้างลงหลักชักขยาบขึ้นทาบพาด | พิรุณสาดแสนเข็ญยิ่งเย็นหนาว | ||
ดูเมฆมัวทั่วทิศมิดเดือนดาว | มาปะคราวเคราะห์กรรมจะทำกระไร | ||
เห็นฟ้าคลุ้มพี่ยิ่งกลุ้มในทรวงอก | เห็นฝนตกก็ยิ่งพาน้ำตาไหล | ||
เสียงฟ้าครวญพี่ยิ่งครวญป่วนฤทัย | ทั้งหนาวใจหนาวฝนเหลือทนจริง | ||
ถึงจะระดมห่มนวมฤๅสวมเสื้อ | ไม่อุ่นเนื้อเหมือนหนึ่งกอดแม่ยอดหญิง | ||
มาไกลต้องต้องนอนกับหมอนอิง | มิได้พิงพึ่งนางให้หมางมัว | ||
พอฝนฟ้าซาเม็ดสักเจ็ดทุ่ม | เดือนยังคลุ้มมิใคร่สุกขมุกขมัว | ||
ทั้งเพื่อนเรือเขาจะไปเขาไม่กลัว | ต่างแต่งตัวเคลื่อนคล้านาวาเมื้อ | ||
มีเพื่อนสองลำพอได้คลอเคล้า | สงัดเหงาเงียบทั่วน่ากลัวเหลือ | ||
ทั้งเงาไผ่พุ่มไม้ออกครุมเครือ | เห็นแต่เรืออ้ายขโมยเที่ยวโชยชาย | ||
ข้างพวกเราเพื่อนเรือก็เหลือพรั่น | แต่ตัวฉันภาวนาให้ซาหาย | ||
ผลเดชเมตตารักษากาย | มันผันผายไปเงียบไม่เลียบเคียง | ||
ฟังเสียงเอียดเขียดกบมันขบเคี้ยว | กระกรอดเกรี้ยวกรีดกราดไม่ขาดเสียง | ||
เหมือนรุกรุยรุงรังที่วังเวียง | ทำสำเนียงหวาดหวีดดิ้นดีดดี | ||
ที่กิ่งไม้เรไรระหริ่งเรื่อย | จักจั่นเจื้อยจังหรีดดังดีดสี | ||
โอ้ยามเฟือนเหมือนกะฟังดั่งดนตรี | กล่อมฤดีตามประสาเวลาจน | ||
ที่ไม้เรียงเสียงบุหรงพะวงหวาด | ในอากาศกระเรียนร้องกึกก้องหน | ||
แว่วสำเนียงว่าเสียงนฤมล | โอ้ลมบนหอบมาฤๅว่ากระไร | ||
ครั้นฟังไปใช่เสียงสำเนียงน้อง | ยิ่งมัวหมองวายวับไม่หลับไหล | ||
ถึงเกาะเกิดเกิดขวางหนทางไป | โอ้ไฉนจึงจำเพาะเป็นเกาะกลาง | ||
คิดถึงรักหนักหน่วงเพียงทรวงซ้ำ | จนเกิดกรรมเกิดเคราะห์เหมือนเกาะขวาง | ||
มิได้แอบแนบประคองกับน้องนาง | ต้องแรมทางถึงทวาราวดี | ||
พอเมฆเกลื่อนเดือนหงายดูฉายช่วง | คิดถึงดวงพักตรานราศรี | ||
ผ่องประไพไฝฝ้าไม่ราคี | เดือนยังมีเงากระต่ายอยู่พรายพร้อย | ||
โอ้กระต่ายหมายบุหลันถึงชั้นฟ้า | จันทร์ยังว่ามีกะจิตให้ติดสอย | ||
สู้รับเงาเข้าผนิดติดเป็นรอย | มิให้น้อยใจกระต่ายที่หมายเชย | ||
แต่ใจมนุษย์สุดดำด้วยน้ำรัก | เห็นต่ำศักดิ์แล้วก็เบือนทำเชือนเฉย | ||
ให้เจ็บช้ำคำประเทียบนั้นเปรียบเปรย | ไม่สิ้นเลยลมลวงให้ง่วงงม | ||
โอ้ใจจือมืดเหมือนเดือนพยับ | ทำลับลับแล้วก็ล่อเล่นพอถล่ม | ||
เสาวคนธ์มณฑายอดยาดม | ไม่ลอยลมลิ่วฟ้าลงมาเลย | ||
ส่งแต่กลิ่นรินรื่นทุกคืนค่ำ | ให้ระกำโลกานิจจาเอ๋ย | ||
แมงภู่ผอมตรอมใจไม่เสบย | มิได้เชยดอกฟ้าที่ยาใจ | ||
แสนวิตกด้วยเจ้านกกะลิงพี่ | โอ้ป่านนี้ขวัญอ่อนจะนอนไหน | ||
ฤๅลมพัดซัดนกไปตกไกล | ชมมิ่งไม้ป่าเขาลำเนาเนิน | ||
น้ำค้างพรมลมว่าวจะหนาวอก | สงสารนกร่างน้อยเที่ยวลอยเหิน | ||
ฤๅได้เพื่อนเยือนกอดจะพลอดเพลิน | ไม่เห็นเกริ่นกลับหลังมารังเลย | ||
เคยซับทราบอาบละอองที่ผ่องแผ้ว | ลืมเสียแล้วฤๅกะลิงจึงนิ่งเฉย | ||
เรียมถวิลกินใจไม่เสบย | คิดถึงเคยเสนหาน้ำตาคลอ | ||
มาสุดเกาะก็จำเพาะน้ำลงเชี่ยว | คนแจวเหนี่ยวเหนื่อยใจกระไรหนอ | ||
ทั้งเพื่อนเรือเหลือระอาต่างรารอ | จอดเข้าพอพักผ่อนที่อ่อนโรย | ||
จนดาวเดือนเคลื่อนดับลงลับเมฆ | ยิ่งวิเวกมัวมนกระหนโหย | ||
เสียงเค้ากู่ภูระโดกโหวกโหวกโวย | พระพายโชยเฉื่อนหนาวกระส่าวซึม | ||
ดูทุ่งทางกว้างซึ้งยิ่งลึงโลด | เสียงโขมดนางไม้ให้กระหึม | ||
ตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ดูครึกครึ้ม | สงัดงึมเหงาใจไม่สบาย | ||
จนจวนรุ่งรางรางน้ำค้างหยาด | บุปผชาติชื่นแช่มแย้มขยาย | ||
หอมผกาเกสรขจรขจาย | เหมือนหล่อนสายสมรมิตรแม่ติดมา | ||
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น | มาหอมรื่นแต่ลำดวนยิ่งหวนหา | ||
ให้วาบวับจับใจเมื่อไสยา | หนาวน้ำฟ้าเย็นเนื้อจนเหลือทน | ||
สกุโณโกกิลากาไก่แก้ว | จะเจื้อยแจ้วขานขันสนั่นหน | ||
จนแสงทองส่องสางสว่างบน | พระสุริยนแย้มเยี่ยมโพยมมาน | ||
ต่างก็ออกนาวาเวลารุ่ง | เขารีบหุงเสร็จหากระยาหาร | ||
แต่ฉันหนอคอแค้นแสนสำราญ | จะรับประทานแต่ละคำต้องน้ำเจือ | ||
คิดถึงเจ้าเคี้ยวข้าวก็เป็นแป้ง | เคี้ยวปลาแห้งก็เป็นผงลุ่มหลงเหลือ | ||
แม้ได้เจ้าดวงใจมาในเรือ | ข้าวกับเกลือก็จะกลืนไม่ขื่นเค็ม | ||
สงสารเจ้าเยาวมาลย์โอ้ป่านนี้ | จะม้วนบุหรี่ฤๅจะเย็บตะเข็บเข็ม | ||
จะจีบพลูเจียนตองสอดซองเต็ม | ฤๅจะเล็มเลือกหามาลากรอง | ||
ฤๅจะอ่านสารศรีที่พี่ให้ | ฤๅดวงใจคิดเพียรเขียนสนอง | ||
จะอบน้ำฤๅจะทำประทิ่นทอง | ฤๅนวลน้องนอนนั่งตั้งคะนึง | ||
โอ้บุญเหลือเนื้อทองแม่น้องแก้ว | จะรู้แล้วฤๅว่าจิตพี่คิดถึง | ||
มิตรจิตขอให้มิตรใจตรึง | ให้เหมือนหนึ่งน้ำฟ้ามายาทรวง ฯ | ||
๏ ถึงเกาะบางนางอินถวิลหวัง | เป็นที่วังงดงามอารามหลวง | ||
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาดวง | ทรงผลพวงมาลีน่าปรีดิ์เปรม | ||
มีทั้งสระปทุมาชลาสินธุ์ | เหมือนมุจลินท์ที่ลงแห่งหงส์เหม | ||
แมลงภู่หมู่ภมรประอรเอม | โสรจเกษมเสาวมาลย์เบิกบานผจง | ||
ฝูกปักษากาแกก็แซ่เสียง | ทำรังเรียงรุกข์ร่มชมรมระหง | ||
เห็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนเจ้าร่อนลง | เหมือนอนงค์ทาประทิ่นขมิ้นนวล | ||
เห็นโนรีนกสีชมพูแผด | เหมือนสีแสดนุชย้อมทั้งหอมหวน | ||
เห็นนกแก้วจับแก้วแจ้วจรรจวน | เหมือนสำนวนน้องแก้วแจ้วเจรจา | ||
จากพรากเหมือนพี่จากสมรแม่ | กระสาแซ่เหมือนกะฉันกระสันหา | ||
เห็นนกฝูงข้ามฝั่งไปกลางนา | พี่โศกาก่นดั่งร้องสั่งตาม | ||
ว่านกเอ๋ยเจ้าจะบินไปถิ่นไหน | ขอเชิญไปถึงอนงค์หล่อนคงถาม | ||
จงบอกมิตรขนิษฐาพะงางาม | ให้ทราบความนะว่าเรียมนี้เตรียมตรม | ||
นกไปหน่อยแล้วก็ลอยมากลางหาว | ไม่บอกข่าวเรื่องความเจ้างามสม | ||
เรียมยิ่งแสนแค้นในฤทัยระทม | ให้ปรารมภ์ถึงสมรยิ่งร้อนแรง ฯ | ||
๏ ถึงเกาะพระไม่เห็นพระเป็นไฉน | พระจึงไม่แย้มเยี่ยมเผ้าเฟี้ยมแฝง | ||
เห็นแต่ไร่ใบผักแลฟักแฟง | ทั้งเต้าแตงพริกมะเขือดูเหลือตรา | ||
นางสาวสาวเจ้าของเขาร้องขาย | พูดไม่อายอือเออกะเหนอกะหนา | ||
พี่พิศดูสาวสาวพวกชาวนา | ดูหน้าตาดำด่อนไม่อ่อนโยน | ||
แต่ทาสีที่ในวังรังกะตุ๋ย | ยังหอมฉุยโฉมสะอาดดูผาดโผน | ||
แต่พวกเราเขาว่าประสาโลน | ดำเหมือนโคลนก็ไม่ว่าดอกหนาเรา | ||
ตำราจีนเขาว่ากินซึ่งปลายอ้อย | ยังอร่อยมากมากกว่าปากเปล่า | ||
ถึงรูปชั่วตัวดำก็ทำเนา | เหมือนอดข้าวกินมันพอกันตาย ฯ | ||
๏ ถึงบ้านมอญก่อนเกาะตะเภาล่ม | เภตราจมอยู่ในแควกระแสสาย | ||
โอ้ว่าเรือเหลือประทังกำลังกาย | ต้องทำลายล่มลงในคงคา | ||
อันตัวเราเล่าก็เหลือเหมือนเรือเพียบ | มาเหงาเงียบโดยประดาษพาสนา | ||
นับจะจมล่มชื่อไม่ฦๅชา | สุดจะกู้แก้หน้าให้นวลพราย | ||
เหลือบเขม้นเห็นผลต้นมะกล่ำ | ฉันนี้คำนึงไปแล้วใจหาย | ||
นิสัยปราชญ์ชาติเชื้อปรีชาชาย | ย่อมมาดหมายมอบตนกับคนดี | ||
แม้เอาเทียบเปรียบพาลสันดานเขลา | ย่อมโศกเศร้าสารพัดจะบัดสี | ||
เหมือนน้ำเนื้อนพมาศชาติชาตรี | ถึงใครตีด้วยฆ้องประคองดัง | ||
ไม่เจ็บเท่าเอาเปรียบเทียบมะกล่ำ | ปราชญ์จึงทำกิริยาเหมือนบ้าหลัง | ||
แม้ท่านที่มีพระคุณจะกรุณัง | ขออย่าชั่งกับมะกล่ำให้ช้ำใจ | ||
พอเรือมาหน้าโบสถ์วัดโปรดสัตว์ | เห็นพุทธรัตนยอกรขึ้นวอนไหว้ | ||
โอ้ตูข้าสารพัดจะขัดใน | ขอโปรดให้ฟื้นบ้างเถิดครั้งนี้ ฯ | ||
๏ ถึงตะเกี่ยก่อนเก่าฟังเขาว่า | ว่าศาสนาพวกตะเกี่ยเดียรถีย์ | ||
เขาทำบุญของเขาเข้ากระฎี | แม้ถูกที่พวกพ้องพี่น้องกัน | ||
ย่อมปรีดาปราโมทย์พระโปรดช่วย | ถึงมอดม้วยก็คงได้ไปสวรรค์ | ||
ศาสนาผาสุกสนุกครัน | ให้ผลทันใจอยากไม่ยากเย็น | ||
จะจริงจังอย่างไรไฉนหนา | เขาเล่ามาเล่าก็มากนึกอยากเห็น | ||
แม้อย่างเราเขาจะให้เข้าไปเป็น | จะทำเช่นนั้นกระดากเห็นยากใจ | ||
มาเข้าช่องคลองตะเคียนเจียนฉงน | ไม่เห็นต้นตะเคียนมีอยู่ที่ไหน | ||
หมายจะบวงสรวงสางแม่นางไม้ | ให้ช่วยไปเชิญขวัญกัลยา | ||
มาร่วมเขนยเชิยชิมให้อิ่มรัก | ไม่พบพักตร์นางไม้พิไรหา | ||
เห็นแต่แขกแปลกชาติอนาถตา | ส่งภาษาแสบหูไม่รู้ความ | ||
มาออกจากปากคลองตะเคียนแล้ว | ยิ่งไกลแก้วกลอยใจฤทัยหวาม | ||
ถึงสวนมะม่วงเห็นมะม่วงเป็นพวงงาม | ที่หอมห่ามมดแดงเข้าแฝงตอม | ||
ไม่รู้รสมดเอ๋ยมาเชยเฝ้า | แต่รักเขาข้างเดียวเทียวถนอม | ||
เหมือนชายเฉาเฝ้ารสจนอดออม | เขามิยอมก็ยังวอนชะอ้อนคำ | ||
เหมือนเราไซร้ใครฤๅเขาถือศักดิ์ | ถึงแสนรักก็ไม่รอที่ตอคร่ำ | ||
ถ้าใครรักรักตอบให้ชอบธรรม | ไม่ขอช้ำใจเป็นเหมือนเช่นมด | ||
พิไรพลางทางมุ่งดูกรุงเก่า | ให้แสนเศร้าโศกในฤทัยสลด | ||
ดูภูมิฐานบ้านเมืองรุ่งเรืองยศ | ควรฤๅลดลงเป็นป่าน่าเสียดาย | ||
ดูวัดวาอารามงามสล้าง | บ้างรกร้างโรยราน่าใจหาย | ||
เมื่อครั้งกรุงยังสนุกสุขสบาย | ได้ยินฝ่ายผู้เฒ่าเขาเล่ามา | ||
ว่าเศรษฐีมีทรัพย์ไม่นับได้ | สร้างวัดให้ลูกรักนั้นหนักหนา | ||
ถ้าบุตรใครไม่มีซึ่งวัดวา | ไปเล่นอารามเขาเศร้าฤทัย | ||
เจ้าของเขาเฝ้าเปรยเยาะเย้ยหยอก | กลับมาบอกบิดาน้ำตาไหล | ||
พ่อก็สร้างอารามให้ตามใจ | วัดจึงได้เกลื่อนกลาดดูดาษดา | ||
อันเมืองนี้เล่าก็มีแม่น้ำรอบ | เป็นคูขอลเขื่อนขัณฑ์ก็หนั่นหนา | ||
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ทุกองค์มา | ก็ย่อมปรากฏเดชทุกเขตแดน | ||
แต่องค์หลังครั้งเมืองจะเคืองเข็ญ | เผอิญเป็นรักงามหลงห้ามแหน | ||
ถ้าโปรดใครก็ประทานว่าการแทน | จึ่งคับแค้นไพร่ฟ้าประชาชน | ||
ไม่เลี้ยงดูผู้ทหารชาญฉลาด | ไปรดแต่ชาติพาลเผ่าเฉาฉงน | ||
จนผู้ที่ปรีชาปัญญายล | ต่างเอาตนออกหากจากราชการ | ||
ครั้นศึกพม่ามาประชิดติดกรุงศรี | จึงไม่มีใครจะมาอาสาหาญ | ||
เมืองจึงแตกแยกยับอัประมาณ | นึกสงสารคราน้ำตากระเด็น | ||
ถ้าเจ้านายเลี้ยงชายปรีชากล้า | อ้าหม่าไหนจะย่ำมาทำเข็ญ | ||
แม้บ้านเมืองเฟื่องฟูยังอยู่เย็น | เราก็เป็นชาวกรุงที่รุ่งเรือง | ||
โอ้กรุงยับอัปราเป็นป่ารก | เราก็ตกอับปางแทบคางเหลือง | ||
ต้องจำจากรากเหง้าที่ชาวเมือง | ไปเป็นเครื่องชาวบางกอกเขาหลอกกิน | ||
คิดถึงยามสำราญอยู่บ้านช่อง | เล่นเขาทองแล้วมิหนำซ้ำกฐิน | ||
ออกไปอยู่กรุงเทพเสพเพชรนิล | แต่ปัดหินก็มิใคร่จะได้ชม | ||
อยากพากเพียรเรียนวิชาเอาหน้าชื่อ | เขากลับฤๅอนาถาก็สาสม | ||
ไม่เจียมพุงกรุงเก่าโง่เง่างม | จนตกตมเต็มมิดเหมือนติดดัง ฯ | ||
๏ ถึงอารามงามล้ำเคยสำเหนียก | เดิมนั้นเรียกธรรมาเหมือนว่าหวัง | ||
คนมาเรียกธารมาดูน่าชัง | นึกก็สังเวชใจอาลัยตรอง | ||
ถึงมาตรว่าอารามจะงามฤๅ | ถ้าออกชื่อธารมาก็พาหมอง | ||
เหมือนพากเพียรเรียนรู้ต่อครูครอง | ดั่งเรือนทองเพชรประดับสำหรับใจ | ||
แม้ชื่อเสียงเอียงอับใครนับถือ | ถ้าออกชื่อเข้าก็หมองไม่ผ่องใส | ||
จะจงรักภักดีนารีใด | เขาก็ไม่รักแทนน่าแค้นเคือง | ||
ถึงสามแยกแฉกแฉวไปแควเหนือ | แลลิ่วเหลือสุดหล้าดูฟ้าเหลือง | ||
พอรามรามข้ามคล่องเข้าครองเมือง | ดูแน่นเนืองเรือแพออกแซ่เซ็ง | ||
แต่ก่อนกว้างขวางดีเดี๋ยวนี้แคบ | ต้องแจวแอบโดนดังกันปังเป้ง | ||
โอ้หัวแหลมแหลมแต่ชื่อไม่ฦๅเลง | ไม่แหลมเก่งเหมือนกะว่านัยน์ตาค้อน | ||
อันคมตามาเหน็บแล้วเจ็บนัก | ดั่งศรปักทรวงฉุดไม่หลุดถอน | ||
ถึงบ้านท่าหลวงนานึกอาวรณ์ | ด้วยปางก่อนรักใคร่เคยไปมา | ||
ต้องแวะเยือนเหมือนกะท่านเป็นฉันญาติ | ให้ยกถาดกระท้อนห่อไปต่อหน้า | ||
หลายสิบผลคนธรสโอชา | ขึ้นไปหาให้ท่านโดยกันเอง | ||
ท่านให้ก้านฟักทองสนองตอบ | ยังนึกขอบใจเจาะด้วยเหมาะเหม็ง | ||
นิสัยท่านนั้นก็รักข้างนักเลง | พูดแต่เพลงกาพย์กลอนจนอ่อนระอา | ||
พอพลบค่ำอำลาออกนาเวศ | อนาถเนตรนึกนวลให้หวนหา | ||
ดูชาวแพชาวบ้านนานนานมา | ให้แปลกตามิรู้ว่าผู้ใด | ||
ถึงแพผ้าหน้าแพก็แลเงียบ | ค่อยลอยเลียบเลงหลงคิดสงสัย | ||
ร้องเรียกผ้าข้าคนก็จนใจ | ไม่มีใครขานรับอัประมาณ | ||
แต่พี่น้องของเราเขาไม่รู้ | ยังซ้ำขู่ใครหนามาว่าขาน | ||
คุณป้าขายให้กะข้ามาช้านาน | พอทราบสารแสบในน้ำใจเจือ | ||
น้ำตาหลั่งพรั่งพรูเพราะรู้แน่ | ว่าพ่วงแพป้าขายเสียดายเหลือ | ||
จึ่งให้ถอยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลำเรือ | ไปแพเหนือรอราคอยหารือ | ||
พอหลานเฟื่องเยื้องหน้าออกมาเห็น | มองเขม้นถามว่าคุณอาหรือ | ||
พอรับคำเขาก็ก้มพนมมือ | ยังนับถือนอบไหว้ขอบใจครัน | ||
แล้วร้องเกริ่นเชิญอาขึ้นมานี่ | ขอบไมตรีพจมานของหลานขวัญ | ||
ฉันมีของสิ่งใดก็ให้ปัน | แล้วจึ่งฉันจรดลขึ้นบนแพ | ||
เขาเล่าถึงคุณป้าน่าสงสาร | เพราะนางหลานชาติชั่วตัวตอแหล | ||
ทิ้งป้าอยู่คนเดียวไม่เหลียวแล | ไปเล่นแต่โปถั่วทั้งผัวเมีย | ||
ป้าจนจิตคิดขามเหลือห้ามหวง | แทบแพพ่วงจะทลายต้องขายเสีย | ||
แล้วหลบหลีกปลีกตัวไม่ปัวเปีย | กลัวนางเหี้ยซ่อนตนอยู่บนเรือน | ||
ท่านบ่นหาคุณอาทุกเช้าค่ำ | ฉันฟังคำเสียใจใครจะเหมือน | ||
จึงวอนวานหลานขวัญโดยฟั่นเฟือน | พาไปเยือนเยี่ยมป้าด้วยอาลัย | ||
พอพบป้าอาดูรพูนเทวษ | แสนสมเพชประหนึ่งว่าน้ำตาไหล | ||
ป้าเห็นฉันอัญชลีก็ดีใจ | พลางพิไรโศกศัลย์พรรณนา | ||
ฉันนบนอบปลอบพลางทางคำนับ | หลานจะรับป้าไปเลี้ยงไม่เดียงสา | ||
จะแทนคุณกว่าจะตายวายชีวา | มิให้ป้าอับอายระคายเคือง | ||
ซึ่งหลานสาวเขาชั่วก็ตัวเขา | ป้าอย่าเฝ้าทุกข์ตรอมให้ผอมเหลือง | ||
พูดแล้วลาป้าพลางค่อยย่างเยื้อง | แต่หลานเฟื่องฝากรักเฝ้าชักจูง | ||
เสียงออกจ้าว่าอามาถึงบ้าน | ล้วนน้องหลานนั่งเล่นอยู่เป็นฝูง | ||
มันเห็นอาดุจกาเข้าแกมยูง | ศักดิ์มันสูงมิได้ทักแต่สักคน | ||
ที่แก่เฒ่ากว่าเราก็ไม่เห็น | นี่ล้วนเป็นหลานน้องยังพองขน | ||
มันประมาทคาดหน้าว่าอาจน | สู้นิ่งทนเดินมาตามหน้าโรง | ||
ญาติเราฤๅถือตัวว่าบริสุทธิ์ | เป็นสัปปุรุษโด่งดังทั้งโขยง | ||
เราคนเดียวเจียวเขาว่าเราโกง | วิ่งตะโพงผ่าเหล่ามาเล่าเรียน | ||
ที่จริงไซ้ใครซื่อฤๅมุสา | เทพยดารู้หมดคงจดเขียน | ||
ที่เขาถือซื่อตรงจำนงเนียร | เห็นแต่เบียนมิตรญาติฉลาดดี | ||
เอาเนื้อเขาเข้ามาเจือเป็นเนื้อตัว | สู่ลูกผัวกินสบายไม่หน่ายหนี | ||
ซ้ำเกิดเคราะห์เพราะพวกกาลกิณี | ยุยงพี่ผู้ตายให้หน่ายเรา | ||
คบคิดกันกลัวฉันเอามรดก | ไปโกหกมิให้ข้าขึ้นมาเผา | ||
ยังน้าฉันอีกคนจนไม่เบา | มันฉ้อเอาทรัพย์ท่านจนบรรลัย | ||
น้าแช่งชักหักกระดูกก็ถูกที่ | กรรมอันนี้มันจะล้างไปข้างไหน | ||
จะร่ำเรื่องก็ขี้คร้านรำคาญใจ | โคของใครก็คงเข้าคอกเขาเอง ฯ | ||
๏ แล้วลงเรือเหลือโศกวิโยคยิ่ง | อนาถนิ่งเหนื่อยอ่อนลงนอนเขลง | ||
เสียงไก่แก้วแจ้วขันออกบรรเลง | ให้วังเวงอารมณ์เมื่อลมพัด | ||
โอ้ค่ำคืนชื่นฉ่ำแต่น้ำค้าง | มิได้นางนฤมลมาปรนนิบัติ | ||
ครั้นรุ่งสรางสร่างโพยมโทมนัส | ข้ามไปวัดเชิงท่าด้วยอาลัย | ||
เที่ยวดำเนินเดินยืนตามพื้นล่าง | เห็นที่ร้างเราเอ๋ยเคยอาศัย | ||
กระฎีคร่ำชำรุดเขารื้อไป | ไม่มีใครอุปถัมภ์มานำพา | ||
เหลือแต่ที่เปล่าเปล่ายิ่งเศร้าโศก | ยังเห็นโคกปลูกผลต้นพฤกษา | ||
แสนคะนึงถึงพระคุณมุลิกา | โอ้พระอาจารย์ฉันที่บรรลัย | ||
ท่านเป็นที่วินัยธรรมล่ำลือชื่อ | บอกหนังสือปรีชาจะหาไหน | ||
เทศนาก็เสนาะเพราะจับใจ | คนเลื่อมใสศรัทธาเป็นอาจิณ | ||
ฉันเป็นศิษย์สัตยาสามิภักดิ์ | ท่านแสนรักราวกะบุตรสุดถวิล | ||
ที่ตื้นลึกศึกษาไม่ราคิน | อยากให้ภิญโญยศปรากฏนาน | ||
จึงอุตส่าห์พามุ่งไปกรุงเทพ | หวังให้เสพวิทยาที่กล้าหาญ | ||
ลูกกลับจนทนทุกข์ทรมาน | พระอาจารย์เล่าก็มาพิราลัย | ||
ถ้ายังเป็นเห็นหน้าลูกยานี้ | ก็น่าที่จะโศกาน้ำตาไหล | ||
ท่านไม่รู้การหน้าว่ากระไร | หวังจะให้ลูกเปรื่องรุ่งเรืองรอง | ||
ไม่สมคิดซ้ำปลิดชีวาทิ้ง | ให้ลูกกลิ้งเกลือกตนอยู่หม่นหมอง | ||
พระคุณแม้นเหมือนชนกที่ปกครอง | มิทันฉลองคุณยิ่งสักสิ่งอัน | ||
สิ่งใดใดฉันได้สร้างกุศล | ขอแผ่ผลส่งให้ท่านไปสวรรค์ | ||
แม้เกิดไหนให้พบประสบกัน | กว่าจะหันพักตร์ถึงซึ่งนิพพาน | ||
กราบกราบแล้วก็ลาน้ำตาไหล | เดินเข้าในลานโขดโบสถ์วิหาร | ||
พลางยอบย่อยอหัตถ์นมัสการ | อธิษฐานในใจถึงใหญ่โต | ||
ข้าคับแค้นแสนประดาษในชาตินี้ | ไม่มีที่พึ่งพาอนาโถ | ||
ทั้งสิ้นทุนสูญขาดญาติโย | เที่ยวเซโซบัดสีนี่กระไร | ||
ยังมิหนำซ้ำมากำพร้ามิตร | มิรู้คิดปลงลงที่ตรงไหน | ||
จะหารักสักคนก็จนใจ | ที่ฝากผีฝากไข้ไม่มีเลย | ||
ไปชาติหน้าอย่าเป็นเหมือนเช่นนี้ | ให้มั่งมีวาสนานิจจาเอ๋ย | ||
อย่ารู้ญาติขาดมิตรที่ชิดเชย | ที่ใครเคยวาสนาบารมี | ||
ขอกุศลผลช่วยอำนวยชัก | ให้สมรักกว่าจะตายอย่าหน่ายหนี | ||
หนึ่งชายโหดโฉดช้าหญิงกาลี | อีกทั้งขี้หึงสาอย่ามาระคน | ||
จะรักใครขอให้ได้ดังใจรัก | อย่าให้พักวุ่นวายเที่ยวขวายขวน | ||
สำเร็จกิจอธิษฐานบานกมล | จรดลชมวัดทัศนา | ||
พิหารมีสี่มุขทั้งสี่ด้าน | ดูโอฬารลดหลั่นน่าหรรษา | ||
เหมือนปราสาทราชวังอลังการ์ | มุขเด็จหน้าดั่งหนึ่งท้องพระโรงทรง | ||
ที่ท่ามกลางมีพระปรางค์เป็นองค์ปลอด | ดูใหญ่ยอดสูงเฉิดระเหิดระหง | ||
ที่เชิงปรางค์ข้างต่ำมีถ้ำลง | เขาว่าตรงออกช่องคลองสระประทุม | ||
ผู้ใหญ่เขาเล่ามาก็น่าเชื่อ | ว่าครั้งเมื่อเมืองสนุกยังสุขสุม | ||
มีเศรษฐีมีมั่งตั้งรวบรุม | เงินตวงตุ่มเหลือล้นพ้นประมาณ | ||
มีบุตรสาวเล่าก็ไม่ให้ใครเห็น | จึ่งสร้างเป็นปรางค์มาศราชฐาน | ||
อันนี้ไว้ให้ธิดาอยู่มานาน | แต่หญิงพาลตามชายสูญหายไป | ||
เศรษฐีแสนแค้นคะนึงถึงลูกสาว | ไม่ได้ข่าวคอยท่าน้ำตาไหล | ||
จึงอุทิศปรางค์มาศปราสาทชัย | อันนี้ให้เป็นวิหารทำทานทุน | ||
ให้เรียกวัดค่อยท่ามาชัดชัด | กลับเป็นวัดเลิงท่านึกน่าหุน | ||
จริงไฉนก็ไม่ทราบทำบาปบุญ | ยังหมกมุ่นหมองหมางระคางแคลง | ||
ว่าตามเขาเล่ามาตาไม่เห็น | มิได้เป็นผลประโยชน์โทษแถลง | ||
ที่ตามจริงสิ่งดีของชี้แจง | ให้ท่านแจ้งประโยชน์ผลทุกคนไป | ||
พระปรางค์นี้มีพระสารีริกธาตุ | บรมศาสดาน่าเลื่อมใส | ||
ถึงวันดีคืนดีมีเมื่อใด | ท่านเคยได้เสด็จออกนอกพระปรางค์ | ||
แล้วบันดาลปาฏิหาริย์เป็นมหันต์ | เปล่งฉัพพรรณรัศมีสีสว่าง | ||
ดูร่วงรุ้งรุ่งโรจน์โชตินภางค์ | เปรียบเหมือนอย่างพระศรีสรรเพชญ์เสด็จมา | ||
เป็นสัตย์ธรรมมั่นคงอย่าสงสัย | คนที่ได้เห็นประจักษ์ก็หนักหนา | ||
ครั้งหนึ่งนั้นฉันยังเยาวพา | ได้เห็นกะตาจริงชัดจำรัสเรือง | ||
ไม่มุสาพาหยาบกลัวบาปเหลือ | ใครไม่เชื่อหนังสือที่ลือเลื่อง | ||
จงสืบความถามข่าวตามชาวเมือง | คงรู้เรื่องราวชัดที่สัจจัง | ||
รำพันพลางทางถอนฤทัยทุกข์ | เห็นหน้ามุขคร่ำคร่าทั้งฝาผนัง | ||
บ้างชำรุกทรุดปรักบ้างหักพัง | ด้วยแต่ครั้งโบราณมานานนม | ||
นึกโทมนัสศรัทธาดอกข้านี้ | แม้มั่งมีก็จะสร้างอย่างปฐม | ||
นี่คับแค้นแสนวิตกหัวอกกรม | ได้แต่ชมเชยทำด้วยคำกลอน | ||
ท่านผู้ใดได้ฟังซึ่งหนังสือ | แม้เชื่อถือแน่ตระหนักในอักษร | ||
ที่มีทรัพย์ศรัทธาสถาวร | ขอเชิญปฏิสังขรณ์ให้งดงาม | ||
เสียแรงพบสบพระพุทธศาสนา | ได้ศรัทธาเลิศแล้วในแก้วสาม | ||
เพราะมีทุนบุญหลังมาคั่งคาม | ควรอุตส่าห์พยายามให้ยิ่งยง | ||
อันเงินทองของหวงทั้งปวงนี้ | แม้ตระหนี่เก็บไว้เหมือนใหลหลง | ||
จะเป็นของเขาอื่นไม่คืนคง | เพราะปลดปลงก็มิได้เอาไปเชย | ||
อนัตตาก็ใช่ว่าของตนแท้ | คงก็แต่บาปบุญเจ้าคุณเอ๋ย | ||
ชีวิตนี้ก็ไม่มีประกันเลย | อย่าเฉยเมยหมั่นคิดอนิจจัง | ||
แม้มิได้ก่อสร้างทางกุศล | ครั้นวายชนม์ก็ไม่มีที่จะหวัง | ||
จนสิ้นกัปนับกัลป์อนันตัง | จะพบพระแต่ละครั้งเห็นเต็มประดา | ||
แม้ผู้ใดได้สร้างพระปรางค์ลุ | ที่บรรจุบรมธาตุสืบศาสนา | ||
ทั้งมนุษย์เทพไทได้บูชา | คงมีอานิสงส์นั้นพันทวี | ||
จะพาตนพ้นอบายในภายหน้า | เมื่อวาสนาพบพระชินศรี | ||
จะตัดห่วงบ่วงมารการโลกีย์ | เพราะบุญที่ซ่อมอแลงตกแต่งเติม | ||
ขอเดชะเทวฤทธิ์ทุกทิศา | ช่วยชักพาที่ผู้จะชูเฉลิม | ||
มาก่อสร้างปรางค์พิหารเหมือนฐานเดิม | ได้ส่งเสริมศรัทธาสาธุชน | ||
แต่นี้ไปแม้ใครมาสร้างสรรค์ | อย่าลืมฉันผู้แสดงแต่งนุสนธิ์ | ||
ขอแบ่งบุญกรุณังบ้างสักคน | ให้ได้ผลอานิสงส์เหมือนจงใจ | ||
เดชะคำทำกลอนอักษรสนอง | ที่ยกย่องศาสนาพาเลื่อมใส | ||
บูชาบุญคุณพระรัตนตรัย | ขอจงได้ลุถึงซึ่งนิพพาน | ||
อย่าขัดเข็ญเป็นสุขทุกทุกชาติ | ให้ผุดผาดผิวพรรณทรงสัณฐาน | ||
ทั้งปราชญ์เปรื่องเรืองวิชาปัญญาญาณ | คิดเพลงการมธุรสทุกบทกลอน | ||
ให้เร็วไวไพเราะเสนาะขลัง | ใครได้ฟังออกชื่อฦๅสยอน | ||
แม้หญิงใดได้สดับลืมหลับนอน | ให้กอดหมอนนึกถึงฉันทุกวันคืน | ||
ที่สาวแส้แม่หม้ายทั้งหลายนั้น | คนไหนฉันชอบใจอย่าได้ขืน | ||
ถูกเพลงยาวเข้าก็ปลื้มเหมือนลืมกลืน | ให้แตกตื่นพัลวันตามฉันมา | ||
ในชาตินี้ที่ใครเขาไม่รัก | ขอบุญชักเชยสวาทในชาติหน้า | ||
ให้รักเราเฝ้าวอนจนอ่อนระอา | จึงจะสาน้ำใจไม่ไมตรี | ||
แม้นได้ชมสมรักแต่สักนิด | ให้ต้องจิตจนตายอย่าหน่ายหนี | ||
ใครเคยชมสมสวาทในชาตินี้ | ให้เร็วรี่รวยรื่นรีบคืนมา | ||
อธิษฐานอย่างนี้ดีไฉน | ที่จริงใจฉันไม่นึกจะตรึกหา | ||
ถึงรูปโฉมโลมจิตก็อนิจจา | จะปรารถนาโพธิญาณสถานเดียว | ||
มิว่าบ้างผู้ฟังก็อุตริ | มักจะติเสียว่าดาดไม่บาดเสียว | ||
จึ่งเสแสร้งแต่งใส่เหมือนไข่เจียว | พอกล่ิอมเกี้ยวผู้ฟังให้ตั้งใจ | ||
แล้วไหว้พระละลามาท่าน้ำ | เห็นโรงธรรมศาลาน้ำตาไหล | ||
ด้วยของนี้พี่ฉันที่บรรลัย | ได้สร้างไว้งดงามอร่ามตา | ||
มิทันฉลองก็มาต้องสิ้นชีวิต | ฉันจึ่งคิดสมเพชกับเชษฐา | ||
ส่วนข้าพเจ้าเข้าด้วยถึงตำลึงตรา | ปรารถนาจะขอพบประสบกัน | ||
บรรดาวงศ์พงศ์เผ่าเราก็หนัก | แต่ไม่รักอารีเหมือนพี่ฉัน | ||
ย่อมนับถือซื่อตรงต่อพงศ์พันธุ์ | อายุสั้นเสียเพราะกรรมก็จำจน ฯ | ||
๏ แล้วลงเรือข้ามกลับมารับป้า | จอดที่หน้าแพหลานลานฉงน | ||
คุณป้ารู้มิได้รอรีบจรดล | ให้เขาขนของส่งมาลงเรือ | ||
อันญาติเราเขาก็ไม่ปราศรัยสาร | เว้นแต่หลานเราไว้อาลัยเหลือ | ||
ทั้งพี่สะใภ้ใจดีมีข้าวเกลือ | ผักปลาเผื่อแผ่ปันให้ฉันมา | ||
แต่ยามนี้มิได้มีสิ่งทำขวัญ | ขอรำพันอวยพรไว้ก่อนหนา | ||
จงสุขีศรีสวัสดิ์เถิดนัดดา | แล้วอำลาล่องเรือเหลือเสียดาย | ||
โอ้บ้านเกิดเมืองเก่าของเราก่อน | จะจำจรจากไปน่าใจหาย | ||
เมื่อยังอยู่ดูก็สุขสนุกสบาย | เคยเที่ยวพายนาวาเมื่อหน้าน้ำ | ||
ไปเล่นทุ่งมุ่งชมกระจับจอก | เก็บบัวปอกป้อนชิมไม่อิ่มหนำ | ||
หอมกระถินกลิ่นมะปรางเอวบางระบำ | โอ้จะจำจากลับจะนับไกล | ||
ถึงมานี่ที่จะไปก็ไม่เห็น | ให้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล | ||
ด้วยราชกิจติดตนก็จนใจ | แต่นี้ไหนจะได้มาเห็นหน้าเมือง | ||
จะนับปีลี้ลับอัปยศ | ไม่มียศมีชื่อที่ลือเลือง | ||
วาสนาอายุก็ปรุเปลือง | จะร่ำเรื่องไปก็ใครไม่พุทโธ | ||
อันบุปผาส่าหรีที่มีกลิ่น | เขาไม่กินเหมือนมะกอกดอกโสน | ||
แต่ก่อนน้ำว้าถูกลูกโตโต | เดี๋ยวนี้โอ้น้ำว้าราคาแพง | ||
จึ่งจดจำคำเพียรทั้งเขียนคิด | โอ้ญาติมิตรทั้งหลายอย่าหน่ายแหนง | ||
ไว้ต่างคนจนตายเหมือนลายแทง | ได้จำแจ้งจดจิตไม่ปลิดปลิว | ||
ดูสาวสาวชาวแพพวกแม่ค้า | แต่ละหน้านวลละอองผุดผ่องผิว | ||
ไม่ถูมิฐานการกิจไม่บิดพลิ้ว | ไม่กรีดนิ้วเหมือนกะสาวชาวบุรี | ||
เราไม่พรากจากนี่แล้วที่ไหน | ก็พอได้นั่งแพขายแพรสี | ||
นี่พลัดไพล่ไปปองซึ่งของดี | พบที่ที่เอวฉะอ้อนอ่อนระทวย | ||
แม่รุกรุยรุงรังข้างบางกอก | มักปอกลอกเล็งเห็นแต่เล่นหวย | ||
ที่การงานคร้านทำแต่สำรวย | รูปสวยสวยเข้าบ่อนอยากนอนกิน | ||
บุญไม่เคยเลยแล้วจึ่งแคล้วคลาด | ที่มุ่งมาดมิได้ชมสมถวิล | ||
จะก้มหน้าไปบางกอกดมดอกดิน | มิได้กลิ่นดาวเรืองที่เมืองกรุง | ||
เราก็เหมือนเถื่อนอุทามที่ตามต่อ | ถูกพังล่อลมลวงถอนงวงผลุง | ||
โอ้หลายปีมิได้พบน้ำอบปรุง | จนคล้ำคลุ้งไคลเหงื่อทั้งเนื้อตัว | ||
โอ้ยามนี้ที่ว่ามาแต่นึก | จะวายตรึกตรมกริ่มจะยิ้มหัว | ||
นี่นึกเปล่าเฝ้าตรองยิ่งหมองมัว | เพราะแม่บัวใบบังไม่หวังยล | ||
เขานั่งแพแต่เรานี้เร่าร้อน | เที่ยวเร่คอนขายรักไม่พักผล | ||
ไม่มีใครซื้อรักแต่สักคน | เป็นรักจนจำลาแล้วหนาเรา | ||
มาวันครึ่งถึงกรุงเทพสถาน | ยังไม่พานพบประโลมโฉมเฉลา | ||
จึงเขียนกลอนข้อคำเป็นสำเนา | ไว้เพื่อนเจ้าจงฟังสิ้นทั้งเพ | ||
โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก | ที่เคยลักลอบชวนเคยสรวลเส | ||
เจ้าปลิดปลื้มลืมหลังไปลังเล | จงคะเนน้ำใจเถิดในกลอน | ||
แต่น้องพี่ที่หวังยังไฉน | ไม่เห็นใจจริงรักในอักษร | ||
เฝ้าหนักหน่วงหวงหึงตะบึงตะบอน | ไม่โอนอ่อนรุมเร้าพอเคล้าคลึง | ||
พี่ไปเมืองเคืองเข็ญไม่เป็นสุข | สู้อุ้มทุกข์เหลือทนมาจนถึง | ||
ได้ดูงามตามวิถีก็มีอึง | ไม่เหมือนหนึ่งมิ่งมิตรที่ติดพัน | ||
พี่จากไปได้แต่รักมาฟักฝาก | ขอพบปากงามสรรพพอรับขวัญ | ||
ถึงเงินทองของใครจะให้ปัน | ไม่เหมือนกันกะเจ้ามีไมตรีเรียม | ||
เสียแรงหวังตั้งหน้าสามิภักดิ์ | ขอฝากรักโฉมฉายอย่าอายเหนียม | ||
พอเหือดหายคลายระทมที่ตรมเตรียม | ไม่โลมเลียมลวงเล่นเหมือนเช่นพาล | ||
แต่จริงใจสุดนิสัยจะหยิบยก | ถ้าเห็นอกแล้วก็คงจะสงสาร | ||
แม้ครั้งนี้มิได้โฉมประโลมลาน | ไหนจะทานทุกข์ทนเห็นจนจริง | ||
ด้วยยากไร้ได้แต่หมอนมานอนกก | เมื่อหนาวอกก็อาศัยแต่ไฟผิง | ||
จงเห็นทุกข์สุขบ้างอย่าชังชิง | ขอพึ่งพิงพอเป็นยาอายุยืน | ||
ด้วยแสนโศกโรคภัยไม่ไข้เจ็บ | แต่หนาวเหน็บในอุราไม่ฝ่าฝืน | ||
ถ้าแม้ได้ยาดมชมสักคืน | เห็นจะชื่นแช่มสบายไปหลายปี | ||
พี่ตกถังยังมีแต่ฝีปาก | เป็นขันหมากมาโลมแม่โฉมศรี | ||
นิราศเรื่องเมืองทวาราวดี | ของเรานี้นึกความเล่นตามสบาย | ||
ใช่มักมากราครนมาบ่นบ้า | อย่านึกราคีฉันท่านทั้งหลาย | ||
เพราะหากลอนผ่อนผันบรรยาย | มิใช่ง่ายเหมือนกะเช่นที่เป็นเอง | ||
ก็ย่อมรู้อยู่กระนั้นด้วยกันหมด | ว่าต้องปดจึงจะเพราะจะเหมาะเหมง | ||
แต่นิสัยใจรักข้างนักเลง | ย่อมอดเพลงมิใคร่ได้แต่ไรมา | ||
ซึ่งครวญคร่ำทำทีอย่างนี้ไซร้ | เป็นนิสัยนักกลอนแต่ก่อนหนา | ||
ต้องติดบ้างสังวาสชาติโอชา | เหมือนสังขยาต้องใส่ไข่น้ำตาล | ||
ไว้อ่านเล่นเป็นแต่พอแก้โงก | ของโลมโลกพาหลงในสงสาร | ||
อย่าควรจำคำคะนองเป็นของพาล | ที่แก่นสารถ้อยคำจึ่งจำไว้ | ||
บรรดาบาปหยาบช้าแล้วอย่าชอบ | จงประกอบก็แต่ผลกุศลสมัย | ||
มล้างเกลศเลศล้ำในน้ำใจ | ให้ผ่องใสสิ้นขุ่นจึ่งบุญแรง | ||
เป็นจบเรื่องเมืองเก่าแต่เท่านี้ | มิสู้ดีบลบาทปราชญ์อย่าแหนง | ||
เห็นผิดชอบชั่วดีช่วยชี้แจง | เพราะฉันแต่งตามประสาปัญญาทุย | ||
ใช่ประกวดอวดรู้กับผู้ปราชญ์ | ถ้าพลั้งพลาดรับประทานวานอย่ากุ๋ย | ||
กลัวแต่ศักดิ์นักเลงเล่นเพลงคุย | เที่ยวรำซุยนอกม่านสงสารครัน | ||
เห็นใครดีอยู่มิได้แคะไค้บ่น | เฝ้ายกตนข่มเขายิ้นเย้าหยัน | ||
ไม่บัดสีที่ท่านได้เห็นไรฟัน | ทำเช่นนั้นชูชื่ออยู่ฤๅเอย ฯ | ||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราศทวาราวดี / โดย หลวงจักรปาณี. บทละคอนเรื่องมณีพิไชย / พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2512. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนางเอิบ ทังสุบุตร 20 ธ.ค.2512.