นิราศทวาราวดี

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(ข้อมูลเบื้องต้น)
()
แถว 635: แถว 635:
อันบุปผาส่าหรีที่มีกลิ่น  เขาไม่กินเหมือนมะกอกดอกโสน
อันบุปผาส่าหรีที่มีกลิ่น  เขาไม่กินเหมือนมะกอกดอกโสน
แต่ก่อนน้ำว้าถูกลูกโตโต  เดี๋ยวนี้โอ้น้ำว้าราคาแพง
แต่ก่อนน้ำว้าถูกลูกโตโต  เดี๋ยวนี้โอ้น้ำว้าราคาแพง
-
.
+
จึ่งจดจำคำเพียรทั้งเขียนคิด  โอ้ญาติมิตรทั้งหลายอย่าหน่ายแหนง
-
.
+
ไว้ต่างคนจนตายเหมือนลายแทง  ได้จำแจ้งจดจิตไม่ปลิดปลิว
-
.
+
ดูสาวสาวชาวแพพวกแม่ค้า  แต่ละหน้านวลละอองผุดผ่องผิว
 +
ไม่ถูมิฐานการกิจไม่บิดพลิ้ว  ไม่กรีดนิ้วเหมือนกะสาวชาวบุรี
 +
เราไม่พรากจากนี่แล้วที่ไหน  ก็พอได้นั่งแพขายแพรสี
 +
นี่พลัดไพล่ไปปองซึ่งของดี  พบที่ที่เอวฉะอ้อนอ่อนระทวย
 +
แม่รุกรุยรุงรังข้างบางกอก  มักปอกลอกเล็งเห็นแต่เล่นหวย
 +
ที่การงานคร้านทำแต่สำรวย  รูปสวยสวยเข้าบ่อนอยากนอนกิน
 +
บุญไม่เคยเลยแล้วจึ่งแคล้วคลาด  ที่มุ่งมาดมิได้ชมสมถวิล
 +
จะก้มหน้าไปบางกอกดมดอกดิน  มิได้กลิ่นดาวเรืองที่เมืองกรุง
 +
เราก็เหมือนเถื่อนอุทามที่ตามต่อ  ถูกพังล่อลมลวงถอนงวงผลุง
 +
โอ้หลายปีมิได้พบน้ำอบปรุง  จนคล้ำคลุ้งไคลเหงื่อทั้งเนื้อตัว
 +
โอ้ยามนี้ที่ว่ามาแต่นึก  จะวายตรึกตรมกริ่มจะยิ้มหัว
 +
นี่นึกเปล่าเฝ้าตรองยิ่งหมองมัว  เพราะแม่บัวใบบังไม่หวังยล
 +
เขานั่งแพแต่เรานี้เร่าร้อน  เที่ยวเร่คอนขายรักไม่พักผล
 +
ไม่มีใครซื้อรักแต่สักคน  เป็นรักจนจำลาแล้วหนาเรา
 +
มาวันครึ่งถึงกรุงเทพสถาน  ยังไม่พานพบประโลมโฉมเฉลา
 +
จึงเขียนกลอนข้อคำเป็นสำเนา  ไว้เพื่อนเจ้าจงฟังสิ้นทั้งเพ
 +
โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก  ที่เคยลักลอบชวนเคยสรวลเส
 +
เจ้าปลิดปลื้มลืมหลังไปลังเล  จงคะเนน้ำใจเถิดในกลอน
 +
แต่น้องพี่ที่หวังยังไฉน  ไม่เห็นใจจริงรักในอักษร
 +
เฝ้าหนักหน่วงหวงหึงตะบึงตะบอน  ไม่โอนอ่อนรุมเร้าพอเคล้าคลึง
 +
พี่ไปเมืองเคืองเข็ญไม่เป็นสุข  สู้อุ้มทุกข์เหลือทนมาจนถึง
 +
ได้ดูงามตามวิถีก็มีอึง  ไม่เหมือนหนึ่งมิ่งมิตรที่ติดพัน
 +
พี่จากไปได้แต่รักมาฟักฝาก  ขอพบปากงามสรรพพอรับขวัญ
 +
ถึงเงินทองของใครจะให้ปัน  ไม่เหมือนกันกะเจ้ามีไมตรีเรียม
 +
เสียแรงหวังตั้งหน้าสามิภักดิ์  ขอฝากรักโฉมฉายอย่าอายเหนียม
 +
พอเหือดหายคลายระทมที่ตรมเตรียม  ไม่โลมเลียมลวงเล่นเหมือนเช่นพาล
 +
แต่จริงใจสุดนิสัยจะหยิบยก  ถ้าเห็นอกแล้วก็คงจะสงสาร
 +
แม้ครั้งนี้มิได้โฉมประโลมลาน  ไหนจะทานทุกข์ทนเห็นจนจริง
 +
ด้วยยากไร้ได้แต่หมอนมานอนกก  เมื่อหนาวอกก็อาศัยแต่ไฟผิง
 +
จงเห็นทุกข์สุขบ้างอย่าชังชิง  ขอพึ่งพิงพอเป็นยาอายุยืน
 +
ด้วยแสนโศกโรคภัยไม่ไข้เจ็บ  แต่หนาวเหน็บในอุราไม่ฝ่าฝืน
 +
ถ้าแม้ได้ยาดมชมสักคืน  เห็นจะชื่นแช่มสบายไปหลายปี
 +
พี่ตกถังยังมีแต่ฝีปาก  เป็นขันหมากมาโลมแม่โฉมศรี
 +
นิราศเรื่องเมืองทวาราวดี  ของเรานี้นึกความเล่นตามสบาย
 +
ใช่มักมากราครนมาบ่นบ้า  อย่านึกราคีฉันท่านทั้งหลาย
 +
เพราะหากลอนผ่อนผันบรรยาย  มิใช่ง่ายเหมือนกะเช่นที่เป็นเอง
 +
ก็ย่อมรู้อยู่กระนั้นด้วยกันหมด  ว่าต้องปดจึงจะเพราะจะเหมาะเหมง
 +
แต่นิสัยใจรักข้างนักเลง  ย่อมอดเพลงมิใคร่ได้แต่ไรมา
 +
ซึ่งครวญคร่ำทำทีอย่างนี้ไซร้  เป็นนิสัยนักกลอนแต่ก่อนหนา
 +
ต้องติดบ้างสังวาสชาติโอชา  เหมือนสังขยาต้องใส่ไข่น้ำตาล
 +
ไว้อ่านเล่นเป็นแต่พอแก้โงก  ของโลมโลกพาหลงในสงสาร
 +
อย่าควรจำคำคะนองเป็นของพาล  ที่แก่นสารถ้อยคำจึ่งจำไว้
 +
บรรดาบาปหยาบช้าแล้วอย่าชอบ  จงประกอบก็แต่ผลกุศลสมัย
 +
มล้างเกลศเลศล้ำในน้ำใจ  ให้ผ่องใสสิ้นขุ่นจึ่งบุญแรง
 +
เป็นจบเรื่องเมืองเก่าแต่เท่านี้  มิสู้ดีบลบาทปราชญ์อย่าแหนง
 +
เห็นผิดชอบชั่วดีช่วยชี้แจง  เพราะฉันแต่งตามประสาปัญญาทุย
ใช่ประกวดอวดรู้กับผู้ปราชญ์  ถ้าพลั้งพลาดรับประทานวานอย่ากุ๋ย
ใช่ประกวดอวดรู้กับผู้ปราชญ์  ถ้าพลั้งพลาดรับประทานวานอย่ากุ๋ย
กลัวแต่ศักดิ์นักเลงเล่นเพลงคุย  เที่ยวรำซุยนอกม่านสงสารครัน
กลัวแต่ศักดิ์นักเลงเล่นเพลงคุย  เที่ยวรำซุยนอกม่านสงสารครัน
แถว 643: แถว 688:
ไม่บัดสีที่ท่านได้เห็นไรฟัน  ทำเช่นนั้นชูชื่ออยู่ฤๅเอย ฯ
ไม่บัดสีที่ท่านได้เห็นไรฟัน  ทำเช่นนั้นชูชื่ออยู่ฤๅเอย ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==
== ที่มา ==
== ที่มา ==
นิราศทวาราวดี / โดย หลวงจักรปาณี. บทละคอนเรื่องมณีพิไชย / พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2512. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนางเอิบ ทังสุบุตร 20 ธ.ค.2512.
นิราศทวาราวดี / โดย หลวงจักรปาณี. บทละคอนเรื่องมณีพิไชย / พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2512. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนางเอิบ ทังสุบุตร 20 ธ.ค.2512.

การปรับปรุง เมื่อ 07:29, 4 สิงหาคม 2553

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: หลวงจักรปาณี (มหาฤกษ์)


ยังขาดความช่วงท้ายอยู่ส่วนหนึ่ง

บทประพันธ์

๏ นิราศร้างห่างไกลอาลัยสมร
ไปกรุงเก่าเศร้าอุราให้อาวรณ์จะจำจรจากงามเมื่อยามเย็น
เสียดายดวงพวงกลิ่นประทิ่นทิพย์จะลอยลิบลับไปมิได้เห็น
เมื่อวันออกนาวาน้ำตากระเด็นแต่จำเป็นจำไปอาลัยลาน
เฝ้าแลเหลียวเสียวทรวงเป็นห่วงหลังไม่ทันสั่งวรนุชสุดสงสาร
นิจจาเอ๋ยเคยยลวิมลมาลย์แต่นี้นานไหนจะเห็นเหมือนเช่นเคย
เมื่อยามแนบมิได้แนบแอบถนอมเมื่อยามหอมกลิ่นอายจะหายระเหย
ไปต้องน้ำค้างพรมเมื่อลมเชยจะแนบเขนยนอนหนาวทุกเช้าเย็น ฯ
๏ พี่จากมิตรก็เพราะคิดถึงคุณป้าอยู่เคหาต่างเมืองได้เคืองเข็ญ
ด้วยทุกข์โศกโรคชราน้ำตากระเด็นฉันนี้เป็นหลานขวัญกตัญญู
แต่น้อยน้อยท่านถนอมได้กล่อมเกลี้ยงรักฉันเพียงโอรสไม่อดสู
พระคุณท่านอุปถัมภ์ที่ค้ำชูเป็นไม่รู้จะประมาณว่าปานใด
เหมือนชนนีที่ประเสริฐบังเกิดเกล้าเมื่อแก่เฒ่าหมายว่าจะอาศัย
ฉันเหมือนชั่วหัวอกมาตกไกลมิได้ไปปฏิบัติเพราะขัดแคลน
ครั้นได้ข่าวราวเรื่องว่าเคืองเข็ญก็ยิ่งเป็นทุกข์ทรวงเพราะห่วงแสน
จึงจำพรากจากนางไปต่างแดนหมายทดแทนคุณท่านที่กรุณา
พี่ละโลมโฉมฉายแต่กลายเปล่าใจยังเนาแนบชิดขนิษฐา
แต่ขัดสนจนใจมิได้ลาตอบแต่ตาต่างถ้อยไว้หน่อยเดียว ฯ
๏ พอนาวาคลาคล่องออกคลองน้อยแล้วเคลื่อนคล้อยคลองใหญ่อาลัยเหลียว
จะร้างรักหักใจไม่ไหวเจียวแลยิ่งเปลี่ยวเปล่ากายในสายชล
พอโพล้เพล้เพลาฟ้าละห้อยน้ำค้างย้อยหยาดเย็นทุกเส้นขน
โอ้หนาวใจไหนจะซ้ำต้องจำทนเพราะยามจนจากเจ้าจึ่งเศร้าโทรม
โอ้พระพายชายชวนให้หวนหาจวนเวลาค่ำคืนเคยชื่นโฉม
แสนวิตกอกเอ๋ยจะเลยโลมแลโพยมคลุ้มคล้ำช้ำวิญญาณ์
เหลือบเห็นบ้านดอกไม้อาลัยนักนึกถึงพักตร์พุ่มพวงดวงยิหวา
เมื่อน้องน้อยลอยกระทงในคงคาจุดบุปผาเทียนสว่างกระจ่างนวล
ดูปรางน้องยองใดประไพพริ้มช่างจิ้มลิ้มเหลืองามทรามสงวน
เมื่อจากนุชดุจเราเจ้ากระบวนมิได้ชวนโฉมงามติดตามมา ฯ
๏ ถึงเขาทองตรองคะนึงถึงพระบาทบรมนาถนั่งเกล้าเจ้าเกศา
แต่คราวครั้งยังมีพระชนมาทรงอุตสาหะสร้างเป็นด้างเดิม
ไม่ทันเสร็จก็เสด็จสู่สวรรค์พระทรงธรรม์ทุกพระองค์ก็ทรงเสริม
ไม่เสร็จงานการก่อที่ต่อเติมได้พูนเพิ่มพอเป็นที่เจดีย์ทอง
โอ้แต่พระสถูปรูปคำนับยังอาภัพมิได้เสร็จสำเร็จฉลอง
ดูเจดีย์เหมือนจะมีน้ำใจตรองยังมัวหมองรั้งรกตกตระตรำ
เหมือนตัวเราวาสนานั้นหาไม่ไม่มีใครชูชุบอุปถัมภ์
จนยากยับคับแค้นแสนระกำเหลือจะปล้ำปลุกตนให้พ้นอาย
เพราะโง่เง่าเต่าตุ่นพ่อคุณเอ๋ยผู้ใดเลยจะประสงค์จำนงหมาย
ซึ่งเล่าเรียนเพียรพากมามากมายขอถวายพระกุศลวิมลมาลย์
ให้พระองค์ทรงเสวยสวัสดิสุขจนสิ้นทุกข์ถึงวิมุติสุดสงสาร
หวนคะนังถึงอนงค์เมื่อสงกรานต์เคยพบพานโฉมเฉลาที่เขาทอง
ชวนเข้าถ้ำคลำพุ่มประทุมทิพย์พลางกระซิบมิให้นางแม่หมางหมอง
มาจากชื่นคืนค่ำให้ตรำตรองแลดูท้องฟ้าเกลื่อนด้วยเดือนดาว
ออกคลองบางลำพูดูวะวับหิ่งห้อยจับพฤกษ์แจ่มแอร่มหาว
เหมือนแหวนเพชรเม็ดพร่างสว่างวาวของเจ้าสาวแน่งน้อยสอดก้อยกร
ให้ช้ำชอกออกลำแม่น้ำกว้างดูอ้างว้าวหวั่นไหวฤทัยถอน
มาว้าเหว่เอกาในสาครสายสมรเนาหลังจะยังไร
ดูหนุ่มสาวชาวแพยังแซ่เสียงโคมตะเกียงแก้วกระจ่างสว่างไสว
ล้วนเคียงคู่ชูชื่นรื่นฤทัยน่าน้อยใจชาวแพไม่แลเพลิน ฯ
๏ บางขุนพรหมโอ้บรมพรหเมศร์ขอพระเดชเสด็จทรงบนหงส์เหิน
ไปเกลี้ยกล่อมจอมขวัญว่าฉันเชิญให้มาเทอญเรียมจะคอยอย่าน้อยใจ
ไม่เห็นพรหมกุมหน้าน้ำตาตกอกเอ๋ยอกโอ้กรรมจะทำไฉน
เห็นโรงเหล้าเศร้าหมองตรึกตรองไปอันนิสัยเมาเหล้าเราไม่เคย
โอ้บาปกรรมน้ำกรดก็อดสิ้นด้วยไม่กินก็ไม่เมาน้ำเหล้าเอ๋ย
แต่น้ำรักหักใจไม่ไหวเลยถึงนอนเฉยอยู่เปล่าเปล่าก็เมามาย ฯ
๏ ถึงบางปูนปูนนี้ก็ลี้ลับช่างอาภัพจริงนะปูนมักสูญหาย
แต่หมากพลูชูชื่อฦๅขจายปูนไม่วายอดสูด้วยดูเบา
เหมือนนิยมสมญามหาฤกษ์ไม่เอิกเกริกชื่อบ้างเหมือนอย่างเขา
ด้วยคนดีฝีปากมากกว่าเราจึงอับเฉาชั่วชื่อไม่ฦๅชา
ทั้งรู้น้อยถ้อยคำไม่ล้ำลึกจะไปนึกน้อยใจอย่างไรจ๋า
ต้องเจียมตัวกลัวมนุษย์อยุทธยาสู้ก้มหน้านิ่งลับอัประมาณ ฯ
๏ ถึงบ้านลานลานตะลึงคะนึงโฉมพี่ลอบโลมลานจิตคิดสงสาร
เมื่อมาจากฝากใจอาลัยลานมาดูบ้านลานไม่อาลัยเลย
ถึงบางจากจากบางไม่หมางจิตด้วยจากสถิตอยู่กะที่เจ้าพี่เอ๋ย
พี่จากชื่นจากโฉมประโลมเชยทั้งจากเสบยจากบ้านมาย่านบาง
ถึงเสาหินสิ้นแดนแสนระทดแต่โศกสลดมิได้สิ้นมลทินหมาง
เพราะลับโลมโฉมแฉล้มมาแรมทางยังจะร้างเริศระคายไปหลายคืน
โอ้หินหลักปักแดนแน่นถนัดถึงลมพัดพานพาไม่ฝ่าฝืน
ขอใจเจ้าเนาหลังให้ยั่งยืนอย่ารู้ลิ้นลิ้นลมคารมพาล
นิสัยใจพกนุ่นไม่อุ่นจิตถึงเป็นมิตรก็ไม่รักสมัครสมาน
เป็นรักกัดขัดแค้นแสนรำคาญพอลมพานเข้าสักหน่อยก็คอยบิน
สุดาใดใจน้องแม่ครองรักถ้าแน่นหนักในอกเหมือนพกหิน
ถึงรูปชั่วตัวดำดั่งน้ำนิลไม่ขอสิ้นสุดรักภัคินี ฯ
๏ ถึงบางพลูพลูเจ้าเอ๋ยเคยสงวนจีบแต่ล้วนใบเหลืองเมลืองศรี
หมากดิบเจียนจำปาสุมาลีทั้งบุหรี่ใบจากมาฝากเรียม
อนาโถโอ้อกมาตกยากกินแต่หมากพลูใบน่าอายเหนียม
ถึงบางพลัดพลัดนามตามธรรมเนียมบางไม่เทียมทุกข์ข้าดอกหนาบาง
พี่พลัดพรายสายสุดามาปรารภยังซ้ำพบบางพลัดให้ขัดขวาง
ถึงทุกข์ใครได้แค้นสักแสนปางไม่เหมือนอย่างทุกข์พี่ครั้งนี้เลย
จะเหลียวกลับลับน้องไม่มองเห็นยิ่งเยือกเย็นในอุรานิจจาเอ๋ย
หนาวน้ำค้างพร่างพรายพระพายเชยคิดถึงเคยแนบเนื้อเหลืออาลัย ฯ
             

๏ ถึงบางซื่อชื่อเพราะเสนาะพริ้งจะซื่อจริงเหมือนกะชื่อฤๅไฉน
แต่ชื่อบางอย่างจะเห็นไม่เป็นไรเว้นแต่ใจของมนุษย์ฉันสุดแล
มีแต่ชื่อซื่อตรงให้หลงรักใจนั้นมักคดคิดปกปิดแผล
ที่หงิมหงิมยิ้มแผยะแปะแปะแบแม้หยิบแต่ละอันมันไม่วาย
เหมือนตัวน้องของฉันทุกวันนี้ได้พาทีไว้กะปากก็มากหลาย
จะสัตย์ซื่อฤๅจะกลับให้อับอายสุดจะหมายจิตหวังว่ายั่งยืน
ถึงบางซ่อนซ่อนอะไรขอไต่ถามไม่บอกความเรื่องระหัสเฝ้าขัดขืน
เหมือนน้องรักรักฉันต่างกลั้นกลืนซ่อนคนอื่นมิให้อึงคะนึงไป
อันซ่อนอื่นหมื่นพันฉันไม่ว่าขออย่าซ่อนความกลทนไม่ไหว
ยิ่งซ่อนเงื่อนเอื้อนอำแล้วช้ำใจจะแก้ไขพันผูกไม่ถูกเลย
เหมือนโฉมฉนกินรีศรีสมรหล่อนงามงอนเหลือดีเจ้าพี่เอ๋ย
ทำรักซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนไม่เคยพี่หลงเชยหมายจะแน่ไม่แปรปรวน
เมื่ออยู่วังยังแอบมาแนบเคล้าเดี๋ยวนี้เจ้าจืดจางห่างสงวน
ไปอยู่อื่นคืนครองเป็นของควรนี่ฤๅนวลว่าจะรักประจักษ์จริง
ไม่มีผิดพบพักตร์ยังควักค้อนให้เรียมร้อนใจระริกเหมือนพริกขิง
นิจจาเอ๋ยเคยจรมาวอนวิงยังทอดทิ้งทำเล่นไม่เห็นงาม ฯ
๏ แลเห็นวักสร้อยทองมองชม้อยหมายว่าสร้อยทองประดับไว้วับหวาม
ไม่เหมือนสายสร้อยทองของนงรามชมแต่นามวัดเปล่าเศร้าอุรา
ถึงบางเขนอกใจให้ไหลเลื่อนคิดถึงเพื่อนพูเอกเมขลา
เจ้าจากวังจากพี่หลายปีมาได้ภรรดาบางเขนเป็นแดนเกลอ
ข่าวว่าผัววายปราณโอ้ป่านนี้จะอยู่นี่ฤๅจะไปข้างไหนเหนอ
พี่ผันแปรและเลอะไม่เจอะเจอจะแก้เก้อแก้เผ็ดให้เข็ดมือ
ไม่เห็นนวลหวนถึงนุชสุดสงสารมาถึงบ้านตลาดแก้วเข้าแล้วฤๅ
ไม่เห็นแก้วแววฟ้าจะหารือว่าจะซื้อสิ่งใดไปไว้ชม
นิจจาเอ๋ยเคยอยู่เคยดูเล่นเวลาเย็นเจ้าไปจ่ายท้ายสนม
ได้พบหน้าตาชม้ายดูคายคมเคยหยุดร่มเฟี้ยมแฝงกำแพงเมือง
ได้ตอบคำสำนวนแล้วสรวลสันต์ทั้งหอมจันทน์เจือประทิ่นขมิ้นเหลือง
โอ้แสนยากจากกรุงที่รุ่งเรืองมาดูเครื่องตลาดแก้วไม่แผ้วตา
ยิ่งดึกดื่นโดยดิ้นถวิลหวังดูสองฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
น้ำค้างชุ่มพุ่มพวงดวงผกาพระพายพาหอมหวนมารวนรวย
เหมือนหนึ่งเนื้อเจือประทิ่นกลิ่นตระหลบสไบอบร่ำโรยโหยระหวย
โอ้เคยหอมถนอมชมเมื่อลมชวยแสนระทวยระทดถึงคำนึงนวล
แม้มาด้วยจะได้วอนให้หล่อนว่าสักรวาดอกสร้อยละห้อยหวน
ให้หอมเนื้อเจือจันทน์ที่รัญจวนจะชักชวนเชยชิมอิ่มกมล
สุดเสียแล้วแก้วตาไม่มาด้วยใครจะช่วยปฏิบัติเห็นขัดสน
เจ้างามรื่นชื่นใจของคนจนมาวายยลวายชื่นสะอื้นโอย
ไม่หลับไหลไสยาสน์อนาถเหลือหาเพื่อนเรือก็ไม่ได้ยิ่งไห้โหย
เขาแจวจรอ่อนจิตดูอิดโรยฤดูโดยน้ำลงกะพงแรง
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจฤทัยทอดจึ่งให้จอดแอบบังเข้าฝั่งแฝง
เขาเหนื่อยอ่อนนอนรายหงายตะแคงจนสิ้นแสงจันทร์ดับลับอัมพร
เสียงเรไรไก่ขันจักจั่นแจ้วให้แว่วแว่วว่าเสียงสำเนียงสมร
จนแสงทองส่องสีรวีวรเด็กยังนอนทนเนื้อเป็นเหยื่อยุง
ปลุกให้ตื่นฟื้นพลางแล้วล้างหน้าคนหนึ่งหาไฟก่อตั้งหม้อหุง
ให้ออกเรือรีบไปยังไกลกรุงเห็นหมอฟุ้งฝั่งชลดูวนเวียน
ชมพฤกษาหน้าฤดูก็ชูช่อทุกก้านกอกิ่งใบเหมือนไม้เขียน
เห็นรักต้อนหล่นกลาดดูดาษเดียรคิดถึงเพียรผูกรักอยู่ปลักปลอม
ครั้นผลิดอกออกผลหล่นไปอื่นแต้กล้ำกลืนกรมใจจนไผ่ผอม
กลับเป็นเตยหนามหนาระอาออมจนหายหอมแห้งกรอบทุกดอกดวง
เสียดายด้วนดอกฟ้ามณฑาทิพย์มาลอยลิบแล้วก็กลับไปลับสรวง
หอมละห้อยลอยฟ้ามายาทรวงเหมือนล่อลวงภุมรินให้บินโบย
โอ้ยี่สุานจัณจันทน์อำพันเอ๋ยเคยชื่นเชยชักชวนให้หวนโหย
ยังหอมหวนทวนลมมาชมโชยช่างรีบโรยร้างรักหักอาลัย
ไม่มีเยื่อเหลือหลอสักกอกิ่งมาทอดทิ้งภุมราน้ำตาไหล
แต่ดอกสละระกำที่ช้ำใจไม่ใกล้ไกลเตร็ดเตร่ทุกเวลา ฯ
๏ มาถึงบ้านตลาดขวัญสำคัญแน่มีเรือแพเรียงรันน่าหรรษา
ขายผ้าแพรผ้าลายพะพรายตาคิดขาวม้านวลลออเจ้าทอฟืม
แล้วชุบหอมย้อมเปลี่ยนแพรเลี่ยนหลินยังหอมกลิ่นชวนฉมน่าดมดื่ม
เมื่อขวัญตามาตลาดคาดจะยืมก็หลงลืมเสียมิทันเมื่อวันมา
เวลาด่วนจวนมาถึงหน้าวัดเขาจอดจัดเพียญชนังแลมังสา
เสร็จรับประทานเอมโอชโภชนาดูแม่ค้าชาวสวนล้วนขาวเนื้อ
คอนเรือรายกรายใกล้มาให้เห็นดูเครื่องเล่นโตใหญ่วิไลเหลือ
บ้างจอดเทียบเลียบเคียงมาเรียงเรือทำฟั่นเฝืออยากจะขายชม้ายมอง
พวกเด็กเราเฝ้าเคาะหัวเราะร่าเขาพูดจาแต่อุบายจะขายของ
ทุเรียนฉันมีชื่อเชิญซื้อลองกลัวจะต้องติดใจเวียนไปมา
พี่ฟังคำจำสนองเพราะต้องหูฉันชอบพูโยใหญ่เนื้อในหนา
แม้พูลีบตีบแกนแสนระอาเป็นปลาร้าแล้วกระดากไม่อยากเชย
เขาจึงว่าถ้ากระนั้นฉันไม่ขืนถึงจะคืนก็ไม่ว่าเจ้าข้าเอ๋ย
ไม่ดูเนื้อดูหนังเขาบ้างเลยฤๅนายเคยแต่จะอมขนมปลากริม
ฉันตอบว่าหนาเนื้อไม่เชื่อดอกด้วยภายนอกฉันดูเห็นพูหลิม
ถ้ากระนั้นฉันไม่ต่อจะขอชิมเขาแย้มยิ้มเยื้อนแก้เป็นแง่งอน
ฉันกลัวสางบางกอกมาหลอกลิ้มนายเคยชิมก็ไปชมขนมบ่อน
อันของสวนล้วนฦๅชื่อขจรจะชิมก่อนนั้นนะนายอย่าหมายอม
ฉันสุดแก้แพ้มือต้องซื้อเขาพวกเด็กเราเริงร่าฮาประสม
เกี้ยวแม่ค้าพาทีตีคารมพอวายตรมตรอมทุกข์สนุกครัน
กษัตริย์บ้านเมืองดีกระนี้ฤๅมิให้ชื่อชลมารถตลาดขวัญ
ออกนาวาอาลัยรีบไปพลันดูตะวันหมดเมฆวิเวกโพยม
หอมดอกไม้ในสวนให้ชวนชื่นรวยระรื่นรินรินเหมือนกลิ่นโฉม
โอ้ยามนี้มิได้กลิ่นประทินชโลมมาทราบโทรมแต่บุปผาสุมาลี
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองเคล้าดอกไม้เศร้าเหมือนกะน้องแม่หมองศรี
เห็นจากต้นปนสละสุดทวีเหมือนตัวพี่จากละสละไกล
เห็นโศกแซมแกมระกำช้ำละห้อยยิ่งโศกสร้อยอุราน้ำตาไหล
โอ้โศกต้นไม่วิโยคเหมือนโศกใจระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำมา ฯ
             

๏ ถึงบ้านบางธรณีไม่มีชื่นโอ้ภาคพื้นแผ่นไผทก็ใหญ่หนา
เรายามจนอ้นอั้นเหลือปัญญาสุดจะอาศัยดินสิ้นทั้งปวง
ถึงภาษีตีฆ้องร้องเอิกเกริกจะคอยเบิกของไปเข้าในหลวง
พี่ทุกข์โศกโรครักเหลือตักตวงอยู่ในทรวงพี่จะเพิกไม่เบิกเลย
ทั้งด่านดักกักเรือไว้เหลือแหล่เขาแลแลดูเราแล้วเขาเฉย
เหมือนจะรู้ดูใจว่าไม่เสบยโอ้อกเอ๋ยอายจิตอนิจจา
เข้าคลองเกร็ดเกร็ดตรองให้หมองจิตเหมือนไร้มิตรเตร็ดเตร่ร่อนเร่หา
เห็นมอญนุ่งถุงเดินดำเนินมาดูยวนตาแลโปร่งกว่าโจงกระเบน
โอ้รามัญนั้นก็งามไปตามเขามีเรือนเหย้าวัดวามหาเถร
จนออกจากปากคลองพอน้องเพลดูไม้เอนอ่อนระงมด้วยลมปลิว
ทั้งสามชายท้ายหน้าอัชฌาสัยเขาคลี่ใบกางเรื่อยแล่นเฉื่อยฉิว
ดูเพื่อนเรือเหนือใต้ไปเป็นทิวบ้างก็ผิวปากพร้องร้องระงม
พอน้ำใหญ่ไหลหลั่งขึ้นบ้างแล้วเขาหยุดแจวพูดจ้อหัวร่อขรม
เรือเป็ดสามแจวเพรียวดูเกลียวกลมได้น้ำลมแล่นเหลือจนเรือเอียง ฯ
๏ ถึงบางพูดพี่แลเห็นแต่ตลิ่งไม่พูดจริงเหมือนกะฦๅซึ่งชื่อเสียง
ไม่เหมือนน้องพร้องเสนาะเพราะสำเนียงทั้งกลมเกลี้ยงฉ่ำชื่นเหมือนกลืนเดือน
แต่จริงจังยังไม่ได้พิสูจน์จะเหมือนพูดกันไว้ฤๅไม่เหมือน
ด้วยเคยเห็นเช่นจริตมักบิดเบือนแม้เล่นเพื่อนพูดหลงแล้วคงเลว
ด้วยมนุษย์พูดกันทุกวันนี้ไม่มีที่ยึดหน่วงเหมือนห้วงเหว
ไม่มีรสหมดเนื้อเหลือแต่เปลวพูดเหลวเหลวมีมากไม่อยากฟัง
แต่รักกันสัญญาสารพัดยังทิ้งสัตย์เสียไพล่ไปใช้ถัง
เมื่อต่อหน้าว่าดีไม่มีชังไปลับหลังแล้วก็ว่าสารพัน
เคยพบเห็นเช่นนี้มีมามากพูดเขายากยอมกลัวแล้วตัวฉัน
แต่พระนอนวัดโพธิ์โตไม่บันคนทุกวันเขายังอมละลมละลาย ฯ
๏ ถึงบางพังพังจำเพาะน้ำเซาะตลิ่งทรวงพี่ยิ่งกว่าฝั่งพังสลาย
ด้วยโศกเซาะเราะอุรังซังกะตายมาถึงท้ายย่านทางบางโควัด
โอ้โคทรงองค์ศุลีนี่ฤๅหนอฉันจะขอพรพระองค์ทรงสวัสดิ์
ไม่เห็นเคลื่อนเลื่อนโพยมโทมนัสเห็นแต่มัดอ้อยสล้างเขาวางราย
โอ้อ้อยเอ๋ยเคยกลืนชื่นคอหอยหวานอร่อยรสชาติประหลาดหลาย
ข้างต้นหวานพานจะชืดไปจืดปลายเหมือนหญิงชายใจจางหมางอารมณ์
เมื่อแรกรักน้ำผักก็ว่าหวานครั้นเนิ่นนานน้ำอ้อยก็กร่อยขม
เหมือนคำพาลหวานนักมักเป็นลมแต่เขาชมกันว่าดีนี่กระไร
บอระเพ็ดนั้นเป็นยารักษาโรคแต่ความโลกเขาว่าขมหาชมไม่
เหมือนคนซื่อพูดจาประสาใจไม่มีใครชมปากมิอยากยิน
เหมือนตัวเราเล่าก็วาสนาน้อยจะกล่าวถ้อยท่านบเชื่อเหลือถวิล
จะตกปลาปลาไซร้ก็ไม่กินเพราะว่าชิ้นเหยื่อประกอบไม่ชอบปลา ฯ
๏ ถึงบ้านใหม่ใครเล่าเป็นเจ้าของเขาตรึกตรองหาใหม่ยังได้หนา
แต่เราหนอทรมานก็นานมาจะตรองหาบ้านใหม่ไม่ได้เลย
โอ้บุญน้อยน้อยน่าน้ำตาตกสงสารอกอนาโถพุทโธ่เอ๋ย
มาถึงโคกช้าพลูไม่สู้เสบยพี่แหงนเงยดูโคกยิ่งโศกใจ
หมายว่ามีช้าพลูดูก็เปล่าเห็นแค่เค้าโคกหญ้าน้ำตาไหล
เหมือนแนะนำน้ำจิตให้คิดไปเหลืออาลัยลับโคกยิ่งโศกทรวง
ถึงบางหลวงเชิงรากยิ่งยากนักเหมือนราครักรึงใจเป็นใหญ่หลวง
นึกถึงเล่ห์เสนหาสุดาดวงเชิงเจ้าล่วงรู้ใจพี่ในเชิง
ตะวันแจ๊ดแดดจัดกำดัดร้อนทินกรบ่ายคล้อยดูลอยเหลิง
โอ้ร้อนไฟไหม้กลับยังดับเพลิงแต่ร้อนเริงราคขับไม่ดับลง ฯ
๏ ถึงสามโคกโคกใครที่ไหนนี่ถึงสามสี่แสนละโมบด้วยโลภหลง
แต่โคกเดียวเจียวนะเราเฝ้าจำนงสุดประสงค์ที่จะเสาะเที่ยวเกาะกุม
อันชื่อสามโคกนี้มีแต่ก่อนประชากรเก็บบัวมามั่วสุม
จึงเปลี่ยนชื่อฦๅเลื่องเมืองปทุมเพราะบัวชุมเดือนสิบเอ็ดเสด็จมา
แต่ก่อนนี้เล่าก็มีอยู่บ่อยบ่อยเดี๋ยวนี้คอยดูเล่นไม่เห็นหนา
โอ้เยี่ยงอย่างปางหลังแล้วยังซาวาสนาจะมิตกเล่าอกเรา
นามปทุมคิดปทุมที่พุ่มถันแต่ละอันเต่งลออเหมือนหล่อเหลา
นิจจาเอ๋ยเคยพึ่งเจ้าคลึงเคล้ามาจากเจ้าพุ่มพวงเพียงทรวงฟก
๏ ถึงบ้านงิ้วหวิวจิตให้คิดขามแต่เห็นหนามเข้าประเดี๋ยวยังเสียวอก
ให้พรั่นใจไหวหวิวถึงงิ้วนรกแม้นไปตกแล้วก็หนามคงตำตีน
เพราะรูปาวจรหล่อนทำเข็ญใครเกิดเป็นบุรุษวิสุทธิ์ศีล
เห็นสาวสาวเข้าไม่ได้เหมือนใจจีนจะพ้นปีนงิ้วนี้สักกี่คน
อันห้ามอื่นหมื่นมากพอหากห้ามแต่ห้ามความปฏิพัทธ์เห็นขัดสน
แต่ก่อนนั้นเราก็พานจะซุกซนยังจะพ้นฤๅไฉนไม่รู้เลย ฯ
             

๏ บางกระบือรื้อคะนึงถึงกาสรมาต้องตอนเวทนานิจจาเอ๋ย
ถ้าเราขืนตื่นอยากมักมากเชยจะต้องเสวยทุกข์บ้างเหมือนอย่างควาย
อันกาเมสุมิจฉานี้สาหัสจะฝากวัดไว้กะพระสละถวาย
อันคู่เขาเราหนอไม่ขอกรายแต่แม่ม่ายจำจะคิดสิทธิ์แก่ตัว
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลับลมอับแล้วเขาจับแจวจ้วงกรายทั้งท้ายหัว
ต่างพูดจาฮากันสนั่นนัวแต่พี่มัวหมองช้ำระกำกาย
ถึงมามากจากเจ้าแล้วเปล่าเปลี่ยวเหมือนมาเดียวดั่งจะให้น้ำใจหาย
โอ้ยามเข็ญแลเห็นแต่เพื่อนชายแม่เพื่อนตายมิได้มาอานุกูล
ที่เคยชื่นเคยชมกลับกรมทุกข์ที่เคยสุขเคยสบายก็หายสูญ
ถึงเกาะใหญ่ในอุราพี่อาดูรเป็นเกาะพูนขึ้นเพราะดินนั้นภิญโญ
จนพฤกษาคากกขึ้นรกที่เหมือนทรวงพี่เกิดรักขึ้นอักโข
จนทุกข์โศกโรคภัยเกิดใหญ่โตหัวอกโอ้เหลือจะรับอัประมาณ
ยิ่งครวญคร่ำร่ำมาในนาเวศจนสุดเขตเกาะใหญ่อันไพศาล
พอได้ลมระดมแล่นแสนสำราญถึงบ้านลานเทถวิลในวิญญาณ์
โอ้ลายเอ๋ยเคยเทอย่าเหหันวานช่วยเททุกข์ฉันสักหน่อยหนา
ด้วยนางเททอดใจอาลัยมาเหลืออุราแล้วจึงวานบ้านลานเท
เห็นลานเฉยพี่ก็เลยลานถวิลฤดีดิ้นแดรนระหนระเห
แม่น้ำกว้างว้างวุ้งทุ่งทำเลเหลือคะเนแลหมายสุดสายตา
หัวอกโอ้อ้างว้างมาทางเปลี่ยวจะแลเหลียวลิบลิ่วทิวพฤกษา
แสนกันดารบ้านช่องล้วนท้องนาทั้งกุมภิลาพาลจะร้ายในสายชล
จนชาวเรือเหลือระอาที่ค้าขายทั้งผู้ร้ายเร้นแฝงทุกแห่งหน
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยนเห็นหมอมนเวหาดูน่ากลัว
ฝูงปักษาพาเพื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้มนกตะกรุมหัวล้านประจานหัว
อีโก้งกางยางกรอกนกดอกบัวกระเต็นกระตั้วบินเตี้ยเรี่ยเรี่ยดิน
ช้อนหอยหาปลามองตามท้องทุ่งนกกระทุงลอยแพกระแสสินธุ์
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากินบ้างโบกบินคาบเหยื่อไปเผื่อเมีย
โอ้ตัวเราเล่าก็อกเหมือนนกผู้ถ้าคงคู่แล้วก็คงจะส่งเสีย
น่าอายนกอกใจเหมือนไฟเลียจะได้เคลียคลอนางเมื่อปางใด
พระสุริยงเย็นระย่อลงยอแสงดูฟ้าแดงดั่งจะพาเลือดตาไหล
ค่อยคล้อยคล้อยลอยต่ำลงรำไรเหมือนอาลัยโลกาจะลาจร
แต่ใจนางปางจะหน่ายกระไรนักมาร้างรักรีบรุดจนหลุดถอน
ไม่รอรั้งสั่งใจอาลัยวอนให้เร่าร้อนใจเจ็บทั้งเหน็บแนม
เสียดายเหลือเรื้อรังไปทั้งหมดต้องแรมรสรักรามาป่าแขม
ฟ้าสลัวมัวมนเป็นฝนแกมพอเลี้ยวแหลมบางไทรก็ใจมา
ไทรนี้ฤๅคือเทพยสิงสู่ที่อุ้มชูอนิรุทธสมอุสสา
ช่วยอุ้มพาข้าไปชมสมสุดาพอดับอาดูรฉันให้บรรเทา
วอนเทพใดเทพไทไม่รับขวัญฤๅเห็นฉันอนาถายิ่งกว่าเขา
แต่น้ำตาข้าไหลก็ไม่เบาพอสรงเท้าท่านให้สร่างสว่างแด
พิไรทางพลางแลตลิ่งข้ามเป็นสองง่ามสงแยกฉะแวกแฉว
แม่น้ำเดียวเจียวยังต้องเป็นสองแควใจมนุษย์ฤๅจะแน่เป็นหนึ่งใจ
จึงเจ็บอกฟกช้ำระยำยอกล้วนนมหลอกล่อหลงให้สงสัย
เห็นฝนชอุ่มคลุ้มคล้ำช้ำฤทัยนภาลัยแล่นแลบวะแวบแวว
เพื่อนเรือด่วนชวนกันกันเข้าฝั่งจอดที่บังลมต้องเป็นถ่องแถว
พอเรือเราเข้าจอดเขาถอดแจวไม่ทันแล้วฝนลมระดมกราว
บ้างลงหลักชักขยาบขึ้นทาบพาดพิรุณสาดแสนเข็ญยิ่งเย็นหนาว
ดูเมฆมัวทั่วทิศมิดเดือนดาวมาปะคราวเคราะห์กรรมจะทำกระไร
เห็นฟ้าคลุ้มพี่ยิ่งกลุ้มในทรวงอกเห็นฝนตกก็ยิ่งพาน้ำตาไหล
เสียงฟ้าครวญพี่ยิ่งครวญป่วนฤทัยทั้งหนาวใจหนาวฝนเหลือทนจริง
ถึงจะระดมห่มนวมฤๅสวมเสื้อไม่อุ่นเนื้อเหมือนหนึ่งกอดแม่ยอดหญิง
มาไกลต้องต้องนอนกับหมอนอิงมิได้พิงพึ่งนางให้หมางมัว
พอฝนฟ้าซาเม็ดสักเจ็ดทุ่มเดือนยังคลุ้มมิใคร่สุกขมุกขมัว
ทั้งเพื่อนเรือเขาจะไปเขาไม่กลัวต่างแต่งตัวเคลื่อนคล้านาวาเมื้อ
มีเพื่อนสองลำพอได้คลอเคล้าสงัดเหงาเงียบทั่วน่ากลัวเหลือ
ทั้งเงาไผ่พุ่มไม้ออกครุมเครือเห็นแต่เรืออ้ายขโมยเที่ยวโชยชาย
ข้างพวกเราเพื่อนเรือก็เหลือพรั่นแต่ตัวฉันภาวนาให้ซาหาย
ผลเดชเมตตารักษากายมันผันผายไปเงียบไม่เลียบเคียง
ฟังเสียงเอียดเขียดกบมันขบเคี้ยวกระกรอดเกรี้ยวกรีดกราดไม่ขาดเสียง
เหมือนรุกรุยรุงรังที่วังเวียงทำสำเนียงหวาดหวีดดิ้นดีดดี
ที่กิ่งไม้เรไรระหริ่งเรื่อยจักจั่นเจื้อยจังหรีดดังดีดสี
โอ้ยามเฟือนเหมือนกะฟังดั่งดนตรีกล่อมฤดีตามประสาเวลาจน
ที่ไม้เรียงเสียงบุหรงพะวงหวาดในอากาศกระเรียนร้องกึกก้องหน
แว่วสำเนียงว่าเสียงนฤมลโอ้ลมบนหอบมาฤๅว่ากระไร
ครั้นฟังไปใช่เสียงสำเนียงน้องยิ่งมัวหมองวายวับไม่หลับไหล
ถึงเกาะเกิดเกิดขวางหนทางไปโอ้ไฉนจึงจำเพาะเป็นเกาะกลาง
คิดถึงรักหนักหน่วงเพียงทรวงซ้ำจนเกิดกรรมเกิดเคราะห์เหมือนเกาะขวาง
มิได้แอบแนบประคองกับน้องนางต้องแรมทางถึงทวาราวดี
พอเมฆเกลื่อนเดือนหงายดูฉายช่วงคิดถึงดวงพักตรานราศรี
ผ่องประไพไฝฝ้าไม่ราคีเดือนยังมีเงากระต่ายอยู่พรายพร้อย
โอ้กระต่ายหมายบุหลันถึงชั้นฟ้าจันทร์ยังว่ามีกะจิตให้ติดสอย
สู้รับเงาเข้าผนิดติดเป็นรอยมิให้น้อยใจกระต่ายที่หมายเชย
แต่ใจมนุษย์สุดดำด้วยน้ำรักเห็นต่ำศักดิ์แล้วก็เบือนทำเชือนเฉย
ให้เจ็บช้ำคำประเทียบนั้นเปรียบเปรยไม่สิ้นเลยลมลวงให้ง่วงงม
โอ้ใจจือมืดเหมือนเดือนพยับทำลับลับแล้วก็ล่อเล่นพอถล่ม
เสาวคนธ์มณฑายอดยาดมไม่ลอยลมลิ่วฟ้าลงมาเลย
ส่งแต่กลิ่นรินรื่นทุกคืนค่ำให้ระกำโลกานิจจาเอ๋ย
แมงภู่ผอมตรอมใจไม่เสบยมิได้เชยดอกฟ้าที่ยาใจ
แสนวิตกด้วยเจ้านกกะลิงพี่โอ้ป่านนี้ขวัญอ่อนจะนอนไหน
ฤๅลมพัดซัดนกไปตกไกลชมมิ่งไม้ป่าเขาลำเนาเนิน
น้ำค้างพรมลมว่าวจะหนาวอกสงสารนกร่างน้อยเที่ยวลอยเหิน
ฤๅได้เพื่อนเยือนกอดจะพลอดเพลินไม่เห็นเกริ่นกลับหลังมารังเลย
เคยซับทราบอาบละอองที่ผ่องแผ้วลืมเสียแล้วฤๅกะลิงจึงนิ่งเฉย
เรียมถวิลกินใจไม่เสบยคิดถึงเคยเสนหาน้ำตาคลอ
มาสุดเกาะก็จำเพาะน้ำลงเชี่ยวคนแจวเหนี่ยวเหนื่อยใจกระไรหนอ
ทั้งเพื่อนเรือเหลือระอาต่างรารอจอดเข้าพอพักผ่อนที่อ่อนโรย
จนดาวเดือนเคลื่อนดับลงลับเมฆยิ่งวิเวกมัวมนกระหนโหย
เสียงเค้ากู่ภูระโดกโหวกโหวกโวยพระพายโชยเฉื่อนหนาวกระส่าวซึม
ดูทุ่งทางกว้างซึ้งยิ่งลึงโลดเสียงโขมดนางไม้ให้กระหึม
ตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ดูครึกครึ้มสงัดงึมเหงาใจไม่สบาย
จนจวนรุ่งรางรางน้ำค้างหยาดบุปผชาติชื่นแช่มแย้มขยาย
หอมผกาเกสรขจรขจายเหมือนหล่อนสายสมรมิตรแม่ติดมา
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่นมาหอมรื่นแต่ลำดวนยิ่งหวนหา
ให้วาบวับจับใจเมื่อไสยาหนาวน้ำฟ้าเย็นเนื้อจนเหลือทน
สกุโณโกกิลากาไก่แก้วจะเจื้อยแจ้วขานขันสนั่นหน
จนแสงทองส่องสางสว่างบนพระสุริยนแย้มเยี่ยมโพยมมาน
ต่างก็ออกนาวาเวลารุ่งเขารีบหุงเสร็จหากระยาหาร
แต่ฉันหนอคอแค้นแสนสำราญจะรับประทานแต่ละคำต้องน้ำเจือ
คิดถึงเจ้าเคี้ยวข้าวก็เป็นแป้งเคี้ยวปลาแห้งก็เป็นผงลุ่มหลงเหลือ
แม้ได้เจ้าดวงใจมาในเรือข้าวกับเกลือก็จะกลืนไม่ขื่นเค็ม
สงสารเจ้าเยาวมาลย์โอ้ป่านนี้จะม้วนบุหรี่ฤๅจะเย็บตะเข็บเข็ม
จะจีบพลูเจียนตองสอดซองเต็มฤๅจะเล็มเลือกหามาลากรอง
ฤๅจะอ่านสารศรีที่พี่ให้ฤๅดวงใจคิดเพียรเขียนสนอง
จะอบน้ำฤๅจะทำประทิ่นทองฤๅนวลน้องนอนนั่งตั้งคะนึง
โอ้บุญเหลือเนื้อทองแม่น้องแก้วจะรู้แล้วฤๅว่าจิตพี่คิดถึง
มิตรจิตขอให้มิตรใจตรึงให้เหมือนหนึ่งน้ำฟ้ามายาทรวง ฯ
             

๏ ถึงเกาะบางนางอินถวิลหวังเป็นที่วังงดงามอารามหลวง
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาดวงทรงผลพวงมาลีน่าปรีดิ์เปรม
มีทั้งสระปทุมาชลาสินธุ์เหมือนมุจลินท์ที่ลงแห่งหงส์เหม
แมลงภู่หมู่ภมรประอรเอมโสรจเกษมเสาวมาลย์เบิกบานผจง
ฝูกปักษากาแกก็แซ่เสียงทำรังเรียงรุกข์ร่มชมรมระหง
เห็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนเจ้าร่อนลงเหมือนอนงค์ทาประทิ่นขมิ้นนวล
เห็นโนรีนกสีชมพูแผดเหมือนสีแสดนุชย้อมทั้งหอมหวน
เห็นนกแก้วจับแก้วแจ้วจรรจวนเหมือนสำนวนน้องแก้วแจ้วเจรจา
จากพรากเหมือนพี่จากสมรแม่กระสาแซ่เหมือนกะฉันกระสันหา
เห็นนกฝูงข้ามฝั่งไปกลางนาพี่โศกาก่นดั่งร้องสั่งตาม
ว่านกเอ๋ยเจ้าจะบินไปถิ่นไหนขอเชิญไปถึงอนงค์หล่อนคงถาม
จงบอกมิตรขนิษฐาพะงางามให้ทราบความนะว่าเรียมนี้เตรียมตรม
นกไปหน่อยแล้วก็ลอยมากลางหาวไม่บอกข่าวเรื่องความเจ้างามสม
เรียมยิ่งแสนแค้นในฤทัยระทมให้ปรารมภ์ถึงสมรยิ่งร้อนแรง ฯ
๏ ถึงเกาะพระไม่เห็นพระเป็นไฉนพระจึงไม่แย้มเยี่ยมเผ้าเฟี้ยมแฝง
เห็นแต่ไร่ใบผักแลฟักแฟงทั้งเต้าแตงพริกมะเขือดูเหลือตรา
นางสาวสาวเจ้าของเขาร้องขายพูดไม่อายอือเออกะเหนอกะหนา
พี่พิศดูสาวสาวพวกชาวนาดูหน้าตาดำด่อนไม่อ่อนโยน
แต่ทาสีที่ในวังรังกะตุ๋ยยังหอมฉุยโฉมสะอาดดูผาดโผน
แต่พวกเราเขาว่าประสาโลนดำเหมือนโคลนก็ไม่ว่าดอกหนาเรา
ตำราจีนเขาว่ากินซึ่งปลายอ้อยยังอร่อยมากมากกว่าปากเปล่า
ถึงรูปชั่วตัวดำก็ทำเนาเหมือนอดข้าวกินมันพอกันตาย ฯ
๏ ถึงบ้านมอญก่อนเกาะตะเภาล่มเภตราจมอยู่ในแควกระแสสาย
โอ้ว่าเรือเหลือประทังกำลังกายต้องทำลายล่มลงในคงคา
อันตัวเราเล่าก็เหลือเหมือนเรือเพียบมาเหงาเงียบโดยประดาษพาสนา
นับจะจมล่มชื่อไม่ฦๅชาสุดจะกู้แก้หน้าให้นวลพราย
เหลือบเขม้นเห็นผลต้นมะกล่ำฉันนี้คำนึงไปแล้วใจหาย
นิสัยปราชญ์ชาติเชื้อปรีชาชายย่อมมาดหมายมอบตนกับคนดี
แม้เอาเทียบเปรียบพาลสันดานเขลาย่อมโศกเศร้าสารพัดจะบัดสี
เหมือนน้ำเนื้อนพมาศชาติชาตรีถึงใครตีด้วยฆ้องประคองดัง
ไม่เจ็บเท่าเอาเปรียบเทียบมะกล่ำปราชญ์จึงทำกิริยาเหมือนบ้าหลัง
แม้ท่านที่มีพระคุณจะกรุณังขออย่าชั่งกับมะกล่ำให้ช้ำใจ
พอเรือมาหน้าโบสถ์วัดโปรดสัตว์เห็นพุทธรัตนยอกรขึ้นวอนไหว้
โอ้ตูข้าสารพัดจะขัดในขอโปรดให้ฟื้นบ้างเถิดครั้งนี้ ฯ
๏ ถึงตะเกี่ยก่อนเก่าฟังเขาว่าว่าศาสนาพวกตะเกี่ยเดียรถีย์
เขาทำบุญของเขาเข้ากระฎีแม้ถูกที่พวกพ้องพี่น้องกัน
ย่อมปรีดาปราโมทย์พระโปรดช่วยถึงมอดม้วยก็คงได้ไปสวรรค์
ศาสนาผาสุกสนุกครันให้ผลทันใจอยากไม่ยากเย็น
จะจริงจังอย่างไรไฉนหนาเขาเล่ามาเล่าก็มากนึกอยากเห็น
แม้อย่างเราเขาจะให้เข้าไปเป็นจะทำเช่นนั้นกระดากเห็นยากใจ
มาเข้าช่องคลองตะเคียนเจียนฉงนไม่เห็นต้นตะเคียนมีอยู่ที่ไหน
หมายจะบวงสรวงสางแม่นางไม้ให้ช่วยไปเชิญขวัญกัลยา
มาร่วมเขนยเชิยชิมให้อิ่มรักไม่พบพักตร์นางไม้พิไรหา
เห็นแต่แขกแปลกชาติอนาถตาส่งภาษาแสบหูไม่รู้ความ
มาออกจากปากคลองตะเคียนแล้วยิ่งไกลแก้วกลอยใจฤทัยหวาม
ถึงสวนมะม่วงเห็นมะม่วงเป็นพวงงามที่หอมห่ามมดแดงเข้าแฝงตอม
ไม่รู้รสมดเอ๋ยมาเชยเฝ้าแต่รักเขาข้างเดียวเทียวถนอม
เหมือนชายเฉาเฝ้ารสจนอดออมเขามิยอมก็ยังวอนชะอ้อนคำ
เหมือนเราไซร้ใครฤๅเขาถือศักดิ์ถึงแสนรักก็ไม่รอที่ตอคร่ำ
ถ้าใครรักรักตอบให้ชอบธรรมไม่ขอช้ำใจเป็นเหมือนเช่นมด
พิไรพลางทางมุ่งดูกรุงเก่าให้แสนเศร้าโศกในฤทัยสลด
ดูภูมิฐานบ้านเมืองรุ่งเรืองยศควรฤๅลดลงเป็นป่าน่าเสียดาย
ดูวัดวาอารามงามสล้างบ้างรกร้างโรยราน่าใจหาย
เมื่อครั้งกรุงยังสนุกสุขสบายได้ยินฝ่ายผู้เฒ่าเขาเล่ามา
ว่าเศรษฐีมีทรัพย์ไม่นับได้สร้างวัดให้ลูกรักนั้นหนักหนา
ถ้าบุตรใครไม่มีซึ่งวัดวาไปเล่นอารามเขาเศร้าฤทัย
เจ้าของเขาเฝ้าเปรยเยาะเย้ยหยอกกลับมาบอกบิดาน้ำตาไหล
พ่อก็สร้างอารามให้ตามใจวัดจึงได้เกลื่อนกลาดดูดาษดา
อันเมืองนี้เล่าก็มีแม่น้ำรอบเป็นคูขอลเขื่อนขัณฑ์ก็หนั่นหนา
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ทุกองค์มาก็ย่อมปรากฏเดชทุกเขตแดน
แต่องค์หลังครั้งเมืองจะเคืองเข็ญเผอิญเป็นรักงามหลงห้ามแหน
ถ้าโปรดใครก็ประทานว่าการแทนจึ่งคับแค้นไพร่ฟ้าประชาชน
ไม่เลี้ยงดูผู้ทหารชาญฉลาดไปรดแต่ชาติพาลเผ่าเฉาฉงน
จนผู้ที่ปรีชาปัญญายลต่างเอาตนออกหากจากราชการ
ครั้นศึกพม่ามาประชิดติดกรุงศรีจึงไม่มีใครจะมาอาสาหาญ
เมืองจึงแตกแยกยับอัประมาณนึกสงสารคราน้ำตากระเด็น
ถ้าเจ้านายเลี้ยงชายปรีชากล้าอ้าหม่าไหนจะย่ำมาทำเข็ญ
แม้บ้านเมืองเฟื่องฟูยังอยู่เย็นเราก็เป็นชาวกรุงที่รุ่งเรือง
โอ้กรุงยับอัปราเป็นป่ารกเราก็ตกอับปางแทบคางเหลือง
ต้องจำจากรากเหง้าที่ชาวเมืองไปเป็นเครื่องชาวบางกอกเขาหลอกกิน
คิดถึงยามสำราญอยู่บ้านช่องเล่นเขาทองแล้วมิหนำซ้ำกฐิน
ออกไปอยู่กรุงเทพเสพเพชรนิลแต่ปัดหินก็มิใคร่จะได้ชม
อยากพากเพียรเรียนวิชาเอาหน้าชื่อเขากลับฤๅอนาถาก็สาสม
ไม่เจียมพุงกรุงเก่าโง่เง่างมจนตกตมเต็มมิดเหมือนติดดัง ฯ
             

๏ ถึงอารามงามล้ำเคยสำเหนียกเดิมนั้นเรียกธรรมาเหมือนว่าหวัง
คนมาเรียกธารมาดูน่าชังนึกก็สังเวชใจอาลัยตรอง
ถึงมาตรว่าอารามจะงามฤๅถ้าออกชื่อธารมาก็พาหมอง
เหมือนพากเพียรเรียนรู้ต่อครูครองดั่งเรือนทองเพชรประดับสำหรับใจ
แม้ชื่อเสียงเอียงอับใครนับถือถ้าออกชื่อเข้าก็หมองไม่ผ่องใส
จะจงรักภักดีนารีใดเขาก็ไม่รักแทนน่าแค้นเคือง
ถึงสามแยกแฉกแฉวไปแควเหนือแลลิ่วเหลือสุดหล้าดูฟ้าเหลือง
พอรามรามข้ามคล่องเข้าครองเมืองดูแน่นเนืองเรือแพออกแซ่เซ็ง
แต่ก่อนกว้างขวางดีเดี๋ยวนี้แคบต้องแจวแอบโดนดังกันปังเป้ง
โอ้หัวแหลมแหลมแต่ชื่อไม่ฦๅเลงไม่แหลมเก่งเหมือนกะว่านัยน์ตาค้อน
อันคมตามาเหน็บแล้วเจ็บนักดั่งศรปักทรวงฉุดไม่หลุดถอน
ถึงบ้านท่าหลวงนานึกอาวรณ์ด้วยปางก่อนรักใคร่เคยไปมา
ต้องแวะเยือนเหมือนกะท่านเป็นฉันญาติให้ยกถาดกระท้อนห่อไปต่อหน้า
หลายสิบผลคนธรสโอชาขึ้นไปหาให้ท่านโดยกันเอง
ท่านให้ก้านฟักทองสนองตอบยังนึกขอบใจเจาะด้วยเหมาะเหม็ง
นิสัยท่านนั้นก็รักข้างนักเลงพูดแต่เพลงกาพย์กลอนจนอ่อนระอา
พอพลบค่ำอำลาออกนาเวศอนาถเนตรนึกนวลให้หวนหา
ดูชาวแพชาวบ้านนานนานมาให้แปลกตามิรู้ว่าผู้ใด
ถึงแพผ้าหน้าแพก็แลเงียบค่อยลอยเลียบเลงหลงคิดสงสัย
ร้องเรียกผ้าข้าคนก็จนใจไม่มีใครขานรับอัประมาณ
แต่พี่น้องของเราเขาไม่รู้ยังซ้ำขู่ใครหนามาว่าขาน
คุณป้าขายให้กะข้ามาช้านานพอทราบสารแสบในน้ำใจเจือ
น้ำตาหลั่งพรั่งพรูเพราะรู้แน่ว่าพ่วงแพป้าขายเสียดายเหลือ
จึ่งให้ถอยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลำเรือไปแพเหนือรอราคอยหารือ
พอหลานเฟื่องเยื้องหน้าออกมาเห็นมองเขม้นถามว่าคุณอาหรือ
พอรับคำเขาก็ก้มพนมมือยังนับถือนอบไหว้ขอบใจครัน
แล้วร้องเกริ่นเชิญอาขึ้นมานี่ขอบไมตรีพจมานของหลานขวัญ
ฉันมีของสิ่งใดก็ให้ปันแล้วจึ่งฉันจรดลขึ้นบนแพ
เขาเล่าถึงคุณป้าน่าสงสารเพราะนางหลานชาติชั่วตัวตอแหล
ทิ้งป้าอยู่คนเดียวไม่เหลียวแลไปเล่นแต่โปถั่วทั้งผัวเมีย
ป้าจนจิตคิดขามเหลือห้ามหวงแทบแพพ่วงจะทลายต้องขายเสีย
แล้วหลบหลีกปลีกตัวไม่ปัวเปียกลัวนางเหี้ยซ่อนตนอยู่บนเรือน
ท่านบ่นหาคุณอาทุกเช้าค่ำฉันฟังคำเสียใจใครจะเหมือน
จึงวอนวานหลานขวัญโดยฟั่นเฟือนพาไปเยือนเยี่ยมป้าด้วยอาลัย
พอพบป้าอาดูรพูนเทวษแสนสมเพชประหนึ่งว่าน้ำตาไหล
ป้าเห็นฉันอัญชลีก็ดีใจพลางพิไรโศกศัลย์พรรณนา
ฉันนบนอบปลอบพลางทางคำนับหลานจะรับป้าไปเลี้ยงไม่เดียงสา
จะแทนคุณกว่าจะตายวายชีวามิให้ป้าอับอายระคายเคือง
ซึ่งหลานสาวเขาชั่วก็ตัวเขาป้าอย่าเฝ้าทุกข์ตรอมให้ผอมเหลือง
พูดแล้วลาป้าพลางค่อยย่างเยื้องแต่หลานเฟื่องฝากรักเฝ้าชักจูง
เสียงออกจ้าว่าอามาถึงบ้านล้วนน้องหลานนั่งเล่นอยู่เป็นฝูง
มันเห็นอาดุจกาเข้าแกมยูงศักดิ์มันสูงมิได้ทักแต่สักคน
ที่แก่เฒ่ากว่าเราก็ไม่เห็นนี่ล้วนเป็นหลานน้องยังพองขน
มันประมาทคาดหน้าว่าอาจนสู้นิ่งทนเดินมาตามหน้าโรง
ญาติเราฤๅถือตัวว่าบริสุทธิ์เป็นสัปปุรุษโด่งดังทั้งโขยง
เราคนเดียวเจียวเขาว่าเราโกงวิ่งตะโพงผ่าเหล่ามาเล่าเรียน
ที่จริงไซ้ใครซื่อฤๅมุสาเทพยดารู้หมดคงจดเขียน
ที่เขาถือซื่อตรงจำนงเนียรเห็นแต่เบียนมิตรญาติฉลาดดี
เอาเนื้อเขาเข้ามาเจือเป็นเนื้อตัวสู่ลูกผัวกินสบายไม่หน่ายหนี
ซ้ำเกิดเคราะห์เพราะพวกกาลกิณียุยงพี่ผู้ตายให้หน่ายเรา
คบคิดกันกลัวฉันเอามรดกไปโกหกมิให้ข้าขึ้นมาเผา
ยังน้าฉันอีกคนจนไม่เบามันฉ้อเอาทรัพย์ท่านจนบรรลัย
น้าแช่งชักหักกระดูกก็ถูกที่กรรมอันนี้มันจะล้างไปข้างไหน
จะร่ำเรื่องก็ขี้คร้านรำคาญใจโคของใครก็คงเข้าคอกเขาเอง ฯ
๏ แล้วลงเรือเหลือโศกวิโยคยิ่งอนาถนิ่งเหนื่อยอ่อนลงนอนเขลง
เสียงไก่แก้วแจ้วขันออกบรรเลงให้วังเวงอารมณ์เมื่อลมพัด
โอ้ค่ำคืนชื่นฉ่ำแต่น้ำค้างมิได้นางนฤมลมาปรนนิบัติ
ครั้นรุ่งสรางสร่างโพยมโทมนัสข้ามไปวัดเชิงท่าด้วยอาลัย
เที่ยวดำเนินเดินยืนตามพื้นล่างเห็นที่ร้างเราเอ๋ยเคยอาศัย
กระฎีคร่ำชำรุดเขารื้อไปไม่มีใครอุปถัมภ์มานำพา
เหลือแต่ที่เปล่าเปล่ายิ่งเศร้าโศกยังเห็นโคกปลูกผลต้นพฤกษา
แสนคะนึงถึงพระคุณมุลิกาโอ้พระอาจารย์ฉันที่บรรลัย
ท่านเป็นที่วินัยธรรมล่ำลือชื่อบอกหนังสือปรีชาจะหาไหน
เทศนาก็เสนาะเพราะจับใจคนเลื่อมใสศรัทธาเป็นอาจิณ
ฉันเป็นศิษย์สัตยาสามิภักดิ์ท่านแสนรักราวกะบุตรสุดถวิล
ที่ตื้นลึกศึกษาไม่ราคินอยากให้ภิญโญยศปรากฏนาน
จึงอุตส่าห์พามุ่งไปกรุงเทพหวังให้เสพวิทยาที่กล้าหาญ
ลูกกลับจนทนทุกข์ทรมานพระอาจารย์เล่าก็มาพิราลัย
ถ้ายังเป็นเห็นหน้าลูกยานี้ก็น่าที่จะโศกาน้ำตาไหล
ท่านไม่รู้การหน้าว่ากระไรหวังจะให้ลูกเปรื่องรุ่งเรืองรอง
ไม่สมคิดซ้ำปลิดชีวาทิ้งให้ลูกกลิ้งเกลือกตนอยู่หม่นหมอง
พระคุณแม้นเหมือนชนกที่ปกครองมิทันฉลองคุณยิ่งสักสิ่งอัน
สิ่งใดใดฉันได้สร้างกุศลขอแผ่ผลส่งให้ท่านไปสวรรค์
แม้เกิดไหนให้พบประสบกันกว่าจะหันพักตร์ถึงซึ่งนิพพาน
กราบกราบแล้วก็ลาน้ำตาไหลเดินเข้าในลานโขดโบสถ์วิหาร
พลางยอบย่อยอหัตถ์นมัสการอธิษฐานในใจถึงใหญ่โต
ข้าคับแค้นแสนประดาษในชาตินี้ไม่มีที่พึ่งพาอนาโถ
ทั้งสิ้นทุนสูญขาดญาติโยเที่ยวเซโซบัดสีนี่กระไร
ยังมิหนำซ้ำมากำพร้ามิตรมิรู้คิดปลงลงที่ตรงไหน
จะหารักสักคนก็จนใจที่ฝากผีฝากไข้ไม่มีเลย
ไปชาติหน้าอย่าเป็นเหมือนเช่นนี้ให้มั่งมีวาสนานิจจาเอ๋ย
อย่ารู้ญาติขาดมิตรที่ชิดเชยที่ใครเคยวาสนาบารมี
ขอกุศลผลช่วยอำนวยชักให้สมรักกว่าจะตายอย่าหน่ายหนี
หนึ่งชายโหดโฉดช้าหญิงกาลีอีกทั้งขี้หึงสาอย่ามาระคน
จะรักใครขอให้ได้ดังใจรักอย่าให้พักวุ่นวายเที่ยวขวายขวน
สำเร็จกิจอธิษฐานบานกมลจรดลชมวัดทัศนา
พิหารมีสี่มุขทั้งสี่ด้านดูโอฬารลดหลั่นน่าหรรษา
เหมือนปราสาทราชวังอลังการ์มุขเด็จหน้าดั่งหนึ่งท้องพระโรงทรง
ที่ท่ามกลางมีพระปรางค์เป็นองค์ปลอดดูใหญ่ยอดสูงเฉิดระเหิดระหง
ที่เชิงปรางค์ข้างต่ำมีถ้ำลงเขาว่าตรงออกช่องคลองสระประทุม
ผู้ใหญ่เขาเล่ามาก็น่าเชื่อว่าครั้งเมื่อเมืองสนุกยังสุขสุม
มีเศรษฐีมีมั่งตั้งรวบรุมเงินตวงตุ่มเหลือล้นพ้นประมาณ
มีบุตรสาวเล่าก็ไม่ให้ใครเห็นจึ่งสร้างเป็นปรางค์มาศราชฐาน
อันนี้ไว้ให้ธิดาอยู่มานานแต่หญิงพาลตามชายสูญหายไป
เศรษฐีแสนแค้นคะนึงถึงลูกสาวไม่ได้ข่าวคอยท่าน้ำตาไหล
จึงอุทิศปรางค์มาศปราสาทชัยอันนี้ให้เป็นวิหารทำทานทุน
ให้เรียกวัดค่อยท่ามาชัดชัดกลับเป็นวัดเลิงท่านึกน่าหุน
จริงไฉนก็ไม่ทราบทำบาปบุญยังหมกมุ่นหมองหมางระคางแคลง
ว่าตามเขาเล่ามาตาไม่เห็นมิได้เป็นผลประโยชน์โทษแถลง
ที่ตามจริงสิ่งดีของชี้แจงให้ท่านแจ้งประโยชน์ผลทุกคนไป
พระปรางค์นี้มีพระสารีริกธาตุบรมศาสดาน่าเลื่อมใส
ถึงวันดีคืนดีมีเมื่อใดท่านเคยได้เสด็จออกนอกพระปรางค์
แล้วบันดาลปาฏิหาริย์เป็นมหันต์เปล่งฉัพพรรณรัศมีสีสว่าง
ดูร่วงรุ้งรุ่งโรจน์โชตินภางค์เปรียบเหมือนอย่างพระศรีสรรเพชญ์เสด็จมา
เป็นสัตย์ธรรมมั่นคงอย่าสงสัยคนที่ได้เห็นประจักษ์ก็หนักหนา
ครั้งหนึ่งนั้นฉันยังเยาวพาได้เห็นกะตาจริงชัดจำรัสเรือง
ไม่มุสาพาหยาบกลัวบาปเหลือใครไม่เชื่อหนังสือที่ลือเลื่อง
จงสืบความถามข่าวตามชาวเมืองคงรู้เรื่องราวชัดที่สัจจัง
รำพันพลางทางถอนฤทัยทุกข์เห็นหน้ามุขคร่ำคร่าทั้งฝาผนัง
บ้างชำรุกทรุดปรักบ้างหักพังด้วยแต่ครั้งโบราณมานานนม
นึกโทมนัสศรัทธาดอกข้านี้แม้มั่งมีก็จะสร้างอย่างปฐม
นี่คับแค้นแสนวิตกหัวอกกรมได้แต่ชมเชยทำด้วยคำกลอน
ท่านผู้ใดได้ฟังซึ่งหนังสือแม้เชื่อถือแน่ตระหนักในอักษร
ที่มีทรัพย์ศรัทธาสถาวรขอเชิญปฏิสังขรณ์ให้งดงาม
เสียแรงพบสบพระพุทธศาสนาได้ศรัทธาเลิศแล้วในแก้วสาม
เพราะมีทุนบุญหลังมาคั่งคามควรอุตส่าห์พยายามให้ยิ่งยง
อันเงินทองของหวงทั้งปวงนี้แม้ตระหนี่เก็บไว้เหมือนใหลหลง
จะเป็นของเขาอื่นไม่คืนคงเพราะปลดปลงก็มิได้เอาไปเชย
อนัตตาก็ใช่ว่าของตนแท้คงก็แต่บาปบุญเจ้าคุณเอ๋ย
ชีวิตนี้ก็ไม่มีประกันเลยอย่าเฉยเมยหมั่นคิดอนิจจัง
แม้มิได้ก่อสร้างทางกุศลครั้นวายชนม์ก็ไม่มีที่จะหวัง
จนสิ้นกัปนับกัลป์อนันตังจะพบพระแต่ละครั้งเห็นเต็มประดา
แม้ผู้ใดได้สร้างพระปรางค์ลุที่บรรจุบรมธาตุสืบศาสนา
ทั้งมนุษย์เทพไทได้บูชาคงมีอานิสงส์นั้นพันทวี
จะพาตนพ้นอบายในภายหน้าเมื่อวาสนาพบพระชินศรี
จะตัดห่วงบ่วงมารการโลกีย์เพราะบุญที่ซ่อมอแลงตกแต่งเติม
ขอเดชะเทวฤทธิ์ทุกทิศาช่วยชักพาที่ผู้จะชูเฉลิม
มาก่อสร้างปรางค์พิหารเหมือนฐานเดิมได้ส่งเสริมศรัทธาสาธุชน
แต่นี้ไปแม้ใครมาสร้างสรรค์อย่าลืมฉันผู้แสดงแต่งนุสนธิ์
ขอแบ่งบุญกรุณังบ้างสักคนให้ได้ผลอานิสงส์เหมือนจงใจ
เดชะคำทำกลอนอักษรสนองที่ยกย่องศาสนาพาเลื่อมใส
บูชาบุญคุณพระรัตนตรัยขอจงได้ลุถึงซึ่งนิพพาน
อย่าขัดเข็ญเป็นสุขทุกทุกชาติให้ผุดผาดผิวพรรณทรงสัณฐาน
ทั้งปราชญ์เปรื่องเรืองวิชาปัญญาญาณคิดเพลงการมธุรสทุกบทกลอน
ให้เร็วไวไพเราะเสนาะขลังใครได้ฟังออกชื่อฦๅสยอน
แม้หญิงใดได้สดับลืมหลับนอนให้กอดหมอนนึกถึงฉันทุกวันคืน
ที่สาวแส้แม่หม้ายทั้งหลายนั้นคนไหนฉันชอบใจอย่าได้ขืน
ถูกเพลงยาวเข้าก็ปลื้มเหมือนลืมกลืนให้แตกตื่นพัลวันตามฉันมา
ในชาตินี้ที่ใครเขาไม่รักขอบุญชักเชยสวาทในชาติหน้า
ให้รักเราเฝ้าวอนจนอ่อนระอาจึงจะสาน้ำใจไม่ไมตรี
แม้นได้ชมสมรักแต่สักนิดให้ต้องจิตจนตายอย่าหน่ายหนี
ใครเคยชมสมสวาทในชาตินี้ให้เร็วรี่รวยรื่นรีบคืนมา
อธิษฐานอย่างนี้ดีไฉนที่จริงใจฉันไม่นึกจะตรึกหา
ถึงรูปโฉมโลมจิตก็อนิจจาจะปรารถนาโพธิญาณสถานเดียว
มิว่าบ้างผู้ฟังก็อุตริมักจะติเสียว่าดาดไม่บาดเสียว
จึ่งเสแสร้งแต่งใส่เหมือนไข่เจียวพอกล่ิอมเกี้ยวผู้ฟังให้ตั้งใจ
แล้วไหว้พระละลามาท่าน้ำเห็นโรงธรรมศาลาน้ำตาไหล
ด้วยของนี้พี่ฉันที่บรรลัยได้สร้างไว้งดงามอร่ามตา
มิทันฉลองก็มาต้องสิ้นชีวิตฉันจึ่งคิดสมเพชกับเชษฐา
ส่วนข้าพเจ้าเข้าด้วยถึงตำลึงตรา ปรารถนาจะขอพบประสบกัน
บรรดาวงศ์พงศ์เผ่าเราก็หนักแต่ไม่รักอารีเหมือนพี่ฉัน
ย่อมนับถือซื่อตรงต่อพงศ์พันธุ์อายุสั้นเสียเพราะกรรมก็จำจน ฯ
             

๏ แล้วลงเรือข้ามกลับมารับป้าจอดที่หน้าแพหลานลานฉงน
คุณป้ารู้มิได้รอรีบจรดลให้เขาขนของส่งมาลงเรือ
อันญาติเราเขาก็ไม่ปราศรัยสารเว้นแต่หลานเราไว้อาลัยเหลือ
ทั้งพี่สะใภ้ใจดีมีข้าวเกลือผักปลาเผื่อแผ่ปันให้ฉันมา
แต่ยามนี้มิได้มีสิ่งทำขวัญขอรำพันอวยพรไว้ก่อนหนา
จงสุขีศรีสวัสดิ์เถิดนัดดาแล้วอำลาล่องเรือเหลือเสียดาย
โอ้บ้านเกิดเมืองเก่าของเราก่อนจะจำจรจากไปน่าใจหาย
เมื่อยังอยู่ดูก็สุขสนุกสบายเคยเที่ยวพายนาวาเมื่อหน้าน้ำ
ไปเล่นทุ่งมุ่งชมกระจับจอกเก็บบัวปอกป้อนชิมไม่อิ่มหนำ
หอมกระถินกลิ่นมะปรางเอวบางระบำโอ้จะจำจากลับจะนับไกล
ถึงมานี่ที่จะไปก็ไม่เห็นให้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล
ด้วยราชกิจติดตนก็จนใจแต่นี้ไหนจะได้มาเห็นหน้าเมือง
จะนับปีลี้ลับอัปยศไม่มียศมีชื่อที่ลือเลือง
วาสนาอายุก็ปรุเปลืองจะร่ำเรื่องไปก็ใครไม่พุทโธ
อันบุปผาส่าหรีที่มีกลิ่นเขาไม่กินเหมือนมะกอกดอกโสน
แต่ก่อนน้ำว้าถูกลูกโตโตเดี๋ยวนี้โอ้น้ำว้าราคาแพง
จึ่งจดจำคำเพียรทั้งเขียนคิดโอ้ญาติมิตรทั้งหลายอย่าหน่ายแหนง
ไว้ต่างคนจนตายเหมือนลายแทงได้จำแจ้งจดจิตไม่ปลิดปลิว
ดูสาวสาวชาวแพพวกแม่ค้าแต่ละหน้านวลละอองผุดผ่องผิว
ไม่ถูมิฐานการกิจไม่บิดพลิ้วไม่กรีดนิ้วเหมือนกะสาวชาวบุรี
เราไม่พรากจากนี่แล้วที่ไหนก็พอได้นั่งแพขายแพรสี
นี่พลัดไพล่ไปปองซึ่งของดีพบที่ที่เอวฉะอ้อนอ่อนระทวย
แม่รุกรุยรุงรังข้างบางกอกมักปอกลอกเล็งเห็นแต่เล่นหวย
ที่การงานคร้านทำแต่สำรวยรูปสวยสวยเข้าบ่อนอยากนอนกิน
บุญไม่เคยเลยแล้วจึ่งแคล้วคลาดที่มุ่งมาดมิได้ชมสมถวิล
จะก้มหน้าไปบางกอกดมดอกดินมิได้กลิ่นดาวเรืองที่เมืองกรุง
เราก็เหมือนเถื่อนอุทามที่ตามต่อถูกพังล่อลมลวงถอนงวงผลุง
โอ้หลายปีมิได้พบน้ำอบปรุงจนคล้ำคลุ้งไคลเหงื่อทั้งเนื้อตัว
โอ้ยามนี้ที่ว่ามาแต่นึกจะวายตรึกตรมกริ่มจะยิ้มหัว
นี่นึกเปล่าเฝ้าตรองยิ่งหมองมัวเพราะแม่บัวใบบังไม่หวังยล
เขานั่งแพแต่เรานี้เร่าร้อนเที่ยวเร่คอนขายรักไม่พักผล
ไม่มีใครซื้อรักแต่สักคนเป็นรักจนจำลาแล้วหนาเรา
มาวันครึ่งถึงกรุงเทพสถานยังไม่พานพบประโลมโฉมเฉลา
จึงเขียนกลอนข้อคำเป็นสำเนาไว้เพื่อนเจ้าจงฟังสิ้นทั้งเพ
โอ้คิดไปใจหายเสียดายนักที่เคยลักลอบชวนเคยสรวลเส
เจ้าปลิดปลื้มลืมหลังไปลังเลจงคะเนน้ำใจเถิดในกลอน
แต่น้องพี่ที่หวังยังไฉนไม่เห็นใจจริงรักในอักษร
เฝ้าหนักหน่วงหวงหึงตะบึงตะบอนไม่โอนอ่อนรุมเร้าพอเคล้าคลึง
พี่ไปเมืองเคืองเข็ญไม่เป็นสุขสู้อุ้มทุกข์เหลือทนมาจนถึง
ได้ดูงามตามวิถีก็มีอึงไม่เหมือนหนึ่งมิ่งมิตรที่ติดพัน
พี่จากไปได้แต่รักมาฟักฝากขอพบปากงามสรรพพอรับขวัญ
ถึงเงินทองของใครจะให้ปันไม่เหมือนกันกะเจ้ามีไมตรีเรียม
เสียแรงหวังตั้งหน้าสามิภักดิ์ขอฝากรักโฉมฉายอย่าอายเหนียม
พอเหือดหายคลายระทมที่ตรมเตรียมไม่โลมเลียมลวงเล่นเหมือนเช่นพาล
แต่จริงใจสุดนิสัยจะหยิบยกถ้าเห็นอกแล้วก็คงจะสงสาร
แม้ครั้งนี้มิได้โฉมประโลมลานไหนจะทานทุกข์ทนเห็นจนจริง
ด้วยยากไร้ได้แต่หมอนมานอนกกเมื่อหนาวอกก็อาศัยแต่ไฟผิง
จงเห็นทุกข์สุขบ้างอย่าชังชิงขอพึ่งพิงพอเป็นยาอายุยืน
ด้วยแสนโศกโรคภัยไม่ไข้เจ็บแต่หนาวเหน็บในอุราไม่ฝ่าฝืน
ถ้าแม้ได้ยาดมชมสักคืนเห็นจะชื่นแช่มสบายไปหลายปี
พี่ตกถังยังมีแต่ฝีปากเป็นขันหมากมาโลมแม่โฉมศรี
นิราศเรื่องเมืองทวาราวดีของเรานี้นึกความเล่นตามสบาย
ใช่มักมากราครนมาบ่นบ้าอย่านึกราคีฉันท่านทั้งหลาย
เพราะหากลอนผ่อนผันบรรยายมิใช่ง่ายเหมือนกะเช่นที่เป็นเอง
ก็ย่อมรู้อยู่กระนั้นด้วยกันหมดว่าต้องปดจึงจะเพราะจะเหมาะเหมง
แต่นิสัยใจรักข้างนักเลงย่อมอดเพลงมิใคร่ได้แต่ไรมา
ซึ่งครวญคร่ำทำทีอย่างนี้ไซร้เป็นนิสัยนักกลอนแต่ก่อนหนา
ต้องติดบ้างสังวาสชาติโอชาเหมือนสังขยาต้องใส่ไข่น้ำตาล
ไว้อ่านเล่นเป็นแต่พอแก้โงกของโลมโลกพาหลงในสงสาร
อย่าควรจำคำคะนองเป็นของพาลที่แก่นสารถ้อยคำจึ่งจำไว้
บรรดาบาปหยาบช้าแล้วอย่าชอบจงประกอบก็แต่ผลกุศลสมัย
มล้างเกลศเลศล้ำในน้ำใจให้ผ่องใสสิ้นขุ่นจึ่งบุญแรง
เป็นจบเรื่องเมืองเก่าแต่เท่านี้มิสู้ดีบลบาทปราชญ์อย่าแหนง
เห็นผิดชอบชั่วดีช่วยชี้แจงเพราะฉันแต่งตามประสาปัญญาทุย
ใช่ประกวดอวดรู้กับผู้ปราชญ์ถ้าพลั้งพลาดรับประทานวานอย่ากุ๋ย
กลัวแต่ศักดิ์นักเลงเล่นเพลงคุยเที่ยวรำซุยนอกม่านสงสารครัน
เห็นใครดีอยู่มิได้แคะไค้บ่นเฝ้ายกตนข่มเขายิ้นเย้าหยัน
ไม่บัดสีที่ท่านได้เห็นไรฟันทำเช่นนั้นชูชื่ออยู่ฤๅเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

นิราศทวาราวดี / โดย หลวงจักรปาณี. บทละคอนเรื่องมณีพิไชย / พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย. พระนคร : กรมศิลปากร, 2512. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนางเอิบ ทังสุบุตร 20 ธ.ค.2512.

เครื่องมือส่วนตัว