นิราศธารถลาง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')
(บทประพันธ์)
แถว 9: แถว 9:
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
<tpoem>
<tpoem>
 +
  จะร่ำปางทางไกลไปถลาง
 +
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง  ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา
 +
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย  แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา
 +
ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธารา  พี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ
 +
แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหง  ของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ
 +
บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือ  ก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี
 +
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน  โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี
 +
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี  ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน
 +
วัดพระแก้วมรกตก็สดใส  งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน
 +
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล  จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน
 +
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์  อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์
 +
ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวัน  กระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี
 +
ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรัก  อย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี
 +
ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปี  ขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย
 +
ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่า  จนเวลารุ่งรางสว่างไสว
 +
ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัย  ก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์
 +
ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวน  พี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข
 +
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โต  หัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย
 +
ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่  ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย
 +
เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพาย  ออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ
 +
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด  จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห
 +
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ  จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ
 +
วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม  มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน
 +
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน  ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด  ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย
 +
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย  พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย
 +
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า  บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย
 +
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย  โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว  ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง
 +
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง  นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป
 +
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี  ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล
 +
ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกล  พลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน
 +
กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อย  แม่ค้าลอยขายของร้องประสาน
 +
บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการ  น่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง
 +
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว  เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง
 +
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง  จนเรือห่างเหินมาในสาคร
 +
ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน  เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน
 +
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร  แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย
 +
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง  ไปตามท้องวังวนชลสาย
 +
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย  สังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา
 +
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน  พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา
 +
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา  ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ
 +
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด  แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล
 +
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ  มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง
 +
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น  ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง
 +
สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนือง  งามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม
 +
ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอ  ได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม
 +
คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความ  กลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป
 +
มาถึงช่องอินทรีทวีโศก  แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว
 +
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล  รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา
 +
ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า  นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา
 +
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา  แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน
 +
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย  ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล
 +
ช่วยป้องกันกุมภาในวาริน  อย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี
 +
มาตะบึงลุถึงพระโขนง  น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี
 +
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี  แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา
 +
ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี  ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา
 +
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา  แล้วพาโบกบินไปกินรัง
 +
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ  นกยังดำกินได้ดังใจหวัง
 +
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง  จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย  ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง
 +
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง  ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน
 +
ทัศนาธานีเห็นพิลึก  พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน
 +
ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญ  คงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ
 +
ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบ  ช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ
 +
พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือ  ประทานชื่อยศนามตามตระกูล
 +
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน  คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ
 +
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร  ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย
 +
.
 +
.
 +
.
 +
มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น  ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี
 +
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี  ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น
 +
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ  ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ
 +
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น  อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย
 +
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง  มาตามท้องคงคาชลาไหล
 +
เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย  พระภูวไนยสร้างสรรไว้ มั่นคง
 +
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส  เห็นถนัดหอคอยลอยระหง
 +
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์  กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก
 +
มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง  จะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก
 +
ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึก  มิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว
 +
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด  คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว
 +
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว  พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร  พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา
 +
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา  กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ
 +
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น  พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน
 +
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน  ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด  พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์
 +
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน  พัลวันเกะกะเอะอะอึง
 +
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด  ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง
 +
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง  พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา
 +
ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก  ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา
 +
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา  ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย
 +
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม  ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย
 +
ชมทะเลเมฆาจนตาลาย  ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง
 +
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ  เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง
 +
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง  ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม
 +
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด  ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์
 +
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ  อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ
 +
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส  พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว
 +
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป  จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ
 +
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย  ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน
 +
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน  แสนรำคาญคิดไปใจระบม
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย  จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา
 +
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา  เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล
 +
.
 +
.
 +
.
 +
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง  ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน
 +
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ  เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่  พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร
 +
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร  ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย
 +
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่  ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย
 +
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย  ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา
 +
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์  หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา
 +
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา  เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร
 +
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง  เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร
 +
สุริยาลงลับยุคนธร  พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย
 +
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ  ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย
 +
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย  ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา  เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์
 +
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน  จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ  ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง
 +
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง  ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู
 +
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน  ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู
 +
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู  บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง
 +
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก  ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง
 +
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง  ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม
 +
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ  มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม
 +
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม  พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศ  ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร
 +
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน  ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร
 +
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น  ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส
 +
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล  เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก  ราวกับนกบินเตร่บนเวหา
 +
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา  ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล
 +
ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด  นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน
 +
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล  จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา
 +
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่  มีทองแต่โบราณนานหนักหนา
 +
บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา  ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง
 +
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ  ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง
 +
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง  ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา
 +
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง  ราคาสูงสมสีดีหนักหนา
 +
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา  แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ
 +
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว  ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว
 +
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร  พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน
 +
เป็นเมืองริมวารีกะจีริด  นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน
 +
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล  ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก
 +
โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่  จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์
 +
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก  มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย  เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย
 +
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย  เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป
 +
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ  ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว
 +
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป  แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา
 +
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา  ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา
 +
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา  ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี
 +
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม  น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี
 +
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี  ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย
 +
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก  แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย
 +
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย  ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย
 +
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ  อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส
 +
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ  ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์  หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน
 +
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร  ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร
 +
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก  มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร
 +
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน  แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง
 +
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก  ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์
 +
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง  ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงไชยาธานีบุรีสถาน  เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร
 +
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร  สถาพรพูนสุขสนุกสบาย
 +
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน  ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย
 +
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย  บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง
 +
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด  ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง
 +
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง  นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล
 +
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร  ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล
 +
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ  แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย
 +
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท  พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย
 +
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย  เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร
 +
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก  ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน
 +
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน  อรชรช่อผลระคนใบ
 +
เกตระกำอำพาจำปาดะ  ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว
 +
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป  มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน
 +
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน  นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์
 +
โทมนัสทัศนาดูวาริน  ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร
 +
.
 +
.
 +
.
 +
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่  เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม
 +
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม  ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา
 +
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน  ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา
 +
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา  ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง
 +
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ  ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง
 +
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง  นายระวางพูดจาปรึกษากัน
 +
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ  ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์
 +
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน  จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย
 +
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด  เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย
 +
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย  ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ
 +
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย  ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์
 +
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ  ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล
 +
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย  ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์
 +
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน  แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ
 +
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง  ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน
 +
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน  เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ
 +
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก  แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ
 +
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ  พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี
 +
ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ  เห็นสวะติดวนวารีศรี
 +
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี  ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว
 +
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา  หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว
 +
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว  แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง
 +
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด  คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง
 +
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง  อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป
 +
.
 +
.
 +
.
 +
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์  ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ
 +
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง  รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล
 +
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป  มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา
 +
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง  แลตะลึงลานจิตพินิจหา
 +
ดูรกนักหักพังเป็นรังกา  อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ  ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน
 +
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ  โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน
 +
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด  ปฏิบัติสิกขาหากุศล
 +
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์  อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี
 +
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด  อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์
 +
แต่อายุยังไม่ครบประจบปี  ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา
 +
.
 +
.
 +
.
 +
รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ  เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน
 +
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร  ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว
 +
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง  เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว
 +
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว  ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร
 +
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง  ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน
 +
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน  ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม
 +
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด  น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม
 +
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม  แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน
 +
.
 +
.
 +
.
 +
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด  เดียรดาษแวววามงามไสว
 +
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป  ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก  มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา
 +
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา  เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย
 +
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ  เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย
 +
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย  วิไลลายทองทาบดูปลาบตา
 +
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง  ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา
 +
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา  ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง
 +
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง  มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง
 +
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง  แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น  แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน
 +
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน  ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง
 +
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก  น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง
 +
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง  บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ
 +
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง  บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย
 +
บ้างก็แบกปืนผาพากันไป  ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง
 +
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า  รินสุราดื่มดังฟังแสยง
 +
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง  หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง  เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์
 +
เขาว่าเสือชุมนักมักราวี  ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน
 +
.
 +
.
 +
.
 +
บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ  เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข
 +
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย  จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
 +
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง  ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์
 +
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน  หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง
 +
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา  พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง
 +
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง  ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว
 +
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น  มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว
 +
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว  ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ
 +
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง  กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ
 +
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ  เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง
 +
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ  ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง
 +
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง  ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน
 +
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต  ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน
 +
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน  ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล
 +
บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น  เสียงสนั่นเฮฮามาไสว
 +
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ  คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง
 +
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน  ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์
 +
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง  เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน
 +
เหล่านักเลงสุราหากระบอก  เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน
 +
แบกกระบอกสุราพากันเดิน  พูดหยอกเอินกันตามความสบาย
 +
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข  มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย
 +
ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย  พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ  มีธารน้ำศาลาที่อาศัย
 +
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย  ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ
 +
ใครไปมาหาของกองคำนับ  อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ
 +
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ  ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย
 +
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก  ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย
 +
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย  ขอฝากกายอาศัยในศาลา
 +
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก  มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา
 +
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา  พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว
 +
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย  เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว
 +
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว  ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ
 +
.
 +
.
 +
.
 +
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง  กระจ่างดวงสุริยาในราศรี
 +
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที  อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร
 +
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง  มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว
 +
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย  กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง
 +
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง  ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์
 +
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง  ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล
 +
ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ  ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน
 +
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล  ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน
 +
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน  จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน
 +
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน  มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย
 +
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ  เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล
 +
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ  แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง
 +
มีสำเภาเลากามาค้าขาย  ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง
 +
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง  ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย
 +
ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก  ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย
 +
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย  มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน
 +
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง  ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน
 +
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน  พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู
 +
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง  ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู
 +
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู  ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน
 +
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ  ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน
 +
พี่พาชายชาวในออกไปปน  ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน
 +
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู  ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
 +
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน  หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน
 +
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช  ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย
 +
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย  สู้อดใจราวกับพระชนะมาร
 +
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น  แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล
 +
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน  ก็คิดอ่านไปชมยมนา
 +
เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง  แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา
 +
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา  ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง
 +
ไปตามทางข้างทิศตะวันตก  ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์
 +
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง  ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร
 +
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง  เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล
 +
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป  ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี
 +
สารพัดผักปลาในสาคเรศ  ปทุมเมศดอกประดับสลับสี
 +
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี  พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา
 +
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง  ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา
 +
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา  ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน
 +
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า  ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์
 +
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล  ประชาชนหญิงชายสบายบาน
 +
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก  ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน
 +
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล  ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน
 +
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน  มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์
 +
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน  พี่ผันผินทัศนาชลาลัย
 +
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง  กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว
 +
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ  ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ
 +
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ  บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน
 +
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ  ผุดขนานแน่นหนาในสาคร
 +
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน  ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน
 +
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร  เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล
 +
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน  เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน
 +
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล  ระคนปนกรวดทรายชายชลา
 +
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย  มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา
 +
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา  ดาษดาดีดีสีต่างกัน
 +
บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง  บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน
 +
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์  ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง  เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี
 +
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี  เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก  หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา
 +
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา  พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร
 +
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา  ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน
 +
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป  ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน
 +
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง  ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน
 +
ดูไสวใบบังพระสุริยน  เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา
 +
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง  ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา
 +
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา  กระลำภาโกฐสอสมอไทย
 +
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์  กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล
 +
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร  มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา
 +
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด  ปักษาชาติจิกกินบินถลา
 +
นกโนรีสีแดงดังชาดทา  มยุราลงเดินบนเนินทราย
 +
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน  จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย
 +
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย  เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง
 +
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน  บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง
 +
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง  แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร
 +
บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก  แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร
 +
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร  ทินกรเลื่อนลับลงกับชล
 +
.
 +
.
 +
.
 +
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท  ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร
 +
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์  ประณมกรอภิวาทบาทบงส์
 +
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม  รินน้ำหอมปรายประชำระสรง
 +
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง  เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา
 +
.
 +
.
 +
.
 +
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด  ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์
 +
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน  ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ
 +
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ  ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน
 +
พระสุริยงลงลับโพยมมาน  ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา
 +
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก  พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา
 +
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา  ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน
 +
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด  ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์
 +
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน  บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย
 +
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์  ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย
 +
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย  เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป
 +
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น  มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย
 +
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย  เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา
 +
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง  ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา
 +
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา  กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป
 +
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน  ในกลางย่านยมนาชลาไหล
 +
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ  แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ
 +
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ  ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร
 +
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน  แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา
 +
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์  พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา
 +
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา  ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ
</tpoem>
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==

การปรับปรุง เมื่อ 10:26, 9 กรกฎาคม 2552

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: นายมี

เนื้อความยังพิมพ์ไม่ครบ

บทประพันธ์

จะร่ำปางทางไกลไปถลาง
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนางทุเรศร้างรสรักหนักอุรา
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหายแสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา
ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธาราพี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ
แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหงของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ
บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐานโอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดีย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน
วัดพระแก้วมรกตก็สดใสงามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยลจะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์
ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวันกระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี
ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรักอย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี
ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปีขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย
ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่าจนเวลารุ่งรางสว่างไสว
ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัยก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์
ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวนพี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โตหัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย
ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย
เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพายออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาดจะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพจะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ
วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้มมิได้ลืมรสรักสมัครสมาน
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลานถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ
.
.
.
ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาดไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคยพี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้าบรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวายโอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา
.
.
.
ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียวยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปองนาวาล่องตามลำแม่น้ำไป
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผีด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล
ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกลพลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน
กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อยแม่ค้าลอยขายของร้องประสาน
บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการน่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่วเสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนางจนเรือห่างเหินมาในสาคร
ถึงวัดราชบูรณะระยะสวนเห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชรแมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้องไปตามท้องวังวนชลสาย
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมายสังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหนพี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมาละลายยาแก้โรคที่โศกใจ
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุดแล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจมิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้นที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง
สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนืองงามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม
ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม
คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความกลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป
มาถึงช่องอินทรีทวีโศกแสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไลรันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา
ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้านึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภาแต่พันตาพันวังหัวฝังดิน
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ยขอลาเลยลับไปดังใจถวิล
ช่วยป้องกันกุมภาในวารินอย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี
มาตะบึงลุถึงพระโขนงน้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดีแต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา
ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษีไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลาแล้วพาโบกบินไปกินรัง
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำนกยังดำกินได้ดังใจหวัง
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวังจนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา
.
.
.
ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่ายระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิงปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน
ทัศนาธานีเห็นพิลึกพวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน
ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญคงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ
ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ
พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือประทานชื่อยศนามตามตระกูล
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขันคอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูรก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย
.
.
.
มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่นให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารีถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็นอย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่องมาตามท้องคงคาชลาไหล
เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัยพระภูวไนยสร้างสรรไว้ มั่นคง
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัสเห็นถนัดหอคอยลอยระหง
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก
มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่องจะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก
ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึกมิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุดคงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียวพริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ
.
.
.
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตรพระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวากินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้นพัลวันนั่งลุกสนุกสนาน
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทานต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา
.
.
.
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิดพระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกันพัลวันเกะกะเอะอะอึง
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัดให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึงพอลมตึงติดใบก็ไคลคลา
ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึกทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตาดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่มติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย
ชมทะเลเมฆาจนตาลายตะวันสายคลื่นลมระดมดัง
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจเฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชังถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาดขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำอย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัสพระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไปจนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ยขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านานแสนรำคาญคิดไปใจระบม
.
.
.
ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ยจะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนาเป็นเวลากรรมมากที่จากไกล
.
.
.
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวงก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณเห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล
.
.
.
ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาครดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีรายศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเราเห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้องเรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร
สุริยาลงลับยุคนธรพระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพรายดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง
.
.
.
ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หาเห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทันจังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ
.
.
.
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟองตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อนราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรูบ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอกดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลงดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุมุทะลุหนักหนาปลาฉลาม
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตามพี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป
.
.
.
ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอนใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็นดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกลเห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ
.
.
.
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตกราวกับนกบินเตร่บนเวหา
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมาไม่รอรารีบรัดตัดตำบล
ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิดนิ่งพินิจแนวทางมากลางหน
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมลจนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่มีทองแต่โบราณนานหนักหนา
บังเกิดกับกายสิทธิอิศราไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้องถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุงราคาสูงสมสีดีหนักหนา
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทาแต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิวถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไรพี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน
เป็นเมืองริมวารีกะจีริดนั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชลถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก
โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรักมาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ
.
.
.
ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อยเขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะรายเป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไปแวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขาชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลาดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วมน้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรีลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอกแล้วแล่นออกไปในวนชลสาย
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณรายดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติอร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง
.
.
.
ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพรภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุกมีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอนแอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอกฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดังไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน
.
.
.
ถึงไชยาธานีบุรีสถานเห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากรสถาพรพูนสุขสนุกสบาย
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนนล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชายบ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสดทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึงนึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทรก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบแจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิทพี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมายเป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมากทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อนอรชรช่อผลระคนใบ
เกตระกำอำพาจำปาดะทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไปมะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวนนาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์
โทมนัสทัศนาดูวารินระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร
.
.
.
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซมด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถานยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมาได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลางนายระวางพูดจาปรึกษากัน
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครันจะผ่อนผันคิดหานาวาพาย
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติดเราจะติดกลอกกลับขยับขยาย
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนายขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วยก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมายได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลันแล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่องไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านานเสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุกแต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำพิไรร่ำเรื่อยมาในวารี
ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะเห็นสวะติดวนวารีศรี
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มีไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวาหัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัวแลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมดคอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิงอยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป
.
.
.
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึงรีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไปมีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่งแลตะลึงลานจิตพินิจหา
ดูรกนักหักพังเป็นรังกาอนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา
.
.
.
ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญโบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัดปฏิบัติสิกขาหากุศล
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวดอยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์
แต่อายุยังไม่ครบประจบปีต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา
.
.
.
รำพันพลางทางมาเวลาค่ำเรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธารไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหงเสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัวยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่งข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอนก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัดน้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิมแม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน
.
.
.
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาดเดียรดาษแวววามงามไสว
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไปดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์
.
.
.
ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุกมีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนาเข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำเงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบายวิไลลายทองทาบดูปลาบตา
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมองด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมาตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่างมาตามทางลำเนาภูเขาหลวง
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวงแล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ
.
.
.
บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้นแลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอนก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือกน่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนองบ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่งบ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย
บ้างก็แบกปืนผาพากันไปที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้ารินสุราดื่มดังฟังแสยง
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรงหน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ
.
.
.
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสงเป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์
เขาว่าเสือชุมนักมักราวีดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน
.
.
.
บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศเป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัยจะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้างต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลันหมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลาพอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึงชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้นมิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียวขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้างกระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือเตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้างขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิตไปทางทิศหรดีวิถีเถิน
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดินดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล
บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่นเสียงสนั่นเฮฮามาไสว
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟคอยกันภัยกลางทางที่กลางดง
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวานได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวงเอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน
เหล่านักเลงสุราหากระบอกเอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน
แบกกระบอกสุราพากันเดินพูดหยอกเอินกันตามความสบาย
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุขมีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย
ดูสองฟากมรรคาพฤกษารายพี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ
.
.
.
ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำมีธารน้ำศาลาที่อาศัย
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัยศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ
ใครไปมาหาของกองคำนับอารักษ์รับบวงบบคนนับถือ
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนักทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตรายขอฝากกายอาศัยในศาลา
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอกมิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนาพี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหยเสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัวยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ
.
.
.
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วงกระจ่างดวงสุริยาในราศรี
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันทีอัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้างมาตามทางหิมวาพฤกษาไสว
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัยกำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวงก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลงก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล
ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำชวนกันทำที่ประทับออกสับสน
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชลก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถานจะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือนมีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบเป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจแม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง
มีสำเภาเลากามาค้าขายทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคืองที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย
ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรกดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลายมาตั้งขายเรียงพับสลับกัน
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่างชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครันพี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลงไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดูยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน
พี่พาชายชาวในออกไปปนที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหูได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมันหลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุชได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัยสู้อดใจราวกับพระชนะมาร
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่นแต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนานก็คิดอ่านไปชมยมนา
เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้างแต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดาก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง
ไปตามทางข้างทิศตะวันตกต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดงครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้างเป็นที่ทางท้องนาชลาไหล
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไปดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี
สารพัดผักปลาในสาคเรศปทุมเมศดอกประดับสลับสี
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจีพี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้งในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตาก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่าดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบลประชาชนหญิงชายสบายบาน
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผักทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาลไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้านมาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวารินพี่ผันผินทัศนาชลาลัย
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่งกระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำบ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬผุดขนานแน่นหนาในสาคร
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อนขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกรเที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยนเป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกลระคนปนกรวดทรายชายชลา
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อยมากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตาดาษดาดีดีสีต่างกัน
บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝางบ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม
.
.
.
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้างเข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคีเนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง
.
.
.
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียกหอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมาพระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวาไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไปยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้างดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน
ดูไสวใบบังพระสุริยนเป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสงทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงากระลำภาโกฐสอสมอไทย
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพรมีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาดปักษาชาติจิกกินบินถลา
นกโนรีสีแดงดังชาดทามยุราลงเดินบนเนินทราย
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหนจิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงรายเค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อนบ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียงแล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร
บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศกแสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจรทินกรเลื่อนลับลงกับชล
.
.
.
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาทที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ประณมกรอภิวาทบาทบงส์
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อมรินน้ำหอมปรายประชำระสรง
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลงเหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา
.
.
.
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาดดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์
ดูก็น่าผาสุกสนุกครันด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน
พระสุริยงลงลับโพยมมานก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายากพิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภาตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาดไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวันบ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลายเที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่นมาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัยเห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้างให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮากลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนานในกลางย่านยมนาชลาไหล
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจแสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร
นิราศนุชสุดใจไปไกลนานแต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณายุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

เครื่องมือส่วนตัว