นิราศธารถลาง
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 10:07, 14 มิถุนายน 2556 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: นายมี
บทประพันธ์
๏ จะร่ำปางทางไกลไปถลาง | |||
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง | ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | ||
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย | แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธารา | พี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ | ||
แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหง | ของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ | ||
บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือ | ก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี | ||
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน | โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี | ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ||
๏ วัดพระแก้วมรกตก็สดใส | งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน | ||
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล | จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | ||
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ | อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ||
ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวัน | กระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี | ||
ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรัก | อย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี | ||
ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปี | ขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย | ||
ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่า | จนเวลารุ่งรางสว่างไสว | ||
ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัย | ก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์ | ||
ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวน | พี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข | ||
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โต | หัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย | ||
ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ | ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย | ||
เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพาย | ออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ | ||
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด | จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | ||
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ | จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | ||
๏ วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม | มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน | ||
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน | ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ||
แม่ปลื้มจิตแม่จงคิดถึงพี่บ้าง | อย่าเพ่อสร้างรสรักจนตักษัย | ||
เคยปลื้มจิตจงได้คิดถึงปลื้มใจ | ขออย่าให้น้องลืมที่ปลื้มเอย | ||
๏ ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด | ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | ||
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย | พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | ||
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า | บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | ||
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย | โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | ||
สารพัดที่จะไกลมิได้เห็น | เผอิญเป็นกรรมเคราะห์เพราะพระเสาร์ | ||
มาทุ่ทแทงแรงร้ายมิคลายเบา | ไม่จากเจ้าก็จะตายวายชีวี | ||
ต้องเสียรักหักใจอาลัยเหลือ | มาทางเรือตามชะตาในราศี | ||
รำพันพลางทางมาในวารี | หัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง | ||
๏ ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว | ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | ||
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง | นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | ||
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี | ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ||
ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกล | พลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน | ||
กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อย | แม่ค้าลอยขายของร้องประสาน | ||
บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการ | น่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง | ||
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว | เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | ||
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง | จนเรือห่างเหินมาในสาคร | ||
๏ ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน | เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน | ||
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร | แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | ||
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง | ไปตามท้องวังวนชลสาย | ||
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | สังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา | ||
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน | พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ||
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา | ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ||
๏ มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด | แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล | ||
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ | มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ||
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น | ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ||
สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนือง | งามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม | ||
ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอ | ได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม | ||
คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความ | กลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป | ||
มาถึงช่องอินทรีทวีโศก | แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | ||
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล | รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | ||
๏ ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า | นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา | ||
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา | แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | ||
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย | ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | ||
ช่วยป้องกันกุมภาในวาริน | อย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี | ||
มาตะบึงลุถึงพระโขนง | น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | ||
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี | แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ||
๏ ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี | ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา | ||
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา | แล้วพาโบกบินไปกินรัง | ||
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ | นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | ||
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง | จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ||
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง | อยู่บ้านช่องปึกแผ่นก็แน่นหนา | ||
แม้นประมาทพลาดพลั้งเหมือนดั่งปลา | ถ้าใครคว้าเอาไปได้พี่ตายจริง | ||
๏ ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย | ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | ||
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง | ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | ||
ทัศนาธานีเห็นพิลึก | พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ||
ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญ | คงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ | ||
ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบ | ช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ | ||
พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือ | ประทานชื่อยศนามตามตระกูล | ||
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน | คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | ||
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร | ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
แต่ตัวข้าอาภัพกลับเป็นทุกข์ | นิราศสุขสุดไกลน่าใจหาย | ||
จะไปหาเคราะห์ดีหนีเคราะห์ร้าย | เป็นฤๅตายก็จะสู้ไปดูที ฯ | ||
๏ มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น | ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | ||
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี | ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ||
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ | ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | ||
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น | อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ||
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง | มาตามท้องคงคาชลาไหล | ||
เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย | พระภูวไนยสร้างสรรไว้มั่นคง | ||
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส | เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ||
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ | กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | ||
มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง | จะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก | ||
ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึก | มิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว | ||
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด | คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ||
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว | พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ||
แต่สุดรักของพี่นี้สุดรบ | เหลือจะหลบหลีกลัดประหัตประหาร | ||
รบไม่แตกแบกรักหนักอยู่นาน | จะคิดอ่านรบยากลำบากจริง | ||
จะคิดหนีก็มิพ้นต้องทนโศก | สำหรับโลกทั้งหลายชายกับหญิง | ||
ก็เป็นเหมือนตัวพี่ที่ประวิง | มิอาจทิ้งให้ขาดสวาทเลย | ||
๏ โอ้อกพี่นี้เพียงจะแตกคราก | ด้วยจรจากมิตรมานิจจาเอ๋ย | ||
ยิ่งตรมจิตคิดไปไม่เสบย | เรือก็เลยล่องลอยชลามา | ||
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร | พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ||
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา | กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ||
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น | พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | ||
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน | ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
จนดึกดื่นเดือนดับเขาหลับหมด | เรียมระทดถึงมิตรขนิษฐา | ||
ไม่หลับใหลใจหายหงายดูฟ้า | เห็นดาราเรืองอร่ามวะวามวาว | ||
น้ำค้างพรมลมรื่นคลื่นกระฉ่อน | มิได้นอนแนบนุชพี่สุดหนาว | ||
มานานไกลกลอยสวาทพี่ขาดคราว | โอ้จะหนาวเนื้อพี่ทุกวี่วัน | ||
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด | พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ||
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน | พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ||
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด | ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | ||
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง | พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ||
๏ ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก | ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา | ||
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา | ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ||
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม | ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | ||
ชมทะเลเมฆาจนตาลาย | ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง | ||
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ | เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง | ||
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง | ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม | ||
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด | ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์ | ||
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ | อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ | ||
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส | พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว | ||
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป | จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ | ||
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย | ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ||
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน | แสนรำคาญคิดไปใจระบม | ||
จึงประกาศเทวาสุราฤทธิ์ | ขอฝากมิตรที่ในกรุงอันสุงสม | ||
ประกาศแล้วแล่นมาเวลาลม | พี่ซมซมโศกสะอื้นกลืนน้ำตา | ||
๏ ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย | จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | ||
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา | เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | ||
โอ้ปานนี้แก้วพี่อยู่ภายหลัง | ยังคงคิดถึงพี่บ้างฤๅไฉน | ||
พี่มัวมองปองสวาทเพียงขาดใจ | แสนอาลัยเหลือล้นพ้นประมาณ | ||
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง | ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | ||
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ | เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล | ||
พี่เหลียวแลแต่ไกลมิได้หยุด | ก็รีบรุดเรือพลันไม่หันเห | ||
ประสบช่องต้องลมสมคะเน | เสียงฮาเฮโห่มาในสาคร | ||
๏ ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่ | พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร | ||
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร | ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย | ||
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ | ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย | ||
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย | ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา | ||
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์ | หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา | ||
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา | เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร | ||
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง | เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร | ||
สุริยาลงลับยุคนธร | พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย | ||
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ | ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย | ||
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย | ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง | ||
เผ็นเม็ดลอยกลิ้งกลมน่าชมเล่น | เสียแต่เป็นน้ำไหลมิได้แข็ง | ||
ถ้าเป็นแก้วแล้วจะเก็บเอาพอแรง | จะจัดแจงมาฝากน้อยสักสองโกย | ||
ยิ่งชมน้ำก็ยิ่งกล้ำกับทรวงโศก | แสนวิโยคร่ำไห้ไม่วายโหย | ||
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นโอย | พี่ดิ้นโดยมาจนแจ้งแสงตะวัน ฯ | ||
๏ ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา | เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์ | ||
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน | จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ | ||
โอ้ม่องลายไล่โศกเราเสียบ้าง | ให้เสื่อสร่างโศกน้ำตาไหล | ||
มาเถิดมามาไล่เสียให้ไกล | เรียกเท่าไรเกาะก็นิ่งพี่ยิ่งตรอม | ||
พี่ยิ่งตรึกนึกถึงคะนึงนาฏ | คะนึงนุชสุดสวาทจะซูบผอม | ||
จนซูบผิดรูปร่างหมองหมางมอม | ให้หมองมัวมืดพร้อมทั้งอกใจ | ||
ในจิตจงหลงรักหักไม่หาย | หักไม่แห้งเหืดสายสุชลไหล | ||
สุชลหลั่งคลั่งเคลิ้มเพิ่มพิไร | พี่เริ่มแรงมาในทะเลนอง | ||
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ | ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง | ||
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง | ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู | ||
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน | ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู | ||
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู | บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง | ||
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก | ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง | ||
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง | ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม | ||
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ | มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม | ||
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม | พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป | ||
ด้วยเดชะผลบุญคุณพระพุทธ | ฉลามหยุดยั้งขยาดไม่อาจไล่ | ||
แตาโศกพี่มิได้หยุดสุดพิไร | รีบครรไลแล่นมาในสาคร ฯ | ||
๏ ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวษ | ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร | ||
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน | ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร | ||
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น | ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส | ||
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล | เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ | ||
ยิ่งโหยหวนครวญหานาวาแล่น | ก็หมายแม่นมุ่งเขตประเทศสถาน | ||
ตัวคนท้ายนายนำนั้นชำนาญ | เคยประมาณหนทางกลางชลา | ||
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก | ราวกับนกบินเตร่บนเวหา | ||
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล | ||
๏ ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด | นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน | ||
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล | จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา | ||
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่ | มีทองแต่โบราณนานหนักหนา | ||
บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา | ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง | ||
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ | ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง | ||
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง | ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา | ||
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง | ราคาสูงสมสีดีหนักหนา | ||
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา | แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ | ||
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว | ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว | ||
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร | พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน | ||
เป็นเมืองริมวารีกะจีริด | นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน | ||
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล | ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก | ||
๏ โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่ | จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์ | ||
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก | มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ | ||
อนาถจิตอนิจจาเวลานี้ | ไม่ควรที่จากมิตรพิสมัย | ||
ทางสมุทรสุดแค้นก็แสนไกล | ทำไฉนน้องจะรู้ว่าเรียมครวญ | ||
ขอเชิญแม่เมขลามหาสมุทร | ฤทธิรุทรเหาะเหินระเห็จหวน | ||
ช่วยบอกน้องว่าฉันรำพันครวญ | แม่นิ่มนวลนางฟ้าจงปรานี | ||
แม่อยู่ไหนเชิญมาช่วยด้วยให้ได้ | ฉันสั่งไว้ใต้เบื้องบทศรี | ||
ประกาศแล้วเลยมาในวารี | เสียงคลื่นตีฟองฟาดสาดกระจาย | ||
๏ ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย | เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย | ||
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย | เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป | ||
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ | ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว | ||
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป | แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา | ||
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา | ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา | ||
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา | ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี | ||
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม | น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี | ||
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี | ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย | ||
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก | แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย | ||
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย | ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย | ||
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ | อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส | ||
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ | ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง | ||
โอ้ว่าเกาะเอ๋ยเกาะละเมาะไม้ | อันมีในพระสมุทรทะเลหลวง | ||
พี่ทุกข์มากกว่าละเมาะเกาะทั้งปวง | ให้หนักทรวงสุดทรงดำรงกาย | ||
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำทะเลลึก | เป็นคลื่นคลอนโครมครึกไม่รู้หาย | ||
อันทุกข์พี่เล่าก็มีอยู่มากมาย | ไม่เคลื่นคลายทุกข์บ้างฤๅอย่างกัน | ||
โอ้ว่าลมเอ๋ยลมรำเพยพัด | โบกระบัดใบพานาวาผัน | ||
ถึงจะถูกลมอื่นสักหมื่นพัน | ไม่สำคัญเหมือนลมอารมณ์คน | ||
โอ้ว่าจิตเอ๋ยจิตพี่คิดโศก | แสนวิโยคยากเย็นทุกเส้นขน | ||
ไม่หยุดหย่อนจรมาในสาชล | ประจวบจนแจ่มแจ้งแสงอุทัย ฯ | ||
๏ ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ | หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน | ||
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร | ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร | ||
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก | มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร | ||
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน | แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง | ||
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก | ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์ | ||
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง | ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน | ||
๏ ถึงประสงค์มีจิตคิดประสงค์ | จะคืนคงกลับหลังยังสถาน | ||
คะนึงไปคะนึงมาน่ารำคาญ | คิดจะราญรอนคอให้มรณา | ||
โอ้หัวอกของพี่เท่านี้และ | จะแตกแยะออกแท้แน่แล้วหนา | ||
ด้วยความทุกข์เข้ามาทับกับอุรา | ใครเกิดมาเหมือนพี่ไม่มีเลย | ||
ยิ่งคิดไปใจคอยิ่งท้อแท้ | ชำเลืองแลซ้ายขวานิจจาเอ๋ย | ||
ยิ่งพระพายชายพัดพารำเพย | เรือก็เลยล่องมาในสาคร | ||
๏ ถึงไชยาธานีบุรีสถาน | เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร | ||
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร | สถาพรพูนสุขสนุกสบาย | ||
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน | ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย | ||
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย | บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง | ||
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด | ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง | ||
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง | นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล | ||
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร | ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล | ||
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ | แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย | ||
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท | พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย | ||
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร | ||
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก | ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน | ||
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน | อรชรช่อผลระคนใบ | ||
เกตระกำอำพาจำปาดะ | ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว | ||
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป | มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน | ||
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน | นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์ | ||
โทมนัสทัศนาดูวาริน | ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร | ||
ภุมรินบินร่อนเข้าฟอนเฟ้น | เหมือนพี่เคล้นเคล้าน้องประคองสมาน | ||
แมลงภู่ชูชื่นรื่นสำราญ | แสนรำคาญก็แต่พี่ไม่มีชม | ||
โอ้นับวันจะกระสันด้วยความโศก | ดั่งแผ่นโลกเลิกกลับขึ้นทับถม | ||
ถ้าเก็บรักกองไว้ได้ถึงพรหม | ใครจะตรมเท่าเทียมกับเรียมตรอม | ||
โอ้เสียดายสายใจวิไลโฉม | เคยประโคมเลียบลูบจูบถนอม | ||
เสียดายดอกบัวทองจะหมองมอม | จะหายหอมเหี่ยวแห้งด้วยแสงตะวัน | ||
มณฑาเทศเกศแก้วพิกุลเอ๋ย | เมื่อไรเลยจะได้กลับมารับขวัญ | ||
พี่มาไกลใจหายเสียดายครัน | โอ้นับวันแต่จะร่วงพวงผกา | ||
๏ ขอเชิญไท้เทวัญทุกชั้นช่อง | ช่วยปกป้องดอกดวงพวงบุปผา | ||
ให้ชุ่มชื่นเฉื่ยฉ่ำด้วยน้ำฟ้า | อย่าโรยราร่วงหล่นจากต้นเลย | ||
รำพึงพลางทางมาในสาคเรศ | แสนเทวษวิตกโอ้อกเอ๋ย | ||
พี่ยิ่งมาก็ยิ่งไกลมิได้เชย | สูญเสบยสิ้นสบายไม่วายครวญ | ||
พี่แลเห็นกแจากสองฟากน้ำ | ยิ่งโศกช้ำเสียวใจอาลัยหวน | ||
ด้วยจากชมจากชิดสนิทนวล | มาจวนจวนจากกอระย่อใจ | ||
โอ้ต้นจากคนตัดแล้วลัดยอด | เป็นทางทอดอยู่กับท่าชลาไหล | ||
ไม่จากที่เหมือนหนึ่งเราที่เศร้าใจ | เราจากไกลนุชนางมาค้างแรม | ||
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ | เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม | ||
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม | ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา | ||
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน | ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา | ||
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา | ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง | ||
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ | ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง | ||
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง | นายระวางพูดจาปรึกษากัน | ||
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ | ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน | จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย | ||
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด | เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย | ||
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย | ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ | ||
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย | ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์ | ||
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ | ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล | ||
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย | ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน | แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ | ||
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง | ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน | ||
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน | เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ | ||
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก | แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ | ||
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ | พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี | ||
๏ ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ | เห็นสวะติดวนวารีศรี | ||
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี | ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว | ||
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา | หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว | ||
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว | แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง | ||
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด | คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง | ||
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง | อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป | ||
บ้างเกาคางกางขาแหกตาหลอก | ขู่ตะคอกคำรามตามวิสัย | ||
บ้างเก็บลูกกุ่มกินปลิ้นเม็ดใน | บ้างลดไล่เลี้ยวลอดบ้างกอดกัน | ||
บ้างพลัดคู่นั่งอยู่บนกิ่งกุ่ม | ถึงเพื่อนกลุ่มก็เปลี่ยวจิตคิดกระสัน | ||
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ | ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | ||
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง | รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล | ||
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป | มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา | ||
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง | แลตะลึงลานจิตพินิจหา | ||
ดูรกนักหักพังเป็นรังกา | อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา | ||
เราร้างนุชสุดใจมาไกลข้าง | พบวัดร้างร้อนใจดังไฟเผา | ||
เป็นสองร้างสามร้างไม่บางเบา | ก็โศกเศร้ามาในวนชลธาร | ||
๏ ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ | ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน | ||
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ | โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน | ||
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด | ปฏิบัติสิกขาหากุศล | ||
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ | อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี | ||
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด | อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์ | ||
แต่อายุยังไม่ครบประจบปี | ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา | ||
เดชะบุญคุณครูได้รู้คิด | ขอชีวิตยาวยืนหมื่นพรรษา | ||
ให้ได้บวชสวดมนต์ภาวนา | จะได้พาดวงใจไปนิพพาน | ||
๏ รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ | เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน | ||
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร | ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว | ||
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง | เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว | ||
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว | ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร | ||
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง | ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน | ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม | ||
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด | น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม | ||
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม | แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน | ||
พี่มาไกลไสยาสน์บนหาดนี้ | มิได้มีมุ้งผูกทั้งฟูกหมอน | ||
ต้องนอนตากน้ำค้างกลางอัมพร | เอาทรายนอนต่างฟูกกระดูกเย็น | ||
โอ้อกเอ๋ยเคยนอนอยู่ในห้อง | ได้แนบน้องเป็นสุขไม่ยุคเข็ญ | ||
พี่เคยพลอดกอดก่ายไม่วายเว้น | ยังนึกเห็นรูปจริตติดนัยน์ตา | ||
พี่จำได้มีไฝอยู่ที่แก้ม | เมื่อยิ้มแย้มยียวนชวนหรรษา | ||
แม่เคยแต้มเคยแต่งเอาแป้งทา | ให้เชษฐาแอบออมถนอมชม | ||
ชั่งฉอเลาะเพราะพริ้งทุกสิ่งสรรพ์ | ทุกคืนวันเชยชิดสนิทสนม | ||
โอ้แต่นี้พี่จะได้ผู้ใดชม | คิดแล้วตรมตรอมใจอาลัยลาน | ||
นอนไม่หลับกลับลุกขึ้นดูเพื่อน | เขานอนเกลื่อนกลางหาดด้วยอาจหาญ | ||
หลับสนิทมิได้คิดกลัวภัยพาล | พี่รำคาญนั่งบ่นอยู่คนเดียว | ||
แลเห็นใบตะไคร่น้ำตามลำหาด | น้ำค้างสาดสดชุ่มชอุ่มเขียว | ||
จิงหรีดร้องก้องหาดกรีดกราดเกรียว | พี่ฟังเสียวทรวงเย็นระย่อใจ | ||
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด | เดียรดาษแวววามงามไสว | ||
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป | ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์ | ||
ยิ่งพินิจก็ยิ่งคิดคะนึงน้อง | จนแสงทองส่องฟ้าไก่ป่าขัน | ||
ดุเหว่าแว่วเสียงหวานประสานกัน | แสงตะวันส่องภพจบสกล | ||
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมหน้า | ลงนาวาพายคว้างมากลางหน | ||
พี่เหลียวแลขวาซ้ายริมสายชล | เห็นบ้านคนห่างห่างตามทางมา | ||
๏ ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก | มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา | ||
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา | เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย | ||
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ | เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย | ||
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย | วิไลลายทองทาบดูปลาบตา | ||
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง | ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา | ||
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา | ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง | ||
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง | มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง | ||
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง | แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ | ||
ออกจากท่าหน้าวัดถ้ำกำดัดเที่ยง | แดดออกเปรี้ยงร้อนรนเป็นพ้นเหลือ | ||
พี่วิดวักน้ำอาบให้ซาบเนื้อ | แล้วรีบเรือเร็วมาในสาชล | ||
เห็นลูกงิ้วแตกปลิวเป็นฝุ่นฟุ้ง | พระพายพัดพาพุ่งขึ้นเวหน | ||
อันชาตินุ่นลมพานไม่ทานทน | เหมือนคบคนใจเบาเยาว์ปัญญา | ||
ไม่รู้จักรักกันทำหันหุน | พกแต่นุ่นโกรธแค้นถึงแสนสา | ||
ใครใจเบาแล้วไม่เอาเป็นตำรา | สิ้นคบค้าขาดกันจนวันตาย | ||
ถ้าแม้นใครพกหินกินที่ลึก | จะจารึกรักไว้มิให้หาย | ||
จนสุดสิ้นดินฟ้าชีวาวาย | ไม่สูญหายสุดที่รักของเรียมเลย | ||
ยิ่งคิดถึงน้องรักยิ่งหนักอก | แสนวิตกเต็มประดานิจจาเอ๋ย | ||
กระสันเสียวเปลี่ยวใจด้วยไกลเชย | ชะแง้เงยชมไม้ใกล้ชลา | ||
ล้วนป่าสูงยูงยางสล้างสลับ | เหลือที่จะนับชื่อไม้ไพรพฤกษา | ||
เป็นพวงผลหล่นลงในคงคา | หมู่มัจฉากินเล่นเป็นสำราญ | ||
แต่ตัวเราเศร้าจิตคิดถวิล | ไม่อยากกินโภชนากระยาหาร | ||
กินแต่โศกกับระกำยิ่งรำคาญ | ทุกวันวารมิได้วายคลายอาวรณ์ | ||
๏ บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น | แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน | ||
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน | ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง | ||
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก | น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง | ||
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง | บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ | ||
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง | บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย | ||
บ้างก็แบกปืนผาพากันไป | ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง | ||
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า | รินสุราดื่มดังฟังแสยง | ||
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง | หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ | ||
พี่เห็นเพื่อนกินเหล้าให้เศร้าจิต | ไม่นั่งชิดแต่พอเห็นให้เหม็นเหลือ | ||
หนีไปนั่งตามสบายข้างท้ายเรือ | สงสารเนื้อที่เขาฆ่าชีวาวาย | ||
โอ้สัตว์ป่าน่าที่จะหนีพ้น | ยังให้คนกินได้น่าใจหาย | ||
จะว่าไปใครเลยจะพ้นตาย | อันร่างกายเกิดมาย่อมสาธารณ์ | ||
ประเดี๋ยวสัตว์กินคนคนกินสัตว์ | ชั่งเปลี่ยนผลัดกันกินทุกถิ่นฐาน | ||
ถึงเรืองฤทธิเวทวิเศษฌาน | ไม่แก่นสารคงตายทำลายไป | ||
ถึงตัวพี่ที่คิดจิตกระสัน | ไม่รู้วันมรณาเวลาไหน | ||
ถ้าพี่ตายลงพลันในทันใด | ทำกระไรจะได้น้องประคองนอน | ||
พี่ได้ชมน้อยนักยังรักมาก | มาพลัดพรากมิได้อยู่เป็นคู่สมร | ||
อนาถนึกตรึกตรายิ่งอาวรณ์ | ทุเรศร้อนแรมมาในวารี | ||
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง | เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์ | ||
เขาว่าเสือชุมนักมักราวี | ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน | ||
พี่สอดตาหาเสือไม่เห็นเสือ | ก็รีบเรือเร็วรุดไม่หยุดหย่อน | ||
บ้างถ่อพายมาในสายชโลธร | ผลัดกันนอนผลัดกันนั่งระวังภัย | ||
๏ บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ | เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข | ||
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน | ||
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง | ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์ | ||
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน | หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง | ||
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา | พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง | ||
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง | ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว | ||
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น | มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว | ||
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว | ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ | ||
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง | กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ | ||
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ | เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง | ||
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ | ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง | ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน | ||
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต | ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน | ||
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน | ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล | ||
๏ บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น | เสียงสนั่นเฮฮามาไสว | ||
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ | คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง | ||
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน | ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์ | ||
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน | ||
เหล่านักเลงสุราหากระบอก | เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน | ||
แบกกระบอกสุราพากันเดิน | พูดหยอกเอินกันตามความสบาย | ||
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข | มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย | ||
ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย | พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ | ||
เห็นรังเรียงเคียงดงประลงค์แย้ม | บุนนาคแนมดอกพะยอมก็หอมหวน | ||
ต้องน้ำค้างชุ่มช่อลออนวล | ถูกลมหวนหอบพัดสลัดลอย | ||
มะปรางปริงกิ่งประลงระข้าง | พี่ฉวยพลางรวบหักไม่พักสอย | ||
ประดูดอกดาษดาระย้าย้อย | นกน้อยๆ จิกกินแล้วบินจร | ||
เห็นนกเปล้าจับเปล้าอยู่เปลี่ยวเพื่อน | ดูก็เหมือนเรียมพรากจากสมร | ||
เห็นนกแอบแนบอกนางนกนอน | เหมือนสมรแอบอกพี่อุ่นใจ | ||
เบญจวรรณนับวันเถิดอกเอ๋ย | จะชวดเชยชมชิดพิสมัย | ||
จากพรากเหมือนจากเจ้ามาไกล | นกเขาไฟเหมือนไฟมาสุมทรวง | ||
ชะนีนางครางครวญหวนละห้อย | ตะวันคล้อยลับลงในดงหลวง | ||
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าบุปผาพวง | ใบไม้ร่วงนกนิ่งประนังนอน | ||
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นแจ้ว | วิเวกแว่วดุจเสียงสำเนียงสมร | ||
ยิ่งฟังเสียงสัตว์ป่ายิ่งอาวรณ์ | ก็รีบจรไสช้างมากลางไพร | ||
๏ ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ | มีธารน้ำศาลาที่อาศัย | ||
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย | ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ | ||
ใครไปมาหาของกองคำนับ | อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ | ||
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ | ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย | ||
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก | ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย | ||
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย | ขอฝากกายอาศัยในศาลา | ||
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก | มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา | ||
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา | พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว | ||
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย | เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว | ||
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว | ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ | ||
ไม่เห็นแสงจันทราเวลาดึก | ยิ่งรำลึกถึงน้องไม่ผ่องใส | ||
พี่หลับคืนวันนั้นก็ฝันไป | ว่าขวัญใจตามมาในป่าดอน | ||
พี่รับขวัญขวัญใจให้ไสยาสน์ | นุชนาฏอ่อนพับลงกับหมอน | ||
พี่โลมลูบจูบปรางแล้วกางกร | กอดเอาเพื่อนที่เขานอนอยู่เคียงกาย | ||
ละเมอพูดไปตามความวิตก | เขาผลักอกพี่อักผงักหงาย | ||
พี่ตกใจตื่นขึ้นสะอื้นอาย | ก็ฟูมฟายชลนาในราตรี | ||
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง | กระจ่างดวงสุริยาในราศรี | ||
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที | อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร | ||
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง | มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย | กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง | ||
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง | ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์ | ||
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง | ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล | ||
๏ ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ | ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน | ||
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล | ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน | ||
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน | จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน | ||
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน | มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย | ||
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ | เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล | ||
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง | ||
มีสำเภาเลากามาค้าขาย | ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง | ||
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง | ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย | ||
๏ ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก | ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย | ||
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย | มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน | ||
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง | ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน | ||
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน | พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู | ||
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง | ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู | ||
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู | ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน | ||
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ | ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน | ||
พี่พาชายชาวในออกไปปน | ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน | ||
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู | ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน | หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน | ||
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช | ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย | ||
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย | สู้อดใจราวกับพระชนะมาร | ||
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น | แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล | ||
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน | ก็คิดอ่านไปชมยมนา | ||
๏ เขาว่ามีรอยพระบาทที่หาดกว้าง | แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา | ||
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา | ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง | ||
ไปตามทางข้างทิศตะวันตก | ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์ | ||
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง | ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร | ||
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง | เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล | ||
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป | ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี | ||
สารพัดผักปลาในสาคเรศ | ปทุมเมศดอกประดับสลับสี | ||
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี | พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา | ||
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง | ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา | ||
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา | ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน | ||
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า | ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์ | ||
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล | ประชาชนหญิงชายสบายบาน | ||
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก | ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน | ||
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล | ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน | ||
๏ พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน | มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์ | ||
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน | พี่ผันผินทัศนาชลาลัย | ||
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง | กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว | ||
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ | ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ | ||
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ | บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน | ||
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ | ผุดขนานแน่นหนาในสาคร | ||
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน | ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน | ||
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร | เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล | ||
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน | เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน | ||
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล | ระคนปนกรวดทรายชายชลา | ||
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย | มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา | ||
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา | ดาษดาดีดีสีต่างกัน | ||
๏ บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง | บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน | ||
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ | ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม | ||
มีหอยสังข์สูงศักดิ์ทักขิณวัฏ | สารพัดของดีก็มีถม | ||
มีตัวมุกสุกใสไข่กลมๆ | ในย่านยมนานั้นอำพันมี | ||
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง | เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี | ||
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี | เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง | ||
พี่ดูพลางเดินพลางมากลางหาด | เลียบลีลาศริมสมุทรก็สุดหมอง | ||
เห็นกรวดทรายพรายแพรวเป็นแก้วทอง | คิดถึงน้องนึกตรมระบมใจ | ||
ถ้าน้องแก้วแววตามากับพี่ | จะชวนชี้ชมมหาชลาไหล | ||
โอ้เสียดายสายสวาทนิราศไกล | ต่อเมื่อไรได้คืนไปชื่นเชย | ||
ดูทะเลเล่าก็กว้างเห็นว่างเปล่า | เหมือนอกเราว้าเหว่ทะเลเอ๋ย | ||
ดูเนินทรายฝ่ายท่าล้วนป่าเตย | หอมระเหยดอกดวงพวงผกา | ||
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก | หอมลำเจียกรัญจวนเที่ยวหวนหา | ||
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา | พระสุริยาอัสดงค์ลงไรไร | ||
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา | ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน | ||
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป | ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน | ||
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง | ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน | ||
ดูไสวใบบังพระสุริยน | เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา | ||
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง | ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา | ||
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา | กระลำภาโกฐสอสมอไทย | ||
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ | กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล | ||
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร | มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา | ||
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด | ปักษาชาติจิกกินบินถลา | ||
นกโนรีสีแดงดังชาดทา | มยุราลงเดินบนเนินทราย | ||
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน | จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย | ||
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย | เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง | ||
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน | บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง | ||
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง | แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร | ||
๏ บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก | แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร | ||
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร | ทินกรเลื่อนลับลงกับชล | ||
พระจันทรอุทัยขึ้นไขแสง | กระจ้างแจ้งทะเลแลเวหน | ||
ได้ยินเสียงคลื่นคลั่งในวังวน | จรดลเดินมาในราตรี | ||
ได้ยินเสียงสิงห์สัตว์จัตุบาท | ลงเล่นหาดยมนาวารีศรี | ||
กระต่ายโตโคถึกมฤคี | ทั้งหมูหมีหมาในไอยรา | ||
พี่นึกกลัวตัวสั่นให้หวั่นหวาด | เอาคุณพระพุทธบาทปกเกศา | ||
มิได้มีโพยภัยครรไลมา | จนสุริยาส่องสว่างกลางอัมพร | ||
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท | ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร | ||
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ | ประณมกรอภิวาทบาทบงส์ | ||
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม | รินน้ำหอมปรายประชำระสรง | ||
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง | เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา | ||
พี่ลูบต้องมองแลพระลายลักษณ์ | เห็นประจักษ์จริงจังไม่กังขา | ||
มีทั้งร้อยแปดอย่างกระจ่างตา | เป็นดินฟ้าพรหมอินทร์สิ้นทั้งปวง | ||
มีขอบเขาจักรวาลพิมานมาศ | ห้องอากาศเมรุไพรอันใหญ่หลวง | ||
พระสุริยันจันทราดาราดวง | มีทั้งห้วงนทีสีทันดร | ||
นาคมนุษย์ครุฑาสุรารักษ์ | ทั้งกงจักรห้องแก้วธนูศร | ||
สกุณินกินราวิชาธร | มีไกรสรเสื้อช้างและกวางพราย | ||
มีอยู่พร้อมเพริศพริ้งทุกสิ่งสรรพ์ | ดูอนันต์นับยากด้วยมากหลาย | ||
ยิ่งพิศดูยิ่งงามอร่ามพราย | ด้วยแสงทรายแวววามอร่ามเรือง | ||
มีบัวบุษผุดรับวะวับวาบ | ดูเปล่งแปลบแวววาวเขียวขาวเหลือง | ||
พื้นพระบาทผุดผ่องดังทองประเทือง | ดูรุ่งเรืองด้วยทรายนั้นหลายพรรณ | ||
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด | ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์ | ||
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน | ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ | ||
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ | ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน | ||
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา | ||
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก | พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา | ||
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา | ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน | ||
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด | ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน | บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย | ||
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ | ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย | ||
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย | เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป | ||
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น | มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย | ||
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย | เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา | ||
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง | ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา | ||
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา | กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป | ||
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน | ในกลางย่านยมนาชลาไหล | ||
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ | แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ | ||
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ | ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร | ||
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน | แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา | ||
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ | พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา | ||
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา | ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ | ||