นิราศธารถลาง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: นายมี

บทประพันธ์

๏ จะร่ำปางทางไกลไปถลาง
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนางทุเรศร้างรสรักหนักอุรา
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหายแสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา
ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธาราพี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ
แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหงของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ
บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐานโอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดีย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน
๏ วัดพระแก้วมรกตก็สดใสงามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยลจะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์
ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวันกระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี
ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรักอย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี
ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปีขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย
ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่าจนเวลารุ่งรางสว่างไสว
ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัยก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์
ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวนพี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โตหัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย
ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย
เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพายออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาดจะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพจะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ
๏ วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้มมิได้ลืมรสรักสมัครสมาน
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลานถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ
แม่ปลื้มจิตแม่จงคิดถึงพี่บ้างอย่าเพ่อสร้างรสรักจนตักษัย
เคยปลื้มจิตจงได้คิดถึงปลื้มใจขออย่าให้น้องลืมที่ปลื้มเอย
๏ ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาดไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคยพี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้าบรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวายโอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา
สารพัดที่จะไกลมิได้เห็นเผอิญเป็นกรรมเคราะห์เพราะพระเสาร์
มาทุ่ทแทงแรงร้ายมิคลายเบาไม่จากเจ้าก็จะตายวายชีวี
ต้องเสียรักหักใจอาลัยเหลือมาทางเรือตามชะตาในราศี
รำพันพลางทางมาในวารีหัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง
๏ ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียวยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปองนาวาล่องตามลำแม่น้ำไป
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผีด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล
ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกลพลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน
กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อยแม่ค้าลอยขายของร้องประสาน
บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการน่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่วเสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนางจนเรือห่างเหินมาในสาคร
๏ ถึงวัดราชบูรณะระยะสวนเห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชรแมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้องไปตามท้องวังวนชลสาย
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมายสังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหนพี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมาละลายยาแก้โรคที่โศกใจ
๏ มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุดแล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจมิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้นที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง
สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนืองงามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม
ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม
คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความกลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป
มาถึงช่องอินทรีทวีโศกแสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไลรันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา
๏ ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้านึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภาแต่พันตาพันวังหัวฝังดิน
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ยขอลาเลยลับไปดังใจถวิล
ช่วยป้องกันกุมภาในวารินอย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี
มาตะบึงลุถึงพระโขนงน้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดีแต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา
๏ ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษีไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลาแล้วพาโบกบินไปกินรัง
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำนกยังดำกินได้ดังใจหวัง
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวังจนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้องอยู่บ้านช่องปึกแผ่นก็แน่นหนา
แม้นประมาทพลาดพลั้งเหมือนดั่งปลาถ้าใครคว้าเอาไปได้พี่ตายจริง
๏ ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่ายระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิงปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน
ทัศนาธานีเห็นพิลึกพวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน
ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญคงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ
ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ
พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือประทานชื่อยศนามตามตระกูล
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขันคอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูรก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย
แต่ตัวข้าอาภัพกลับเป็นทุกข์นิราศสุขสุดไกลน่าใจหาย
จะไปหาเคราะห์ดีหนีเคราะห์ร้ายเป็นฤๅตายก็จะสู้ไปดูที ฯ
๏ มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่นให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารีถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็นอย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่องมาตามท้องคงคาชลาไหล
เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัยพระภูวไนยสร้างสรรไว้มั่นคง
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัสเห็นถนัดหอคอยลอยระหง
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก
มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่องจะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก
ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึกมิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุดคงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียวพริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ
แต่สุดรักของพี่นี้สุดรบเหลือจะหลบหลีกลัดประหัตประหาร
รบไม่แตกแบกรักหนักอยู่นานจะคิดอ่านรบยากลำบากจริง
จะคิดหนีก็มิพ้นต้องทนโศกสำหรับโลกทั้งหลายชายกับหญิง
ก็เป็นเหมือนตัวพี่ที่ประวิงมิอาจทิ้งให้ขาดสวาทเลย
๏ โอ้อกพี่นี้เพียงจะแตกครากด้วยจรจากมิตรมานิจจาเอ๋ย
ยิ่งตรมจิตคิดไปไม่เสบยเรือก็เลยล่องลอยชลามา
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตรพระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวากินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้นพัลวันนั่งลุกสนุกสนาน
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทานต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา
จนดึกดื่นเดือนดับเขาหลับหมดเรียมระทดถึงมิตรขนิษฐา
ไม่หลับใหลใจหายหงายดูฟ้าเห็นดาราเรืองอร่ามวะวามวาว
น้ำค้างพรมลมรื่นคลื่นกระฉ่อนมิได้นอนแนบนุชพี่สุดหนาว
มานานไกลกลอยสวาทพี่ขาดคราวโอ้จะหนาวเนื้อพี่ทุกวี่วัน
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิดพระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกันพัลวันเกะกะเอะอะอึง
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัดให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึงพอลมตึงติดใบก็ไคลคลา
๏ ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึกทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตาดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่มติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย
ชมทะเลเมฆาจนตาลายตะวันสายคลื่นลมระดมดัง
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจเฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชังถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาดขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำอย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัสพระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไปจนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ยขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านานแสนรำคาญคิดไปใจระบม
จึงประกาศเทวาสุราฤทธิ์ขอฝากมิตรที่ในกรุงอันสุงสม
ประกาศแล้วแล่นมาเวลาลมพี่ซมซมโศกสะอื้นกลืนน้ำตา
๏ ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ยจะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนาเป็นเวลากรรมมากที่จากไกล
โอ้ปานนี้แก้วพี่อยู่ภายหลังยังคงคิดถึงพี่บ้างฤๅไฉน
พี่มัวมองปองสวาทเพียงขาดใจแสนอาลัยเหลือล้นพ้นประมาณ
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวงก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณเห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล
พี่เหลียวแลแต่ไกลมิได้หยุดก็รีบรุดเรือพลันไม่หันเห
ประสบช่องต้องลมสมคะเนเสียงฮาเฮโห่มาในสาคร
๏ ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาครดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีรายศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเราเห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้องเรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร
สุริยาลงลับยุคนธรพระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพรายดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง
เผ็นเม็ดลอยกลิ้งกลมน่าชมเล่นเสียแต่เป็นน้ำไหลมิได้แข็ง
ถ้าเป็นแก้วแล้วจะเก็บเอาพอแรงจะจัดแจงมาฝากน้อยสักสองโกย
ยิ่งชมน้ำก็ยิ่งกล้ำกับทรวงโศกแสนวิโยคร่ำไห้ไม่วายโหย
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นโอยพี่ดิ้นโดยมาจนแจ้งแสงตะวัน ฯ
๏ ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หาเห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทันจังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ
โอ้ม่องลายไล่โศกเราเสียบ้างให้เสื่อสร่างโศกน้ำตาไหล
มาเถิดมามาไล่เสียให้ไกลเรียกเท่าไรเกาะก็นิ่งพี่ยิ่งตรอม
พี่ยิ่งตรึกนึกถึงคะนึงนาฏคะนึงนุชสุดสวาทจะซูบผอม
จนซูบผิดรูปร่างหมองหมางมอมให้หมองมัวมืดพร้อมทั้งอกใจ
ในจิตจงหลงรักหักไม่หายหักไม่แห้งเหืดสายสุชลไหล
สุชลหลั่งคลั่งเคลิ้มเพิ่มพิไรพี่เริ่มแรงมาในทะเลนอง
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟองตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อนราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรูบ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอกดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลงดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุมุทะลุหนักหนาปลาฉลาม
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตามพี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป
ด้วยเดชะผลบุญคุณพระพุทธฉลามหยุดยั้งขยาดไม่อาจไล่
แตาโศกพี่มิได้หยุดสุดพิไรรีบครรไลแล่นมาในสาคร ฯ
๏ ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวษชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอนใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็นดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกลเห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ
ยิ่งโหยหวนครวญหานาวาแล่นก็หมายแม่นมุ่งเขตประเทศสถาน
ตัวคนท้ายนายนำนั้นชำนาญเคยประมาณหนทางกลางชลา
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตกราวกับนกบินเตร่บนเวหา
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมาไม่รอรารีบรัดตัดตำบล
๏ ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิดนิ่งพินิจแนวทางมากลางหน
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมลจนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่มีทองแต่โบราณนานหนักหนา
บังเกิดกับกายสิทธิอิศราไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้องถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุงราคาสูงสมสีดีหนักหนา
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทาแต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิวถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไรพี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน
เป็นเมืองริมวารีกะจีริดนั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชลถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก
๏ โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรักมาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ
อนาถจิตอนิจจาเวลานี้ไม่ควรที่จากมิตรพิสมัย
ทางสมุทรสุดแค้นก็แสนไกลทำไฉนน้องจะรู้ว่าเรียมครวญ
ขอเชิญแม่เมขลามหาสมุทรฤทธิรุทรเหาะเหินระเห็จหวน
ช่วยบอกน้องว่าฉันรำพันครวญแม่นิ่มนวลนางฟ้าจงปรานี
แม่อยู่ไหนเชิญมาช่วยด้วยให้ได้ฉันสั่งไว้ใต้เบื้องบทศรี
ประกาศแล้วเลยมาในวารีเสียงคลื่นตีฟองฟาดสาดกระจาย
             

๏ ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อยเขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะรายเป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไปแวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขาชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลาดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วมน้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรีลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอกแล้วแล่นออกไปในวนชลสาย
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณรายดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติอร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง
โอ้ว่าเกาะเอ๋ยเกาะละเมาะไม้อันมีในพระสมุทรทะเลหลวง
พี่ทุกข์มากกว่าละเมาะเกาะทั้งปวงให้หนักทรวงสุดทรงดำรงกาย
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำทะเลลึกเป็นคลื่นคลอนโครมครึกไม่รู้หาย
อันทุกข์พี่เล่าก็มีอยู่มากมายไม่เคลื่นคลายทุกข์บ้างฤๅอย่างกัน
โอ้ว่าลมเอ๋ยลมรำเพยพัดโบกระบัดใบพานาวาผัน
ถึงจะถูกลมอื่นสักหมื่นพันไม่สำคัญเหมือนลมอารมณ์คน
โอ้ว่าจิตเอ๋ยจิตพี่คิดโศกแสนวิโยคยากเย็นทุกเส้นขน
ไม่หยุดหย่อนจรมาในสาชลประจวบจนแจ่มแจ้งแสงอุทัย ฯ
๏ ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพรภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุกมีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอนแอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอกฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดังไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน
๏ ถึงประสงค์มีจิตคิดประสงค์จะคืนคงกลับหลังยังสถาน
คะนึงไปคะนึงมาน่ารำคาญคิดจะราญรอนคอให้มรณา
โอ้หัวอกของพี่เท่านี้และจะแตกแยะออกแท้แน่แล้วหนา
ด้วยความทุกข์เข้ามาทับกับอุราใครเกิดมาเหมือนพี่ไม่มีเลย
ยิ่งคิดไปใจคอยิ่งท้อแท้ชำเลืองแลซ้ายขวานิจจาเอ๋ย
ยิ่งพระพายชายพัดพารำเพยเรือก็เลยล่องมาในสาคร
๏ ถึงไชยาธานีบุรีสถานเห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากรสถาพรพูนสุขสนุกสบาย
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนนล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชายบ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสดทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึงนึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทรก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบแจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิทพี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมายเป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมากทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อนอรชรช่อผลระคนใบ
เกตระกำอำพาจำปาดะทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไปมะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวนนาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์
โทมนัสทัศนาดูวารินระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร
ภุมรินบินร่อนเข้าฟอนเฟ้นเหมือนพี่เคล้นเคล้าน้องประคองสมาน
แมลงภู่ชูชื่นรื่นสำราญแสนรำคาญก็แต่พี่ไม่มีชม
โอ้นับวันจะกระสันด้วยความโศกดั่งแผ่นโลกเลิกกลับขึ้นทับถม
ถ้าเก็บรักกองไว้ได้ถึงพรหมใครจะตรมเท่าเทียมกับเรียมตรอม
โอ้เสียดายสายใจวิไลโฉมเคยประโคมเลียบลูบจูบถนอม
เสียดายดอกบัวทองจะหมองมอมจะหายหอมเหี่ยวแห้งด้วยแสงตะวัน
มณฑาเทศเกศแก้วพิกุลเอ๋ยเมื่อไรเลยจะได้กลับมารับขวัญ
พี่มาไกลใจหายเสียดายครันโอ้นับวันแต่จะร่วงพวงผกา
๏ ขอเชิญไท้เทวัญทุกชั้นช่องช่วยปกป้องดอกดวงพวงบุปผา
ให้ชุ่มชื่นเฉื่ยฉ่ำด้วยน้ำฟ้าอย่าโรยราร่วงหล่นจากต้นเลย
รำพึงพลางทางมาในสาคเรศแสนเทวษวิตกโอ้อกเอ๋ย
พี่ยิ่งมาก็ยิ่งไกลมิได้เชยสูญเสบยสิ้นสบายไม่วายครวญ
พี่แลเห็นกแจากสองฟากน้ำยิ่งโศกช้ำเสียวใจอาลัยหวน
ด้วยจากชมจากชิดสนิทนวลมาจวนจวนจากกอระย่อใจ
โอ้ต้นจากคนตัดแล้วลัดยอดเป็นทางทอดอยู่กับท่าชลาไหล
ไม่จากที่เหมือนหนึ่งเราที่เศร้าใจเราจากไกลนุชนางมาค้างแรม
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซมด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถานยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมาได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลางนายระวางพูดจาปรึกษากัน
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครันจะผ่อนผันคิดหานาวาพาย
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติดเราจะติดกลอกกลับขยับขยาย
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนายขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วยก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมายได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลันแล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่องไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านานเสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุกแต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำพิไรร่ำเรื่อยมาในวารี
๏ ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะเห็นสวะติดวนวารีศรี
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มีไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวาหัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัวแลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมดคอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิงอยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป
บ้างเกาคางกางขาแหกตาหลอกขู่ตะคอกคำรามตามวิสัย
บ้างเก็บลูกกุ่มกินปลิ้นเม็ดในบ้างลดไล่เลี้ยวลอดบ้างกอดกัน
บ้างพลัดคู่นั่งอยู่บนกิ่งกุ่มถึงเพื่อนกลุ่มก็เปลี่ยวจิตคิดกระสัน
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึงรีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไปมีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่งแลตะลึงลานจิตพินิจหา
ดูรกนักหักพังเป็นรังกาอนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา
เราร้างนุชสุดใจมาไกลข้างพบวัดร้างร้อนใจดังไฟเผา
เป็นสองร้างสามร้างไม่บางเบาก็โศกเศร้ามาในวนชลธาร
๏ ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญโบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัดปฏิบัติสิกขาหากุศล
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวดอยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์
แต่อายุยังไม่ครบประจบปีต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา
เดชะบุญคุณครูได้รู้คิดขอชีวิตยาวยืนหมื่นพรรษา
ให้ได้บวชสวดมนต์ภาวนาจะได้พาดวงใจไปนิพพาน
๏ รำพันพลางทางมาเวลาค่ำเรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธารไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหงเสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัวยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่งข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอนก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัดน้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิมแม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน
พี่มาไกลไสยาสน์บนหาดนี้มิได้มีมุ้งผูกทั้งฟูกหมอน
ต้องนอนตากน้ำค้างกลางอัมพรเอาทรายนอนต่างฟูกกระดูกเย็น
โอ้อกเอ๋ยเคยนอนอยู่ในห้องได้แนบน้องเป็นสุขไม่ยุคเข็ญ
พี่เคยพลอดกอดก่ายไม่วายเว้นยังนึกเห็นรูปจริตติดนัยน์ตา
พี่จำได้มีไฝอยู่ที่แก้มเมื่อยิ้มแย้มยียวนชวนหรรษา
แม่เคยแต้มเคยแต่งเอาแป้งทาให้เชษฐาแอบออมถนอมชม
ชั่งฉอเลาะเพราะพริ้งทุกสิ่งสรรพ์ทุกคืนวันเชยชิดสนิทสนม
โอ้แต่นี้พี่จะได้ผู้ใดชมคิดแล้วตรมตรอมใจอาลัยลาน
นอนไม่หลับกลับลุกขึ้นดูเพื่อนเขานอนเกลื่อนกลางหาดด้วยอาจหาญ
หลับสนิทมิได้คิดกลัวภัยพาลพี่รำคาญนั่งบ่นอยู่คนเดียว
แลเห็นใบตะไคร่น้ำตามลำหาดน้ำค้างสาดสดชุ่มชอุ่มเขียว
จิงหรีดร้องก้องหาดกรีดกราดเกรียวพี่ฟังเสียวทรวงเย็นระย่อใจ
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาดเดียรดาษแวววามงามไสว
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไปดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์
ยิ่งพินิจก็ยิ่งคิดคะนึงน้องจนแสงทองส่องฟ้าไก่ป่าขัน
ดุเหว่าแว่วเสียงหวานประสานกันแสงตะวันส่องภพจบสกล
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมหน้าลงนาวาพายคว้างมากลางหน
พี่เหลียวแลขวาซ้ายริมสายชลเห็นบ้านคนห่างห่างตามทางมา
๏ ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุกมีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนาเข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำเงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบายวิไลลายทองทาบดูปลาบตา
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมองด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมาตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่างมาตามทางลำเนาภูเขาหลวง
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวงแล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ
ออกจากท่าหน้าวัดถ้ำกำดัดเที่ยงแดดออกเปรี้ยงร้อนรนเป็นพ้นเหลือ
พี่วิดวักน้ำอาบให้ซาบเนื้อแล้วรีบเรือเร็วมาในสาชล
เห็นลูกงิ้วแตกปลิวเป็นฝุ่นฟุ้งพระพายพัดพาพุ่งขึ้นเวหน
อันชาตินุ่นลมพานไม่ทานทนเหมือนคบคนใจเบาเยาว์ปัญญา
ไม่รู้จักรักกันทำหันหุนพกแต่นุ่นโกรธแค้นถึงแสนสา
ใครใจเบาแล้วไม่เอาเป็นตำราสิ้นคบค้าขาดกันจนวันตาย
ถ้าแม้นใครพกหินกินที่ลึกจะจารึกรักไว้มิให้หาย
จนสุดสิ้นดินฟ้าชีวาวายไม่สูญหายสุดที่รักของเรียมเลย
ยิ่งคิดถึงน้องรักยิ่งหนักอกแสนวิตกเต็มประดานิจจาเอ๋ย
กระสันเสียวเปลี่ยวใจด้วยไกลเชยชะแง้เงยชมไม้ใกล้ชลา
ล้วนป่าสูงยูงยางสล้างสลับเหลือที่จะนับชื่อไม้ไพรพฤกษา
เป็นพวงผลหล่นลงในคงคาหมู่มัจฉากินเล่นเป็นสำราญ
แต่ตัวเราเศร้าจิตคิดถวิลไม่อยากกินโภชนากระยาหาร
กินแต่โศกกับระกำยิ่งรำคาญทุกวันวารมิได้วายคลายอาวรณ์
๏ บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้นแลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอนก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือกน่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนองบ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่งบ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย
บ้างก็แบกปืนผาพากันไปที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้ารินสุราดื่มดังฟังแสยง
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรงหน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ
พี่เห็นเพื่อนกินเหล้าให้เศร้าจิตไม่นั่งชิดแต่พอเห็นให้เหม็นเหลือ
หนีไปนั่งตามสบายข้างท้ายเรือสงสารเนื้อที่เขาฆ่าชีวาวาย
โอ้สัตว์ป่าน่าที่จะหนีพ้นยังให้คนกินได้น่าใจหาย
จะว่าไปใครเลยจะพ้นตายอันร่างกายเกิดมาย่อมสาธารณ์
ประเดี๋ยวสัตว์กินคนคนกินสัตว์ชั่งเปลี่ยนผลัดกันกินทุกถิ่นฐาน
ถึงเรืองฤทธิเวทวิเศษฌานไม่แก่นสารคงตายทำลายไป
ถึงตัวพี่ที่คิดจิตกระสันไม่รู้วันมรณาเวลาไหน
ถ้าพี่ตายลงพลันในทันใดทำกระไรจะได้น้องประคองนอน
พี่ได้ชมน้อยนักยังรักมากมาพลัดพรากมิได้อยู่เป็นคู่สมร
อนาถนึกตรึกตรายิ่งอาวรณ์ทุเรศร้อนแรมมาในวารี
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสงเป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์
เขาว่าเสือชุมนักมักราวีดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน
พี่สอดตาหาเสือไม่เห็นเสือก็รีบเรือเร็วรุดไม่หยุดหย่อน
บ้างถ่อพายมาในสายชโลธรผลัดกันนอนผลัดกันนั่งระวังภัย
๏ บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศเป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัยจะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้างต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลันหมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลาพอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึงชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้นมิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียวขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้างกระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือเตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้างขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิตไปทางทิศหรดีวิถีเถิน
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดินดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล
             

๏ บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่นเสียงสนั่นเฮฮามาไสว
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟคอยกันภัยกลางทางที่กลางดง
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวานได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวงเอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน
เหล่านักเลงสุราหากระบอกเอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน
แบกกระบอกสุราพากันเดินพูดหยอกเอินกันตามความสบาย
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุขมีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย
ดูสองฟากมรรคาพฤกษารายพี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ
เห็นรังเรียงเคียงดงประลงค์แย้มบุนนาคแนมดอกพะยอมก็หอมหวน
ต้องน้ำค้างชุ่มช่อลออนวลถูกลมหวนหอบพัดสลัดลอย
มะปรางปริงกิ่งประลงระข้างพี่ฉวยพลางรวบหักไม่พักสอย
ประดูดอกดาษดาระย้าย้อยนกน้อยๆ จิกกินแล้วบินจร
เห็นนกเปล้าจับเปล้าอยู่เปลี่ยวเพื่อนดูก็เหมือนเรียมพรากจากสมร
เห็นนกแอบแนบอกนางนกนอนเหมือนสมรแอบอกพี่อุ่นใจ
เบญจวรรณนับวันเถิดอกเอ๋ยจะชวดเชยชมชิดพิสมัย
จากพรากเหมือนจากเจ้ามาไกลนกเขาไฟเหมือนไฟมาสุมทรวง
ชะนีนางครางครวญหวนละห้อยตะวันคล้อยลับลงในดงหลวง
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าบุปผาพวงใบไม้ร่วงนกนิ่งประนังนอน
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นแจ้ววิเวกแว่วดุจเสียงสำเนียงสมร
ยิ่งฟังเสียงสัตว์ป่ายิ่งอาวรณ์ก็รีบจรไสช้างมากลางไพร
๏ ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำมีธารน้ำศาลาที่อาศัย
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัยศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ
ใครไปมาหาของกองคำนับอารักษ์รับบวงบบคนนับถือ
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนักทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตรายขอฝากกายอาศัยในศาลา
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอกมิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนาพี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหยเสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัวยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ
ไม่เห็นแสงจันทราเวลาดึกยิ่งรำลึกถึงน้องไม่ผ่องใส
พี่หลับคืนวันนั้นก็ฝันไปว่าขวัญใจตามมาในป่าดอน
พี่รับขวัญขวัญใจให้ไสยาสน์นุชนาฏอ่อนพับลงกับหมอน
พี่โลมลูบจูบปรางแล้วกางกรกอดเอาเพื่อนที่เขานอนอยู่เคียงกาย
ละเมอพูดไปตามความวิตกเขาผลักอกพี่อักผงักหงาย
พี่ตกใจตื่นขึ้นสะอื้นอายก็ฟูมฟายชลนาในราตรี
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วงกระจ่างดวงสุริยาในราศรี
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันทีอัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้างมาตามทางหิมวาพฤกษาไสว
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัยกำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวงก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลงก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล
๏ ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำชวนกันทำที่ประทับออกสับสน
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชลก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถานจะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือนมีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบเป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจแม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง
มีสำเภาเลากามาค้าขายทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคืองที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย
๏ ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรกดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลายมาตั้งขายเรียงพับสลับกัน
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่างชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครันพี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลงไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดูยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน
พี่พาชายชาวในออกไปปนที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหูได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมันหลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุชได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัยสู้อดใจราวกับพระชนะมาร
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่นแต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนานก็คิดอ่านไปชมยมนา
๏ เขาว่ามีรอยพระบาทที่หาดกว้างแต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดาก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง
ไปตามทางข้างทิศตะวันตกต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดงครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้างเป็นที่ทางท้องนาชลาไหล
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไปดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี
สารพัดผักปลาในสาคเรศปทุมเมศดอกประดับสลับสี
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจีพี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้งในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตาก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่าดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบลประชาชนหญิงชายสบายบาน
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผักทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาลไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน
๏ พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้านมาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวารินพี่ผันผินทัศนาชลาลัย
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่งกระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำบ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬผุดขนานแน่นหนาในสาคร
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อนขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกรเที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยนเป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกลระคนปนกรวดทรายชายชลา
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อยมากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตาดาษดาดีดีสีต่างกัน
๏ บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝางบ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม
มีหอยสังข์สูงศักดิ์ทักขิณวัฏสารพัดของดีก็มีถม
มีตัวมุกสุกใสไข่กลมๆในย่านยมนานั้นอำพันมี
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้างเข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคีเนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง
พี่ดูพลางเดินพลางมากลางหาดเลียบลีลาศริมสมุทรก็สุดหมอง
เห็นกรวดทรายพรายแพรวเป็นแก้วทองคิดถึงน้องนึกตรมระบมใจ
ถ้าน้องแก้วแววตามากับพี่จะชวนชี้ชมมหาชลาไหล
โอ้เสียดายสายสวาทนิราศไกลต่อเมื่อไรได้คืนไปชื่นเชย
ดูทะเลเล่าก็กว้างเห็นว่างเปล่าเหมือนอกเราว้าเหว่ทะเลเอ๋ย
ดูเนินทรายฝ่ายท่าล้วนป่าเตยหอมระเหยดอกดวงพวงผกา
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียกหอมลำเจียกรัญจวนเที่ยวหวนหา
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมาพระสุริยาอัสดงค์ลงไรไร
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวาไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไปยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้างดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน
ดูไสวใบบังพระสุริยนเป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสงทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงากระลำภาโกฐสอสมอไทย
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพรมีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาดปักษาชาติจิกกินบินถลา
นกโนรีสีแดงดังชาดทามยุราลงเดินบนเนินทราย
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหนจิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงรายเค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อนบ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียงแล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร
๏ บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศกแสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจรทินกรเลื่อนลับลงกับชล
พระจันทรอุทัยขึ้นไขแสงกระจ้างแจ้งทะเลแลเวหน
ได้ยินเสียงคลื่นคลั่งในวังวนจรดลเดินมาในราตรี
ได้ยินเสียงสิงห์สัตว์จัตุบาทลงเล่นหาดยมนาวารีศรี
กระต่ายโตโคถึกมฤคีทั้งหมูหมีหมาในไอยรา
พี่นึกกลัวตัวสั่นให้หวั่นหวาดเอาคุณพระพุทธบาทปกเกศา
มิได้มีโพยภัยครรไลมาจนสุริยาส่องสว่างกลางอัมพร
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาทที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ประณมกรอภิวาทบาทบงส์
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อมรินน้ำหอมปรายประชำระสรง
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลงเหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา
พี่ลูบต้องมองแลพระลายลักษณ์เห็นประจักษ์จริงจังไม่กังขา
มีทั้งร้อยแปดอย่างกระจ่างตาเป็นดินฟ้าพรหมอินทร์สิ้นทั้งปวง
มีขอบเขาจักรวาลพิมานมาศห้องอากาศเมรุไพรอันใหญ่หลวง
พระสุริยันจันทราดาราดวงมีทั้งห้วงนทีสีทันดร
นาคมนุษย์ครุฑาสุรารักษ์ทั้งกงจักรห้องแก้วธนูศร
สกุณินกินราวิชาธรมีไกรสรเสื้อช้างและกวางพราย
มีอยู่พร้อมเพริศพริ้งทุกสิ่งสรรพ์ดูอนันต์นับยากด้วยมากหลาย
ยิ่งพิศดูยิ่งงามอร่ามพรายด้วยแสงทรายแวววามอร่ามเรือง
มีบัวบุษผุดรับวะวับวาบดูเปล่งแปลบแวววาวเขียวขาวเหลือง
พื้นพระบาทผุดผ่องดังทองประเทืองดูรุ่งเรืองด้วยทรายนั้นหลายพรรณ
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาดดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์
ดูก็น่าผาสุกสนุกครันด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน
พระสุริยงลงลับโพยมมานก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายากพิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภาตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาดไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวันบ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลายเที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่นมาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัยเห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้างให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮากลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนานในกลางย่านยมนาชลาไหล
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจแสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร
นิราศนุชสุดใจไปไกลนานแต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณายุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

เครื่องมือส่วนตัว