|
๏ ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย | | เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย
|
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย | | เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป
|
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ | | ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว
|
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป | | แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา
|
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา | | ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา
|
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา | | ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี
|
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม | | น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี
|
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี | | ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย
|
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก | | แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย
|
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย | | ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย
|
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ | | อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส
|
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ | | ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง
|
โอ้ว่าเกาะเอ๋ยเกาะละเมาะไม้ | | อันมีในพระสมุทรทะเลหลวง
|
พี่ทุกข์มากกว่าละเมาะเกาะทั้งปวง | | ให้หนักทรวงสุดทรงดำรงกาย
|
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำทะเลลึก | | เป็นคลื่นคลอนโครมครึกไม่รู้หาย
|
อันทุกข์พี่เล่าก็มีอยู่มากมาย | | ไม่เคลื่นคลายทุกข์บ้างฤๅอย่างกัน
|
โอ้ว่าลมเอ๋ยลมรำเพยพัด | | โบกระบัดใบพานาวาผัน
|
ถึงจะถูกลมอื่นสักหมื่นพัน | | ไม่สำคัญเหมือนลมอารมณ์คน
|
โอ้ว่าจิตเอ๋ยจิตพี่คิดโศก | | แสนวิโยคยากเย็นทุกเส้นขน
|
ไม่หยุดหย่อนจรมาในสาชล | | ประจวบจนแจ่มแจ้งแสงอุทัย ฯ
|
๏ ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ | | หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน
|
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร | | ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร
|
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก | | มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร
|
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน | | แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง
|
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก | | ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์
|
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง | | ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน
|
๏ ถึงประสงค์มีจิตคิดประสงค์ | | จะคืนคงกลับหลังยังสถาน
|
คะนึงไปคะนึงมาน่ารำคาญ | | คิดจะราญรอนคอให้มรณา
|
โอ้หัวอกของพี่เท่านี้และ | | จะแตกแยะออกแท้แน่แล้วหนา
|
ด้วยความทุกข์เข้ามาทับกับอุรา | | ใครเกิดมาเหมือนพี่ไม่มีเลย
|
ยิ่งคิดไปใจคอยิ่งท้อแท้ | | ชำเลืองแลซ้ายขวานิจจาเอ๋ย
|
ยิ่งพระพายชายพัดพารำเพย | | เรือก็เลยล่องมาในสาคร
|
๏ ถึงไชยาธานีบุรีสถาน | | เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร
|
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร | | สถาพรพูนสุขสนุกสบาย
|
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน | | ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย
|
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย | | บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง
|
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด | | ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง
|
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง | | นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล
|
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร | | ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล
|
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ | | แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย
|
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท | | พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย
|
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | | เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร
|
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก | | ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน
|
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน | | อรชรช่อผลระคนใบ
|
เกตระกำอำพาจำปาดะ | | ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว
|
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป | | มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน
|
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน | | นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์
|
โทมนัสทัศนาดูวาริน | | ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร
|
ภุมรินบินร่อนเข้าฟอนเฟ้น | | เหมือนพี่เคล้นเคล้าน้องประคองสมาน
|
แมลงภู่ชูชื่นรื่นสำราญ | | แสนรำคาญก็แต่พี่ไม่มีชม
|
โอ้นับวันจะกระสันด้วยความโศก | | ดั่งแผ่นโลกเลิกกลับขึ้นทับถม
|
ถ้าเก็บรักกองไว้ได้ถึงพรหม | | ใครจะตรมเท่าเทียมกับเรียมตรอม
|
โอ้เสียดายสายใจวิไลโฉม | | เคยประโคมเลียบลูบจูบถนอม
|
เสียดายดอกบัวทองจะหมองมอม | | จะหายหอมเหี่ยวแห้งด้วยแสงตะวัน
|
มณฑาเทศเกศแก้วพิกุลเอ๋ย | | เมื่อไรเลยจะได้กลับมารับขวัญ
|
พี่มาไกลใจหายเสียดายครัน | | โอ้นับวันแต่จะร่วงพวงผกา
|
๏ ขอเชิญไท้เทวัญทุกชั้นช่อง | | ช่วยปกป้องดอกดวงพวงบุปผา
|
ให้ชุ่มชื่นเฉื่ยฉ่ำด้วยน้ำฟ้า | | อย่าโรยราร่วงหล่นจากต้นเลย
|
รำพึงพลางทางมาในสาคเรศ | | แสนเทวษวิตกโอ้อกเอ๋ย
|
พี่ยิ่งมาก็ยิ่งไกลมิได้เชย | | สูญเสบยสิ้นสบายไม่วายครวญ
|
พี่แลเห็นกแจากสองฟากน้ำ | | ยิ่งโศกช้ำเสียวใจอาลัยหวน
|
ด้วยจากชมจากชิดสนิทนวล | | มาจวนจวนจากกอระย่อใจ
|
โอ้ต้นจากคนตัดแล้วลัดยอด | | เป็นทางทอดอยู่กับท่าชลาไหล
|
ไม่จากที่เหมือนหนึ่งเราที่เศร้าใจ | | เราจากไกลนุชนางมาค้างแรม
|
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ | | เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม
|
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม | | ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา
|
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน | | ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา
|
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา | | ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง
|
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ | | ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง
|
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง | | นายระวางพูดจาปรึกษากัน
|
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ | | ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์
|
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน | | จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย
|
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด | | เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย
|
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย | | ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ
|
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย | | ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์
|
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ | | ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล
|
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย | | ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์
|
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน | | แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ
|
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง | | ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน
|
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน | | เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ
|
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก | | แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ
|
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ | | พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี
|
๏ ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ | | เห็นสวะติดวนวารีศรี
|
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี | | ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว
|
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา | | หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว
|
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว | | แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง
|
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด | | คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง
|
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง | | อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป
|
บ้างเกาคางกางขาแหกตาหลอก | | ขู่ตะคอกคำรามตามวิสัย
|
บ้างเก็บลูกกุ่มกินปลิ้นเม็ดใน | | บ้างลดไล่เลี้ยวลอดบ้างกอดกัน
|
บ้างพลัดคู่นั่งอยู่บนกิ่งกุ่ม | | ถึงเพื่อนกลุ่มก็เปลี่ยวจิตคิดกระสัน
|
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ | | ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ
|
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง | | รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล
|
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป | | มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา
|
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง | | แลตะลึงลานจิตพินิจหา
|
ดูรกนักหักพังเป็นรังกา | | อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา
|
เราร้างนุชสุดใจมาไกลข้าง | | พบวัดร้างร้อนใจดังไฟเผา
|
เป็นสองร้างสามร้างไม่บางเบา | | ก็โศกเศร้ามาในวนชลธาร
|
๏ ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ | | ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน
|
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ | | โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน
|
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด | | ปฏิบัติสิกขาหากุศล
|
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ | | อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี
|
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด | | อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์
|
แต่อายุยังไม่ครบประจบปี | | ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา
|
เดชะบุญคุณครูได้รู้คิด | | ขอชีวิตยาวยืนหมื่นพรรษา
|
ให้ได้บวชสวดมนต์ภาวนา | | จะได้พาดวงใจไปนิพพาน
|
๏ รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ | | เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน
|
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร | | ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว
|
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง | | เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว
|
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว | | ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร
|
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง | | ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน
|
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน | | ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม
|
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด | | น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม
|
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม | | แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน
|
.
|
.
|
.
|
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด | | เดียรดาษแวววามงามไสว
|
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป | | ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์
|
.
|
.
|
.
|
ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก | | มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา
|
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา | | เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย
|
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ | | เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย
|
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย | | วิไลลายทองทาบดูปลาบตา
|
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง | | ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา
|
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา | | ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง
|
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง | | มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง
|
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง | | แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ
|
.
|
.
|
.
|
บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น | | แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน
|
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน | | ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง
|
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก | | น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง
|
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง | | บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ
|
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง | | บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย
|
บ้างก็แบกปืนผาพากันไป | | ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง
|
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า | | รินสุราดื่มดังฟังแสยง
|
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง | | หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ
|
.
|
.
|
.
|
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง | | เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์
|
เขาว่าเสือชุมนักมักราวี | | ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน
|
.
|
.
|
.
|
บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ | | เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข
|
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย | | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
|
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง | | ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์
|
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน | | หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง
|
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา | | พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง
|
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง | | ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว
|
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น | | มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว
|
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว | | ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ
|
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง | | กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ
|
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ | | เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง
|
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ | | ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง
|
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง | | ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน
|
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต | | ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน
|
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน | | ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล
|
บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น | | เสียงสนั่นเฮฮามาไสว
|
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ | | คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง
|
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน | | ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์
|
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | | เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน
|
เหล่านักเลงสุราหากระบอก | | เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน
|
แบกกระบอกสุราพากันเดิน | | พูดหยอกเอินกันตามความสบาย
|
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข | | มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย
|
ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย | | พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ
|
.
|
.
|
.
|
ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ | | มีธารน้ำศาลาที่อาศัย
|
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย | | ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ
|
ใครไปมาหาของกองคำนับ | | อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ
|
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ | | ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย
|
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก | | ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย
|
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย | | ขอฝากกายอาศัยในศาลา
|
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก | | มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา
|
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา | | พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว
|
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย | | เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว
|
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว | | ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ
|
.
|
.
|
.
|
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง | | กระจ่างดวงสุริยาในราศรี
|
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที | | อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร
|
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง | | มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว
|
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย | | กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง
|
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง | | ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์
|
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง | | ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล
|
ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ | | ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน
|
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล | | ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน
|
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน | | จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน
|
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน | | มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย
|
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ | | เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล
|
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | | แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง
|
มีสำเภาเลากามาค้าขาย | | ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง
|
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง | | ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย
|
ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก | | ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย
|
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย | | มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน
|
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง | | ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน
|
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน | | พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู
|
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง | | ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู
|
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู | | ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน
|
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ | | ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน
|
พี่พาชายชาวในออกไปปน | | ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน
|
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู | | ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
|
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน | | หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน
|
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช | | ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย
|
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย | | สู้อดใจราวกับพระชนะมาร
|
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น | | แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล
|
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน | | ก็คิดอ่านไปชมยมนา
|
เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง | | แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา
|
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา | | ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง
|
ไปตามทางข้างทิศตะวันตก | | ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์
|
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง | | ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร
|
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง | | เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล
|
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป | | ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี
|
สารพัดผักปลาในสาคเรศ | | ปทุมเมศดอกประดับสลับสี
|
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี | | พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา
|
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง | | ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา
|
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา | | ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน
|
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า | | ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์
|
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล | | ประชาชนหญิงชายสบายบาน
|
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก | | ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน
|
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล | | ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน
|
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน | | มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์
|
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน | | พี่ผันผินทัศนาชลาลัย
|
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง | | กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว
|
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ | | ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ
|
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ | | บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน
|
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ | | ผุดขนานแน่นหนาในสาคร
|
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน | | ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน
|
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร | | เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล
|
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน | | เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน
|
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล | | ระคนปนกรวดทรายชายชลา
|
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย | | มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา
|
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา | | ดาษดาดีดีสีต่างกัน
|
บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง | | บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน
|
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ | | ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม
|
.
|
.
|
.
|
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง | | เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี
|
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี | | เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง
|
.
|
.
|
.
|
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก | | หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา
|
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา | | พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร
|
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา | | ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน
|
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป | | ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน
|
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง | | ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน
|
ดูไสวใบบังพระสุริยน | | เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา
|
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง | | ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา
|
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา | | กระลำภาโกฐสอสมอไทย
|
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ | | กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล
|
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร | | มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา
|
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด | | ปักษาชาติจิกกินบินถลา
|
นกโนรีสีแดงดังชาดทา | | มยุราลงเดินบนเนินทราย
|
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน | | จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย
|
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย | | เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง
|
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน | | บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง
|
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง | | แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร
|
บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก | | แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร
|
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร | | ทินกรเลื่อนลับลงกับชล
|
.
|
.
|
.
|
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท | | ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร
|
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ | | ประณมกรอภิวาทบาทบงส์
|
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม | | รินน้ำหอมปรายประชำระสรง
|
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง | | เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา
|
.
|
.
|
.
|
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด | | ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์
|
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน | | ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ
|
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ | | ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน
|
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | | ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา
|
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก | | พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา
|
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา | | ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน
|
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด | | ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์
|
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน | | บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย
|
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ | | ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย
|
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย | | เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป
|
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น | | มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย
|
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย | | เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา
|
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง | | ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา
|
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา | | กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป
|
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน | | ในกลางย่านยมนาชลาไหล
|
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ | | แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ
|
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ | | ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร
|
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน | | แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา
|
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ | | พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา
|
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา | | ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ
|
| | |
|