นิราศธารถลาง
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…') |
(→บทประพันธ์) |
||
แถว 9: | แถว 9: | ||
== บทประพันธ์ == | == บทประพันธ์ == | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
+ | จะร่ำปางทางไกลไปถลาง | ||
+ | เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | ||
+ | เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
+ | ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธารา พี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ | ||
+ | แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหง ของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ | ||
+ | บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือ ก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี | ||
+ | พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
+ | ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ||
+ | วัดพระแก้วมรกตก็สดใส งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน | ||
+ | โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | ||
+ | ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ||
+ | ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวัน กระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี | ||
+ | ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรัก อย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี | ||
+ | ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปี ขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย | ||
+ | ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่า จนเวลารุ่งรางสว่างไสว | ||
+ | ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัย ก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์ | ||
+ | ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวน พี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข | ||
+ | ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โต หัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย | ||
+ | ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย | ||
+ | เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพาย ออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ | ||
+ | โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | ||
+ | เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | ||
+ | วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน | ||
+ | ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | ||
+ | เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | ||
+ | โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | ||
+ | พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | ||
+ | จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | ||
+ | ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ||
+ | ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกล พลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน | ||
+ | กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อย แม่ค้าลอยขายของร้องประสาน | ||
+ | บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการ น่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง | ||
+ | รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | ||
+ | พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง จนเรือห่างเหินมาในสาคร | ||
+ | ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน | ||
+ | บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | ||
+ | พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง ไปตามท้องวังวนชลสาย | ||
+ | เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย สังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา | ||
+ | ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ||
+ | ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ||
+ | มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล | ||
+ | ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ||
+ | ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ||
+ | สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนือง งามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม | ||
+ | ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอ ได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม | ||
+ | คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความ กลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป | ||
+ | มาถึงช่องอินทรีทวีโศก แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | ||
+ | สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | ||
+ | ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา | ||
+ | บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | ||
+ | พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | ||
+ | ช่วยป้องกันกุมภาในวาริน อย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี | ||
+ | มาตะบึงลุถึงพระโขนง น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | ||
+ | ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ||
+ | ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา | ||
+ | เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา แล้วพาโบกบินไปกินรัง | ||
+ | อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | ||
+ | ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | ||
+ | เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | ||
+ | ทัศนาธานีเห็นพิลึก พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ||
+ | ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญ คงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ | ||
+ | ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบ ช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ | ||
+ | พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือ ประทานชื่อยศนามตามตระกูล | ||
+ | พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | ||
+ | ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | ||
+ | ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ||
+ | พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | ||
+ | ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ||
+ | รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง มาตามท้องคงคาชลาไหล | ||
+ | เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย พระภูวไนยสร้างสรรไว้ มั่นคง | ||
+ | ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ||
+ | มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | ||
+ | มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง จะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก | ||
+ | ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึก มิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว | ||
+ | ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ||
+ | ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ||
+ | ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ||
+ | พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | ||
+ | บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ||
+ | ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ||
+ | จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | ||
+ | ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ||
+ | ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา | ||
+ | ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ||
+ | เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | ||
+ | ชมทะเลเมฆาจนตาลาย ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง | ||
+ | เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง | ||
+ | ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม | ||
+ | เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์ | ||
+ | ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ | ||
+ | รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว | ||
+ | เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ | ||
+ | ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ||
+ | กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน แสนรำคาญคิดไปใจระบม | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | ||
+ | มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | ||
+ | ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่ พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร | ||
+ | มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย | ||
+ | พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย | ||
+ | ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา | ||
+ | สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์ หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา | ||
+ | มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร | ||
+ | ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร | ||
+ | สุริยาลงลับยุคนธร พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย | ||
+ | น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย | ||
+ | เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์ | ||
+ | ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง | ||
+ | บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู | ||
+ | ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู | ||
+ | ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง | ||
+ | บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง | ||
+ | ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม | ||
+ | ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม | ||
+ | เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศ ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร | ||
+ | ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร | ||
+ | เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส | ||
+ | ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก ราวกับนกบินเตร่บนเวหา | ||
+ | ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล | ||
+ | ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน | ||
+ | พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา | ||
+ | กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่ มีทองแต่โบราณนานหนักหนา | ||
+ | บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง | ||
+ | เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง | ||
+ | ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา | ||
+ | บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง ราคาสูงสมสีดีหนักหนา | ||
+ | พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ | ||
+ | รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว | ||
+ | เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน | ||
+ | เป็นเมืองริมวารีกะจีริด นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน | ||
+ | ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก | ||
+ | โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่ จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์ | ||
+ | แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย | ||
+ | ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป | ||
+ | เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว | ||
+ | พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา | ||
+ | แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา | ||
+ | แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี | ||
+ | เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี | ||
+ | ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย | ||
+ | ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย | ||
+ | กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย | ||
+ | เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส | ||
+ | โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน | ||
+ | ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร | ||
+ | ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร | ||
+ | บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง | ||
+ | บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์ | ||
+ | ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงไชยาธานีบุรีสถาน เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร | ||
+ | สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร สถาพรพูนสุขสนุกสบาย | ||
+ | ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย | ||
+ | เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง | ||
+ | บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง | ||
+ | ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล | ||
+ | สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล | ||
+ | ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย | ||
+ | แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย | ||
+ | เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร | ||
+ | มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน | ||
+ | ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน อรชรช่อผลระคนใบ | ||
+ | เกตระกำอำพาจำปาดะ ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว | ||
+ | สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน | ||
+ | พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์ | ||
+ | โทมนัสทัศนาดูวาริน ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม | ||
+ | ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา | ||
+ | ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา | ||
+ | ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง | ||
+ | พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง | ||
+ | พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง นายระวางพูดจาปรึกษากัน | ||
+ | ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
+ | เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย | ||
+ | ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย | ||
+ | ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ | ||
+ | เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์ | ||
+ | ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล | ||
+ | ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
+ | เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ | ||
+ | บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน | ||
+ | ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ | ||
+ | เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ | ||
+ | ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี | ||
+ | ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ เห็นสวะติดวนวารีศรี | ||
+ | ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว | ||
+ | เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว | ||
+ | จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง | ||
+ | จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง | ||
+ | มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | ||
+ | ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล | ||
+ | เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา | ||
+ | ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง แลตะลึงลานจิตพินิจหา | ||
+ | ดูรกนักหักพังเป็นรังกา อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน | ||
+ | มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน | ||
+ | สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด ปฏิบัติสิกขาหากุศล | ||
+ | เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี | ||
+ | พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์ | ||
+ | แต่อายุยังไม่ครบประจบปี ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน | ||
+ | ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว | ||
+ | มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว | ||
+ | ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร | ||
+ | พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
+ | มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม | ||
+ | ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม | ||
+ | พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด เดียรดาษแวววามงามไสว | ||
+ | เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา | ||
+ | พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย | ||
+ | แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย | ||
+ | เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย วิไลลายทองทาบดูปลาบตา | ||
+ | ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา | ||
+ | เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง | ||
+ | พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง | ||
+ | หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน | ||
+ | เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง | ||
+ | ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง | ||
+ | เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ | ||
+ | บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย | ||
+ | บ้างก็แบกปืนผาพากันไป ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง | ||
+ | แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า รินสุราดื่มดังฟังแสยง | ||
+ | ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์ | ||
+ | เขาว่าเสือชุมนักมักราวี ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข | ||
+ | ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน | ||
+ | อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์ | ||
+ | สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง | ||
+ | ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง | ||
+ | มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว | ||
+ | เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว | ||
+ | ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ | ||
+ | ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ | ||
+ | กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง | ||
+ | เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
+ | แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน | ||
+ | พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน | ||
+ | บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล | ||
+ | บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น เสียงสนั่นเฮฮามาไสว | ||
+ | ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง | ||
+ | เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์ | ||
+ | หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน | ||
+ | เหล่านักเลงสุราหากระบอก เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน | ||
+ | แบกกระบอกสุราพากันเดิน พูดหยอกเอินกันตามความสบาย | ||
+ | แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย | ||
+ | ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ มีธารน้ำศาลาที่อาศัย | ||
+ | ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ | ||
+ | ใครไปมาหาของกองคำนับ อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ | ||
+ | ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย | ||
+ | ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย | ||
+ | จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย ขอฝากกายอาศัยในศาลา | ||
+ | แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา | ||
+ | ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว | ||
+ | ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว | ||
+ | เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง กระจ่างดวงสุริยาในราศรี | ||
+ | ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร | ||
+ | บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
+ | แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง | ||
+ | เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์ | ||
+ | ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล | ||
+ | ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน | ||
+ | อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน | ||
+ | พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน | ||
+ | เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย | ||
+ | ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล | ||
+ | ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง | ||
+ | มีสำเภาเลากามาค้าขาย ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง | ||
+ | มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย | ||
+ | ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย | ||
+ | พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน | ||
+ | บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน | ||
+ | เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู | ||
+ | กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู | ||
+ | ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน | ||
+ | พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน | ||
+ | พี่พาชายชาวในออกไปปน ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน | ||
+ | ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
+ | ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน | ||
+ | แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย | ||
+ | อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย สู้อดใจราวกับพระชนะมาร | ||
+ | พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล | ||
+ | เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน ก็คิดอ่านไปชมยมนา | ||
+ | เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา | ||
+ | พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง | ||
+ | ไปตามทางข้างทิศตะวันตก ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์ | ||
+ | ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร | ||
+ | ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล | ||
+ | มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี | ||
+ | สารพัดผักปลาในสาคเรศ ปทุมเมศดอกประดับสลับสี | ||
+ | ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา | ||
+ | ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา | ||
+ | เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน | ||
+ | เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์ | ||
+ | มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล ประชาชนหญิงชายสบายบาน | ||
+ | ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน | ||
+ | สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน | ||
+ | พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์ | ||
+ | ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน พี่ผันผินทัศนาชลาลัย | ||
+ | ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว | ||
+ | พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ | ||
+ | สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน | ||
+ | จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ ผุดขนานแน่นหนาในสาคร | ||
+ | ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน | ||
+ | กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล | ||
+ | มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน | ||
+ | มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล ระคนปนกรวดทรายชายชลา | ||
+ | ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา | ||
+ | มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา ดาษดาดีดีสีต่างกัน | ||
+ | บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน | ||
+ | บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี | ||
+ | ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา | ||
+ | พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร | ||
+ | พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน | ||
+ | เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน | ||
+ | ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน | ||
+ | ดูไสวใบบังพระสุริยน เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา | ||
+ | พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา | ||
+ | ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา กระลำภาโกฐสอสมอไทย | ||
+ | หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล | ||
+ | ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา | ||
+ | เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด ปักษาชาติจิกกินบินถลา | ||
+ | นกโนรีสีแดงดังชาดทา มยุราลงเดินบนเนินทราย | ||
+ | กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย | ||
+ | กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง | ||
+ | ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง | ||
+ | บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร | ||
+ | บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร | ||
+ | พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร ทินกรเลื่อนลับลงกับชล | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร | ||
+ | พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ ประณมกรอภิวาทบาทบงส์ | ||
+ | จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม รินน้ำหอมปรายประชำระสรง | ||
+ | แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | . | ||
+ | ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์ | ||
+ | ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ | ||
+ | พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน | ||
+ | พระสุริยงลงลับโพยมมาน ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา | ||
+ | บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา | ||
+ | บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน | ||
+ | อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
+ | แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย | ||
+ | บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย | ||
+ | พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป | ||
+ | บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย | ||
+ | บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา | ||
+ | ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา | ||
+ | เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป | ||
+ | เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน ในกลางย่านยมนาชลาไหล | ||
+ | แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ | ||
+ | ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร | ||
+ | นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา | ||
+ | ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา | ||
+ | ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
+ | |||
== เชิงอรรถ == | == เชิงอรรถ == |
การปรับปรุง เมื่อ 10:26, 9 กรกฎาคม 2552
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: นายมี
เนื้อความยังพิมพ์ไม่ครบ
บทประพันธ์
จะร่ำปางทางไกลไปถลาง | |||
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง | ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | ||
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย | แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธารา | พี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ | ||
แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหง | ของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ | ||
บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือ | ก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี | ||
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน | โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี | ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ||
วัดพระแก้วมรกตก็สดใส | งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน | ||
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล | จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | ||
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ | อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ||
ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวัน | กระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี | ||
ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรัก | อย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี | ||
ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปี | ขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย | ||
ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่า | จนเวลารุ่งรางสว่างไสว | ||
ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัย | ก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์ | ||
ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวน | พี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข | ||
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โต | หัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย | ||
ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ | ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย | ||
เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพาย | ออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ | ||
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด | จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | ||
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ | จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | ||
วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม | มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน | ||
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน | ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด | ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | ||
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย | พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | ||
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า | บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | ||
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย | โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว | ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | ||
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง | นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | ||
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี | ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ||
ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกล | พลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน | ||
กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อย | แม่ค้าลอยขายของร้องประสาน | ||
บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการ | น่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง | ||
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว | เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | ||
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง | จนเรือห่างเหินมาในสาคร | ||
ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน | เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน | ||
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร | แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | ||
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง | ไปตามท้องวังวนชลสาย | ||
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | สังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา | ||
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน | พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ||
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา | ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ||
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด | แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล | ||
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ | มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ||
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น | ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ||
สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนือง | งามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม | ||
ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอ | ได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม | ||
คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความ | กลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป | ||
มาถึงช่องอินทรีทวีโศก | แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | ||
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล | รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | ||
ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า | นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา | ||
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา | แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | ||
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย | ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | ||
ช่วยป้องกันกุมภาในวาริน | อย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี | ||
มาตะบึงลุถึงพระโขนง | น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | ||
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี | แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ||
ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี | ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา | ||
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา | แล้วพาโบกบินไปกินรัง | ||
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ | นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | ||
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง | จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย | ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | ||
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง | ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | ||
ทัศนาธานีเห็นพิลึก | พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ||
ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญ | คงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ | ||
ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบ | ช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ | ||
พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือ | ประทานชื่อยศนามตามตระกูล | ||
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน | คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | ||
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร | ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
. | |||
. | |||
. | |||
มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น | ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | ||
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี | ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ||
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ | ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | ||
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น | อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ||
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง | มาตามท้องคงคาชลาไหล | ||
เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย | พระภูวไนยสร้างสรรไว้ มั่นคง | ||
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส | เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ||
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ | กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | ||
มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง | จะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก | ||
ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึก | มิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว | ||
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด | คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ||
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว | พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร | พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ||
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา | กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ||
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น | พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | ||
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน | ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด | พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ||
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน | พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ||
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด | ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | ||
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง | พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ||
ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก | ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา | ||
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา | ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ||
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม | ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | ||
ชมทะเลเมฆาจนตาลาย | ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง | ||
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ | เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง | ||
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง | ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม | ||
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด | ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์ | ||
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ | อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ | ||
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส | พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว | ||
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป | จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ | ||
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย | ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ||
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน | แสนรำคาญคิดไปใจระบม | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย | จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | ||
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา | เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | ||
. | |||
. | |||
. | |||
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง | ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | ||
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ | เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่ | พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร | ||
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร | ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย | ||
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ | ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย | ||
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย | ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา | ||
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์ | หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา | ||
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา | เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร | ||
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง | เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร | ||
สุริยาลงลับยุคนธร | พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย | ||
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ | ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย | ||
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย | ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา | เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์ | ||
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน | จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ | ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง | ||
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง | ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู | ||
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน | ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู | ||
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู | บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง | ||
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก | ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง | ||
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง | ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม | ||
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ | มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม | ||
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม | พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศ | ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร | ||
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน | ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร | ||
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น | ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส | ||
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล | เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก | ราวกับนกบินเตร่บนเวหา | ||
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล | ||
ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด | นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน | ||
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล | จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา | ||
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่ | มีทองแต่โบราณนานหนักหนา | ||
บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา | ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง | ||
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ | ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง | ||
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง | ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา | ||
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง | ราคาสูงสมสีดีหนักหนา | ||
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา | แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ | ||
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว | ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว | ||
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร | พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน | ||
เป็นเมืองริมวารีกะจีริด | นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน | ||
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล | ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก | ||
โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่ | จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์ | ||
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก | มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย | เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย | ||
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย | เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป | ||
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ | ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว | ||
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป | แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา | ||
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา | ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา | ||
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา | ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี | ||
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม | น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี | ||
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี | ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย | ||
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก | แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย | ||
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย | ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย | ||
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ | อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส | ||
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ | ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ | หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน | ||
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร | ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร | ||
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก | มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร | ||
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน | แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง | ||
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก | ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์ | ||
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง | ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงไชยาธานีบุรีสถาน | เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร | ||
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร | สถาพรพูนสุขสนุกสบาย | ||
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน | ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย | ||
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย | บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง | ||
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด | ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง | ||
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง | นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล | ||
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร | ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล | ||
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ | แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย | ||
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท | พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย | ||
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร | ||
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก | ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน | ||
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน | อรชรช่อผลระคนใบ | ||
เกตระกำอำพาจำปาดะ | ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว | ||
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป | มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน | ||
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน | นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์ | ||
โทมนัสทัศนาดูวาริน | ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร | ||
. | |||
. | |||
. | |||
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ | เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม | ||
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม | ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา | ||
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน | ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา | ||
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา | ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง | ||
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ | ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง | ||
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง | นายระวางพูดจาปรึกษากัน | ||
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ | ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน | จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย | ||
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด | เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย | ||
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย | ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ | ||
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย | ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์ | ||
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ | ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล | ||
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย | ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน | แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ | ||
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง | ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน | ||
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน | เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ | ||
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก | แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ | ||
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ | พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี | ||
ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ | เห็นสวะติดวนวารีศรี | ||
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี | ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว | ||
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา | หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว | ||
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว | แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง | ||
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด | คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง | ||
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง | อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ | ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | ||
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง | รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล | ||
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป | มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา | ||
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง | แลตะลึงลานจิตพินิจหา | ||
ดูรกนักหักพังเป็นรังกา | อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ | ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน | ||
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ | โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน | ||
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด | ปฏิบัติสิกขาหากุศล | ||
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ | อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี | ||
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด | อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์ | ||
แต่อายุยังไม่ครบประจบปี | ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ | เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน | ||
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร | ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว | ||
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง | เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว | ||
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว | ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร | ||
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง | ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน | ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม | ||
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด | น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม | ||
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม | แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด | เดียรดาษแวววามงามไสว | ||
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป | ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก | มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา | ||
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา | เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย | ||
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ | เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย | ||
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย | วิไลลายทองทาบดูปลาบตา | ||
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง | ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา | ||
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา | ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง | ||
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง | มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง | ||
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง | แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น | แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน | ||
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน | ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง | ||
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก | น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง | ||
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง | บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ | ||
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง | บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย | ||
บ้างก็แบกปืนผาพากันไป | ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง | ||
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า | รินสุราดื่มดังฟังแสยง | ||
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง | หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง | เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์ | ||
เขาว่าเสือชุมนักมักราวี | ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ | เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข | ||
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน | ||
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง | ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์ | ||
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน | หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง | ||
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา | พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง | ||
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง | ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว | ||
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น | มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว | ||
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว | ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ | ||
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง | กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ | ||
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ | เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง | ||
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ | ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง | ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน | ||
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต | ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน | ||
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน | ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล | ||
บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น | เสียงสนั่นเฮฮามาไสว | ||
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ | คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง | ||
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน | ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์ | ||
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน | ||
เหล่านักเลงสุราหากระบอก | เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน | ||
แบกกระบอกสุราพากันเดิน | พูดหยอกเอินกันตามความสบาย | ||
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข | มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย | ||
ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย | พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ | มีธารน้ำศาลาที่อาศัย | ||
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย | ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ | ||
ใครไปมาหาของกองคำนับ | อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ | ||
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ | ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย | ||
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก | ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย | ||
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย | ขอฝากกายอาศัยในศาลา | ||
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก | มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา | ||
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา | พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว | ||
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย | เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว | ||
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว | ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง | กระจ่างดวงสุริยาในราศรี | ||
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที | อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร | ||
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง | มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย | กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง | ||
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง | ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์ | ||
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง | ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล | ||
ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ | ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน | ||
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล | ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน | ||
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน | จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน | ||
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน | มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย | ||
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ | เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล | ||
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง | ||
มีสำเภาเลากามาค้าขาย | ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง | ||
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง | ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย | ||
ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก | ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย | ||
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย | มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน | ||
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง | ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน | ||
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน | พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู | ||
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง | ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู | ||
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู | ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน | ||
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ | ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน | ||
พี่พาชายชาวในออกไปปน | ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน | ||
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู | ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน | หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน | ||
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช | ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย | ||
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย | สู้อดใจราวกับพระชนะมาร | ||
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น | แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล | ||
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน | ก็คิดอ่านไปชมยมนา | ||
เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง | แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา | ||
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา | ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง | ||
ไปตามทางข้างทิศตะวันตก | ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์ | ||
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง | ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร | ||
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง | เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล | ||
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป | ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี | ||
สารพัดผักปลาในสาคเรศ | ปทุมเมศดอกประดับสลับสี | ||
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี | พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา | ||
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง | ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา | ||
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา | ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน | ||
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า | ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์ | ||
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล | ประชาชนหญิงชายสบายบาน | ||
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก | ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน | ||
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล | ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน | ||
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน | มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์ | ||
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน | พี่ผันผินทัศนาชลาลัย | ||
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง | กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว | ||
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ | ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ | ||
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ | บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน | ||
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ | ผุดขนานแน่นหนาในสาคร | ||
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน | ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน | ||
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร | เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล | ||
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน | เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน | ||
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล | ระคนปนกรวดทรายชายชลา | ||
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย | มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา | ||
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา | ดาษดาดีดีสีต่างกัน | ||
บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง | บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน | ||
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ | ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง | เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี | ||
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี | เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก | หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา | ||
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา | พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร | ||
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา | ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน | ||
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป | ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน | ||
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง | ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน | ||
ดูไสวใบบังพระสุริยน | เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา | ||
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง | ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา | ||
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา | กระลำภาโกฐสอสมอไทย | ||
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ | กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล | ||
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร | มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา | ||
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด | ปักษาชาติจิกกินบินถลา | ||
นกโนรีสีแดงดังชาดทา | มยุราลงเดินบนเนินทราย | ||
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน | จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย | ||
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย | เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง | ||
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน | บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง | ||
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง | แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร | ||
บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก | แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร | ||
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร | ทินกรเลื่อนลับลงกับชล | ||
. | |||
. | |||
. | |||
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท | ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร | ||
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ | ประณมกรอภิวาทบาทบงส์ | ||
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม | รินน้ำหอมปรายประชำระสรง | ||
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง | เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด | ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์ | ||
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน | ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ | ||
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ | ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน | ||
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา | ||
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก | พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา | ||
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา | ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน | ||
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด | ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน | บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย | ||
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ | ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย | ||
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย | เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป | ||
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น | มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย | ||
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย | เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา | ||
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง | ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา | ||
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา | กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป | ||
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน | ในกลางย่านยมนาชลาไหล | ||
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ | แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ | ||
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ | ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร | ||
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน | แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา | ||
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ | พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา | ||
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา | ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ | ||