นิราศธารถลาง
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
(→บทประพันธ์) |
||
แถว 9: | แถว 9: | ||
== บทประพันธ์ == | == บทประพันธ์ == | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
- | จะร่ำปางทางไกลไปถลาง | + | ๏ จะร่ำปางทางไกลไปถลาง |
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | ||
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
แถว 17: | แถว 17: | ||
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ||
- | วัดพระแก้วมรกตก็สดใส งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน | + | ๏ วัดพระแก้วมรกตก็สดใส งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน |
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | ||
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ||
แถว 31: | แถว 31: | ||
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | ||
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | ||
- | วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน | + | ๏ วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน |
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ||
- | + | แม่ปลื้มจิตแม่จงคิดถึงพี่บ้าง อย่าเพ่อสร้างรสรักจนตักษัย | |
- | + | เคยปลื้มจิตจงได้คิดถึงปลื้มใจ ขออย่าให้น้องลืมที่ปลื้มเอย | |
- | + | ๏ ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | |
- | ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | + | |
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | ||
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | ||
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | ||
- | + | สารพัดที่จะไกลมิได้เห็น เผอิญเป็นกรรมเคราะห์เพราะพระเสาร์ | |
- | + | มาทุ่ทแทงแรงร้ายมิคลายเบา ไม่จากเจ้าก็จะตายวายชีวี | |
- | + | ต้องเสียรักหักใจอาลัยเหลือ มาทางเรือตามชะตาในราศี | |
- | ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | + | รำพันพลางทางมาในวารี หัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง |
+ | ๏ ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | ||
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | ||
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ||
แถว 51: | แถว 51: | ||
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | ||
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง จนเรือห่างเหินมาในสาคร | พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง จนเรือห่างเหินมาในสาคร | ||
- | ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน | + | ๏ ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน |
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | ||
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง ไปตามท้องวังวนชลสาย | พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง ไปตามท้องวังวนชลสาย | ||
แถว 57: | แถว 57: | ||
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ||
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ||
- | มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล | + | ๏ มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล |
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ||
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ||
แถว 65: | แถว 65: | ||
มาถึงช่องอินทรีทวีโศก แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | มาถึงช่องอินทรีทวีโศก แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | ||
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | ||
- | ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา | + | ๏ ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา |
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | ||
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | ||
แถว 71: | แถว 71: | ||
มาตะบึงลุถึงพระโขนง น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | มาตะบึงลุถึงพระโขนง น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | ||
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ||
- | ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา | + | ๏ ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา |
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา แล้วพาโบกบินไปกินรัง | เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา แล้วพาโบกบินไปกินรัง | ||
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | ||
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ||
- | + | พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง อยู่บ้านช่องปึกแผ่นก็แน่นหนา | |
- | + | แม้นประมาทพลาดพลั้งเหมือนดั่งปลา ถ้าใครคว้าเอาไปได้พี่ตายจริง | |
- | + | ๏ ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | |
- | ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | + | |
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | ||
ทัศนาธานีเห็นพิลึก พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ทัศนาธานีเห็นพิลึก พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ||
แถว 86: | แถว 85: | ||
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | ||
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
- | + | แต่ตัวข้าอาภัพกลับเป็นทุกข์ นิราศสุขสุดไกลน่าใจหาย | |
- | + | จะไปหาเคราะห์ดีหนีเคราะห์ร้าย เป็นฤๅตายก็จะสู้ไปดูที ฯ | |
- | + | ๏ มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | |
- | มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | + | |
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ||
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | ||
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ||
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง มาตามท้องคงคาชลาไหล | รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง มาตามท้องคงคาชลาไหล | ||
- | เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย | + | เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย พระภูวไนยสร้างสรรไว้มั่นคง |
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ||
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | ||
แถว 101: | แถว 99: | ||
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ||
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ||
- | + | แต่สุดรักของพี่นี้สุดรบ เหลือจะหลบหลีกลัดประหัตประหาร | |
- | + | รบไม่แตกแบกรักหนักอยู่นาน จะคิดอ่านรบยากลำบากจริง | |
- | + | จะคิดหนีก็มิพ้นต้องทนโศก สำหรับโลกทั้งหลายชายกับหญิง | |
+ | ก็เป็นเหมือนตัวพี่ที่ประวิง มิอาจทิ้งให้ขาดสวาทเลย | ||
+ | ๏ โอ้อกพี่นี้เพียงจะแตกคราก ด้วยจรจากมิตรมานิจจาเอ๋ย | ||
+ | ยิ่งตรมจิตคิดไปไม่เสบย เรือก็เลยล่องลอยชลามา | ||
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ||
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ||
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | ||
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
- | + | จนดึกดื่นเดือนดับเขาหลับหมด เรียมระทดถึงมิตรขนิษฐา | |
- | + | ไม่หลับใหลใจหายหงายดูฟ้า เห็นดาราเรืองอร่ามวะวามวาว | |
- | + | น้ำค้างพรมลมรื่นคลื่นกระฉ่อน มิได้นอนแนบนุชพี่สุดหนาว | |
+ | มานานไกลกลอยสวาทพี่ขาดคราว โอ้จะหนาวเนื้อพี่ทุกวี่วัน | ||
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ||
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ||
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | ||
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ||
- | ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา | + | ๏ ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา |
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ||
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | ||
แถว 127: | แถว 129: | ||
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ||
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน แสนรำคาญคิดไปใจระบม | กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน แสนรำคาญคิดไปใจระบม | ||
- | + | จึงประกาศเทวาสุราฤทธิ์ ขอฝากมิตรที่ในกรุงอันสุงสม | |
- | + | ประกาศแล้วแล่นมาเวลาลม พี่ซมซมโศกสะอื้นกลืนน้ำตา | |
- | + | ๏ ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | |
- | ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | + | |
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | ||
- | + | โอ้ปานนี้แก้วพี่อยู่ภายหลัง ยังคงคิดถึงพี่บ้างฤๅไฉน | |
- | + | พี่มัวมองปองสวาทเพียงขาดใจ แสนอาลัยเหลือล้นพ้นประมาณ | |
- | + | ||
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | ||
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล | ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล |
การปรับปรุง เมื่อ 11:00, 12 มิถุนายน 2556
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: นายมี
บทประพันธ์
๏ จะร่ำปางทางไกลไปถลาง | |||
เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง | ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | ||
เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย | แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธารา | พี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ | ||
แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหง | ของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ | ||
บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือ | ก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี | ||
พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน | โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี | ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ||
๏ วัดพระแก้วมรกตก็สดใส | งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน | ||
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล | จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | ||
ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ | อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ||
ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวัน | กระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี | ||
ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรัก | อย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี | ||
ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปี | ขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย | ||
ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่า | จนเวลารุ่งรางสว่างไสว | ||
ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัย | ก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์ | ||
ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวน | พี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข | ||
ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โต | หัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย | ||
ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ | ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย | ||
เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพาย | ออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ | ||
โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด | จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | ||
เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ | จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | ||
๏ วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม | มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน | ||
ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน | ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ||
แม่ปลื้มจิตแม่จงคิดถึงพี่บ้าง | อย่าเพ่อสร้างรสรักจนตักษัย | ||
เคยปลื้มจิตจงได้คิดถึงปลื้มใจ | ขออย่าให้น้องลืมที่ปลื้มเอย | ||
๏ ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด | ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | ||
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย | พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | ||
โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า | บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | ||
พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย | โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | ||
สารพัดที่จะไกลมิได้เห็น | เผอิญเป็นกรรมเคราะห์เพราะพระเสาร์ | ||
มาทุ่ทแทงแรงร้ายมิคลายเบา | ไม่จากเจ้าก็จะตายวายชีวี | ||
ต้องเสียรักหักใจอาลัยเหลือ | มาทางเรือตามชะตาในราศี | ||
รำพันพลางทางมาในวารี | หัวอกพี่ร้อนเริงดั่งเพลิงกอง | ||
๏ ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว | ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | ||
จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง | นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | ||
ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี | ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ||
ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกล | พลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน | ||
กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อย | แม่ค้าลอยขายของร้องประสาน | ||
บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการ | น่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง | ||
รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว | เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | ||
พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง | จนเรือห่างเหินมาในสาคร | ||
๏ ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน | เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน | ||
บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร | แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | ||
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง | ไปตามท้องวังวนชลสาย | ||
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | สังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา | ||
ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน | พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ||
ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา | ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ||
๏ มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด | แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล | ||
ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ | มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ||
ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น | ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ||
สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนือง | งามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม | ||
ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอ | ได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม | ||
คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความ | กลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป | ||
มาถึงช่องอินทรีทวีโศก | แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | ||
สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล | รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | ||
๏ ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า | นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา | ||
บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา | แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | ||
พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย | ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | ||
ช่วยป้องกันกุมภาในวาริน | อย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี | ||
มาตะบึงลุถึงพระโขนง | น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | ||
ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี | แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ||
๏ ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี | ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา | ||
เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา | แล้วพาโบกบินไปกินรัง | ||
อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ | นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | ||
ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง | จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ||
พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง | อยู่บ้านช่องปึกแผ่นก็แน่นหนา | ||
แม้นประมาทพลาดพลั้งเหมือนดั่งปลา | ถ้าใครคว้าเอาไปได้พี่ตายจริง | ||
๏ ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย | ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | ||
เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง | ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | ||
ทัศนาธานีเห็นพิลึก | พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ||
ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญ | คงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ | ||
ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบ | ช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ | ||
พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือ | ประทานชื่อยศนามตามตระกูล | ||
พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน | คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | ||
ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร | ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
แต่ตัวข้าอาภัพกลับเป็นทุกข์ | นิราศสุขสุดไกลน่าใจหาย | ||
จะไปหาเคราะห์ดีหนีเคราะห์ร้าย | เป็นฤๅตายก็จะสู้ไปดูที ฯ | ||
๏ มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น | ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | ||
ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี | ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ||
พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ | ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | ||
ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น | อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ||
รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง | มาตามท้องคงคาชลาไหล | ||
เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย | พระภูวไนยสร้างสรรไว้มั่นคง | ||
ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส | เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ||
มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ | กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | ||
มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง | จะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก | ||
ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึก | มิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว | ||
ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด | คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ||
ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว | พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ||
แต่สุดรักของพี่นี้สุดรบ | เหลือจะหลบหลีกลัดประหัตประหาร | ||
รบไม่แตกแบกรักหนักอยู่นาน | จะคิดอ่านรบยากลำบากจริง | ||
จะคิดหนีก็มิพ้นต้องทนโศก | สำหรับโลกทั้งหลายชายกับหญิง | ||
ก็เป็นเหมือนตัวพี่ที่ประวิง | มิอาจทิ้งให้ขาดสวาทเลย | ||
๏ โอ้อกพี่นี้เพียงจะแตกคราก | ด้วยจรจากมิตรมานิจจาเอ๋ย | ||
ยิ่งตรมจิตคิดไปไม่เสบย | เรือก็เลยล่องลอยชลามา | ||
ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร | พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ||
ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา | กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ||
พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น | พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | ||
บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน | ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
จนดึกดื่นเดือนดับเขาหลับหมด | เรียมระทดถึงมิตรขนิษฐา | ||
ไม่หลับใหลใจหายหงายดูฟ้า | เห็นดาราเรืองอร่ามวะวามวาว | ||
น้ำค้างพรมลมรื่นคลื่นกระฉ่อน | มิได้นอนแนบนุชพี่สุดหนาว | ||
มานานไกลกลอยสวาทพี่ขาดคราว | โอ้จะหนาวเนื้อพี่ทุกวี่วัน | ||
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด | พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ||
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน | พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ||
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด | ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | ||
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง | พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ||
๏ ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก | ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา | ||
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา | ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ||
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม | ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | ||
ชมทะเลเมฆาจนตาลาย | ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง | ||
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ | เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง | ||
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง | ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม | ||
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด | ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์ | ||
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ | อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ | ||
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส | พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว | ||
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป | จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ | ||
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย | ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ||
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน | แสนรำคาญคิดไปใจระบม | ||
จึงประกาศเทวาสุราฤทธิ์ | ขอฝากมิตรที่ในกรุงอันสุงสม | ||
ประกาศแล้วแล่นมาเวลาลม | พี่ซมซมโศกสะอื้นกลืนน้ำตา | ||
๏ ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย | จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | ||
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา | เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | ||
โอ้ปานนี้แก้วพี่อยู่ภายหลัง | ยังคงคิดถึงพี่บ้างฤๅไฉน | ||
พี่มัวมองปองสวาทเพียงขาดใจ | แสนอาลัยเหลือล้นพ้นประมาณ | ||
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง | ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | ||
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ | เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่ | พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร | ||
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร | ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย | ||
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ | ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย | ||
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย | ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา | ||
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์ | หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา | ||
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา | เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร | ||
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง | เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร | ||
สุริยาลงลับยุคนธร | พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย | ||
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ | ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย | ||
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย | ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา | เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์ | ||
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน | จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ | ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง | ||
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง | ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู | ||
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน | ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู | ||
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู | บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง | ||
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก | ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง | ||
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง | ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม | ||
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ | มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม | ||
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม | พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศ | ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร | ||
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน | ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร | ||
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น | ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส | ||
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล | เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก | ราวกับนกบินเตร่บนเวหา | ||
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล | ||
ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด | นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน | ||
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล | จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา | ||
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่ | มีทองแต่โบราณนานหนักหนา | ||
บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา | ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง | ||
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ | ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง | ||
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง | ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา | ||
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง | ราคาสูงสมสีดีหนักหนา | ||
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา | แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ | ||
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว | ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว | ||
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร | พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน | ||
เป็นเมืองริมวารีกะจีริด | นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน | ||
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล | ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก | ||
โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่ | จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์ | ||
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก | มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย | เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย | ||
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย | เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป | ||
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ | ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว | ||
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป | แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา | ||
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา | ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา | ||
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา | ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี | ||
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม | น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี | ||
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี | ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย | ||
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก | แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย | ||
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย | ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย | ||
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ | อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส | ||
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ | ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ | หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน | ||
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร | ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร | ||
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก | มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร | ||
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน | แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง | ||
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก | ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์ | ||
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง | ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงไชยาธานีบุรีสถาน | เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร | ||
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร | สถาพรพูนสุขสนุกสบาย | ||
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน | ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย | ||
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย | บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง | ||
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด | ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง | ||
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง | นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล | ||
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร | ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล | ||
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ | แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย | ||
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท | พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย | ||
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร | ||
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก | ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน | ||
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน | อรชรช่อผลระคนใบ | ||
เกตระกำอำพาจำปาดะ | ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว | ||
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป | มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน | ||
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน | นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์ | ||
โทมนัสทัศนาดูวาริน | ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร | ||
. | |||
. | |||
. | |||
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ | เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม | ||
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม | ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา | ||
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน | ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา | ||
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา | ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง | ||
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ | ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง | ||
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง | นายระวางพูดจาปรึกษากัน | ||
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ | ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน | จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย | ||
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด | เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย | ||
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย | ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ | ||
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย | ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์ | ||
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ | ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล | ||
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย | ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน | แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ | ||
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง | ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน | ||
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน | เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ | ||
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก | แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ | ||
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ | พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี | ||
ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ | เห็นสวะติดวนวารีศรี | ||
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี | ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว | ||
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา | หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว | ||
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว | แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง | ||
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด | คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง | ||
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง | อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ | ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | ||
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง | รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล | ||
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป | มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา | ||
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง | แลตะลึงลานจิตพินิจหา | ||
ดูรกนักหักพังเป็นรังกา | อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ | ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน | ||
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ | โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน | ||
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด | ปฏิบัติสิกขาหากุศล | ||
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ | อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี | ||
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด | อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์ | ||
แต่อายุยังไม่ครบประจบปี | ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ | เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน | ||
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร | ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว | ||
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง | เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว | ||
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว | ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร | ||
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง | ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน | ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม | ||
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด | น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม | ||
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม | แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด | เดียรดาษแวววามงามไสว | ||
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป | ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก | มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา | ||
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา | เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย | ||
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ | เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย | ||
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย | วิไลลายทองทาบดูปลาบตา | ||
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง | ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา | ||
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา | ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง | ||
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง | มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง | ||
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง | แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น | แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน | ||
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน | ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง | ||
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก | น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง | ||
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง | บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ | ||
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง | บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย | ||
บ้างก็แบกปืนผาพากันไป | ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง | ||
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า | รินสุราดื่มดังฟังแสยง | ||
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง | หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง | เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์ | ||
เขาว่าเสือชุมนักมักราวี | ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ | เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข | ||
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน | ||
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง | ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์ | ||
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน | หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง | ||
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา | พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง | ||
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง | ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว | ||
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น | มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว | ||
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว | ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ | ||
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง | กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ | ||
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ | เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง | ||
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ | ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง | ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน | ||
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต | ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน | ||
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน | ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล | ||
บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น | เสียงสนั่นเฮฮามาไสว | ||
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ | คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง | ||
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน | ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์ | ||
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน | ||
เหล่านักเลงสุราหากระบอก | เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน | ||
แบกกระบอกสุราพากันเดิน | พูดหยอกเอินกันตามความสบาย | ||
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข | มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย | ||
ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย | พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ | มีธารน้ำศาลาที่อาศัย | ||
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย | ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ | ||
ใครไปมาหาของกองคำนับ | อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ | ||
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ | ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย | ||
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก | ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย | ||
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย | ขอฝากกายอาศัยในศาลา | ||
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก | มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา | ||
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา | พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว | ||
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย | เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว | ||
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว | ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง | กระจ่างดวงสุริยาในราศรี | ||
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที | อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร | ||
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง | มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย | กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง | ||
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง | ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์ | ||
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง | ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล | ||
ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ | ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน | ||
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล | ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน | ||
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน | จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน | ||
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน | มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย | ||
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ | เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล | ||
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง | ||
มีสำเภาเลากามาค้าขาย | ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง | ||
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง | ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย | ||
ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก | ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย | ||
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย | มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน | ||
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง | ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน | ||
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน | พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู | ||
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง | ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู | ||
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู | ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน | ||
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ | ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน | ||
พี่พาชายชาวในออกไปปน | ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน | ||
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู | ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน | หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน | ||
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช | ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย | ||
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย | สู้อดใจราวกับพระชนะมาร | ||
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น | แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล | ||
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน | ก็คิดอ่านไปชมยมนา | ||
เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง | แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา | ||
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา | ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง | ||
ไปตามทางข้างทิศตะวันตก | ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์ | ||
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง | ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร | ||
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง | เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล | ||
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป | ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี | ||
สารพัดผักปลาในสาคเรศ | ปทุมเมศดอกประดับสลับสี | ||
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี | พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา | ||
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง | ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา | ||
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา | ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน | ||
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า | ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์ | ||
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล | ประชาชนหญิงชายสบายบาน | ||
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก | ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน | ||
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล | ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน | ||
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน | มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์ | ||
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน | พี่ผันผินทัศนาชลาลัย | ||
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง | กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว | ||
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ | ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ | ||
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ | บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน | ||
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ | ผุดขนานแน่นหนาในสาคร | ||
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน | ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน | ||
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร | เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล | ||
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน | เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน | ||
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล | ระคนปนกรวดทรายชายชลา | ||
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย | มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา | ||
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา | ดาษดาดีดีสีต่างกัน | ||
บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง | บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน | ||
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ | ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง | เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี | ||
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี | เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก | หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา | ||
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา | พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร | ||
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา | ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน | ||
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป | ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน | ||
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง | ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน | ||
ดูไสวใบบังพระสุริยน | เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา | ||
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง | ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา | ||
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา | กระลำภาโกฐสอสมอไทย | ||
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ | กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล | ||
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร | มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา | ||
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด | ปักษาชาติจิกกินบินถลา | ||
นกโนรีสีแดงดังชาดทา | มยุราลงเดินบนเนินทราย | ||
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน | จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย | ||
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย | เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง | ||
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน | บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง | ||
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง | แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร | ||
บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก | แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร | ||
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร | ทินกรเลื่อนลับลงกับชล | ||
. | |||
. | |||
. | |||
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท | ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร | ||
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ | ประณมกรอภิวาทบาทบงส์ | ||
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม | รินน้ำหอมปรายประชำระสรง | ||
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง | เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด | ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์ | ||
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน | ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ | ||
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ | ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน | ||
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา | ||
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก | พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา | ||
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา | ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน | ||
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด | ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน | บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย | ||
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ | ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย | ||
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย | เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป | ||
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น | มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย | ||
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย | เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา | ||
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง | ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา | ||
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา | กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป | ||
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน | ในกลางย่านยมนาชลาไหล | ||
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ | แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ | ||
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ | ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร | ||
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน | แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา | ||
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ | พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา | ||
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา | ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ | ||