นิราศพระประธม

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')
(บทประพันธ์)
 
แถว 6: แถว 6:
'''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]]
'''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]]
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
 +
<tpoem>
 +
  ๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
 +
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ  พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม
 +
น้ำค้างย้อยพรอยพรมเป็นลมว่าว  อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม
 +
มาลับเหมือนเดือนดับพยับโพยม  ยิ่งทุกข์โทมนัสในใจรัญจวน
 +
โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุด  ไม่มีนุชแนบชมเมื่อลมหวน
 +
พี่เห็นนางห่างเหยังเรรวน  มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน ฯ
 +
 
 +
๏ ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ  ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น
 +
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน  ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์
 +
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่  ไปสิงสู่เสน่หานางสาหงส์
 +
จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง  ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย ฯ
 +
 
 +
๏ วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพ  ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย
 +
โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลย  มาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล
 +
จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้าง  ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน
 +
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวน  แลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว
 +
ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบ  ยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว
 +
ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาว  เป็นลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหวัวใจ
 +
โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรค  แต่ความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน
 +
แม้นได้แก้วแววตามายาใจ  แล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง ฯ
 +
 
 +
๏ ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิต  เคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง
 +
มายามดึกนึกถึงที่พึ่งพิง  อนาถนิ่งน้อยหน้าน้ำตานอง
 +
บางหว้าน้อยน้อยจิตด้วยพิสมัย  น้อยหรือใจจืดจางให้หมางหมอง
 +
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง  เห็นเจ้าของขายหน้าทั้งตาปี
 +
ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ  เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี
 +
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี  มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน
 +
ขอบุญญาอานิสงส์จำนงสนอง  ช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปัฏิสนธิ์
 +
ศิวาลัยไตรภพจบสกล  ประจวบจนได้พบประสบกัน
 +
ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์  จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์
 +
จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวัน  อย่ามีอันตรายเป็นเหมือนเช่นนี้ ฯ
 +
 
 +
๏ วัดประขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้  ด้วยดวงใจเจ้ามันคล้ำดำมิดหมี
 +
แม่หม้ายสาวขาวโศกโฉลกมี  เหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว
 +
โอ้เคราะห์กรรมจำคลาดนิราศร้าง  เพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว
 +
ทั้งเกลียดลิ้นนินทาพาลาเลว  เหมือนควันเปลวปลิวต้องให้หมองมอม
 +
เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ย  จะชวดเชยชวดชิดสนิทสนอม
 +
เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอม  ใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ
 +
 
 +
๏ บางบำหรุเหมือนบำรุบำรุงรัก  จะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาดหมาย
 +
ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองราย  เห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม
 +
พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัด  พยุพัดฮือฮือกระพือโหม
 +
ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคม  น้ำค้างโซมแสนหนาวให้เปล่าใจ
 +
บางขุนนนท์ต้นลำภูดูหิ่งห้อย  เหมือนเพชรพร้อยพรอยพร่างสว่างไสว
 +
จังหรีดร้องซ้องเสียงเรียงเรไร  จะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน
 +
บางระมาดมาดหมายสายสวาท  ว่าสมมาดเหมือนใจแล้วไม่เหมือน
 +
แสนสวาทมาดหมายมาหลายเดือน  มีแต่เคลื่อนแคล้วคลาดประหลาดใจ
 +
วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำ  กอระกำแกมสละขึ้นไสว
 +
หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจ  ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง
 +
ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก  เหลือที่จักจับต้องเป็นของหลวง
 +
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง  ระรื่นร่วงเรณูฟูขจร
 +
โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าแต่เสาวรส  ยังปรากฏกลิ่นกล่อมหอมเกสร
 +
แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน  ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย
 +
ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมด  แต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหวย
 +
ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบย  โอ้โศกโรงเหมือนพี่ร้างมาทางจร ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง  เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน
 +
ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน  ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย
 +
วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่น  โอ้หอมชื่นเช่นกับรสแป้งสดใส
 +
เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาลัย  ที่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล
 +
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น  มาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน
 +
พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวน  เหมือนจะชวนชื่นใจเมื่อไกลเชย
 +
บางสนามนึกขามแต่หนามเสี้ยน  หนามทุเรียนรักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย
 +
ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตย  ไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน
 +
ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาท  มาสิ้นชาติชนมโลกให้โศกแสน
 +
ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดน  ไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงวัดเกดเจตนาแต่การะเกด  ไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล
 +
เคยสบเนตรเกษน้อยกลอยฤทัย  มาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน
 +
น้ำค้างพรมลมชายระบายโบก  หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน
 +
เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวล  มาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง
 +
เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารัก  จะเด็ดหักเสียก็ได้เขาไม่หวง
 +
แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวง  ก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม
 +
เหมือนรักคนคนรักทำยักยอก  จะเก็บดอกเด็ดผลคนก็ขาม
 +
แม้นยางลูกถูกหัตถ์ก็กัดลาม  เหมือนรำรามรักรายริมชายพง ฯ
 +
 
 +
๏ วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด  เอาอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์
 +
ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง  ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน
 +
ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อย  แขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน
 +
เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทร  จะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐ์ให้นิทรา ฯ
 +
 
 +
๏ เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต  ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา
 +
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา  โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี
 +
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก  จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี
 +
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้  เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา
 +
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ  ด้วยเป็นกำพร้าแม่ชะแง้หา
 +
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา  เช็ดน้ำตาโซมซาบลงกราบกราน
 +
ยิ่งตรอมตรึกดึกดื่นสะอื้นอั้น  จนไก่ขันเอื้อนเอกวิเวกหวาน
 +
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเหนียกนาน  เจียนจะขานหลงแลชะแง้คอย ฯ
 +
 
 +
๏ บางสีทองคลองบ้านน้ำตาลสด  อร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย
 +
เหมือนปากพี่สีทองของน้องน้อย  เป็นคู่บอกดอกสร้อยสักรวา
 +
ทุกวันนี้พี่ก็เฒ่าเราก็หง่อม  เธอเป็นจอมเราเป็นจนต้องบ่นหา
 +
โอ้จอมพี่สีทองของน้องยา  เมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ ฯ
 +
 
 +
๏ บางอ้อช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง  มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล
 +
พี่คลาดแคล้วแก้วตาให้อาลัย  เหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง ฯ
 +
 
 +
๏ พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง  ประสานซ้องเซ็งแซ่ดังแตรสังข์
 +
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดัง  เหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล
 +
อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง  กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน
 +
หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน  เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งซาบทรวง
 +
โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ  ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง
 +
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง  ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม
 +
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย  มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่สนอม
 +
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอม  จนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอย ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงวัดสักเหมือนพึ่งรักที่ศักดิ์สูง  สูงกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย
 +
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย  จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง
 +
บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง  ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ
 +
เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง  แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม
 +
สุดาใดได้เพื่อนอย่าเฟือนพี่  เหมือนมณีนพรัตน์ฉัตรเฉลิม
 +
อันน้ำในใจรักช่วยตักเติม  ให้พูนเพิ่มพิศวาสอย่าคลาดคลาย
 +
บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้  ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย
 +
ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย  เป็นยอดชายเชี่ยวชาญการวิชา
 +
ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร  สมสนิทนางตะเข้เสน่หา
 +
เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยา  จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน
 +
ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่  แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน
 +
ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล  มาด้วยกันกับทั้งคู่ที่อยู่ริม
 +
คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสะอื้นอ้อน  จะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม
 +
ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิม  กว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา
 +
บางคูเวียงเสียงเงียบเซียบสงัด  เป็นจังหวัดเวียงสวนล้วนพฤกษา
 +
ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนียงนา  ไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง
 +
เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน  มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง
 +
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง  โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์
 +
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนกับอก  น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาพี่กว่าขัน
 +
เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน  เหมือนอ้นอั้นอกกลุ้มรุมระกำ
 +
โอ้น้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย  ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ
 +
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ  นั่นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบางม่วงง่วงจิตคิดถึงม่วง  ต้องจากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ
 +
มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อ  มิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ
 +
เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด  เป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว
 +
เหมือนตัดรักหักสวาทขาดอาลัย  ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วเจ้าแก้วตา ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ  เข้าเทียบกับกิ่งรักไม่พักหา
 +
เมื่อกินข้าวเขาก็หักใบรักมา  จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม
 +
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง  เปรียบเหมือนนางเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม
 +
อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิม  ชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย
 +
โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้  ไม่พักได้เด็ดรักไม่พักฉวย
 +
แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวย  ใครไม่ช่วยชักนำให้กล้ำกลืน ฯ
 +
 
 +
๏ เสพอาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก  ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น
 +
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน  ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา
 +
เห็นสิ่งของน้องรักฟักจันอับ  แช่อิ่มพลับผลชิดเป็นปริศนา
 +
พี่จรจากฝากชิดสนิทมา  เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ
 +
แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้น  แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ
 +
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ  เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา ฯ
 +
 
 +
๏ แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลล่อง  ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา
 +
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา  สะอื้นอาลัยถึงคะนึงนวล
 +
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้  จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน
 +
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน  ชมลำดวนดอกส้มต้นนมนาง
 +
ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหัก  เอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง
 +
ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลาง  โอ้อ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
 +
 
 +
๏ บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อบ้าน  แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาสร
 +
ลงปลักเปลือกเกลือกเลนระเนนนอน  เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน
 +
โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนเพราะศรรัก  ถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน
 +
แม้นเหมือนรสพจมานเมื่อวานซืน  จะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม
 +
โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อย  จะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม
 +
ได้ใกล้เคียงเรียงริมจะอิ่มเอม  แสนเกษมสุดสวาทไม่คลาดคลาย ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า  เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย
 +
เป็นบ้าจิตคิดแค้นด้วยแสนร้าย  ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน  สะอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน
 +
โสนออกดอกระย้าริมสาชล  บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ
 +
แต่ต้นเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง  เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน
 +
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก  ถึงแสนโซสิ้นคิดไม่ติดตาม
 +
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาด  ขึ้นพ้นพาดเพ่งพิศให้คิดขาม
 +
ชื่อสวาดพาดเพราะเสนาะนาม  แต่ว่าหนามรกระชะกะกาง
 +
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย  ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง
 +
จนชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลาง  เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา
 +
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง  ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา
 +
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา  สันตะวาสายติ่งต้นลินจง ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด  ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์
 +
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง  เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน
 +
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ  ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร
 +
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน  เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย
 +
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก  เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย
 +
เป็นทุ่งนาป่าไม้รำไรราย  พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง ฯ
 +
 
 +
๏ ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน  น่าสำราญเรียงรันควันโขมง
 +
ถึงชะวากปากช่องชื่อคลองโยง  เป็นทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ
 +
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก  ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว
 +
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป  ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย
 +
เวทนากาสรสู้ถอนถีบ  เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย
 +
ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย  อย่าเป็นควายรับจ้างที่ทางโยง ฯ
 +
 
 +
๏ ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง  เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง
 +
เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง  ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน
 +
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด  บรรพตพืดภูผาพนาสิณฑ์
 +
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน  ตามที่ถิ่นเขตแคว้นทุกแดนดาว
 +
บ้างเดินดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง  ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว
 +
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว  อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว
 +
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด  ไม่คลาคลาดคลอเคลียเหมือนเมียผัว
 +
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว  เที่ยวเดินยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา
 +
นกกระจาบคาบคุ่มอีลุ้มร่อน  ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา
 +
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา  นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิน
 +
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด  ยามนิราศเริดร้างมาห่างเหิน
 +
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน  ส่วนเรือเดินด่วนไปใจจะคืน ฯ
 +
 
 +
๏ จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน  เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น
 +
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น  น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ
 +
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ  ใครช่างดำยกฟ้าขึ้นมาได้
 +
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราลัย  จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย ฯ
 +
 
 +
๏ โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ  ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย
 +
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย  สะอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว
 +
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์  ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว
 +
แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้ว  เหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิต  เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง
 +
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง  เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง  เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง
 +
มีรางรองสองชั้นทำคันโพง  ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม
 +
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง  มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม
 +
เมียน้อยน้อยพลอยเป็นสุขไรจุกเจิม  ได้พูนเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย
 +
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ  เหมือนเราหรือเขาจะรักมิผลักไส
 +
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ  จนเข้าในปากน้ำสำประโทน ฯ
 +
 
 +
๏ ริมลำคลองสองฝั่งสะพรั่งพฤกษ์  พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น
 +
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน  กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย
 +
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่  กระลุมพูโพระโดกเสียงโหวกโหวย
 +
วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดย  ละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด
 +
พอมืดมนฝนคลุ้มชอุ่มอับ  โพยมพยับเป็นพยุระบุระบัด
 +
เสียงลมสั่นบันลือกระพือพัด  พิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว
 +
ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วน  เหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว
 +
แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาว  เป็นเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง
 +
เพราะนางเอกเมขลาหล่อนล่อแก้ว  จะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง
 +
เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวง  เฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน  ไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา
 +
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา  ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน
 +
จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่ง  เป็นเขตคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์
 +
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน  เป็นสำคัญเขตโขดโตนดตาล ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว  แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน
 +
เป็นเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาพาน  มาสังหารพระยากงองค์บิดา
 +
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่  เผอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา
 +
อันเท็จจริงสิ่งใดเป็นไกลตา  เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง ฯ
 +
 
 +
๏ ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้าน  บวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง
 +
เห็นคนทรงปลงจิตอนิจจัง  ให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย
 +
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วย  ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย
 +
อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย  ถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี
 +
แต่บ้านนอกขอกนาอยู่ป่าเขา  ไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี
 +
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี  ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา ฯ
 +
 
 +
๏ บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง  กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา
 +
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา  ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป
 +
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาดคู่  สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล
 +
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนใจ  ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่  แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร
 +
ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจร  ยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น  สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา
 +
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาดคลา  จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก  น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ
 +
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ  อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา
 +
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้  จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา
 +
สะอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา  สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง
 +
บ้างเริงร้องซ้องแซ่กรอแกรกรีด  หวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง
 +
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ้อนเอียง  บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ
 +
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า  เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห
 +
หวนสะอื้นฝืนใจอาลัยแล  ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ ฯ
 +
 
 +
๏ ตะวันรอนอ่อนอับพยับแสง  ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล
 +
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาลัย  ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญาณ์
 +
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ  กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวหา
 +
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า  เทวดายังช่วยรับประคับประคอง
 +
มนุษย์หรือถือดีว่ามีศักดิ์  มิรับรักเริดร้างให้หมางหมอง
 +
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง  จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป ฯ
 +
 
 +
๏ น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว  หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว
 +
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ  ให้ทราบในทรวงช้ำสู้กล้ำกลืน
 +
โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก  สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน
 +
แม้นงิ้วเป็นเช่นงานเมื่อวานซืน  จะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ
 +
โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร์  ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน
 +
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน  คะนึงหวนนิ่งนอนอ่อนกำลัง ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ  เป็นโรงธรรมภาคสร้างแต่ปางหลัง
 +
เดชะคำทำคุณการุณัง  เป็นที่ตั้งศาสนาให้ถาวร
 +
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาดเคลื่อน  ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร
 +
หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทร  จงถาพรเพิ่มรักเป็นหลักโลม
 +
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย  ให้ละห้อยหวนเห็นเหมือนเช่นโฉม
 +
พอมืดมนฝนพยับอับโพยม  ทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง ฯ
 +
 
 +
๏ ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเป็นเนินสูง  ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง
 +
เหตุเพราะนางช้างต่อไปล่อลวง  พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง
 +
โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาด  แสนสวาทหวังงามมาตามโขลง
 +
ต้องติดบ่วงห่วงรักชักชะโลง  เสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ
 +
เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง  มีโรงร้างไร้ฝาเข้าอาศัย
 +
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร  พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ
 +
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง  น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ
 +
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ  เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน ฯ
 +
 
 +
๏ หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า  พออุ่นอารมณ์ระงับได้หลับไหล
 +
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ  แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม
 +
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า  แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม
 +
ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึม  เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง
 +
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด  จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง
 +
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง  แม่ม่ายสองไนเพราะเสนาะใน ฯ
 +
 
 +
๏ สงสารแต่แม่หม้ายสายสวาท  นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
 +
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองใน  เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
 +
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง  จะร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว
 +
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว  ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย
 +
โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน  ที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย
 +
สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชย  เมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ
 +
จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อน  แนบฉะอ้อนอุ่นจิตพิสมัย
 +
พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใด  จนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน
 +
พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วง  กำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน
 +
ยังมีคุ้นอุ่นจิตไม่บิดเบือน  มาเป็นเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร
 +
ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่ม  ขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร
 +
แม้นโฉมงามตามมาจะพาจร  เมื่อขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง
 +
โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรัก  ได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเป็นเจ้าของ
 +
มาสูญชาติวาสนาน้ำตานอง  มิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง ฯ
 +
 
 +
๏ พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น  ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง
 +
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง  สนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม
 +
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร  ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม
 +
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม  พื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา
 +
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น  ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา
 +
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา  ขึ้นเดินป่าไปตามทางเสียงวางเวง
 +
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ  ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง
 +
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง  ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว
 +
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง  น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว
 +
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว  พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว
 +
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น  กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว
 +
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว  เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา
 +
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ  จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า
 +
สนุกในไพรพนัสรัถยา  ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน ฯ
 +
 
 +
๏ ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ  สูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน
 +
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทิน  เป็นโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน
 +
ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุข  บุดีบุกบรรจบถึงนพศูล
 +
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน  จงเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน
 +
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่าง  ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน
 +
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์  ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ
 +
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์  เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย
 +
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ  ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน
 +
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน  ถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์
 +
ต่างอุตส่าห์พยายามต้องตามกัน  ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา ฯ
 +
 
 +
๏ สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น  ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา
 +
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา  ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี
 +
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนด  กราบประณตกรประนมก้มเกศี
 +
ถวายธูปเทียนบุปผาสุมาลี  กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน
 +
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว  จงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล
 +
ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรน  ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา
 +
ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เป็นญาติ  ทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปรารถนา
 +
ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตา  ไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์
 +
สาธุสะพระประธมบรมธาตุ  จงทรงศาสนาอยู่อย่ารู้สูญ
 +
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล  ให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ ฯ
 +
 
 +
๏ หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ  ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน
 +
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ  พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร ฯ
 +
 
 +
๏ อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง  แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร
 +
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน  ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา ฯ
 +
 
 +
๏ อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด  ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา
 +
ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดา  เหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง
 +
ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยาก  รู้รักปากรักหน้าประสาหญิง
 +
ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้ง  จะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน
 +
จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอด  จะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ
 +
อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้น  ไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาดคลา ฯ
 +
 
 +
๏ ขอเดชะพระมหาอานิสงส์  ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา
 +
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา  เหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ ฯ
 +
 
 +
๏ หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส  ซึ่งสิ้นชาติสิ้นภพสบสมัย
 +
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป  ถึงห้องไตรตรึงษ์สถานพิมานแมน ฯ
 +
 
 +
๏ ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่น  จงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน
 +
มั่งมีมิตรพิศวาสไม่ขาดแคลน  ให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน
 +
นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบ  เสน่ห์มอบหมายรักเป็นพักผล
 +
เผอิญขัดพลัดพรากเพราะยากจน  แบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี
 +
ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รัก  ที่สมศักดิ์สมหน้าเป็นราศี
 +
สืบสกุลพูนสวัสดิ์ในปัถพี  ร่วมชีวีสองคนไปจนตาย
 +
แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอก  ให้ออกดอกทุกวี่วันเหมือนมั่นหมาย
 +
ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชาย  เป็นแม่หม้ายเท้งเต้งวังเวงใจ
 +
ที่จงจิตพิศวาสอย่าคลาดเคลื่อน  ให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย
 +
อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ใน  ได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย
 +
เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ  สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย
 +
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย  จะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน ฯ
 +
 
 +
๏ แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก  ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์
 +
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์  ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
 +
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่  ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร
 +
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร  ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา
 +
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์  จะได้ลงสิงสู่ในคูหา
 +
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา  พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ
 +
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์  เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
 +
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์  เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร ฯ
 +
 
 +
๏ โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก  ที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน
 +
มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอน  ให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม
 +
ยังเหลือแต่แพรชมพูของคู่ชื่น  ทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม
 +
พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออม  เอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง
 +
กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระ  สาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ
 +
ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรอง  เหมือนรูปทองธรรมชาติสะอาดตา ฯ
 +
 
 +
๏ แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ  เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา
 +
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา  ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร
 +
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม  ด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว
 +
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร  แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง
 +
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา  ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง
 +
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง  ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง
 +
ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน  เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง
 +
เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูง  เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา ฯ
 +
 
 +
๏ ในอากาศดาดดูล้วนหมู่นก  บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา
 +
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา  สะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ
 +
บนประธมลมเอื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น  กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว
 +
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป  อนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา
 +
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆ  ดังฉัตรเฉกชื่นชุ่มพุ่มพฤกษา
 +
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา  เธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว
 +
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร  รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว
 +
ฉิมพลีปลีอ่อนเกสรปลิว  มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ ฯ
 +
 
 +
๏ โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาท  คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล
 +
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร  พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร
 +
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง  เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน
 +
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน  สุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย
 +
แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรก  สูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย
 +
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดาย  จะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ
 +
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น  ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน
 +
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัย  ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง
 +
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ  มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง
 +
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง  มีต่างต่างตันอกตกตะลึง
 +
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้  เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง
 +
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึง  ชมกระดึงดอกดวงพวงพะยอม
 +
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแชล่ม  ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม
 +
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอม  แต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ
 +
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน  เที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ
 +
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ  มันบินหวือว่อนลงข้างดงดอน ฯ
 +
 
 +
๏ ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติ  ระดาดาดดอกดวงบัวหลวงสลอน
 +
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร  หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย
 +
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำ  บ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย
 +
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย  จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน
 +
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น  ให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน
 +
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร  เที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง ฯ
 +
 
 +
๏ โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน  มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง
 +
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทอง  ดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา ฯ
 +
 
 +
๏ โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม  เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา
 +
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา  พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น
 +
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ  มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น
 +
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็น  มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน
 +
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวช  โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล
 +
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ  ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ ฯ
 +
 
 +
๏ แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้าน  คนโบราณรับไปได้ไต่ถาม
 +
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม  เป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติย์วงศ์
 +
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้  หวังจะให้ทราบความตามประสงค์
 +
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์  พระยากงพระยาพานกับมารดา
 +
ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราชย์  เรียงพระญาติพระยากงสืบวงศา
 +
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา  กระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน
 +
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง  ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ
 +
พระยากงส่งไปให้นายพราน  ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย
 +
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง  แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย
 +
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย  ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง
 +
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว  แกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง
 +
รู้ผูกหญ้าผ้าพยนต์มนต์จังงัง  มีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร
 +
พระยากงลงมาจับก็รับรบ  ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร
 +
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาพาน  จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ
 +
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผล  จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
 +
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ  ด้วยความนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน ฯ
 +
 
 +
๏ ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด  ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล
 +
เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์  จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน
 +
แทนคุณตามความรักแต่หักว่า  ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร
 +
ที่ยายตายหมายปักเป็นหลักประโคน  แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเป็นช้านาน
 +
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม  ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน
 +
ครั้นเสร็จสรรพกลับมาหาอาจารย์  เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศีลา
 +
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ  ปลงพระศพพระยากงพร้อมวงศา
 +
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ขัตติยา  ของบิดามารดรแต่ก่อนกาล
 +
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้  ที่ถ้ำใต้เนินพนมประธมสถาน
 +
จึงเลื่องลือชื่อว่าพระยาพาน  คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง ฯ
 +
 
 +
๏ ท่านผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้  หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง
 +
ด้วยเลื่อมใสในจิตคิดประคอง  ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม
 +
ก็จนใจได้แต่คำทำหนังสือ  ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม
 +
ให้ลือชาปรากฏได้งดงาม  พอเป็นความชอบบ้างในทางบุญ
 +
ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์  สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน
 +
ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญ  อย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน ฯ
 +
 
 +
๏ แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน  ตรวจวารินรดทำคำอักษร
 +
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร  ถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์
 +
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ  ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร
 +
เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพาน  เคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน
 +
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอก  น้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน
 +
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมสกล  พระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูน
 +
ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ์  ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ
 +
สิ้นแผ่นดินทินกรรอนจำรูญ  ให้เพิ่มพูนพอสว่างหนทางเดิน
 +
ดังจินดาห้าดวงช่วงทวีป  ได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน
 +
เป็นทำนุอุปถัมภ์ไม่ก้ำเกิน  จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา ฯ
 +
 
 +
๏ อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปสรราช  บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา
 +
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา  ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง ฯ
 +
 
 +
๏ ษิโณทกตกดินพอสิ้นแสง  ตะวันแดงดูฟ้าเป็นผ้าเหลือง
 +
เข้าพลบค่ำร่ำรวีราศีประเทือง  ก็จบเรื่องแต่งชมประธมเอย ฯ
 +
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==

รุ่นปัจจุบันของ 04:55, 9 กรกฎาคม 2552

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: สุนทรภู่

บทประพันธ์

๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำพอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม
น้ำค้างย้อยพรอยพรมเป็นลมว่าวอนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม
มาลับเหมือนเดือนดับพยับโพยมยิ่งทุกข์โทมนัสในใจรัญจวน
โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุดไม่มีนุชแนบชมเมื่อลมหวน
พี่เห็นนางห่างเหยังเรรวนมิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน ฯ
๏ ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคนก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่ไปสิงสู่เสน่หานางสาหงส์
จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลงให้คนทรงเสียใจมิได้เชย ฯ
๏ วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย
โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลยมาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล
จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้างตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวนแลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว
ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว
ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาวเป็นลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหวัวใจ
โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรคแต่ความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน
แม้นได้แก้วแววตามายาใจแล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง ฯ
๏ ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิตเคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง
มายามดึกนึกถึงที่พึ่งพิงอนาถนิ่งน้อยหน้าน้ำตานอง
บางหว้าน้อยน้อยจิตด้วยพิสมัยน้อยหรือใจจืดจางให้หมางหมอง
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้องเห็นเจ้าของขายหน้าทั้งตาปี
ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบเย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารีมาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน
ขอบุญญาอานิสงส์จำนงสนองช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปัฏิสนธิ์
ศิวาลัยไตรภพจบสกลประจวบจนได้พบประสบกัน
ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์
จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวันอย่ามีอันตรายเป็นเหมือนเช่นนี้ ฯ
๏ วัดประขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้ด้วยดวงใจเจ้ามันคล้ำดำมิดหมี
แม่หม้ายสาวขาวโศกโฉลกมีเหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว
โอ้เคราะห์กรรมจำคลาดนิราศร้างเพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว
ทั้งเกลียดลิ้นนินทาพาลาเลวเหมือนควันเปลวปลิวต้องให้หมองมอม
เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ยจะชวดเชยชวดชิดสนิทสนอม
เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอมใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ
๏ บางบำหรุเหมือนบำรุบำรุงรักจะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาดหมาย
ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองรายเห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม
พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัดพยุพัดฮือฮือกระพือโหม
ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคมน้ำค้างโซมแสนหนาวให้เปล่าใจ
บางขุนนนท์ต้นลำภูดูหิ่งห้อยเหมือนเพชรพร้อยพรอยพร่างสว่างไสว
จังหรีดร้องซ้องเสียงเรียงเรไรจะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน
บางระมาดมาดหมายสายสวาทว่าสมมาดเหมือนใจแล้วไม่เหมือน
แสนสวาทมาดหมายมาหลายเดือนมีแต่เคลื่อนแคล้วคลาดประหลาดใจ
วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำกอระกำแกมสละขึ้นไสว
หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง
ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรักเหลือที่จักจับต้องเป็นของหลวง
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวงระรื่นร่วงเรณูฟูขจร
โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าแต่เสาวรสยังปรากฏกลิ่นกล่อมหอมเกสร
แต่โกสุมภุมรินมาบินวอนไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย
ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมดแต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหวย
ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบยโอ้โศกโรงเหมือนพี่ร้างมาทางจร ฯ
๏ ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวางเดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน
ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอนถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย
วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่นโอ้หอมชื่นเช่นกับรสแป้งสดใส
เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาลัยที่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่นมาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน
พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวนเหมือนจะชวนชื่นใจเมื่อไกลเชย
บางสนามนึกขามแต่หนามเสี้ยนหนามทุเรียนรักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย
ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตยไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน
ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาทมาสิ้นชาติชนมโลกให้โศกแสน
ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดนไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ ฯ
๏ ถึงวัดเกดเจตนาแต่การะเกดไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล
เคยสบเนตรเกษน้อยกลอยฤทัยมาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน
น้ำค้างพรมลมชายระบายโบกหอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน
เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวลมาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง
เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารักจะเด็ดหักเสียก็ได้เขาไม่หวง
แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวงก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม
เหมือนรักคนคนรักทำยักยอกจะเก็บดอกเด็ดผลคนก็ขาม
แม้นยางลูกถูกหัตถ์ก็กัดลามเหมือนรำรามรักรายริมชายพง ฯ
๏ วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาดเอาอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์
ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรงให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน
ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อยแขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน
เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทรจะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐ์ให้นิทรา ฯ
๏ เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิตไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมาโอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพรากจึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำด้วยเป็นกำพร้าแม่ชะแง้หา
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดาเช็ดน้ำตาโซมซาบลงกราบกราน
ยิ่งตรอมตรึกดึกดื่นสะอื้นอั้นจนไก่ขันเอื้อนเอกวิเวกหวาน
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเหนียกนานเจียนจะขานหลงแลชะแง้คอย ฯ
๏ บางสีทองคลองบ้านน้ำตาลสดอร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย
เหมือนปากพี่สีทองของน้องน้อยเป็นคู่บอกดอกสร้อยสักรวา
ทุกวันนี้พี่ก็เฒ่าเราก็หง่อมเธอเป็นจอมเราเป็นจนต้องบ่นหา
โอ้จอมพี่สีทองของน้องยาเมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ ฯ
๏ บางอ้อช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลงมาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล
พี่คลาดแคล้วแก้วตาให้อาลัยเหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง ฯ
๏ พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้องประสานซ้องเซ็งแซ่ดังแตรสังข์
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดังเหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล
อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสงกระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน
หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวนเหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งซาบทรวง
โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวงได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ยมิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่สนอม
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอมจนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอย ฯ
๏ ถึงวัดสักเหมือนพึ่งรักที่ศักดิ์สูงสูงกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอยจะได้คอยเคียงรับประคับประคอง
บางขนุนขุนกองมีคลองกว้างว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ
เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทองแต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม
สุดาใดได้เพื่อนอย่าเฟือนพี่เหมือนมณีนพรัตน์ฉัตรเฉลิม
อันน้ำในใจรักช่วยตักเติมให้พูนเพิ่มพิศวาสอย่าคลาดคลาย
บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย
ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตายเป็นยอดชายเชี่ยวชาญการวิชา
ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตรสมสนิทนางตะเข้เสน่หา
เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยาจะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน
ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน
ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัลมาด้วยกันกับทั้งคู่ที่อยู่ริม
คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสะอื้นอ้อนจะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม
ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิมกว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา
บางคูเวียงเสียงเงียบเซียบสงัดเป็นจังหวัดเวียงสวนล้วนพฤกษา
ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนียงนาไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง
เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อนมีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียงโอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนกับอกน้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาพี่กว่าขัน
เขาโหมไฟในโรงโขมงควันเหมือนอ้นอั้นอกกลุ้มรุมระกำ
โอ้น้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อยข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำนั่นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ ฯ
๏ ถึงบางม่วงง่วงจิตคิดถึงม่วงต้องจากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ
มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อมิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ
เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัดเป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว
เหมือนตัดรักหักสวาทขาดอาลัยด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วเจ้าแก้วตา ฯ
๏ ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับเข้าเทียบกับกิ่งรักไม่พักหา
เมื่อกินข้าวเขาก็หักใบรักมาจิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่างเปรียบเหมือนนางเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม
อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิมชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย
โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้ไม่พักได้เด็ดรักไม่พักฉวย
แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวยใครไม่ช่วยชักนำให้กล้ำกลืน ฯ
๏ เสพอาหารหวานคาวเมื่อคราวยากล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืนของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา
เห็นสิ่งของน้องรักฟักจันอับแช่อิ่มพลับผลชิดเป็นปริศนา
พี่จรจากฝากชิดสนิทมาเหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ
แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้นแต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือเพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา ฯ
๏ แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลล่องไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยาสะอื้นอาลัยถึงคะนึงนวล
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวนชมลำดวนดอกส้มต้นนมนาง
ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหักเอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง
ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลางโอ้อ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
๏ บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อบ้านแสนสงสารสัตว์นาฝูงกาสร
ลงปลักเปลือกเกลือกเลนระเนนนอนเหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน
โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนเพราะศรรักถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน
แม้นเหมือนรสพจมานเมื่อวานซืนจะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม
โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อยจะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม
ได้ใกล้เคียงเรียงริมจะอิ่มเอมแสนเกษมสุดสวาทไม่คลาดคลาย ฯ
๏ ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้าเหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย
เป็นบ้าจิตคิดแค้นด้วยแสนร้ายใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน ฯ
๏ ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสนสะอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน
โสนออกดอกระย้าริมสาชลบ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ
แต่ต้นเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิงเบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโกถึงแสนโซสิ้นคิดไม่ติดตาม
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาดขึ้นพ้นพาดเพ่งพิศให้คิดขาม
ชื่อสวาดพาดเพราะเสนาะนามแต่ว่าหนามรกระชะกะกาง
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ยด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง
จนชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลางเปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้งด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดาสันตะวาสายติ่งต้นลินจง ฯ
๏ ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัดที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรงเหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจนเฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามกเที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย
เป็นทุ่งนาป่าไม้รำไรรายพวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง ฯ
๏ ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้านน่าสำราญเรียงรันควันโขมง
ถึงชะวากปากช่องชื่อคลองโยงเป็นทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือกล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไปที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย
เวทนากาสรสู้ถอนถีบเขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย
ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกายอย่าเป็นควายรับจ้างที่ทางโยง ฯ
๏ ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่างเขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง
เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรงขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืดบรรพตพืดภูผาพนาสิณฑ์
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากินตามที่ถิ่นเขตแคว้นทุกแดนดาว
บ้างเดินดินบินว่อนขึ้นร่อนร้องริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาวอีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาดไม่คลาคลาดคลอเคลียเหมือนเมียผัว
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัวเที่ยวเดินยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา
นกกระจาบคาบคุ่มอีลุ้มร่อนดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลานกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิน
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาดยามนิราศเริดร้างมาห่างเหิน
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลินส่วนเรือเดินด่วนไปใจจะคืน ฯ
๏ จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้านเขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้นน่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำใครช่างดำยกฟ้าขึ้นมาได้
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราลัยจะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย ฯ
๏ โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วรายสะอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว
แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้วเหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง ฯ
๏ ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิตเหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบังเปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง ฯ
๏ ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่งเจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง
มีรางรองสองชั้นทำคันโพงผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้องมีเงินทองทำทวีภาษีเสริม
เมียน้อยน้อยพลอยเป็นสุขไรจุกเจิมได้พูนเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือเหมือนเราหรือเขาจะรักมิผลักไส
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจจนเข้าในปากน้ำสำประโทน ฯ
๏ ริมลำคลองสองฝั่งสะพรั่งพฤกษ์พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจนกระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่กระลุมพูโพระโดกเสียงโหวกโหวย
วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดยละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด
พอมืดมนฝนคลุ้มชอุ่มอับโพยมพยับเป็นพยุระบุระบัด
เสียงลมสั่นบันลือกระพือพัดพิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว
ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วนเหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว
แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาวเป็นเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง
เพราะนางเอกเมขลาหล่อนล่อแก้วจะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง
เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวงเฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา ฯ
๏ ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสนไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตาไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน
จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่งเป็นเขตคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควันเป็นสำคัญเขตโขดโตนดตาล ฯ
๏ ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าวแต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน
เป็นเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาพานมาสังหารพระยากงองค์บิดา
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่เผอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา
อันเท็จจริงสิ่งใดเป็นไกลตาเขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง ฯ
๏ ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้านบวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง
เห็นคนทรงปลงจิตอนิจจังให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วยไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย
อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลายถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี
แต่บ้านนอกขอกนาอยู่ป่าเขาไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดีไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา ฯ
๏ บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลังกำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมาไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาดคู่สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนใจดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร ฯ
๏ ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร
ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจรยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา ฯ
๏ ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่นสำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาดคลาจะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ ฯ
๏ ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูกน้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครืออยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา
สะอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลาสกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง
บ้างเริงร้องซ้องแซ่กรอแกรกรีดหวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ้อนเอียงบ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้าเหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห
หวนสะอื้นฝืนใจอาลัยแลได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ ฯ
๏ ตะวันรอนอ่อนอับพยับแสงดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาลัยค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญาณ์
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศกระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวหา
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้าเทวดายังช่วยรับประคับประคอง
มนุษย์หรือถือดีว่ามีศักดิ์มิรับรักเริดร้างให้หมางหมอง
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้องจึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป ฯ
๏ น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้วหนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจให้ทราบในทรวงช้ำสู้กล้ำกลืน
โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยากสุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน
แม้นงิ้วเป็นเช่นงานเมื่อวานซืนจะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ
โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร์ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวนคะนึงหวนนิ่งนอนอ่อนกำลัง ฯ
๏ ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำเป็นโรงธรรมภาคสร้างแต่ปางหลัง
เดชะคำทำคุณการุณังเป็นที่ตั้งศาสนาให้ถาวร
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาดเคลื่อนให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร
หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทรจงถาพรเพิ่มรักเป็นหลักโลม
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อยให้ละห้อยหวนเห็นเหมือนเช่นโฉม
พอมืดมนฝนพยับอับโพยมทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง ฯ
๏ ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเป็นเนินสูงที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง
เหตุเพราะนางช้างต่อไปล่อลวงพลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง
โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาดแสนสวาทหวังงามมาตามโขลง
ต้องติดบ่วงห่วงรักชักชะโลงเสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ
เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้างมีโรงร้างไร้ฝาเข้าอาศัย
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทรพวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่างน้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือเหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน ฯ
๏ หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้าพออุ่นอารมณ์ระงับได้หลับไหล
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟแต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้าแต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม
ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึมเสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีดจังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้องแม่ม่ายสองไนเพราะเสนาะใน ฯ
๏ สงสารแต่แม่หม้ายสายสวาทนอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองในเสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้องจะร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาวลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย
โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือนที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย
สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชยเมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ
จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อนแนบฉะอ้อนอุ่นจิตพิสมัย
พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใดจนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน
พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วงกำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน
ยังมีคุ้นอุ่นจิตไม่บิดเบือนมาเป็นเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร
ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่มขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร
แม้นโฉมงามตามมาจะพาจรเมื่อขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง
โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรักได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเป็นเจ้าของ
มาสูญชาติวาสนาน้ำตานองมิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง ฯ
๏ พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้นปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง
โกกิลากาแกแซ่สำเนียงสนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสรทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลมพื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่นยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธาขึ้นเดินป่าไปตามทางเสียงวางเวง
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครงให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่างน้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยวพากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่นกระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราวเวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบจับประจบหกล้มสมน้ำหน้า
สนุกในไพรพนัสรัถยาทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน ฯ
๏ ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุสูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทินเป็นโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน
ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุขบุดีบุกบรรจบถึงนพศูล
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูนจงเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่างล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงนถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์
ต่างอุตส่าห์พยายามต้องตามกันขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา ฯ
๏ สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้นไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชาตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนดกราบประณตกรประนมก้มเกศี
ถวายธูปเทียนบุปผาสุมาลีกับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้วจงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล
ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรนประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา
ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เป็นญาติทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปรารถนา
ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตาไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์
สาธุสะพระประธมบรมธาตุจงทรงศาสนาอยู่อย่ารู้สูญ
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูลให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ ฯ
๏ หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬพระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร ฯ
๏ อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่างแล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอนต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา ฯ
๏ อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาดถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา
ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดาเหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง
ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยากรู้รักปากรักหน้าประสาหญิง
ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้งจะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน
จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอดจะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ
อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้นไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาดคลา ฯ
๏ ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณาเหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ ฯ
๏ หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาสซึ่งสิ้นชาติสิ้นภพสบสมัย
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไปถึงห้องไตรตรึงษ์สถานพิมานแมน ฯ
๏ ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่นจงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน
มั่งมีมิตรพิศวาสไม่ขาดแคลนให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน
นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบเสน่ห์มอบหมายรักเป็นพักผล
เผอิญขัดพลัดพรากเพราะยากจนแบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี
ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รักที่สมศักดิ์สมหน้าเป็นราศี
สืบสกุลพูนสวัสดิ์ในปัถพีร่วมชีวีสองคนไปจนตาย
แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอกให้ออกดอกทุกวี่วันเหมือนมั่นหมาย
ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชายเป็นแม่หม้ายเท้งเต้งวังเวงใจ
ที่จงจิตพิศวาสอย่าคลาดเคลื่อนให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย
อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ในได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย
เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จสรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกายจะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน ฯ
๏ แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนกให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกรได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์จะได้ลงสิงสู่ในคูหา
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดาพี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร ฯ
๏ โอ้คิดไปใจหายเสียดายนักที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน
มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอนให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม
ยังเหลือแต่แพรชมพูของคู่ชื่นทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม
พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออมเอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง
กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระสาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ
ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรองเหมือนรูปทองธรรมชาติสะอาดตา ฯ
๏ แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุเลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยาด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยมด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไรแต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวาล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวงในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง
ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียนเห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง
เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูงเป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา ฯ
๏ ในอากาศดาดดูล้วนหมู่นกบ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวาสะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ
บนประธมลมเอื่อยเรื่อยเรื่อยรื่นกระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไปอนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆดังฉัตรเฉกชื่นชุ่มพุ่มพฤกษา
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑาเธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตรรำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว
ฉิมพลีปลีอ่อนเกสรปลิวมาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ ฯ
๏ โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาทคิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพรพระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่างเอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลานสุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย
แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรกสูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดายจะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้นถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัยต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศมะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนางมีต่างต่างตันอกตกตะลึง
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึงชมกระดึงดอกดวงพวงพะยอม
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแชล่มดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอมแต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อนเที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือมันบินหวือว่อนลงข้างดงดอน ฯ
๏ ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติระดาดาดดอกดวงบัวหลวงสลอน
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจรหอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำบ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอยจะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่นให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียรเที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง ฯ
๏ โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อนมีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทองดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา ฯ
๏ โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้มเปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดาพลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละมาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็นมาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวชโอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล
สารพัดตัดขาดประหลาดใจตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ ฯ
๏ แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้านคนโบราณรับไปได้ไต่ถาม
เห็นรูปหินศิลาสง่างามเป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติย์วงศ์
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้หวังจะให้ทราบความตามประสงค์
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์พระยากงพระยาพานกับมารดา
ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราชย์เรียงพระญาติพระยากงสืบวงศา
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรากระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยงผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ
พระยากงส่งไปให้นายพรานทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยงแกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพรายลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาวแกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง
รู้ผูกหญ้าผ้าพยนต์มนต์จังงังมีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร
พระยากงลงมาจับก็รับรบตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาพานจึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผลจึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญด้วยความนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน ฯ
๏ ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิดด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล
เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน
แทนคุณตามความรักแต่หักว่าต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร
ที่ยายตายหมายปักเป็นหลักประโคนแต่ก่อนโพ้นพ้นมาเป็นช้านาน
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอมด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน
ครั้นเสร็จสรรพกลับมาหาอาจารย์เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศีลา
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบปลงพระศพพระยากงพร้อมวงศา
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ขัตติยาของบิดามารดรแต่ก่อนกาล
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้ที่ถ้ำใต้เนินพนมประธมสถาน
จึงเลื่องลือชื่อว่าพระยาพานคู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง ฯ
๏ ท่านผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง
ด้วยเลื่อมใสในจิตคิดประคองให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม
ก็จนใจได้แต่คำทำหนังสือช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม
ให้ลือชาปรากฏได้งดงามพอเป็นความชอบบ้างในทางบุญ
ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน
ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญอย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน ฯ
๏ แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหินตรวจวารินรดทำคำอักษร
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพรถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร
เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพานเคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอกน้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมสกลพระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูน
ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ์ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ
สิ้นแผ่นดินทินกรรอนจำรูญให้เพิ่มพูนพอสว่างหนทางเดิน
ดังจินดาห้าดวงช่วงทวีปได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน
เป็นทำนุอุปถัมภ์ไม่ก้ำเกินจงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา ฯ
๏ อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปสรราชบำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนาชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง ฯ
๏ ษิโณทกตกดินพอสิ้นแสงตะวันแดงดูฟ้าเป็นผ้าเหลือง
เข้าพลบค่ำร่ำรวีราศีประเทืองก็จบเรื่องแต่งชมประธมเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

เครื่องมือส่วนตัว