นิราศพระบาท
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย 'หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินท…') |
|||
แถว 10: | แถว 10: | ||
จะหน่อพระสุริย์วงศ์ทรงพระนาม จากอารามแรมร้างทางกันดาร | จะหน่อพระสุริย์วงศ์ทรงพระนาม จากอารามแรมร้างทางกันดาร | ||
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร | ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร | ||
- | ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร นมัสการรอยบาทพระศาสดา | + | ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร นมัสการรอยบาทพระศาสดา ฯ |
๏ วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า | ๏ วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า | ||
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย | รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย | ||
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย | ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย | ||
- | แสนสลดให้ระทดระทวยกาย ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครัน | + | แสนสลดให้ระทดระทวยกาย ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครัน ฯ |
๏ ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น | ๏ ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น | ||
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง | ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง | ||
แถว 22: | แถว 22: | ||
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม น้อมบังคมเทวารักษาวัง | ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม น้อมบังคมเทวารักษาวัง | ||
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง | ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง | ||
- | ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานี | + | ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานี ฯ |
๏ ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี | ๏ ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี | ||
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน | ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน | ||
แถว 28: | แถว 28: | ||
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ | นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ | ||
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ | ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ | ||
- | ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ | + | ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ ฯ |
๏ ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล | ๏ ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล | ||
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร | พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร | ||
แถว 34: | แถว 34: | ||
มิตรจิตขอให้มิตรใจจร ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง | มิตรจิตขอให้มิตรใจจร ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง | ||
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง | ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง | ||
- | เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง | + | เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้ว ฯ |
๏ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว | ๏ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว | ||
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง | จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง | ||
แถว 44: | แถว 44: | ||
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา | เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา | ||
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า | พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า | ||
- | โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นาน | + | โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นาน ฯ |
๏ ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน | ๏ ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน | ||
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน เรือขนานจอดโจษกันจอแจ | ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน เรือขนานจอดโจษกันจอแจ | ||
แถว 54: | แถว 54: | ||
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว | ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว | ||
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว | เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว | ||
- | จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลย | + | จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลย ฯ |
๏ ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย | ๏ ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย | ||
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล | พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล | ||
แถว 62: | แถว 62: | ||
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล | เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล | ||
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน | เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน | ||
- | เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง | + | เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง ฯ |
๏ ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง | ๏ ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง | ||
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง | เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง | ||
แถว 70: | แถว 70: | ||
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี | เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี | ||
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่ หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี | ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่ หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี | ||
- | ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป | + | ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป ฯ |
๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล | ๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล | ||
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง | ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง | ||
แถว 76: | แถว 76: | ||
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม | ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม | ||
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม | เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม | ||
- | ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนาง | + | ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนาง ฯ |
๏ ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง | ๏ ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง | ||
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง ต้องแยกทางสองแควกระแสชล | ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง ต้องแยกทางสองแควกระแสชล | ||
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์ | ปางบุรำคำบุราณขนานนาม ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์ | ||
- | ในแถวทางกลางย่านกันดารคน | + | ในแถวทางกลางย่านกันดารคน นาวาดลเดินเบื้องบูรพา |
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า | โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า | ||
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ | ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ | ||
แถว 92: | แถว 92: | ||
มิทันสั่งสกุณินก็บินไป ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน | มิทันสั่งสกุณินก็บินไป ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน | ||
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน | ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน | ||
- | โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวง | + | โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวง ฯ |
๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง | ๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง | ||
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน | จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน | ||
แถว 102: | แถว 102: | ||
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ | อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ | ||
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม | แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม | ||
- | โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไป | + | โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไป ฯ |
๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล | ๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล | ||
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ | ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ | ||
แถว 110: | แถว 110: | ||
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง | ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง | ||
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง | ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง | ||
- | ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน | + | ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน ฯ |
๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน | ๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน | ||
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง | พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง | ||
แถว 120: | แถว 120: | ||
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา | ถึงคลองสระปทุมานาวาราย น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา | ||
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา | ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา | ||
- | ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน | + | ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน ฯ |
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ | ๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ | ||
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง | แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง | ||
แถว 132: | แถว 132: | ||
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย | ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย | ||
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย | หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย | ||
- | เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง | + | เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง ฯ |
๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง | ๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง | ||
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร | ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร | ||
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่ | ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่ | ||
- | ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนาน | + | ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนาน ฯ |
๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน | ๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน | ||
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา | เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา | ||
แถว 148: | แถว 148: | ||
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ | ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ | ||
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน | บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน | ||
- | ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา | + | ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา ฯ |
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ ดูเกะกะรอร้างทางพม่า | ๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ ดูเกะกะรอร้างทางพม่า | ||
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง | เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง | ||
แถว 154: | แถว 154: | ||
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ | พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ | ||
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ | แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ | ||
- | แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครัน | + | แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครัน ฯ |
๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์ | ๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์ | ||
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ | นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ | ||
แถว 160: | แถว 160: | ||
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย | ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย | ||
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย | ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย | ||
- | โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืน | + | โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืน ฯ |
๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น | ๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น | ||
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย | โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย | ||
แถว 172: | แถว 172: | ||
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม | ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม | ||
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด อุตลุดขนของขึ้นกองสุม | ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด อุตลุดขนของขึ้นกองสุม | ||
- | เสบียงใครใครนั่งระวังคุม พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี | + | เสบียงใครใครนั่งระวังคุม พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี | ๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี | ||
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย | ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย | ||
แถว 182: | แถว 182: | ||
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง | ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง | ||
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง | แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง | ||
- | ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน | + | ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน ฯ |
๏ อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ | ๏ อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ | ||
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์ | แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์ | ||
แถว 190: | แถว 190: | ||
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน | ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน | ||
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร | จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร | ||
- | เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง | + | เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง ฯ |
๏ บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่ บ้างจอแจจัดการประสานเสียง | ๏ บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่ บ้างจอแจจัดการประสานเสียง | ||
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน | บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน | ||
แถว 196: | แถว 196: | ||
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย | จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย | ||
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย | ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย | ||
- | กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน | + | กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน ฯ |
๏ สงสารนางชาวในที่ไปด้วย ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น | ๏ สงสารนางชาวในที่ไปด้วย ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น | ||
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ | หวีกระจกตกแตกกระจายดิน เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ | ||
แถว 204: | แถว 204: | ||
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว | กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว | ||
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว | บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว | ||
- | ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว | + | ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง ฯ |
๏ สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง | ๏ สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง | ||
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน | ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน | ||
แถว 214: | แถว 214: | ||
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง | ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง | ||
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง | นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง | ||
- | แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง | + | แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง เอาขอพิงพาดตักมาตามทาง ฯ |
๏ ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง | ๏ ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง | ||
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ | จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ | ||
แถว 220: | แถว 220: | ||
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ | ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ | ||
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว | ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว | ||
- | จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น | + | จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น ฯ |
- | ๏ ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น | + | ๏ ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น |
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง | มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง | ||
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง | บ้างขายของสองข้างตามทางป่า จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง | ||
แถว 228: | แถว 228: | ||
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว มาตามราวมรคาพนาวัน | พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว มาตามราวมรคาพนาวัน | ||
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์ | ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์ | ||
- | ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคู | + | ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคู ฯ |
๏ ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู | ๏ ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู | ||
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้ แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ | ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้ แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ | ||
ระยะเดินเถินทางมากลางป่า สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่ | ระยะเดินเถินทางมากลางป่า สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่ | ||
- | พอได้กึ่งมรคาพนาลัย พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพอง | + | พอได้กึ่งมรคาพนาลัย พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพอง ฯ |
๏ มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง | ๏ มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง | ||
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ | ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ | ||
แถว 240: | แถว 240: | ||
กำหนดนับมรคาพยายาม ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย | กำหนดนับมรคาพยายาม ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย | ||
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย | โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย | ||
- | จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย | + | จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง |
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง | กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง | ||
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ | ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ | ||
แถว 248: | แถว 248: | ||
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว | นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว | ||
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว | พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว | ||
- | ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมา | + | ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมา ฯ |
๏ ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา | ๏ ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา | ||
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน | ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน | ||
แถว 254: | แถว 254: | ||
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล | ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล | ||
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน | ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน | ||
- | ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน | + | ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน ฯ |
๏ พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์ | ๏ พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์ | ||
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร | เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร | ||
แถว 260: | แถว 260: | ||
ที่ตกยากจากนางมากลางไพร วิตกใจตกมาถึงคีรี | ที่ตกยากจากนางมากลางไพร วิตกใจตกมาถึงคีรี | ||
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี | รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี | ||
- | จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจร | + | จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจร ฯ |
๏ ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน | ๏ ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน | ||
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม | กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม | ||
แถว 266: | แถว 266: | ||
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล | ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล | ||
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย | ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย | ||
- | ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง | + | ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง ฯ |
๏ ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | ๏ ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | ||
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม | ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม | ||
แถว 288: | แถว 288: | ||
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม | แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม | ||
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม | ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม | ||
- | ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง | + | ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง |
- | สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง | + | สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง |
- | พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญ | + | พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญ ฯ |
๏ จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก บริโภคโภชนากระยาหาร | ๏ จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก บริโภคโภชนากระยาหาร | ||
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย | แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย | ||
แถว 300: | แถว 300: | ||
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย | ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย | ||
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย | มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย | ||
- | คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว | + | คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว ฯ |
๏ ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว | ๏ ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว | ||
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง | นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง | ||
แถว 308: | แถว 308: | ||
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย | แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย | ||
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย | ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย | ||
- | มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย กลางกระจายดอกจอกประจำทำ | + | มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย กลางกระจายดอกจอกประจำทำ ฯ |
๏ พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์ เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ | ๏ พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์ เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ | ||
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ กินนรรำรายเทพประนมกร | หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ กินนรรำรายเทพประนมกร | ||
แถว 314: | แถว 314: | ||
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง | ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง | ||
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง | นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง | ||
- | เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง วิเวกวังเวงในหัวใจครัน | + | เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง วิเวกวังเวงในหัวใจครัน ฯ |
๏ บานทวารลานแลล้วนลายมุก น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน | ๏ บานทวารลานแลล้วนลายมุก น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน | ||
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม | เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม | ||
แถว 326: | แถว 326: | ||
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย | เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย | ||
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย | ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย | ||
- | หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง | + | หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง ฯ |
๏ พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง | ๏ พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง | ||
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง เดชะกองกุศลที่ตนทำ | กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง เดชะกองกุศลที่ตนทำ | ||
แถว 340: | แถว 340: | ||
ความระยำคำใดอย่าได้ยิน ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง | ความระยำคำใดอย่าได้ยิน ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง | ||
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง | ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง | ||
- | ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฏครัน | + | ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฏครัน ฯ |
๏ อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ | ๏ อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ | ||
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง | ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง | ||
แถว 346: | แถว 346: | ||
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน | ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน | ||
มีชะวากคูหาศิลาหุบ ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ | มีชะวากคูหาศิลาหุบ ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ | ||
- | แต่คนนมัสการนานอนันต์ | + | แต่คนนมัสการนานอนันต์ บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย ฯ |
๏ เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก พระกลดหักทองขวางกางถวาย | ๏ เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก พระกลดหักทองขวางกางถวาย | ||
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม | พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม | ||
แถว 352: | แถว 352: | ||
กำลังอายก็ซังตายพยายาม ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร | กำลังอายก็ซังตายพยายาม ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร | ||
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข | พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข | ||
- | พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมา | + | พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมา ฯ |
๏ ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา | ๏ ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา | ||
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ | ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ | ||
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ กงกระทบเขากระจายทลายหมด | หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ กงกระทบเขากระจายทลายหมด | ||
- | ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ จึงปรากฏตั้งนามมาตามกัน | + | ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ จึงปรากฏตั้งนามมาตามกัน ฯ |
๏ พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์ | ๏ พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์ | ||
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์ จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ | นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์ จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ | ||
แถว 362: | แถว 362: | ||
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง | เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง | ||
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง | ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง | ||
- | น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน | + | น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน ฯ |
๏ มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน | ๏ มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน | ||
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน พิศเพลินพฤกษาบรรดามี | ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน พิศเพลินพฤกษาบรรดามี | ||
แถว 372: | แถว 372: | ||
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว | ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว | ||
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว | ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว | ||
- | บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดง | + | บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดง ฯ |
๏ ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง | ๏ ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง | ||
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม | ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม | ||
แถว 382: | แถว 382: | ||
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา | ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา | ||
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา | น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา | ||
- | แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน | + | แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน ฯ |
๏ บนยอดเขามีสองสุนัขา สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน | ๏ บนยอดเขามีสองสุนัขา สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน | ||
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง | ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง | ||
แถว 388: | แถว 388: | ||
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม | พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม | ||
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม | นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม | ||
- | ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวง | + | ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวง ฯ |
๏ ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง | ๏ ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง | ||
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง | ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง | ||
แถว 398: | แถว 398: | ||
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา | พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา | ||
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา | แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา | ||
- | จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็น | + | จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็น ฯ |
๏ จะกลับหลังยังพระพุทธบาท เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น | ๏ จะกลับหลังยังพระพุทธบาท เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น | ||
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง | ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง | ||
แถว 406: | แถว 406: | ||
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว | ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว | ||
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว | หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว | ||
- | ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง | + | ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง ฯ |
๏ พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง | ๏ พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง | ||
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร | พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร | ||
แถว 412: | แถว 412: | ||
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง | เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง | ||
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง | เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง | ||
- | พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจ | + | พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจ ฯ |
๏ ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย | ๏ ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย | ||
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน | พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน | ||
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน | ดูทำนองนางในไกวชิงช้า ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน | ||
- | เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน | + | เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม |
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม | ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม | ||
- | พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม ให้แสนโทมนัสทัศนา | + | พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม ให้แสนโทมนัสทัศนา ฯ |
๏ คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา | ๏ คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา | ||
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน | เมื่อใช้บนเล่นชลธารา อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน | ||
แถว 438: | แถว 438: | ||
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย | ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย | ||
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย | พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย | ||
- | แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย ก็กลับหมายมุ่งมายังอาราม | + | แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย ก็กลับหมายมุ่งมายังอาราม ฯ |
๏ ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม | ๏ ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม | ||
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง | แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง | ||
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง | พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง | ||
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย | พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย | ||
- | มีละครผู้คนอลหม่าน | + | มีละครผู้คนอลหม่าน กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส |
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล | สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล | ||
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ | ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ | ||
- | บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน | + | บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน ฯ |
๏ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน | ๏ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน | ||
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ | มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ | ||
แถว 454: | แถว 454: | ||
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร | แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร | ||
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร | แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร | ||
- | บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน | + | บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน ฯ |
๏ จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ | ๏ จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ | ||
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ อภิวันท์ลาบาทพระชินวร | วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ อภิวันท์ลาบาทพระชินวร | ||
แถว 462: | แถว 462: | ||
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย เราจดหมายตามมีมาชี้แจง | นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย เราจดหมายตามมีมาชี้แจง | ||
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง | ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง | ||
- | ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย | + | ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ |
+ | </tpoem> |
การปรับปรุง เมื่อ 17:25, 8 กรกฎาคม 2552
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
๏ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง | |||
ดังศรสักปักซ้ำระกำทรวง | เสียดายดวงจันทราพะงางาม | ||
เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ | แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม | ||
จะหน่อพระสุริย์วงศ์ทรงพระนาม | จากอารามแรมร้างทางกันดาร | ||
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท | จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร | ||
ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร | นมัสการรอยบาทพระศาสดา ฯ | ||
๏ วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ | พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า | ||
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา | พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย | ||
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า | ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย | ||
แสนสลดให้ระทดระทวยกาย | ไม่เหือดหายห่วงหวงเป็นห่วงครัน ฯ | ||
๏ ถึงคลองขวางบางจากยิ่งตรมจิต | ใครช่างคิดชื่อบางไว้กางกั้น | ||
ว่าชื่อจากแล้วไม่รักรู้จักกัน | พิเคราะห์ครันหรือมาพ้องกับคลองบาง | ||
ทั้งจากที่จากคลองเป็นสองข้อ | ยังจากกอนั้นก็ขึ้นในคลองขวาง | ||
โอ้ว่าจากช่างมารวบประจวบทาง | ทั้งจากบางจากไปใจระบม | ||
แสนวิบากหลากใจอาลัยเหลียว | เห็นเวียงวังก็ยิ่งเสียวถึงเคยสม | ||
ประสานสองหัตถ์ประนังตั้งประนม | น้อมบังคมเทวารักษาวัง | ||
ขอฝากน้องสองชนกช่วยปกเกศ | อย่ามีเหตุอันตรายเมื่อภายหลัง | ||
ใครปองชิงขอให้ตายด้วยรายชัง | เทพทั้งชั้นฟ้าได้ปรานี ฯ | ||
๏ ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก | เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี | ||
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี | ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน | ||
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง | เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น | ||
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน | แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ | ||
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก | ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ | ||
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ | สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ ฯ | ||
๏ ถึงบางพลัดยิ่งอนัตอนาถจิต | นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล | ||
พี่พลัดนางร้างรักมาแรมไกล | ประเดี๋ยวใจพบบางริมทางจร | ||
ถึงบางซื่อชื่อบางนี้สุจริต | เหมือนซื่อจิตที่พี่ตรงจำนงสมร | ||
มิตรจิตขอให้มิตรใจจร | ใจสมรขอให้ซื่อเหมือนชื่อบาง | ||
ถึงบางซ่อนเหมือนเขาซ่อนสมรพี่ | ซ่อนไว้นี่ดอกกระมังเห็นกว้างขวาง | ||
เจ้าเยี่ยมหน้าออกมาหกพี่หน่อยนาง | จะลาร้างแรมไกลเจ้าไปแล้ว ฯ | ||
๏ ถึงน้ำวนชลสายที่ท้ายย่าน | เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว | ||
จะเหลียวกลับลับวังมาลิบแล้ว | พี่ลับแก้วลับบ้านมาย่านบาง | ||
พฤกษาสวนล้วนได้ฤดูดอก | ตระหง่านงอกริมกระแสแลสล้าง | ||
กล้วยระกำอัมพาพฤกษาปราง | ต้องน้ำค้างช่อชุ่มเป็นพุ่มพวง | ||
เห็นจันทน์สุกลูกเหลืองตลบกลิ่น | แมงภู่บินร่อนร้องประคองหวง | ||
พฤกษาพ้องต้องนามกานดาดวง | พี่ยลพวงผลจันทน์ให้หวั่นใจ | ||
แมงภู่เชยเหมือนพี่เคยประคองชิด | นิ่งพินิจนึกน่าน้ำตาไหล | ||
เห็นรักร่วงผลิผลัดสลัดใบ | เหมือนรักใจขวัญเมืองที่เคืองเรา | ||
พี่เวียนเตือนเหมือนอย่างน้ำค้างย้อย | ให้แช่มช้อยชื่อช่อเช่นกอเก่า | ||
โอ้รักต้นหรือมาต้องกับสองเรา | จึงใจเจ้าโกรธไปไม่ได้นาน ฯ | ||
๏ ถึงแขวงแควแพตลอดตลาดขวัญ | เป็นเมืองจันตประเทศรโหฐาน | ||
ตลิ่งเบื้องบูรพาศาลาลาน | เรือขนานจอดโจษกันจอแจ | ||
พินิจนางแม่ค้าก็น่าชม | ท้าคารมเร็วเร่งอยู่เซ็งแซ่ | ||
ใส่เสื้อตึงรึงรัดดูอัดแอ | พี่แลแลเครื่องเล่นเป็นเสียดาย | ||
ชมคณาฝูงนางมากลางชล | สุริยนเยี่ยมฟ้าเวลาสาย | ||
ถึงปากเกร็ดเสร็จพักผ่อนฝีพาย | หยุดสบายบริโภคอาหารพลัน | ||
แรงกำเริบเอิบอิ่มขยายออก | เขาก็บอกโยนยาวฉาวสนั่น | ||
ถึงหาดขวางบางพูดเขาพูดกัน | พี่คิดฝันใจฉงนอยู่คนเดียว | ||
เป็นพูดชื่อหรือผีภูตปีศาจหลอก | ใคร่ช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว | ||
จะสั่งฝากขนิษฐาสุดาเดียว | ใครเกินเกี้ยวแล้วอย่าไว้กำไรเลย ฯ | ||
๏ ถึงบางพังน้ำพังลงตลิ่ง | โอ้ช่างจริงเหมือนเขาว่านิจจาเอ๋ย | ||
พี่จรจากดวงใจมาไกลเชย | โอ้อกเอ๋ยแทบพังเหมือนฝั่งชล | ||
ถึงวังวัดเทียนถวายบ้านใหม่ข้าม | ก็รีบตามเรือที่นั่งมากลางหน | ||
ทุ่งละลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน | สะพรั่งต้นตาลโตนดอนาถครัน | ||
เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น | ระวังตนตีนมือระมัดมั่น | ||
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน | ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล | ||
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ | เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน | ||
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน | ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง ฯ | ||
๏ ถึงบางหลวงทรวงร้อนดังศรปัก | พี่ร้างรักมาด้วยราชการหลวง | ||
เมื่อคิดไปใจหายเสียดายดวง | จนเรือล่วงมาถึงย่านบ้านกระแซง | ||
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก | ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง | ||
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง | เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง | ||
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้น | เป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง | ||
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง | ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี | ||
ดูเหย้าเรือนหาเหมือนอย่างไทยไม่ | หลังคาใหญ่พื้นเล็กเป็นโรงผี | ||
ระยะบ้านย่านนั้นก็ยาวรี | จำเพาะมีฝั่งซ้ายเมื่อพายไป ฯ | ||
๏ ถึงวังตำหนักพักพลพอเสวย | แล้วก็เลยตามแควกระแสไหล | ||
ทั้งน้ำลงน่าสลดระทดใจ | โอ้น้ำไหลเจียวยังมีเวลาลง | ||
แต่โศกพี่หรือไม่มีเวลาว่าง | ระยะทางก็ยังไกลถึงไพรระหง | ||
ขึ้นจากน้ำแล้วจะซ้ำเข้าเดินดง | เมื่อไรลงนั่นแลกายจะวายตรอม | ||
เห็นลมอื้อจะใคร่สื่อสาราสั่ง | ถึงร้อยชั่งคู่เชยเคยถนอม | ||
ให้นิ่มน้องครองศักดิ์อย่าปลักปลอม | เรียมนี้ตรอมใจถึงคะนึงนาง ฯ | ||
๏ ถึงทุ่งขวางกลางยานบ้านกระบือ | ที่ลมอื้อนั่นค่อยเหือดด้วยคุ้งขวาง | ||
ถึงย่านหนึ่งน้ำเซาะเป็นเกาะกลาง | ต้องแยกทางสองแควกระแสชล | ||
ปางบุรำคำบุราณขนานนาม | ราชครามเกาะใหญ่เป็นไพรสณฑ์ | ||
ในแถวทางกลางย่านกันดารคน | นาวาดลเดินเบื้องบูรพา | ||
โอ้กระแสแควเดียวทีเดียวหนอ | มาเกิดก่อเกาะถนัดสกัดหน้า | ||
ต้องแยกคลองออกเป็นสองทางคงคา | นี่หรือคนจะมิน่าเป็นสองใจ | ||
ครั้นพอสิ้นถิ่นเกาะค่อยเลาะเลียบ | นาวาเพียบน้ำลงกำลังไหล | ||
โอ้อนาถเหนื่อยน่าระอาใจ | ถึงบางไทรด่านดักนาวาเดิน | ||
เขาบอกชื่อสีกุกตรงด่านข้าม | เป็นสามง่ามน้ำนองในคลองเขิน | ||
ปักษาโบกปีกบินลงดินเดิน | มัจฉาเพลินผุดพล่านในคงคา | ||
นกยางเลียบเหยียบปลานขาหยิก | เอาปากจิกบินฮือขึ้นเวหา | ||
กระทุงน้อยลอยทวนนาวามา | โอ้ปักษาเอ๋ยจะลอยถึงไหนไป | ||
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนก | ให้แนบอกของพี่รู้ว่าโหยไห้ | ||
มิทันสั่งสกุณินก็บินไป | ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน | ||
ศีรษะเตียนเลี่ยนโล่งหัวล้านเลื่อม | เหนียงกระเพื่อมร้องแรงแสยงขน | ||
โอ้หัวนกนี่ก็ล้านประจานคน | เมื่อยามยลพี่ยิ่งแสนระกำทรวง ฯ | ||
๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ | เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง | ||
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง | จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน | ||
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว | ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล | ||
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน | กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง | ||
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ | ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง | ||
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง | กษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา | ||
พาสนมออกมาชมคณานก | ก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า | ||
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา | ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ | ||
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น | ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม | ||
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม | จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไป ฯ | ||
๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม | เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล | ||
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ | ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ | ||
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส | พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ | ||
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ | อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา | ||
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง | เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา | ||
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา | ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง | ||
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น | พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง | ||
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง | จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียน ฯ | ||
๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง | ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน | ||
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร | การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง | ||
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ | ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง | ||
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง | อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง | ||
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย | ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง | ||
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง | มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย | ||
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก | แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย | ||
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย | น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา | ||
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก | เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา | ||
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา | ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน ฯ | ||
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ | เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ | ||
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน | จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง | ||
มโหรีปี่กลองจะก้องกึก | จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | ||
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง | ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา | ||
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก | ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา | ||
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา | เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ | ||
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก | ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ | ||
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน | เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ | ||
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก | ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ | ||
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย | โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย | ||
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค | ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย | ||
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย | ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง ฯ | ||
๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น | ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง | ||
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง | ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร | ||
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต | ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่ | ||
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร | นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนาน ฯ | ||
๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ | ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน | ||
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ | ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา | ||
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก | จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า | ||
พลพายนายไพร่บรรดามา | หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ | ||
พี่ตันอกตกยากจากสถาน | เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ | ||
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ | พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม | ||
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว | มีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม | ||
กินประทับแต่พอรับกับโรคลม | ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย | ||
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้ม | พี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย | ||
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย | พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ | ||
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร | เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน | ||
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน | จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลา ฯ | ||
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ | ดูเกะกะรอร้างทางพม่า | ||
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา | แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง | ||
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน | ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง | ||
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง | หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ | ||
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก | ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ | ||
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ | เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครัน ฯ | ||
๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก | จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์ | ||
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน | ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ | ||
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้าน | ลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้ | ||
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ | เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย | ||
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน | ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย | ||
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย | หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืน ฯ | ||
๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง | ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น | ||
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน | กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย | ||
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ | แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย | ||
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย | แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา | ||
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับ | เสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา | ||
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา | ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ | ||
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด | ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว | ||
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบ | ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล | ||
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด | เรือตลอดแลหลามตามกระแส | ||
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ | ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม | ||
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด | อุตลุดขนของขึ้นกองสุม | ||
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม | พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารี ฯ | ||
๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา | ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี | ||
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี | แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย | ||
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อน | ระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย | ||
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพราย | หัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว | ||
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญ | เขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว | ||
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัว | ฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร | ||
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก | มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส | ||
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว | วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง | ||
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง | เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง | ||
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง | พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลัน ฯ | ||
๏ อันพวกเราเหล่าเสวกามาตย์ | เหนื่อยอนาถนิทราดังอาสัญ | ||
แสนวิตกอกพี่นี้ผูกพัน | ให้หวั่นหวั่นเวทนาด้วยอาวรณ์ | ||
สดับเสียงสัปปุรุษที่หยุดพัก | เขาร้องสักวาอึงทั้งครึ่งท่อน | ||
บ้างชมป่าช้าปี่ทีละคร | ถึงสบกลอนที่จะรู้ก็สู้เมิน | ||
เฝ้าแหงนดูดวงแขชะแง้พักตร์ | เห็นจันทร์ชักรถร่อนเวหาเหิน | ||
ดูดวงเดือนเหมือนชื่อรื้อเผอิญ | ระกำเกินที่จะเก็บประกอบกลอน | ||
จนไก่เถื่อนเตือนขันสนั่นแจ้ว | ดุเหว่าแว่วหวาดหมายว่าสายสมร | ||
เดือนแอร่มแจ่มล้ำในอัมพร | กองกุญชรผูกช้างมายืนเรียง ฯ | ||
๏ บรรดาเพื่อนเตือนตื่นขึ้นเซ็งแซ่ | บ้างจอแจจัดการประสานเสียง | ||
บ้างม้วนเสื่อมัดกระสอบหอบเสบียง | บ้างถุ้งเถียงชิงสัปคับกัน | ||
บ้างขึ้นบนขนส่งคนข้างล่าง | เสียงโฉ่งฉ่างขามแตกกระแทกขัน | ||
จนคนบนสัปคับรับไม่ทัน | หม้อข้าวขันตกแตกกระจายราย | ||
ย่ามกระสอบกรอบแกรบกระไกรกริก | กลักพริกพลิกแพลงตะแคงหงาย | ||
กะโปเลเชือกร้อยขึ้นห้อยท้าย | เมื่อยามร้ายดูงามกว่าชามดิน ฯ | ||
๏ สงสารนางชาวในที่ไปด้วย | ทั้งโถถ้วยเครื่องแต่งแป้งขมิ้น | ||
หวีกระจกตกแตกกระจายดิน | เจ้าของผินหน้าหาน้ำตาคลอ | ||
จะปีนขึ้นกูบช้างไม่กางขา | แต่โดยผ้ากรีดกรอมทำซอมซ่อ | ||
มือตะกายสายรัดสกนธ์คอ | เห็นช้างงองวงหนีก็หวีดอึง | ||
แต่ปีนไพล่เหนี่ยวพลัดสุหรัดขาด | สองมือพลาดพลัดคว่ำลงต้ำผึง | ||
กรมการบ้านป่าเขาฮาตึง | ทำโกรธขึ้งเรียกพวกผู้ชายเร็ว | ||
บ้างขึ้นช้างพลางฉวยข้อมือฉุด | ดังอุณรุทจับกินนรที่ในเหว | ||
ไม่นึกอายอัประมาณเป็นการเร็ว | บ้างโอบเอวอุ้มนางขึ้นช้างพัง ฯ | ||
๏ สุรแสงแจ่มแจ้งอร่ามโลก | บริโภคอิ่มเอิบอารมณ์หวัง | ||
ขัตติยวงศ์ทรงช้างกูบบัลลังก์ | รับสั่งสั่งสารถีให้ไสเดิน | ||
จากศาลาท่าเรือเข้าทิวทุ่ง | เป็นฝุ่นฟุ้งนภางค์ในทางเขิน | ||
กูบกระโดกโยกอย่างทุกย่างเดิน | เขยื้อนเยินยอบเยือกยะยวบกาย | ||
ทั้งสองข้างท่านวางเป็นช้างดั้ง | ระยะหลังมหาดเล็กนั้นเหลือหลาย | ||
แต่ตัวพี่นี้จำเพาะเป็นเคราะห์ร้าย | ต้องขึ้นพลายนำทางช้างน้ำมัน | ||
เพื่อนเขาแกล้งตบมือกระพือผัด | ช้างสะบัดบุกไปในไพรสัณฑ์ | ||
ผงะหงายคนท้ายเขาคว้าทัน | โอ้แม่จันทร์เจียนจะไม่เห็นใจจริง | ||
นึกจะโจนจากช้างลงกลางเถื่อน | แล้วอายเพื่อนเขาจะเย้ยว่าใจหญิง | ||
แต่ตึงเศียรเวียนหน้านัยน์ตาวิง | เอาขอพิงพาดตักมาตามทาง ฯ | ||
๏ ถึงชายป่านาประโคนรำคาญคิด | ถึงมิ่งมิตรแล้วให้หมองอารมณ์หมาง | ||
จนพ้นทุ่งมุ่งตรงเข้าดงยาง | ไม่สล้างลู่ล้มระทมทับ | ||
รุกขชาติดาษดูระดะป่า | สกุณาจอแจประจำจับ | ||
ดุเหว่าแว่วหวาดไหวฤทัยวับ | จะแลกลับหลังเหลียวยิ่งเปลี่ยวใจ | ||
ทั้งสองข้างทางเดินก็รกระ | ระเกะกะพาดพันเถาวัลย์ไสว | ||
จักจั่นแซ่เสียงเรไรไพร | ในจิตใจทดท้อระย่อเย็น ฯ | ||
๏ ถึงบางโขมดมีธารตะพานช้าง | บรรลุทางครบร้อยห้าสิบเส้น | ||
มีโพธิ์พุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น | ไม่ว่างเว้นสัปปุรุษเขาหยุดเรียง | ||
บ้างขายของสองข้างตามทางป่า | จำนรรจาจอแจออกแซ่เสียง | ||
พี่แกล้งไสให้คชสารเคียง | เห็นของเรียงอยู่บนร้านทั้งหวานคาว | ||
แต่น้ำยานั้นเขาว่ากิ้งกือกุ้ง | เห็นชาวกรุงกินกลุ้มทั้งหนุ่มสาว | ||
พี่คลื่นไส้ไสช้างในย่างยาว | มาตามราวมรคาพนาวัน | ||
ลมกระพือฮือหอบผงคลีหวน | ปักษาครวญเพรียกพฤกษ์ในไพรสัณฑ์ | ||
ดุเหว่าแว่วแจ้วจับน้ำใจครัน | ไก่เถื่อนขันขานเขาชวาคู ฯ | ||
๏ ประจวบจนถึงตำบลบ่อโศก | ยามวิโยคออกชื่อก็ครือหู | ||
ถึงจะไม่รู้จักไม่รักรู้ | แต่เหลือบดูไปที่บ่อยังท้อใจ | ||
ระยะเดินเถินทางมากลางป่า | สองร้อยห้าสิบเส้นถึงสระใหญ่ | ||
พอได้กึ่งมรคาพนาลัย | พี่รีบไสช้างเดินโดยลำพอง ฯ | ||
๏ มาลับท่อบ่อโศกจนสุดเหลียว | ยังเสียวเสียวโศกกายไม่วายหมอง | ||
ถึงหนองคนทีมีสระละหานนอง | เป็นเปือกกรองแต่ล้วนหญ้าคงดำ | ||
อันริมรอบขอบหนองทั้งสองข้าง | รอยตีนช้างลึกลุ่มหลุ่มถลำ | ||
โอ้น้ำใจในอุราทาระกรรม | เหมือนน้ำดำอยู่ในหนองเป็นฟองคราม | ||
พี่ยลน้ำช้ำใจแล้วไสช้าง | มาตามทางทิวป่าพนาหนาม | ||
กำหนดนับมรคาพยายาม | ก็ได้สามร้อยเส้นห้าสิบปลาย | ||
โอ้ทางไกลไปเปลืองเหมือนเรื่องว่า | แต่โศกข้านี่กระไรมิใคร่หาย | ||
จะแลขวาป่าเขียวยังเปลี่ยวกาย | จะแลซ้ายเห็นแต่โขดภูเขาเคียง | ||
กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่าง | พะยอมยางตาพยัคฆ์พยุงเหียง | ||
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียง | นกเขาเคียงคู่คูประสานคำ | ||
โอ้นกคู่ดูน่าจะผาสุก | พี่นี้ทุกข์เพราะจากเจ้างามขำ | ||
เห็นนกหนึ่งจับนิ่งกิ่งระกำ | โอ้นกน้อยเห็นจะจำจากตัวเมีย | ||
ถ้านกผู้ดูเหมือนหัวอกพี่ | แสนทวีเวทนาประดาเสีย | ||
นิจจาเอ๋ยถ้าเป็นอกนกตัวเมีย | จะละเหี่ยหาผัวอยู่ตัวเดียว | ||
พี่เห็นนกแล้ววิตกถึงน้องน้อย | จะครวญคอยนับวันกระสันเสียว | ||
ไม่เห็นพี่ก็จะโหยอยู่โดยเดียว | พี่ก็เปลี่ยวเปล่ากายซังตายมา ฯ | ||
๏ ถึงศาลาอาศัยเจ้าสามเณร | ในบริเวณอึกทึกด้วยพฤกษา | ||
ที่ป่านั้นขยาดพยัคฆา | จะไปมาใครไม่อาจประมาทเมิน | ||
ยามระงิดพี่ไม่คิดว่าเสือร้าย | เขม้นหมายมุ่งลำเนาภูเขาเขิน | ||
ได้สี่ร้อยทางจรไม่หย่อนเกิน | เขารีบเดินการด่วนจะจวนเพล | ||
ช้างที่นั่งก็รับสั่งให้รีบไส | จนเหงื่อไหลหน้าแดงดังแสงเสน | ||
ถึงสระยอรอช้างเสวยเพล | จนกองเกณฑ์เดินทางมาตามทัน ฯ | ||
๏ พี่แวะเข้าเขาตกคอยนำเสด็จ | ดูเทเวศร์อารักษ์นรังสรรค์ | ||
เอาเทียนจุดบูชาแก่เทวัญ | ให้ป้องกันอันตรายในราวไพร | ||
เห็นเขาตกเขาแตกมาตกลึก | อนาถนึกแล้วน่าน้ำตาไหล | ||
ที่ตกยากจากนางมากลางไพร | วิตกใจตกมาถึงคีรี | ||
รำจวญจิตคิดไปน่าใจหาย | ไม่เว้นวายความเทวษสวาทศรี | ||
จึงเลยลาอารักษ์ริมคีรี | จงสุขีเถิดนะข้าขอลาจร ฯ | ||
๏ ถึงสระยอพอได้เวลาเสด็จ | ก็ตามเสร็จแวดล้อมพร้อมสลอน | ||
กำดัดแดดแผดเที่ยงทินกร | รีบกุญชรช้างที่นั่งขนัดตาม | ||
บ่ายประมาณโมงหนึ่งพอถึงวัด | ออกแออัดผู้คนอยู่ล้นหลาม | ||
ลงหยุดปลงไอยราริมอาราม | สมภารตามเชิญเสด็จให้คลาไคล | ||
ขึ้นกุฎีฝากระดานสำราญรื่น | ก็ครึกครื้นครอบครัวเข้าอาศัย | ||
ทั้งไพร่นายรายเรียบกันเรียดไป | ตัดใบไม้มุงเหมือนหลังคาบัง ฯ | ||
๏ ประจวบจนสุริยนเย็นพยับ | ไม่ได้ศัพท์เซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ | ||
ปี่ระนาดฆ้องกลองประโคมดัง | ระฆังหงั่งหงั่งหง่างลงครางครึม | ||
มโหรีปี่ไฉนจับใจแจ้ว | วิเวกแว่วกลองโยนตะโพนกระหึม | ||
ทุกที่ทับสัปปุรุษก็พูดพึม | รุกขาครึ้มครอบแสงพระจันทร | ||
เสนาะเสียงเทศนาปุจฉาถาม | ในสนามเสียงสนั่นเนินสิงขร | ||
เป็นวันบรรณรสีรวีวร | พระจันทรทรงกลดรจนา | ||
ไฟตะเกียงเรียงรอบพระมณฑป | กระจ่างจบจันทร์แจ่มแอร่มผา | ||
ดอกไม้พุ่มจุดงามอร่ามตา | จับศิลาแลเลื่อมเป็นลายลาย | ||
พระจันทร์ส่องต้องยอดมณฑปสุก | ในหน้ามุขเงางามอร่ามฉาย | ||
นกบินกรวดพรวดพราดประกายพราย | พลุกระจายช่อช่วงดังดวงเดือน | ||
ดอกไม้ร้องป้องปีปสนั่นป่า | ในแหล่งหล้าใครไม่มีเสมอเหมือน | ||
แต่คนเดินพัลวันออกฟั่นเฟือน | จนจันทร์เคลื่อนรถคล้อยลับเมฆา | ||
สงัดเสียงคนดังระฆังเงียบ | เย็นยะเยียบยามนอนริมเนินผา | ||
เมื่อยามแกนแสนทุเรศเวทนา | ต้องไสยาอยู่กลางน้ำค้างพราว | ||
ทั้งต้องน้ำอำมฤกเมื่อดึกเงียบ | แสนยะเยียบเนื้อเย็นเป็นเหน็บหนาว | ||
ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราว | ไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น | ||
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้ | แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ | ||
ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็น | ใครปะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง | ||
ถึงผ้าผ่อนซ้อนห่มเป็นไหนไหน | ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดหญิง | ||
แต่ตรอมใจไสยาสน์หวาดประวิง | จนไก่ชิงกันขันกระชั้นยาม | ||
ได้เพลินอุ่นฉุนเคลิ้มสติหลับ | ก็ฝันยับไปด้วยรักไม่พักถาม | ||
ในนิมิตว่าได้ชิดพะงางาม | เหมือนเมื่อยามยังสำราญอยู่บ้านน้อง | ||
สบายนิดหนึ่งที่ฝันก็พลันรุ่ง | ตื่นสะดุ้งเขาประดังระฆังก้อง | ||
พอลืมตาก็ผวาคว้าประคอง | ไม่พบน้องสุดแค้นแสนรำคาญ ฯ | ||
๏ จนแจ่มแจ้งแสงสายไม่วายโศก | บริโภคโภชนากระยาหาร | ||
แล้วเลือกธูปเทียนจัดไปนมัสการ | เข้าในลานแลเลื่อมละอองทราย | ||
มีร่มโพธิ์รุกขังเป็นรังรื่น | พิกุลชื่นช่อบังพระสุริย์ฉาย | ||
แสนรโหโอฬาร์น่าสบาย | ทั้งหญิงชายกลาดกลุ้มประชุมกัน | ||
ทวาราที่ตรงหน้าบันไดนาค | มีรูปรากษสสองอสูรขยัน | ||
แสยะแยกโอษฐ์อ้าสองตามัน | ยืนยิงฟันแยกเขี้ยวอยู่อย่างเป็น | ||
บันไดนาคนาคในบันไดนั้น | ดูผกผันเพียงจะเลื้อยออกโลดเล่น | ||
ขย้ำเขี้ยวขบปากเหมือนนาคเป็น | ตาเขม้นมองมุ่งสะดุ้งกาย | ||
มีต้นกำพฤกษ์ทานในลานวัด | ลูกหมากยัดเงินทิ้งอุทิศถวาย | ||
คนประชุมกลุ้มชิงทั้งหญิงชาย | บ้างกอบปรายเบี้ยโปรยอยู่โกรยกราว ฯ | ||
๏ ทิศประจิมริมฐานมณฑปนั้น | มีดาบสรูปปั้นยิงฟันขาว | ||
นุ่งหนังพยัคฆาชฎายาว | ครังเคราคราวหนวดแซมสองแก้มคาง | ||
ขั้นบันไดจะขึ้นไปมณฑปนั้น | สิงโตตันสองตัวกระหนาบข้าง | ||
ดูผาดเผ่นเหมือนจะเต้นไปตามทาง | พี่ชมพลางขึ้นบนบันไดพลัน | ||
ทั้งสาวหนุ่มเข้าประชุมกันแออัด | ประนมหัตถ์ทักษิณเกษมสันต์ | ||
แต่เวียนเดินเพลินชมมาตามกัน | ตามช่องชั้นกำแพงแก้วอันแพรวพราย | ||
ทั้งซุ้มเสามณฑปกระจกแจ่ม | กระจังแซมปลายเสาเป็นบัวหงาย | ||
มีดอกจันทน์ก้านแย่งสลับลาย | กลางกระจายดอกจอกประจำทำ ฯ | ||
๏ พื้นผนังหลังบัวที่ฐานปัทม์ | เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ | ||
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ | กินนรรำรายเทพประนมกร | ||
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข | สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร | ||
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคุนธร | กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง | ||
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย | ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง | ||
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง | วิเวกวังเวงในหัวใจครัน ฯ | ||
๏ บานทวารลานแลล้วนลายมุก | น่าสนุกในกระหนกดูผกผัน | ||
เป็นนาคครุฑยุดเหนี่ยวในเครือวัลย์ | รูปยักษ์ยันยืนกอดกระบองกุม | ||
สิงโตอัดกัดก้านกระหนกเกี่ยว | เทพเหนี่ยวเครือกระหวัดหัตถ์ขยุ้ม | ||
ชมพูพานกอดก้านกระหนกรุม | สุครีพกุมขรรค์เงื้อในเครือวง | ||
รูปนารายณ์ทรงขี่ครุฑาเหิน | พรหมเจริญเสด็จยังบัลลังก์หงส์ | ||
รูปอมรกรกำพระธำมรงค์ | เสด็จทรงคชสารในบานบัง | ||
ผนังในกุฎีทั้งสี่ด้าน | โอฬาร์ฬารทองทาฝาผนัง | ||
จำเพาะมีสี่ด้านทวารบัง | ที่พื้นนั่งดาดด้วยแผ่นเงินงาม | ||
มณฑปน้อยสรวมรอยพระบาทนั้น | ล้วนสุวรรณแจ่มแจ้งแสงอร่าม | ||
เพดานดาดลาดล้วนกระจกงาม | พระเพลิงพลามพร่างพร่างสว่างพราย | ||
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยห้อย | ระย้าย้อยแวววามอร่ามฉาย | ||
หอมควันธูปเทียนตลบอยู่อบอาย | ฟุ้งกระจายรื่นรื่นทั้งห้องทอง ฯ | ||
๏ พี่เข้าเคียงเบื้องขวาฝ่าพระบาท | อภิวาทหัตถ์ประนังขึ้นทั้งสอง | ||
กราบกราบแล้วก็ตรึกรำลึกปอง | เดชะกองกุศลที่ตนทำ | ||
มาคำรพพบพุทธบาทแล้ว | ขอคุณแก้วสามประการช่วยอุปถัมภ์ | ||
ฉันเกิดมาชาตินี้ก็มีกรรม | แสนระยำยุบยับด้วยอับจน | ||
ได้เคืองแค้นแสนยากลำบากบอบ | ไม่สมประกอบทรัพย์สินก็ขัดสน | ||
แม้นกลับชาติเกิดใหม่เป็นกายคน | ชื่อว่าจนแล้วจงจากกำจัดไกล | ||
สตรีหึงหนึ่งแพศยาหญิง | ทั้งสองสิ่งอย่าได้ชิดพิสมัย | ||
สัญชาติชายทรชนที่คนใด | ให้หลีกไกลร้อยโยชน์อย่าร่วมทาง | ||
ถ้ารักใครขอให้ได้คนนั้นด้วย | บุญจงช่วยปฏิบัติอย่าขัดขวาง | ||
อย่ารู้มีโรคาในสารพางค์ | ทั้งรูปร่างขอให้ราวกับองค์อินทร์ | ||
หนึ่งบิดรมารดาคณาญาติ | ให้ผุดผาดผาสุกเป็นนิจสิน | ||
ความระยำคำใดอย่าได้ยิน | ให้สุดสิ้นสูญหายละลายเอง | ||
ทั้งหวายตรวจล้วนเครื่องที่ลำบาก | ให้ปราศจากทั้งคนเขาข่มเหง | ||
ใครปองร้ายขอให้กายมันเป็นเอง | ให้ครื้นเครงเกียรติยศปรากฏครัน ฯ | ||
๏ อธิษฐานแล้วก็ลาฝ่าพระบาท | เที่ยวประพาสในพนมพนาสัณฑ์ | ||
ขึ้นเขาโพธิ์ลังกาศิลาชัน | มีสำคัญรุกขโพธิ์ลังกาเรียง | ||
ศาลารีมีทั้งระฆังห้อย | เขาตีบ่อยไปยังค่ำไม่ขาดเสียง | ||
ดงลั่นทมร่มรอบคิรีเรียง | มีกุฎิ์เคียงอยู่บนเขาเป็นหลั่นกัน | ||
มีชะวากคูหาศิลาหุบ | ในถ้ำมีพุทธรูปนรังสรรค์ | ||
แต่คนนมัสการนานอนันต์ | บนเขานั้นแจ้งจริงทั้งหญิงชาย ฯ | ||
๏ เจ้าเณรน้อยเสด็จมาดูน่ารัก | พระกลดหักทองขวางกางถวาย | ||
พี่เหลียวพบหลบตกลงเจียนตาย | กรตะกายกลิ้งก้อนศิลาตาม | ||
เป็นบุญจริงจับกิ่งสะแกได้ | ในจิตใจยอกเจ็บดังเหน็บหนาม | ||
กำลังอายก็ซังตายพยายาม | ลงเลียบตามตีนเขาลำเนาไพร | ||
พบพวกนางเข้าที่หว่างชะวากผา | เขาแกล้งว่าเยาะเย้ยเฉลยไข | ||
พี่แกล้งเฉยเลยแลดูอื่นไป | ให้เจ็บใจจำนิ่งดำเนินมา ฯ | ||
๏ ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา | ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา | ||
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา | ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ | ||
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ | กงกระทบเขากระจายทลายหมด | ||
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ | จึงปรากฏตั้งนามมาตามกัน ฯ | ||
๏ พี่พูดพูดเขาขาดแล้วหวาดจิต | พี่ขาดมิตรมาไกลถึงไพรสัณฑ์ | ||
นึกเฉลียวเสียวทรวงถึงดวงจันทร์ | จะขาดกันเสียเหมือนเขาพี่เศร้าใจ | ||
แล้วย่องเหยียบเลียบเนินลงเดินล่าง | ตามแถวทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
เห็นพุ่มพวงบุปผายิ่งอาลัย | สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง | ||
ไม้แก้วกางกิ่งพิงกับกิ่งเกด | ฝูงโนเรศขันขานประสานเสียง | ||
น้ำตาคลอท้ออกเห็นนกเรียง | เหมือนเรียมเคียงร่วมคู่เมื่ออยู่เรือน ฯ | ||
๏ มาถึงเชิงคีรีที่มีถ้ำ | ศิลาง้ำเงื้อมแหงนเป็นแผ่นเผิน | ||
ไม้รวกรอบขอบเขาลำเนาเนิน | พิศเพลินพฤกษาบรรดามี | ||
อันชื่อถ้ำแต่บุรำบุราณเรียก | สำเหนียกถ้ำประทุนคีรีศรี | ||
สำคัญปากคูหาศาลามี | ชวนสตรีเข้าถ้ำทั้งหกคน | ||
เที่ยวชมห้องปล่องหินเป็นพู่ย้อย | มีน้ำย้อยหยาดหยัดอย่างเม็ดฝน | ||
พอเทียนดับลับแลไม่เห็นคน | ผู้หญิงปนเดินปะปะทะชาย | ||
เสียงร้องกรีดหวีดก้องในห้องถ้ำ | ชายขยำหยอกแย่งผู้หญิงหวาย | ||
ใครกอดแม่แปรกอกแตกตาย | ใครปาดป้ายด้วยดินหม้อเหมือนแมวคราว | ||
ครั้นออกจากคูหาเห็นหน้าเพื่อน | มันมอมเปื้อนแปลกหน้าก็ฮาฉาว | ||
บ้างถูกเล็บเจ็บแขนเป็นริ้วยาว | ก็โห่กราวกรูเกรียวไปเที่ยวดง ฯ | ||
๏ ถึงถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำกินนรนั้น | สะพรั่งพรรณพฤกษาป่าระหง | ||
ดูคูหาก็เห็นน่ากินนรลง | เป็นเวิ้งวงลึกแลตลอดริม | ||
พาดพะองจึงจะลงไปเล่นได้ | เป็นเหวใหญ่ลองโยนด้วยก้อนหิน | ||
เสียงโก้งก้างก้องกึงไม่ถึงดิน | กว่าจะสิ้นเสียงผาเป็นช้านาน | ||
พี่กลัวตายชายชวนไปชมอื่น | ร่มระรื่นรุกขาขึ้นขนาน | ||
ถึงบ่อหนึ่งมีน้ำคำบุราณ | ว่าบ่อพรานล้างเนื้อที่ในไพร | ||
พิเคราะห์น้ำสมคำบุราณกล่าว | ยังมีคาวเหม็นหืนจนคลื่นไส้ | ||
ถนอมหอมกลิ่นนุชเป็นสุดใจ | โอ้เป็นไรจึงไม่ติดอุรามา | ||
น่าฉงนจนใจสงสัยจ้าน | ด้วยรอยพรานจารึกอยู่กับผา | ||
แต่กล่าวไว้ว่าพรานไล่มฤคา | รอยตีนหมาก็ยังมีสำคัญครัน ฯ | ||
๏ บนยอดเขามีสองสุนัขา | สังเกตตาก็พิกลเหมือนคนขัน | ||
ทั้งคอคางหางหูขึ้นชูชัน | สี่เท้ายันเหยียบยอดคีรีเรียง | ||
เช่นนี้เจ้าเสาวภาคย์มาตามพี่ | จะถามจี้ไปทุกสิ่งไม่ขาดเสียง | ||
พี่จะทำเฉยเมินเข้าเดินเรียง | ประคองเคียงให้เจ้าค้อนชะอ้อนชม | ||
นี่นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก | เพราะแนบอกมิได้มาเป็นสองสม | ||
ขืนสนุกไปทั้งทุกข์ระทมตรม | ซังตายชมไปทั้งช้ำระกำทรวง ฯ | ||
๏ ถึงคูหาชื่อชาละวันถ้ำ | วิไลล้ำไปทุกเหลี่ยมภูเขาหลวง | ||
ศิลาแลแวววาวดังดาวดวง | เป็นเมฆม่วงมรกตทับทิมแดง | ||
สมมุติแลแง่หินชะง่อนหุบ | เป็นที่รูปสิงสัตว์เข้าเฟี้ยมแฝง | ||
กระต่ายเหมือนกระต่ายป่าสองตาแดง | ที่ลางแห่งพิศแลเห็นแต่ตัว | ||
ที่ลางแห่งแกล้งพิศประดิษฐ์ต่อ | เห็นแต่คอบ้างก็เห็นแต่เพียงหัว | ||
ที่แผ่นเผินเนินผานั้นน่ากลัว | ดูเงื้อมตัวเหมือนจะพังลงทับตาย | ||
เทียนสว่างกลางห้องคูหาแจ่ม | ศิลาแวมวาววามอร่ามฉาย | ||
พี่ชมแล้วให้ตรมระบมกาย | ด้วยเจ้าสายสุดใจมิได้มา | ||
แล้วชักเชือนชวนเพื่อนให้กลับหลัง | ที่อื่นยังมีอยู่หลายคูหา | ||
จะแต่งเล่นก็ที่เห็นกับนัยนา | ด้วยเวลาสุริยนก็พ้นเย็น ฯ | ||
๏ จะกลับหลังยังพระพุทธบาท | เหนื่อยอนาถอกใจมิใช่เล่น | ||
ครั้นค่ำนอนตละตายทั้งกายเย็น | ครั้นเช้าเป็นก็เที่ยวไปตามทาง | ||
เขม้นเมินว่าจะเดินไปหินดาษ | ลัดตลาดแลตลอดคนสล้าง | ||
เห็นขนเม่นพี่ยังหมายเสียดายนาง | เจ้าเคยสางสอยเส้นกระเด็นราย | ||
สารพันกันภัยลูกนาคพช | เครื่องโอสถชาวป่าเขามาขาย | ||
ลักจั่นวัลย์เปรียงแก่นปรูลาย | เป็นยาหายโรคภัยที่ในตัว | ||
หัวล้านลูกละเบี้ยดูเสียหน้า | ลูกขี้ข้าอะไรล้านประจานหัว | ||
ใครล้านจ้อนควรเจียมเสงี่ยมตัว | มันสิบหัวสิบเบี้ยออกเรี่ยทาง ฯ | ||
๏ พี่แกล้งเมินเดินมาข้างบ่อโพลง | เห็นท่าเลี่ยนเตียนโล่งเป็นทางถาง | ||
พิศพนมชมเพลินแล้วเดินพลาง | ถึงระหว่างแนวน้ำที่ลำธาร | ||
กระแสสินธุ์หินดาษสะอาดเอี่ยม | วารีเปี่ยมปริ่มไหลในละหาน | ||
เห็นหญิงชายว่ายคล่ำในลำธาร | เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นอึง | ||
เห็นชีต้นปนประสกสีกากลุ้ม | โถมกระทุ่มฟองฟุ้งอยู่ผลุงผึง | ||
พี่หลีกเลียบไปให้พ้นที่คนอึง | กระทั่งถึงธารเกษมค่อยสร่างใจ ฯ | ||
๏ ต้นโศกทอดยอดขวางออกกลางห้วย | พี่ก็ช่วยผูกชิงช้าให้อาศัย | ||
พวกผู้หญิงชิงขึ้นให้ช้าไกว | สนุกใจร้องเตือนให้เพื่อนโยน | ||
ดูทำนองนางในไกวชิงช้า | ดังสีดาผูกคอที่โรงโขน | ||
เถาวัลย์เปราะเคราะห์ร้ายพอสายโยน | ก็ขาดโหนลงในน้ำเสียงต้ำโครม | ||
ผ้าห่มเปลื้องเครื่องเล่นอล่างฉ่าง | ทั้งสองข้างผู้คนเขาฮาโหม | ||
พี่แลลานธารหลวงเพียงทรวงโทรม | ให้แสนโทมนัสทัศนา ฯ | ||
๏ คำขนานธารเกษมก็สมชื่อ | สนุกคือเรื่องอิเหนาเสน่หา | ||
เมื่อใช้บนเล่นชลธารา | อันเรื่องว่ากับเราเห็นก็เช่นกัน | ||
ประดับด้วยก้อนแก้วปัทมราช | สดสะอาดทาเขียวก็เขียวขัน | ||
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน | แล้วมีพรรณบุปผาก็น่าชม | ||
หล่นลงกลาดดาษเกลื่อนที่กลางน้ำ | ถึงใจช้ำก็ค่อยชื่นอารมณ์สม | ||
ทั้งหญิงชายชิงชวนกันเก็บชม | แสนภิรมย์เบิกบานสำราญเรียง | ||
แต่หนุ่มสาวคราวเรานี้นับร้อย | ลงเล่นลอยกลางธารประสานเสียง | ||
ล้วนจับคู่ชู้ชายชม้ายเมียง | ที่คู่ใครใครเคียงประคองกัน | ||
แสนสนุกจะมาทุกข์อยู่เพียงพี่ | ยิ่งทวีความวิโยคให้โศกศัลย์ | ||
เห็นคู่รักเขาสมัครสมานกัน | คิดถึงวันเมื่อมาดสวาทนาง | ||
แต่วอนเวียนเจียนวายชีวิตพี่ | จึงได้ศรีเสาวภาคย์มาแนบข้าง | ||
เจ้าเคืองขัดตัดสวาทขาดระวาง | จนแรมร้างออกมาราวอรัญวา | ||
ครั้นอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริช | พระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา | ||
พระสุธนร้างห่างมโนห์รา | พระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม | ||
องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตร | เสียพระเวทผูกทวารกรุงพาลถนอม | ||
สุจิตราลาตายไม่วายตรอม | ล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์ | ||
แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรัก | ยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์ | ||
ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง | ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย | ||
พี่แกล้งเฉยเลยชมชลาสินธุ์ | ในที่ถิ่นธารเกษมกระแสสาย | ||
แต่เพลินชมอยู่นั้นตะวันชาย | ก็กลับหมายมุ่งมายังอาราม ฯ | ||
๏ ถึงพบเพื่อนที่รู้จักเคยรักใคร่ | ก็เฉยไปเสียมิได้จะทักถาม | ||
แต่คอยฟังเทวราชประภาษความ | เมื่อไรจะคืนอารามวัดระฆัง | ||
พี่จะได้ทูลลาไปหาเจ้า | เป็นทุกข์เท่านี้แลน้องไม่วายหลัง | ||
พอแรมค่ำหนึ่งวันนั้นท่านพระคลัง | หาบุญยังไปฉลองศาลาลัย | ||
มีละครผู้คนอลหม่าน | กรับประสานสวบสวบส่งเสียงใส | ||
สุวรรณหงส์ทรงว่าวแต่เช้าไป | พี่เลี้ยงใส่หอกยนต์ไว้บนแกล | ||
ตะวันบ่ายเข้าห้องก็ต้องหอก | ชาวบ้านนอกตกใจร้องไห้แซ่ | ||
บ้างฮาครืนยืนยัดอยู่อัดแอ | บ้างจอแจสุรเสียงที่เถียงกัน ฯ | ||
๏ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ | ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน | ||
มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน | ตั้งประจันจดจับกระหยับมือ | ||
ตีเข่าปับรับโปกสองมือปิด | ประจบติดเตะผางหมัดขว้างหวือ | ||
กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ | คนดูอื้อเออเอาสนั่นอึง | ||
ใครมีชัยได้เงินบำเหน็จมาก | จมูกปากบอบบวมอลึ่งฉึ่ง | ||
แสนสนุกสุขล้ำสำมดึงษ์ | พระผู้ถึงนฤพานด้วยการเพียร | ||
แต่รอยบาทอนุญาตไว้ยอดเขา | บุญของเราได้มาเห็นก็เย็นเศียร | ||
บังคมคัลวันละสองเวลาเวียน | แต่จำเนียรนับไว้ได้สี่วัน ฯ | ||
๏ จอมนรินทร์เทวราชประภาษสั่ง | จะกลับยังอาวาสเกษมสันต์ | ||
วันรุ่งแรมสามค่ำเป็นสำคัญ | อภิวันท์ลาบาทพระชินวร | ||
ถึงท่าเรือลงเรือไม่แรมหยุด | ก็เร็วรุดตั้งหน้ามาหาสมร | ||
แต่ตัวพี่ยังมาในสาคร | น้ำใจจรมาถึงเสียก่อนกาย | ||
ได้วันครึ่งถึงเวียงประทับวัด | โทมนัสอาดูรค่อยสูญหาย | ||
นิราศนี้ปีเถาะเป็นเคราะห์ร้าย | เราจดหมายตามมีมาชี้แจง | ||
ที่เปล่าเปล่ามิได้เอามาเสกใส่ | ใครไม่ไปก็จงจำคำแถลง | ||
ทั้งคนฟังคนอ่านสารแสดง | ฉันขอแบ่งส่วนกุศลทุกคนเอย ฯ | ||