นิราศหนองคาย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 266: แถว 266:
</tpoem>
</tpoem>
-
==== ====
 
-
<tpoem>
 
๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา  แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ
๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา  แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ  เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ  เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ

การปรับปรุง เมื่อ 12:47, 22 กันยายน 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)

บทประพันธ์

๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออกก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียงเมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชาลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดชซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัวศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่นทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลันพร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอเป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย
แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีกให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย
ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนายทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัวดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครันบ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกายทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัดขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกองเอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรีที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏหวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ
กางกรประคองกอดแม่ยอดรักพิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวลด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียวนึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือนจะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ
ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิตนึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไปกลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู
นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอดคนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู
ต้องจำใจจำร้างห่างพธูจงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศกอย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคีนั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำเป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่
ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไปจำครรไลโลมลาสุดาดวง
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้องเหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวงแล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน
ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุขอย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน
สวัสดีมีชียพ้นภัยยันเมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน
ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่นถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณกำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ
ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานองใจสยองยิ่งสลดระทดระทม
แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาสใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม
ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ
คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาลทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู
เกินจะพรรณนาเหลือตาดูเครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน
เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพันล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา
ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จสักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า
เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามาทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ
และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวงหวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือจดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลันเจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงรายที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จแล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงครามขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล
พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธชยันโตสำเนียงเสียงประสาน
เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวานโหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง
พระครูโหรอวยชัยให้เดชะพระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดังขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จน้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย
ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล
สุริยงทรงรถหมดมลทินทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี
ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรีท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน
ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือนเสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน
เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกันเสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน
กลามตลอดจอดแพออกแจจนกญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ
ดูเรือแพแออัดสงัดหายไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน
กลัวจะกีดกันขวางทางชลธารหลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสวพวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา
ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตราเสด็จมาคอยรับกองทัพเอง
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่งลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็งเสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำถวายคำนับน้อมจอมสถาน
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกรานตามบูราณประเพณีที่มีมา
กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณาเป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา
เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบาแต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพรแล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน
ทองคำทำตลับระยับย้อยทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน
พระจอมนาถมีพระราชโองการว่าของนานทำไว้จะให้เธอ
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับเจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอเสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย
ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อยพระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย
คนในเรือรับพลางต่างวางพายน้อมถวายบังคมประนมกร ฯ
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
เอิกเกริกเร่งมาในสาครเรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่วล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลมฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุลเห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพรประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรงมีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
ชยันโตอวยชัยในนาวาจอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียงบ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมรองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
พระกายไทยใจทหารชาญสงครามพระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับเรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
สังเกตลมพระพายพัดชายธงนิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวาพระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทันเห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือนี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วนนิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามาฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตรเรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไปเรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตารามประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจรก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลันมาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋งฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
พอจวนถึงรอรานาวาคอยเรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับสมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
พระทัยดีมีพระกรุณประจำหยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของสมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสนบ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กันบางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลาฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวนจะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึงนอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิตโอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอมประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่าหัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลายโศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อยพอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
จวนแจ้งแสงศรีสุริยาตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
เสร็จเสพโภชนากระยาหารทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตมด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิตสำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดังจอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียงเรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทรพายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้านก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดมล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพังกระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดงเรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทองพินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยาตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมมีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไปตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาททั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
น้อมจิตคิดตั้งปณิธานเจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมดพระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัยเดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอนคนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับนอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พันเร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกาอนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศกบังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาวไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหยอุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมาเกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาสใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบายุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึกครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียมไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่างลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบายเหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวาเสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครันจ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตาครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
             

๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกรกำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงยน่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่งจอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง
ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียงนั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวังดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลันก็เหหันเรือประทับกับตะพาน
เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุดบูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานานแต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วามทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหารครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา
ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตราจึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททองได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์
มีพระราชศรัทธาปัญญายงเสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอารามประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล
เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคนชื่อชุมพลนิกายาราม
ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปราซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตามไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน
แล้วเลยทรงสถาปนาการพระวิหารให้คงดำรงดี
แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททองดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมีทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา
ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระก็เลยละผายผันจิตหรรษา
เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวาโห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนีบ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว
เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียวปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล
ฝีพายไม่รอรามาตะบึงบรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไปเจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชาน้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญใจเบิกบานยินดีที่สบาย
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่วบ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลายให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา
รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิงพอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทาพระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระคารวะขอความตามประสงค์
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรงสิงในองค์พระปฏิมากร
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอนจงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับผู้คนคับสองข้างหว่างถนน
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชนที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับคนที่รับไทยทานประมาณโข
บางคนออกวาจาวราโรรัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล
เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อนเรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน
ละลิ่วมาในวนชลธารบ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ
             

๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ


๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา พระมหาที่นั่งในวังจันทร์ ออกจากวังไปยังพระอาวาส นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง วัดสลักหักพังออกนังนุง แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน เสด็จมาบำรุงผดุงการ พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน กรมการเขาว่าตราไม่มี ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ


๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล ต่างลงเรือทุกลำประจำพล บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ


๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ


๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ คนที่เหลืออาศัยในวิหาร อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ . . . ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขด สูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตน ขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผา หนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดิน สะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลด ช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำ แม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก . . . ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำ บ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา บางแห่งเหลืองสีซ้ำดอกจำปา พื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาด ด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการ บ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวซักหาวนอน บ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตา บ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูด ไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลาม ตลอดตามสองข้างหนทางจร อีกอายว่านอายยาในป่าชิด ล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากร กำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล อายพื้นดินนำพาให้อาพาธ วิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทน จึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุก ช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซาน บ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้า ดูก็น่าสมเพชสังเวชโข เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮ ว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติด พระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรง บ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง . . . ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปด ได้จำจดผูกพันจนวันกลับ ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับ ได้สดับเรื่องหมดจดจำมา ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพ บางคนกลับผูกจิตริษยา แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทา ค่อนขอดว่ากองทัพเสียยับเยิน . . . </tpoem>

เชิงอรรถ

ที่มา

นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔

เครื่องมือส่วนตัว