นิราศสุโขทัย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 14:49, 31 พฤษภาคม 2556 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: [คุณหญิงเขื่อนเพ็ชรเสนา] (ส้มจีน อุณหะนันท์)
บทประพันธ์
๑
๏ นิราศรักหักใจจำไกลบ้าน | |||
ไปสุโขทัยเบื้องเมืองโบราณ | ชมสถานแถวทางให้สร่างใจ | ||
ทั้งประสงค์ส่งพ่อเถียวเกี่ยวเป็นญาติ | ไปรับราชกิจวินิจฉัย | ||
เป็นอัยการจังหวัดนัดกันไป | พออุทัยไขศรีฉวีเรือง | ||
ที่ยี่สิบเจ็ดมิถุนาวันคลาคลาด | พุทธศักราชสองพันกันต่อเนื่อง | ||
สี่ร้อยเจ็ดสิบสามยามประเทือง | จึงย่างเยื้องยังหมู่ที่บูชา | ||
จุดเทียนน้อมเศียรกราบพุทธรูป | และจุดธูปที่อัฐิปริปากว่า | ||
ขอลาไกลไปดูเมืองบูราณ์ | แล้วไคลคลาจากตึกรู้สึกงง | ||
เห็นเด็กเด็กเลี้ยงมาล้อมหน้าหลัง | ล้วนแต่ตั้งใจงามจะตามส่ง | ||
คิดห่วงหลังห่วงหน้าพะว้าพะวง | ค่อยดำรงกายออกนอกประตู | ||
ระทวยอ่อนถอนใจอาลัยเหลียว | เคยไปเที่ยวครั้งใดก็ไปคู่ | ||
ไปคนเดียวเสียวเจตน์น้ำเนตรพรู | มิได้ดูสิ่งใดหักใจจร | ||
ถึงสถานีใหญ่รถไฟจวน | จะออกล้วนเซ็งแซ่แลสลอน | ||
เป็นหลายสายย้ายพรากจากนคร | เรารีบจรพร้อมเสร็จรวมเจ็ดคน | ||
นั่งที่สองของใช้ไปรถตู้ | ดูคนผู้ส่งรับกันสับสน | ||
บ้างอวยชัยให้ล้วนส่วนมงคล | ส่งกันจนรถออกนอกชาลา | ||
เป็นขบวนขบวนไม่ป่วนปั่น | แต่ละคันท่วงทีมีสง่า | ||
ควรภูมิใจไทยเจริญเพลิดเพลินตา | นับเวลายิ่งทวีบริบูรณ์ | ||
ลอดสะพานกษัตริย์ศึกจารึกยศ | อันปรากฏเกียรติไว้มิให้สูญ | ||
พระกำจัดไพรินทร์จนสิ้นมูล | ทรงเพิ่มพูนอำนาจของชาติไทย | ||
เป็นดิเรกเอกราชชาติในโลก | อุปโภคสารพันทันสมัย | ||
พระสร้างทำบำรุงเป็นกรุงไกร | สืบมาให้ไปภายหน้าคุ้มฟ้าดิน | ||
มาถึงจิตรลดาสถานี | มิใช่ที่ชาวประชาอย่าถวิล | ||
สำหรับพระราชะจอมนรินทร์ | เสด็จลินลาศตรงทรงรถไฟ | ||
เห็นดุสิตคิดเหมือนได้ไปดุสิต | ชวลิตแลตลอดยอดไสว | ||
พระที่นั่งดังสถานพิมานไชย | สวยดังไกรลาสสวรรค์อันรุ่งเรือง | ||
เห็นโบสถ์วัดเบญจมบพิตร | แลวิจิตรสี่มุขแสงสุกเหลือง | ||
ดังทองทาบปลาบปลั่งมลังเมลือง | สีกระเบื้องแลระยับจังนภางค์ | ||
ฉันน้อมกายถวายอภิวาท | พระชินราชองค์ที่สองจำลองสร้าง | ||
โปรดพิทักษ์รักษาทุกท่าทาง | ให้สำอางสำเร็จเจตนา | ||
ข้าพเจ้าเขาทั้งหลายทุกชายหญิง | จงพ้นสิ่งโรคภัยให้ถ้วนหน้า | ||
มีดวงใจใสกระจ่างทางสัมมา | วัฒนาลาภล้ำอร่ามเรือง | ||
ถึงสามเสนไม่ได้ความเรื่องสามเสน | ใครประเคนชื่อไว้ไฉนเรื่อง | ||
เอาพิมเสนแลกเกลือเห็นเหลือเปลือง | ล้วนแต่เครื่องเสียค่าราคาควร | ||
ถึงบางซื่อซื่อตรงลงว่าโง่ | โอ้พุทโธ่คิดมาก็น่าสรวล | ||
ที่ตลบแตลงแต่งสำนวน | กลับชมชวนกันว่าอาจฉลาดดี | ||
คนชนิดไหนนะเรียกฉลาด | ที่จอมปราชญ์ยกย่องว่าผ่องศรี | ||
ถ้าจะมีใครโผล่โต้วาที | และทั้งมีกรรมการประหารความ | ||
คงได้ฟังคารมอุดมแปลก | ต่างจะแหวกเอาชัยในสนาม | ||
ต่างชี้เลศเหตุผลจนให้งาม | ซึ่งจะคร้ามปากกันนั้นไม่มี | ||
ฉลาดใดไม่เหมือนการชาญฉลาด | รักษาอาตม์ให้ดำรงตรงวิถี | ||
แห่งสัมมาอาชีวะนั่นแหละดี | มิให้มีอกุศลปนมลทิน | ||
จึงควรนับว่าเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ | อันบาปกรรมมิให้เข้ากายสิ้น | ||
ครองชีวิตสุขาเป็นอาจิณ | อยู่ในศีลซื่อสัตย์สวัสดี | ||
เห็นตึกเตาเผาดินเป็นหินผง | แล้วขายส่งเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
ทำสะพานบ้านเรือนเขื่อนกุฎี | แห้งเป็นศีลาแท่งแข็งแรงทน | ||
บางซื่อนี้โรงมีทหารบก | ปลูกล้อมวกกว้างใหญ่ดั่งไพรสณฑ์ | ||
มีทหารชาญชัยหลายกองพล | เป็นน่ายลยินดีบุรีเรา | ||
ถึงบางเขนเลนมากต้องลากเข็น | เรือติดเลนหรือเช่นเข็นซุงเสา | ||
ก็พอจะเข็นได้สบายเบา | แต่ว่าเจ้าความรักนี้หนักครัน | ||
ลงติดตรังฝังใจเข็นไม่ออก | ยิ่งกว่าตอกด้วยตะปูคิดดูขัน | ||
บางทีถึงร่างกายวายชีวัน | เพราะรักนั้นมิได้สมอารมณ์ปอง | ||
สมรักแล้วแคล้วคลาดนิราศร้าง | นี่อีกอย่างก็ระทมอกตรมหนอง | ||
เป็นโรคร้ายหายยากมากทำนอง | ยิ่งตรองตรองเรื่องรักชักรำคาญ | ||
ถึงหลักสี่มีนาธัญญาไสว | ขอขอบใจชาวนามหาศาล | ||
สู้เหนื่อยยากตรากตรำกระทำการ | ไถคราดหว่านเก็บเกี่ยวด้วยเรี่ยวแรง | ||
การกินอยู่ดูทุเรศสมเพชเหลือ | กะปิเกลือปลาร้าน่าแสยง | ||
นอนโรงจากฟากปูสู้ตะแคง | โคลนตมแห้งเกรอะกรังเขายังทน | ||
เราลำบากยากใจอะไรหน่อย | บ่นตะบอยกันทั้งวันตั้งพันหน | ||
มีที่อยู่ดังวิมานสำราญตน | กินดังปนเพชรทองยังร้องคราง | ||
เอาแต่สุขส่วนตัวทั่วทุกผอง | ขอเชิญมองดูคั่นคนชั้นล่าง | ||
ตรองสักนิดคิดสักหน่อยอย่างปล่อยวาง | จะเห็นทางเพื่อนมนุษย์สะดุดใจ | ||
อันหลักสี่นี้นามยังงามอยู่ | หลักหนึ่งสองสามไม่รู้ไปอยู่ไหน | ||
รัชกาลที่สี่มีพระทัย | บำรุงไพร่พลเมืองให้เฟื่องฟู | ||
ให้ขุดคลองแยกจากคลองผดุง | ผ่านท้องทุ่งป่าละเมาะถึงเกาะคู่ | ||
ตำบลบางปะอินถิ่นควรรู้ | ปักไว้ให้ดูตลอดทาง | ||
หลักละ ๕๐ เส้นเป็นหลักหลัก | ตั้งแต่หนึ่งถึงสำนักหลักที่สอง | ||
ที่สามที่สี่ห้าหกเจ็ดเขตรองรอง | นับเกือบสองพันเส้นสร้างกว้าง ๕ วา | ||
ราวร้อยเส้นเป็นมีศาลาพัก | ตัวไม้สักมุงกระเบื้องเขื่องอยู่หนา | ||
เมื่อยังเยาว์เราได้เห็นเด่นนัยน์ตา | แต่เวลานี้ไม่เห็นดังเช่นเคย | ||
ทรงพระราชทานนามตามนุสรณ์ | ชื่อคลองเปรมประชากรสุนทรเฉลย | ||
ชื่อตามหลักยักเป็นอื่นไม่คืนเลย | เหลือพิเปรยสี่กับหกก็ตกลง | ||
อันบูราณสถานที่มีประวัติ | ถ้าเปลี่ยนผลัดชื่อใหม่ย่อมไหลหลง | ||
ต้องเรียนใหม่ไถ่ถามเพราะความงง | เอาไว้คงชื่อไม่ได้ไฉนนา | ||
ถึงดอนเมืองเนืองนองกองเครื่องบิน | วิชาศิลป์สิ่งนี้ดีหนักหนา | ||
ชวนกันหัดให้จบทางนพภา | จะไปมาเร็วพลันเท่าทันการณ์ | ||
มิควรกลัวตกดินสิ้นชีวิต | ความตายคิดไม่ประหลาดชาติสังขาร | ||
ถ้าถึงที่ชีวันอันตรธาน | อยู่กับบ้านมันก็มรณา | ||
เป็นทหารนักบินควรยินดี | เกิดมามีโชคแก่ชาติศาสนา | ||
ถ้ามาตรแม้นไพรีมาบีฑา | อาจรักษาปกป้องได้ว่องไว | ||
แม้จะเสียชีวาตม์อย่าขลาดหลบ | ต้องรุกรบจนศัตรูอยู่ไม่ได้ | ||
ช่วยกันรักษาเอกราชของชาติไทย | ถาวรไว้ในหล้าคุ้งฟ้าดิน | ||
ให้สมศักดิ์อัครฐานทหารกล้า | ยามเวลาสงบสมอารมณ์ถวิล | ||
รีบฝึกหัดให้ชำนาญในการบิน | รอบรู้ถิ่นทั่วประเทศเขตของเรา | ||
รู้ทางหนีทีไล่ย่อมได้เปรียบ | ไหวพริบเฉียบแหลมดีไม่มีเศร้า | ||
สามัคคีมีไว้ไม่ใจเบา | แม้ภูเขาก็อาจสามารถทำลาย | ||
ทหารบกทหารเรือและเสือป่า | ย่อมมีหน้าที่เหมือนกันดังมั่นหมาย | ||
ควรไว้เกียรติศักดิ์หลักผู้ชาย | มิให้อายแก่เขาชาวโลกา | ||
ดูเขาหรือคือบุคคลที่ต้นคิด | เพียรประดิษฐ์ยานยนตร์ด้นเวหา | ||
มิได้เกรงตกตายวายชีวม | ทำจนสามารถเสร็จสำเร็จการ | ||
โลกมนุษย์สุดประเสริฐเกิดชีวิต | นักประดิษฐ์ต่างต่างอย่างวิตถาร | ||
ถ้าช่างคิดประดิษฐ์ทำเครื่องสำราญ | เครื่องประหารชีวิตไม่คิดทำ | ||
มีเมตตาอารีเหมือนพี่น้อง | ใครขัดข้องช่วยชุบอุปถัมภ์ | ||
โลกจะแสนสุขประเสริฐเลิศล้ำ | เหมือนหนึ่งสำนักสวรรค์ชั้นอินทรา | ||
ทางซ้ายมือมีตลาดขนาดใหญ่ | ของกินใช้สารพันน่าหรรษา | ||
ใกล้ทางรถทางน้ำส่ำนาวา | คลองเปรมประชากรขนานยานรถไฟ | ||
ถึงหลักหกจีนยกร่องทำสวน | แต่ผักล้วนแลลิ่วทิวไสว | ||
ในท้องร่องปลูกข้าวไม่เปล่าไป | เขาทำได้ประโยชน์คล่องทั้งสองทาง | ||
การขยันขันข้อแล้วหนอเจ๊ก | งานใหญ่เล็กไม่เลือกคลำทำทุกอย่าง | ||
ที่สุดขนอุจจาระไม่ระคาง | ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็นชั้นดี | ||
การหากินถูกอย่างทางสัมมา | ไม่เลวทรามต่ำช้าน่าบัดสี | ||
การทุจริตมิจฉาชีพราคี | และเป็นที่อับอายขายหน้าตา | ||
เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม | บ้างตูมแย้มงามเล่ห์ดังเลขา | ||
สัตตบุษย์ผุดพ้นชลธาร์ | สัตตบันวรรณาน่ายินดี | ||
สัตตบงกชสดใสวิลัยลักษณ์ | บัวเผื่อนสะพักบัวผันกระชั้นสี | ||
สะพรั่งพร้อมเยียยงจงกลมณี | ให้เปรมปรีดิ์เจริญเพลินกมล | ||
ดอกไม้น้ำดอกไม้ดินสิ้นทั้งหลาย | ดอกกล้วยไม้กินน้ำค้างกลางเวหน | ||
ล้วนเป็นเครื่องชูจิตยามพิศยล | กลิ่นระคนยั่วยวนชวนสำราญ | ||
ความอยากชมดมกลิ่นถวิลหวัง | จึงปลูกฝังกันชุกแทบทุกบ้าน | ||
ที่ใดมีผกาสุมามาลย์ | ดูสง่าพาบ้านโอฬารงาม | ||
คลองรังสิตพิศตรงไม่โค้งคด | มีการทดน้ำมาทำนาหลาม | ||
มีคลองน้อยซอยสลับนับหนึ่งนาม | ไปจนสามสิบกว่าล้วนนาดี | ||
มีประตูระวังปิดขังน้ำ | ถ้าเหลือล้ำระบายออกนอกวิถี | ||
แต่น้ำรักไหลรวมท่วมฤดี | มิรู้ที่จะระบายให้คลายใจ | ||
มาถึงเชียงรากใหญ่ไฉนหรือ | จึงระบือชื่อเสียงเวียงที่ไหน | ||
หรือเป็นเพียงตั้งรากแล้วจากไกล | ก็มิได้เห็นซากของรากเลย | ||
สถานที่ย่อมมีประวัติการณ์ | จึงเรียกขานตำบลนุสนธิ์เฉลย | ||
ทั้งบกเรือเหนือใต้ใช้กันเคย | ไปมาเอ่ยชื่อเค้าได้เข้าใจ | ||
เหมือนความดีความชั่วตัวบุคคล | แม้ร่างกายตายหล่นไปไหนไหน | ||
ชื่อยังอยู่รู้แจ้งทุกแห่งไป | ลมน้ำไฟก็มิอาจสามารถทำลาย | ||
รถข้ามสะพานเหล็กรองก้องกระทบ | ดังตลบวับหวือหูอื้อหาย | ||
ความเร็วของรถมองตาลาย | มิได้วายอาวรณ์อ่อนอารมณ์ | ||
มาถึงเชียงรากน้อยยิ่งสร้อยเศร้า | ไฉนเล่าจะทราบเรื่องเบื้องประถม | ||
เชียงรากคู่อยู่ใกล้ไม่ระทม | เราโศกซมเพราะคู่ไปอยู่ไกล | ||
ข้ามสะพานเรียกร้องคลองเชียงราก | เสียงดังมากอีกเหมือนกันสนั่นไหว | ||
รถหยุดหน้าสถานีค่อยมีใจ | ลืมอาลัยลืมตัวมัวแต่ดู | ||
เขาขึ้นลงส่งรับกันสับสน | เดินมาชนถูกตัวและหัวหู | ||
ไม่ถือโกรธทำจำคำครู | เบียดเสียดสู้อดทนปนกันไป | ||
เชียงรากหรือเชิงลากยากจะคิด | ถูกหรือผิดตามแต่จะแก้ไข | ||
เขาเล่ายักษ์สถุลมารพาลสุดใจ | หวังจะให้พระรถหมดชีวา | ||
ทำประชวรกวนผัวดังตัวเปรต | สยายเกศกระสับกระส่ายทั้งซ้ายขวา | ||
เอาข้าวเกรียบเรียบไว้ใต้ไสยา | แล้วครางว่ากระดูกลั่นจะบรรลัย | ||
ทำฉะอ้อนวอนทูลอาดูรดิ้น | ว่าเคยกินผลพฤกษาในป่าใหญ่ | ||
มะม่วงผู้รู้หาวขาวอำไพ | มะนาวไซร้รู้โห่รสโอชา | ||
จงโปรดให้พระรถทรงยศเดช | ไปแจ้งเหตุแก่เมรีที่ภูผา | ||
ได้มากินก็จะสิ้นซึ่งโรคา | ซองสารานี้นำไปให้แก่นาง | ||
พระราชางวยงงด้วยหลงใหล | ดำรัสใช้โอรสาไปป่ากว้าง | ||
ฝ่ายพระรถขับม้ามาหลงทาง | จึงพักค้างที่กุฎีพระชีไพร | ||
เห็นอักษรแก้ขยายชายภูสิต | ในลิขิตว่าผู้ถือหนังสือไข | ||
ถึงกลางวันกินกลางวันอย่าพรั่นใจ | ถึงกลางคืนกลืนให้มันวายปราณ | ||
พระฤๅษีสงสารกุมารน้อย | จึงแปลงถ้อยความใหม่ลงในสาร | ||
ถึงกลางคืนรับกลางคืนให้ชื่นบาน | ถึงกลางวันพลันสมานการไมตรี | ||
พระรถไปได้นางได้ดวงเนตร | ยาวิเศษหนีลับกลับกรุงศรี | ||
พระบิตุรงค์ทราบความตามคดี | อสุรีมันแกล้งจำแลงมา | ||
จึงลงโทษนางนั้นชีวันวาย | ราพณ์ร้ายกลายพักตร์เป็นยักษา | ||
มีร่างกายใหญ่โตต้องโกลา | ลากใหญ่มาหยุดหน่อยลากน้อยไป | ||
ต้องตัดกรรอนเช่นกันเป็นชิ้น | โลหิตนองกองดินดั่งธารไหล | ||
ที่ตำบลขนกายมารร้ายไซร้ | พื้นไผทแดงดลจนทุกวัน | ||
ตรงเนื้อหนาผ่าวิ่นเป็นชิ้นจิ๋ว | เป็นแปดริ้วหิ้วหามตามขยัน | ||
จึงเรียกแปดริ้วนามไปตามกัน | เท็จจริงนั้นอยู่แก่เขาผู้เล่ามา | ||
ถึงบางปะอินถิ่นเหมาะเป็นเกาะคู่ | พระราชวังตั้งอยู่ดูสง่า | ||
แต่ตัวเราว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาเหมือนเกาะแกล้งเยาะเรา | ||
มีคำกล่าวเล่าว่าเกาะนี้ | เดิมเป็นที่อาศัยของผู้เฒ่า | ||
มีบุตรหลานหลายกระท่อมล้วนย่อมเยา | ปลูกน้ำเต้าฟักแฟงไว้แกงกิน | ||
ที่ราบต่ำทำนาเป็นอาหาร | สุขสำราญตามทำนองของท้องถิ่น | ||
มีหลานสาวขาวบางชื่อนางอิน | เขาเรียกถิ่นนี้เฉพาะเกาะเลนตม | ||
ภายหลังมีสุริยวงศ์พระองค์หนึ่ง | เรือมาถึงหัวเกาะจำเพาะล่ม | ||
เกิดพายุแรงกล้านาวาจม | ต้องระทมว่ายน้ำแทบจำตาย | ||
ถึงตลิ่งทิ้งองค์ลงกับพื้น | จะเดินยืนไม่ไหวฤทัยหาย | ||
เห็นแสงไฟกระท่อมน้อยอยู่พร้อยพราย | เรียกโวยวายช่วยด้วยจะม้วยมรณ์ | ||
พวกชายหญิงวิ่งไปเอาไฟส่อง | ช่วยกันประคองมาประทับลงกับหมอน | ||
ได้สมสองนางอินครั้นทินกร | รุ่งแล้วจรกลับไปไม่ได้มา | ||
ฝ่ายนางอินมีครรภ์ถ้วนกำหนด | คลอดโอรสงามพักตร์เป็นหนักหนา | ||
ได้เจ็ดขวบองอาจประหลาดตา | จึงจัดพาไปถวายให้บิตุรงค์ | ||
ครั้นเติบใหญ่ได้เป็นมหาอำมาตย์ | ในพระราชทินนามตาประสงค์ | ||
เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ | แล้วได้ดำรงสยามราชปราสาททอง | ||
ทรงสร้างวัดไชยชุมพลมงคลสถาน | ซึ่งพระองค์ท่านสมภพประสบสนอง | ||
ชาวบ้านเรียกเกาะอออินอออินครอง | บ้างเรียกร้องบางปะอินถิ่นพบกัน | ||
อันเกาะนี้มีกษัตริย์หลายรัชช์ประทับ | สร้างสำหรับประพาสเปรมเกษมสันต์ | ||
แล้วเลิกร้างห่างมาช้านานครัน | พระทรงธรรม์มหาปิยายง | ||
วงศ์จักรีที่ห้าพระปราโมทย์ | พระองค์โปรดสร้างขนาดราชประสงค์ | ||
พระที่นั่งใหญ่ใหญ่เป็นหลายองค์ | ที่งามทรงเลื่องลือฝีมือไทย | ||
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ | เป็นปราสาทปลูกสร้างกลางสระใหญ่ | ||
ที่เกาะนอกออกมหาชลาลัย | สร้างวัดไว้ท้ายเกาะเพราะศรัทธา | ||
ทรงพระราชทานนามความพิเศษ | วัดนิเวศธรรมประวัติจัดศึกษา | ||
ให้พระสงฆ์เรียนร่ำพระธรรมา | บำรุงพุทธศาสนาถาวรเนา | ||
ถึงบางโพธิโพธิมีที่ไหนแน่ | เห็นแต่แพปากคลองขายของข้าว | ||
รถวิ่งข้ามสะพานปร๋อไม่รอเบา | ดูไม่เท่าไม่ทั่วของตัวคลอง | ||
เลียบใกล้ทางข้างแม่น้ำเจ้าพระยา | เห็นนาวากลไฟแล่นไวว่อง | ||
จูงเรือข้าวยาวยืดเป็นพืดมอง | บ้างขึ้นล่องขนสินค้าทั้งมาไป | ||
ทางน้ำนั้นก็นั่งสบายไม่พายถ่อ | ทางบกก็ไม่ต้องเดินเพลินหรือไม่ | ||
ถ้าไม่ต้องกินอาหารประการใด | จะสำราญบานใจไปทุกคน | ||
การเหนื่อยยากกรากกรำทำทั้งสิ้น | เพราะต้องกินเป็นเหตุประเภทผล | ||
จะนั่งนอนร้อนเร่าเฝ้ากังวล | จนวายชนม์นั่นแหละสิ้นถวิลปอง | ||
๒
ถึงศรีอยุธยาเวลาสาย | น่าเสียดายกรุงเก่ามาเศร้าหมอง | |||
เคยรุ่งเรืองจำรัสกษัตริย์ครอง | โอ้มาต้องกลับกลายเป็นไร่นา | |||
ตำนานเก่าเล่าเรื่องแต่เบื้องก่อน | พระนครไพบูลย์พูนสุขา | |||
แต่ครั้งหนึ่งไร้กษัตริย์ขัดติยา | พวกเสนาพร้อมเพรียงกันเสี่ยงเรือ | |||
สุพรรณหงส์เอกชัยไปตามน้ำ | ประหลาดล้ำเรือคว้างไปทางเหนือ | |||
ดุจจะมีวิญญาณมาจานเจือ | ไปหยุดเกื้อกูลเผ่าพวกชาวนา | |||
มีฝูงเด็กเลี้ยงโคบ้างโห่ร้อง | เล่นทำนองยกทัพรับอาสา | |||
ตั้งหัวหน้าหนึ่งเป็นเจ้าชาวประชา | มีเสนาหมอบก้มประนมกร | |||
เอาจอมปลวกต่างบัลลังก์นั่งบัญชา | ลงอาชญาผู้ผิดกิจสังหรณ์ | |||
เอาต้นกกต่างดาบปราบฟันฟอน | ถูกคนนอนมรณาน่าอัศจรรย์ | |||
พวกอำมาตย์ถ้วนทั่วเชิญหัวหน้า | ลงนาวาประโคมร้องฆ้องกลองสนั่น | |||
ให้ครองศรีอโยธยาเป็นราชันย์ | ทรงนามนั้นสายน้ำผึ้งซึ่งก็มี | |||
ว่าพระนามกษัตริย์สายน้ำผึ้ง | ครองกรุงถึงสุโขทัยหาใช่ที่นี่ | |||
องค์เดียวกันหรือไฉนไม่ทราบดี | แต่ก็มีเรื่องเกี่ยวข้อเดียวกัน | |||
ว่าไปได้ธิดามหาประเทศ | กรุงจีนเขตห่างไกลไอศวรรย์ | |||
ได้เงินทองเภตราสารพัน | บริวารนั้นตามมาพาราไทย | |||
ถึงบางกระจะพระเสด็จนิเวศน์ก่อน | แล้วย้อนเสด็จกลับมารับใหม่ | |||
พระนางสร้อยดอกหมากมิอยากไป | กลั้นพระทัยแดดิ้นจนสิ้นชนม์ | |||
พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงให้สร้าง | วัดพระนางเชิงไว้ให้กุศล | |||
ทั้งสร้างวัดกุฎีดาวคราวมงคล | นิรมลมเหสีมีศรัทธา | |||
ทรงสร้างวัดมเหยงค์ยังคงอยู่ | สังเกตดูตามทางแนวข้างขวา | |||
พระเจดีย์เรียงรายสุดสายตา | ล้วนมหาเจดีย์มีมากองค์ | |||
จะเห็นได้ใช่ชั้นสามัญสร้าง | ชำรุดร้างไม่มีใครใจประสงค์ | |||
แนวแม่น้ำเก่ายังอยู่เป็นคู่ตรง | แต่ในพงศาวดารข้ามฐานมา | |||
จับเอาครั้งตั้งกรุงเทพฯทวาราวดี | ลงบัญชีปึกแผ่นไว้แน่นหนา | |||
ยกเอานามบุรีศรีอยุธยา | รวมเข้ามากล้ำกลืนเป็นพื้นเดียว | |||
ก็เริดร้างอย่างอนาถขาดชะตา | กลายเป็นป่าอีกไม่มีที่แลเหลียว | |||
ความจริงคนละเมืองต่างเรื่องเจียว | คิดแล้วเหี่ยวแห้งใจครรไลลา | |||
โอ้สิ่งใดก็ไม่เที่ยงทุกเยี่ยงอย่าง | จะก่อสร้างปึกแผ่นไว้แน่นหนา | |||
ถึงหลอมเหล็กหล่อแล่นแผ่นศิลา | ก็ไม่ถาวรเที่ยงจะเถียงใย | |||
มนุษย์เรากระดูกหนอเนื้อห่อหุ้ม | มันนิ่มนุ่มกระทบกระเทือนความเคลื่อนไหว | |||
หรือจะอาจทนทานการณ์โลกัย | ย่อยบรรลัยเปื่อยเน่าไม่เนานาน | |||
ความประพฤติดีและข้อทรลักษณ์ | นั่นแหละจักดำรงคงสัณฐาน | |||
ไม่เปื่อยพังตั้งมั่นอันตรธาน | ตลอดกาลฟ้าดินจะสิ้นไป | |||
ถึงบ้านม้าม้าที่มีพยศ | ทั้งโกงคดเหลือกำลังจะรั้งไหว | |||
ขืนขับขี่มีแต่จะแพ้ภัย | ไม่ขอใกล้กายาของม้าโกง | |||
กลัวม้าร้ายควายขวิดไม่ชิดใกล้ | มันก็ไม่มีเรื่องเครื่องโขมง | |||
คนทมิฬหินชาติอุบาทว์โครง | หลีกอยู่โพรงเขายังแผ่กระแสลาม | |||
เกิดเป็นคนยากจะพ้นวิกลเหตุ | ดังอยู่เขตรบระหว่างกลางสนาม | |||
ล้วนแต่ศึกกึกก้องทำนองความ | มีสงครามกว่าชีวันจะบรรลัย | |||
นั่งรำพึงถึงระยะมาบพระจันทร์ | ยิ่งร้าวรัญจวนจิตพิสมัย | |||
ดวงจันทร์แจ่มแรมกลับมืดลับไป | ข้างขึ้นได้กลับมาแจ่มแอร่มตา | |||
แต่ดวงพักตร์ลักขณาลี้ลาลับ | มิได้กลับมาเหมือนจันทร์ดั้นเวหา | |||
จะชมอื่นเอี่ยมโอ่ทั่วโลกา | ไม่เหมือนหน้าคนรักประจักษ์ใจ | |||
ถึงพระแก้วมิประสบพบพระแก้ว | แต่จิตแน่วถึงพระไม่ไถล | |||
คำนึงถึงคุณพระรัตนตรัย | เป็นฉัตรชัยกั้นเกล้าทุกเช้าเย็น | |||
มาถึงบ้านภาชีที่ใหญ่กว้าง | รถหลีกทางรางไขว่น่าใคร่เห็น | |||
มีโรงใหญ่ปลูกขวางคร่อมทางเป็น | กั้นร่มเช่นฝนแดดระแวดระวัง | |||
รางรถค้อมอ้อมไปทั้งซ้ายขวา | ตัวสถานีวางอยู่กลางตั้ง | |||
มีตลาดสองฟากดุจฉากประดัง | ใต้ทางยังมีอุโมงค์เป็นโพรงยาว | |||
เดินได้ตลอดลอดทางกว้างวากว่า | คนไปมาทางนั้นกันอื้อฉาว | |||
ได้ปลอดภัยรถไขว่กันระนาว | ถ้าเดินก้าวข้ามข้างบนรถชนตาย | |||
เสียงจ้อกแจ้กจอแจกันแซ่ซ้อง | ขนข้าวของขึ้นลงกลัวหลงหาย | |||
ที่รู้จักทักถามความต้นปลาย | บ้างเรียกฝ่ายไกลเพียงสุ้มเสียงเครือ | |||
ดูอะไรไม่เห็นยุ่งเท่าพุงมนุษย์ | ช่างแสนสุดยุ่งยากลำบากเหลือ | |||
พอรุ่งเช้างันงกทั้งบกเรือ | วุ่นจนเหงื่อเป็นน้ำมันทุกวันไป | |||
บ้างขายค้าหากำไรได้ง่ายคล่อง | แลกเปลี่ยนของสุจริตติดนิสัย | |||
บ้างทุจริตบิดงอไม่ขอใคร | เห็นถ้าได้เป็นประชิดไม่คิดอาย | |||
บ้างขี้เกียจทำงานขอทานเขา | บ้านปล้นเอาซึ่งหน้าฆ่าเสียหาย | |||
บ้างแย่งชิงวิ่งราวฉาวกระจาย | บ้างตะกายตลบตะแลงตะแคงลิ้น | |||
สุดแต่ได้เอาทั้งนั้นไม่หวั่นหวาด | ได้โอกาสแล้วไม่เลือกกระเดือกปลิ้น | |||
มิได้มีจรรยาเป็นอาจิณ | พอได้กินได้ผดุงให้พุงเต็ม | |||
การกินอยู่มนุษย์นี้สุดยาก | ต้องกินมากหลายประการคาวหวานเข้ม | |||
ทั้งของอ่อนแข็งเคี้ยวรสเปรี้ยวเค็ม | ต้องและเล็มตามคอหอยน้อยเมื่อไร | |||
จะบรรจุเรือกำปั่นสักพันหมื่น | ให้เต็มพื้นแล้วมิต้องเติมของใหม่ | |||
บรรจุท้องมนุษย์นั้นทุกวันไป | ย่อมมิได้เต็มตามความยินดี | |||
ถึงหนองวิวาทอยู่ดีไม่วิวาท | เห็นต่างอาตม์ต่างอยู่ไม่สูสี | |||
มนุษย์เราถ้าวิวาทขาดไมตรี | ไม่มีดีมีแต่ร้ายทำลายกัน | |||
ทำอย่างใดจะให้เราเหล่ามนุษย์ | ละสมมุติโทโสไม่โมหันธ์ | |||
ไม่อิจฉาพยาบาทขาดสัมพันธ์ | ยุติธรรม์ถ้วนทั่วทุกตัวคน | |||
แม้ผิดบ้างพลั้งให้อภัยผิด | กระทำจิตมุ่งหมายฝ่ายกุศล | |||
ไม่เบียนเบียดเสียดส่อก่อกังวล | จะมีผลสุขศานติ์สำราญกัน | |||
ถึงท่าเรือเมื่อสัปปุรุษไปพุทธบาท | ที่ชายหาดเรือเรียงเคียงมหันต์ | |||
ข้ามสะพานเหล็กรานสะท้านครัน | แล้วลอดขั้นสะพานไม้ครรไลคลา | |||
เพราะที่ทางจอแจจำแก้ไข | กลัวรถไฟจะทับดับสังขาร์ | |||
ช่างรอบคอบกอบโกยโปรยเมตตา | โมทนาสิ่งที่ทำดีกระไร | |||
หน้าสถานีใหญ่รถไฟหยุด | สัปปุรุษเซ็งแซ่แลไสว | |||
ทั้งทางบกทางนทีที่ใกล้ไกล | พากันไปล้นหลามตามมรรคา | |||
มีรถไฟสายน้อยคอยรับส่ง | ฝ่าทุ่งดงเลียบเดินริมเนินผา | |||
ผู้ที่ไปได้กุศลผลบูชา | ทั้งได้ค่าบันเทิงสำเริงรมย์ | |||
ไปเที่ยวเขาเข้าถ้ำดูน้ำบ่อ | ได้เคลียคลอรวยรินชื่นกลิ่นฉม | |||
ซื้อของลาวชาวต้องสู้เที่ยวดูชม | ขอบรมบูราณตระการครัน | |||
ถึงบ้านหมอหมอยาหรือผ่าตัด | ช่วยกำจัดเชื้อโรคโศกกระศัลย์ | |||
ให้สูญหายได้สนิทไม่ติดพัน | ไม่เห็นชั้นหมอกล้ามารับรอง | |||
ไม่มีหมอท้อจิตคิดวิตก | โอ้เอ๋ยอกเราเห็นต้องเป็นหนอง | |||
เพราะโรครักหมักหมมระทมมอง | หมดทางช่องเยียวยารักษาเลย | |||
ถึงหนองโดนโดนอีกตั้งกระมังนี่ | โดนแต่ที่ทุกข์ซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | |||
มาจ่อตาว่าวุ่นดังคุ้นเคย | พลางเมินเฉยชมตลาดสะอาดตา | |||
มีโรงพักตำรวจตรวจผิดจับ | คอยระงับความทุกข์เป็นสุขา | |||
ตามแผ่นดินราบรื่นล้วนพื้นนา | มีมรรคาไปถึงซึ่งคีรี | |||
ใกล้มณฑปบริสุทธิ์พุทธบาท | ประชาราษฎร์ครึกครื้นในพื้นที่ | |||
ความเจริญเดินถึงพนาลี | ก็เพราะมีน้ำใช้ไม่กันดาร | |||
ที่แห่งใดไร้น้ำสำคัญมาก | เจริญยากขัดสนผลอาหาร | |||
ถ้ามีห้วยน้ำหนองคลองลำธาร | อาจตั้งบ้านตั้งหน้าการหากิน | |||
ถึงบ้านกลับคิดใคร่กลับไปบ้าน | เคยสำราญสถิตนิจศีล | |||
มานั่งเมื่อยเหนื่อยตาดูป่าดิน | กว่าถึงถิ่นกำหนดรันทดใจ | |||
ถึงป่าหวายหวายเหนียวเป็นเกลียวเชือก | มีแ...อกเหนียวแน่นแค่นไม่ไหว | (ต้นฉบับขาดหายไป) | ||
ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด | มีเงินไม่มีโชคแก่โลกเอย | |||
ที่เหลือล้นขนเข้าไว้ไม่จ่ายแจก | ตายจะแบกเอาไปได้ไฉนเอ๋ย | |||
คิดบางคนจนยากอ้าปากเงย | กินน้ำเคยนุ่งห่มโสมมมอม | |||
ควรเมตตาการุณย์เจือจุนบ้าง | พอประทังร่างกายที่ผ่ายผอม | |||
เหมือนช่วยคนเรือล่มระทมงอม | กุศลย่อมจะได้หลายประการ | |||
มาถึงลพบุรีทวีเศร้า | เห็นซากเก่าปรางค์ปราสาทราชฐาน | |||
สร้างลำดับนับกษัตริย์หลายรัชกาล | เป็นบูราณนานครันกว่าพันปี | |||
เดิมพระยากาวัณดิศราช | ให้พราหมณ์อำมาตย์มาสร้างถางถิ่นที่ | |||
ตั้งปราสาทราชวังทั้งมณฑีร์ | สิบเก้าปีพร้อมพรั่งทั้งอาราม | |||
เมื่อพุทธศกดกพันเศษสองส่วน | จุลสิบถ้วนระกาภาษาสยาม | |||
เรียกว่าเมืองละโว้โสภณนาม | พันสี่สิบสามบรรจุธาตุพระศาสดา | |||
จุลมีสี่สิบสองในปีเถาะ | อันงามเหมาะชูชาติศาสนา | |||
ได้สองพรรษกษัตริย์ก็มรณา | ครั้นต่อมาพระยาศรีธรรมไตร | |||
ปิฎกองค์ทรงภิเศกเจ้าไกรสรณ์ | ครองนครละโว้อันโตใหญ่ | |||
แล้วก็มาพระยาจันทปโชติไซร้ | ต่อมานัยจะสูญสิ้นบุญญา | |||
ภายหลังจึงพระนารายณ์มหาราช | โปรดประพาสเมืองละโว้อันโอ่อ่า | |||
ให้สร้างซ่อมพร้อมหมดรจนา | เปลี่ยนนามว่าลพบุรีที่ยิ่งยง | |||
พระเดชาอำนาจราชประวัติ | สารพัดสมพระราชประสงค์ | |||
พอประชวรควรหรือหมดเดชยศลง | เป็นน่าสงสารเหตุสังเวชใจ | |||
ต้องกำจัดตัดอำนาจราชศักดิ์ | ไม่ปกปักษ์ข้าหลวงทั้งปวงได้ | |||
ทรงสลดรันทดพระราชหฤทัย | เอาธงชัยอรหันต์กันผดุง | |||
ทรงอุทิศปรางค์ปราสาทราชมณฑีร์ | ให้เป็นที่สีมาเขตวิสุง | |||
บวชเสวกสามสิบสองปองบำรุง | ได้สมมุ่งทุกคนพ้นไพรี | |||
ยังเหลือแต่พระปิยะไม่ละราช | ฉลองพระบาทบงกชบทศรี | |||
กตัญญูรู้กตเวที | พวกไพรีผลักตกฟกบรรลัย | |||
เป็นกษัตริย์ขัตติยามหาเดช | ต่างประเทศทั้งหลายไม่กรายใกล้ | |||
แต่เกิดมีศัตรูอยู่ภายใน | กระทำให้ราชอำนาจถึงขาดลอย | |||
พิโรธล้ำดำรงองค์พระแสง | จะตัดแล่งกบฏให้ถดถอย | |||
ไม่สมหวังด้วยกำลังพระองค์น้อย | วาโยพลอยพาท่านสวรรคต | |||
ปลูกไม้ใหญ่ใกล้เรือนเหมือนเช่นว่า | ทับเคหาพังทลายกระจายหมด | |||
ขับขี่ม้าตัวดีมีพยศ | แต่ว่าหมดกำลังจะรั้งไว้ | |||
ลพบุรีมีตำนานหลายท่านสร้าง | แต่ก็ร้างแล้วกลับต่อก่อสร้างใหม่ | |||
เป็นหลายครั้งหลายคราน่าอาลัย | ขอจงให้มีผู้สร้างอย่างร้างเลย | |||
ข้างขวามือมีศาลพระกาฬสูง | มีพวกฝูงลิงไพรอาศัยเฉย | |||
ตามต้นไม้ใหญ่น้อยคอยก้มเงย | คนที่เคยขึ้นไปไหว้พระกาฬ | |||
ให้ขนมส้มกล้วยรวยกินเสมอ | ถ้าใครเผลอไม่ได้ให้อาหาร | |||
เข้าแย่งของจากกายหลายประการ | แล้วทะยานเอาไปทิ้งไว้กิ่งไม้ | |||
ต้องนำกล้วยอ้อยไปวางพลางเรียกหา | เอาคืนมาเถิดเจ้าเราเปลี่ยนให้ | |||
รู้เหมือนคนเอามาวางอย่างเห็นใจ | รวบของไปกินพลางยื่นคางชู | |||
บางทีขึ้นรถไฟไปเที่ยวป่า | นั่งหลังคาเต็มหมดไม่หดหู | |||
คนไล่ขับกลับคะนองจ้องตาดู | ตะคอกขู่เลิกคิ้วพลิ้วร่างกาย | |||
พอรถหยุดสถานีที่ประสงค์ | ก็เผ่นลงจากหลังคาเข้าป่าหาย | |||
เที่ยวเสียสองสามคืนชื่นสบาย | แล้วก็ผายมาคอยท่าสถานี | |||
พอรถไฟใช้จักรมาพักหยุด | ต่างรีบรุดขึ้นหลังคาไม่ล่าหนี | |||
กลับยังที่เคยอยู่ลพบุรี | สัตว์ยังมีใจสมัครรักถิ่นครอง | |||
เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ | รักชาติเถิดบำรุงไว้อย่าให้หมอง | |||
จงร่วมใจร่วมจิตคิดปรองดอง | อย่าคอยมองผิดกันฉะนั้นเลย | |||
ถึงตำบลโคกกระเทียมเรียมวิโยค | มาพบโคกกระเทียมซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | |||
หวนสะท้อนร้อนใจไม่เสบย | จำแลเชยชมอื่นให้คืนคลาย | |||
เห็นสีดินดำคล้ำดังหมึก | มีไพรพฤกษ์ทัศนาภูผาหลาย | |||
เป็นแนวทิววิเวกเทียมเมฆพราย | จดสุดสายเนตรไม่หมดบรรพตเวียน | |||
ถึงหนองเต่าเท้าสั้นกระนั้นเต่า | แข่งเอาเจ้ากระต่ายแพ้พ่ายเลี่ยน | |||
ถือขายาวก้าวไวไปจวนเจียน | แต่เต่าเพียรเดินไม่หย่อนถึงก่อนพลัน | |||
ความเพียรดีมีตำราว่าไว้มาก | แต่มิอยากทำตามเป็นความขัน | |||
ไม่เพียรหาเพียรแต่จ่ายทุกรายวัน | จะป้องกันความจนได้กลใด | |||
ถึงทรายขาวขาวหรือดำในน้ำจิต | สุดที่จะพิศให้แจ้งแถลงไข | |||
ที่ใจดำอำมหิตยิ่งพิษไฟ | ภายนอกใสขาวช่วงหลอกปวงชน | |||
ที่ภายนอกมัวคล้ำแต่น้ำจิต | ขาวสนิทใจฉ่ำดังน้ำฝน | |||
เห็นใครมีทุกข์ร้อนช่วยผ่อนปรน | ถ้าดูคนดูแต่ผิวมักพลิ้วแพลง | |||
ถึงบ้านหมี่มี่ก้องมองระเหิด | เขาระเบิดภูผามาเป็นแผง | |||
เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนแรง | เอาเหล็กแทงพะเนินดอกออกกระจาย | |||
ที่เป็นก้อนคอนขนขึ้นบนรถ | ทำมีหมดทุกขนาดตามมาดหมาย | |||
พ่วงรถไฟยาวยืดไม่ฝืดคลาย | ส่งไปขายตามระยะพระนคร | |||
เขามีเพียรไม่น้อยขุดต่อยหิน | เราขุดดินง่ายง่ายไม่สังหรณ์ | |||
ร้องลำบากยากเหนื่อยเมื่อยบาทกร | จะนั่งนอนคอยท่าเวลาตาย | |||
ศิลาแข็งแกร่งกล้าหนาแน่นสุด | เขายังอุตส่าห์ทยอยงัดต่อยขาย | |||
หวังได้เงินมาบำรุงผดุงกาย | ให้สบายพูนสวัสดิ์วัฒนา | |||
ถึงห้วยแก้วเงินหรือคือเหมือนแก้ว | ถ้ามีแล้วก็อาจปรารถนา | |||
นึกสิ่งใดได้สิ่งนั้นทันวิญญาณ์ | เขาบูชาเงินกันทุกวันมี | |||
จะเลวทรามต่ำช้าถ้ามีทรัพย์ | เขามักนับว่าเลิศประเสริฐศรี | |||
ที่ยากจนข้นแค้นถึงแสนดี | เขาไม่ชี้เชิดชมนิยมยิน | |||
ถึงจันเสนชื่อแฝงจันแดงแน่ | เป็นยาแก้โรคภัยได้ทั้งสิ้น | |||
กล่าวกันว่าถ้าใครได้ไปกิน | จะมีอินทรีย์อ้วนเป็นนวลแดง | |||
ไม่รู้แก่รู้ป่วยสวยเสมอ | หาไม่เจอกันสักคราเป็นน่าแหนง | |||
ถ้าฉันพบจะผจญขนเต็มแรง | เอามาแบ่งให้ทุกคนได้ฝนกิน | |||
ไม่เจ็บป่วยสวยแท้ไม่แก่เฒ่า | มนุษย์เราก็จะสมอารมณ์ถวิล | |||
จะมีสุขสำราญปานเมืองอินทร์ | จะแสนยินดีตัวทั่วทุกมวล | |||
ถึงช่องแคแลบุกค้นทุกช่อง | ไม่เห็นร่องรอยใดฤทัยหวน | |||
รถสะท้อนร้อนอบนั่งซบซวน | ยิ่งเรรวนใจหวามมาตามทาง | |||
ถึงตำบลบ้านตาคลีนี้ประหลาด | แผ่นดินดาดแดงทั่วไม่มัวหมาง | |||
พฤกษาเขียวเกลียวกลมสมสำอาง | ถึงห้วยหวายดินก็อย่างแดงต่างกัน | |||
สีชมพูดูงามอร่ามฉาย | บ้านหนองโพธิดินก็คล้ายกับที่นั่น | |||
แต่แดงสีมีคล้ำเป็นสำคัญ | บ้านหัวงิ้วก็เช่นนั้นช่างขันจริง | |||
สี่ตำบลนี้กระมังครั้งพระรถ | ฆ่ารากษสตัดแล่งเป็นแง่งขิง | |||
ว่าเลือดนองพสุธาน่าประวิง | มาเห็นสิ่งสีดินให้กินใจ | |||
มาถึงบ้านมะกอกยิ่งชอกช้ำ | ดังใครนำกรดมากรอกทุกซอกใส่ | |||
ปวดระทมโทมนัสดวงฤทัย | โอ้เวรใดแน่หนอมาทรมาน | |||
มาถึงบ้านเขาทองมองดูถิ่น | เป็นเนินดินเหลืองแดงแข่งขนาน | |||
รถไฟไปกลางเนินเหินทะยาน | ถึงสถานอ่างหินดินธรรมดา | |||
เถาวัลย์วกกกพันวรรณพฤกษ์ | เป็นเซิงซึกซึ้งไปไกลหนักหนา | |||
ทั้งสองข้างป่าชัฏริมรัถยา | สกุณาเคียงคลอกันจอแจ | |||
เหมือนจะทักถามเราเจียวเจ้านก | พลอยวิตกเห็นเรานั่งเศร้าแน่ | |||
โอปักษียังมีแก่ใจแท้ | มนุษย์แชเชือนชาไม่การุณย์ | |||
๓
๔
๕
๖
เชิงอรรถ
อ้างอิง
รถไฟไทยดอทคอม [1]