นิราศสุโขทัย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→๓) |
(→๔) |
||
แถว 578: | แถว 578: | ||
=== ๔ === | === ๔ === | ||
+ | <tpoem> | ||
+ | มาถึงพิษณุโลกประโยคสุด รถไฟหยุดค้างจังหวัดแออัดเสียง | ||
+ | ต่างรีบลงส่งของกองรวมเรียง พ่อเถียวเลี่ยงไปว่าภัตตาคาร | ||
+ | เช่าสี่ห้องของใช้ไม่ต้องขน พวกคนยลภัตตามาขนาน | ||
+ | ขนขึ้นให้ถึงห้องที่ต้องการ ค่อยสำราญขึ้นสำนักพักราตรี | ||
+ | มีเวลาพากันขึ้นรถยนต์ ถึงตำบลวัดใหญ่ประไพศรี | ||
+ | นมัสการพระพุทธวิสุทธี พระนามมีชินราชโอภาสทรง | ||
+ | ประทับในเรือนเฉลาเนาวรัตน์ เศวตฉัตรกั้นเชิดระเหิดระหง | ||
+ | งามประเสริฐประดุจพุทธองค์ ประทับทรงโปรดสัตว์จรัสกาล | ||
+ | ฉันน้อมกายถวายเบญจางคประดิษฐ์ พลางอุทิศน้ำใจอันใสสานต์ | ||
+ | บูชาคุณตรัยรัตน์ชัชวาล ขอนิพพานจงอย่าแคล้วข้าไป | ||
+ | ตำนานกล่าวราวเรื่องของเมืองนี้ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกใหญ่ | ||
+ | เป็นกษัตริย์เชียงแสนแดนไผท มาสร้างไว้สองฝั่งข้างนที | ||
+ | ทั้งสร้างวัดปรางค์เจดีย์โบสถ์วิหาร พระประธานสามองค์ล้วนทรงศรี | ||
+ | เมื่อพุทธศกดกพันห้าร้อยปี ท้าวโกสีย์แปลงมาช่วยอำนวยการ | ||
+ | ปั้นเบ้าหล่อต่อเสริมพระนลาฏ ตรีศูลพาดไว้ประจักษ์ศักดาหาญ | ||
+ | พระชินราชอาจองค์แทนทรงญาณ ให้ยืนนานชั่วกัลป์พุทธันดร | ||
+ | แล้วกราบลาองค์พระชินราช ยุรยาตรหวนไห้ฤทัยถอน | ||
+ | ขึ้นที่พักพร้อมหน้าคลายอาวรณ์ สโมสรรับอาหารสำราญรมย์ | ||
+ | มีโต๊ะตั้งทั้งบ๋อยคอยปฏิบัติ สารพัดตามจะซื้อชื่อขนม | ||
+ | ตะเกียงแสงจันทร์จ้าเป็นน่าชม ฝนระดมตกใหญ่ในราตรี | ||
+ | แขกยามแบกปืนยาวเที่ยวก้าวตรวจ วางท่าอวดอำนาจดังราชสีห์ | ||
+ | ตามหน้าห้องช่องทางที่ขวางรี สองชั้นมีหลายสิบห้องต้องระวัง | ||
+ | สามชั้นมีสี่ห้องละสองบาท เตียงสะอาดเอี่ยมดีมีที่นั่ง | ||
+ | หน้าห้องมีเฉลียงโถงลูกกรงบัง ห้องน้ำทั้งห้องถ่ายอยู่ฝ่ายบน | ||
+ | ห้องสองชั้นเป็นพื้นคืนละบาท ความสะอาดธรรมดาอย่าฉงน | ||
+ | ให้กุญแจคนละห้องไม่ต้องปน ฝนตกจนตีหนึ่งจึงได้ซา | ||
+ | ดึกสงัดรัตติกาล์นิทราตื่น อยู่ห้องพื้นสูงอย่างกลางเวหา | ||
+ | วิเวกว่างห่างกระทบสบวิญญาณ์ ลมอัสสาสะประสาทสะอาดดี | ||
+ | ดวงจิตดิ่งนิ่งนังดังวิมุตติ เป็นสุขสุดจนกระทั่งเกือบรังสี | ||
+ | สิ่งสมมติฉุดเบิกเลิกพิธี กลับมามีอุปาทานรำคาญเคือง | ||
+ | คิดอีกทีดีได้ขณะหนึ่ง ดีกว่าซึ่งหมกมุ่นจิตขุ่นเหลือง | ||
+ | ทั้งตาปีมีแต่เหตุกิเลสเนือง ชีวิตเปลืองเปล่าประโยชน์ล้วนโทษภัย | ||
+ | เสียงอธึกกึกก้องทุกห้องตื่น ลงจากพื้นภัตตาที่อาศัย | ||
+ | ต่างกังวลขนของปองครรไล ขึ้นรถไฟไปสวรรคโลกทันที | ||
+ | อากาศหนาวคราววิโยคสุดโศกซ้ำ ฝนพรูพรำชืดชาหมดราศี | ||
+ | นั่งระทมไม่เป็นสมประฤดี อันอินทรีย์เหมือนจะแข็งด้วยแรงเย็น | ||
+ | ไหนจะหนาวห่างอุ่นละมุนอก ไหนจะหนาวฝนตกฟกเหลือเข็ญ | ||
+ | ไหนจะหนาววายุดุลำเค็ญ ฝนกระเซ็นปิดแกลแล้วแจจัน | ||
+ | ต่างนั่งจ๋องมองหน้ากันตาแจ๋ว แต่มองแล้วมองเล่าเฝ้าเหหัน | ||
+ | ดูสิ่งใดก็ไม่เห็นเหมือนเช่นกัน ต่างนิ่งอั้นตาขยิบปริบปริบไป | ||
+ | บ้างโงกหงับหลับตาทีท่าขัน บ้างเอนหันพิงเก้าอี้กรนฟี้ใหญ่ | ||
+ | บ้างง่วงหงุบฟุบผงกตื่นตกใจ เห็นใครใครเข้ายิ้มยิ่งนิ่มอาย | ||
+ | บ้างหาวหวอดกอดอกดังนกเจ็บ นั่งหนาวเหน็บชาพานสะท้านหลาย | ||
+ | เมื่อคืนนอนไม่หลับระงับกาย กระสับกระส่ายเพราะแรกแปลกที่นอน | ||
+ | ในรถไฟขายอาหารทั้งหวานคาว เกาเหลาข้าวแกงดีมีสลอน | ||
+ | กินสิ่งใดทำให้ของร้อนร้อน ไม่อาวรณ์จานหนึ่งสลึงเดียว | ||
+ | ถึงบ้านตูมฝนซาเปิดหน้าต่าง ค่อยสว่างหัวใจหมองไหม้เหี่ยว | ||
+ | คิดประทุมตูมแย้มแฉล้มเรียว เกสรเสียวชื่นทรวงดวงกมล | ||
+ | นิจจาเอ๋ยเคยชื่นระรื่นกลิ่น มาสูญสิ้นอ้างว้างอยู่กลางหน | ||
+ | โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล ดวงอุบลเบิกบานตระการตา | ||
+ | ถึงแควน้อยข้ามกระแสแลชม้อย อันแควน้อยย่อมอาศัยแควใหญ่กล้า | ||
+ | จึงมีน้ำนำให้ฝ่ายนาวา ได้ไปมาค้าขายสบายตัว | ||
+ | ถ้าป่ารกยกทำคลองถนน จะมีผลกว้างใหญ่มิใช่ชั่ว | ||
+ | ผู้ขัดสนได้ผงกยกครอบครัว ไปปลูกถั่วปลูกงาทำนากิน | ||
+ | มนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์ในปัถวี เครื่องทิพย์มีมิต้องตรองถวิล | ||
+ | ไม่วิตกยกหามตามแผ่นดิน ก็เหลือกินมีเองไม่เกรงกลัว | ||
+ | มนุษย์เราจำเป็นต้องนุ่งห่ม ที่บังลมแดดฝนให้พ้นหัว | ||
+ | อาหารต้องอิ่มหนำประจำตัว จะมามัวเกี่ยงหาให้ช้าการ | ||
+ | เหมือนเรือใหญ่พายเดียวน้ำเชี่ยวปราด เมื่อใดอาจจะถึงยังห้วงสถาน | ||
+ | แม้ช่วยพายหลายแรงแข่งทะยาน มิทันนานก็จะถึงซึ่งสบาย | ||
+ | คอยผิดจับสับฟันกันให้ยุ่ง เหมือนตบยุงจะสูญประยูรหาย | ||
+ | หาการงานให้ทำประจำกาย ที่ลอยชายต้องบังคับให้จับงาน | ||
+ | ป้องกันให้หายอดเหมือนทดน้ำ ได้ชื่นฉ่ำอิ่มเอมเกษมสานต์ | ||
+ | ความหิวโหยโปรยประโยชน์โทษสาธารณ์ เห็นคชสารเท่ามดหมดความกลัว | ||
+ | บ้านกรับพวงพวงกรับตีขับร้อง แลกข้าวของกินบ้างค่อยยังชั่ว | ||
+ | ที่โง่โซโออนาถดังชาติวัว เห็นเพื่อนตัวไปทางไหนก็ไปตาม | ||
+ | จะเป็นตายร้ายดีก็มิรู้ สุดแต่กูกินได้แล้วไม่ขาม | ||
+ | จะตีขับจับขังก็รังความ อยู่ในนามไทยสนิทน่าคิดดู | ||
+ | ชาติของเราคนน้อยด้อยพละ ควรจะสะสมให้มากบากบั่นสู้ | ||
+ | การทำลายกันเองใช่เพลงครู ต้องเชิดชูจุนค้ำให้จำเริญ | ||
+ | ถึงหนองตมตมก็เกิดต่อน้ำ ละลายทำดินแห้งที่แข็งเขิน | ||
+ | ให้เหลวไหลไปตามทางน้ำเดิน บังเอิญไหลไม่พ้นข้นเป็นตม | ||
+ | ดุจเหล็กแข็งแรงเหล็กรันต้องพลันนิ่ม ก้อนเกลือจิ้มน้ำกลายหายเค็มขม | ||
+ | ต้นไม้ใหญ่หักเดาะก็เพราะลม ลิ้นคนคมร้ายกาจยิ่งสาตรา | ||
+ | อาวุธอื่นหมื่นแสนแม้นประหาร คนนับล้านในแผ่นดินสิ้นสังขาร์ | ||
+ | ให้พร้อมกันอันตรายวายชีวา ย่อมไม่สามารถทำสำเร็จการ | ||
+ | แต่ชิวหาอาวุธนี้สุดร้าย อาจทำลายล้านโกฏิอุโฆษหาร | ||
+ | ชีวิตมนุษย์ไม่มีที่ประมาณ อาจล้างผลาญรอบล้อมลงพร้อมกัน | ||
+ | ลิ้นที่ดีมีประโยชน์ล้างโทษร้าย คนทั้งหลายสิ้นทุกข์เป็นสุขสันต์ | ||
+ | ทุกประเทศทุกถิ่นลิ้นสำคัญ ตัวของฉันกลัวจริงยิ่งสาตรา | ||
+ | ถึงบ้านบุ่งมุ่งมองยิ่งหมองอก เห็นป่ารกโออนาถสัญชาติหญ้า | ||
+ | เที่ยวขึ้นบุกรุกรานการไร่นา อ่อนระอากันทั่วกลัวศัตรู | ||
+ | ไม้ที่ดีมีผลต้องขวนขวาย ส่วนไม้ร้ายมิต้องปลูกดอกลูกหรู | ||
+ | เหมือนวิชาที่ดีต้องมีครู ที่ชั่วดูมิต้องนำก็ชำนาญ | ||
+ | ถึงบ้านโดนโดนกันสนั่นภพ ยิ่งปรารภเรื้อรังชาติสังขาร | ||
+ | อยู่คนเดียวในโลกก็โศกซาน อยู่รวมกันบันดาลรำคาญเคือง | ||
+ | นี่ของฉันนั่นของแกมาแส่แย่ง นี่ของข้าอย่ามาแกล้งแสวงเรื่อง | ||
+ | อยู่ดีดีรี่มาชนเข้าป่นเปลือง เจ้ามันเงื่องไม่หลีกข้าว่ากระไร | ||
+ | ต่างฝ่ายต่างก็ว่าข้าไม่ผิด ไม่มีจิตปรองดองให้ผ่องใส | ||
+ | ถ้ารักแล้วดีทั้งนั้นชมกันไป ชังแล้วไม่มีราคาแกล้งว่าเดา | ||
+ | ไม่เที่ยงแท้แน่นอนพระสอนสั่ง ให้ระวังอยาตนะเขา | ||
+ | ทั้งระวังอยาตนะเรา กระทบเข้าจะเถกิงเป็นเพลิงกอง | ||
+ | เวรใดทำกรรมใดสร้างแต่ปางไหน เป็นปัจจัยแต่งทำให้ช้ำหมอง | ||
+ | ไม่จดจำสำนึกคิดตรึกตรอง มานั่งมองดินฟ้าระอาอาย | ||
+ | ถึงพิชัยขอให้ชัยชนะ สิ้นราคาโทสะโมหะหลาย | ||
+ | จงพ้นสุขทุกข์สมานสราญกาย จนวางวายชนม์ชีพถึงนิพพาน | ||
+ | ถึงไร่อ้อยอ้อยตาลยังหว่านผล ให้ฝูงชนกินน้ำชื่นฉ่ำหวาน | ||
+ | มนุษย์ดีกว่าอ้อยร้อยประการ มิให้ทานเงินทองของชอบใจ | ||
+ | เพราะตระหนี่ถี่ห่างก็ช่างเถอะ ที่เลอะเทอะปลูกเท็จเก็บเด็ดใส่ | ||
+ | ปลูกอิจฉากาล่อนต้นบอนใบ จงถอนให้ทานเตาเผาอัคคี | ||
+ | ข้ามสะพานแม่น้ำน่านสำราญรื่น พลางขึ้นยืนเยี่ยมแกลแลวิถี | ||
+ | ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่สายวารี หาดทรายมีเรียบราบดังปราบทำ | ||
+ | เป็นแหลมคุ้งวุ้งเว้าล้วนเหล่าทราย น่าสบายสนุกทุกฉนำ | ||
+ | น่าตั้งบ้านเรือนดูอยู่ประจำ เสียแรงธรรมชาติสร้างสำอางดี | ||
+ | ที่เปล่าว่างอย่างถูกมิปลูกอยู่ ที่อุดอู้ยัดเยียดเบียดเสียดสี | ||
+ | อากาศอับสับสนพนธุลี ไม่หน่ายหนีอดทนอยู่จนตาย | ||
+ | ถึงตำบลบ้านดาราสถานี อันเป็นที่ทางแยกดูแปลกหลาย | ||
+ | ต้องรีบลงจากรถรันทดกาย จะขึ้นสายสวรรคโลกครรไล | ||
+ | ต้องกรำฝนวนวิ่งขนสิ่งของ ลงมากองกลางหาวหนาวถึงไส้ | ||
+ | เห็นร่มกระดาษขายมีค่อยดีใจ ซื้อมาได้ห้าคันกั้นกายา | ||
+ | รถเก่าไปลำปางต่างแลเหลียว หัวใจเสียวหวนไห้อาลัยหา | ||
+ | ผู้รู้จักกันเมื่อนั่งร่วมทางมา ต่างอำลาแยกทางกันต่างจร | ||
+ | พอรถไฟสายพายัพกลับมาหยุด อุตลุดเซ็งแซ่แลสลอน | ||
+ | บ้างขึ้นลงส่งของประคองกร ต้องเปียกปอนกลัวกันไม่ทันรถ | ||
+ | พวกเราขึ้นรถใหม่สายสั้นหน่อย พอเรียบร้อยพวกอื่นขึ้นกันหมด | ||
+ | รถล่องลงแลหลามช่างงามงด สายเราบทจรหลังแยกทางกัน | ||
+ | ไม่เห็นมีบ้านช่องมองเปล่าเปลี่ยว เหมือนมาเดี่ยวเศร้าในหัวใจฉัน | ||
+ | ดูภูมิพื้นกว้างใหญ่เสียดายครัน เมื่อไรนั่นชาวไทยจะไพบูลย์ | ||
+ | ไปที่ใดได้พบคนมีล้นหลาม ล้วนตึกงามคับคั่งดังไอศูรย์ | ||
+ | เทียมหน้าอย่างต่างภาษาไม่อาดูร จรัสจรูญเจริญเพลิดเพลินทรวง | ||
+ | อันดินแดนของเราว่างเปล่ามาก ทิ้งให้ตากแดดเล่นมิเป็นห่วง | ||
+ | เอาแต่เที่ยวเอาแต่เล่นกันเป็นพวง นอนจนดวงตะวันขึ้นไม่ตื่นตา | ||
+ | เสียประโยชน์หาทรัพย์สำหรับร่าง ไม่เอาอย่างผู้อื่นดื่นภาษา | ||
+ | เขาพากันข้ามทะเลเฮกันมา ขนเงินตราเมืองเราเอาสบาย | ||
+ | บ้างตั้งห้างสร้างตู้ชูสิ่งของ ทั้งเพชรทองวางเย้ยเฉลยขาย | ||
+ | เพราะพวกเราไม่กังวลจะจนตาย จะทนอายให้เขาหยามไม่งามตา | ||
+ | เมื่อตัวเธอยากจนทนอายได้ ประเทศไซร้ต้องสมัครกันรักษา | ||
+ | อย่างให้ยากจนได้ขายพักตรา แก่นานาประเทศเขาเราเป็นไทย | ||
+ | เป็นขี้ข้าตัวเองอย่าเกรงเหนื่อย เราป่วยเมื่อยนึกจะพักก็พักได้ | ||
+ | ถ้ามีนายใช้ทำกระหน่ำไป หยุดไม่ได้เขาหาเอื้ออาทร | ||
+ | ถึงคลองละมุงมองเห็นคลองน้อย ไร่นาจ้อยมีแต่ไพรไม้สลอน | ||
+ | เต็งรังลิ่วงิ้วชะง้ำเงื้อมอัมพร พะยอมดอนกระแบกกระเบาเหล่าเพกา | ||
+ | มะกอกมะเกลือระดะต้นตะโก เทพทาโรมะไฟไม้มะค่า | ||
+ | ต้นยางยูงสูงเยี่ยมเทียมเมฆา กิ่งสาขาเชิดยอดทอดระทวย | ||
+ | พระพายพัดกวัดไกววิไลล้ำ ดังระบำกรีดกรอ่อนสลวย | ||
+ | ทุกก้านใบไหวจังหวะอันจรวย เหล่าใบชวยเชิดช้อยชม้อยเมียง | ||
+ | ลมพัดหวนป่วนปั่นเลื่อนลั่นเปราะ ไม้ไผ่เสนาะเอนเบียดออดเอียดเสียง | ||
+ | ดุจดนตรีตีรับศัพท์สำเนียง เป็นคู่เคียงสำหรับจับระบำ | ||
+ | อันพรรณะเหล่าไม้ใส่ใจคิด เห็นงามพิศดารกว่าเลขาขำ | ||
+ | งามสิ่งอื่นฝืนฝืดจืดประจำ พ่ายแพ้ธรรมชาติประหลาดงาม | ||
+ | งามจืดเจียนเปลี่ยนความงามเพริศพริ้ง ผลิดอกกิ่งออกใหม่ยอดใบหลาม | ||
+ | พอแก่เก่าเล่าก็เวียนแลกเปลี่ยนความ แตกใบตามยอดระย้าทั้งตาปี | ||
+ | ฝูงวิหคผกผินลงบินเกาะ ส่งเสียงเพราะวังเวงดังเพลงปี่ | ||
+ | กระรอกไต่ไม้ชะแง้กระแตมี หมู่ชะนีเหนี่ยวไม้โหนไปมา | ||
+ | ลิงทโมนโจนจ้องมองเขม้น บ้างโผนเผ่นเลิกคิ้วทำนิ่วหน้า | ||
+ | เขาว่าคนซนเหมือนลิงจริงวาจา หรือยิ่งกว่าลิงร้ายกี่ก่ายกอง | ||
+ | มาถึงคลองมาปรับใคร่รับรู้ ปรับไหมผุ้ใดเล่าได้ข้าวของ | ||
+ | เพียงแต่มาถ้าจะปรับไม่รับรอง ให้อยู่คลองปรับหาไม่ว่าไร | ||
+ | ตำบลนี้มีวัดขนาดย่อม หมู่บ้านหย่อมน้อยโขไม่โตใหญ่ | ||
+ | ล้วนป่าไม้เบญจพรรณทั่วกันไป ให้เปลี่ยวใจเปลี่ยวตานั่งชาเย็น | ||
+ | อากาศคลุ้มอุ้มเมฆเป็นหมอกมืด ยิ่งชื้นชืดหนาวใจใครจะเห็น | ||
+ | วายุจัดพัดไม้ไหวกระเด็น ดังสนั่นลั่นเช่นป่าทลาย | ||
+ | พอฝนซาฟ้าคะนองก้องกัมปนาท สุนีบาตรตกที่ไหนอกใจหาย | ||
+ | รถวิ่งแหวกกลางฝนจนฝนคลาย ค่อยสบายหายกลัวนั่งตัวตรง | ||
+ | ถึงคลองบางต้นยางสล้างล้ำ ล้วนหลายกำครื้นในไพรระหง | ||
+ | กล้วยไม้เหมาะเกาะก่อเป็นกอกง ออกดอกส่งกลิ่นฟุ้งจรุงใจ | ||
+ | เอื้องคำช้อยช่อช่วงดังพวกทอง ช้างเผือกผ่องขาวลออช่อไสว | ||
+ | สามปอยตระการบานฟ้อช่อวิไล อีกดอกไอยเรศสะพรั่งช่อดังงา | ||
+ | ทั้งฟ้ามุ่ยเอื้องแซะแหละตีนเต่า เอื้องแมลงเม่าเอื้องดาวช้างน้าวหา | ||
+ | สายวิสูตรช่อม่วงพวงโมรา ย้อยระย้าน่าชมภิรมย์ทรวง | ||
+ | ถึงสวรรคโลกเรื่องเมืองมนุษย์ เป็นสิ้นสุดทางไปรถไฟหลวง | ||
+ | จะขึ้นต่อรถยนต์คนทั้งปวง เขาทักท้วงว่าทางอย่างกันดาร | ||
+ | เมื่อคืนนี้ฝนตกเสียโชกชุ่ม ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อข้อโดยสาร | ||
+ | จะไปสุโขทัยไม่ได้การ เพียงบางตาลถ้าจะไปพอได้ดี | ||
+ | ต้องเปลี่ยนทางจ้างเรือเป็นเหลือคาด หกสิบบาทจนจิตจะคิดหนี | ||
+ | ต้องรีบไปให้ทันกฎกำหนดมี ถ่ายของที่รถส่งลงนาวา | ||
+ | ฝนพรูพร่ำจำใจไปไม่รอด เรือต้องจอดค้างคืนสุดฝืนท่า | ||
+ | ช่างเคราะห์ร้ายย้ายโยกโชคชะตา สุริยาพลบค่ำเดือนรำไร | ||
+ | นอนอนาถขาดสุขลุกขึ้นนั่ง ท่านช่างตั้งนามสวรรคโลกชั้นไหน | ||
+ | ภูมิประเทศเขตขอบดูรอบไป ไม่สมให้นามสวรรค์เช่นนั้นเลย | ||
+ | กันดารน้ำตามตลิ่งสูงจริงเจียว ลำน้ำเชี่ยวแดงขุ่นแม่คุณเอ๋ย | ||
+ | จะอาบกินอย่างใดเล่าหรือเขาเคย ก็เสบยไปตามด้วยความชิน | ||
+ | อันนิสัยไทยเราเป็นเหล่ามาก ถึงจนยากอย่างใดไม่ไกลถิ่น | ||
+ | ไม่เหมือนเจ๊กแขกฝรั่งต่างก็บิน มาหากินเมืองเราจนเขารวย | ||
+ | ขนเงินไปบำรุงเขตประเทศเขา ทั้งพวกเราก็ช่วยยุ่งผดุงด้วย | ||
+ | เปลือกหรือแก่นซื้อส่งเฝ้างงงวย จะระหวยละห้อยน้อยใจใคร | ||
+ | อันเมืองนี้มีตำนานโบราณกล่าว สร้างกว้างยาวเรียบร้อยหาน้อยไม่ | ||
+ | กว้างห้าสิบยาวร้อยเส้นเช่นของไทย กำแพงใหญ่ล้อมรอบเป็นขอบคัน | ||
+ | กว้างสองวาสูงสี่วาศิลาแลง ฤๅษีแจ้งกลับมาจากฟากสวรรค์ | ||
+ | จึงเอานามตามชั้นฟ้ามาประพันธ์ ชื่อสวรรคโลกเลิศประเสริฐนาม | ||
+ | พระยาธรรมราชาเลออาสน์รัตน์ เป็นกษัตริย์เฟื่องฟุ้งทุกกรุงขาม | ||
+ | ถวัลย์รัชสืบมาพยายาม นับได้สามกษัตริย์ขัตติยา | ||
+ | ภายหลังพระอรุณราชกุมาร ชนขนานนามพระร่วงโชติช่วงหล้า | ||
+ | ได้ปกป้องครองเมืองเรืองเดชา สร้างมหาถาวรขจรนาม | ||
+ | ได้ธิดากรุงจีนเป็นชิ้นเอก มาภิเษกเป็นมเหสีองค์ที่สาม | ||
+ | ทั้งได้ลำเภตราสง่างาม บริวารตามเข้ามารวมห้าร้อย | ||
+ | ทำถ้วยชากาน้ำชามกระเบื้อง ขายทั่วเมืองซื้อไว้ได้ใช้สอย | ||
+ | เหตุใดไทยไม่จำทำตามรอย ซื้อเขาน้อยไปเมื่อไรชาติไทยเรา | ||
+ | ทำไม่เป็นไม่อุตส่าห์น่าบัดสี เกิดมามีเท้ามือนั้นหรือเปล่า | ||
+ | เครื่องนุ่งห่มงมงายฟูมฟายเมา ซื้อเขาเอาเสียทุกอย่างไม่สร้างเอง | ||
+ | การทิ้งสิทธิ์คิดให้ดีเถอะพี่น้อง เราจะต้องถูกระดมเขาข่มเหง | ||
+ | ถ้าพวกเรามีสามัคคีมีคนเกรง ควรรีบเร่งรักษาสิทธิ์ทุกกิจการ | ||
+ | </tpoem> | ||
+ | |||
=== ๕ === | === ๕ === | ||
=== ๖ === | === ๖ === |
การปรับปรุง เมื่อ 14:53, 31 พฤษภาคม 2556
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: [คุณหญิงเขื่อนเพ็ชรเสนา] (ส้มจีน อุณหะนันท์)
บทประพันธ์
๑
๏ นิราศรักหักใจจำไกลบ้าน | |||
ไปสุโขทัยเบื้องเมืองโบราณ | ชมสถานแถวทางให้สร่างใจ | ||
ทั้งประสงค์ส่งพ่อเถียวเกี่ยวเป็นญาติ | ไปรับราชกิจวินิจฉัย | ||
เป็นอัยการจังหวัดนัดกันไป | พออุทัยไขศรีฉวีเรือง | ||
ที่ยี่สิบเจ็ดมิถุนาวันคลาคลาด | พุทธศักราชสองพันกันต่อเนื่อง | ||
สี่ร้อยเจ็ดสิบสามยามประเทือง | จึงย่างเยื้องยังหมู่ที่บูชา | ||
จุดเทียนน้อมเศียรกราบพุทธรูป | และจุดธูปที่อัฐิปริปากว่า | ||
ขอลาไกลไปดูเมืองบูราณ์ | แล้วไคลคลาจากตึกรู้สึกงง | ||
เห็นเด็กเด็กเลี้ยงมาล้อมหน้าหลัง | ล้วนแต่ตั้งใจงามจะตามส่ง | ||
คิดห่วงหลังห่วงหน้าพะว้าพะวง | ค่อยดำรงกายออกนอกประตู | ||
ระทวยอ่อนถอนใจอาลัยเหลียว | เคยไปเที่ยวครั้งใดก็ไปคู่ | ||
ไปคนเดียวเสียวเจตน์น้ำเนตรพรู | มิได้ดูสิ่งใดหักใจจร | ||
ถึงสถานีใหญ่รถไฟจวน | จะออกล้วนเซ็งแซ่แลสลอน | ||
เป็นหลายสายย้ายพรากจากนคร | เรารีบจรพร้อมเสร็จรวมเจ็ดคน | ||
นั่งที่สองของใช้ไปรถตู้ | ดูคนผู้ส่งรับกันสับสน | ||
บ้างอวยชัยให้ล้วนส่วนมงคล | ส่งกันจนรถออกนอกชาลา | ||
เป็นขบวนขบวนไม่ป่วนปั่น | แต่ละคันท่วงทีมีสง่า | ||
ควรภูมิใจไทยเจริญเพลิดเพลินตา | นับเวลายิ่งทวีบริบูรณ์ | ||
ลอดสะพานกษัตริย์ศึกจารึกยศ | อันปรากฏเกียรติไว้มิให้สูญ | ||
พระกำจัดไพรินทร์จนสิ้นมูล | ทรงเพิ่มพูนอำนาจของชาติไทย | ||
เป็นดิเรกเอกราชชาติในโลก | อุปโภคสารพันทันสมัย | ||
พระสร้างทำบำรุงเป็นกรุงไกร | สืบมาให้ไปภายหน้าคุ้มฟ้าดิน | ||
มาถึงจิตรลดาสถานี | มิใช่ที่ชาวประชาอย่าถวิล | ||
สำหรับพระราชะจอมนรินทร์ | เสด็จลินลาศตรงทรงรถไฟ | ||
เห็นดุสิตคิดเหมือนได้ไปดุสิต | ชวลิตแลตลอดยอดไสว | ||
พระที่นั่งดังสถานพิมานไชย | สวยดังไกรลาสสวรรค์อันรุ่งเรือง | ||
เห็นโบสถ์วัดเบญจมบพิตร | แลวิจิตรสี่มุขแสงสุกเหลือง | ||
ดังทองทาบปลาบปลั่งมลังเมลือง | สีกระเบื้องแลระยับจังนภางค์ | ||
ฉันน้อมกายถวายอภิวาท | พระชินราชองค์ที่สองจำลองสร้าง | ||
โปรดพิทักษ์รักษาทุกท่าทาง | ให้สำอางสำเร็จเจตนา | ||
ข้าพเจ้าเขาทั้งหลายทุกชายหญิง | จงพ้นสิ่งโรคภัยให้ถ้วนหน้า | ||
มีดวงใจใสกระจ่างทางสัมมา | วัฒนาลาภล้ำอร่ามเรือง | ||
ถึงสามเสนไม่ได้ความเรื่องสามเสน | ใครประเคนชื่อไว้ไฉนเรื่อง | ||
เอาพิมเสนแลกเกลือเห็นเหลือเปลือง | ล้วนแต่เครื่องเสียค่าราคาควร | ||
ถึงบางซื่อซื่อตรงลงว่าโง่ | โอ้พุทโธ่คิดมาก็น่าสรวล | ||
ที่ตลบแตลงแต่งสำนวน | กลับชมชวนกันว่าอาจฉลาดดี | ||
คนชนิดไหนนะเรียกฉลาด | ที่จอมปราชญ์ยกย่องว่าผ่องศรี | ||
ถ้าจะมีใครโผล่โต้วาที | และทั้งมีกรรมการประหารความ | ||
คงได้ฟังคารมอุดมแปลก | ต่างจะแหวกเอาชัยในสนาม | ||
ต่างชี้เลศเหตุผลจนให้งาม | ซึ่งจะคร้ามปากกันนั้นไม่มี | ||
ฉลาดใดไม่เหมือนการชาญฉลาด | รักษาอาตม์ให้ดำรงตรงวิถี | ||
แห่งสัมมาอาชีวะนั่นแหละดี | มิให้มีอกุศลปนมลทิน | ||
จึงควรนับว่าเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ | อันบาปกรรมมิให้เข้ากายสิ้น | ||
ครองชีวิตสุขาเป็นอาจิณ | อยู่ในศีลซื่อสัตย์สวัสดี | ||
เห็นตึกเตาเผาดินเป็นหินผง | แล้วขายส่งเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
ทำสะพานบ้านเรือนเขื่อนกุฎี | แห้งเป็นศีลาแท่งแข็งแรงทน | ||
บางซื่อนี้โรงมีทหารบก | ปลูกล้อมวกกว้างใหญ่ดั่งไพรสณฑ์ | ||
มีทหารชาญชัยหลายกองพล | เป็นน่ายลยินดีบุรีเรา | ||
ถึงบางเขนเลนมากต้องลากเข็น | เรือติดเลนหรือเช่นเข็นซุงเสา | ||
ก็พอจะเข็นได้สบายเบา | แต่ว่าเจ้าความรักนี้หนักครัน | ||
ลงติดตรังฝังใจเข็นไม่ออก | ยิ่งกว่าตอกด้วยตะปูคิดดูขัน | ||
บางทีถึงร่างกายวายชีวัน | เพราะรักนั้นมิได้สมอารมณ์ปอง | ||
สมรักแล้วแคล้วคลาดนิราศร้าง | นี่อีกอย่างก็ระทมอกตรมหนอง | ||
เป็นโรคร้ายหายยากมากทำนอง | ยิ่งตรองตรองเรื่องรักชักรำคาญ | ||
ถึงหลักสี่มีนาธัญญาไสว | ขอขอบใจชาวนามหาศาล | ||
สู้เหนื่อยยากตรากตรำกระทำการ | ไถคราดหว่านเก็บเกี่ยวด้วยเรี่ยวแรง | ||
การกินอยู่ดูทุเรศสมเพชเหลือ | กะปิเกลือปลาร้าน่าแสยง | ||
นอนโรงจากฟากปูสู้ตะแคง | โคลนตมแห้งเกรอะกรังเขายังทน | ||
เราลำบากยากใจอะไรหน่อย | บ่นตะบอยกันทั้งวันตั้งพันหน | ||
มีที่อยู่ดังวิมานสำราญตน | กินดังปนเพชรทองยังร้องคราง | ||
เอาแต่สุขส่วนตัวทั่วทุกผอง | ขอเชิญมองดูคั่นคนชั้นล่าง | ||
ตรองสักนิดคิดสักหน่อยอย่างปล่อยวาง | จะเห็นทางเพื่อนมนุษย์สะดุดใจ | ||
อันหลักสี่นี้นามยังงามอยู่ | หลักหนึ่งสองสามไม่รู้ไปอยู่ไหน | ||
รัชกาลที่สี่มีพระทัย | บำรุงไพร่พลเมืองให้เฟื่องฟู | ||
ให้ขุดคลองแยกจากคลองผดุง | ผ่านท้องทุ่งป่าละเมาะถึงเกาะคู่ | ||
ตำบลบางปะอินถิ่นควรรู้ | ปักไว้ให้ดูตลอดทาง | ||
หลักละ ๕๐ เส้นเป็นหลักหลัก | ตั้งแต่หนึ่งถึงสำนักหลักที่สอง | ||
ที่สามที่สี่ห้าหกเจ็ดเขตรองรอง | นับเกือบสองพันเส้นสร้างกว้าง ๕ วา | ||
ราวร้อยเส้นเป็นมีศาลาพัก | ตัวไม้สักมุงกระเบื้องเขื่องอยู่หนา | ||
เมื่อยังเยาว์เราได้เห็นเด่นนัยน์ตา | แต่เวลานี้ไม่เห็นดังเช่นเคย | ||
ทรงพระราชทานนามตามนุสรณ์ | ชื่อคลองเปรมประชากรสุนทรเฉลย | ||
ชื่อตามหลักยักเป็นอื่นไม่คืนเลย | เหลือพิเปรยสี่กับหกก็ตกลง | ||
อันบูราณสถานที่มีประวัติ | ถ้าเปลี่ยนผลัดชื่อใหม่ย่อมไหลหลง | ||
ต้องเรียนใหม่ไถ่ถามเพราะความงง | เอาไว้คงชื่อไม่ได้ไฉนนา | ||
ถึงดอนเมืองเนืองนองกองเครื่องบิน | วิชาศิลป์สิ่งนี้ดีหนักหนา | ||
ชวนกันหัดให้จบทางนพภา | จะไปมาเร็วพลันเท่าทันการณ์ | ||
มิควรกลัวตกดินสิ้นชีวิต | ความตายคิดไม่ประหลาดชาติสังขาร | ||
ถ้าถึงที่ชีวันอันตรธาน | อยู่กับบ้านมันก็มรณา | ||
เป็นทหารนักบินควรยินดี | เกิดมามีโชคแก่ชาติศาสนา | ||
ถ้ามาตรแม้นไพรีมาบีฑา | อาจรักษาปกป้องได้ว่องไว | ||
แม้จะเสียชีวาตม์อย่าขลาดหลบ | ต้องรุกรบจนศัตรูอยู่ไม่ได้ | ||
ช่วยกันรักษาเอกราชของชาติไทย | ถาวรไว้ในหล้าคุ้งฟ้าดิน | ||
ให้สมศักดิ์อัครฐานทหารกล้า | ยามเวลาสงบสมอารมณ์ถวิล | ||
รีบฝึกหัดให้ชำนาญในการบิน | รอบรู้ถิ่นทั่วประเทศเขตของเรา | ||
รู้ทางหนีทีไล่ย่อมได้เปรียบ | ไหวพริบเฉียบแหลมดีไม่มีเศร้า | ||
สามัคคีมีไว้ไม่ใจเบา | แม้ภูเขาก็อาจสามารถทำลาย | ||
ทหารบกทหารเรือและเสือป่า | ย่อมมีหน้าที่เหมือนกันดังมั่นหมาย | ||
ควรไว้เกียรติศักดิ์หลักผู้ชาย | มิให้อายแก่เขาชาวโลกา | ||
ดูเขาหรือคือบุคคลที่ต้นคิด | เพียรประดิษฐ์ยานยนตร์ด้นเวหา | ||
มิได้เกรงตกตายวายชีวม | ทำจนสามารถเสร็จสำเร็จการ | ||
โลกมนุษย์สุดประเสริฐเกิดชีวิต | นักประดิษฐ์ต่างต่างอย่างวิตถาร | ||
ถ้าช่างคิดประดิษฐ์ทำเครื่องสำราญ | เครื่องประหารชีวิตไม่คิดทำ | ||
มีเมตตาอารีเหมือนพี่น้อง | ใครขัดข้องช่วยชุบอุปถัมภ์ | ||
โลกจะแสนสุขประเสริฐเลิศล้ำ | เหมือนหนึ่งสำนักสวรรค์ชั้นอินทรา | ||
ทางซ้ายมือมีตลาดขนาดใหญ่ | ของกินใช้สารพันน่าหรรษา | ||
ใกล้ทางรถทางน้ำส่ำนาวา | คลองเปรมประชากรขนานยานรถไฟ | ||
ถึงหลักหกจีนยกร่องทำสวน | แต่ผักล้วนแลลิ่วทิวไสว | ||
ในท้องร่องปลูกข้าวไม่เปล่าไป | เขาทำได้ประโยชน์คล่องทั้งสองทาง | ||
การขยันขันข้อแล้วหนอเจ๊ก | งานใหญ่เล็กไม่เลือกคลำทำทุกอย่าง | ||
ที่สุดขนอุจจาระไม่ระคาง | ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็นชั้นดี | ||
การหากินถูกอย่างทางสัมมา | ไม่เลวทรามต่ำช้าน่าบัดสี | ||
การทุจริตมิจฉาชีพราคี | และเป็นที่อับอายขายหน้าตา | ||
เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม | บ้างตูมแย้มงามเล่ห์ดังเลขา | ||
สัตตบุษย์ผุดพ้นชลธาร์ | สัตตบันวรรณาน่ายินดี | ||
สัตตบงกชสดใสวิลัยลักษณ์ | บัวเผื่อนสะพักบัวผันกระชั้นสี | ||
สะพรั่งพร้อมเยียยงจงกลมณี | ให้เปรมปรีดิ์เจริญเพลินกมล | ||
ดอกไม้น้ำดอกไม้ดินสิ้นทั้งหลาย | ดอกกล้วยไม้กินน้ำค้างกลางเวหน | ||
ล้วนเป็นเครื่องชูจิตยามพิศยล | กลิ่นระคนยั่วยวนชวนสำราญ | ||
ความอยากชมดมกลิ่นถวิลหวัง | จึงปลูกฝังกันชุกแทบทุกบ้าน | ||
ที่ใดมีผกาสุมามาลย์ | ดูสง่าพาบ้านโอฬารงาม | ||
คลองรังสิตพิศตรงไม่โค้งคด | มีการทดน้ำมาทำนาหลาม | ||
มีคลองน้อยซอยสลับนับหนึ่งนาม | ไปจนสามสิบกว่าล้วนนาดี | ||
มีประตูระวังปิดขังน้ำ | ถ้าเหลือล้ำระบายออกนอกวิถี | ||
แต่น้ำรักไหลรวมท่วมฤดี | มิรู้ที่จะระบายให้คลายใจ | ||
มาถึงเชียงรากใหญ่ไฉนหรือ | จึงระบือชื่อเสียงเวียงที่ไหน | ||
หรือเป็นเพียงตั้งรากแล้วจากไกล | ก็มิได้เห็นซากของรากเลย | ||
สถานที่ย่อมมีประวัติการณ์ | จึงเรียกขานตำบลนุสนธิ์เฉลย | ||
ทั้งบกเรือเหนือใต้ใช้กันเคย | ไปมาเอ่ยชื่อเค้าได้เข้าใจ | ||
เหมือนความดีความชั่วตัวบุคคล | แม้ร่างกายตายหล่นไปไหนไหน | ||
ชื่อยังอยู่รู้แจ้งทุกแห่งไป | ลมน้ำไฟก็มิอาจสามารถทำลาย | ||
รถข้ามสะพานเหล็กรองก้องกระทบ | ดังตลบวับหวือหูอื้อหาย | ||
ความเร็วของรถมองตาลาย | มิได้วายอาวรณ์อ่อนอารมณ์ | ||
มาถึงเชียงรากน้อยยิ่งสร้อยเศร้า | ไฉนเล่าจะทราบเรื่องเบื้องประถม | ||
เชียงรากคู่อยู่ใกล้ไม่ระทม | เราโศกซมเพราะคู่ไปอยู่ไกล | ||
ข้ามสะพานเรียกร้องคลองเชียงราก | เสียงดังมากอีกเหมือนกันสนั่นไหว | ||
รถหยุดหน้าสถานีค่อยมีใจ | ลืมอาลัยลืมตัวมัวแต่ดู | ||
เขาขึ้นลงส่งรับกันสับสน | เดินมาชนถูกตัวและหัวหู | ||
ไม่ถือโกรธทำจำคำครู | เบียดเสียดสู้อดทนปนกันไป | ||
เชียงรากหรือเชิงลากยากจะคิด | ถูกหรือผิดตามแต่จะแก้ไข | ||
เขาเล่ายักษ์สถุลมารพาลสุดใจ | หวังจะให้พระรถหมดชีวา | ||
ทำประชวรกวนผัวดังตัวเปรต | สยายเกศกระสับกระส่ายทั้งซ้ายขวา | ||
เอาข้าวเกรียบเรียบไว้ใต้ไสยา | แล้วครางว่ากระดูกลั่นจะบรรลัย | ||
ทำฉะอ้อนวอนทูลอาดูรดิ้น | ว่าเคยกินผลพฤกษาในป่าใหญ่ | ||
มะม่วงผู้รู้หาวขาวอำไพ | มะนาวไซร้รู้โห่รสโอชา | ||
จงโปรดให้พระรถทรงยศเดช | ไปแจ้งเหตุแก่เมรีที่ภูผา | ||
ได้มากินก็จะสิ้นซึ่งโรคา | ซองสารานี้นำไปให้แก่นาง | ||
พระราชางวยงงด้วยหลงใหล | ดำรัสใช้โอรสาไปป่ากว้าง | ||
ฝ่ายพระรถขับม้ามาหลงทาง | จึงพักค้างที่กุฎีพระชีไพร | ||
เห็นอักษรแก้ขยายชายภูสิต | ในลิขิตว่าผู้ถือหนังสือไข | ||
ถึงกลางวันกินกลางวันอย่าพรั่นใจ | ถึงกลางคืนกลืนให้มันวายปราณ | ||
พระฤๅษีสงสารกุมารน้อย | จึงแปลงถ้อยความใหม่ลงในสาร | ||
ถึงกลางคืนรับกลางคืนให้ชื่นบาน | ถึงกลางวันพลันสมานการไมตรี | ||
พระรถไปได้นางได้ดวงเนตร | ยาวิเศษหนีลับกลับกรุงศรี | ||
พระบิตุรงค์ทราบความตามคดี | อสุรีมันแกล้งจำแลงมา | ||
จึงลงโทษนางนั้นชีวันวาย | ราพณ์ร้ายกลายพักตร์เป็นยักษา | ||
มีร่างกายใหญ่โตต้องโกลา | ลากใหญ่มาหยุดหน่อยลากน้อยไป | ||
ต้องตัดกรรอนเช่นกันเป็นชิ้น | โลหิตนองกองดินดั่งธารไหล | ||
ที่ตำบลขนกายมารร้ายไซร้ | พื้นไผทแดงดลจนทุกวัน | ||
ตรงเนื้อหนาผ่าวิ่นเป็นชิ้นจิ๋ว | เป็นแปดริ้วหิ้วหามตามขยัน | ||
จึงเรียกแปดริ้วนามไปตามกัน | เท็จจริงนั้นอยู่แก่เขาผู้เล่ามา | ||
ถึงบางปะอินถิ่นเหมาะเป็นเกาะคู่ | พระราชวังตั้งอยู่ดูสง่า | ||
แต่ตัวเราว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาเหมือนเกาะแกล้งเยาะเรา | ||
มีคำกล่าวเล่าว่าเกาะนี้ | เดิมเป็นที่อาศัยของผู้เฒ่า | ||
มีบุตรหลานหลายกระท่อมล้วนย่อมเยา | ปลูกน้ำเต้าฟักแฟงไว้แกงกิน | ||
ที่ราบต่ำทำนาเป็นอาหาร | สุขสำราญตามทำนองของท้องถิ่น | ||
มีหลานสาวขาวบางชื่อนางอิน | เขาเรียกถิ่นนี้เฉพาะเกาะเลนตม | ||
ภายหลังมีสุริยวงศ์พระองค์หนึ่ง | เรือมาถึงหัวเกาะจำเพาะล่ม | ||
เกิดพายุแรงกล้านาวาจม | ต้องระทมว่ายน้ำแทบจำตาย | ||
ถึงตลิ่งทิ้งองค์ลงกับพื้น | จะเดินยืนไม่ไหวฤทัยหาย | ||
เห็นแสงไฟกระท่อมน้อยอยู่พร้อยพราย | เรียกโวยวายช่วยด้วยจะม้วยมรณ์ | ||
พวกชายหญิงวิ่งไปเอาไฟส่อง | ช่วยกันประคองมาประทับลงกับหมอน | ||
ได้สมสองนางอินครั้นทินกร | รุ่งแล้วจรกลับไปไม่ได้มา | ||
ฝ่ายนางอินมีครรภ์ถ้วนกำหนด | คลอดโอรสงามพักตร์เป็นหนักหนา | ||
ได้เจ็ดขวบองอาจประหลาดตา | จึงจัดพาไปถวายให้บิตุรงค์ | ||
ครั้นเติบใหญ่ได้เป็นมหาอำมาตย์ | ในพระราชทินนามตาประสงค์ | ||
เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ | แล้วได้ดำรงสยามราชปราสาททอง | ||
ทรงสร้างวัดไชยชุมพลมงคลสถาน | ซึ่งพระองค์ท่านสมภพประสบสนอง | ||
ชาวบ้านเรียกเกาะอออินอออินครอง | บ้างเรียกร้องบางปะอินถิ่นพบกัน | ||
อันเกาะนี้มีกษัตริย์หลายรัชช์ประทับ | สร้างสำหรับประพาสเปรมเกษมสันต์ | ||
แล้วเลิกร้างห่างมาช้านานครัน | พระทรงธรรม์มหาปิยายง | ||
วงศ์จักรีที่ห้าพระปราโมทย์ | พระองค์โปรดสร้างขนาดราชประสงค์ | ||
พระที่นั่งใหญ่ใหญ่เป็นหลายองค์ | ที่งามทรงเลื่องลือฝีมือไทย | ||
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ | เป็นปราสาทปลูกสร้างกลางสระใหญ่ | ||
ที่เกาะนอกออกมหาชลาลัย | สร้างวัดไว้ท้ายเกาะเพราะศรัทธา | ||
ทรงพระราชทานนามความพิเศษ | วัดนิเวศธรรมประวัติจัดศึกษา | ||
ให้พระสงฆ์เรียนร่ำพระธรรมา | บำรุงพุทธศาสนาถาวรเนา | ||
ถึงบางโพธิโพธิมีที่ไหนแน่ | เห็นแต่แพปากคลองขายของข้าว | ||
รถวิ่งข้ามสะพานปร๋อไม่รอเบา | ดูไม่เท่าไม่ทั่วของตัวคลอง | ||
เลียบใกล้ทางข้างแม่น้ำเจ้าพระยา | เห็นนาวากลไฟแล่นไวว่อง | ||
จูงเรือข้าวยาวยืดเป็นพืดมอง | บ้างขึ้นล่องขนสินค้าทั้งมาไป | ||
ทางน้ำนั้นก็นั่งสบายไม่พายถ่อ | ทางบกก็ไม่ต้องเดินเพลินหรือไม่ | ||
ถ้าไม่ต้องกินอาหารประการใด | จะสำราญบานใจไปทุกคน | ||
การเหนื่อยยากกรากกรำทำทั้งสิ้น | เพราะต้องกินเป็นเหตุประเภทผล | ||
จะนั่งนอนร้อนเร่าเฝ้ากังวล | จนวายชนม์นั่นแหละสิ้นถวิลปอง | ||
๒
ถึงศรีอยุธยาเวลาสาย | น่าเสียดายกรุงเก่ามาเศร้าหมอง | |||
เคยรุ่งเรืองจำรัสกษัตริย์ครอง | โอ้มาต้องกลับกลายเป็นไร่นา | |||
ตำนานเก่าเล่าเรื่องแต่เบื้องก่อน | พระนครไพบูลย์พูนสุขา | |||
แต่ครั้งหนึ่งไร้กษัตริย์ขัดติยา | พวกเสนาพร้อมเพรียงกันเสี่ยงเรือ | |||
สุพรรณหงส์เอกชัยไปตามน้ำ | ประหลาดล้ำเรือคว้างไปทางเหนือ | |||
ดุจจะมีวิญญาณมาจานเจือ | ไปหยุดเกื้อกูลเผ่าพวกชาวนา | |||
มีฝูงเด็กเลี้ยงโคบ้างโห่ร้อง | เล่นทำนองยกทัพรับอาสา | |||
ตั้งหัวหน้าหนึ่งเป็นเจ้าชาวประชา | มีเสนาหมอบก้มประนมกร | |||
เอาจอมปลวกต่างบัลลังก์นั่งบัญชา | ลงอาชญาผู้ผิดกิจสังหรณ์ | |||
เอาต้นกกต่างดาบปราบฟันฟอน | ถูกคนนอนมรณาน่าอัศจรรย์ | |||
พวกอำมาตย์ถ้วนทั่วเชิญหัวหน้า | ลงนาวาประโคมร้องฆ้องกลองสนั่น | |||
ให้ครองศรีอโยธยาเป็นราชันย์ | ทรงนามนั้นสายน้ำผึ้งซึ่งก็มี | |||
ว่าพระนามกษัตริย์สายน้ำผึ้ง | ครองกรุงถึงสุโขทัยหาใช่ที่นี่ | |||
องค์เดียวกันหรือไฉนไม่ทราบดี | แต่ก็มีเรื่องเกี่ยวข้อเดียวกัน | |||
ว่าไปได้ธิดามหาประเทศ | กรุงจีนเขตห่างไกลไอศวรรย์ | |||
ได้เงินทองเภตราสารพัน | บริวารนั้นตามมาพาราไทย | |||
ถึงบางกระจะพระเสด็จนิเวศน์ก่อน | แล้วย้อนเสด็จกลับมารับใหม่ | |||
พระนางสร้อยดอกหมากมิอยากไป | กลั้นพระทัยแดดิ้นจนสิ้นชนม์ | |||
พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงให้สร้าง | วัดพระนางเชิงไว้ให้กุศล | |||
ทั้งสร้างวัดกุฎีดาวคราวมงคล | นิรมลมเหสีมีศรัทธา | |||
ทรงสร้างวัดมเหยงค์ยังคงอยู่ | สังเกตดูตามทางแนวข้างขวา | |||
พระเจดีย์เรียงรายสุดสายตา | ล้วนมหาเจดีย์มีมากองค์ | |||
จะเห็นได้ใช่ชั้นสามัญสร้าง | ชำรุดร้างไม่มีใครใจประสงค์ | |||
แนวแม่น้ำเก่ายังอยู่เป็นคู่ตรง | แต่ในพงศาวดารข้ามฐานมา | |||
จับเอาครั้งตั้งกรุงเทพฯทวาราวดี | ลงบัญชีปึกแผ่นไว้แน่นหนา | |||
ยกเอานามบุรีศรีอยุธยา | รวมเข้ามากล้ำกลืนเป็นพื้นเดียว | |||
ก็เริดร้างอย่างอนาถขาดชะตา | กลายเป็นป่าอีกไม่มีที่แลเหลียว | |||
ความจริงคนละเมืองต่างเรื่องเจียว | คิดแล้วเหี่ยวแห้งใจครรไลลา | |||
โอ้สิ่งใดก็ไม่เที่ยงทุกเยี่ยงอย่าง | จะก่อสร้างปึกแผ่นไว้แน่นหนา | |||
ถึงหลอมเหล็กหล่อแล่นแผ่นศิลา | ก็ไม่ถาวรเที่ยงจะเถียงใย | |||
มนุษย์เรากระดูกหนอเนื้อห่อหุ้ม | มันนิ่มนุ่มกระทบกระเทือนความเคลื่อนไหว | |||
หรือจะอาจทนทานการณ์โลกัย | ย่อยบรรลัยเปื่อยเน่าไม่เนานาน | |||
ความประพฤติดีและข้อทรลักษณ์ | นั่นแหละจักดำรงคงสัณฐาน | |||
ไม่เปื่อยพังตั้งมั่นอันตรธาน | ตลอดกาลฟ้าดินจะสิ้นไป | |||
ถึงบ้านม้าม้าที่มีพยศ | ทั้งโกงคดเหลือกำลังจะรั้งไหว | |||
ขืนขับขี่มีแต่จะแพ้ภัย | ไม่ขอใกล้กายาของม้าโกง | |||
กลัวม้าร้ายควายขวิดไม่ชิดใกล้ | มันก็ไม่มีเรื่องเครื่องโขมง | |||
คนทมิฬหินชาติอุบาทว์โครง | หลีกอยู่โพรงเขายังแผ่กระแสลาม | |||
เกิดเป็นคนยากจะพ้นวิกลเหตุ | ดังอยู่เขตรบระหว่างกลางสนาม | |||
ล้วนแต่ศึกกึกก้องทำนองความ | มีสงครามกว่าชีวันจะบรรลัย | |||
นั่งรำพึงถึงระยะมาบพระจันทร์ | ยิ่งร้าวรัญจวนจิตพิสมัย | |||
ดวงจันทร์แจ่มแรมกลับมืดลับไป | ข้างขึ้นได้กลับมาแจ่มแอร่มตา | |||
แต่ดวงพักตร์ลักขณาลี้ลาลับ | มิได้กลับมาเหมือนจันทร์ดั้นเวหา | |||
จะชมอื่นเอี่ยมโอ่ทั่วโลกา | ไม่เหมือนหน้าคนรักประจักษ์ใจ | |||
ถึงพระแก้วมิประสบพบพระแก้ว | แต่จิตแน่วถึงพระไม่ไถล | |||
คำนึงถึงคุณพระรัตนตรัย | เป็นฉัตรชัยกั้นเกล้าทุกเช้าเย็น | |||
มาถึงบ้านภาชีที่ใหญ่กว้าง | รถหลีกทางรางไขว่น่าใคร่เห็น | |||
มีโรงใหญ่ปลูกขวางคร่อมทางเป็น | กั้นร่มเช่นฝนแดดระแวดระวัง | |||
รางรถค้อมอ้อมไปทั้งซ้ายขวา | ตัวสถานีวางอยู่กลางตั้ง | |||
มีตลาดสองฟากดุจฉากประดัง | ใต้ทางยังมีอุโมงค์เป็นโพรงยาว | |||
เดินได้ตลอดลอดทางกว้างวากว่า | คนไปมาทางนั้นกันอื้อฉาว | |||
ได้ปลอดภัยรถไขว่กันระนาว | ถ้าเดินก้าวข้ามข้างบนรถชนตาย | |||
เสียงจ้อกแจ้กจอแจกันแซ่ซ้อง | ขนข้าวของขึ้นลงกลัวหลงหาย | |||
ที่รู้จักทักถามความต้นปลาย | บ้างเรียกฝ่ายไกลเพียงสุ้มเสียงเครือ | |||
ดูอะไรไม่เห็นยุ่งเท่าพุงมนุษย์ | ช่างแสนสุดยุ่งยากลำบากเหลือ | |||
พอรุ่งเช้างันงกทั้งบกเรือ | วุ่นจนเหงื่อเป็นน้ำมันทุกวันไป | |||
บ้างขายค้าหากำไรได้ง่ายคล่อง | แลกเปลี่ยนของสุจริตติดนิสัย | |||
บ้างทุจริตบิดงอไม่ขอใคร | เห็นถ้าได้เป็นประชิดไม่คิดอาย | |||
บ้างขี้เกียจทำงานขอทานเขา | บ้านปล้นเอาซึ่งหน้าฆ่าเสียหาย | |||
บ้างแย่งชิงวิ่งราวฉาวกระจาย | บ้างตะกายตลบตะแลงตะแคงลิ้น | |||
สุดแต่ได้เอาทั้งนั้นไม่หวั่นหวาด | ได้โอกาสแล้วไม่เลือกกระเดือกปลิ้น | |||
มิได้มีจรรยาเป็นอาจิณ | พอได้กินได้ผดุงให้พุงเต็ม | |||
การกินอยู่มนุษย์นี้สุดยาก | ต้องกินมากหลายประการคาวหวานเข้ม | |||
ทั้งของอ่อนแข็งเคี้ยวรสเปรี้ยวเค็ม | ต้องและเล็มตามคอหอยน้อยเมื่อไร | |||
จะบรรจุเรือกำปั่นสักพันหมื่น | ให้เต็มพื้นแล้วมิต้องเติมของใหม่ | |||
บรรจุท้องมนุษย์นั้นทุกวันไป | ย่อมมิได้เต็มตามความยินดี | |||
ถึงหนองวิวาทอยู่ดีไม่วิวาท | เห็นต่างอาตม์ต่างอยู่ไม่สูสี | |||
มนุษย์เราถ้าวิวาทขาดไมตรี | ไม่มีดีมีแต่ร้ายทำลายกัน | |||
ทำอย่างใดจะให้เราเหล่ามนุษย์ | ละสมมุติโทโสไม่โมหันธ์ | |||
ไม่อิจฉาพยาบาทขาดสัมพันธ์ | ยุติธรรม์ถ้วนทั่วทุกตัวคน | |||
แม้ผิดบ้างพลั้งให้อภัยผิด | กระทำจิตมุ่งหมายฝ่ายกุศล | |||
ไม่เบียนเบียดเสียดส่อก่อกังวล | จะมีผลสุขศานติ์สำราญกัน | |||
ถึงท่าเรือเมื่อสัปปุรุษไปพุทธบาท | ที่ชายหาดเรือเรียงเคียงมหันต์ | |||
ข้ามสะพานเหล็กรานสะท้านครัน | แล้วลอดขั้นสะพานไม้ครรไลคลา | |||
เพราะที่ทางจอแจจำแก้ไข | กลัวรถไฟจะทับดับสังขาร์ | |||
ช่างรอบคอบกอบโกยโปรยเมตตา | โมทนาสิ่งที่ทำดีกระไร | |||
หน้าสถานีใหญ่รถไฟหยุด | สัปปุรุษเซ็งแซ่แลไสว | |||
ทั้งทางบกทางนทีที่ใกล้ไกล | พากันไปล้นหลามตามมรรคา | |||
มีรถไฟสายน้อยคอยรับส่ง | ฝ่าทุ่งดงเลียบเดินริมเนินผา | |||
ผู้ที่ไปได้กุศลผลบูชา | ทั้งได้ค่าบันเทิงสำเริงรมย์ | |||
ไปเที่ยวเขาเข้าถ้ำดูน้ำบ่อ | ได้เคลียคลอรวยรินชื่นกลิ่นฉม | |||
ซื้อของลาวชาวต้องสู้เที่ยวดูชม | ขอบรมบูราณตระการครัน | |||
ถึงบ้านหมอหมอยาหรือผ่าตัด | ช่วยกำจัดเชื้อโรคโศกกระศัลย์ | |||
ให้สูญหายได้สนิทไม่ติดพัน | ไม่เห็นชั้นหมอกล้ามารับรอง | |||
ไม่มีหมอท้อจิตคิดวิตก | โอ้เอ๋ยอกเราเห็นต้องเป็นหนอง | |||
เพราะโรครักหมักหมมระทมมอง | หมดทางช่องเยียวยารักษาเลย | |||
ถึงหนองโดนโดนอีกตั้งกระมังนี่ | โดนแต่ที่ทุกข์ซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | |||
มาจ่อตาว่าวุ่นดังคุ้นเคย | พลางเมินเฉยชมตลาดสะอาดตา | |||
มีโรงพักตำรวจตรวจผิดจับ | คอยระงับความทุกข์เป็นสุขา | |||
ตามแผ่นดินราบรื่นล้วนพื้นนา | มีมรรคาไปถึงซึ่งคีรี | |||
ใกล้มณฑปบริสุทธิ์พุทธบาท | ประชาราษฎร์ครึกครื้นในพื้นที่ | |||
ความเจริญเดินถึงพนาลี | ก็เพราะมีน้ำใช้ไม่กันดาร | |||
ที่แห่งใดไร้น้ำสำคัญมาก | เจริญยากขัดสนผลอาหาร | |||
ถ้ามีห้วยน้ำหนองคลองลำธาร | อาจตั้งบ้านตั้งหน้าการหากิน | |||
ถึงบ้านกลับคิดใคร่กลับไปบ้าน | เคยสำราญสถิตนิจศีล | |||
มานั่งเมื่อยเหนื่อยตาดูป่าดิน | กว่าถึงถิ่นกำหนดรันทดใจ | |||
ถึงป่าหวายหวายเหนียวเป็นเกลียวเชือก | มีแ...อกเหนียวแน่นแค่นไม่ไหว | (ต้นฉบับขาดหายไป) | ||
ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด | มีเงินไม่มีโชคแก่โลกเอย | |||
ที่เหลือล้นขนเข้าไว้ไม่จ่ายแจก | ตายจะแบกเอาไปได้ไฉนเอ๋ย | |||
คิดบางคนจนยากอ้าปากเงย | กินน้ำเคยนุ่งห่มโสมมมอม | |||
ควรเมตตาการุณย์เจือจุนบ้าง | พอประทังร่างกายที่ผ่ายผอม | |||
เหมือนช่วยคนเรือล่มระทมงอม | กุศลย่อมจะได้หลายประการ | |||
มาถึงลพบุรีทวีเศร้า | เห็นซากเก่าปรางค์ปราสาทราชฐาน | |||
สร้างลำดับนับกษัตริย์หลายรัชกาล | เป็นบูราณนานครันกว่าพันปี | |||
เดิมพระยากาวัณดิศราช | ให้พราหมณ์อำมาตย์มาสร้างถางถิ่นที่ | |||
ตั้งปราสาทราชวังทั้งมณฑีร์ | สิบเก้าปีพร้อมพรั่งทั้งอาราม | |||
เมื่อพุทธศกดกพันเศษสองส่วน | จุลสิบถ้วนระกาภาษาสยาม | |||
เรียกว่าเมืองละโว้โสภณนาม | พันสี่สิบสามบรรจุธาตุพระศาสดา | |||
จุลมีสี่สิบสองในปีเถาะ | อันงามเหมาะชูชาติศาสนา | |||
ได้สองพรรษกษัตริย์ก็มรณา | ครั้นต่อมาพระยาศรีธรรมไตร | |||
ปิฎกองค์ทรงภิเศกเจ้าไกรสรณ์ | ครองนครละโว้อันโตใหญ่ | |||
แล้วก็มาพระยาจันทปโชติไซร้ | ต่อมานัยจะสูญสิ้นบุญญา | |||
ภายหลังจึงพระนารายณ์มหาราช | โปรดประพาสเมืองละโว้อันโอ่อ่า | |||
ให้สร้างซ่อมพร้อมหมดรจนา | เปลี่ยนนามว่าลพบุรีที่ยิ่งยง | |||
พระเดชาอำนาจราชประวัติ | สารพัดสมพระราชประสงค์ | |||
พอประชวรควรหรือหมดเดชยศลง | เป็นน่าสงสารเหตุสังเวชใจ | |||
ต้องกำจัดตัดอำนาจราชศักดิ์ | ไม่ปกปักษ์ข้าหลวงทั้งปวงได้ | |||
ทรงสลดรันทดพระราชหฤทัย | เอาธงชัยอรหันต์กันผดุง | |||
ทรงอุทิศปรางค์ปราสาทราชมณฑีร์ | ให้เป็นที่สีมาเขตวิสุง | |||
บวชเสวกสามสิบสองปองบำรุง | ได้สมมุ่งทุกคนพ้นไพรี | |||
ยังเหลือแต่พระปิยะไม่ละราช | ฉลองพระบาทบงกชบทศรี | |||
กตัญญูรู้กตเวที | พวกไพรีผลักตกฟกบรรลัย | |||
เป็นกษัตริย์ขัตติยามหาเดช | ต่างประเทศทั้งหลายไม่กรายใกล้ | |||
แต่เกิดมีศัตรูอยู่ภายใน | กระทำให้ราชอำนาจถึงขาดลอย | |||
พิโรธล้ำดำรงองค์พระแสง | จะตัดแล่งกบฏให้ถดถอย | |||
ไม่สมหวังด้วยกำลังพระองค์น้อย | วาโยพลอยพาท่านสวรรคต | |||
ปลูกไม้ใหญ่ใกล้เรือนเหมือนเช่นว่า | ทับเคหาพังทลายกระจายหมด | |||
ขับขี่ม้าตัวดีมีพยศ | แต่ว่าหมดกำลังจะรั้งไว้ | |||
ลพบุรีมีตำนานหลายท่านสร้าง | แต่ก็ร้างแล้วกลับต่อก่อสร้างใหม่ | |||
เป็นหลายครั้งหลายคราน่าอาลัย | ขอจงให้มีผู้สร้างอย่างร้างเลย | |||
ข้างขวามือมีศาลพระกาฬสูง | มีพวกฝูงลิงไพรอาศัยเฉย | |||
ตามต้นไม้ใหญ่น้อยคอยก้มเงย | คนที่เคยขึ้นไปไหว้พระกาฬ | |||
ให้ขนมส้มกล้วยรวยกินเสมอ | ถ้าใครเผลอไม่ได้ให้อาหาร | |||
เข้าแย่งของจากกายหลายประการ | แล้วทะยานเอาไปทิ้งไว้กิ่งไม้ | |||
ต้องนำกล้วยอ้อยไปวางพลางเรียกหา | เอาคืนมาเถิดเจ้าเราเปลี่ยนให้ | |||
รู้เหมือนคนเอามาวางอย่างเห็นใจ | รวบของไปกินพลางยื่นคางชู | |||
บางทีขึ้นรถไฟไปเที่ยวป่า | นั่งหลังคาเต็มหมดไม่หดหู | |||
คนไล่ขับกลับคะนองจ้องตาดู | ตะคอกขู่เลิกคิ้วพลิ้วร่างกาย | |||
พอรถหยุดสถานีที่ประสงค์ | ก็เผ่นลงจากหลังคาเข้าป่าหาย | |||
เที่ยวเสียสองสามคืนชื่นสบาย | แล้วก็ผายมาคอยท่าสถานี | |||
พอรถไฟใช้จักรมาพักหยุด | ต่างรีบรุดขึ้นหลังคาไม่ล่าหนี | |||
กลับยังที่เคยอยู่ลพบุรี | สัตว์ยังมีใจสมัครรักถิ่นครอง | |||
เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ | รักชาติเถิดบำรุงไว้อย่าให้หมอง | |||
จงร่วมใจร่วมจิตคิดปรองดอง | อย่าคอยมองผิดกันฉะนั้นเลย | |||
ถึงตำบลโคกกระเทียมเรียมวิโยค | มาพบโคกกระเทียมซ้ำอีกกรรมเอ๋ย | |||
หวนสะท้อนร้อนใจไม่เสบย | จำแลเชยชมอื่นให้คืนคลาย | |||
เห็นสีดินดำคล้ำดังหมึก | มีไพรพฤกษ์ทัศนาภูผาหลาย | |||
เป็นแนวทิววิเวกเทียมเมฆพราย | จดสุดสายเนตรไม่หมดบรรพตเวียน | |||
ถึงหนองเต่าเท้าสั้นกระนั้นเต่า | แข่งเอาเจ้ากระต่ายแพ้พ่ายเลี่ยน | |||
ถือขายาวก้าวไวไปจวนเจียน | แต่เต่าเพียรเดินไม่หย่อนถึงก่อนพลัน | |||
ความเพียรดีมีตำราว่าไว้มาก | แต่มิอยากทำตามเป็นความขัน | |||
ไม่เพียรหาเพียรแต่จ่ายทุกรายวัน | จะป้องกันความจนได้กลใด | |||
ถึงทรายขาวขาวหรือดำในน้ำจิต | สุดที่จะพิศให้แจ้งแถลงไข | |||
ที่ใจดำอำมหิตยิ่งพิษไฟ | ภายนอกใสขาวช่วงหลอกปวงชน | |||
ที่ภายนอกมัวคล้ำแต่น้ำจิต | ขาวสนิทใจฉ่ำดังน้ำฝน | |||
เห็นใครมีทุกข์ร้อนช่วยผ่อนปรน | ถ้าดูคนดูแต่ผิวมักพลิ้วแพลง | |||
ถึงบ้านหมี่มี่ก้องมองระเหิด | เขาระเบิดภูผามาเป็นแผง | |||
เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนแรง | เอาเหล็กแทงพะเนินดอกออกกระจาย | |||
ที่เป็นก้อนคอนขนขึ้นบนรถ | ทำมีหมดทุกขนาดตามมาดหมาย | |||
พ่วงรถไฟยาวยืดไม่ฝืดคลาย | ส่งไปขายตามระยะพระนคร | |||
เขามีเพียรไม่น้อยขุดต่อยหิน | เราขุดดินง่ายง่ายไม่สังหรณ์ | |||
ร้องลำบากยากเหนื่อยเมื่อยบาทกร | จะนั่งนอนคอยท่าเวลาตาย | |||
ศิลาแข็งแกร่งกล้าหนาแน่นสุด | เขายังอุตส่าห์ทยอยงัดต่อยขาย | |||
หวังได้เงินมาบำรุงผดุงกาย | ให้สบายพูนสวัสดิ์วัฒนา | |||
ถึงห้วยแก้วเงินหรือคือเหมือนแก้ว | ถ้ามีแล้วก็อาจปรารถนา | |||
นึกสิ่งใดได้สิ่งนั้นทันวิญญาณ์ | เขาบูชาเงินกันทุกวันมี | |||
จะเลวทรามต่ำช้าถ้ามีทรัพย์ | เขามักนับว่าเลิศประเสริฐศรี | |||
ที่ยากจนข้นแค้นถึงแสนดี | เขาไม่ชี้เชิดชมนิยมยิน | |||
ถึงจันเสนชื่อแฝงจันแดงแน่ | เป็นยาแก้โรคภัยได้ทั้งสิ้น | |||
กล่าวกันว่าถ้าใครได้ไปกิน | จะมีอินทรีย์อ้วนเป็นนวลแดง | |||
ไม่รู้แก่รู้ป่วยสวยเสมอ | หาไม่เจอกันสักคราเป็นน่าแหนง | |||
ถ้าฉันพบจะผจญขนเต็มแรง | เอามาแบ่งให้ทุกคนได้ฝนกิน | |||
ไม่เจ็บป่วยสวยแท้ไม่แก่เฒ่า | มนุษย์เราก็จะสมอารมณ์ถวิล | |||
จะมีสุขสำราญปานเมืองอินทร์ | จะแสนยินดีตัวทั่วทุกมวล | |||
ถึงช่องแคแลบุกค้นทุกช่อง | ไม่เห็นร่องรอยใดฤทัยหวน | |||
รถสะท้อนร้อนอบนั่งซบซวน | ยิ่งเรรวนใจหวามมาตามทาง | |||
ถึงตำบลบ้านตาคลีนี้ประหลาด | แผ่นดินดาดแดงทั่วไม่มัวหมาง | |||
พฤกษาเขียวเกลียวกลมสมสำอาง | ถึงห้วยหวายดินก็อย่างแดงต่างกัน | |||
สีชมพูดูงามอร่ามฉาย | บ้านหนองโพธิดินก็คล้ายกับที่นั่น | |||
แต่แดงสีมีคล้ำเป็นสำคัญ | บ้านหัวงิ้วก็เช่นนั้นช่างขันจริง | |||
สี่ตำบลนี้กระมังครั้งพระรถ | ฆ่ารากษสตัดแล่งเป็นแง่งขิง | |||
ว่าเลือดนองพสุธาน่าประวิง | มาเห็นสิ่งสีดินให้กินใจ | |||
มาถึงบ้านมะกอกยิ่งชอกช้ำ | ดังใครนำกรดมากรอกทุกซอกใส่ | |||
ปวดระทมโทมนัสดวงฤทัย | โอ้เวรใดแน่หนอมาทรมาน | |||
มาถึงบ้านเขาทองมองดูถิ่น | เป็นเนินดินเหลืองแดงแข่งขนาน | |||
รถไฟไปกลางเนินเหินทะยาน | ถึงสถานอ่างหินดินธรรมดา | |||
เถาวัลย์วกกกพันวรรณพฤกษ์ | เป็นเซิงซึกซึ้งไปไกลหนักหนา | |||
ทั้งสองข้างป่าชัฏริมรัถยา | สกุณาเคียงคลอกันจอแจ | |||
เหมือนจะทักถามเราเจียวเจ้านก | พลอยวิตกเห็นเรานั่งเศร้าแน่ | |||
โอปักษียังมีแก่ใจแท้ | มนุษย์แชเชือนชาไม่การุณย์ | |||
๓
ถึงหนองปลิงปลิงทากต้องบากบิด | กลัวเกาะติดทำให้หัวใจขุ่น | ||
สูบโลหิตสดสดให้หมดทุน | หลงวายวุ่นลงหนองจะต้องคราง | ||
มาถึงปากน้ำโพโกลาหล | เสียงผู้คนเซ็งแซ่แลสล้าง | ||
รถหยุดยั้งบ้างลงบ้างตรงทาง | บ้างขนพลางหาบขนปนกันไป | ||
บ้างขายของร้องถามตามหน้าต่าง | ชูของพลางเชิญดูหมูเป็ดไก่ | ||
หมี่ก๋วยเตี๋ยวข้าวผัดถนัดใจ | ข้ามต้มใส่ชามช้อนร้อนร้อนดี | ||
ทั้งข้าวโพดข้าวหมากอ้อยและน้อยหน่า | เสียงจ๊ะจ๋าซื้อกันสนั่นมี่ | ||
ได้ลงเดินชมจังหวัดฝั่งนที | เรือแพมีคับคั่งสองฝั่งชล | ||
เป็นทางร่วมรวมสามแม่น้ำมา | เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาโอฬาร์ผล | ||
ได้ชื่นชุ่มภูมิพื้นรื่นกมล | ประชาชนขายซื้อกันอื้ออึง | ||
ตลาดนี้สำคัญมากทางภาคเหนือ | ทั้งบกเรือเป็นแอ่งที่แข็งขึง | ||
ขนสินค้าคับคั่งเสียงดังตึง | บ้างฉุดดึงไม้ซุงมุ่งทำแพ | ||
นับพันหมื่นดื่นดาษดูกลาดกลุ้ม | เป็นที่ประชุมซื้อขายกระจายแพร่ | ||
บ้างค้าซุงเป็นเศรษฐีก็มีแท้ | บ้างค้าแพฝรั่งแขกจนแหลกลาญ | ||
การค้าขายถ้าไม่มีไหวพริบ | ย่อมจะฉิบหายป่นธนสาร | ||
ไหวพริบไม่มีตำราและอาจารย์ | จะสอนอ่านเขียนให้ได้วิชา | ||
ไหวพริบอาจเกิดจากเหตุสังเกตทั่ว | สิ่งดีชั่วเลวงามตามยถา | ||
บรรดาได้เห็นรู้ทางหูตา | พิจารณาโดยสุขุมมิสุ่มไป | ||
จะบังเกิดวิทยาอันสามารถ | ประจำอาตม์เป็นนิจติดนิสัย | ||
เมื่อได้ยินได้เห็นการเช่นใด | ย่อมมีไหวพริบผับโดยฉับพลัน | ||
จะขอกล่าวเปรียบเทียบไว้ | ถึงศรีธนญชัยคนขยัน | ||
เป็นตลกหลวงสำคัญ | ปัจจุบันคิดคล่องไม่ต้องนาน | ||
ทรงธรรม์พันวษาลงสรง | สนานองค์ในท้องธารละหาน | ||
จึงมีพระราชโองการ | ธนญชัยเจ้าชาญปรีชา | ||
ถ้าเอ็งหลอกข้าขึ้นฝั่งได้ | จะตั้งให้ยงยศปรากฏกล้า | ||
หลอกไม่ได้ไม่ไว้ชีวา | เร่งว่าเร็วพลันจะบรรลัย | ||
ธนญชัยไม่พรั่นหวั่นไหว | |||
บังคมทูลยอหัตถ์บัดใจ | ชีวิตอยู่ใต้บาทบงสุ์ | ||
แม้พระเสด็จขึ้นก่อน | พอจะวอนทูลให้กลับไปสรง | ||
นี่จนเกล้าอยู่เพราะรู้องค์ | แล้วแต่ทรงกรุณาข้าธุลี | ||
กรุงกษัตริย์ตรัสว่าถ้าเช่นนั้น | ข้าจะผันผายขึ้นพื้นที่ | ||
จึงเสด็จจากฟากวารี | อ้ายอวดดีจะหลอกบอกมา | ||
ธนญชัยกราบปลกยกมือตั้ง | รับสั่งให้หลอกออกจากท่า | ||
ก็ลวงองค์ขึ้นฝั่งดังจินดา | พระกลับมารับสั่งดังนี้ | ||
จะให้ลวงล่อต่อไป | เล่นกับไฟไม่พ้นเป็นผี | ||
ผู้อื่นจะชอบตอบคดี | พระองค์มีคุณตอบไม่ชอบทาง | ||
พระรู้สึกเสียกลธนญชัย | โปรดอภัยไม่ทรงอางขนาง | ||
เสด็จกลับขึ้นคืนปรางค์ | ประทานรางวัลล้นธนญชัย | ||
ดำรัสชมสมกายชายชาติ | สามารถเอากูแพ้รู้ได้ | ||
มีไหวพริบดีนี่กระไร | คนใดมีวิชาสารพัน | ||
แต่ไหวพริบปัจจุบันไม่ทันเพื่อน | มัวคิดฝันเฝือนเหมือนฝัน | ||
เสียประโยชน์โทษขำสำคัญ | ไม่ทันที่เขาผู้เชาวน์ไว | ||
ดูแต่พระมหากษัตริย์ยังตรัสชม | ผู้อุดมปฏิภาณวิตถารใหญ่ | ||
ชมนิยมชมชอบระบอบนัย | ซึ่งมิใช่เอาคารมเที่ยวข่มกัน | ||
รถหยุดสิบนาทีที่กำหนด | แล้วเคลื่อนรถจากตอนนครสวรรค์ | ||
ตามทางนี้ดีเหมาะเพาะปลูกกัน | กล้วยแลพันธุ์ข้าวโพดประโยชน์รวย | ||
ที่ขายสดเหลือมากก็ตากแห้ง | คั่วขายแพงราคาดีกว่ากล้วย | ||
เขาปลูกันแลตลอดยอดระทวย | พระพายชวยริ้วริ้วเหมือนทิวธง | ||
บ้านทับกฤชกฤชแขกแปลกภาษา | ดูไม่น่าจะคมสมประสงค์ | ||
ดาบของไทยใสขาวแบนยาวตรง | ใครเห็นทรงยำเยงกลัวเกรงคม | ||
อันคมกฤชคมดาบย่อมทราบฤทธิ์ | แต่ดวงจิตคมเข้มทั้งเค็มขม | ||
เห็นสุดรู้อยู่ลับดังจับลม | ไม่นั่งงมก็เหมือนนั่งรู้อย่างใด | ||
มาถึงคลองปลากดกำสรดเศร้า | ให้ง่วงเหงาแทบกับจะหลับใหล | ||
ตาไม่หลับแต่กลับเป็นหลับใน | จนรถไฟถึงชุมแสงจึงแจ้งการ | ||
สถานีผู้คนดูล้นหลาม | บ้างหิ้วหามขึ้นลงส่งเสียงฉาน | ||
ตลาดยาวยืดตั้งใกล้ฝั่งธาร | แม่น้ำน่านเรือแพเซ็งแซ่จริง | ||
ทั้งตลาดหันหน้ามาทางรถ | ขายของสดของแห้งทุกแจ้งสิ่ง | ||
ยุ้งข้าวเจ๊กมากหนักหนามองตาวิง | คอยแย่งชิงซื้อข้าวของชาวไทย | ||
บรรทุกข้าวมาทางเกวียนเดียรดาษ | เป็นตลาดข้าวแท้แลไสว | ||
เจ๊กหามขนเป็นพัลวันไป | ใส่ยุ้งไว้เต็มรักกักราคา | ||
คอยฟังว่าราคาดีแล้วพี่เจ๊ก | ก็ขายเขกเต็มแรงไม่แกล้งว่า | ||
ทั้งพ่อพวกโรงสีก็ปรีดา | แต่ชาวนาเหนื่อยมากกลับยากจน | ||
เขาจนทรัพย์ขัดสนเพียรขวนขวาย | ก็เหือดหายจนได้กำไรผล | ||
ฉันจนจิตคิดตั้งหวังกมล | มิได้พ้นจนใจแทบวายปราณ | ||
ครั้นถึงบ้านวังกร่างค่อยสร่างหลับ | แต่กระสับกระส่ายหลายสถาน | ||
ให้ปวดเศียรเวียนวิงนิ่งรำคาญ | ไม่อุทานนั่นมองตามช่องแกล | ||
แต่นิ่งยลถึงตำบลบางมูลนาค | บ้านเรือนมากสะพรั่งฝั่งกระแส | ||
ตลาดบกทางน้ำส่ำเรือนแพ | ฉางข้าวแลวัดวาสถานี | ||
คนขึ้นลงขายค้ากันหนาแน่น | ตามพื้นแผ่นดินแดงทุกแห่งที่ | ||
มีเกร็ดกล่าวว่านาคจากวารี | แปลงอินทรีย์เป็นนางสำอางตา | ||
มาภิรมย์สมพาสชาติมนุษย์ | จนเกิดบุตรผิดอย่างต่างภาษา | ||
เป็นไข่ฟองใหญ่ประหลาดชาตินาคา | แล้วหายหน้าไม่มีใครที่ได้พบ | ||
ฝ่ายฟองไข่อยู่ชายกระแสสินธุ์ | กะเทาะบินขยายคลายประกบ | ||
เป็นเด็กชายงามสะอ้านอาการครบ | ออกนั่งตบน้ำเล่นน่าเอ็นดู | ||
พากันไปถวายเด็กชายประหลาด | ก็องอาจเดินได้ในผลู | ||
พระราชาปราโมทย์โปรดเชิดชู | เลี้ยงไว้อยู่เป็นโอรสยศไกร | ||
ภายหลังบุตรภุชงค์ผู้ทรงเดช | ได้ประเวศพนาพฤกษาไสว | ||
ลงบังคนบ้านบ่นเหม็นกระไร | ขัดพระทัยสาปต้องเป็นของกลืน | ||
ซึ่งติว่าเฝื่อนเหม็นจงเห็นหอม | อย่าให้ยอมกินสวัสดิ์จงขัดขืน | ||
ให้หนามเหนียวเกี่ยวยับดังสับฟืน | จึงได้กลืนเนื้ออยากทำปากบอน | ||
พระวาจาประสิทธิ์สฤษดิ์ผล | เกิดเป็นต้นชูดอกออกสลอน | ||
คือทุเรียนเดียรดาษกลาดดินดอน | ยังอีกตอนว่านั่งฝั่งคงคา | ||
ทรงเสวยโภชนามีปลาทอด | พระหัตถ์สอดแกะกระทั่งหมดมังสา | ||
ยังแต่ก้างพระวางในธารา | ดำรัสปลาว่ายไปในสายชล | ||
ก้างปลากลายว่ายน้ำบ้างดำผุด | คนสมมติเรียกนามตามนุสนธิ์ | ||
ว่าพระร่วงร่วงมาแต่ฟ้าบน | จึงฝูงคนเรียกมูลนาคติดปากมา | ||
แต่พระราชพงศาวดารเหนือ | ว่ากษัตริย์ชาติเชื้อพราหมณ์นาถา | ||
นามอภัยคามมุนีศิลาจาริ์ | ไปรักษาองค์ศีลอภิญญาณ | ||
ที่เขาใหญ่ไกลปราสาทราชนิเวศน์ | นาคแปลงเพศเป็นกัลยามาสมาน | ||
พระชื่นชมนางนั้นเจ็ดวันวาร | นางกรายกรานทูลลาท้าวอาลัย | ||
พระราชทานประวิชภูษิตทรง | ไว้ต่างองค์จงคิดพิสมัย | ||
นางนาคาลาย่างลับร่างไป | ภูวนัยเศร้าสะอื้นกลับคืนวัง | ||
ฝ่ายนาคีมีครรภ์แต่วันจาก | นางคลอดฝากผู้ใดไม่สมหวัง | ||
พระฤๅษีหนีไปไม่จีรัง | นางทรุดนั่งแหวนผูกกรลูกยา | ||
ทั้งผ้าทรงวงพันกระสันห่อ | ของของพ่อให้อยู่ดูต่างหน้า | ||
แล้ววางไว้ในบรรณศาลา | พรานป่ามาพบกุมารสงสารครัน | ||
พาไปเลี้ยงเพียงบุตรสุดถนอม | อยู่กระท่อมตามยากสู้บากบั่น | ||
สองคนกับภรรยาไม่อาธรรม์ | แต่ช่วยกันเลี้ยงมาได้กว่าปี | ||
มาวันหนึ่งจึงท้าวอภัยราช | สร้างปราสาทเพิ่มเติมเฉลิมศรี | ||
อำมาตย์จึงเกณฑ์เหล่าชาวบุรี | ทำหน้าที่ถากไม้ไสกระดาน | ||
ฝ่ายนายช่างตั้งเสาเอาขื่อทอด | แล้วยกยอดปรางค์รวมสวมประสาน | ||
ติดทวยเทพประนมพรหมประธาน | ครุฑทะยานเหนี่ยวพระยาวาสุกรี | ||
อันเครื่องบนต่างต่างวางสำเร็จ | ทั้งมุขเด็จบุษบกยกขึ้นที่ | ||
ยังอยู่แต่พื้นล่างทางปัถพี | รีบทวีแรงแต่งทุกแห่งการ | ||
ฝ่ายพรานป่ามาทำประจำกิจ | เป็นห่วงคิดถึงบุตรสุดสงสาร | ||
ให้ภรรยาพาเอาเจ้ากุมาร | พักชายชานปราสาทชัยในเวลา | ||
สุริยงค์ส่งแสงอันแรงร้อน | ต้องเด็กอ่อนเหงื่อหลั่งตามมังสา | ||
องค์ปราสาทไหวหวั่นเอนหันมา | ให้ฉายาร่มทรงองค์กุมาร | ||
พระจอมเจ้านครินทร์ปิ่นประเทศ | ได้ยลเหตุอัศจรรย์จึงบรรหาร | ||
ให้สอบถามได้ความของประทาน | ภูษาสร้านธำมรงค์ไม่สงกา | ||
ท้าวปราโมทย์โปรดประกาศราชโอรส | ให้ทรงยศอำนาจวาสนา | ||
ครั้นต่อไปได้เป็นพระราชา | คนเรียกว่าพระร่วงตามท่วงที | ||
คนละองค์หรือองค์เดียวกันแน่ | สุดจะแก้ปัญหาว่าคงที่ | ||
เพราะต่างคนต่างก็ว่าตำราดี | ตามแต่มีความเห็นกันเช่นใด | ||
ดงตะขบไม่ประสบตะขบต้น | เขาว่าคนขบไม่แตกแปลกหรือไม่ | ||
ผลมะตูมแข็งนอกออกง่ายใจ | มะกอกในแข็งกระด้างช่างต่างกัน | ||
เมื่อพิเคราะห์ดูต้นผลไม้ | ช่างกระไรธรรมชาติประสาทสรรค์ | ||
มีลูกมิได้ผิดชนิดพันธุ์ | เป็นที่มั่นหมายแน่มิแปรปรวน | ||
จะปลูกฝังหวังผลต้นอะไร | ก็ย่อมได้รับผลไม่พ้นส่วน | ||
ลูกสิงห์สัตว์จัตุบาทอาจคำนวณ | มีลูกล้วนเหมือนพันธุ์ไม่ผันแปร | ||
แต่ส่วนลูกมนุษย์สุดมุ่งหมาย | มักกลับกลายกล่นเกลื่อนไม่เหมือนแม่ | ||
ไม่เหมือนพ่อหนอช่างน่าชังแท้ | ควรหรือแชเชือนไปไกลพืชพันธุ์ | ||
ที่ลูกดีมีหน้าพาตระกูล | เรืองจรูญดังผ่านพิมานสวรรค์ | ||
ที่ลูกชั่วตัวมารผลาญฉกรรจ์ | ครอบครัวนั้นก็ต้องตรมหนองบวม | ||
ถึงตำบลตะพานหินถิ่นสถาน | อันสะพานเหมือนวิชารีบหาสวม | ||
ใส่กายตนขนควบเร่งรวบรวม | มัวแต่ต้วมเตี้ยมช้าหาไม่ทัน | ||
รวยวิชาถ้ามีอุปสรรค | วิชาชักจูงตนพ้นอาถรรพณ์ | ||
ข้ามกันดารผ่านขุ่นคุณอนันต์ | ช่วยเลื่อนชั้นฐานาลาภาพูน | ||
มาถึงบ้านคลองลาวกล่าวสำเหนียก | ช่างมาเรียกคลองลาวให้เค้าสูญ | ||
ควรเรียกร้องคลองไทยให้ไพบูลย์ | สืบประยูรเผ่าพงศ์ของวงศ์ไทย | ||
ถึงหัวดงพงรกปกคลุมเครือ | น่าเกรงเสือจะมาอยู่อาศัย | ||
เรามานั่งพร้อมหมดบนรถไฟ | สัตว์ร้ายไม่หาญกล้ามาราวี | ||
แต่มนุษย์สุทธิชาติอนาถหลาย | ควรหรือกลายชาติเชื้อเป็นเสือหมี | ||
อยู่บ้านเรือนนอนสบายไม่ว่าดี | ต้องหลบหนีกระดอนไปนอนดิน | ||
หนุนรากไม้ใบหญ้าต่างผ้าหมอน | ต้องซุกซ่อนแอบตัวกลัวหัวบิ่น | ||
ทั้งอดอยากปากแห้งแย่งเขากิน | มดยุงริ้นกัดตอมจนผอมโซ | ||
เที่ยวฆ่าปล้นซนทำกรรมอุบาทว์ | ไม่พ้นราชอาชญามาอักโข | ||
ประพฤติดีมีสัมมากัมมันโต | จะภิญโญดีกว่าเจือเสือเป็นพาล | ||
การเข้าใจตัวเองว่าเก่งกาจ | ทำอำนาจวางโตอวดโวหาร | ||
เที่ยวขัดใจขัดคอก่อรำคาญ | ที่เขาคร้านหลีกตัวว่ากลัวตน | ||
ยิ่งโอหังบังอาจประมาทหมิ่น | ไม่มองดินมองแต่ฟ้าคอยท่าฝน | ||
ไม่ทำมาหากินปลอกปลิ้นชน | ไหนจะพ้นเวรกรรมนำบันดาล | ||
บ้านวังกลมสร้างแต่ปางไหน | ก็มิได้แจ้งเค้าสำเนาสาร | ||
หรือจะเป็นวังวนชลธาร | ไม่ทราบการณ์เลยไม่ใส่ใจจำ | ||
ถึงพิจิตรคิดคะนึงถึงขุนแผน | ชมว่าแสนเป็นเจ้าชู้ดูไม่ขำ | ||
จากนางพิมไปทัพกลับมาทำ | ให้พิมช้ำใจร้าวเพราะลาวทอง | ||
เรือมาถึงบันไดไม่ขึ้นบ้าน | ไม่สมานพิมให้คลายเศร้าหมอง | ||
หล่อนละห้อยคอยท่าน้ำตานอง | ไม่เข้าห้องหอขุนช้างอย่างเห็นใจ | ||
เพราะความรักขุนแผนแสนสวาท | แม่เกรี้ยวกราดเฆี่ยนป่นสู้ทนได้ | ||
รู้ผัวกลับวิ่งมารับถึงบันได | ขุนแผนไม่เที่ยงธรรมนำเหตุเอง | ||
แล้วกลับมาพาหนีสู่พิจิตร | นี่ก็ผิดอีกกรรมทำข่มเหง | ||
พระไวยรับแม่มาหากริ่งเกรง | กลับใช้เพลงเจ้าชู้อีกไม่หลีกกลัว | ||
กระทำจนวันทองต้องโทษตาย | ขุนแผนร้ายวันทองจึงต้องชั่ว | ||
พระพันวษาก็กระไรไปพันพัว | เรื่องส่วนตัวเอาเขาฆ่าน่ารำคาญ | ||
จะฆ่ากันให้บรรลัยทำไมหนา | คนเกิดมาต้องตายเองเพลงสังขาร | ||
ใครจะอยู่คู่ฟ้าสุธาธาร | ไม่ช้านานเท่าใดในระวาง | ||
พิจิตรเมืองโบราณนัยการกล่าว | ว่าลูกท้าวโคตะบองปกครองสร้าง | ||
ยังมีซากอิฐกำแพงพอแจ้งทาง | เมืองวัดร้างหญ้ารกขึ้นปกคลุม | ||
พิจิตรใหม่ย้ายมาอยู่แม่น้ำน่าน | ภูมิสถานใหญ่กว้างอย่างสุขุม | ||
มีบึงมากนักหนาข้าวปลาชุม | เพราะน้ำชุ่มชื้นชะกสิการ | ||
เดิมชื่อเมืองสระหลวงทบวงเก่า | พื้นที่เล่าใหญ่โตรโหฐาร | ||
มีบึงใหญ่ดังทะเลคะเนการ | กว้างประมาณเจ็ดพันไร่น่าใคร่ชม | ||
ปลูกบัวหลวงช่วงโชติประโยชน์หลาย | เก็บเมล็ดขายบรรทุกเกวียนเดียรดาษถม | ||
เป็นสินค้าหากำไรได้อุดม | ควรนิยมกันปองแต่ของไทย | ||
เมล็ดบัวกินดีมีกำลัง | ทำได้ทั้งคาวหวานสมานไส้ | ||
ทำเป็นแป้งแห้งเก็บไปกินไกล | ดัดแปลงได้โอชาสารพัน | ||
อุตริตริอย่างใดอยากให้บอก | ซื้อของนอกกินกันเล่นไม่เห็นขัน | ||
ให้เงินทองล่องไหลไปทุกวัน | ค่าน้ำมันเราก็แย่ยังแส่กิน | ||
การกินอยู่ฟูฟ่องเป็นของง่าย | การหาเงินยากหลายแทบตายสิ้น | ||
เห็นแต่กินพล่อยพล่อยอร่อยลิ้น | มิได้จินตนานัยครวจไตร่ตรอง | ||
ถึงท่าฬ่อล่อหลอกกันออกฉาว | ให้นึกหนาวร้อนตัวกลัวสยอง | ||
กลัวทั่งล่อทั้งชนขนหัวพอง | ขอจงผ่องพ้นล่อจนมรณา | ||
บ้านกระท่อมคิดดูอยู่กระท่อม | มีกินพร้อมนุ่งห่มพอสมหน้า | ||
ไม่มีหนี้ไม่มีผู้บีฑา | ก็ดีกว่าอยู่สถานบ้านโตโต | ||
แต่ขัดสนจนทวีเจ้าหนี้แหนบ | เหมือนคับแคบทั้งศัตรูก็ขู่โห่ | ||
งานสะบักสะบอมเผือดผอมโซ | ต้องโอดโอ้ประดาษอนาถตา | ||
ไร้วิชาอาหารกันดารกิจ | สิ้นลาภยศหมดมิตรเสน่หา | ||
ถึงอยู่ตึกเจ็ดชั้นสุวรรณทา | ก็ไม่ผาสุกจิตเหมือนติดกรง | ||
ถึงแม่เทียบเห็นแต่ป่าไร่นาอ้อย | ตะวันคล้อยลับไม้ไพรระหง | ||
ให้หวิวหวิวรันทดสลดทรง | นั่งบรรจงตัวไปหัวใจลอย | ||
ถึงบ้านใหม่เขาปองแต่ของใหม่ | ของเก่าไม่รักษาน่าละห้อย | ||
เห็นเป็นเก่าแก่แล้วยังนั่งตะบอย | ยังไม่ค่อยจะตายช่างร้ายจริง | ||
อันของใหม่อาศัยเก่าเอากำเนิด | ใช่จะเกิดอุปาติกะระดะสิ่ง | ||
ย่อมได้นามชลัมพุชยุดพึ่งพิง | ควรหรือชิงชังทำใจลำเอียง | ||
๔
มาถึงพิษณุโลกประโยคสุด | รถไฟหยุดค้างจังหวัดแออัดเสียง | ||
ต่างรีบลงส่งของกองรวมเรียง | พ่อเถียวเลี่ยงไปว่าภัตตาคาร | ||
เช่าสี่ห้องของใช้ไม่ต้องขน | พวกคนยลภัตตามาขนาน | ||
ขนขึ้นให้ถึงห้องที่ต้องการ | ค่อยสำราญขึ้นสำนักพักราตรี | ||
มีเวลาพากันขึ้นรถยนต์ | ถึงตำบลวัดใหญ่ประไพศรี | ||
นมัสการพระพุทธวิสุทธี | พระนามมีชินราชโอภาสทรง | ||
ประทับในเรือนเฉลาเนาวรัตน์ | เศวตฉัตรกั้นเชิดระเหิดระหง | ||
งามประเสริฐประดุจพุทธองค์ | ประทับทรงโปรดสัตว์จรัสกาล | ||
ฉันน้อมกายถวายเบญจางคประดิษฐ์ | พลางอุทิศน้ำใจอันใสสานต์ | ||
บูชาคุณตรัยรัตน์ชัชวาล | ขอนิพพานจงอย่าแคล้วข้าไป | ||
ตำนานกล่าวราวเรื่องของเมืองนี้ | พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกใหญ่ | ||
เป็นกษัตริย์เชียงแสนแดนไผท | มาสร้างไว้สองฝั่งข้างนที | ||
ทั้งสร้างวัดปรางค์เจดีย์โบสถ์วิหาร | พระประธานสามองค์ล้วนทรงศรี | ||
เมื่อพุทธศกดกพันห้าร้อยปี | ท้าวโกสีย์แปลงมาช่วยอำนวยการ | ||
ปั้นเบ้าหล่อต่อเสริมพระนลาฏ | ตรีศูลพาดไว้ประจักษ์ศักดาหาญ | ||
พระชินราชอาจองค์แทนทรงญาณ | ให้ยืนนานชั่วกัลป์พุทธันดร | ||
แล้วกราบลาองค์พระชินราช | ยุรยาตรหวนไห้ฤทัยถอน | ||
ขึ้นที่พักพร้อมหน้าคลายอาวรณ์ | สโมสรรับอาหารสำราญรมย์ | ||
มีโต๊ะตั้งทั้งบ๋อยคอยปฏิบัติ | สารพัดตามจะซื้อชื่อขนม | ||
ตะเกียงแสงจันทร์จ้าเป็นน่าชม | ฝนระดมตกใหญ่ในราตรี | ||
แขกยามแบกปืนยาวเที่ยวก้าวตรวจ | วางท่าอวดอำนาจดังราชสีห์ | ||
ตามหน้าห้องช่องทางที่ขวางรี | สองชั้นมีหลายสิบห้องต้องระวัง | ||
สามชั้นมีสี่ห้องละสองบาท | เตียงสะอาดเอี่ยมดีมีที่นั่ง | ||
หน้าห้องมีเฉลียงโถงลูกกรงบัง | ห้องน้ำทั้งห้องถ่ายอยู่ฝ่ายบน | ||
ห้องสองชั้นเป็นพื้นคืนละบาท | ความสะอาดธรรมดาอย่าฉงน | ||
ให้กุญแจคนละห้องไม่ต้องปน | ฝนตกจนตีหนึ่งจึงได้ซา | ||
ดึกสงัดรัตติกาล์นิทราตื่น | อยู่ห้องพื้นสูงอย่างกลางเวหา | ||
วิเวกว่างห่างกระทบสบวิญญาณ์ | ลมอัสสาสะประสาทสะอาดดี | ||
ดวงจิตดิ่งนิ่งนังดังวิมุตติ | เป็นสุขสุดจนกระทั่งเกือบรังสี | ||
สิ่งสมมติฉุดเบิกเลิกพิธี | กลับมามีอุปาทานรำคาญเคือง | ||
คิดอีกทีดีได้ขณะหนึ่ง | ดีกว่าซึ่งหมกมุ่นจิตขุ่นเหลือง | ||
ทั้งตาปีมีแต่เหตุกิเลสเนือง | ชีวิตเปลืองเปล่าประโยชน์ล้วนโทษภัย | ||
เสียงอธึกกึกก้องทุกห้องตื่น | ลงจากพื้นภัตตาที่อาศัย | ||
ต่างกังวลขนของปองครรไล | ขึ้นรถไฟไปสวรรคโลกทันที | ||
อากาศหนาวคราววิโยคสุดโศกซ้ำ | ฝนพรูพรำชืดชาหมดราศี | ||
นั่งระทมไม่เป็นสมประฤดี | อันอินทรีย์เหมือนจะแข็งด้วยแรงเย็น | ||
ไหนจะหนาวห่างอุ่นละมุนอก | ไหนจะหนาวฝนตกฟกเหลือเข็ญ | ||
ไหนจะหนาววายุดุลำเค็ญ | ฝนกระเซ็นปิดแกลแล้วแจจัน | ||
ต่างนั่งจ๋องมองหน้ากันตาแจ๋ว | แต่มองแล้วมองเล่าเฝ้าเหหัน | ||
ดูสิ่งใดก็ไม่เห็นเหมือนเช่นกัน | ต่างนิ่งอั้นตาขยิบปริบปริบไป | ||
บ้างโงกหงับหลับตาทีท่าขัน | บ้างเอนหันพิงเก้าอี้กรนฟี้ใหญ่ | ||
บ้างง่วงหงุบฟุบผงกตื่นตกใจ | เห็นใครใครเข้ายิ้มยิ่งนิ่มอาย | ||
บ้างหาวหวอดกอดอกดังนกเจ็บ | นั่งหนาวเหน็บชาพานสะท้านหลาย | ||
เมื่อคืนนอนไม่หลับระงับกาย | กระสับกระส่ายเพราะแรกแปลกที่นอน | ||
ในรถไฟขายอาหารทั้งหวานคาว | เกาเหลาข้าวแกงดีมีสลอน | ||
กินสิ่งใดทำให้ของร้อนร้อน | ไม่อาวรณ์จานหนึ่งสลึงเดียว | ||
ถึงบ้านตูมฝนซาเปิดหน้าต่าง | ค่อยสว่างหัวใจหมองไหม้เหี่ยว | ||
คิดประทุมตูมแย้มแฉล้มเรียว | เกสรเสียวชื่นทรวงดวงกมล | ||
นิจจาเอ๋ยเคยชื่นระรื่นกลิ่น | มาสูญสิ้นอ้างว้างอยู่กลางหน | ||
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล | ดวงอุบลเบิกบานตระการตา | ||
ถึงแควน้อยข้ามกระแสแลชม้อย | อันแควน้อยย่อมอาศัยแควใหญ่กล้า | ||
จึงมีน้ำนำให้ฝ่ายนาวา | ได้ไปมาค้าขายสบายตัว | ||
ถ้าป่ารกยกทำคลองถนน | จะมีผลกว้างใหญ่มิใช่ชั่ว | ||
ผู้ขัดสนได้ผงกยกครอบครัว | ไปปลูกถั่วปลูกงาทำนากิน | ||
มนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์ในปัถวี | เครื่องทิพย์มีมิต้องตรองถวิล | ||
ไม่วิตกยกหามตามแผ่นดิน | ก็เหลือกินมีเองไม่เกรงกลัว | ||
มนุษย์เราจำเป็นต้องนุ่งห่ม | ที่บังลมแดดฝนให้พ้นหัว | ||
อาหารต้องอิ่มหนำประจำตัว | จะมามัวเกี่ยงหาให้ช้าการ | ||
เหมือนเรือใหญ่พายเดียวน้ำเชี่ยวปราด | เมื่อใดอาจจะถึงยังห้วงสถาน | ||
แม้ช่วยพายหลายแรงแข่งทะยาน | มิทันนานก็จะถึงซึ่งสบาย | ||
คอยผิดจับสับฟันกันให้ยุ่ง | เหมือนตบยุงจะสูญประยูรหาย | ||
หาการงานให้ทำประจำกาย | ที่ลอยชายต้องบังคับให้จับงาน | ||
ป้องกันให้หายอดเหมือนทดน้ำ | ได้ชื่นฉ่ำอิ่มเอมเกษมสานต์ | ||
ความหิวโหยโปรยประโยชน์โทษสาธารณ์ | เห็นคชสารเท่ามดหมดความกลัว | ||
บ้านกรับพวงพวงกรับตีขับร้อง | แลกข้าวของกินบ้างค่อยยังชั่ว | ||
ที่โง่โซโออนาถดังชาติวัว | เห็นเพื่อนตัวไปทางไหนก็ไปตาม | ||
จะเป็นตายร้ายดีก็มิรู้ | สุดแต่กูกินได้แล้วไม่ขาม | ||
จะตีขับจับขังก็รังความ | อยู่ในนามไทยสนิทน่าคิดดู | ||
ชาติของเราคนน้อยด้อยพละ | ควรจะสะสมให้มากบากบั่นสู้ | ||
การทำลายกันเองใช่เพลงครู | ต้องเชิดชูจุนค้ำให้จำเริญ | ||
ถึงหนองตมตมก็เกิดต่อน้ำ | ละลายทำดินแห้งที่แข็งเขิน | ||
ให้เหลวไหลไปตามทางน้ำเดิน | บังเอิญไหลไม่พ้นข้นเป็นตม | ||
ดุจเหล็กแข็งแรงเหล็กรันต้องพลันนิ่ม | ก้อนเกลือจิ้มน้ำกลายหายเค็มขม | ||
ต้นไม้ใหญ่หักเดาะก็เพราะลม | ลิ้นคนคมร้ายกาจยิ่งสาตรา | ||
อาวุธอื่นหมื่นแสนแม้นประหาร | คนนับล้านในแผ่นดินสิ้นสังขาร์ | ||
ให้พร้อมกันอันตรายวายชีวา | ย่อมไม่สามารถทำสำเร็จการ | ||
แต่ชิวหาอาวุธนี้สุดร้าย | อาจทำลายล้านโกฏิอุโฆษหาร | ||
ชีวิตมนุษย์ไม่มีที่ประมาณ | อาจล้างผลาญรอบล้อมลงพร้อมกัน | ||
ลิ้นที่ดีมีประโยชน์ล้างโทษร้าย | คนทั้งหลายสิ้นทุกข์เป็นสุขสันต์ | ||
ทุกประเทศทุกถิ่นลิ้นสำคัญ | ตัวของฉันกลัวจริงยิ่งสาตรา | ||
ถึงบ้านบุ่งมุ่งมองยิ่งหมองอก | เห็นป่ารกโออนาถสัญชาติหญ้า | ||
เที่ยวขึ้นบุกรุกรานการไร่นา | อ่อนระอากันทั่วกลัวศัตรู | ||
ไม้ที่ดีมีผลต้องขวนขวาย | ส่วนไม้ร้ายมิต้องปลูกดอกลูกหรู | ||
เหมือนวิชาที่ดีต้องมีครู | ที่ชั่วดูมิต้องนำก็ชำนาญ | ||
ถึงบ้านโดนโดนกันสนั่นภพ | ยิ่งปรารภเรื้อรังชาติสังขาร | ||
อยู่คนเดียวในโลกก็โศกซาน | อยู่รวมกันบันดาลรำคาญเคือง | ||
นี่ของฉันนั่นของแกมาแส่แย่ง | นี่ของข้าอย่ามาแกล้งแสวงเรื่อง | ||
อยู่ดีดีรี่มาชนเข้าป่นเปลือง | เจ้ามันเงื่องไม่หลีกข้าว่ากระไร | ||
ต่างฝ่ายต่างก็ว่าข้าไม่ผิด | ไม่มีจิตปรองดองให้ผ่องใส | ||
ถ้ารักแล้วดีทั้งนั้นชมกันไป | ชังแล้วไม่มีราคาแกล้งว่าเดา | ||
ไม่เที่ยงแท้แน่นอนพระสอนสั่ง | ให้ระวังอยาตนะเขา | ||
ทั้งระวังอยาตนะเรา | กระทบเข้าจะเถกิงเป็นเพลิงกอง | ||
เวรใดทำกรรมใดสร้างแต่ปางไหน | เป็นปัจจัยแต่งทำให้ช้ำหมอง | ||
ไม่จดจำสำนึกคิดตรึกตรอง | มานั่งมองดินฟ้าระอาอาย | ||
ถึงพิชัยขอให้ชัยชนะ | สิ้นราคาโทสะโมหะหลาย | ||
จงพ้นสุขทุกข์สมานสราญกาย | จนวางวายชนม์ชีพถึงนิพพาน | ||
ถึงไร่อ้อยอ้อยตาลยังหว่านผล | ให้ฝูงชนกินน้ำชื่นฉ่ำหวาน | ||
มนุษย์ดีกว่าอ้อยร้อยประการ | มิให้ทานเงินทองของชอบใจ | ||
เพราะตระหนี่ถี่ห่างก็ช่างเถอะ | ที่เลอะเทอะปลูกเท็จเก็บเด็ดใส่ | ||
ปลูกอิจฉากาล่อนต้นบอนใบ | จงถอนให้ทานเตาเผาอัคคี | ||
ข้ามสะพานแม่น้ำน่านสำราญรื่น | พลางขึ้นยืนเยี่ยมแกลแลวิถี | ||
ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่สายวารี | หาดทรายมีเรียบราบดังปราบทำ | ||
เป็นแหลมคุ้งวุ้งเว้าล้วนเหล่าทราย | น่าสบายสนุกทุกฉนำ | ||
น่าตั้งบ้านเรือนดูอยู่ประจำ | เสียแรงธรรมชาติสร้างสำอางดี | ||
ที่เปล่าว่างอย่างถูกมิปลูกอยู่ | ที่อุดอู้ยัดเยียดเบียดเสียดสี | ||
อากาศอับสับสนพนธุลี | ไม่หน่ายหนีอดทนอยู่จนตาย | ||
ถึงตำบลบ้านดาราสถานี | อันเป็นที่ทางแยกดูแปลกหลาย | ||
ต้องรีบลงจากรถรันทดกาย | จะขึ้นสายสวรรคโลกครรไล | ||
ต้องกรำฝนวนวิ่งขนสิ่งของ | ลงมากองกลางหาวหนาวถึงไส้ | ||
เห็นร่มกระดาษขายมีค่อยดีใจ | ซื้อมาได้ห้าคันกั้นกายา | ||
รถเก่าไปลำปางต่างแลเหลียว | หัวใจเสียวหวนไห้อาลัยหา | ||
ผู้รู้จักกันเมื่อนั่งร่วมทางมา | ต่างอำลาแยกทางกันต่างจร | ||
พอรถไฟสายพายัพกลับมาหยุด | อุตลุดเซ็งแซ่แลสลอน | ||
บ้างขึ้นลงส่งของประคองกร | ต้องเปียกปอนกลัวกันไม่ทันรถ | ||
พวกเราขึ้นรถใหม่สายสั้นหน่อย | พอเรียบร้อยพวกอื่นขึ้นกันหมด | ||
รถล่องลงแลหลามช่างงามงด | สายเราบทจรหลังแยกทางกัน | ||
ไม่เห็นมีบ้านช่องมองเปล่าเปลี่ยว | เหมือนมาเดี่ยวเศร้าในหัวใจฉัน | ||
ดูภูมิพื้นกว้างใหญ่เสียดายครัน | เมื่อไรนั่นชาวไทยจะไพบูลย์ | ||
ไปที่ใดได้พบคนมีล้นหลาม | ล้วนตึกงามคับคั่งดังไอศูรย์ | ||
เทียมหน้าอย่างต่างภาษาไม่อาดูร | จรัสจรูญเจริญเพลิดเพลินทรวง | ||
อันดินแดนของเราว่างเปล่ามาก | ทิ้งให้ตากแดดเล่นมิเป็นห่วง | ||
เอาแต่เที่ยวเอาแต่เล่นกันเป็นพวง | นอนจนดวงตะวันขึ้นไม่ตื่นตา | ||
เสียประโยชน์หาทรัพย์สำหรับร่าง | ไม่เอาอย่างผู้อื่นดื่นภาษา | ||
เขาพากันข้ามทะเลเฮกันมา | ขนเงินตราเมืองเราเอาสบาย | ||
บ้างตั้งห้างสร้างตู้ชูสิ่งของ | ทั้งเพชรทองวางเย้ยเฉลยขาย | ||
เพราะพวกเราไม่กังวลจะจนตาย | จะทนอายให้เขาหยามไม่งามตา | ||
เมื่อตัวเธอยากจนทนอายได้ | ประเทศไซร้ต้องสมัครกันรักษา | ||
อย่างให้ยากจนได้ขายพักตรา | แก่นานาประเทศเขาเราเป็นไทย | ||
เป็นขี้ข้าตัวเองอย่าเกรงเหนื่อย | เราป่วยเมื่อยนึกจะพักก็พักได้ | ||
ถ้ามีนายใช้ทำกระหน่ำไป | หยุดไม่ได้เขาหาเอื้ออาทร | ||
ถึงคลองละมุงมองเห็นคลองน้อย | ไร่นาจ้อยมีแต่ไพรไม้สลอน | ||
เต็งรังลิ่วงิ้วชะง้ำเงื้อมอัมพร | พะยอมดอนกระแบกกระเบาเหล่าเพกา | ||
มะกอกมะเกลือระดะต้นตะโก | เทพทาโรมะไฟไม้มะค่า | ||
ต้นยางยูงสูงเยี่ยมเทียมเมฆา | กิ่งสาขาเชิดยอดทอดระทวย | ||
พระพายพัดกวัดไกววิไลล้ำ | ดังระบำกรีดกรอ่อนสลวย | ||
ทุกก้านใบไหวจังหวะอันจรวย | เหล่าใบชวยเชิดช้อยชม้อยเมียง | ||
ลมพัดหวนป่วนปั่นเลื่อนลั่นเปราะ | ไม้ไผ่เสนาะเอนเบียดออดเอียดเสียง | ||
ดุจดนตรีตีรับศัพท์สำเนียง | เป็นคู่เคียงสำหรับจับระบำ | ||
อันพรรณะเหล่าไม้ใส่ใจคิด | เห็นงามพิศดารกว่าเลขาขำ | ||
งามสิ่งอื่นฝืนฝืดจืดประจำ | พ่ายแพ้ธรรมชาติประหลาดงาม | ||
งามจืดเจียนเปลี่ยนความงามเพริศพริ้ง | ผลิดอกกิ่งออกใหม่ยอดใบหลาม | ||
พอแก่เก่าเล่าก็เวียนแลกเปลี่ยนความ | แตกใบตามยอดระย้าทั้งตาปี | ||
ฝูงวิหคผกผินลงบินเกาะ | ส่งเสียงเพราะวังเวงดังเพลงปี่ | ||
กระรอกไต่ไม้ชะแง้กระแตมี | หมู่ชะนีเหนี่ยวไม้โหนไปมา | ||
ลิงทโมนโจนจ้องมองเขม้น | บ้างโผนเผ่นเลิกคิ้วทำนิ่วหน้า | ||
เขาว่าคนซนเหมือนลิงจริงวาจา | หรือยิ่งกว่าลิงร้ายกี่ก่ายกอง | ||
มาถึงคลองมาปรับใคร่รับรู้ | ปรับไหมผุ้ใดเล่าได้ข้าวของ | ||
เพียงแต่มาถ้าจะปรับไม่รับรอง | ให้อยู่คลองปรับหาไม่ว่าไร | ||
ตำบลนี้มีวัดขนาดย่อม | หมู่บ้านหย่อมน้อยโขไม่โตใหญ่ | ||
ล้วนป่าไม้เบญจพรรณทั่วกันไป | ให้เปลี่ยวใจเปลี่ยวตานั่งชาเย็น | ||
อากาศคลุ้มอุ้มเมฆเป็นหมอกมืด | ยิ่งชื้นชืดหนาวใจใครจะเห็น | ||
วายุจัดพัดไม้ไหวกระเด็น | ดังสนั่นลั่นเช่นป่าทลาย | ||
พอฝนซาฟ้าคะนองก้องกัมปนาท | สุนีบาตรตกที่ไหนอกใจหาย | ||
รถวิ่งแหวกกลางฝนจนฝนคลาย | ค่อยสบายหายกลัวนั่งตัวตรง | ||
ถึงคลองบางต้นยางสล้างล้ำ | ล้วนหลายกำครื้นในไพรระหง | ||
กล้วยไม้เหมาะเกาะก่อเป็นกอกง | ออกดอกส่งกลิ่นฟุ้งจรุงใจ | ||
เอื้องคำช้อยช่อช่วงดังพวกทอง | ช้างเผือกผ่องขาวลออช่อไสว | ||
สามปอยตระการบานฟ้อช่อวิไล | อีกดอกไอยเรศสะพรั่งช่อดังงา | ||
ทั้งฟ้ามุ่ยเอื้องแซะแหละตีนเต่า | เอื้องแมลงเม่าเอื้องดาวช้างน้าวหา | ||
สายวิสูตรช่อม่วงพวงโมรา | ย้อยระย้าน่าชมภิรมย์ทรวง | ||
ถึงสวรรคโลกเรื่องเมืองมนุษย์ | เป็นสิ้นสุดทางไปรถไฟหลวง | ||
จะขึ้นต่อรถยนต์คนทั้งปวง | เขาทักท้วงว่าทางอย่างกันดาร | ||
เมื่อคืนนี้ฝนตกเสียโชกชุ่ม | ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อข้อโดยสาร | ||
จะไปสุโขทัยไม่ได้การ | เพียงบางตาลถ้าจะไปพอได้ดี | ||
ต้องเปลี่ยนทางจ้างเรือเป็นเหลือคาด | หกสิบบาทจนจิตจะคิดหนี | ||
ต้องรีบไปให้ทันกฎกำหนดมี | ถ่ายของที่รถส่งลงนาวา | ||
ฝนพรูพร่ำจำใจไปไม่รอด | เรือต้องจอดค้างคืนสุดฝืนท่า | ||
ช่างเคราะห์ร้ายย้ายโยกโชคชะตา | สุริยาพลบค่ำเดือนรำไร | ||
นอนอนาถขาดสุขลุกขึ้นนั่ง | ท่านช่างตั้งนามสวรรคโลกชั้นไหน | ||
ภูมิประเทศเขตขอบดูรอบไป | ไม่สมให้นามสวรรค์เช่นนั้นเลย | ||
กันดารน้ำตามตลิ่งสูงจริงเจียว | ลำน้ำเชี่ยวแดงขุ่นแม่คุณเอ๋ย | ||
จะอาบกินอย่างใดเล่าหรือเขาเคย | ก็เสบยไปตามด้วยความชิน | ||
อันนิสัยไทยเราเป็นเหล่ามาก | ถึงจนยากอย่างใดไม่ไกลถิ่น | ||
ไม่เหมือนเจ๊กแขกฝรั่งต่างก็บิน | มาหากินเมืองเราจนเขารวย | ||
ขนเงินไปบำรุงเขตประเทศเขา | ทั้งพวกเราก็ช่วยยุ่งผดุงด้วย | ||
เปลือกหรือแก่นซื้อส่งเฝ้างงงวย | จะระหวยละห้อยน้อยใจใคร | ||
อันเมืองนี้มีตำนานโบราณกล่าว | สร้างกว้างยาวเรียบร้อยหาน้อยไม่ | ||
กว้างห้าสิบยาวร้อยเส้นเช่นของไทย | กำแพงใหญ่ล้อมรอบเป็นขอบคัน | ||
กว้างสองวาสูงสี่วาศิลาแลง | ฤๅษีแจ้งกลับมาจากฟากสวรรค์ | ||
จึงเอานามตามชั้นฟ้ามาประพันธ์ | ชื่อสวรรคโลกเลิศประเสริฐนาม | ||
พระยาธรรมราชาเลออาสน์รัตน์ | เป็นกษัตริย์เฟื่องฟุ้งทุกกรุงขาม | ||
ถวัลย์รัชสืบมาพยายาม | นับได้สามกษัตริย์ขัตติยา | ||
ภายหลังพระอรุณราชกุมาร | ชนขนานนามพระร่วงโชติช่วงหล้า | ||
ได้ปกป้องครองเมืองเรืองเดชา | สร้างมหาถาวรขจรนาม | ||
ได้ธิดากรุงจีนเป็นชิ้นเอก | มาภิเษกเป็นมเหสีองค์ที่สาม | ||
ทั้งได้ลำเภตราสง่างาม | บริวารตามเข้ามารวมห้าร้อย | ||
ทำถ้วยชากาน้ำชามกระเบื้อง | ขายทั่วเมืองซื้อไว้ได้ใช้สอย | ||
เหตุใดไทยไม่จำทำตามรอย | ซื้อเขาน้อยไปเมื่อไรชาติไทยเรา | ||
ทำไม่เป็นไม่อุตส่าห์น่าบัดสี | เกิดมามีเท้ามือนั้นหรือเปล่า | ||
เครื่องนุ่งห่มงมงายฟูมฟายเมา | ซื้อเขาเอาเสียทุกอย่างไม่สร้างเอง | ||
การทิ้งสิทธิ์คิดให้ดีเถอะพี่น้อง | เราจะต้องถูกระดมเขาข่มเหง | ||
ถ้าพวกเรามีสามัคคีมีคนเกรง | ควรรีบเร่งรักษาสิทธิ์ทุกกิจการ | ||
๕
๖
เชิงอรรถ
อ้างอิง
รถไฟไทยดอทคอม [1]