นิราศภูเขาทอง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…')
(บทประพันธ์)
 
แถว 6: แถว 6:
'''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]]
'''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]]
== บทประพันธ์ ==
== บทประพันธ์ ==
 +
<tpoem>
 +
  ๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา   
 +
รับกฐินภิญโญโมทนา    ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
 +
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส  เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย
 +
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย    มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น
 +
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร    แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
 +
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น    เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
 +
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง  ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
 +
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง    มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
 +
 +
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด    คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
 +
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร  แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
 +
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด  ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
 +
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น  ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
 +
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย  ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
 +
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา  ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป ฯ
 +
 +
๏ ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง  คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
 +
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย  แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง
 +
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ  เคยรับราชโองการอ่านฉลอง
 +
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลอง  มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา
 +
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ  ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
 +
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา  วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ ฯ
 +
 +
๏ ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ  ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล
 +
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล  ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ ฯ
 +
 +
๏ ถึงอารามนามวัดประโคนปัก    ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
 +
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน  มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
 +
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย  แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
 +
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา  อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
 +
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ  แพประจำจอดรายเขาขายของ
 +
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง  ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา ฯ
 +
 +
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง  มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
 +
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา  ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
 +
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ  สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
 +
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย  ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
 +
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก  สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
 +
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป  แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ฯ
 +
 +
๏ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง  มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
 +
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน  จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง
 +
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง  เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
 +
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง  ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน
 +
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์  ร่มริโรธรุกขมูลให้พูนผล
 +
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล  ให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกาย ฯ
 +
 +
๏ ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง  มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
 +
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย  พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง
 +
จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน  ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง
 +
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง  พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน ฯ
 +
 +
๏ โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ  มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
 +
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน  ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา
 +
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง  เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา
 +
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา  พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน
 +
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก  กลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน
 +
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน  ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
 +
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง  ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
 +
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชลี  ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลา ฯ
 +
 +
๏ ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง  สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
 +
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคง  เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ
 +
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง  ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
 +
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ  เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย
 +
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ  มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
 +
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย  พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน ฯ
 +
 +
๏ มาถึงบางธรณีทวีโศก  ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
 +
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น  ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
 +
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้  ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
 +
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ    เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ฯ
 +
 +
๏ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า    ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
 +
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา  ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
 +
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง  เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
 +
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ  ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิด ฯ
 +
 +
๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์  มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
 +
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร    จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา ฯ
 +
 +
๏ ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน  จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา
 +
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา  จะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย
 +
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด  บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
 +
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน  อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา
 +
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก    สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา
 +
เป็นล่วงพ้นรนราคราคา  ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดี ฯ
 +
 +
๏ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า  พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
 +
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี  ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว
 +
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง  แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว
 +
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว    ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ
 +
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ  ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย
 +
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด    ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี
 +
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง  อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี
 +
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี  ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมา ฯ
 +
 +
๏ ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง  ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
 +
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา  นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
 +
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม  ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
 +
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย  ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
 +
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว  ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
 +
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง  เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร ฯ
 +
 +
๏ โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด  ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว
 +
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ    ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น
 +
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง    ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ
 +
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น  เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา ฯ
 +
 +
๏ พระสุริยงลงลับพยับฝน  ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
 +
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา  ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
 +
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง    ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
 +
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว  ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
 +
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด  เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
 +
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย  ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
 +
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน    เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
 +
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก  น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
 +
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง  พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
 +
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด    ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน ฯ
 +
 +
๏ แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง  ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
 +
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร  กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
 +
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย  พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
 +
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ    ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
 +
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม  อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
 +
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด  ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
 +
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก  ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
 +
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย    ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร
 +
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก    ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
 +
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร    ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
 +
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า  เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
 +
กระจับจอกดอกบัวบานผกา    ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย
 +
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น    จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย
 +
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย  เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา
 +
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง  ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา
 +
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา  อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน
 +
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ  ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน
 +
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน  ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ ฯ
 +
 +
๏ มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง    คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
 +
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย  ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน
 +
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก  อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
 +
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร    จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณ ฯ
 +
 +
๏ มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม  ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
 +
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ    ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
 +
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ  ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
 +
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง  เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
 +
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก  ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู
 +
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู  จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน ฯ
 +
 +
๏ ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด  จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน
 +
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร    อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ
 +
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง  มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
 +
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ  เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ
 +
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง    ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ
 +
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ  ชัยชนะมารได้ดังใจปอง ฯ
 +
 +
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ    เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
 +
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง  ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
 +
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น  เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
 +
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได  คงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
 +
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด  ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
 +
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน  เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
 +
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น  ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
 +
ประทักษิณจินตนาพยายาม  ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
 +
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย  ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
 +
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์  แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
 +
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก    เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
 +
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก    เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
 +
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ  จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
 +
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น    คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น ฯ
 +
 +
๏ ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ  บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
 +
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์  เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
 +
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์  ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
 +
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย  แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
 +
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ  ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
 +
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง  ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
 +
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว  อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
 +
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ  ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวร ฯ
 +
 +
๏ พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ  พบพระธาตุสถิตในเกสร
 +
สมถวิลยินดีชุลีกร    ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา
 +
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว  ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
 +
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา  ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
 +
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ  ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
 +
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล  เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน
 +
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก  กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน
 +
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ  ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี ฯ
 +
 +
๏ ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง  ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์
 +
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้  ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา
 +
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป  ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา
 +
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา  ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ
 +
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด  แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย
 +
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร  ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
 +
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัด  สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
 +
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา    ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจ ฯ
 +
 +
๏ จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น    อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน
 +
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ  จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย ฯ
 +
</tpoem>
 +
== เชิงอรรถ ==
== เชิงอรรถ ==

รุ่นปัจจุบันของ 03:51, 9 กรกฎาคม 2552

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: สุนทรภู่

บทประพันธ์

๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา      
รับกฐินภิญโญโมทนา ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาสเมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้งก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทรแต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาดด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวายประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกาขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป ฯ
๏ ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่งคิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวยแล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถเคยรับราชโองการอ่านฉลอง
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลองมิได้ข้องเคืองขัดหัทยา
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธาวาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ ฯ
๏ ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกลให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ ฯ
๏ ถึงอารามนามวัดประโคนปัก ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดินมิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วยแม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลาอยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำแพประจำจอดรายเขาขายของ
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตองทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา ฯ
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมงมีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเราให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวายไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารักสุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไปแต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ฯ
๏ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้องมามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืนจึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครองเคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคืองทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์ร่มริโรธรุกขมูลให้พูนผล
ขอเดชะอานุภาพพระทศพลให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกาย ฯ
๏ ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่งมีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางรายพวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง
จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถานทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง
ถึงเขมาอารามอร่ามทองพึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน ฯ
๏ โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศมาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืนทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลองเพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนาพอนาวาติดชลเข้าวนเวียน
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอกกลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียนดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วงครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชลีใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลา ฯ
๏ ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้งสองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคงเหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝงทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือเพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญมีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงรายพวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน ฯ
๏ มาถึงบางธรณีทวีโศกยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้นถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ฯ
๏ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตาทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยงเหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิด ฯ
๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา ฯ
๏ ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่านจะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา
ขอให้สมคะเนเถิดเทวาจะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาดบังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมในอุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา
เป็นล่วงพ้นรนราคราคาถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดี ฯ
๏ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้าพระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรีชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลังแต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้างอย่ารู้ร้างบงกชบทศรี
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวีทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมา ฯ
๏ ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูงไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตานึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลมดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัยก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้วยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนองเจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร ฯ
๏ โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาดตัดสวาทตัดรักมิยักไหว
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้นเที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา ฯ
๏ พระสุริยงลงลับพยับฝนดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนาทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียวล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืดเรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคยประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานกน้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่งพอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน ฯ
๏ แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้างในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพรกาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อยพระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อมอยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัดช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอกระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่าเป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
กระจับจอกดอกบัวบานผกา ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพายเที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิงไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมาอุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยนถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ ฯ
๏ มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวยก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลกอกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณ ฯ
๏ มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้ามริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็งเมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมากช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงูจนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน ฯ
๏ ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัดจนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้องมันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อเหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระชัยชนะมารได้ดังใจปอง ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทองดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่นเป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันไดคงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัดในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกันเป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่นต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
ประทักษิณจินตนาพยายามได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวายด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศจะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น ฯ
๏ ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศบรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กรายแสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายงทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่วอย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวร ฯ
๏ พอกราบพระปะดอกปทุมชาติพบพระธาตุสถิตในเกสร
สมถวิลยินดีชุลีกร ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้วใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชาไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกลเสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศกกำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี ฯ
๏ ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวงค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูปทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธาตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ
ใช่จะมีที่รักสมัครมาดแรมนิราศร้างมิตรพิสมัย
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไรตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัดสารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจ ฯ
๏ จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจจึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

เครื่องมือส่วนตัว