คำให้การจีนกั๊กเรื่องเมืองบาหลี

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

จากกรุงเทพ ฯ ถึงบาหลี

๏ วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๙ ปีมเมียอัฐศก (จุลศักราช ๑๒๐๘) พระยาสมุทปราการบอกส่งตัวนายจีนกั๊กนายเรือพระสวัสดิวารีแต่งไปค้าเมืองบาหลีกลับเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ถามจีนกั๊กด้วยการบ้านเมืองบาหลี ๚

๏ วันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมเมียอัฐศกเพลาค่ำ ๕ ทุ่มเศษ พระยาพิพัฒน์โกษานำคำให้การจีนกั๊กขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สั่งว่าให้ส่งคำให้กรมพระอาลักษณจำลองไว้ที่โรงอาลักษณฉบับ ๑ นั้น

๏ วันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ จุลศักราช ๑๒๐๘ ปีมเมียอัฐศก หมื่นชำนาญนิพนธ์กรมท่านำคำให้การไปส่งนายเฑียรฆราษนายเวรกรมพระอาลักษณแล้ว ๚

๏ ข้าพเจ้าจีนกั๊กนายเรือให้การว่า พระสวัสดิวารีแต่งเรือกิมฉายยาว ๑๔ วา ปาก ๔ วา ลำ ๑ ให้ข้าพเจ้าเปนนายเรือ จีนคงเปนล้าต้า จีนฉายเปนหวยเตียว ลูกเรือ ๓๗ คน บรรทุกสินค้าเกลือ ๑๕๐ เกวียน น้ำมันมะพร้าวหนัก ๓๐๐ บาท ครั่งหนัก ๑๐๐ บาท น้ำตาลดำหนัก ๔๐๐ บาท ฝางหนัก ๔๐๐ บาท แพรจีนเจา ๒๐ ม้วน แพรผังสี ๓๐ พับ ไปค้าขายเมืองบาหลี ล่องไปจากกรุงเทพ ฯ ณ วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมเสงสัปตศก ๚

๏ วันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ เรือตกฦกผูกเชือกเสาเพลาใบพร้อมเสร็จ ๚

๏ วันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมเสงสัปตศกใช้ใบออกจากหลังเต่าลมเปนว่าวเปนสลาตัน ไปเดือน ๑ กับ ๗ วัน ถึงเมืองใหม่ (สิงคโปร์) แวะเข้าจำหน่ายสินค้าที่เมืองใหม่บ้าง ยังอยู่ที่เรือบ้าง แล้วข้าพเจ้า จัดซื้อกะทะ ๕๐๐ เถา สีเสียด ๒๐๐ บาท ถ้วยชามใหญ่น้อย ๑๐๐๐ ซอง ทองอังกฤษ ๑๐๐๐ ม้วน ไหมทอง ๕๐ หีบ ผ้าขาว ๕๐ พับ ผ้าเนื้อดิบ ๑๐๐ พับ สินค้าที่เมืองใหม่ลงบรรทุกเรือ ข้าพเจ้าไปจ้างต้นหนอังกฤษว่าราคาเดือนหนึ่ง ๗๐ เหรียญ ๚

๏ ครั้น ณ วันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมเสงสัปตศกใช้ใบเรือออกจากเมืองใหม่ ตัดข้ามช่องเมืองเรียว ๙ วัน ถึงเกาะถังปัวสือ เกาะเปนรูปตะบะ เพลาพลบค่ำเรือเกยศิลาใหญ่ค้างอยู่ ชวนกันยกมือขึ้นนมัสการเทพยดา แล้วกราบถวายบังคมสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ขอเอาพระเดชพระคุณปกเกล้าปกกระหม่อมเปนที่พึ่ง อย่าให้เรือเปนอันตรายเลย คลื่นลมก็สงบ ประมาณ ๓ ยาม น้ำขึ้น เรือจึงหลุดออกจากศิลาใหญ่ได้ ข้าพเจ้ากับลูกเรือชวนกันเปิดระวางน้ำดู ก็หาเห็นมีน้ำในระวางไม่ นายเรือว่ากับต้นหนอังกฤษว่าหลับตาใช้ใบเรือมาจนเกยศิลา ต้นหนอังกฤษตอบว่า ข้าเคยใช้กำปั่นน่าเรือจับเข็ม เรือจีนเอาข้างเรือจับเข็มอย่างนี้ ข้าไม่เคยใช้ ลูกเรือทั้งปวงร้องกับนายเรือว่า ถ้าไม่เปลี่ยนต้นหนใหม่ เราก็จะชวนกันขึ้นเสีย ไม่เอาชีวิตรไปให้เปนเหยื่อปลาแล้ว แล้วชวนกันทอดสมอลง ข้าพเจ้าเห็นเรือปลาใช้ใบเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าจึงเรียกจีนนายเรือปลาเข้ามาว่าจ้างโดยสานไปเมืองใหม่เปนเงิน ๑๖ ดุล ข้าพเจ้ากับต้นหนอังกฤษ ลูกเรือด้วยคน ๑ เข้ากัน ๓ คน ลงเรือปลามาแต่เรือใหญ่ วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ ใช้ใบมาวัน ๑ กับคืน ๑ ถึงเมืองใหม่ ต้นหนอังกฤษก็ขึ้นอยู่ที่เมืองใหม่ ข้าพเจ้าเที่ยวหาต้นหนได้แขกมุกิด ๒ คนเปนต้นหนใหญ่คน ๑ รองคน ๑ ว่าราคากันไปถึงเมืองบาหลี จนกลับมาเมืองใหม่ เปนเงิน ๑๖๐ เหรียญ แขกมุกิดก็ยอมรับเปนต้นหน ข้าพเจ้าพาแขกมุกิด ๒ คน จ้างเรือปลาเปนเงิน ๔ เหรียญ ๚

๏ วันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ ออกจากเมืองใหม่ รุ่งขึ้น ๓ ค่ำ เพลากลางวันถึงเรือใหญ่ เพลาเย็นถอนสมอใช้ใบเรือออกจากอ่าวถังปัว ตั้งน่าเรือไปทิศใต้ไป ๓ วันถึงเกาะปุนโต ๆ อยู่ข้างตวันตก ใช้ใบเรือไปอิก ๕ วันถึงน่าเมืองหมาสิน ไปแต่เมืองหมาสินเพลากลางคืน ต้นหนห้ามไม่ให้ตามไฟ กลัวปลาใหญ่จะมาหนุนเรือ ไป ๗ วัน เข้า ๒๑ วันถึงเมืองบาหลี ท่าเรือจอดอยู่ข้างตวันตก ทอดสมอน้ำฦก ๖๐ วา กว้านสำปั้นลง ข้าพเจ้ากับต้นหนแขกก็ลงสำปั้น ลูกเรือแจวสำปั้นขึ้นบกชายทเล ข้าพเจ้ากับต้นหนแขกเดินบกไปเที่ยวหาห้างกะปิตัน ไปถึงห้างกะปิตันปันตัดถามข้าพเจ้าว่า มาแต่เมืองไหน ข้าพเจ้าบอกว่าเรือมาแต่กรุงเทพ ฯ กะปิตันปันตัดก็ดีใจ จวนเพลาเย็น กะปิตันหาเข้าเลี้ยงข้าพเจ้ากับต้นหนให้กินอยู่เสร็จแล้ว กะปิตันให้ข้าพเจ้านอนที่ห้างคืน ๑ ๚

บ้านเมืองบาหลี

๏ วันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๔ ปีมเสงสัปตศกเพลาเช้า กะปิตันเอาเรือบด ๒ ลำให้ไปจูงเรือใหญ่ข้าพเจ้ามาทอดอยู่น่าห้าง น้ำฦก ๒๕ วา ครั้นเพลาค่ำประมาณ ๒ ยามเศษ เกิดลมพยุใหญ่พัดต้นมะพร้าว ต้นหมากต้นไม้ใหญ่หักเปนอันมาก เรือทอดสมอ ๔ ตัว สู้ลมอยู่ประมาณ ๓ ยามเศษจึงหายลมพยุ ๚

๏ ครั้นรุ่งขึ้นวันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ข้าพเจ้าจัดสิ่งของกำนัน ๔ แห่ง ลงสำปั้นแจวเข้าไปประมาณ ๔ เส้นเศษถึงท่าห้างกะปิตัน ข้าพเจ้าจัดผลลำไยแห้ง ผลพลับแห้ง ผลส้มจีน ผลแห้วจีน กะเทียมดอง ใบชา ปลาใบไม้ วุ้นเส้น เข้ากัน ๘ สิ่งกำนันกะปิตัน บ้านกะปิตันก่ออิฐถือปูน มุงกระเบื้อง มีจีนอยูที่บ้านกะปิตัน ๒๐ คน มีตลาด ๆ ขายผ้าแพร ผ้าขาว ร่ม ถ้วย ชาม ผักปลา กล้วย ส้ม ของกินเปนอันมาก มีคนซื้อคนขายแต่ผู้ชายเดินเสมอ แต่เพลาเช้าจนเพลาค่ำเปลี่ยนกันไปมาบ้างประมาณ ๑๐๐ คน ๒๐๐ คนเศษ ข้าพเจ้าให้กะปิตันพาข้าพเจ้าเอาของอิก ๘ สิ่งไปกำนันปลัดเมือง ข้าพเจ้าไปจากบ้านกะปิตันหนทางกว้างประมาณ ๖ วา เดินไปสัก ๓๐ เส้นเปนชั้นขึ้นไปลาดเหมือนตะพานช้างสูง ๕ ศอก แล้วเปนที่เสมอไปประมาณ ๕ เส้น จึงเปนชั้นสูงขึ้นไปอิก ๕ ศอกเหมือนกัน ไปกว่าจะถึงบ้านปลัด เมืองเปนชั้น ๒๐ ชั้น มีบ้านอยู่ ๒ ข้างทางมีกำแพงดินกั้นน่าบ้าน แล้วปลูกต้นขนุน ต้นมะขาม ต้นกะดังงา ต้นมะพร้าว ต้นไทร ต้นมะม่วงบ้าง ทั้ง ๒ ฟากทางกิ่งประกัน ร่มแดดตลอดกันไปทุกชั้น ๆ จนถึงบ้านปลัดเมือง ที่อยู่ชาวบ้านทำเปนตึกดินดิบ หลังคาเปนกระโจม มุงแฝกเหมือนกัน หลังบ้านเปนนาหามีกำแพงกั้นไม่ เลี้ยงโค เลี้ยงกระบืออยู่หลังบ้าน แต่บ้านกะปิตันไปจนถึงบ้านปลัดเมืองทางประมาณ ๑๐๐ เส้น ข้าพเจ้าไปถึงบ้านปลัดเมือง ข้าพเจ้าก็ยกของขึ้นไปบนเรือนปลัดเมือง ๆ ถามกะปิตันว่ามาแต่ไหน กะปิตันบอกว่าพระสวัสดิวารีเจ้าทรัพย์อยู่ที่กรุงเทพ ฯ แต่งให้จีนกั๊กเปนนายเรือคุมสินค้าออกมาค้าขายเมืองบาหลี ปลัดเมืองถามข้าพเจ้าว่ามาค้าขายเมืองบาหลีนี้จะประสงค์สินค้าสิ่งใด ข้าพเจ้าบอกปลัดเมืองว่าจะจัดหาซื้อเพ็ชร ทับทิม มรกฎใหญ่ ๆ ที่มีราคาเข้าไปทูลเกล้า ฯ ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวณกรุงเทพ ฯ ปลัดเมืองว่ากับข้าพเจ้าว่าเมืองบาหลีนี้เปนเมืองป่าหามีเพ็ชรพลอยไม่ มีแต่เข้าสารถั่วงากาแฟยาเส้นกับผลไม้สด ทุเรียน มังคุด ลางสาด เงาะ ส้มโอ ส้มเปลือกบาง ส้ม มะแป้น ส้มเกลี้ยง ต่าง ๆ มีอยู่เปนอันมาก ปลัดเมืองสั่งให้คนจัดหาเข้ามาเลี้ยงข้าพเจ้า ๆ เห็นบ้านปลัดเมืองก่อกำแพงดินล้อมบ้านกว้างประมาณ ๓ เส้นเศษ มีโรงข้างน่านอกกำแพง ๓ หลัง ๆ ๑ ขื่อประมาณ ๙ ศอก ๔ เหลี่ยม เสาเครื่องบนทำด้วยไม้สักตั้งอยู่กลาง มีตะเข้ ๔ มุม กลอนไม้ไผ่มุงด้วยแฝกหลังคา รอบแหลมเช่นเดียวกับหลังคาด่านเหมือนกันทั้ง ๓ หลัง หลังที่รับแขกไม่มีฝา พื้นดินสูงประมาณศอก ๑ มีแคร่ตั้งไว้ ๒ อันยาวประมาณ ๕ ศอก กว้างประมาณ ๓ ศอก ตั้งอยู่มุมละอัน มีช่องเดินกว้างประมาณ ๓ ศอก ข้าพเจ้าเห็นมีปืนคาบศิลาวางไว้บนกระไดแก้วประมาณ ๖๐ บอก ๗๐ บอก ทวนยาว ๙ ศอก ๑๐ ศอก วางไว้บนขื่อโรงประมาณ ๖๐ เล่ม ๗๐ เล่ม ตัวนายนั่งอยู่บนแคร่นุ่งผ้าตาโถงคาดเอว ผ้าริ้วทอด้วยไหม ตัดผมดอกกระทุ่ม อายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ มีเบาะผ้าแดงวางบนเสื่อสานด้วยไม้ไผ่เส้นเลอียดรองนั่งผืน ๑ พวกขุนนางบ่าวไพร่ชายหญิง นั่งอยู่ที่พื้นดินข้างล่างเสมอกับข้าพเจ้าประมาณ ๓๐ คน มีหญิงสาว ๆ ประมาณ ๑๑ คน ๑๒ คนนั่งอยู่ข้างแคร่ พวก ๑ นุ่งผ้าไหมตาตรางแขก นุ่งผ้าด้ายตาตรางแขกบ้าง ห่มผ้าตาตรางสีต่าง ๆ ห่มผ้าย้อมขมิ้นสีเหลืองบ้าง นั่งดูข้าพเจ้า พวกผู้ชาย บ่าวปลัดเมืองยกโต๊ะไม้กลึงไม่ได้ทาสี รูปโต๊ะนั้นเหมือนรูปโต๊ะเท้าช้าง ในโต๊ะนั้นรองใบตองสด เข้ากองกลางโต๊ะ มีกะทงใบตองล้อมกองเข้า ๗ กะทง ในกะทงเนื้อสุกรย่างกะทง ๑ กะทง ตับสุกรทอดกะทง ๑ กะทงไส้สุกรทอดน้ำมันกะทง ๑ กะทง ถั่วเหลืองขั้วน้ำมันกะทง ๑ กะทงเกลือป่นกะทง ๑ พริกเทศกับหอมทอดน้ำมันกะทง ๑ แตงกวาผ่าตามยาวกะทง ๑ ให้ข้าพเจ้ารับประทาน หามีชามเข้าไม่ ข้าพเจ้าเรียกเอาชามเข้า ๒ ชามมาใส่เข้ารับประทาน ข้าพเจ้ากับกะปิตันเปิบเข้าหยิบกับรับประทานเหมือนอย่างไทย พวกชายหญิงที่นั่งดูข้าพเจ้ารับประทาน พูดกันตามภาษาบาหลียิ้มแย้มหัวเราะกันทุกคน ครั้นข้าพเจ้ารับประทานเข้าอิ่มแล้ว ปลัดเมืองถามข้าพเจ้าว่า ที่กรุงเทพ ฯ กินเข้าอิ่มแล้วกินอะไรอิกบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่ากินเข้าแล้ว กินขนม กินลูกไม้ต่าง ๆ บ้างเปนของหวาน ปลัดเมืองจึงให้คนยกโต๊ะไม้กลึงมาโต๊ะ ๑ ใส่ทุเรียน มังคุด ส้มเปลือกบาง น้อยหน่า กล้วยสั้นบ้าง ออกมาให้ข้าพเจ้ารับประทาน แล้วเอาหมากพลูใส่หีบทองเหลืองเครื่องในตลับซองพลูทำด้วยเงิน พลูนั้นจีบเหมือนไทยจีบ ๆ ๑ ซ้อน ๓ ใบผูกด้วยด้าย กินปูนขาว ข้าพเจ้ารับประทานแล้ว กะปิตันกับปลัดเมืองบ่าวประมาณ ๔ - ๕ คนพาข้าพเจ้าไปหาเจ้าเมืองรอง เดินไปแต่บ้านปลัดเมืองประมาณ เส้นเศษ ทางเดินสูงเปนชั้นขึ้นไปกว่าที่บ้านปลัดเมืองประมาณ ๕ ศอก ลาดเหมือนตะพานช้าง มีบ้านอยู่ ๒ ฟากทาง ปลูกต้นไม้ น่าบ้านเรียงไปทั้ง ๒ ฟาก กิ่งประกันร่มแดด แล้วเปนที่เสมอไปประมาณเส้นเศษก็ถึงบ้านเจ้าเมือง มีกำแพงดินล้อมบ้านกว้างประมาณ ๑๐ เส้น สูงประมาณ ๕ ศอกเศษ ทำหลังคาบนกำแพง มุงแฝกให้ร่มฝนรอบทั้ง ๔ ด้านกะปิตันกับปลัดเมืองพาข้าพเจ้าเข้าประตูชั้นนอกเข้าไปประมาณ ๑๐ วาถึงโรงที่รับแขก ขื่อกว้างประมาณ ๓ วา ๔ เหลี่ยม พื้นดินหลังคาเปนกระโจมมีแคร่ที่นั่งอยู่ ๒ ข้างเหมือนกับบ้านปลัดเมือง ข้าพเจ้าเห็นมีคนอยู่ ชาย ๓ หญิง ๕ รวม ๘ คน ผู้ชายเอาเสื่อสานด้วยไม้ไผ่ กว้าง ๔ ศอก ยาว ๕ ศอก มาปูลงที่พื้นดิน ๓ ผืน กะปิตันจึงบอกข้าพเจ้าภาษาจีนว่าให้นั่งอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าก็นั่งลง ปลัดเมืองที่พาข้าพเจ้าไปจึงเรียกหญิง ๒ คนมา ๆ นั่งพับเพียบประสานมือไว้บนตัก ปลัดเมืองพูดภาษาบาหลีกับหญิง ๒ คนประการใดข้าพเจ้าไม่ทราบ หญิง ๒ คนก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน ข้าพเจ้าเห็นมีปืนคาบศิลาวางไว้บนกระไดแก้วประมาณ ๘๐ บอก ๙๐ บอก ทวนยาว ๙ ศอก ๑๐ ศอก ไว้บนขื่อโรงรับแขกประมาณ ๗๐ เล่ม ๘๐ เล่ม แล้วกะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า หลังบ้านเจ้าเมืองรองมีตลาด ๆ หนึ่ง จะมีคนซื้อขายอยู่มากน้อยเท่าใดข้าพเจ้าหาเห็นไม่ เห็นขุนนางนุ่งผ้าขาวคาดผ้าขาวเหน็บกฤชฝักไม้ลาย ไว้ผมมวยเหมือนพราหมณ์ ปักดอกลั่นทมที่มวยผมเหมือนกันทั้ง ๔ คนมาทางประตูที่ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งอยู่บนแคร่ก่อน อยู่ประมาณครู่ ๑ เจ้าเมืองจึงออกมา ข้าพเจ้าเห็นนุ่งผ้าไหมตาโถงตาโต ๓ นิ้ว ตาผ้ามีแต่สีขาวสีดำ นุ่งผ้าเอาชายข้างหนึ่งเข้าข้างใน แล้วพันมาทับกันเหลือชายข้าง ๑ ประมาณ ๓ ศอก หยิบกลางมาเหน็บ แล้วเอาผ้าไหมริ้วแดงริ้วดำยาวไปตามผืนพันเอวเข้า ๓ รอบ ชายผ้าเอาด้ายขาวเข็ดยาว ๔ ศอกชายผ้าพันทับเข้าอิก ๓ รอบ เหน็บกฤชฝักทองคำ ตัดผมดอกกะทุ่ม โพกผ้าแดง กว้างประมาณ ๓ นิ้วรอบชาย ๒ ข้าง ผูกข้างหลัง อายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ มีหญิงอายุ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ถือพานหมากทองคำคน ๑ ถือ ร่มเมืองจีนคันยาวปิดทองทั้งคัน ๑ กล้องสลัดมีลูกดอกคนละคัน ๒ เดินเปล่ามาคน ๑ ตามออกมาด้วย รูปพานหมากรีเหมือนรูปไข่ ปากกว้างโดยรีประมาณ ๑๕ นิ้วสูงคืบเศษ เครื่องในพานจะเปนทองเงินประการใดข้าพเจ้าไม่เห็น เจ้าเมืองขึ้นนั่งบนแคร่ ขุนนางนุ่งขาว ขุนนางคาดเอว ขุนนางผ้าขาว ๔ คนนั้นนั่งขัดสมาธิ์ประสานมือไว้บนตักนั่งอยู่บนแคร่ผินหน้าเข้าหากัน ข้างขวา ๒ ข้างซ้าย ๒ ปลัดเมืองกะปิตันกับข้าพเจ้า ก็นั่งขัดสมาธิ์ประสานมืออยู่ที่เสื่อพื้นดิน ห่างน่าเตียงที่เจ้าเมืองนั่งออกมาประมาณ ๔ ศอก ข้าพเจ้าเห็นหญิงออกมาแต่ข้างในมานั่งอยู่ข้างหลังแคร่ที่เจ้าเมือง นั่งประมาณ ๕๐ คนเศษ ผู้ชายเข้ามาทางข้างน่าประมาณ ๓๐ คน เศษ มานั่งอยู่ดินชั้นล่างต่ำกว่าที่ข้าพเจ้านั่งประมาณศอกเศษ แล้วเจ้าเมืองพูดภาษาบาหลีให้กะปิตันถามข้าพเจ้าภาษาจีน ว่าข้าพเจ้าเปนลูกค้ามาแต่เมืองไหน ข้าพเจ้าบอกว่าเรือมาแต่กรุงเทพ ฯ เหมือนข้าพเจ้าบอกกับปลัดเมือง เจ้าเมืองจึงว่าเมืองบาหลีเปนเมืองป่าหามีเพ็ชรพลอยไม่ มีแต่เข้าสารถั่วงา ผลกาแฟ ยาเส้น ผลไม้ต่าง ๆ แล้วเจ้าเมืองจึงพูดภาษาบาหลีกับขุนนางที่นั่งอยู่บนแคร่ กะปิตันปันตัดแปลเป็นภาษาจีนให้ข้าพเจ้าฟังว่าเจ้าเมืองถามขุนนาง ๔ คนว่า แต่เมืองบาหลีตั้งมาจนทุกวันนี้ไม่มีเรือโตใหญ่มาค้าขายเหมือนลำนี้เลย ข้าพเจ้าจึงตอบว่าท่านพระสวัสดิวารีเจ้าทรัพย์อยู่ที่กรุงเทพ ฯ แต่งสำเภาเรือปากใต้ไปเที่ยวค้าขายหลายบ้านหลายเมืองจะต้องการพลอย เพ็ชร ทับทิม มรกฎที่ใหญ่ ๆ ไปทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็หาไม่ได้ มีแต่เล็ก ๆ เท่าผลสวาดิผลบัวบ้าง กล่ำใหญ่กล่ำเล็กบ้าง ได้ยินชื่อเมืองบาหลีนี้ว่าเปนเมืองใหญ่ตั้งมาช้านาน หามีลูกค้าผู้ใดไปค้าขายถึงไม่ จึงแต่งเรือชนิดกลางปาก ๔ วา บรรทุกสินค้าได้หนักสักห้าพันเศษ เปนทุนเงินสักหมื่นเหรียญเศษ ท่านพระสวัสดิวารีสั่งมาว่า ถ้าพบเพ็ชรพลอยที่ดีจะเปนราคามากน้อยเท่าใดก็ให้ซื้อเข้าไปให้สิ้นเงินหมื่นเหรียญ จะได้พลอยสักเม็ด ๑ ฤๅ ๒ เม็ดก็ตามเถิด เจ้าเมืองจึงตอบว่า เมืองบาหลีนี้เปนเมืองป่าเมืองเกาะ หามีของดีวิเศษไม่ มีแต่ของป่าเงินทองเบี้ยอีแปะ เมืองอื่น ๆ เอามาแลกของป่าไป แล้วข้าพเจ้าก็ลาว่าจะไปหาเจ้าเมืองกาล่งกง ซึ่งเปนเจ้าเมืองผู้ใหญ่ กะปิตันก็พาข้าพเจ้าเดินออกมาจากบ้านเจ้าเมืองขึ้นเนินเขาสูงขึ้นไป ๘ ชั้น ทางประมาณ ๒๐๐ เส้นเศษ มีบ้าน ๒ แถวมีต้นไม้ทั้ง ๒ ฟากร่มตลอดไปจนถึงบ้านเจ้าเมืองกาล่งกง มีกำแพงก่อด้วยอิฐสุกใบสอดิน กว้างประมาณ ๑๕ เส้นเศษ สูง ๕ ศอก หนา ๓ ศอกเศษ หลังกำแพงกลมเปนกาบกล้วย ที่น่าประตูก่อด้วยอิฐสุกเปนแท่น กว้าง ๕ ศอก ๔ เหลี่ยม สูงประมาณ ๘ ศอก แล้วปลูกโรงเสาไม้จริงเครื่องบนไม้ไผ่หลังคามุงแฝกกรวมแท่นไว้ เอาปืนปะเรี่ยมทองยาวประมาณ ๔ ศอก ใหญ่รอบ ๓ กำ ใส่รางวางไว้บนแท่นบอก ๑ กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า ปืนบอกนี้เปนของอังกฤษให้ไว้เปนสัญญา จาฤกหลังปืนเปนหนังสืออังกฤษ ว่าปืนบอกนี้อยู่ที่เมืองบาหลีตราบใด อังกฤษไม่มากระทำอันตรายกับเมืองบาหลีเปนอันขาดทีเดียว พ้นประตูเข้าไปสัก ๑๐ วามีสระ ๆ ๑ กว้างยาวประมาณ ๒ เส้น มีเขื่อนตรุด้วยไม้ พ้นสระไปอิก ๘ วา ถึงกำแพงชั้น ๒ มีเสาศิลากลมใหญ่รอบ ๓ กำ สูง ๓ ศอก ตั้งเรียงห่างกันคืบ ๑ ข้างบนมีศิลาหนา ๑๖ นิ้ว ๔ เหลี่ยม ยาว ๔ ศอก ๕ ศอกบ้างทับบนปลายเสาศิลา เปนเสาศิลายาวประมาณเส้นเศษ พ้นเสาศิลาไป ๒ ข้างก่อด้วยอิฐประตูอยู่กลางทำด้วยไม้สัก บนหลังประตูก่ออิฐเปนหลังเจียดหาได้ถือปูนไม่ มีโรงอยู่โรง ๑ ทำฝาหลังคาเหมือนกับที่บ้านเจ้าเมืองรอง แต่หาเห็นมีปืนคาบศิลา หอก ทวน ไม่ จะเอาไปข้างไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ กะปิตันให้ข้าพเจ้าพักอยู่ที่โรงเปนเพลาเย็น ข้าพเจ้าเอาของกำนัน ๘ โต๊ะตั้งไว้ที่โรง ข้าพเจ้าเห็นชาย ๓ หญิง ๒ นั่งอยู่ที่โรง กะปิตันเรียกหญิงที่อยู่ในโรงมา ๒ คน กะปิตันพูดกับหญิง ๒ คนเปนภาษาบาหลี จะพูดกันประการใดข้าพเจ้าไม่ทราบ หญิง ๒ คนก็เดินเข้าไปประตูชั้นใน ชาย ๓ คนจึงเอาเสื่อสานด้วยไม้ไผ่ กว้าง ๔ ศอก ยาว ๕ ศอกมาปูลงที่พื้นดินน่าแคร่ ๔ ผืน ขุนนางนุ่งผ้าขาวคาดผ้าขาวไว้ผมมวยเหมือนพราหมณ์ปักดอกไม้สดที่มวยผม เหน็บกฤชฝักไม้ลายมานั่งอยู่บนแคร่ขัดสมาธิ์ประสานมือไว้บนตัก เหมือนกับที่บ้านเจ้าเมืองรองทั้ง ๔ คน แล้วมีคนนุ่งผ้าตาโถงไว้ผมมวยเหน็บกฤช นั่งขัดสมาธิ์ประสานมืออยู่ที่พื้นดินข้างล่างน่าแคร่ ๓๐ คน แคร่นั้นยาว ๖ ศอก กว้าง ๔ ศอก ปูเสื่อหวาย มีเบาะผ้าแดงวางบนเสื่อหวายเบาะ ๑ อยู่ประมาณครู่ ๑ เจ้าเมืองกาล่งกงก็ออกมา ข้าพเจ้าเห็นนุ่งผ้าไหม ตาโถงตาโต ๔ นิ้ว ตาผ้ามีแต่สีขาวสีดำ นุ่งผ้าเอาชายข้าง ๑ เข้าข้างใน แล้วพันมาทับกันเหลือชายข้างหนึ่งประมาณ ๓ ศอก หยิบกลางมาเหน็บพก แล้วเอาผ้าไหมริ้วแดงริ้วดำยาวไปตามผืน พันเอวเข้า ๓ รอบ ชายผ้าเอาด้ายเข็ดขาวยาว ๔ ศอกต่อชายผ้า พันทับเข้าอิก ๓ รอบ เหน็บกฤชฝักทองคำด้ามงา ผมดอกกะทุ่มหามีผ้าโพกไม่ อายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ ไว้หนวดริมฝีปากข้างบนยาว ๓ นิ้ว มีหญิงสาวอายุ ๑๘ ปี ๑๙ ปี ๒๐ ปี ๒๐ปีเศษบ้าง ๗ คนตามออกมา ถือพานหมากทองคำสลักรูปรีเปนรูปไข่ปากกว้าง ๑๔ นิ้ว ๑๕ นิ้ว สูงคืบเศษ นั่งถือคนทีดินปากเลี่ยมทอง ฝาปิดเปนพุ่มดอกไม้ปิดทองคน ๑ ถือทวนภู่ไหมแดงฝักปิดทองคำทาดำยาวประมาณ ๔ ศอกเศษ ๒ คน เดินเปล่ามาด้วย ๓ คน นุ่งผ้า ริ้วแดง ริ้วเขียว ริ้วขาว ห่มผ้าคล้องฅอสีเหลืองสีแดงบ้าง เจ้าเมืองกาล่งกงเดินมาถึงโรงแล้วขึ้นนั่งบนแคร่ คนที่นั่งอยู่ข้างล่าง ๓๐ คน ยกมือขึ้นไหว้แล้วประสานมือบนตัก ผู้หญิงที่ตามออกมานั่งอยู่ข้างแคร่ทั้ง ๗ คน ข้าพเจ้านั่งอยู่กับกะปิตันตรงน่าแคร่ออกมาประมาณ ๕ ศอก เจ้าเมืองถามภาษาบาหลี กะปิตันแปลภาษาจีนกับข้าพเจ้าว่าเปนลูกค้ามาแต่ไหน ข้าพเจ้าบอกความเหมือนกับข้าพเจ้าบอกแก่เจ้าเมืองคนก่อน แล้วถามว่ามาทางไกลลำบากนักฤๅ ข้าพเจ้าบอกว่ามาทางไกลข้ามทเลฦกคลื่นใหญ่ลมกล้ามา ๔ เดือนเศษจึงถึง ได้ความลำบากหนักหนา แล้วถามว่าที่กรุงเทพ ฯ บ้านเมืองโตใหญ่มีผู้คนมากอยู่ฤๅ ข้าพเจ้าบอกว่าที่กรุงเทพ ฯ ไพร่บ้านพลเมืองมีหลายภาษา แต่ไทยภาษาเดียว ก็มากจะประมาณไม่ถูก ยังพวกจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลำ เข้ามาพึ่งพระเดชเดชานุภาพตั้งทำมาหากินอยู่ที่กรุงเทพ ฯ แลหัวเมืองขึ้นกับกรุงเทพ ฯ ก็หลายหมื่น ลาว มอญ พม่า ทวาย แขก ฝรั่ง ก็มีอยู่เปนอันมาก สนุกสบายมั่งคั่งบริบูรณ์ มีเรือรบ เรือไล่ปาก ๙ ศอก ๑๐ ศอก ยาว ๑๑ วา ๑๒ วา เปนอันมาก มีกำปั่นรบปากกว้าง ๓ วา ๔ วา ๕ วา ยาว ๑๔ วา ๑๕ วา ๒๐ วา มี ปืนกระสุน ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว รายแคมลำหนึ่ง ๑๘ บอก ๒๐ บอกบ้าง ที่ลำใหญ่มีปืนรายแคม ๒ ชั้น ลำละ ๓๐ บอก ๓๔ บอกบ้าง ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ๒๐ ลำ ๓๐ ลำ สำหรับไปลาดตระเวนรักษาเขตรแดนจีนที่มีสติปัญญากว้างขวางก็โปรดเกล้า ฯ ตั้งให้เปนพระยาเปนพระ เปนหลวง เจ้าภาษีบ้าง เจ้าสัวบ้าง ที่เปนลูกค้ามีเงินทองก็มาก คนหนึ่งมีสำเภาไปค้าเมืองจีนบ้าง เรือตั้วแงไปค้าเมืองแขกข้างฝ่ายตวันตกบ้าง คนหนึ่ง ๔ ลำ ๕ ลำทั้งใหญ่ทั้งเล็กสัก ๑๔๐ ลำ ๑๕๐ ลำ ลูกค้าเมืองจีนแต่งสำเภาเข้าไปค้าขายปีหนึ่ง ๑๐๐ ลำ ๑๐๐ ลำเศษบ้าง กำปั่นแขก กำปั่นฝรั่งไปค้าขายปีหนึ่ง ๒๐ ลำ ๓๐ ลำบ้าง เรือลูกค้ามลายูไปค้าขายปีหนึ่ง ๔๐ ลำ ๕๐ ลำบ้าง แล้วถามว่าสำเภาโตฤๅเล็ก ข้าพเจ้าบอกว่าเรือที่ข้าพเจ้าออกมานี้เปนอย่างกลาง จึงถามว่าเรือปากกว้างยาวเท่าไร ข้าพเจ้าบอกว่าปากกว้าง ๔ วา ยาว ๑๔ วา จึงถามว่าที่กรุงเทพ ฯ มีสินค้าสิ่งไรบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่าสินค้าหยาบ ๆ ที่บรรทุกสำเภานั้น ฝาง ไม้แดง เขา เปลือกโปลง พริกไทย เนื้อปลาต่าง ๆ แต่ของ เลอียดที่มีราคา รังนก กระวาน งาช้าง นอระมาด เร่ว น้ำตาลทราย ปีกนก ดีบุก ไหม ครั่ง เจ้าเมืองกาล่งกงจึงว่าที่เมืองบาหลีนี้ เปนเมืองเกาะหามีสินค้ามากไม่ มีแต่ เข้า ยาสูบ กาแฟ แล้วเจ้าเมืองกาล่งกงจึงให้คนยกเข้ามาให้ข้าพเจ้ากับกะปิตันปันตัดรับประทาน กับเข้าเหมือนกับปลัดเมืองทำมาให้ข้าพเจ้ารับประทาน ครั้นข้าพเจ้ารับประทานแล้วก็ลาเจ้าเมืองกาล่งกงจะกลับมาเรือ เจ้าเมืองจึงให้กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า อย่าเพ่อไปก่อนเลยค่ำมืดแล้ว นอนที่นี่สักคืนหนึ่งเถิด จะมีหนังให้ดู ข้าพเจ้าก็อยู่ ครั้นเพลาค่ำพวกบาหลีจึงเอาจอหนังมาตั้งที่น่าโรง จอหนังทำด้วยผ้าขาว กว้าง ๕ ศอก ๔ เหลี่ยม แล้วจุดตะเกียงแขวนไว้ข้างหลังจอมีกระดานบังลม ตัวหนังสูงคืบ ๑ จมูกผอม แขน เท้า ยาว ผอมกะดิกได้เหมือนหนังแขก มีกลองใบ ๑ ฆ้องโหม่งใบ ๑ ซอคัน ๑ แล้วตีเกราะด้วย ตัวหนังเอาปักไว้กับหยวกกล้วย ๕ ท่อน ท่อนละ ๑๐ ตัวเปนหนัง ๕๐ ตัว เอาขึ้นเชิดทีละตัว ร้องภาษาบาหลี ตีฆ้องกลองสีซอ สิ้นบทแล้ววางหนังลงเสียเอาตัวอื่นขึ้นเชิดต่อไปกว่าจะสิ้นทั้ง ๕๐ ตัว เจ้าเมืองก็ดูอยู่ด้วยกับข้าพเจ้าเพลาสักยามหนึ่งเจ้าเมืองก็กลับเข้าไปข้างใน แต่คนพวกชาวบาหลีนั้นยังดูอยู่ทั้งหญิงทั้งชายประมาณ ๕๐ คน ๖๐ คน ดึกแล้วข้าพเจ้านอนอยู่ที่โรง หนังนั้นเล่นไปจนรุ่ง ครั้นเพลาเช้าเจ้าเมืองสั่งให้หาเข้ามาเลี้ยงกะปิตันกับข้าพเจ้ากับลูกเรือ เข้าแลกับเข้าเอามาให้กินก็เหมือนกับที่เอามาให้รับประทานครั้งก่อน หาแปลกออกไปไม่ ข้าพเจ้ารับประทานแล้วสักครู่ ๑ เจ้าเมืองออกมา ข้าพเจ้าเห็นเหมือนกับออกมาครั้งก่อน แต่ผ้านุ่งนั้นเปลี่ยนเปนผ้าตาเขียวแดง ข้าพเจ้าบอกให้กะปิตันลาจะกลับไปเรือ เจ้าเมืองจึงให้กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า อย่าเพ่อไปก่อน จะมีลครให้ดูข้าพเจ้าก็อยู่ เจ้าเมืองเรียกลครเล่น ข้าพเจ้าเห็นตัวลครชาย ๕ หญิง ๕ รวม ๑๐ คน ผู้ชายนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบนชาย ๑ เหน็บข้างน่าชาย ๑ ผ้าคาดเอวเหน็บกฤช ข้อมือสักผูกผ้าขาวทั้ง ๒ ข้าง ชายผ้าห้อยยาวสักคืบ ๑ ศีศะใส่หมวกใบลานเย็บข้างบนแบนเหมือนซองพลู แล้วเอาดอกไม้สด ดอกลั่นทม ดอกจำปาเหลือง ดอกจำปาขาว ดอกอัญชัน ดอกชบา เหน็บเข้ากับหมวกใส่คน ๑ สี่คนหาได้ใส่หมวกไม่ ผู้หญิงนุ่งผ้าแขก พันแล้วเอาแพรผังสีเชียสา สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีคราม สีขาว เหน็บเอวข้างละ ๕ สี ห้อยลงมาทั้ง ๒ ข้าง ยาวข้างละศอกเศษ มีแพรแดงคาดนม เท้าใส่กำไลเงินกลม ข้อมือใส่กำไลแบนเปนน่ากระดานข้างละ ๒ เส้น ถือพัดด้ามจิ้วคลี่ทั้ง ๒ มือ ใส่หมวกใบลานประดับด้วยดอกไม้คน ๑ สี่คนไม่ได้ใส่หมวก ปี่พาทย์มีฆ้องหุ่ยแขวน ๓ ใบ กลองแขกใบ ๑ ขลุ่ยคัน ๑ ฆ้องราวราง ๑ รางทำเหมือนรางระนาด แต่หางอนไม่ ตรง เอาฆ้องผูกบนปากรางเรียงกัน ๔ ใบ ตีด้วยไม้ตีระนาด ๆ นั้นทำด้วยทองเหลือง หลังคลุ่มโต ๙ นิ้ว ยาวคืบ ๑ แล้วเอาไม้ไผ่ลำโตประมาณ ๒ กำ ตัดเปนกระบอกยาวปล้อง ๑ เท่ากัน ๔ กระบอก ตั้งเรียงกันบนกระ ดานมีหลัก ๒ ข้าง แล้วเอาไม้กระหนาบเรียงเข้ากับหลัก แล้วจึงเอาลูกระนาดวางบนปากกระบอก ตีด้วยไม้งอเหมือนไม้ตีระฆัง กลางโรงเอากิ่งไม้มาปักกิ่ง ๑ เก็บดอกไม้สดใส่ตะกร้า ๆ ๑ มาวางไว้ใต้กิ่งไม้ มีคนร้อง ๒ คน ผู้หญิงลุกขึ้นรำก่อน แล้วไปหยิบดอกไม้ในตะกร้ามาทิ้งผู้ชาย ๆ จึงลุกขึ้นรำคนหนึ่ง แล้วไปหยิบดอกไม้ในตะกร้าทิ้งผู้หญิงบ้าง แล้วผู้ชายผู้หญิงก็รำไปด้วยกันนาน ๆ จึงไปหยิบดอกไม้มาทิ้งกัน คนร้อง ๒ คนก็ร้องไป รำล่อกันไป ๆ มา ๆ เหนื่อยแล้วก็นั่งลง คู่อื่นก็ลุกขึ้นรำหยิบดอกไม้ทิ้งกันรำทีละคู่ทั้ง ๕ คู่ เจ้าเมืองถามข้าพเจ้าว่างามฤๅไม่งาม ข้าพเจ้าบอกว่างาม ข้าพเจ้าจึงขอยืมเบี้ยอีแปะกะปิตันห้าพันมาตกรางวัลให้คนละ ๕๐๐ เจ้าเมืองจึงถามข้าพเจ้าว่าที่กรุงเทพ ฯ มีหนังมีลครอย่างนี้ฤๅไม่ ข้าพเจ้าบอกว่าที่กรุงเทพ ฯ มีโขน หุ่น ละคร มีหนัง มีงิ้ว แล้วถามข้าพเจ้าว่าโขนหุ่นลครนั้น โรง ๑ มีคนสักกี่คน แต่งตัวอย่างไร ข้าพเจ้าบอกว่าโขนโรง ๑ ทั้งชายทั้งหญิง ๑๐๐ บ้าง ๑๐๐ เศษบ้าง แต่งตัวใส่สนับเพลานุ่งยกทองยกไหม โจงกระเบนไว้หางหงษ์ คาดเข็มขัด มีผ้าปักทอง ปักไหมห้อยน่าผืน ๑ ห้อยขาข้างขวาผืน ๑ ห้อยขาข้างซ้ายผืน ๑ ใส่เสื้อลายทองใส่ตาบ ใส่สังวาล ใส่กำไลทองคำที่ข้อมือข้างละ ๙ ข้างละ ๑๐ เส้นทั้ง ๒ ข้าง นิ้วมือใส่แหวนทองคำประดับเพ็ชรพลอยต่าง ๆ นิ้วละวงข้างละ ๔ นิ้วทั้ง ๒ มือ ศีศะใส่หน้าโขนหน้าปิดทอง หน้าเขียนบ้างต่าง ๆ กัน มีมงกุฎรัดเกล้าปิดทองประดับเพ็ชรพลอย ปี่พาทย์มีกลองใหญ่กลองกลางกลองเล็ก ฆ้องวง ระนาด ตะโพน เปิงมาง ฉิ่ง ฉาบ โขนโรง ๑ ถ้าจะเล่นมีปี่พาทย์ ๒ สำรับ คนเจรจา ๔ คน ๕ คน หุ่นนั้นเอาไม้มาทำเปนรูปคนชายบ้างหญิงบ้าง รูปยักษ์บ้าง รูปลิงบ้าง รูปสัตว์ต่าง ๆ บ้าง สูงประมาณศอกคืบ มีคนชักสายกระดิกรำได้เหมือนคนโรงหนึ่ง ๔๐ ตัว ๕๐ ตัว คนเล่นประมาณ ๕๐ คน ๖๐ คน เครื่องแต่งตัวหุ่นก็มีเหมือนกับเครื่องแต่งตัวโขน ถ้าจะเล่นก็มีปี่พาทย์ ๒ สำรับ คนสำหรับเจรจา ๔ คน ๕ คน เหมือนกับโขนลครโรง ๑ ทั้งหญิงทั้งชาย ๓๐ คน ๔๐ คน เครื่องแต่งตัวลครเหมือนกับเครื่องแต่งตัวโขนหุ่นเหมือนกัน เมื่อลครจะรำนั้น คนสำหรับตีกรับโรงละ ๔๐ คน ๕๐ คน มีปี่พาทย์สำรับ ๑ สิ้นบทรำก็หยุดร้องไปตามเรื่องหามีคนเจรจาแทนเหมือนโขนหุ่นไม่ แล้วเจ้าเมืองถามข้าพเจ้าว่าหนังนั้นทำอย่างไร ข้าพเจ้าบอกว่าเอาหนังโคทั้งผืนมาเขียนเปนรูปคนบ้าง รูปยักษ์บ้าง รูปลิงบ้าง รูปคนชายหญิงบ้าง เปนรูปช้าง รูปม้า รูปโค กระบือ รูปเนื้อ รูปเสือบ้าง ตัวโตเท่าคนรุ่น ๆ ทำท่าต่าง ๆ แล้วสลักเจาะเอาพื้นออกเสีย โรง ๑ มีหนัง ๑๐๐ ๑๐๐ เศษ จอทำด้วยผ้าขาวยาว ๖ วา กว้าง ๑๐ ศอกขึงขึ้น แล้วปลูกทำร้านไฟข้างหลังสูง ๓ ศอก กว้าง ๒ ศอก ยาว ๓ ศอก เอาดินรองแล้วกองไฟบนร้านแล้วเอาเสื่อใบวงบังลมข้างหลังจอ ข้างน่าจอเอาหนังเชิด มีกลองใหญ่ กลองกลาง กลองเล็ก ระนาด ฆ้องวง ตะโพน เปิงมาง ฉิ่ง,ฉาบ กรับโกร่ง ถ้าจะเล่นหนังตัว ๑ คนเชิดคน ๑ เชิดครั้ง ๑ หนัง ๙ ตัว ๑๐ ตัวบ้าง คนเชิดก็เท่ากับตัวหนัง พวกปี่พาทย์ก็ตีขึ้นพร้อมกัน คนสำหรับเล่นที่อยู่ในจอนั้นตีกรับโกร่งร้องไปตามเพลง สิ้นบทแล้ว คนเชิดหยุดยืนเชิดหนังอยู่น่าจอ คนสำหรับเจรจาก็เจรจาไปตามเรื่อง สิ้นบทแล้ว เอาหนังพวกนั้นกลับเข้าในจอ เอาหนังตัวอื่นมาเชิดต่อไปกว่าจะสิ้นตัวหนัง ๆ เชิดได้ทั้งข้างในจอข้างน่าจอ คนดูเห็น ๆ เหมือนกัน โรง ๑ มีคนเชิด ๓๐ คน ๔๐ คนบ้าง คนร้องคนเจรจา ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง เจ้าเมืองกาล่งจงจึงว่าสร้างโขนหุ่นลครหนังโรง ๑ จะมิเปนเงินมากหนักหนาฤๅ ข้าพเจ้าบอกว่าสร้างโขนโรง ๑ เปนเงิน ๑๐๐ ชั่ง ๒๐๐ ชั่งบ้าง สร้างหุ่นโรงหนึ่งเปนเงิน ๖๐ ชั่งบ้าง ๗๐ ชั่งบ้าง สร้างลครโรง ๑ ๔๐ ชั่งบ้าง ๕๐ ชั่งบ้าง สร้างหนังโรง ๑ เปนเงิน ๒๐ ชั่งบ้าง ๓๐ ชั่งบ้าง เจ้าเมืองจึงถามว่าอย่างไรเรียกว่าชั่ง ๑ ข้าพเจ้าบอกว่าไทยชั่ง ๑ คิดข้างจีนเปน ๒ ชั่ง ถ้าจะคิดเปนเหรียญชั่งไทย ๑ เปนเงิน ๔๐ เหรียญ เจ้าเมืองจึงว่าที่กรุงเทพพระมหานครมั่งมีเงินมากจึงทำได้ แล้วข้าพเจ้าก็ลาจะมาเรือเจ้าเมืองจึงพาข้าพเจ้าไปดูเสือ ว่าเสือที่เมืองบาหลีนี้จะเหมือนเสือที่กรุงเทพพระมหานครฤๅไม่ แล้วเจ้าเมืองพาข้าพเจ้าออกมานอกกำแพงชั้นกลางมีโรงอยู่โรง ๑ กรงขังเสืออยู่ในโรง เสือตัวยาว ๓ ศอกคืบ สูง ๒ ศอก รูปร่างเหมือนเสือที่กรุงเทพ ฯ แล้วจึงพาข้าพเจ้าไปดูโรงตีเหล็ก ข้าพเจ้าเห็นมีคนตีเหล็กชาติมุกิดบ้าง บาหลีบ้าง สัก ๙ คน ๑๐ คน เห็นขันปืนอยู่บอก ๑ ตะไบแต่งตัวอยู่ ๒ บอก มีเตาตีเหล็ก ๒ เตา ใช้สูบยืนเหมือนสูบลาว ข้าพเจ้าเห็นมีคนอยู่ในกำแพงเมืองประมาณ ๓๐ คน ๔๐ คน แล้วเจ้าเมืองถามข้าพเจ้าว่าที่กรุงเทพ ฯ มีสัตว์สิ่งใดบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่ามีสัตว์เปนอันมาก แต่ข้าพเจ้ารู้จักช้าง ม้า โค กระบือ แรด เสือ เนื้อ หมี กวาง ทราย เจ้าเมืองกาล่งกงจึงว่าบ้านเมืองโตใหญ่ ไพร่บ้านพลเมืองลูกค้าวานิชสัตวต่าง ๆ ก็มีมาก ที่เมืองบาหลีนี้เปนเมืองเกาะ มีแต่วัว ควาย ม้า เนื้อ หามีช้างไม่ รูปร่างอย่างไรไม่รู้จัก ได้เห็นแต่เขี้ยวช้างเล็ก ๆ ลูกค้าเมืองใหม่เอามาขายซื้อไว้ทำด้ามกฤชบ้าง ฝักกฤชบ้าง ถ้าแลจะได้มาค้าขายข้างน่าช่วยซื้อเขี้ยวช้างที่โต ๆ มาฝากสักอัน ๑ ฤๅ ๒ อัน ข้าพเจ้าว่าราคาซื้อขายกันที่เมืองใหม่หนักหาบหนึ่ง ๒๐๐ เหรียญ ๒๕๐ เหรียญก็มี ตามใหญ่ตามเล็ก เจ้าเมืองกาล่งกงจึงว่าจะเปนราคามากน้อยเท่าใดก็ช่วยซื้อมาฝากให้ได้ ข้าพเจ้ารับคำแล้วก็ลาจะมาเรือ เจ้าเมืองกาล่งกงสั่งข้าพเจ้าว่าสินค้ามีมาในเรือนั้นชาวบาหลีจะมาซื้อก็ให้ขายเถิด ให้เขียนบาญชีชื่อไว้ เรือจะกลับไปทวงเงินไม่ได้เราจะช่วยชำระให้ ข้าพเจ้าก็มาเรือ เดินมาแต่บ้านเจ้าเมือง ๚

๏ วันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีมเสงสัปตศกเพลาเที่ยง กะปิตันก็พาข้าพเจ้าออกมาถึงประตูชั้นนอกมีตลาดผู้ชายขายของอยู่ที่น่าบ้านเมือง ทั้งคนซื้อคนขายประมาณ ๒๐๐ คน ๓๐๐ คนเศษ มีผ้าแพร ร่ม ถ้วย ชาม ของกินบ้าง ตลาดผู้หญิงขายของตลาด ๑ ข้างกำแพงเมือง ไม่ให้ผู้ชายซื้อขาย ๆ กันแต่พวกผู้หญิง จะมีคนมากน้อยเท่าใดหาได้ไปดูไม่ ข้าพเจ้าเห็นหญิงเดินไปมาตามทาง ศีศะทูนของเหมือนทวายเหมือนแขก ข้าพเจ้าถามกะปิตันว่าผู้ชายผู้หญิงจะซื้อจะขายด้วยกันไม่ได้ฤๅ กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่าอย่างธรรมเนียมเมืองบาหลีนี้ ถ้าผู้หญิงจะออกเดินนอกบ้านไปซื้อขายก็ดี มิใช่บิดามารดาญาติพี่น้องผัวเมียกันจะไปถูกต้องตัวผู้หญิงไม่ได้ ถ้าผู้ชายมิใช่ญาติพี่น้องไปถูกต้องตัวผู้หญิงเข้า ผู้หญิงร้องขึ้นแล้วไปตีเกราะ พวกชายญาติพี่น้องข้างหญิงรู้ ชวนกันถือกฤชวิ่งออกมาจากบ้านหลายคน เอากฤชแทงชายที่ถูกตัวหญิงนั้นตายก็หามีโทษไม่ ข้าพเจ้าเห็นเกราะทำไว้ด้วยไม้แก่นโต ๓ กำ ๔ กำ ยาว ๓ ศอก ๔ ศอก แขวนไว้ที่ต้นมะม่วง ต้นมะขาม ต้นจำปา ต้นไทร ต้นกระดังงา ต้นขนุนบ้าง ตามถนนห่างกันเส้น ๑ บ้าง ๓๐ วาบ้าง แต่บ้านเจ้าเมืองตลอดไปถึงท่าเรือจอด ข้าพเจ้าเดินมาถึงเรือเพลาบ่าย ๕ โมงเศษ ข้าพเจ้าจึงบอกกะปิตันว่า เพลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเอาของขึ้นขาย

๏ รุ่งขึ้นวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๔ เพลาเช้า กะปิตันให้บุตรไปบอกกับปลัดเมืองว่า จีนกั๊กนายเรือจะเอาสินค้าขึ้นขาย ปลัดเมืองกับเจ้าเมืองรอง คนประมาณ ๓๐ เศษ พากันมาที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าจึงเอาตัวอย่างของขึ้นไปให้ดู แพรจีนเจาสีต่างกัน ๕ ม้วน แพรผังสี ๕ สี ๕ พับ ไหมทองหีบ ๑ จานพลชามพลสิ่งละซอง สีเสียดกระสอบ ๑ กะทะเล็กปากกว้างศอกเถา ๑ เจ้าเมืองซื้อแพรจีนเจา ๑๐ ม้วน ๆ ละ ๑๘๐๐๐ อีแปะ เงิน ๑๑ ตำลึง ๑ บาท แพรผังสี ๒๐ พับ ๆ ละ ๑๘๐๐ อีแปะ เงิน ๑ ตำลึง ๒ สลึง ไหมทอง ๒๐ หีบ ๆ ละ ๕๐๐๐ อีแปะ เงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง ปลัดเมืองซื้อแพรจีนเจาขาว ๓ ม้วน ๆ ละ ๑๕๐๐๐ อีแปะ เงิน ๙ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ไหมทอง ๑๐ หีบ ๆ ละ ๕๐๐๐ อีแปะ เงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง แล้วเจ้าเมืองรองปลัดเมืองจึงว่ากับข้าพเจ้าว่าสินค้านอกนั้นผู้ใดจะซื้อก็ให้ขายเถิด ข้าพเจ้าก็ขายเหล็กฟากหาบละ ๕๐๐๐ เงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง กะทะเถาละ ๑๐๐๐ เงิน ๒ บาท ๒ สลึง สีเสียดหาบละ ๓๐๐๐ เงิน ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง จานใหญ่ ๑๐๐๐ ละ ๓๕๐๐๐ เงิน ๑ ชั่ง ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ชามพล ๑๐๐๐ ละ ๖๐๐๐ เงิน ๓ ตำลึง ๓ บาท ไหมตะเภาหาบละ ๓ แสน เงิน ๙ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ บาท ข้าพเจ้าขายได้เงินเหรียญเงินอีแปะบ้าง ขายเชื่อบ้าง จนสินค้าในเรือที่ซื้อเชื่อยังไม่ให้เงินนั้น ข้าพเจ้าจดบาญชีผู้ซื้อของไว้ ข้าพเจ้าไปทวงเงินได้บ้างยังไม่ได้บ้าง แล้วข้าพเจ้าถามกะปิตันปันตัดว่าสินค้าที่เมืองบาหลีนี้มีฝาง มีกาแฟ มีเข้าสารอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะขอไปเที่ยวซื้อ กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า ฝางมีอยู่ป่า ชื่อหวนตุหลัน ผลกาแฟมีอยู่เมืองตัวปันหลัน เมืองมองงุย เข้าสารกับยาสูบมีอยู่ที่เมืองบาหลีนี้กะปิตันจึงว่ากับข้าพเจ้าว่าถ้าจะไปซื้อ ก็ให้ไปหาเจ้าเมืองรอง ขอหนังสือไปถึงเจ้าเมืองตัวปันหลัน เจ้าเมืองมองงุย จึงจะไปซื้อได้ ๚

เดินทางไปมองงุย

เครื่องมือส่วนตัว