พระรถคำà¸à¸¥à¸à¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 08:03, 26 เมษายน 2554 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: [[]]
บทประพันธ์
สำนวนที่ ๑
◉ ประนมกรอ่อนกายถวายเศียร[1] | |||
ต่างโกสุมประทุมมาศดาษเดียร | ประทีปเทียนส่องนัยนาแทน | ||
ด้วยอารมณ์ชมบุญพระไตรรัตน์ | วาจาสัตย์สรรเสริญนี้สุขแสน | ||
ถึงดินหล้าฟ้าเหล่าตลอดแดน | ทุกเมืองแมนยกยอชะลอคุณ | ||
ยังหลงเหลือเผื่ออยู่ไม่รู้สิ้น | เป็นอาจิณเจืออยู่ไม่รู้สูญ | ||
คือสิ่งใดพิสดารไม่ปานปูน | เพราะนุกูลไกรโลกให้เลิศไกร | ||
ยอมรื้อสัตว์ในวัฏสงสาร | ดลสถานศิวาโมกข์มไห | ||
เด็ดสังขารดาลดับมหาภัย | อันเกิดในตัณหาอันสาธารณ์ | ||
เราคำนึงจะพึ่งพระทั้งสาม | จะใคร่ข้ามแอ่งโอฆสงสาร | ||
จะเด็ดรักหักบ่วงที่ห่วงมาร | เห็นกันดารไม่สำเร็จโดยเจตนา | ||
เพราะรึงรังกำลังด้วยโมโห | ทั้งโลโภเข้ามาเกาะเพราะตัณหา | ||
บาปทำซ้ำเติมจะเพิ่มพา | ให้เชือนช้าชักไว้ในโลกีย์ | ||
จะครรไลไปสถานพิมานสุข | ก็เห็นทุกข์ในกลางหว่างวิถี | ||
ยังทุรพลจนแต่บารมี | เป็นสุดที่จะได้ถึงซึ่งนิพพาน | ||
แสนมหาโพธิสัตว์ยังพลัดพลาด | เพราะประมาทอาจองในสงสาร | ||
ด้วยตัณหาทาระกำให้รำคาญ | เบญจมารมาระคนจนลังเล | ||
อันพวกเราเหล่าพวกชนาเนก | ยังโหยกเหยกตัณหาพาให้เห | ||
จะจวบจมตกหล่มในกาเม | เหลือคะเนในอนาคตกาล | ||
จึ่งคิดถึงความเพียรโพธิสัตว์ | เมื่อสัญจรในวัฏสงสาร | ||
ที่สร้างสมบารมีมีนิทาน | ในกัปกาลก่อนล่วงแต่หลังมา | ||
หวังจะให้ชายชาญชำนาญศิลป์ | แจ้งระบิลภิปรายไปภายหน้า | ||
บาลีในชาดกท่านยกมา | ยังไม่ปรากฏที่คัมภีร์ใด | ||
เรามิใช่เมธาบาเรียนปราชญ์ | ด้วยสามารถชี้แจงแถลงไข | ||
แต่บูราณท่านเล่าพอเข้าใจ | จัดแจงไว้ให้ระบือเลื่องลือยศ ฯ | ||
◉ จะขอกล่าวราวเรื่องนิทานหลัง | ในบูรังสมญามีปรากฏ | ||
เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นแดนโสฬส | ชื่อไกรจักรปรากฏบูรีรมย์ | ||
ประกอบด้วยศีลาปราการกั้น | สูงเจียนจดตะวันคะเนสม | ||
สีมารายปรายปราการปานเมืองพรหม | ระงมลมพัดต้องคะนองดัง | ||
ซุ้มทวารบานชิดที่ปิดเปิด | ฉลุลายฉลักเลิศเครือฝรั่ง | ||
มีมหาปราสาทราชวัง | แสงปลั่งสุกปลาบกาบมณี | ||
จตุรมุขสุกสว่างกระจ่างแสง | ระยับแดงเขียวเหลืองประเทืองศรี | ||
ผลึกลาดดาดฝ้าหลังคาดี | กระจกสีกระจ่างแสงแจ้งอัมพร | ||
สารพันสมบูรณ์พูนทรัพย์ | สารพัดสิ่งสรรพสลับสลอน | ||
เรือนจันทน์สรรสุดาพะงางอน | อรชรเฉิดโฉมประโลมตา | ||
เนาในห้องทองเป็นถ้องแถว | ดังนางแก้วเกิดประกอบวาสนา | ||
แห่งองค์รถสิทธิ์อิศรา | เพียงมหาจักรพรรดิขัตติยวงศ์ | ||
พระชมเชยเสวยสุขในสมบัติ | เป็นกษัตริย์อนุพันธุ์อันสูงส่ง | ||
ครองสนมรมเยศยุพยง | ไร้องค์เอกอัครชายา | ||
ฝูงนิกรไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ | ทั้งพระญาติมนตรีมียศถา | ||
สามนต์ต่างประเทศมีเจตนา | จะพึ่งเดชบุญญาบารมี | ||
ยกธิดามาถวายเป็นหลายสิบ | จะหยิบบุญแบ่งไปให้เป็นศรี | ||
เคืองระคางหมางพระทัยไม่ไยดี | สั่งให้นางเทวีคืนพารา ฯ | ||
◉ จะกลับกล่าวราวเรื่องถึงเศรษฐี | ในบูรีจำปากอันสุขขา | ||
มีทรัพย์เหลือที่จะนับคณนา | นามกรชื่อว่าท่านหิรัญ | ||
ภรรยาชื่อว่ากาญจนี | ผ่องศรีสมบูรณ์ทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ทั้งข้าวของทองนากมากครัน | สารพันข้าทาสดาษดา | ||
มีตึกกว้านบ้านเรือนเป็นเขื่อนขอบ | กำแพงรอบสองชั้นกั้นแน่นหนา | ||
ตั้งโรงหีบน้ำตาลทรายขายสุรา | เรือกสวนไร่นามีครบครัน | ||
เกวียนลากรับจ้างพวกลูกค้า | เป็นอัตรามิได้ขาดทุกสิ่งสรรพ์ | ||
บ่าวค้าเหนือล่องเรือเป็นนิรันดร์ | สารพันบริบูรณ์เป็นช้านาน | ||
จึ่งปรึกษาภรรยาผู้ร่วมใจ | ถ้าบุญเราหาไม่เป็นแก่นสาร | ||
เงินทองข้าวของแลสิงคาร | ไม่นานก็จะเป็นของเขาไป | ||
ด้วยเราไร้โอรสแลธิดา | จะครอบครองไปข้างหน้าหามีไม่ | ||
ห่วงสมบัติวัตถาแลข้าไท | มิได้ว่างเว้นสักเวลา ฯ | ||
◉ ครั้นพลบค่ำสนธยาราตรี | เศรษฐีเข้านอนในเคหา | ||
ดึกสงัดมัชฌิมเวลา | หลับสนิทนิทราแล้วฝันไป | ||
ว่ายังมีเทวาสุราฤทธิ์ | สถิตอยู่บนต้นพระไทรใหญ่ | ||
เข้าไปในเรือนด้วยทันใด | แล้วปราศรัยบอกความตามคดี | ||
ว่าผัวเมียสองคนอย่าบ่นบ้า | อยากได้บุตรธิดาเกษมศรี | ||
พระไทรใหญ่อยู่ข้างทิศหรดี | ไปบัตรพลีบวงบนต้นพระไทร | ||
นั้นแหละก็จะสมอารมณ์หมาย | จะขอลูกหญิงชายก็คงได้ | ||
เศรษฐีผวาตื่นขึ้นทันใด | ก็นึกได้ว่าฝันเป็นมั่นคง | ||
รุ่งสว่างสางแสงพระเวหา | ล้างหน้าแล้วมานั่งดังประสงค์ | ||
จึ่งแก้ฝันให้เมียฟังดังจำนง | เล่าความตามตรงที่ฝันไป | ||
กาญจนีว่าครั้งนี้เห็นสมคิด | ด้วยอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์มาบอกให้ | ||
มาเราจะพากันคลาไคล | ไปตามคำเทพไทให้รู้การ | ||
ว่าแล้วคืนเข้าในเคหา | แต่งตัวนุ่งผ้าเกษมศานต์ | ||
เรียกบ่าวไพร่อึงมี่ตะลีตะลาน | ให้ถือพานเทียนธูปเครื่องบูชา | ||
แล้วออกจากสถานพ้นบ้านช่อง | ทั้งพวกพ้องวงศ์วานไปแน่นหนา | ||
รีบเดินตามเนินมรคา | มิทันช้าถึงต้นพระไทรพลัน | ||
พระไทรใหญ่โตได้ถึงแปดอ้อม | กิ่งค้อมร่มชิดปิดสุริย์ฉัน | ||
ทิศหรดีทีจะจริงของเทวัญ | ก็พากันเข้าไปใต้ร่มไทร | ||
จึ่งจุดธูปเทียนทองมิทันช้า | บวงบนเทวาแล้วกราบไหว้ | ||
ประนมกรวอนว่าไปทันใด | ข้าอยากได้ลูกรักแต่สักคน | ||
ถ้าได้บุตรที่สุดเสน่หา | จะแก้บนเทพดาไม่ขัดสน | ||
ควายวัวหัวหมูคู่บานบน | สีชมพูห่มต้นพระไทรทอง | ||
จะปลูกศาลให้ตระการประไพจิตร | เสาปิดทองคำไม่มีสอง | ||
จะเวียนเทียนสมโภชแล้วโห่ร้อง | ใบศรีทองใบศรีนากมากครามครัน | ||
จะมีงิ้วโขนหนังทั้งละคร | ให้ถาวรเครื่องเล่นเป็นมหันต์ | ||
จะสมโภชสรรพเสร็จทั้งเจ็ดวัน | ตามยุบลรำพันที่กล่าวมา | ||
จงอารักษ์ศักดิ์สิงพระไทรใหญ่ | ขอให้ได้สมความปรารถนา | ||
แล้วกราบไหว้พระไทรอำลามา | บ่าวไพร่ก็พากันจรลี | ||
แล้วคืนกลับสถานยังบ้านช่อง | พร้อมพวกพร้อมวงศ์วานท่านเศรษฐี | ||
ครั้นอยู่มาเจียรกาลประมาณปี | กาญจนีมีครรภ์วันอังคาร | ||
ด้วยอารักษ์ชักสัตว์ให้ปฏิสนธิ์ | ประสูติบุตรสองคนเมื่อปีขาล | ||
เป็นฝาแฝดเดือนแปดวันอังคาร | ได้เมื่อทศกัณฐ์มารขับน้องยา | ||
ครบหกปีมีบุตรถึงหกคู่ | พิศดูหน้าแสนเสน่หา | ||
ล้วนสตรีมีโฉมประโลมตา | วัฒนาทั้งสิบสองกุมารี | ||
พี่คนใหญ่ชันษาได้สิบเก้า | นางน้องสาวอายุได้สิบสี่ | ||
จึ่งให้นามตามวงศ์พงศ์ผู้ดี | นางผู้พี่มีนามเมศรา | ||
ถัดไปไพรสพอันเฉิดฉาย | งามประโลมใจชายในใต้หล้า | ||
ชื่อมณีสีสันนั้นถัดมา | มรกตกัลยาอนงค์นาง | ||
คู่สามเกษอรกับผกา | โสภาราศีไม่มีหมอง | ||
คู่สี่มาลีทรงสำอาง | กับเอวบางบุศรากุมารี | ||
คู่ห้ามาลัยประไพพักตร์ | กับนงลักษณ์เบญจวรรณอันมีศรี | ||
คู่หกเสาวรัตน์สวัสดี | นางลำเภาโฉมศรีนั้นสุดท้อง | ||
พิมพ์พักตร์ลักขณานั้นเพริศพริ้ง | งามยิ่งสารพัดไม่ขัดข้อง | ||
ผิวฉวีสีเหลืองเรืองรอง | ดังทาทองนพคุณละมุนละไม | ||
เนตรคมหน้าขำผมดำขลับ | ไรรับพักตราน่าพิสมัย | ||
อรชรอ้อนแอ้นแสนวิไล | แม้นผู้ใดได้เห็นเป็นขวัญตา | ||
ด้วยผลบุญจุนเจือนางนงเยาว์ | แต่ก่อนเก่าสร้างสมมานักหนา | ||
เผอิญให้บิตุเรศแลมารดา | สุดแสนเสน่หาพันทวี | ||
อันเศรษฐีไหรัญนั้นประมาท | ด้วยแน่นเหนียวร้ายกาจเป็นพ้นที่ | ||
ไปบานบนขวนขวายได้บุตรี | ที่พระไทรใหญ่ทวีเป็นสำคัญ | ||
ครั้นได้บุตรสุดสวาทเสน่หา | ไม่แก้บนเทพดาในไพรสัณฑ์ | ||
เสียดายทรัพย์ข้าวของเงินทองนั้น | จะจำหน่ายให้ปันก็เสียดาย ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระไทรเทวฤทธิ์มีสิทธิศักดิ์ | บำรุงรักษ์เศรษฐีได้สมหมาย | ||
ไม่เห็นเครื่องพลีกรรมโดยภิปราย | แต่คอยหายนิ่งอยู่มาช้านาน | ||
สิบเก้าปีเศรษฐีไม่คำนับ | กิตติศัพท์เงียบเซียบไปทั้งบ้าน | ||
เทพไทขัดจิตคิดรำคาญ | เดือดดาลฤทัยอยู่ไปมา | ||
อุเหม่อุเหม่เศรษฐีนี้โกหก | คราววิตกมีกังวลซนมาหา | ||
ครั้นได้การสมถวิลจินตนา | ไม่กลับมาแลดูกูสักที | ||
เสียแรงเราสงเคราะห์สะเดาะทุกข์ | ช่วยทำนุกบำรุงผดุงศรี | ||
อันนวลนางสิบสองกุมารี | เรามีอุปถัมภ์ช่วยนำมา | ||
เออสิบสองราศีจะจุติ | เราดำริแนะนำพร่ำว่า | ||
ให้มาปฏิสนธิ์ในคัพภา | แห่งนางภรรยากาญจนี | ||
จนพี่ใหญ่ก็ได้ถึงสิบเก้า | น้องสาวก็ประจวบเข้าสิบสี่ | ||
อ้ายเศรษฐีไหรัญกาญจนี | มันจะได้ดูดีกันกับกู | ||
เหมือนเขาว่าได้ทุกข์ขุกเจ็บไข้ | มาบนให้ควายวัวกับหัวหมู | ||
ครั้นหายหกตกหล่นกำนลครู | ควายวัวหัวหมูก็หายไป | ||
ถึงกระไรในจิตจะคิดบ้าง | นี่มันช่างตัดเด็ดไม่เกล็ดให้ | ||
จะให้มันรู้จักศักดิ์สิทธิ์ไว้ | ไอ้จังไรชาติอกตัญญู | ||
ปางพระไทรเทพาวาจาสิทธิ์ | แค้นคิดแช่งประชดให้อดสู | ||
อ้ายเศรษฐีมีพยศปดกับกู | มันซื้อรู้แล้วจะทำให้รู้ตัว | ||
แต่นั้นมาข้าคนที่ใช้สอย | ก็ตำรอยตำมะรึงเพราะทำชั่ว | ||
มันอพยพหลบหายไปหลายครัว | ควายวัวขโมยลักหักคอกไป | ||
ทรัพย์สินลูกหนี้ก็หนีหาย | ที่ค้าขายก็หามีกำไรไม่ | ||
ทั้งเมียงามก็หนีตามชายชู้ไป | ทั้งเก่าใหม่ไปหมดได้อดอาย | ||
จะค้าบกตกเรี่ยก็เสียสูญ | กำไรทุนชาวป่าพาไปหาย | ||
เข้าของเงินทองก็วุ่นวาย | มีผู้ร้ายตีชิงวิ่งเอาไป | ||
ทรัพย์สินตั้งแต่จะบกพร่อง | เงินทองเหมือนกับปีกมันบินได้ | ||
มีแต่จะสูญหายละลายไป | บ่าวไพร่แต่จะใช้ก็ไม่มี | ||
ยังเหลืออยู่แต่ลูกสิบสองคน | ความกังวลแสนวิตกอกเศรษฐี | ||
ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่มี | เชื้อผู้ดีตกยากลำบากครัน | ||
จึ่งกระซิบปรับทุกข์กันเมียผัว | จะเลี้ยงตัวทำไฉนอย่างไรนั่น | ||
ลูกเราทั้งสิบสองคนนั้น | จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด | ||
จะเข้าชื่อซื้อขายก็อายหน้า | เขาจะค่อนนินทาไม่ปราศรัย | ||
คนนับถือลือเลื่องกระเดื่องไป | ตัวเราไซร้มั่งมีมาครามครัน | ||
จะตบแต่งให้ไปไม่มีทุน | ผู้ใดเล่าจะอุดหนุนให้เรานั่น | ||
ทั้งสองคนตรองตรึกปรึกษากัน | จะคิดอ่านผ่อนผันกันอย่างไร | ||
พรุ่งนี้พี่คิดจะไปสู่ป่า | พาสิบสองธิดาไปจงได้ | ||
ปล่อยเสียในป่าพนาลัย | จงหุงข้าวห่อไว้ให้จงดี | ||
จะแจกให้คนละห่อพอแก้หิว | อย่าบิดพลิ้วรั้งรอไม่พอที่ | ||
ไหรัญกระซิบสั่งกาญจนี | แล้วโศกีรักลูกสิบสองคน | ||
กาญจนีได้ฟังผัวสั่งเสีย | น้ำตาเรี่ยจากตาดังห่าฝน | ||
คิดอาลัยพันผูกด้วยลูกตน | สิบสองคนเจ้าจะไปไกลมารดา | ||
โอ้สงสารแต่ลำเภาสุดท้องแม่ | ยังอ่อนแอเป็นเด็กเล็กหนักหนา | ||
ขวัญข้าวเจ้าจะไปเสียไกลตา | มารดาเล่าก็แสนได้แค้นเคือง | ||
ด้วยความจนบ่นร่ำทุกค่ำเช้า | ได้กินข้าวแต่ละมื้อก็คางเหลือง | ||
จะหนักหน่วงห่วงเจ้าข้าวจะเปลือง | จักยักเยื้องแยกเจ้าให้เข้าไพร | ||
จึ่งตั้งสัตย์อธิษฐานด้วยวาจา | ขอเดชะเทพดาในป่าใหญ่ | ||
ช่วยคุ้มครองธิดาของข้าไซร้ | อย่าให้มีเหตุเภทภัยพาน | ||
แต่ครวญคร่ำร่ำรักซึ่งบุตรี | จนสุริย์ศรีจวนแจ้งแสงฉาน | ||
เอารำเคล้าเข้าห่อมิทันนาน | เตรียมการคนละห่อพอครบคน | ||
ห่อหนึ่งนั้นดีมีแต่ข้าว | ให้ลำเภาเอาไปกินเมื่อขัดสน | ||
เศรษฐีจัดแจงแล้วแต่งตน | แจงยุบลบอกลูกไปทันใด | ||
วันนี้พ่อจะพาไปสู่ป่า | เก็บพฤกษาหาฟืนตามแต่ได้ | ||
ด้วยจนยากลำบากเป็นพ้นไป | จะแจกให้ข้าวห่อสิบสองคน | ||
ทางก็ไกลไปมาถ้าค่ำคืน | แม้นดึกดื่นจะต้องค้างกลางไพรสณฑ์ | ||
แล้วยื่นข้าวให้ทั้งสิบเอ็ดคน | แต่ห่อหนึ่งไม่ปนให้ลำเภา | ||
สิบสองคนคำนับรับข้าวห่อ | จึ่งถามว่าพ่อจะไปข้างไหนเล่า | ||
ก็ตามแต่ปรารถนาบิดาเรา | สิบสองเจ้ามิได้ขัดหัทยา | ||
เศรษฐีฟังลูกยาว่าทุกข์อก | อย่าวิตกซึ่งจะไปที่ในป่า | ||
ฤดูนี้ผลไม้สุกระย้า | พฤกษาสารพันนั้นอุดม | ||
ทุเรียนลำไยก็ดกดาษ | ลางสาดทั้งลิ้นจี่ก็ิมีถม | ||
ขนุนหนังทั้งมะดูกลูกมะยม | อย่าปรารมภ์กรมใจในพงพี | ||
ทั้งผักหญ้าหาง่ายบนชายเขา | ไปแต่เช้าเก็บมาให้ถ้วนถี่ | ||
ลวงลูกให้เร่งจรลี | สิบสองนางฟังคดีก็ไคลคลา | ||
ถือข้าวห่อที่ให้ตะพายหิ้ว | เมื่อยมือถือพลิ้วขึ้นใส่บ่า | ||
ออกจากบ้านข้ามตะพานถึงทุ่งนา | พ่อก็พาเข้าดงตัดพงไป | ||
เดินในป่าพาลูกเข้าไพรชัฏ | จะกริ่งเกรงสิงสัตว์ก็หาไม่ | ||
เลี้ยวลัดดัดเดินดำเนินไป | หวังจะให้ลูกหลงเที่ยววงเวียน | ||
เวลาสายตะวันบ่ายสักน่อยหนึ่ง | บรรลุถึงภูผาศิลลาเลี่ยน | ||
สะอาดตาสนุกดีเป็นที่เตียน | ไม่มีเสี้ยนหนามรกที่รึงรัง | ||
เศรษฐีชวนลูกเต้าเข้าอาศัย | ก็ดีใจแล้วพากันมานั่ง | ||
ร่มรื่นพื้นบนใบไม้บัง | พร้อมพรั่งพ่อลูกสิบสองคน | ||
เห็นได้ที่เศรษฐีก็สั่งบุตร | เจ้าจงหยุดอย่าไปในไพรสณฑ์ | ||
พ่อจะไปริมคีรีมีกังวล | จรดลสักประเดี๋ยวเที่ยวหายา | ||
สิบสองนางฟังพ่อเข้าล่อหลอก | ไม่รู้ว่าย้อนยอกแกล้งมุสา | ||
นึกว่าพ่อไปแล้วจะกลับมา | เหมือนสัญญาว่าจะจริงก็นิ่งไป | ||
ฝ่ายเศรษฐีหนีลูกเข้าหลังเขา | จากลำเนาพฤกษาลัดป่าใหญ่ | ||
กลับมาบ้านหายรำคาญสบายใจ | ก็อยู่ในบ้านช่องแต่สองคน ฯ | ||
◉ ฝ่ายสิบสองนารีที่อยู่ป่า | ครั้นบิดาจรไปในไพรสณฑ์ | ||
แต่คอยหาช้าไปให้กังวล | ดูแต่ต้นมรคาบิดาไป | ||
ยิ่งคอยคอยก็ยิ่งหายจนสายเที่ยง | ฟังเสียงไม่ได้ยินถวิลไห้ | ||
หวั่นหวาดประหลาดจิตเห็นผิดใจ | พากันไปเที่ยวหาบิดาตัว | ||
เที่ยวสอดเสาะทุกละเมาะลำเนาไม้ | ในพงไพรพลบมืดขมุกขมัว | ||
ก็หวั่นไหวใจหวามด้วยความกลัว | กายระรัวร้อนเร่าให้เปล่าตา | ||
เห็นไม้ไหวแลไปคิดว่าพ่อ | ไม่รั้งรอกู่ก้องตะโกนหา | ||
เข้าใกล้ได้ยินเสียงสกุณา | ก็โศกาพากันเที่ยวสัญจร | ||
จนเสียงแห้งแรงอ่อนเห็นรังใหญ่ | มีเพิงผาอยู่ใต้ร่มสิงขร | ||
หยุดประทับยับยั้งด้วยแรงร้อน | ระอาอ่อนหวยระหายเพียงกายปลิว | ||
แสบท้องเหลือทนจนใจพ่อ | แก้ข้าวห่อออกมาเพลาหิว | ||
เห็นแต่รำห่อมากับปลาซิว | มีแต่ผิวหนังปลาให้หมากิน | ||
สิบเอ็ด[2]นางอย่างจะเด็ดชีวิตดับ | โอ้อาภัพจริงจริงทุกสิ่งสิ้น | ||
แม่เจ้ากรรมทำได้ช่างให้กิน | ก็ทิ้งข้าวลงดินทุกนารี | ||
ฝ่ายลำเภาแก้ข้าวของตัวเล่า | ก็เห็นข้าวเต็มห่อจึงเรียกพี่ | ||
มากินข้าวห่อฉันนั้นข้าวดี | ตามแต่มีพี่น้องต้องปันกัน | ||
นางลำเภาจัดแจงแบ่งข้าวห่อ | ให้แต่พอแก้จนคนละปั้น | ||
พอกลั้วลิ้นกินข้าวได้เท่ากัน | พอแรงนั้นชุ่มชื่นคืนยินดี | ||
ครั้นโพล้เพล้สนธยาเพลาค่ำ | สิบสองคนบ่นพร่ำจนถ้วนถี่ | ||
ก็รู้ว่ามารดาของข้านี้ | ใจไม่ดีลำเอียงไม่เที่ยงธรรม์ | ||
เราได้กินแต่ข้าวลำเภาให้ | พอชื่นใจจึ่งไม่ม้วยชีวาสัญ | ||
บิดาช่างกระไรใจฉกรรจ์ | มาบากบั่นทิ้งลูกผูกเวรา | ||
ทั้งพี่น้องร้องไห้ไม่วายโศก | แสนวิโยคต่างตนก็บ่นบ้า | ||
ชะรอยเวรากรรมได้ทำมา | บิดาพามาทิ้งเพราะชิงชัง | ||
ถึงยากง่ายเอาไปขายก็ไม่ว่า | จะแทนคุณบิดามารดาบ้าง | ||
มาทอดทิ้งเราได้ไม่อินัง | พ่อก็ช่างตัดได้ไม่กลัวกรรม | ||
โอ้อกเอ๋ยพี่น้องสิบสองหญิง | อนาถจริงใครเล่าจะอุปถัมภ์ | ||
จะตายด้วยสัตว์ร้ายกายระยำ | มืดค่ำแล้วจะไปข้างไหนนา | ||
นางลำเภาจึ่งว่าไปทันใด | เราอาศัยนอนที่นี่ดีหนักหนา | ||
ต่อรุ่งรางสางแสงพระสุริยา | จึ่งค่อยพากันจรซอกซอนไป | ||
พูดกันพลางทางชวนกันนิทรา | เอนกายาลงระงับก็หลับใหล | ||
ด้วยอารักษ์คุ้มครองป้องกันไว้ | หวังมิให้สัตว์ร้ายมาบีฑา | ||
ครั้นแสงทองส่องฟ้าเวหาหน | สิบสองคนออกจากร่มพฤกษา | ||
ไก่ขันสนั่นไพรไหววิญญา | คิดถึงแม่แลหาให้อาดูร | ||
จนซูบผอมผิดศรีฉวีวรรณ | ทั้งผิวพรรณงามโฉมก็โทรมสูญ | ||
คิดถึงพ่อก็ให้แค้นแสนอาดูร | ให้เพิ่มพูนถวิลทุกข์ทุกเวลา | ||
ได้ยินเสียงสกุณีร้องมี่ก้อง | ชะนีเหนี่ยวไม้ร้องร้องเรียกหา | ||
ให้ฉุนเฉียวเฉลียวคิดถึงมารดา | อนิจจาเคยอยู่บ้านสำราญใจ | ||
อกเอ๋ยไม่เคยมาตกยาก | แสนลำบากเคืองเข็ญเป็นไฉน | ||
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ฉุกใจ | ทั้งสิบสองทรามวัยก็โศกี ฯ | ||
◉ ครั้นค่อยคลายหายโศกกันแสงศัลย์ | ก็พากันจรไปในไพรศรี | ||
เจ็บบาทาค่อยย่องจ้องจรลี | แรงไม่มีอ่อนใจไปโซเซ | ||
อดอาหารโหยหาหิวหน้าแห้ง | จนสิ้นแรงผอมไผ่ใจโผเผ | ||
ไม่รู้แห่งตำแหน่งไหนให้โลเล | คิดระเหระหนหาอาหารกิน | ||
ชวนกันมองตามช่องระหว่างผา | แสวงหาลูกไม้ดังใจถวิล | ||
หิวระหวยฉวยอะไรได้ก็กิน | พอกลั้วลิ้นเลี้ยงท้องสิบสองนาง | ||
จะกลับหลังตั้งหน้าคืนมาบ้าน | ก็บันดาลเดินหลงเข้าดงกว้าง | ||
ปรึกษากันพี่น้องสิบสองนาง | เราหลงทางแล้วจะไปข้างไหนดี | ||
นางลำเภาสาวน้อยจึ่งค่อยว่า | จะตั้งหน้าไปข้างไหนไปเถิดพี่ | ||
คงจะพบเรือนเหย้าชาวบุรี | พอเป็นที่อาศัยในบ้านคน | ||
เมศราว่าจริงแล้วนะแม่ | จะท้อแท้ทำไมไม่เป็นผล | ||
ชีวิตเราพี่น้องสิบสองคน | จะปี้ป่นตายเป็นก็เป็นไป | ||
พูดกันพลางทางเดินเข้าเนินผา | พากันมาเลี้ยวลัดตัดไศล | ||
หนามเกี่ยวเลือดย้อยเป็นรอยไป | รีบคลาไคลตามแถวแนวอรัญ | ||
อุตส่าห์เดินเถิดนะเจ้าอย่าเศร้าสร้อย | ตะวันคล้อยลงแล้วรีบผายผัน | ||
ทั้งสิบสองกัลยาก็จรจรัล | บรรลุถึงสวนขวัญเข้าทันที | ||
ขนุนหนังลางสาดมะตาดต้อง | พลับพลองลำไยกล้ายลิ้นจี่ | ||
มังคุดพุทราพะวาดี | กล้วยตานีหักมุกลูกอัมพา | ||
ใต้ต้นเตียนสบายทรายสะอาด | รุกขชาติงามล้ำดังเลขา | ||
เหมือนไม้ฉากหลากผลหล่นลงมา | เกลื่อนสุธากลาดกลิ้งทิ้งลงดิน | ||
สวนนั้นของนางอสุรี | นามบูรีทานตะวันทิศทักษิณ | ||
นางสุนนทามารอสุรินท์ | เป็นปิ่นเกล้ายักษาในธานี | ||
ประกอบด้วยกำพตวิเศษมนต์ | ถกลทิพโอสถภิเษกศรี | ||
จะประสงค์สิ่งใดในธรณี | ก็ได้ด้วยฤทธีวิเศษมนต์ | ||
ถึงพระพายพานพัดขจัดกล้า | จะห้ามว่าอย่าให้พัดในเวหน | ||
ก็สมใจห้ามได้ดังเล่ห์กล | มนต์นั้นเรียนได้จากพระมารดา | ||
ครั้นสิ้นบุญบิตุเรศชนนี | ได้ปกป้องครองบูรีแห่งยักษา | ||
ไร้คู่อยู่เดียวเปลี่ยวกายา | ครองประชาราษฎรไม่ร้อนรน | ||
วันหนึ่งรำพึงด้วยสมบัติ | โทมนัสคิดไปในนุสนธิ์ | ||
จะหาบุตรสุดรักนิฤมล | อันถกลตระกูลประยูรวงศ์ | ||
อันตัวกูไร้คู่เสน่หา | จะใคร่ได้ธิดาดังประสงค์ | ||
หมายจะให้อยู่ครองสนององค์ | ควรตำรงนคเรศอสุรี | ||
จึ่งออกนั่งยังท้องพระโรงรัตน์ | พร้อมขนัดเสนางค์ของยักษี | ||
จึ่งสั่งสิทธิกรรม์ด้วยทันที | กูนี้จะไปเที่ยวในชมพู | ||
จงรักษาธานีอยู่ข้างหลัง | กูกลับวังอย่าเอาร้ายมาป้ายหู | ||
จงกำชับป้อมรายแลค่ายคู | อย่าให้ศัตรูมาบีฑา | ||
หนึ่งสวนแก้วอุทยานสำราญยศ | ปรากฏพระราชพฤกษา | ||
มะม่วงหาวมะนาวโห่อันโอฬาร์ | เกิดสำหรับพาราเป็นเสี่ยงทาย | ||
แต่ดอกใบนั้นอย่าให้ใครจับต้อง | จะเกิดกองทุกข์เข็ญเป็นเหลือหลาย | ||
ใครเข้ามาจับฆ่าเสียให้ตาย | เร่งบาดหมายตรวจดูอยู่ระวัง | ||
สิทธิกรรม์รับสั่งอาญาสิทธิ์ | จึงเขียนหมายไปปิดตามรับสั่ง | ||
สุนนทากลับเข้านิเวศวัง | ทรุดนั่งยังแท่นรัตนา | ||
สาวสรรยักษีพนักงาน | หมอบกรานชะเง้อเสนอหน้า | ||
คอยฟังรหัสดูอัชฌา | จะตรัสด้วยกิจจาประการใด ฯ | ||
◉ นางสุนนทามารยักษี | แต่งองค์เทวีหาช้าไม่ | ||
ทรงภูษาผืนแดงดังแสงไฟ | ฉลององค์เข้มขาบไหมดูเพราพราย | ||
สิบนิ้วสอดทรงธำมรงค์รัตน์ | สังวาลสร้อยสายสะพัดจำรัสฉาย | ||
เข็มขัดเพชรลงยาพรรณราย | สไบลอยดอกลายเครือวัลย์ | ||
โขมพัสตร์กระหวัดเวียนพระเศียรสม | คาดนมตะแบงมานดูแข็งขัน | ||
ทรงกำพตยศไกรดังไฟกัลป์ | จรจรัลจากปรางค์ย่างกราย | ||
โอมอ่านมหาจินดาเวท | บันดาลเหตุเหาะขึ้นเวหาหาย | ||
เฉียวฉิวปลิวไปด้วยพระพาย | ผันผายเผ่นฟ้าจากธานี | ||
เที่ยวไปทุกประเทศเขตพิภพ | จบเมืองในทวีปชมพูศรี | ||
เล็ดลอดสอดดูทุกบูรี | หวังจะหาสามีแนบนอน | ||
บ้านน้อยเมืองใหญ่ก็ไปจบ | ไม่พานพบบุตรีสโมสร | ||
ก็เผ่นฟ้าผ่าเมฆบทจร | ถึงนครจำปากบูรีรมย์ | ||
เห็นภูมิฐานบ้านเมืองนั้นมั่งคั่ง | เวียงวังดูอร่ามงามสม | ||
คำนึงในฤทัยดังนิยม | ว่าเมืองนี้อุดมเจษฎา | ||
ชะรอยว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ | สูงส่งปรากฏมียศถา | ||
จำกูจะไปทอดทัศนา | ในมหาปราสาทราชวัง | ||
แม้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองนี้ | สำอางองค์ทรงศรีเปล่งปลั่ง | ||
จะพาไปพิศมัยในบูรัง | ครองนิเวศเขตวังของเรา | ||
คิดแล้วนางมารก็ลินลาศ | ผันผาดเข้าแอบอยู่เงื้อมเขา | ||
พักผ่อนหายร้อนค่อยบรรเทา | พอพลบค่ำจึ่งจะเข้าไปในบูรี ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงบรมพรหมทัต | ผ่านสมบัติจำปากบูรีศรี | ||
แสนสุดสุขกระเษมเปรมปรีดิ์ | ในจำปากบูรีพระนคร | ||
เกศินีที่เป็นอัครชายา | ก็ประสูติธิดาสายสมร | ||
รูปโฉมโนมพรรณนางบังอร | อรชรจิ้มลิ้มพริ้มพักตรา | ||
แต่อายุหกเดือนกับเจ็ดวัน | นางจอมขวัญแสนโสมนัสสา | ||
รักใคร่ในบุตรสุดปัญญา | ดังดวงตาของชนกชนนี | ||
ทั้งพี่เลี้ยงนางนมก็พรั่งพร้อม | ห้อมล้อมถนอมเลี้ยงนางโฉมศรี | ||
จัดแจงอู่ทองล้วนของดี | ให้มารศรีบรรทมสำราญใจ | ||
พระพี่เลี้ยงนางนมคอยเห่ช้า | จวนเวลาก็มาพร้อมล้อมไสว | ||
เห่กล่อมแซ่เสียงสำเนียงไป | อยู่ในห้องแก้วแพรวพรรณ | ||
เมื่อจะเกิดเหตุเภทภัยพาล | ให้บันดาลให้สงัดเงียบทั้งไอศวรรย์ | ||
พลบค่ำสนธยาสายัณห์ | พวกรักษาหน้าที่นั้นก็กองไฟ | ||
นายประตูผู้รักษาพระทวาร | ก็ลั่นดาลแน่นหนาหาช้าไม่ | ||
บ้างตีฆ้องกองเกณฑ์ตระเวนไป | รอบในนคเรศเขตธานี ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงนนทา[3]สุรามาร | เข้าแอบอยู่ที่ชานบุรีศรี | ||
พอพลบค่ำสนธยาราตรี | อสุรีแอบย่องไปมองดู | ||
คิดแล้วร่ายมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ | สะกดจิตโยธาทุกหมวดหมู่ | ||
ให้รี้พลล้อมวังนั่งประตู | มิให้รู้สึกสมประดี | ||
ก็ค่อยย่องเข้าไปในปราสาท | องอาจดุจนางราชสีห์ | ||
ร่ายเวทวิเศษประสิทธี | ทวาราวดีประสาทนาง | ||
ก็แย้มชักสลักหลุดผลุดเผลาะ | สะเดาะห้องหอรีและหอขวาง | ||
ประทีปแจ้งแสงส่องทุกห้องนาง | แจ่มกระจ่างดังว่าทิวาวัน | ||
นางมารทัศนาในปราสาท | โอภาสเครื่องแต่งแสงฉัน | ||
เตียงตั้งแท่นแก้วแพรวพรรณ | ล้วนสุวรรณเลขาศิลาพราย | ||
นางสนมสมบูรณ์จำรูญโฉม | งามประโลมล้ำเลิศเฉิดฉาย | ||
อสุรียลยิ้มพริ้มพราย | แล้วผันผายเข้าในห้องกระษัตรา | ||
เห็นอู่ทองรองนางกุมารี | มีพี่เลี้ยงทั้งสี่อยู่ซ้ายขวา | ||
นางก็เร่งพิศวงด้วยสงกา | เข้ามาแลดูอยู่ช้านาน | ||
เห็นบุตรีกรุงกระษัตริย์สุริยวงศ์ | ประทมในอู่ทรงน่าสงสาร | ||
พักตรากายาเยาวมาลย์ | เปรียบปานทองแท่งธรรมดา | ||
นางยิ่งดูไปใจยิ่งรัก | วรพักตร์ดังเทพเลขา | ||
แล้วโอบอุ้มจุมพิตพระธิดา | ขึ้นไว้แอบอุราอสุรี | ||
ก็บังเกิดน้ำนมพรมหยด | ปรากฏจากถันของยักษี | ||
ด้วยกุศลหนหลังกุมารี | เคยเป็นบุตรีสุนนทา | ||
กุมารีอ้าอมนมเสวย | ดื่มเลยมิได้คลายโอษฐา | ||
กรกำขยำนมอสุรา | นางมารจินตนาด้วยยินดี | ||
รักเหมือนธิดานั้นมาเกิด | กำเนิดจากครรภ์ของยักษี | ||
คำนึงในฤทัยอสุรี | กูนี้จะพาพระธิดา | ||
ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม์ | ครอบครองเขตขันธ์ด้วยหรรษา | ||
ทั้งโภไคยไอศูรย์สวรรยา | กูมรณาจะได้สืบสุริย์วงศ์ | ||
จึ่งร่างสารศุภลักษณ์เป็นอักษร | โดยสุนทรเรื่องความตามประสงค์ | ||
หวังจะให้กรุงกระษัตริย์สุรีวงศ์ | ที่เป็นองค์ชนกชนนี | ||
ในลักษณ์นั้นว่าสุทามาร[4] | เป็นปิ่นผ่านทานตะวันบุรีศรี | ||
อย่าให้บิตุรงค์ทรงโศกี | ทุกข์ทวีเทวษเศร้าถึงลูกยา | ||
เราไร้ภัสดาและบุตรี | จะขอไปไว้เป็นที่เสน่หา | ||
ทั้งโภไคยไอศูรย์สวรรยา | จะมอบให้ธิดาทั้งธานี | ||
ครั้นจารึกราชสารลงลานแล้ว | นางมารผ่องแผ้วกระเษมศรี | ||
แขวนไว้ที่อู่ทองมณี | อสุรีอุ้มนางเหาะไปพารา | ||
ลอยคว้างมากลางเวหาหน | สุริยนแจ่มแจ้งพระเวหา | ||
เชยชมมาพลางกลางเมฆา | ดุจกาคาบแก้วกระพือบิน | ||
คว้างคว้างมากลางเวหาหาว | ก็ถึงด้าวแดนมารสถานถิ่น | ||
เหาะลงปรางค์ปราในธานินทร์ | ก็ลินลาศเข้าสู่ปราสาทไชย ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงพี่เลี้ยงทั้งสี่ | ซึ่งรักษาบุตรีในกรุงใหญ่ | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริโยอโณทัย | แลไปไม่เห็นพระบุตรี | ||
ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย | วุ่นวายบอกกันอยู่อึงมี่ | ||
ว่าองค์พระราชกุมารี | ประทมอยู่ในที่พระอู่ทอง | ||
หายไปไม่เห็นเหตุไฉน | ต่างต่างตกใจให้หม่นหมอง | ||
บ้างข้อนทรวงโศกาน้ำตานอง | ทั้งกลัวตัวจะต้องพระอาชญา | ||
สาวสนมกำนัลทุกหมวดหมู่ | ค้นคว้าหาดูเป็นหนักหนา | ||
ทุกห้องหับสับสนเที่ยวค้นคว้า | บ้างบ่นว่าน่าอัศจรรย์ใจ | ||
บ้างก็ว่าถ้าไม่ได้พระบุตรี | เห็นชีวีเรานี้จะตักษัย | ||
บ้างบนบานศาลกล่าวกันวุ่นไป | ถวายพวงมาลัยสักสิบพวง | ||
แล้วแยกย้ายรายกันเที่ยวค้นคว้า | ทุกห้องหับกัลยาพวกข้าหลวง | ||
ไม่พานพบบุตรีธิดาดวง | บ้างข้อนทรวงมาทูลพระชนนี | ||
ว่าองค์พระธิดาดวงใจ | ประทมในอู่ทองผ่องศรี | ||
หายไปในราษราตรี | เมื่อใกล้ศรีสุริโยอโณทัย ฯ | ||
◉ ปางองค์อัคเรศเกษณี | แจ้งคดีกัมปนาทหวาดหวั่นไหว | ||
ดังพระกาลผลาญชีพให้บรรลัย | มาเด็ดเอาดวงใจไปจากองค์ | ||
ทั้งพระจอมจำปากกรุงกระษัตริย์ | แจ้งอรรถแล้วรำพึงตะลึงหลง | ||
เหตุไฉนใครหนอช่างตัวยง | มาลักองค์พระธิดากูพาไป | ||
จะว่าเป็นศัตรูมาดูถูก | ลักลูกเช่นนี้หามีไม่ | ||
จึ่งชวนเหล่าสาวสรรกำนัลใน | มาจะลงไปดูให้รู้การ | ||
ตรัสพลางทางเสด็จจรลี | กับองค์มเหสียอดสงสาร | ||
ครั้นเข้าใกล้แลไปเห็นใบลาน | ก็ยื่นหัตถ์หยิบมาอ่านด้วยทันใด | ||
ครั้นประจักษ์เรื่องสารในอักษร | นรินทรเสื่อมคลายหายสงสัย | ||
แล้วออกข้างหน้าหาโหรมาทันใด | ภูวไนยจึ่งแจ้งแห่งเหตุการณ์ | ||
แล้วซักถามโหราพฤฒาเฒ่า | ว่าลูกเราหายไปไกลสถาน | ||
อันสาราจารึกในใบลาน | ว่าขานเท็จหรือจริงยังกริ่งใจ | ||
จงทายทักให้ประจักษ์ตามรู้เห็น | ว่าตายเป็นจงแจ้งแถลงไข | ||
ฝ่ายโหรกราบก้มบังคมไท | เข้าใจจับกระดานมาหารคูณ | ||
เอาปุตตะมาบวกด้วยชันษา | เอาสามมาบวกเหตุเป็นเศษศูนย์ | ||
ที่ชันษาพระธิดานั้นสมบูรณ์ | ราศีร่วมเค้ามูลกับชะตา | ||
เหตุด้วยพระเสาร์มาเล็งลัคน์ | แจ้งประจักษ์แล้วหมอหัวร่อร่า | ||
จึ่งกราบทูลความตามตำรา | พระอาชญาสุดแต่จะโปรดปราน | ||
นี่หากว่าพระธิดามารับเคราะห์ | ดังสะเดาะทุกข์โศกจากสถาน | ||
ถ้าหาไม่ก็จะได้ความรำคาญ | พระภูบาลจะต้องไปจากพารา | ||
หญิงกาลกิณีมาต้องมูล | จะอาดูรด้วยหญิงมารสา | ||
บุตรนั้นเป็นศรีทับจรมา | ร่วมราศีกันทันนาที | ||
นางมารจึ่งได้เห็นแต่พระหน่อ | ถ้าเห็นพ่อสุนนทาจะพาหนี | ||
ลูกหายทายว่าพระเคราะห์ดี | พระภูมีอย่าทรงพระอาลัย | ||
แต่ชันษาพระธิดานั้นดีนัก | จะมีศักดิ์สมปองครองมไห | ||
จะเลื่องชื่อลือตระหลบภพไตร | แจ้งพระทัยอย่าได้ทรงวิตกเลย | ||
มเหสีฟังโหรมาทายทัก | ไม่ประจักษ์ถามโหรว่าตาเอ๋ย | ||
ลูกหายทายว่าดีข้ามิเคย | กรรมเอ๋ยไม่เคยฟังเลยอย่างนี้ | ||
หมอทูลตามสนองให้ต้องกิจ | มันลักผิดไปดอกนะพระโฉมศรี | ||
ถ้าลักถูกก็จะพาพระสามี | เกิดกุลีวุ่นวายทั้งเวียงไชย | ||
ไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองแค้น | พระแม่เจ้าก็จะแสนกระมลไหม้ | ||
อย่าเศร้าสร้อยโศกาให้อาลัย | จงหักใจเสียเถิดพระทรงธรรม์ | ||
สองพระองค์ทรงฟังตาโหรเฒ่า | ที่โศกเศร้าเสื่อมหายคลายกระศัลย์ | ||
พระราชทานเงินทองของรางวัล | แพรพรรณเสื้อผ้าให้อาจารย์ | ||
เถลิงศกปีใหม่เกษณี | ก็ประสูติบุตรีเมื่อปีขาล | ||
งามพริ้งยอดสุดาพารามาลย์ | เหมือนนงคราญโฉมฉายที่หายไป | ||
จึ่งให้นามตามวงศ์พระมารดา | ชื่อเกษณีแก้วผกาอันผ่องใส | ||
แสนถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ | สำราญใจกระเษมสุขอยู่ในวัง ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงสุนนทาอสุรี | ถึงปราสาทแล้วมีบัญชาสั่ง | ||
ให้ชาวแม่และสนมกรมวัง | อีกทั้งชาวสะดึงที่ตัวดี | ||
ชาวพระคลังวิเสทข้างฝ่ายใน | ให้ไปเบิกโขมพัสตร์อันรังสี | ||
เย็บยี่ภู่ทรงองค์เทวี | สำหรับที่ลูกหลวงจะบรรทม | ||
ให้ช่างทองกรองอู่สุวรรณมาศ | งามประหลาดด้วยมณีล้วนศรีสม | ||
พระพี่เลี้ยงขอเฝ้าแลเจ้ากรม | นางนมขับกล่อมพร้อมมากมี | ||
ฟักฟูมอุ้มเสวยให้บรรทม | เชยชมพระธิดามารศรี | ||
ขนานนามกัลยาว่าเมรี | จำเริญศรีวัฒนาสถาพร | ||
ชันษาเจ็ดปีมีศักดิ์ | สารพัดรู้หลักเขียนอักษร | ||
สุนนทาเชยชิดสนิทนอน | ไม่เจียรจรไปจากพระธิดา | ||
ยามเสวยกระยาหารทุกเช้าค่ำ | เสวยน้ำเมรัยด้วยหรรษา | ||
ดังดวงใจของนางสุนนทา | สุดแสนเสน่หาพันทวี ฯ | ||
◉ จะกลับกล่าวจับเรื่องสิบสองนาง | หลงทางอยู่ในสวนของยักษี | ||
เที่ยวชมผลพฤกษาบรรดามี | ไม่รู้ว่าสวนศรีของนางมาร | ||
เห็นพฤกษาผลาผลนั้นสุกสด | ปรากฏงามไสวทั้งใบก้าน | ||
บ้างทรงผลหล่นกลาดดาษดินดาน | งามตระการรื่นเริงบันเทิงใจ | ||
บ้างเก็บผลไม้ลูกที่สุกสด | อร่อยรสโอชาจะหาไหน | ||
ชวนกันกินเล่นสำราญใจ | เที่ยวชมพรรณมิ่งไม้มีหลายพรรณ | ||
เห็นสระศรีมีอยู่ที่กลางสวน | ก็ชวนกันลงอาบกระเษมสันต์ | ||
ด้วยร้อนรนกระวนกระวายมาหลายวัน | ค่อยกระสันชื่นบานสำราญใจ | ||
แล้วขึ้นจากสระศรีมิทันช้า | เที่ยวชมพรรณพฤกษางามไสว | ||
เห็นมะม่วงพวงงามอร่ามไป | มะนาวใหญ่เคียงอยู่เป็นคู่กัน | ||
สิบสองนางต่างคนเข้าน้าวกิ่ง | แย่งชิงกันเก็บแล้วสรวลสันต์ | ||
หักมะม่วงพวงงามอร่ามครัน | ลางคนนั้นหักมะนาวลงก่ายกอง | ||
ต้นมะม่วงร่วงแล้วก็ร้องหาว | ผลมะนาวลูกโตก็โห่ก้อง | ||
เสียงสนั่นลั่นป่าดังฟ้าคะนอง | โห่ร้องสนั่นดังทั้งกรุงไกร | ||
ฝ่ายพวกพลมารที่อยู่เฝ้า | ก็บอกกล่าวต่อกันอยู่หวั่นไหว | ||
พลเมืองเล่าลือกันอื้อไป | ตกใจตื่นวิ่งเป็นสิงคลี | ||
บ้างก็เข้าไปแจ้งซึ่งยุบล | แก่สุนนทามารยักษี | ||
ว่าต้นไม้เสี่ยงทายพระบูรี | เผอิญมีเสียงโห่เป็นโกลา | ||
สุนนทามารครั้นได้ฟ้ง | ให้แค้นคั่งขัดใจเป็นนักหนา | ||
ฉวยกำพตเพชรรัตน์อันศักดา | นางมารรีบมาอุทยาน | ||
ถึงสวนด่วนเข้าไปด้อมมอง | เห็นสิบสองกัลยาสนุกสนาน | ||
สอยมะม่วงพวงหล่นลงดินดาน | นางมารโกรธานัยน์ตาแดง | ||
ร้องตวาดด้วยเสียงสำเนียงดัง | อุเหม่มึงโอหังช่างขันแข็ง | ||
ล่วงลัดตัดทางมากลางแปลง | เข้าถึงแขวงแว่นแคว้นแดนของกู | ||
จะจับฟัดกัดกินให้สิ้นซาก | พลางสำรากคุกคามตะคอกขู่ | ||
อีหน้าเป็นจะได้เล่นกันกับกู | ว่าแล้วโจมจู่เข้าจับนาง | ||
สิบสองคนใจพรั่นขวัญหาย | ดังชีวิตจะละลายไปจากร่าง | ||
ร้องกราดกรีดหวีดผวาเที่ยวหาทาง | หนีนางอสุรีไม่มีใจ | ||
ฝ่ายเทพอารักษ์นิโครธนั้น | อยู่ป้องกันสายสวาทไม่ขาดได้ | ||
กำบังตาสุนนทาเสียทันใด | มารมิได้เห็นนางสิบสองคน | ||
ทั้งสิบสองหนียักษ์เข้าป่าใหญ่ | ซอกซอนซ่อนไปในไพรสณฑ์ | ||
มารไม่เห็นเผ่นเหาะขึ้นนภภน | เทพดลใจมารทะยานไป | ||
สิบสองคนแสนกลัวตัวสั่นเหลือ | กลัวเสือก็หากลัวเหมือนยักษ์ไม่ | ||
เที่ยวบุกรกด้นดั้นพากันไป | หนามไหน่เกี่ยวยับเลือดซับกาย | ||
จูงมือกันพลางทางบ่นว่า | เห็นไม่รอดชีวาอย่าพักหมาย | ||
เราพี่น้องครั้งนี้ถึงที่ตาย | จะวอดวายเป็นเหยื่ออสุรี | ||
จึ่งตั้งสัตย์อธิษฐานด้วยวาจา | ขอเดชะเทพดาทุกราศี | ||
อันตัวข้าทั้งสิบสองพี่น้องนี้ | แม้ถึงที่มรณาไม่อาลัย | ||
แม้นไม่ถึงที่ตายวายชนม์ | ขอให้พ้นมือมารไปจงได้ | ||
เสร็จตั้งจิตพิษฐานด้วยทันใด | พอเกือบใกล้สถานท่านโยคี | ||
นางลำเภาบอกพี่สาวโน่นอะไร | มีเสาหงส์ธงใหญ่ตรงนี้นี่ | ||
ครั้นมาใกล้แลไปเห็นกุฎี | อารามกลัวอสุรีวิ่งพัลวัน | ||
วันนั้นพระสิทธาเธอกวาดลาน | ทั้งสิบสองเยาวมาลย์รีบผายผัน | ||
วิ่งเข้ากอดบาทพัลวัน | โปรดดีฉันช่วยชีวิตไว้เอาบุญ | ||
พระสิทธาตาไม่เห็นเอามือป้อง | แล้วแกร้องว่าอะไรออกว้าวุ่น | ||
มายื้อยุดฉุดกูออกชุลมุน | นี่เกิดขุ่นขึ้นอย่างไรไปไหนมา | ||
ทั้งสิบสองกัลยาก็ทูลไข | อีนางยักษ์มันจะไล่พิฆาตฆ่า | ||
พระมุนีนึกสมเพชเวทนา | อียักษาตาจะช่วยอย่ากลัวมัน | ||
สุทามารทะยานขึ้นบนอากาศ | ผิดประหลาดไม่แลเห็นเป็นแม่นมั่น | ||
กลับลงมายังพี้นสุธาพลัน | ผายผันเล็งแลไปแต่ไกล | ||
เห็นนางเข้าไปอยู่ที่สิทธา | แล้วร้องว่าจะพ้นมือหรือไฉน | ||
พระอาจารย์เห็นอีมารก็ขัดใจ | เอาไม้กวาดแกว่งไปต่างกระบอง | ||
แล้วก็ร้องว่าเหม่อีนางมาร | อหังการดูถูกทำจองหอง | ||
อวดศักดากล้าหาญพาลคะนอง | กูจะลองให้เห็นฤทธิ์อันเกรียงไกร | ||
แล้วอ่านมนต์คาถามหาเวท | อันวิเศษเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
เอาไม้กวาดฟาดหวดแล้วแกว่งไป | เป็นเปลวไฟไล่ล้างอีนางมาร | ||
สุนนทาเห็นไฟมาไล่รุก | ก็หนีบุกซุกไปในไพรสาณฑ์ | ||
แล้วรีบเหาะหนีตะลีตะลาน | ไปยังเนินจักรวาลด้วยทันใด | ||
พระอาจารย์จึ่งบรรหารสารสนอง | นี่ถิ่นฐานบ้านช่องเอ็งอยู่ไหน | ||
จึ่งพากันซอกซอนสัญจรไพร | อีมารไล่วิ่งกระจัดซัดเซมา | ||
สิบสองนางพลางทูลสนองไข | จึ่งเล่าความหลังไปไม่กังขา | ||
ด้วยแสนยากสุดจนพ้นปัญญา | บิดาพามาปล่อยเสียในไพร | ||
จึ่งหนียักษามาพบพระอัยกา | รอดชีวาเพราะพระคุณช่วยไว้ได้ | ||
ถ้าหาไม่ชีวันคงบรรลัย | จงทราบใต้เบื้องบาทบทมาลย์ ฯ | ||
◉ พระสิทธาฟังว่าน่าสมเพช | สิบสองร่วมบิตุเรศกันฤๅหลาน | ||
ล้วนสาวสาวรุ่นราวคราวกระการ | มาบันดาลเกิดเข็ญเป็นทุกข์ภัย | ||
แล้วหลับเนตรสำรวมฌานญาณกิจ | ก็ทราบกิจเรื่องหลังครั้งไหนไหน | ||
เห็นประจักษ์แจ้งสิ้นไม่กินใจ | แล้วปราศรัยว่าชะตายังร้ายครัน | ||
ถูกเมื่อสดายุนั้นปีกหัก | แทบจักสิ้นชีวาอาสัญ | ||
จะอยู่ด้วยกับตาลำบากครัน | ไม่ต้องด้วยทางธรรม์ซึ่งชีไพร | ||
แล้วหยิบเอาพฤกษาโอชารส | อันปรากฎลูกส้มมะยมใหญ่ | ||
ขนุนหนังทั้งทุเรียนลูกลำไย | เฟืองไฟลูกตะโกล้วนโอชา | ||
จึ่งชวนกันกินเถิดให้สำราญ | พอชื่นบานผลไม้ของในป่า | ||
สิบสองนางพลางกินของสิทธา | เสร็จแล้วก็พากันกราบกราน | ||
ว่าพระคุณเลิศลบจบธาตรี | ไม่มีผู้ใดเปรียบเสมอสมาน | ||
ขอหยุดพักสักเพลาราตรีกาล | ต่อรุ่งแจ้งสุริฉานจะกราบลา | ||
ว่าพลางเหลียวดูทินกร | ศศิธรลับไม้ไพรพฤกษา | ||
พระอาจารย์ชี้บอกกับกัลยา | ศัลลาโน่นเปล่าอยู่จงไปนอน | ||
ทั้งสิบสองก็ชวนกันไคลคลา | เข้านอนในศัลลาสโมสร | ||
ครั้นรุ่งรางสางแสงทินกร | บังอรล้างหน้าด้วยทันใด | ||
แล้วกราบลาอาจารย์ผู้ชาญเวท | พระเดชนั้นล้นเกล้าจะหาไหน | ||
หลานจะลาซอกซอนสัญจรไป | ตามกุศลทำไว้ได้สร้างมา | ||
พระอาจารย์จึ่งว่าหลานนี้เคราะห์ร้าย | ยังมากมายหลายอย่างไปข้างหน้า | ||
จะเวียนทุกข์เวียนสุขอยู่ไปมา | ต่อเดือนห้าปีเถาะสิ้นเคราะห์ร้าย | ||
จงไปเถิดทางเฉลียงเฉียงอิสาน | จะพบพานบ้านเมืองได้สมหมาย | ||
หลานจงเร่งระมัดระวังกาย | ถึงได้ดีแล้วจะกลายเมื่อปลายมือ | ||
แล้วให้พรถาวรสวัสดี | จงเป็นที่ประชาชนคนนับถือ | ||
ปรากฏเกียรติยศให้เลื่องลือ | ให้มีชื่อรุ่งสราญกระการไป | ||
สิบสองนางกราบก้มบังคมคัล | ก็โศกศัลย์โศกาน้ำตาไหล | ||
พากันจรดลด้นดั้นไป | ลุถึงกรุงไกรนครา | ||
มาพบต้นพระไทรใบดก | คิดวิตกกลัวยักษ์อยู่หนักหนา | ||
ใต้ต้นไทรแลโล่งไม่ลับตา | จะอยู่อาศัยนั้นไม่กันภัย | ||
เห็นสระน้ำอยู่ใต้พระไทรนั้น | วารีสีสันสะอาดใส | ||
จะซ่อนยักษ์จักหนีอยู่ที่ใด | อโณทัยก็ใกล้จะสนธยา | ||
เห็นโพรงไทรนั้นอยู่ที่โคนต้น | ชอบกลที่นี่ดีหนักหนา | ||
ก็ชวนกันเข้าในโพรงนิโครธา | นิทราอาศัยอยู่ในนั้น | ||
กายสั่นรันรัวจนตัวแข็ง | น้ำลายแห้งอกใจไหวหวั่น | ||
ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีระวีวัน | นึกพรั่นกลัวยักษ์นั้นเหลือใจ | ||
เห็นมนุษย์นิกรที่เดินหน | ตามถนนยุรยาตรไม่ขาดได้ | ||
ก็คลางแคลงแหนงคิดด้วยกลัวภัย | ไม่ไว้ใจกลัวอียักษ์มันมักแปลง | ||
นางลำเภากัลยาว่ากับพี่ | อยู่ที่นี่คับแคบจะแอบแฝง | ||
แม้นใครมาเห็นหน้าจะระแวง | ด้วยที่แจ้งไม่มีที่กำบัง | ||
ท่าบนพระไทรใบหนา | จะบังตาผู้ตนอยู่ได้บ้าง | ||
พี่สาวทั้งนั้นครั้นได้ฟัง | เห็นจริงจังด้วยน้องว่าต้องใจ | ||
ก็ชวนกันปีนป่ายตะกายเกาะ | ค่อยละเลาะมือกุมเอาปุ่มได้ | ||
ทะยานยุดฉุดก้านย่านกิ่งไทร | พลิ้วไพล่ขึ้นบนกิ่งพิงกายา | ||
ใบปกดกมิดสนิทนั่ง | ปิดบังตาคนบนสาขา | ||
สิบสองนางเยี่ยมยลคนไปมา | อยู่บนต้นนิโครธาระงับกาย ฯ | ||
◉ จะจับเรื่องสาวสาวชาวในวัง | ครั้นราตรีตีระฆังก็ใจหาย | ||
จวนจะแจ้งแสงตะวันพรรณราย | ฟื้นกายเรียกกันสนั่นไป | ||
ต่างนางต่างตื่นยืนหยิบขัน | ล้างหน้าที่ชั้นหน้าต่างใหญ่ | ||
เช็ดหน้าเสร็จแล้วมาเช็ดไร | หวีไม้มะกรูดดีหวีผมงาม | ||
จับกระเหม่าดำขลับกำชับผม | แป้งประสมผัดพักตร์ชักมะขาม | ||
ส่องกระจกดูเงาเห็นพองาม | นุ่งเขียวครามงามล้ำพอขำคม | ||
สีขี้ผึ้งกินหมากให้ปากแดง | จัดแจงเลือกขาวม้าเอามาห่ม | ||
สะแบงมานให้สนิทปิดเนื้อนม | จับกะละออมกลมขึ้นใส่เอว | ||
บอกกันว่าจะไปตักน้ำจืด | ไปแต่มืดถ้าไม่ทันพากันเหลว | ||
เรียกเตือนเพื่อนว่ามาเร็วเร็ว | จะไปเหวไปสระจะช้าไป | ||
ต่างคนสับสนไปเป็นยืด | แต่เช้ามืดก็ถึงสระพระไทรใหญ่ | ||
ต่างคนตักน้ำสำราญใจ | เต็มกระออมแล้วก็ไปเข้าในวัง | ||
แต่นางหนึ่งเกียจคร้านพาลจะเชือน | เที่ยวแวะนั่งไม่ทันเพื่อนอยู่ล้าหลัง | ||
ฉวยกระออมลงจ้องละล้าละลัง | เงาหัวตัวบังที่เงาไทร | ||
แลเห็นเงานางลำเภาอยู่ในน้ำ | งามประเสริฐเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
พักตราเป็นนวลน่ายวนใจ | คำนึงในเงาเขาว่าเงาตัว | ||
จึ่งรำพึงว่ากูงามถึงเพียงนี้ | เป็นสาวมาสิบห้าปีไม่มีผัว | ||
น่าแค้นแสนระคายนายของตัว | ใช้ให้กูอยู่ที่ครัวต้องตักน้ำ | ||
จะเป็นไรก็เป็นไปเถอะหม่อม | ฉวยกระออมลงทิ้งกลิ้งล้มคว่ำ | ||
เมื่อกูงามราวกับทองต้องตักน้ำ | หยิบกระออมฟัดซ้ำสองสามที | ||
แล้วชี้นิ้วลอยหน้าด่ากระออม | ดีแล้วคะเจ้าจอมกระออมผี | ||
กูมาต้องตักน้ำเพราะมึงดี | มึงแตกแล้วกูนี้ไม่ต้องมา | ||
หน้ากูงามราศีดีกว่าหม่อม | แต่กระออมมันให้กูเป็นทาสา | ||
กระทืบตีนเร่าเร่าเดินเข้ามา | ทำไว้หน้าท่าทางเหมือนนางแมว | ||
แล้วลงนั่งกอดเข่าเจ่าจุก | ขุกใจตัวกูเหมือนดวงแก้ว | ||
มาตกต่ำคล้ำหมองไม่มีแวว | ถ้ารู้แล้วเช่นนี้จะอยู่ไย | ||
คิดเสียใจนั่งบ่นเหมือนบ้าหลัง | เหลือกำลังเจ็บจิตจะคิดไฉน | ||
อันตัวกูนี้จะอยู่ไปทำไม | เกิดมาไม่สมพักตร์ต้องตักชล | ||
พวกหนุ่มหนุ่มเห็นเข้าเขาจะสรวล | จะลามลวนล้อเล่นไม่เป็นผล | ||
รูปงามงามต้องตักน้ำดูพิกล | จะเป็นที่ฝูงคนมันไยไพ | ||
ผูกคอตายเสียเถิดนะมันจะดี | สิ้นชีวีเอากำเนิดเกิดเอาใหม่ | ||
พลางเปลื้องขาวม้าผ้าสไบ | แล้วหวนคิดท้อใจกลัวเวรา | ||
สิบสองนางลักดูเป็นครู่พัก | อดหัวเราะกลั้นสำลักเป็นนักหนา | ||
จนกิ่งไทรไหวสั่นอยู่ไปมา | กระซิบห้ามกันว่าอย่าอึงไป ฯ | ||
◉ นางทาสีได้ยินผินหน้าเงย | ร้องว่าแม่เจ้าเอ๋ยใครที่ไหน | ||
มาหัวร่อล้อคนที่ต้นไทร | พินิจไปก็เห็นสิบสองนาง | ||
นึกกระดากที่ตัวทำชั่วช้า | ทั้งนึกอายขายหน้าพาให้หมาง | ||
ออกได้รีบวิ่งเดินตามเนินทาง | มาทันนางเพื่อนที่ไปถึงในวัง | ||
เร่งรำพึงถึงกระออมก็ใจหาย | พรั่นตัวกลัวนายจะตีหลัง | ||
ด้วยความกลัวคิดแก้ตัวดูสักครั้ง | เข้าไปนั่งหมอบนายแล้วไหว้พลัน | ||
จะเอาเรื่องอะไรเล่าก็ไม่ได้ | ขาตะไกรเจียนจะครากปากคอสั่น | ||
แต่กระแอมรั้งรอปากคอคัน | กระออมฉันตกแตกที่ต้นไทร | ||
ด้วยว่านางรูปทองสิบสองหญิง | มานั่งอยู่บนกิ่งพระไทรใหญ่ | ||
ข้านึกว่าผีหลอกก็ตกใจ | ล้มลงไปกระออมแตกเป็นความจริง | ||
หม่อมนายได้ฟังยังไม่เชื่อ | เออมันเหลือแล้วที่กูจะสู้นิ่ง | ||
มึงลุกลนสุดทนเหมือนค่างลิง | เอาผู้หญิงริงเรือที่ไหนมา | ||
จริงจริงนะเจียวหม่อมไม่ย้อมพูด | จะพิสูจน์ตัวได้ให้ฟ้าผ่า | ||
เห็นประจักษ์จริงใจกับนัยน์ตา | แม้นไม่จริงอย่างว่าฆ่าให้ตาย | ||
เถ้าแก่ชาวเครื่องที่เนืองนั่ง | ครั้นได้ฟังมันว่าน่าใจหาย | ||
ก็ชวนกันนั่งล้อมพร้อมมุลนาย | เห็นแยบคายโจษกันสนั่นไป ฯ | ||
◉ วันนั้นพอองค์พระทรงฤทธิ์ | รถสิทธิ์กรุงกระษัตริย์อันเป็นใหญ่ | ||
พระเสด็จยาตราคลาไคล | ทอดพระเนตรข้างในอยู่ไปมา | ||
ได้ยินเสียงโจษกันสนั่นอยู่ | จะใคร่รู่ที่พระทัยเธอกังขา | ||
จึงตรัสถามสาวสนมกัลยา | วิวาทกันด้วยกิจจาประการใด | ||
เถ้าแก่กราบทูลมูลเหตุ | ว่าวันนี้อาเพศจึงถามไถ่ | ||
อีทาสีมันแก้ตัวด้วยกลัวภัย | กระออมแตกแก้ไขสำนวนดี | ||
ว่านางสาวสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้ | มานั่งอยู่ต้นไทรริมสระศรี | ||
มันตกใจกระออมแตกเช้าวันนี้ | ดูพาทีกิริยาเห็นมั่นคง | ||
พระทรงฟังสั่งให้หาอีทาสี | เข้ามาถามตามคดีที่ประสงค์ | ||
มึงได้เห็นแม่นยำคำมั่นคง | จงบอกความตามตรงอย่าอำพราง | ||
นางทาสีบังคมแล้วก้มกราบ | สารภาพแล้วทูลไปไม่อางขนาง | ||
ข้าเห็นแท้แน่ใจไม่อำพราง | สิบสองนางนั่งอยู่บนต้นพระไทร | ||
รูปงามล้ำเหลือเนื้อกระษัตริย์ | ไม่ข้องขัดทรวดทรงที่ตรงไหน | ||
ข้าดูดูก็เผอิญให้เพลินไป | กระออมแตกเมื่อไรไม่รู้ตัว | ||
ถ้าทูลไม่แม่นยำเหมือนคำว่า | ให้ลงพระอาญาถึงตัดหัว | ||
เมื่อจริงแล้วความตายไม่หมายกลัว | พระอยู่หัวจงทราบบทมาลย์ ฯ | ||
◉ ฝ่ายองค์รถสิทธิ์กรุงกระษัตริย์ | แจ้งรหัสในราชบรรหาร | ||
เสด็จออกพระโรงรัตน์ชัชวาล | มีโองการสั่งให้หาเสนาใน | ||
จึ่งตรัสเล่ากิจจาเมื่อวันนี้ | อีทาสีไปตักน้ำที่สระใหญ่ | ||
ว่ามีหญิงนั่งอยู่กิ่งร่มพระไทร | ท่านเร่งไปสืบดูให้รู้การ ฯ | ||
◉ อำมาตย์ได้ฟังรับสั่งตรัส | ก็รีบรัดตัดไปสระสนาน | ||
บ่าวไพร่สี่ห้าคนตาลนลาน | กระบัดการก็ถึงที่ต้นไทร | ||
เหลือบแลเห็นนางสิบสองคน | งามล้ำเลิศล้นในต่ำใต้ | ||
อำมาตย์แลดูขึงตะลึงไป | งามล้ำเหลือใจแล้วแม่คุณ | ||
คนเล็กทรวดทรงองค์อ้อนแอ้น | แขนแมนคิ้วตาเหมือนหน้าหุ่น | ||
ท่วงทีกิริยาอ่อนละมุน | ให้ว้าวุ่นพิศวงสงสัยใจ | ||
หรือจะเป็นยักขินีผีเสื้อป่า | มันแกล้งแปลงปลอมมาฤๅไฉน | ||
ฤๅสาวสุรางค์นางฟ้านภาลัย | มาล่อลวงภูวไนยเจ้าธานี | ||
ให้ยลโฉมพอประโลมลานสวาท | แล้วจะผาดผันผยองล่องลอยหนี | ||
ให้กรุงกระษัตริย์โทมนัสแสนทวี | เสนีตำริแล้วก็กลับไป ฯ | ||
◉ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้ากราบก้มบังคมไหว้ | ||
ทูลแถลงแจ้งการทั้งปวงไป | โดยในคดีที่เห็นมา | ||
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีบาท | เห็นประหลาดจริงอย่างคำที่ทาสา | ||
สิบสองนางอย่างนางสุรางค์ฟ้า | ลงมาหล้าล่มชาวชมพู | ||
ข้าบาทได้เห็นก็ใจหาย | แต่เงยหงายหน้าแหงนอยู่เป็นครู่ | ||
ลืมสติตาชะแง้แต่แลดู | พึ่งได้รู้ว่าตัวเป็นบุญตา | ||
ช่างงามจริงหญิงใดทั้งไตรจักร | ถึงงามหลักแหลมเหลือเพียงเนื้อห้า | ||
ถ้าแปดปนเป็นหกตกลงมา | นี้เนื้อว่านพคุณควรนคร | ||
ชะรอยสบสมพงศ์แต่ปางไหน | ปางนี้พระจะได้สมสมร | ||
เสมอเหมือนองค์อินทร์ทินกร | เทพจรชวนชักชู้สู่สมภาร | ||
สมเพชพระยุพินลำเพาภาค | ลำเพาพื้นพลัดพรากมาสู่สถาน | ||
สถิตกิ่งพระไทรได้รำคาญ | ระคนการทุรพลมาดลตา | ||
แต่ยามยากอย่างนี้ยังมีโฉม | ดังจันทร์ลอยกลางโพยมกระจ่างหล้า | ||
ถ้ายามมีราศีจะส่องฟ้า | สุริยายังไม่แจ้งเหมือนแสงนาง | ||
เชิญเสด็จภูวไนยไปชมโฉม | ที่ทุกข์โถมหฤทัยจะใสสว่าง | ||
อันนางในไตรภพไม่ลบนาง | เป็นสุดอย่างยอดหญิงที่กิ่งไทร ฯ | ||
◉ พระทรงยศรถสิทธิ์จอมกระษัตริย์ | ฟังทูลพูนสวัสดิ์จัดแจ่มใส | ||
ดังอมฤตฟ้ามายาใจ | สะเทือนไหวซาบสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
ได้ข่าวโฉมประโลมใจดังได้เห็น | เพียงจะเผ่นจากท้องพระโรงศรี | ||
ดังได้สัมผัสต้องนางเทวี | ประคองเชยชมศรียุพาพาล | ||
จึ่งมีโองการสั่งหมู่อำมาตย์ | ให้เตรียมกุญชรชาติเคยสนาน | ||
มนตรีเทียมเทียบระเบียบการ | พนักงานคอยเสร็จเสด็จจร | ||
เสด็จเข้าที่สรงแล้วทรงเครื่อง | อร่ามเรืองดั่งหนึ่งราชไกรสร | ||
จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธิรอน | แล้วกรายกรมาขึ้นคชาธาร | ||
พวกตำรวจเกณฑ์แห่อยู่แออัด | พร้อมขนัดเหล่าพวกโยธาหาญ | ||
ก็เดินกระบวนพร้อมกันมิทันนาน | กระบัดการก็ถึงต้นพระไทร | ||
จึ่งตำรัสตรัสถามซึ่งเสนา | ว่าสาวสวรรค์กัลยานั้นอยู่ไหน | ||
ครั้นเหลือบเห็นนิรมลบนต้นไทร | จึ่งปราศรัยด้วยราชวาที | ||
อนิจจาร้อยชั่งทั้งสิบสอง | ไฉนน้องจึ่งมาอยู่ที่สระศรี | ||
ขอเชิญดวงสุดาแม่พาที | เล่าคดีชี้แจงให้แจ้งใจ ฯ | ||
◉ สิบสองนางได้ฟังรับสั่งถาม | ให้วาบหวามหวั่นหวาดฤทัยไหว | ||
จะทูลความตามจริงก็อายใจ | จึงแก้ไขทูลทัดกษัตรา | ||
ตัวข้าพี่น้องสิบสองคน | เที่ยวดั้นด้นสัญจรนอนป่า | ||
พระชนกชนนีก็มรณา | ตัวข้าพี่น้องท้องเดียวกัน | ||
เป็นบุญแล้วจึ่งได้พบภูวนาถ | ขอรองบาทบาทาจนอาสัญ | ||
ทางเคลื่อนองค์ลงจากพระไทรพลัน | ทั้งสิบสองนางนั้นอัญชุลี ฯ | ||
◉ ปางองค์ธิบดินทร์ปิ่นกระษัตริย์ | แจ้งรหัสนึกสงสารนางโฉมศรี | ||
พี่จะรับขวัญตาไปธานี | ครองบูรีเป็นปิ่นสนมใน | ||
สิบสองนางกราบก้มประนมหัตถ์ | จึ่งตอบอรรถกรษัตราที่ปราศรัย | ||
ซึ่งพระองค์กรุณาจะพาไป | ตามพระทัยมิได้ขัดพระอัชฌา | ||
พระฟังนางจึ่งสั่งพวกชาวที่ | ให้จัดวออย่างดีอันเลขา | ||
มาเทียบประทับรับสิบสองดวงสุดา | กัลยาสิบสององค์ขึ้นทรงวอ | ||
เสด็จบ่ายช้างธินั่งเข้าวังเวียง | ตำรวจเรียงแห่หน้ามาสอสอ | ||
พวกโขลนจ่าเรียงรายมาท้ายวอ | เสียงแจจอเสียดแซงแข่งกันเดิน | ||
เหล่าถนนคนดูอยู่พรูพร่าง | บ้างก็หมอบยอบหลังสรรเสริญ | ||
องค์กระษัตริย์รีบรัดกุญชรเดิน | จนเกือบเกินเข้าประตูพระบูรี | ||
เสด็จถึงปราสาทราชฐาน | รับยุพานเยาวมิ่งมเหสี | ||
ขึ้นไพชยนต์ปราสาทอาสน์รูจี | นฤบดีสุขเกษมเปรมใจ | ||
ประทานห้องของแต่งตำแหน่งเอก | อดิเรกเตียงตู้ยี่ภู่ใหม่ | ||
ม่านมุ้งปรุงเจือเหลือวิไล | งามประไพพื้นสรรด้วยบรรจง | ||
ทั้งแสนสาวชาวแม่อยู่แออัด | เป็นขนัดจัดแจงแต่งเครื่องสรง | ||
สิบสองนางพลางผลัดภูษาทรง | สำอางองค์อดิเรกในเรือนจันทน์ | ||
ฝ่ายองค์รถสิทธิ์กรุงกระษัตริย์ | โสมนัสหฤทัยให้กระสัน | ||
แต่ได้นางมาไว้ในวันนั้น | ให้ผูกพันประดิพัทธ์สวัสดี | ||
แต่ครวญเคร่าเฝ้าปองจะครองสวาท | ภาณุมาศเย็นคล้อยรัศมี | ||
ดำริพลางเสด็จจรลี | มาเข้าที่โสรจสรงคงคาลัย | ||
สำอางองค์ทรงเครื่องสรรพเสร็จ | ด่วนเสด็จลินลาหาช้าไม่ | ||
ส่องโคมนำหน้าแล้วคลาไคล | เสด็จถึงปรางค์ในปราสาททอง | ||
เข้าสู่ห้องเมศราเชษฐาใหญ่ | จึ่งปราศรัยกล่าวเกลี้ยงสุนทรสนอง | ||
พี่อยู่เดียวเปลี่ยวเทวศให้กรมกรอง | ได้ข่าวน้องค่อยคลายสบายใจ | ||
เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา | เทพดานำสิบสองน้องมาให้ | ||
พลางสัพยอกหยอกชักชายสไบ | นางปัดกรค้อนให้แล้วพาที | ||
พระทรงเดชช่างไม่เวทนาน้อง | มาจับต้องกอดรัดน่าบัดสี | ||
น้องเป็นชาวดงพงพี | ควรแต่รองธุลีพระบาทา | ||
พระฟังคำนุชน้องสนองไข | ยิ่งมีใจกระสันแสนเสน่หา | ||
เจ้าว่าไยอย่างนั้นกัลยา | บริจาข้าบาทนั้นมากมี | ||
อย่างเช่นน้องควรประคองไว้แนบข้าง | เป็นปิ่นนางสนมให้สมศรี | ||
พลางตระโบมโลมลูบนางเทวี | เปรมปรีดิ์ประดิพัทธ์กำหนัดใน | ||
พระจุมพิตชิดเชยปรางทอง | ฟ้าร้องลั่นเลื่อนสะเทือนไหว | ||
ดังมังกรคาบแก้วอยู่แววไว | สำราญใจอยู่ในห้องทั้งสองรา ฯ | ||
◉ พระได้ครองสิบสองสายสมร | ไม่จากจรเริศร้างเสน่หา | ||
เป็นเวรเวียนเปลี่ยนเฝ้าทุกทิวา | พระผ่านฟ้ารักใคร่ไว้พระทัย | ||
ถึงเวรสุดศรีลำเภาเยาวลักษณ์ | รสรักเชยชิดพิสมัย | ||
ประทมแท่นทองรัตน์กับภูวไนย | ไม่ห่างไกลเกลียวกลมภิรมย์นาง | ||
พระได้ครองสิบสองเสาวรส | มีพระยศเฟื่องหล้าฟ้าสว่าง | ||
ศรีลำเภาเยาวลักขณานาง | เป็นหญิงอย่างยิ่งยอดกัลยา | ||
นางก็เผื่อเจือจานการนุกิจ | มิได้ผิดแหนงเหตุกับเชษฐา | ||
สิบเอ็ดนางรักน้องดังดวงตา | ความอิจฉาสิ่งใดก็ไม่มี ฯ | ||
◉ จะจับเรื่องทานตะวันนคเรศ | เมื่อเกิดเหตุเฟื่องฟุ้งในกรุงศรี | ||
มะม่วงหาวมะนาวโห่เป็นโกลี | ชาวบูรีตระหนกตกใจ | ||
สิทธิกรรม์เสนารักษาเมือง | ก็ขุ่นเคืองทุกข์ทนหม่นไหม้ | ||
วิ่งไปยังท้องพระโรงชัย | ให้เชิญองค์อรทัยพระธิดา | ||
ออกมายังพระโรงวินิจฉัย | แล้วทูลว่ากรุงไกรของยักษา | ||
พญาไม้เสี่ยงทายในพารา | เป็นโกลาหาวโห่เป็นโกลี | ||
ไพร่ฟ้าประชากรก็ร้อนรน | ตื่นตนตกใจอยู่อึงมี่ | ||
จะโปรดปรานประการใดให้บูรี | อยู่เป็นศรีบรมสุขสนุกสบาย ฯ | ||
◉ พระธิดาบุตรีเมรีรัตน์ | เชื้อกระษัตริย์สมบูรณ์ประยูรสาย | ||
สดับสารสิทธิกรรม์มาบรรยาย | โฉมฉายมีรสพจนา | ||
ว่าดูก่อนสิทธิกรรม์อันมีศักดิ์ | นครยักษ์เคยบรมสุขา | ||
อันยุคเข็ญเช่นนี้ที่มีมา | จงปรึกษาโหราพราหมณ์ตามบูราณ | ||
จะสมโภชบ้านเมืองที่เคืองเข็ญ | ให้อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสนาน | ||
จงจัดแจงบัตรพลีพลีการ | เตรียมงานเร่งทำตามตำรา | ||
ตรัสแล้วเสด็จคืนเข้าปรางค์มาศ | ยังนิวาสพิมานอันเลขา | ||
สิทธิกรรม์ได้ฟังพระบัญชา | ก็ตรวจตราเตรียมงานการละคร | ||
สั่งกรมพระสัสดีให้เกณฑ์ไพร่ | มูลนายน้อยใหญ่มาสลอน | ||
บ้างเจาะเสาเกลาฟากถากกลอน | บ้างขุดถอนหลักตอให้ที่เตียน | ||
บ้างขุดหลุมยกเสาเอารอดใส่ | ติดขื่อวางอกไก่มีกระเสียน | ||
แล้วใส่แปผูกหวายใต้หัวเทียน | กลอนเปลี่ยนกันรายเอาปลายลง | ||
มุงจากลากเอาแต่ห่างห่าง | หอขวางหอรีที่สระสรง | ||
โรงโขนหมายจ่ายเกณฑ์พะทำมะรง | เร่งบรรจงตบแต่งให้แนบเนียน | ||
แปดตำรวจนายด้านจัดการเกณฑ์ | ชัดเจนตรวจตราหาเสมียน | ||
จ่ายคนเลกด้านดาษเดียร | ที่หลบหนีตีเฆี่ยนเอาตัวมา | ||
ที่บอกป่วยฉวยตัวเมียมาได้ | เกาะไว้เร่งเอาผัวให้มาหา | ||
ที่ติดการภารธุระจะทำนา | เสียเงินตราจ้างคนให้แทนตัว | ||
แก่ชราตาเฒ่าชาวบ้านนอก | ให้จักตอกเหลาหวายจ่ายให้ทั่ว | ||
ลาวระดมสมส่งไปโรงครัว | เกณฑ์หัวสิบไว้ให้กำชับ | ||
น้ำกับฟืนพื้นเหล่าพวกชาวบก | ตะวันตกเกณฑ์ยกให้เสร็จสรรพ | ||
แม้นโตกจานพานหายให้นายรับ | เร่งกำชับกวดขันกันสักคราว | ||
เจ้าภาษีเกณฑ์มาล้วนหน้าใหญ่ | เอาหมูไก่มาประจำทำกำหลาว | ||
โรงครัวเตรียมการทั้งหวานคาว | ทั้งไพร่บ่าวพร้อมสรรพลำดับการ | ||
ถึงวันดีฤกษ์งามยามมีโชค | ต้องโฉลกโหรกล่าวไม่ร้าวฉาน | ||
เชิญเสด็จพระธิดายุพาพาล | ยังอุทยานสวนขวัญอันอุดม | ||
นางเสด็จลีลาพลับพลาสวน | โดยกระบวนด้วยสุรางค์นางสนม | ||
ทัศนาโรงงานการนิยม | อันอุดมด้วยเครื่องเรืองระยับ | ||
พระโหรเฒ่าพฤฒาแท้แกตัวดี | ตั้งบัตรพลีบายศรีแล้วเสร็จสรรพ | ||
วางบนศาลเพียงตาโดยคำนับ | พร้อมกับข้าวปลาสุราริน | ||
ควายวัวหัวหมูคู่บายศรี | แว่นเวียนเทียนดีก็เสร็จสิ้น | ||
จุดธูปเทียนเชิญเทพเทวินทร์ | เจิมกระแจะรสกลิ่นสุคนธา | ||
แก้บนอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ | พระเสื้อเมืองเรืองฤทธิ์ทุกทิศา | ||
เชิญสิงสู่อยู่บนต้นอัมพา | ทั้งพญารุกขมาศชาติมะนาว | ||
แต่นี้ไปสองไม้พญาพฤกษ์ | อย่าอึกระทึกโทโสร้องโห่หาว | ||
จงอยู่เย็นเป็นสุขให้ยืดยาว | สิ้นที่กล่าววอนไหว้แล้วเวียนเทียน | ||
ฆ้องชัยลั่นเสียงสำเนียงโห่ | ให้ไชโยเวียนแว่นฉวัดเฉวียน | ||
มโหรสพโขนเรื่องรามเกียรติ์[5] | ทศเศียรลักสีดาพาเหาะไป | ||
พบราชปักษี | เข้าโฉบตีจะแย่งนางให้ได้ | ||
ราพณ์ร้ายไม่มีความละอายใจ | ถอดแหวนก้อยนางใส่นั้นขว้างมา | ||
ถูกพญาสกุณาจนปีกหัก | แทบจักสิ้นชีวังสังขาร์ | ||
อิเหนาเล่นไปเมืองมะละกา | ลงเภตราชักใบไปทันที | ||
งิ้วเล่นสี่โรงเข้าสมทบ | จับเมื่อโจโฉแตกจิวยี่[6] | ||
พะบู๊หกคะเมนล้วนเจนดี[7] | จุดประทัดอึงมี่ลอดบ่วงไฟ | ||
หุ่นเล่นจองสนนขนศิลา | หนุมานไล่คว้ามัจฉาได้ | ||
ฝูงมัจฉาคาบศิลามาคืนไว้ | พระรามยกข้ามไปเมืองลงกา | ||
ทวายรำร้องทะแยออกแซ่เสียง | ทำอ่อนเอียงซัดแขนแอ่นซ้ายขวา | ||
พวกไต่ลวดถือหางมยุรา | ทั้งทัดทาโมงครุ่มรุมล้อมวง | ||
พวกแม่ค้านั้นนั่งรายขายหวานคาว | บุหรี่ยาวลูกบัวถั่วยะสง[8] | ||
ร้านสุราขายหมี่นั้นมีธง | ตามจำนงพวกมาดูซื้อสู่กิน | ||
หญิงชายประชาชนคนดูงาน | บ้างอุ้มลูกจูงหลานมาหมดสิ้น | ||
เที่ยวงานแสบท้องซื้อของกิน | แลดูสิ้นเห็นสนุกไปทุกโรง | ||
ชาวบ้านนอกขอกนามาอึงมี่ | ห่มแพรสีต่างต่างดูโอ่โถง | ||
พอเย็นย่ำกำลังน้อยก็ลาโรง | เสียงเกราะโกร่งโรงหนังตั้งกระบวน | ||
ทั้งสองนายชูเชิดดูเฉิดฉาย | รูปนารายณ์เรืองฤทธิ์มหิศวร | ||
เบิกหน้าพระปล่อยลิงชิงกระบวน | ทั้งสองล้วนฤทธิ์แรงไม่แพ้กัน | ||
ลิงขาวโดดกัดมัดด้วยหาง | ท่าทางเรี่ยวแรงดูแข็งขัน | ||
จูงข้างหน้าพาลัดไปวัดพลัน | พระนักธรรม์ขอโทษโปรดปล่อยลิง | ||
พวกดูงานรื่นเริงบันเทิงจิต | เที่ยวพินิจพิศดูไปทุกสิ่ง | ||
เสร็จสมโภชธานีนั้นดีจริง | ไม้ก็นิ่งหาวโห่ไม่โกลา | ||
นางเสด็จยังนิเวศเขตสถาน | พอนางมารสุนนทายักษา | ||
กลับมาเมืองรู้เรื่องว่าธิดา | ให้สมโภชพาราก็ยินดี | ||
ประคององค์ลูกแก้วแล้วรับขวัญ | แม่ดวงจันทร์แจ่มฟ้าทุกราศี | ||
ช่างรอบคอบรอบรู้การบูรี | ประกอบปรีชาฉลาดนั้นเหลือใจ | ||
ควรจะมอบสมบัติพัสถาน | เมืองมารนี้แม่จะมอบให้ | ||
จงอยู่ครองพระสนมกรมใน | ทั้งกำพตฤทธิไกรกับห่อยา | ||
จงรับไว้เป็นมหาศาสตราวุธ | รณรงค์ยงยุทธ์ไปข้างหน้า | ||
กำพตพิษฤทธิไกรดังไฟฟ้า | หนึ่งห่อยานี้สำเร็จมโนปอง | ||
ประสมเนตรฤๅจะนึกเอาแม่น้ำ | ตามจะทำได้ดังฤทัยสนอง | ||
อันกรุงไกรโฉมตรูจงอยู่ครอง | แม่นี้ปองฆ่านางสิบสองคน | ||
แม้นพบเข้าที่ไหนจะไล่ฆ่า | ให้มรณายับย่อยเป็นฝอยฝน | ||
ค่อยอยู่เถิดแม่จะลาอย่ากังวล | นฤมลแก้วแม่อย่าโศกา | ||
นางเมรีฟังคดีมารดาสั่ง | น้ำตาหลั่งกราบบาททั้งซ้ายขวา | ||
รับกำพตปรากฏทั้งห่อยา | ทั้งโศกาอาดูรด้วยมารดร | ||
สุนนทาสั่งธิดายุพาพักตร์ | ประยูรยักษ์วงศ์ญาติสลอน | ||
ต่างโศกเศร้าโศกาด้วยอาวรณ์ | เพราะนางมารจะจรไปแรมไกล | ||
อสุรีสั่งเสร็จสำเร็จแล้ว | ก็คลาศแคล้วไคลคลาหาช้าไม่ | ||
นึกขัดใจพระอาจารย์ชาญชัย | ออกแก้ไขป้องกันสิบสองนาง | ||
จึงอ่านมนต์จินดามหาเวท | อุดมเดชนึกได้ไม่ขัดขวาง | ||
เหาะทะยานผ่านเมฆในนภางค์ | ลอยคว้างกลางหาวราวกับลม | ||
ลอยฟ้าทัศนาทั่วทวีป | แล้วก็รีบลงมายอดคีรีสม | ||
ไม่เห็นนางทั้งสิบสองดังนิยม | ก็ปรารมภ์หฤทัยอยู่ไปมา | ||
จึงนึกได้ร่ายมนต์อันประสิทธิ์ | โดยฤทธิ์อิทธิเวทแห่งยักษา | ||
เรียกพระพายมาใกล้แล้วนนทา | มีวาจาถามไปในทันที | ||
อันนางสิบสองนั้นอยู่ไหน | จงแถลงแจ้งไปให้ถ้วนถี่ | ||
องค์พระพายได้ฟังอสุรี | แจ้งคดีไปสำนักพระอาจารย์ | ||
แล้วก็พากันไปจากพระมุนี | นั่งบนที่กิ่งไทรทิศอีสาน | ||
ในกรุงไกรบรมจักรพาล | จอมนิเวศนเรศสถานผ่านพารา | ||
นามกรรถสิทธิ์อิศเรศ | มารับไปพระนิเวศครองยศถา | ||
เป็นเอกอัครนารีศรีสุดา | จงแจ้งหัทยาของนางมาร | ||
บอกแล้วเทวาพายุวาต | คืนยังพิมานมาศอันไพศาล | ||
ฝ่ายว่าสุนนทาอสูรมาร | แจ้งการยักษีก็ดีใจ | ||
จึงเหาะลงตรงกรุงไกรจักร | ยังตำแหน่งแหล่งหลักพระไทรใหญ่ | ||
เนรมิตกายาแล้วคลาไคล | เป็นมนุษย์เดินไปในพารา | ||
นั่งอยู่ริมสระที่ร่มไม้ | ทำเหมือนนางชาวไร่มาแต่ป่า | ||
ครั้นเห็นคนพลเมืองนั้นเดินมา | กินอาบธาราในสระนั้น | ||
นางมารจึ่งเข้าไปทายทัก | ผูกรักแยบคายหมายมั่น | ||
ไถ่ถามเอาความที่สำคัญ | ครั้นนั้นได้ยินข่าวเล่าลือไป | ||
ว่าพระเจ้าไกรจักรภูวดล | ได้นางสิบสองคนนั้นที่ไหน | ||
ข้าเป็นชาวป่าพนาลัย | อยากจะใคร่รู้เรื่องของนารี | ||
ประชาชนชาวเมืองทั้งหญิงชาย | มิได้รู้แยบคายว่ายักษี | ||
นึกว่าเป็นชาวป่าพนาลี | จะไม่รู้คดีสิ่งอันใด | ||
จึงบอกว่าเออเจ้าชาวบ้านนอก | ยังไม่รู้เราจะบอกเรื่องราวให้ | ||
จอมกระษัตริย์ได้หญิงที่กิ่งไทร | เอาไปไว้เป็นเอกกัลยา | ||
โปรดปรานประทานทั้งเงินทอง | ข้าวของสมบัติแล้วสถา[9] | ||
ด้วยรูปทรงส่งศรีเข้าโสภา | วาสนาถึงเข้ากับเจ้านาย | ||
สุนนทาฟังแสดงก็แจ้งเหตุ | จึงสังเกตโดยนิยมว่าสมหมาย | ||
ก็เสสรวลชวนมนุษย์ทั้งหญิงชาย | พูดภิปรายแล้วก็ไปดังใจปอง | ||
ครั้นราตรีนางยักษ์สำนักไทร[10] | ประจุสมัยไก่ขันสนั่นก้อง | ||
จวนจะแจ้งแสงใสอุทัยทอง | ก็ตรึกตรองยักย้ายอุบายกล | ||
สุนนทาทิ้งยาลงในสระศรี | เป็นบัวผุดในวารีมีดอกผล | ||
แล้วอ่านเวทจินดามหามนต์ | บันดาลตนเป็นสุดากุมารี | ||
สถิตในดอกบัวกลั้วเกสร | อรชรชุ่มแช่ชลศรี | ||
ด้วยดอกบัวสำหรับสระนั่นเดิมมี[11] | บัวของนางอสุรีอยู่กลางกอ | ||
กลีบสดปรากฏด้วยศรีแสง | ดอกแดงเขียวสลับอยู่กับหน่อ | ||
ทั้งโตใหญ่ใบบังช่างลออ | งามพอใจคนเมื่อยลงาม ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงทาสีที่ในวัง | ครั้นได้ยินเสียงระฆังเมื่อยามสาม | ||
ชวนกันตื่นแต่งแง่แต่พองาม | ถือกระออมเดินตามกันคลาไคล | ||
ถึงสระศรีดีใจลงในสระ | ก็อาบน้ำชำระสระเกศา | ||
เห็นดอกบัวสะพรั่งหลังคงคา | ดอกหนึ่งใหญ่กว่าทั้งปวงนั้น | ||
ต่างคนดลใจจะใคร่ได้ | ก็โผไปชิงชักหักสะบั้น | ||
ยังไม่ได้ดอกดีที่สำคัญ | แต่ชวนกันวนเวียนเพียรอยู่นาน | ||
น้ำนั้นลึกซึ้งไม่ถึงดิน | สุดว่ายป่ายปีนไปเด็ดก้าน | ||
ก็พากันขึ้นจากชลธาร | ตักน้ำไปบ้านเข้าในวัง | ||
ต่างคนมาถึงก็อึงอื้อ | บอกกล่าวเล่าลือกันไปบ้าง | ||
เฒ่าแก่มูลนายครั้นได้ฟัง | โด่งดังได้รู้ถึงภูมี | ||
พระซักไซ้ไล่เลียงเอาถ้อยคำ | เห็นแม่นยำถ่องแท้แก่ทาสี | ||
ให้หาตัวเข้ามาทุกนารี | ฟังคดีจะต้องกันหรือฉันใด | ||
ถ้าเอาความมุสามาทูลแถลง | ไม่ประจักษ์จริงแจ้งที่ตรงไหน | ||
จะผูกเข้าเฆี่ยนขับให้ยับไป | สาแก่ใจมันเอาเท็จมาเจรจา | ||
อีทาสีสี่ห้าคนสดับสาร | พระภูบาลคาดโทษไว้นักหนา | ||
จึงกราบทูลตามมูลกิจจา | ข้าลงไปสู่ท่าชลาลัย | ||
ทั้งห้าคนก็ได้เห็นพร้อมกันหมด | ดอกสัตตบงกชอันสุกใส | ||
อยู่กลางสระดูเป็นทองผ่องวิไล | เหมือนอุทัยไขสว่างกลางวารี | ||
ถ้าไม่สัตย์จริงจังเหมือนยังว่า | ลงอาญาแล้วให้ส่งไปโรงสี | ||
ด้วยโทษผิดสับปลับกับภูมี | ขอจงทราบใต้ธุลีบทมาลย์ ฯ | ||
◉ พระฟังทาสีทูลมูลเหตุ | ภูวเรศมีพระทัยใสศานต์ | ||
จึงตำริตริตรองทำนองการ | ประทุมมาลย์นี้เกิดเพราะบุญญา | ||
จึ่งตรัสสั่งกรมช้างผูกกุญชร | ขุนนางหมอบสลอนก้มเกศา | ||
รับสั่งบังคมแล้วไคลคลา | ออกมาผูกช้างระวางใน | ||
นำมาเทียบประทับกับเกยลา | พระผ่านฟ้ารีบเสด็จหาช้าไม่ | ||
ขึ้นเกยเลยทรงคชไกร | ภูวไนยให้ขับซึ่งกุญชร | ||
ช้างทรงขององค์รถสิทธิ์ | เชิงชิตชำนาญชาญสมร | ||
ย่างบาทยาตรเยื้องบทจร | พาพระภูธรจากวังใน | ||
ครั้นถึงจึงมีบัญชาการ | พนักงานบังคมก้มไสว | ||
ให้หยุดช้างพระธินั่งด้วยทันใด | เสนาในหมอบรอบสโรชา | ||
พระเสด็จจากช้างธินั่งทรง | แลเห็นดอกบุษบงอันเลขา | ||
งามล้ำเล่ห์ทิพย์ประทุมมา | พระผ่านฟ้าแสนถวิลยินดี | ||
จอมกระษัตริย์ผลัดผ้าภูษาทรง | พระประสงค์จะลงในสระศรี | ||
เห็นดอกบัวผุดผ่องในนที | บัวยักษีลอยไล่ใกล้พักตรา | ||
พระก็หยิบขึ้นดูชูชมรส | ปรากฏงามล้ำในแหล่งหล้า | ||
พระเสด็จยุรยาตรคลาศคลา | ขึ้นทรงไอยราเข้าธานี | ||
ครั้นถึงจึงเสด็จเข้าปรางค์มาศ | ขึ้นนั่งแท่นแสนสวาทเกษมศรี | ||
พอบัวแย้มพระเห็นก็กุมารี | พระภูมีโอบอุ้มกัลยา | ||
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง | เผอิญให้น้องมาอยู่ในบุปผา | ||
สัพยอกหยอกเย้าอยู่ไปมา | สุดแสนเสน่หาอาลัย | ||
นางมารแสร้งปัดสลัดกร | ชำเลืองเนตรคมค้อนแล้วปราศรัย | ||
อนิจจาช่างคุมเหงไม่เกรงใจ | น้องไร้ญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ | ||
พระฟังสุนทรถ้อยดังฝอยฝน | ต้องสกนธ์ซาบใจให้กระสัน | ||
จึงมีรสวาจาว่าดวงจันทร์ | เจ้าผู้ขวัญเมืองมิ่งอย่ากริ่งใจ | ||
เป็นบุญแล้วแก้วตามาประสบ | จะเลื่อนหลบหลีกหนีพี่ไปไหน | ||
เป็นบุญพี่กับนางได้สร้างไว้ | จึงมาได้พบกันในวันนี้ | ||
พี่จะเสกให้เป็นเอกอัครฐาน | ครอบครองสิงคารเกษมศรี | ||
เจ้าอย่าคิดสลัดตัดไมตรี | แก้วพี่อย่าหมางระคางเคือง[12] | ||
ว่าพลางทางประโลมเยาวลักษณ์ | เชยพักตร์ชมศรีฉวีเหลือง | ||
มารยายักษ์ผลักหัตถ์ทำขัดเคือง | ยักเยื้องสลัดกายไม่ไยดี | ||
แต่แรงราคอยากนิยมจะชมรส | แกล้งถอยถดทีเหมือนจะเบือนหนี | ||
จึงกล่าวรสพจนาว่าภูมี | มาด่วนตีมัจฉาต่อหน้าไซ | ||
พระเป็นมิ่งโมลีบุรีรมย์ | อันจะไร้นักสนมอย่าสงสัย[13] | ||
ที่ดีดีมีเอกก็ถมไป | จะมาเห็นอะไรกับน้องนี้ | ||
อันคนอยู่ในสัดจองล่องลอยมา | จะร่วมรสเสน่หาน่าบัดสี | ||
ครั้นนานหน่อยค่อยคลายที่ยินดี | จะมีแต่เทวศช้ำระกำใจ | ||
เชิญพระองค์เอาไปส่งเสียที่สระ | เหมือนปล่อยปละเต่าปลาลงท่าใหญ่ | ||
ไม่ควรคู่จะมาอยู่กับภูวไนย | ด้วยน้องไซร้ไร้ญาติประยูรวงศ์ ฯ | ||
◉ อนิจจาเยาวยอดผกาสรรค์ | เพราะบุญทันจึงมาปะที่สระสรง | ||
ทำถ่อมตัวกลัวไฉนยุพยง | พี่นี้จงใจรักภคินี | ||
ถึงไร้ญาติก็ย่อมแจ้งว่าสาวสวรรค์ | เจ้าดวงจันทร์เกิดในสระกระสินธุ์ศรี | ||
ควรเป็นปิ่นกษัตราในธานี | เฉลิมศรีสมบูรณ์กษัตรา | ||
ขอเชิญเจ้าเนาในบนแท่นที่ | ให้เปรมปรีดิ์เป็นบรมสุขา | ||
แม้นน้องรักหักรสภิรมยา | อันชีวาพี่จะวางลงกลางรัก | ||
ว่าพลางกางกรเข้าช้อนองค์ | วางลงเพลาพลางนางก็ผลัก | ||
ไพล่พลิกหยิกข่วนกระบวนยักษ์ | ทำปัดผลักคมค้อนงอนกระบวน | ||
พระองค์จะมาทำให้ช้ำจิต | กิตติศัพท์ลือเลื่องเครื่องคนสรวล[14] | ||
แต่กองกรรมนำให้ประจวบจวน | พระมาด่วนโดยได้ไม่เมตตา | ||
ไหนไหนก็ได้พามาถึงนี่ | ไม่รู้ที่จะหักห้ามเสน่หา | ||
ใช่จะแข็งขืนขัดวัจนา | แม้นโกรธาน้องจะยับลงกับกร | ||
ถ้าแม้นทรงเมตตากับข้าบาท | จงประสาทความสัตย์โดยนุสรณ์ | ||
ขอพระเดชภูวเรศประทานพร | ตามสุนทรข้าน้อยเจตนา | ||
อันสิ่งใดอยู่ในอาณาเขต | ที่น้องรักจงเจตนาหา | ||
จะทูลขอพระอย่าขัดซึ่งอัชฌา | กระนั้นและเห็นว่าพระปรานี | ||
ถ้าพระไม่โปรดปรานประทานพร | ถึงม้วยมรณ์ฆ่าเข่นให้เป็นผี | ||
มิร่วมประดิพัทธ์ด้วยภูมี | ถ้าปรานีจงประทานสัตยา ฯ | ||
◉ รถสิทธิ์ได้ฟังกำลังหลง | งวยงงพระเวทอียักษา | ||
นางชะอ้อนวอนกล่าวเป็นมารยา | ก็เยื้องหาว่าไปไม่ทันคิด | ||
ว่าเจ้าแม่แน่แล้วจะให้สัจ | ไม่ข้องขัดเลยนะแม่แต่สักหนิด | ||
ของสิ่งใดในขัณฑ์ขอบอยู่รอบชิด[15] | ที่เป็นสิทธิ์อยู่ในศักดิ์สุริวงศ์ | ||
แม้นเจ้าออกโอษฐ์ขอจะยอยก | อย่าวิตกที่น้องต้องประสงค์ | ||
เว้นดวงจันทร์พระอาทิตย์ฤทธิรงค์ | สุดจะปลงปลิดให้ได้ดังใจ | ||
แต่นอกนั้นพี่มิได้ให้ข้องขัด | ความกำหนัดรักน้องจะหาไหน | ||
หลงระเริงเชิงอีมารนั้นพ้นไป | เคล้นไคล้คลึงเคล้าเยาวลักษณ์ | ||
นางสุนนทามารก็สมหมาย | ระทวยกายอ่อนกระบวนไม่ควรผลัก | ||
กำเริบราคร้อนระคนทุรนรัก | พยศยักยั่วยวนให้ป่วนใจ[16] | ||
พลางร่ายมนต์จินดามหาเสน่ห์ | เล่ห์กระเท่ห์เป่าพระองค์ให้หลงใหล | ||
พระจอมภพกลบกลุ้มในฤทัย | รักใคร่มืดมัวทั่วอินทรีย์ | ||
ถนอมนางวางแท่นแสนสวาท | สัมผัสกายสมพาสเกษมศรี | ||
รูปนิมิตงามสนิทเสน่ห์ดี | แต่ท่วงทีอำมหิตติดคะนอง[17] | ||
อย่างเยี่ยงม้าพยศที่ตัวดี | เร็วรี่เบานักชักผยอง | ||
เต้นน้อยบางทีมีลำพอง | ผยองย่องหกกลับเต้นหรับรัว | ||
จ้วงฝีเท้าเดินหยกหกหน้าหลัง | กระทืบโกลนโผนดังสนั่นทั่ว | ||
ขยับแส้ทำชม้อยคอยจะกลัว | เต้นรัวเหยาะย่ำทำพยศ | ||
กระทืบแผงแกว่งแส้ก็แหย่ท้าย | หน้าหงายเงยแหงนแอ่นกระชด | ||
ถ้ารู้ทันแก้ดีที่พยศ | ได้รู้รสว่าฝีมือไม่ดื้อดึง | ||
จะยักย้ายซ้ายขวาท่าทางเต้น | โผนเผ่นเล่นโลดโดดทะลึ่ง | ||
ถ้าควบขับชอบใจไปตะบึง | กระทั่งถึงสำนักชั่วพักม้า | ||
ประมาณเหมือนเสมอสมรมิตร | เชยชิดเชิงชวนกระบวนหา | ||
อันเรื่องรักนั้นจักร่ำพรรณนา | จะเนิ่นช้าต้องตัดหลีกลัดเลย ฯ | ||
◉ พระจอมภพลบโลกนาถา | ตั้งแต่ได้สุนนทามาเคียงเขนย | ||
แสนรักร่วมภิรมย์อยู่ชมเชย | ช่างงมงายไปไม่เงยด้วยมารยา | ||
ด้วยหลงรักนางยักษ์ลืมสนม | เชยชมรูปนิมิตผิดภาษา | ||
ลืมทั้งสิบสองกัลยา | ถึงขึ้นเฝ้าผ่านฟ้าไม่ไยดี | ||
สิบสองนางพี่น้องนั้นครรภ์แก่ | ก็ลือแซ่ซุบซิบทั้งปรางค์ศรี | ||
จึงได้รู้ไปถึงหูอสุรี | ยิ่งให้มีอิจฉาวิญญานัก | ||
นางสุนนทามารให้ดาลโกรธ | หฤโหดก็เพราะใจอัปลักษณ์ | ||
แต่หากไทเทวาสุรารักษ์ | มาพิทักษ์รักษาทุกนารี | ||
แต่ตำริตริปองจะปองผลาญ | ให้สิบสองเยาวมาลย์นั้นเป็นผี | ||
จึงอุบายแยบคายอสุรี | ทำทีป่วยไข้ใช้มารยา | ||
เข้าประทมเอาผ้าห่มแล้วเมื่อยมื่น[18] | ประหนึ่งไม่มีชื่นทำโหยหา | ||
ให้ปวดเศียรเวียนวิงทั้งนัยนา | โรยราอาเจียนเหียนหาวลม | ||
สะอึกไอหายใจก็ไม่คล่อง | กายสะดุ้งพุงพองให้ปากขม | ||
เบื่ออาหารเห็นเข้าให้เป็นลม | อยากแต่นมเนยเนื้อนั้นเหลือใจ | ||
ประทมเหนือแท่นทองทำร้องคราง | สนมนางเข้าไปเยี่ยมก็ไม่ได้ | ||
ร้องครางครวญคร่ำร่ำไร | ถอนใจให้สะท้อนอ่อนทั้งกาย | ||
ฝ่ายองค์รถสิทธิ์อิศเรศ | ครั้นสนธเยศสิ้นศรีพระสุริยฉาย | ||
เสด็จยังห้องแก้วอันแพรวพราย | เคียงสายสุนนทาอสุรี | ||
ทัศนาเห็นน้องนั้นหมองหมาง | ครวญครางกำสรดสลดศรี | ||
ทางประคองต้ององค์พระเทวี | ยังอ่อนอุ่นอินทรีย์ทั้งกายา | ||
นางมารมารยาพระอย่าต้อง | ตัวน้องปวดเจ็บเหน็บนักหนา | ||
พระคุณเอ๋ยสุดจะทนพ้นปัญญา | ในอุราเพียงจะแยกแตกกระจาย | ||
พระได้ฟังนั่งถามด้วยสงสัย | เจ็บที่ไหนบอกให้แจ้งเถิดโฉมฉาย | ||
ปวดกระดูกในตัวทั่วทั้งกาย | โอ้เจ้าสายสวาสดิ์พี่นี้เป็นไร | ||
ความเจ็บของน้องนี้เหลือทน | นิรมลเจ็บปวดจะนวดให้ | ||
พระอย่าต้องเหมือนหนองอยู่ข้างใน | เหลืออาลัยเมียขืนสุดชื่นชู ฯ | ||
◉ พระให้หาหมอหลวงมาสะพรั่ง | ก็มานั่งพรั่งพร้อมกันเป็นหมู่ | ||
หมอนวดหมอยาก็มาดู | ก็ไม่รู้จักเหตุว่าเพทใด | ||
นางมารมารยาหลับตาคราง | พระคุณเอ๋ยอย่าหมางกมลไหม้ | ||
สองกรค่อนทรวงเข้าร่ำไร | ร้องไห้ร่ำรักพระภูวดล | ||
พระได้ฟังสั่งให้หมอหายาแก้ | หมอก็แซ่กันเข้ามาน่าฉงน | ||
ถวายยาหลายขนานแล้วบานบน | ทั้งน้ำมนต์น้ำมันสุคันธ์เคียง | ||
เสวยยาหลายขนานบันดาลโรค | รากโอ๊กร้องครางจนสุดเสียง | ||
จอมกระษัตริย์โลมเล้าเข้านั่งเคียง | ครางก็เสียงอ่อนลงแต่คงคราง | ||
พลางชะอ้อนวอนว่าทำอ้อยอิ่ง | พระก็พิงแนบน้องประคองข้าง | ||
ยักษ์ร้ายสำออยตะบอยคราง | แม้นพระวางครางก็ดังช่างสำออย | ||
จอมกระษัตริย์หลงกลสุนนทา | ด้วยมนตราเข้าประจำนั่งคลำป้อย | ||
เตือนให้เมียเงยเสวยแต่สักน้อย | พอใส่ปากรากก็พลอยไม่ลงคอ | ||
สุนนทาแต่งกลแล้วเยื้องยัก | ว่าพระจักไม่ช่วยเมียเสียแล้วหนอ | ||
ให้ร้อนอกหมกไหม้อยู่ในคอ | น้องจะขอลาองค์พระทรงชัย | ||
ในชาตินี้มีกรรมน้องจำลา | ไปชาติหน้าขอให้พบพระองค์ใหม่ | ||
พระองค์จงรับรับว่าไว้ | มิได้สนองคุณพระภูบาล | ||
ซึ่งข้าน้อยผิดพลั้งแต่หลังมา | อย่าเป็นเวรเวรากระหม่อมฉัน | ||
ให้ทนทุกข์เวทนาอยู่ช้านาน | จงประทานโทษาได้การุญ ฯ | ||
◉ รถสิทธิ์ได้ฟังนางสั่งว่า | ดังศรศักดิ์ปักอุราให้เคืองขุ่น | ||
โอ้ขวัญเนตรน้องทองนพคุณ | จะตัดสูญไมตรีทิวาวัน | ||
อียักษีแปลงแสร้งทำกลมารยา | หลับตาประหนึ่งว่าจะอาสัญ | ||
รถสิทธิ์ค่อนอุราเข้าจาบัลย์ | นางมารนั้นลืมเนตรทูลทันที | ||
จะเป็นกรรมอะไรไม่พอหู | เมื่อสักครู่หลับตาเห็นฤๅษี | ||
มาบอกยาอาหารขนานดี | ว่านัยน์ตานารีสิบสองนาง | ||
ให้เอามาประกอบยามหาวิเศษ | ที่อาเพศโรคภัยจะได้สว่าง | ||
จะเอาได้อย่างไรนัยน์ตานาง | เป็นสุดอย่างแล้วพระองค์จงปรานี | ||
พระได้ฟังกำลังมนต์เข้าดลจิต | จึ่งตอบมารมิ่งมิตรมเหสี | ||
อนิจจานงลักษณ์ภคินี | การเท่านี้พลางไว้ไม่บอกกัน | ||
อย่าว่าแต่นัยนานางสิบสอง | จะต้องการก็คงได้ดอกสาวสวรรค์ | ||
อย่าทุกข์ร้อนอาวรณ์เลยเท่านั้น | ตรัสแล้วทรงธรรม์ก็บัญชา | ||
กรมท่าไปหาหมอฝรั่งนอก | ให้ล่ามบอกชี้แจงเข้ามาหา | ||
จะให้ควักนัยน์เนตรประกอบยา | ก็พามาเฝ้าองค์พระทรงชัย | ||
จึ่งมีพระราชบัญชาการ | กับเถ้าแก่พนักงานหาช้าไม่ | ||
นำสิบสองกัลยาคลาไคล | ก็รีบไปหาหมอด้วยทันที | ||
ให้กินเหล้าอย่างฝรั่งทั้งพี่น้อง | นางสิบสองเมาตึงพอถึงที่ | ||
ไม่รู้สึกสิ้นสมประฤดี | ทุกนารีซอนซบสลบลง | ||
ฝรั่งหมอควานควักชักดวงเนตร | ทั้งสิบเอ็ดอัคเรศที่ประสงค์ | ||
แต่ลำเภาสุดท้องน้องโฉมยง | พระองค์ให้ควานควักจักษุเดียว | ||
ประสมยาทาตานางสิบสอง | เจ็บร้องโศกาจนหน้าเขียว | ||
ชลนัยน์ไหลกระเซ็นลงเป็นเกลียว | จะแลเหลียวมืดมนอนธการ | ||
ให้อยู่ในอุโมงค์ตรงท้องนา | ที่ริมป่าพงไม้ใกล้เรือนบ้าน | ||
สิบสองคนทนเทวศมาเนานาน | น่าสงสารแสนลำบากยากใจ | ||
หมอฝรั่งแสนฉลาดเหมือนบาทหลวง | เมื่อควักดวงนัยนาเอามาได้ | ||
ล่ามก็พามาเฝ้าพระภูวไนย | ท้าวไทรับตาแล้วพาจร | ||
มานั่งแนบแอบนางสุนนทา | ส่งนัยน์ตานั้นให้กับสายสมร | ||
นี่แนะเจ้าดวงสุดาพะงางอน | จงยื่นกรรับแก้วนัยนา ฯ | ||
◉ นางสุนนทามารประสานหัตถ์ | โสมนัสรับเนตรด้วยหรรษา | ||
เก็บไว้มิดปิดมั่นด้วยสัญญา | ครั้นลับตาจอมกระษัตริย์ผู้สามี | ||
จึ่งอ่านเวทจินดามหามนต์ | เรียกพระพายเดินหนมาปรางค์ศรี | ||
นางยื่นเนตรส่งไปในทันที | แล้วจึงมีพจนาว่าไป | ||
เราฝากตานางสิบสองของประสงค์ | ไปถึงองค์พระธิดาอย่าช้าได้ | ||
แล้วจารึกสาราให้พาไป | ถึงอรไทเมรีผู้ธิดา | ||
พระพายรับของฝากรำพากพัด | เป็นลมจัดพัดฮือกระพือกล้า | ||
ก็ลุกรุงทานตะวันนครา | วางนัยน์ตากับสาราให้ทันที | ||
พระเยาวลักษณ์อัคเรศสังเกตได้ | ก็รับไว้แล้วก็อ่านซึ่งสารศรี | ||
ว่านัยน์ตานางสิบสองของทั้งนี้ | ให้เทวีรับไว้ดังจินดา | ||
ครั้นนางแจ้งเหตุรหัสสั่ง | นางร้อยชั่งสั่งสนมให้ห่อผ้า | ||
แล้วห้อยไว้ใต้เพดานที่หลังคา | ตามคำสั่งมารดาทุกสิ่งอัน ฯ | ||
◉ น่าสงสารเยาวมาลย์ทั้งสิบสอง | เฝ้าแต่กรองเวทนาเพียงอาสัญ | ||
อยู่ในอุโมงค์มาก็นานครัน | แต่จาบัลย์กัลหายไม่วายครวญ | ||
อดอาหารการกินดิ้นประดัก | มาตกคลักครวญคร่ำให้กำสรวล | ||
นัยน์ตามืดฝืดเคืองเรื่องรัญจวน | เสียนวลน่าอนาถประสาทครัน | ||
ไม่มีใครที่จะได้อุปถัมภ์ | ทารกรรมกายเกินจะปลักปล้ำ | ||
จะหากินก็ไม่มีที่จะทำ | มีแต่ร่ำซานซมอยู่งมงาย | ||
นางลำเภาเยาวยอดขนิษฐ์น้อย | กำสรดสร้อยเศร้าใจไม่รู้หาย | ||
ตายังมีข้างเดียวเที่ยวถ่อกาย | ขวนขวายแต่จะหาอาหารกิน | ||
ตื่นแต่เช้าเข้าป่าหาลูกไม้ | กล้วยกล้ายหักมุกทุกสิ่งสิ้น | ||
มังคุดละมุดมะยมลูกพรมอิน | มะเดื่อดินส้มโอตะโกนา | ||
โฉมเฉลาเจ้าเก็บใส่กระจาด | แล้วลีลาศเลียบเดินตามเนินผา | ||
พอสายัณห์ตะวันลับก็กลับมา | ถึงอุโมงค์ลงไปหาสิบเอ็ดนาง | ||
แจกให้พี่ตามมีที่หาได้ | พอทาไส้จานเจือที่ขัดขวาง | ||
สิบเอ็ดคนทนเทวศก็ร้องคราง | จนรูปร่างนั้นผิดศรีฉวีวรรณ | ||
สงสารแต่เมศรานิจจาเจ้า | ยิ่งโศกเศร้าโศกาแทบอาสัญ | ||
จะคลอดโอรสยศยงที่ทรงครรภ์ | พระกายนั้นเจียนทรุดแทบสุดแรง | ||
พอลูกออกจากท้องก็ร้องแหว | นางแม่ก็ปวดท้องร้องเสียงแข็ง | ||
พระลูกคลอดทอดกายหงายให้ตะแคง | ทั้งอู่แอ่งก็ไม่มีที่จะทำ | ||
ครั้นลูกร้องเซ่อซ่ามาหาลูก | เหยียบตะหมูกถูกปากถลากถลำ | ||
ให้งันงกหกล้มลงทับล้ำ | ลูกเจ้ากรรมทำลายตายทันที | ||
ฝูงแม่น้ามาประชุมอยู่กลุ้มกลาด | ด้วยสามารถความอยากลากเอาผี | ||
มาฉีกเนื้อเถือหนังกุมารี | มาเผาจี่คนละอันปันกันกิน | ||
แจกให้นางลำเภาเก็บเอาไว้ | กินไม่ได้ย่างแห้งแข็งดังหิน | ||
ใครคลอดบุตรออกมาป้าน้ากิน | คนละชิ้นคนละอันปันกันมา | ||
แต่คลอดบุตรทีละคนทนไม่รอด | แม่ตาบอดป่วยไข้ไม่รักษา | ||
ลูกตายหมายกินต่างข้าวปลา | พอเป็นยาแก้แสบท้องร้องอุทร | ||
นางลำเภาได้แจกสิบเอ็ดครั้ง | ประสมเนื้อเหลือยังสิบเอ็ดก้อน | ||
เจ้าหาของท้องนาในป่าดอน | เลี้ยงอุทรตามประสาคนตาเดียว ฯ | ||
◉ ครั้นกำหนดทศมาสนาถลำเภา | ยุพเยาว์ปวดครรภ์กระสันเสียว | ||
เจ้าหลีกไปไกลเพื่อนไม่กลมเกลียว | อดเหนียวทนเจ็บไม่จาบัลย์ | ||
พอได้ฤกษ์นางก็คลอดปิโยรส | ไม่กำสรดเกลากล่อมถนอมขวัญ | ||
สิบเอ็ดนางเชษฐาก็มาพลัน | หมายจะปันเนื้อแย่งไปแบ่งเอา | ||
นางหยิบเนื้อย่างแห้งที่แบ่งไว้ | แล้วส่งให้ใช้เนื้อของพี่เขา | ||
สิบเอ็ดนางรับเนื้อของลำเภา | ต่างก็เอามากินด้วยยินดี | ||
เออมันแห้งแข็งกังทั้งเหม็นตืด | พวกตามืดแสนลำบากกินซากผี | ||
ลูกอีเภาเนื้อเน่ากินไม่ดี | ต้องประชีกระฉีกกินจนสิ้นไป ฯ | ||
◉ ฝ่ายลำเภาเยาวลักษณ์รักษาบุตร | บริสุทธิ์ราคินสิ้นปัถไหม | ||
นิราศโศกโรคพยาธิอุบาทว์ภัย | ด้วยเทพไทบำรุงผดุงชู | ||
เจียรกาลประมาณพระชันษา | ประจวบห้าหกปีมีผลู | ||
พระกุมารงามประโลมโฉมตรู | ฉลาดรู้เฉลียวแหลมแต้มนักเลง | ||
เมื่อออกจากอุโมงค์ตรงเข้าทุ่ง | ทำกริ่งกรุ่งตำเนินเดินโฉงเฉง | ||
พบกับเด็กเลี้ยงวัวตัวเจ้าเพลง | ร้องแหะเราเองแก้เพลงกัน | ||
เด็กชาวนาชอบใจให้ข้าวห่อ | พระน้อยหน่อห่อข้าวรัดกระสัน | ||
คำนึงถึงแม่ป้าก็มาพลัน | เอาข้าวห่อให้ปันทุกคนไป | ||
แม่กับป้าทั้งสิ้นได้กินข้าว | ก็โลมเล้าหลานพลางทางปราศรัย | ||
อันข้าวปลาได้มาแต่แห่งใด | พ่อสายใจช่างหามาให้ทาน | ||
พระบอกว่าเมื่อเย็นไปเล่นเพลง | เหล่านักเลงชาวไร่ให้แก่หลาน | ||
ชนนีดีใจใครจะปาน | ป้าตาบอดกอดหลานแล้วเชยชม | ||
ช่างแกล้วกล้าสามารถฉลาดเล่น | ชื่อเจ้ารถเสนจึ่งจะสม | ||
พูดก็เหลือเนื้อก็เกลี้ยงเสียงก็กลม | ต่างนิยมชมหลานสำราญใจ | ||
พระรถลาชนนีกับแม่ป้า | ว่าลูกยานี้จะเที่ยวไปหาไก่ | ||
ไปชนพนันขันเอาข้าวกับน้ำไซร้ | ได้มาเลี้ยงแม่ป้าประสาจน | ||
ว่าแล้วก็ตำเนินเดินออกมา | ตามแถวทางมรคาริมถนน | ||
หลีกลัดตัดไปให้พ้นคน | ปากก็บ่นครึ่งท่อนเป็นกลอนเพลง ฯ | ||
◉ ก็ร้อนถึงเทวฤทธิ์สิทธิศักดิ์ | นิมิตไก่ให้ประจักษ์ดูเหมาะเหม็ง | ||
เดินกอขันจ้าท่านักเลง | เที่ยวเขี่ยคุ้ยหากินเองตามทุ่งนา | ||
พระรถแลเห็นไก่ของใครหนอ | ด่างประดับรูปเหมือนหล่องามหนักหนา | ||
ก็จับเอาไก่นั้นอุ้มเอามา | เดินร่าพาเข้าไปสังเวียนดิน | ||
วันนั้นเป็นนัดใหญ่ไก่พร้องเพรียก | ก็เรียกไก่เข้าไปเปรียบจนหมดสิ้น | ||
ด่างประดับเปรียบได้ไก่เขียวนิล | ไก่ตาไลถิ่นนี้มีเดิมพัน | ||
พวกนักเลงจึ่งว่าถ้าท่านแพ้ | จงสัญญากันให้แน่เป็นเหมาะมั่น | ||
ถ้าเราแพ้ละจะให้เงินเดิมพัน | ถ้าท่านแพ้เรานั้นจงสัญญา | ||
พระรถว่าถ้าเราแพ้แก่นักเลง | จะยำเกรงยอมตัวเป็นทาสา | ||
ถ้านักเลงแพ้เรานั้นจงสัญญา | เอาโภชนาสิบสองห่อหม้อน้ำครบ | ||
เหล่านักเลงเก่าเก่าก็พูดก้อ | ลวงล่อเอาเชิงกระเจิงประจบ | ||
หมายจะได้เป็นทาสาหาไม่พบ | แล้วก็รบให้เอาไก่เข้าไปวาง | ||
ต่างคนเคล้าหน้าหาทิศที่ | เห็นไม่ถูกผีหลวงแล้วปล่อยหาง | ||
เขียวนิลลำโตนั้นตีคาง | ด่างประดับชนล่างผูกมัดไป | ||
ด่างเสียทีเขียวตีถูกหลังคอ | ด่างประดับหักงอหัวไถล | ||
เจ้าของเฮฮาอึงคะนึงไป | เออที่ไหนจะตลอดถึงสองอัน | ||
กำลังเมาโยโสพูดโวหาร | ด่างของท่านคงไม่อดเป็นแม่นมั่น | ||
พระกุมารว่าอย่าประมาทชาติเดิมพัน | เจ็บเท่านั้นที่จะแพ้อย่าพึงคิด | ||
ด่างประดับหายคัดมัดขึ้นมา | ฉวยตุ้มแทงนัยน์ตาไม่มีผิด | ||
พระรถว่าเออนั่นปะไรได้เหมือนคิด | แพ้สนิทพนันครัวไม่กลัวเลย | ||
พวกไก่เขียวหน้าจ๋อยดูหงอยง่วง | อันจมทะลวงจับไก่ไว้หน้าเฉย | ||
ให้ตาครูผู้ให้น้ำแก่คร่ำเคย | ว่าลุงเอ๋ยประคองสู้ดูอิกอัน | ||
แล้วเย็บตาผ้าขี้ริ้วจุดตามแผล | หมอเข้าแก้สองคนจนมือสั่น | ||
ให้หลับนอนป้อนข้าวอยู่พัลวัน | บ้างกระซิบบอกกันออกตัวไป | ||
นาฬิกาจมลงพออันสอง | นายบ่อนร้องเร่งรีบให้วางไก่ | ||
ข้างไก่รองร้องว่าทอดตั้งต่อไป | พระรถคิดแต่ในใจคงแพ้กู | ||
พออันจมแล้วเอาไก่เข้าไปรับ | ด่างประดับขันจ้าเที่ยวก๋าอยู่ | ||
เขียวตาบอดชะแง้เที่ยวแลดู | ทั้งคู่สองด่างปล่อยหางไป | ||
ไอ้เขียวงงชนหลงเพราะตาบอด | ไก่ด่างลอดขึ้นมาตีคางคัดได้ | ||
แทงซ้ำหักเหเซซวนไป | เจ้าของจับทันใดยอมแพ้พลัน | ||
พวกนักเลงเล่นนอกกันนักหนา | ก็ชมว่าไก่พระรถนี้ขยัน | ||
เจ้าของไก่ไอ้เขียวบอกเพื่อนกัน | ไก่นั้นอาเพศแต่เดิมที | ||
เมื่อนัดก่อนชนชนะถึงห้าชั่ง | มันก็ยังไม่เป็นรองถึงสองสี่ | ||
นี่ไก่เจ้าหนุ่มน้อยของเขาดี | เหมือนไก่ผีมิใช่เป็นไก่คน | ||
คิดเสียใจครั้นจะกลับเข้าไปบ้าน | เมียจะพาลด่าว่าไม่เป็นผล | ||
ก็ชวนเพื่อนพวกพ้องสองสามคน | ไปโรงหมี่หัวสนนกินสุรา ฯ | ||
◉ พระรถได้ข้าวน้ำสิบสองส่วน | ก็เดินด่วนมาถวายให้แม่ป้า | ||
แต่มีชัยชนะไก่ได้โภชนา | มาเลี้ยงป้าเป็นนิจกาลนาน | ||
ฝูงนักเลงก็ระบือลือพระรถ | ปรากฏจบสิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
พระรถสิทธิ์อิศเรศเธอแจ้งการ | ทราบสารแสนถวิลยินดี | ||
จะใคร่เห็นรูปทรงพงศ์เพศ | มาประเวศอยู่ในกรุงบูรีศรี | ||
ด้วยมานะกษัตราธิบดี | ว่าใครมีชัยชนะจะผจญ | ||
วิสัยกระษัตริย์สนัดในเอกระ | มิให้ใครมาชำนะแต่สักหน | ||
อันนักเลงนองเนืองในเมืองตน | มาแพ้คนสับพลัดจึงขัดใจ | ||
อุเหม่เหม่มานพนี้ลบหลู่ | ชนะในเมืองกูก็เป็นได้ | ||
จำกูจะผจญให้เสียชัย | แล้วจะได้ข่มขี่ให้ลี้ลับ | ||
แม้นเราเล่นสิ่งใดมีชัยเขา | เกียรติเราจะมีชื่อระบือศัพท์ | ||
แม้นมันแพ้ก็จะร่ำทำให้ยับ | เฆี่ยนขับใส่คุกให้ทุกข์ทน | ||
ดำริแล้วสั่งทแกล้วทหารหน้า | ให้ไปหานักเลงมาทุกแห่งหน | ||
นายทหารรับสั่งพระภูวดล | จัดให้คนป่าวเหล่านักเลงมา | ||
ฝูงนักเลงรู้กระแสก็แซ่ซ้อง | เป็นหมวดกองเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า | ||
รถเสนหนุ่มน้อยก็พลอยมา | เป็นชาวป่าอยู่วังนั่งอยู่ไกล | ||
จอมกระษัตริย์เสด็จยังธินั่งสนาม | รับสั่งถามว่าใครเล่นสกาได้ | ||
ให้เข้ามาทอดสกากับภูวไนย | เสียหรือได้พ่ายแพ้แต่พนัน | ||
เหล่านักเลงน้อยใหญ่ใครไม่สู้ | ก็นิ่งอยู่ดูใจใครจะขัน | ||
สิ้นทุกคนมิได้ต่อขอประชัน | ยังแต่องค์ทรงธรรม์พระกุมาร | ||
จึ่งถามว่าจะมาเล่นอะไรเจ้า | จงเร่งเข้ามาเร็วเถิดนะหลาน | ||
เล่นสกาพนันสู้กับภูบาล | รีบคลานเข้าไปเถิดอย่ารั้งรอ | ||
พระกุมารได้ฟังไม่ยั้งได้ | ไม่รู้จักเข้าไปใกล้ไม่ไหว้พ่อ | ||
หมอบเมียงคอยฟังอยู่รั้งรอ | ไม่ย่อท้อหมายจะสู้กับภูบาล | ||
รถสิทธิ์เห็นโอรสรถเสน | นฤเบนทร์มีราชบรรหาร | ||
ว่าดูรามานพผู้เชี่ยวชาญ | เรารำคาญเคืองระคายไม่วายวัน | ||
จะใคร่เล่นสกาให้ผาสุก | ให้คลายทุกข์เสื่อมสิ้นที่โศกศัลย์ | ||
เจ้าก็เชิงนักเลงมาเล่นกัน | ไม่พนันก็ไม่เพลินจำเริญใจ | ||
ถ้าเราแพ้ตามแต่จะปรารถนา | เงินตราผ้าพับจะนับให้ | ||
ถ้าเจ้าแพ้แก่เราเอาสิ่งไร | มาเสียให้ราคาค่าพนัน ฯ | ||
◉ พระรถบุตรอุดมบรมหน่อ | จึ่งตอบพ่อด้วยใจมิได้พรั่น | ||
แม้นตัวข้าแพ้พระองค์ทรงพนัน | ไม่มีอันที่จะเห็นเป็นราคา | ||
ตัวหม่อมฉันคนเดียวเท่านี้แล | ถ้าแม้นแพ้จะยอมตัวเป็นทาสา | ||
พระทรงฟังสั่งให้ยกกระดานมา | วางตรงหน้าทั้งสองต้องกระบวน | ||
พระรถกับกรุงกระษัตริย์ทัศนา | บาศกาคู่กันไม่ผันผวน | ||
ลูกขาวท้าวไททั้งมูลมวล | ลูกแดงล้วนแก่เจ้ารถดังพจนา | ||
ทั้งสองทอดลูกบาศผาดผัน | ป้องกันคอยระวังทั้งหลังหน้า | ||
ทีทับทีถอนผ่อนกันมา | พูดจาหลอกลวงดูท่วงที | ||
พระกุมารพาลจะคล่องร้องเรียกบาศ | ซัดปราดบาศพลิกเป็นสามสี่ | ||
หกกับหนึ่งสามหนึ่งกันก็ดี | ทำทีเรือนกันไว้มั่นคง | ||
กรุงกระษัตริย์บาศขัดซัดบาศกริก | บาศก็พลิกหน้าร้ายไม่ประสงค์ | ||
ก็จำเดินโดยขัดซัดบาศลง | แล้วพระองค์ยอมแพ้อายแก่ใจ | ||
รถเสนมีชัยฝ่ายพ่อแพ้ | ถึงสามกระดานจะแก้ก็ไม่ไหว | ||
ยิ่งแก้ก็ยิ่งแพ้ทุกทีไป | จนอ่อนใจยอมแพ้แก่กุมาร | ||
จึ่งให้ของเงินตราค่าพนัน | ทรงธรรม์ทูลแจ้งแถลงสาร | ||
เงินทองสิ่งของซึ่งประทาน | ไม่ต้องการคืนถวายแก่ราชา | ||
จะขอแต่วารีสิบสองเต้า | ทั้งข้าวน้ำดังใจปรารถนา | ||
กรุงกระษัตริย์ฟังอรรถกุมารา | จึ่งให้น้ำข้าวปลาได้ดังใจ | ||
จึ่งตรัสว่าดูรามานพน้อย | เราก็พลอยพิศวงให้สงสัย | ||
อันเงินทองของเราสักเท่าไร | ที่ยกให้ค่าพนันนั้นมากมาย | ||
เจ้ามิได้จำนงที่ตรงทรัพย์ | ก็คืนกลับเงินตรามาถวาย | ||
เราสงสัยไฉนเล่าจงภิปราย | บรรยายให้เรานี้เข้าใจ ฯ | ||
◉ พระกุมารฟังสารกระษัตริย์ถาม | จึ่งแจ้งความตามสัตยาศัย | ||
อันเงินทองไม่ประสงค์จำนงใจ | จะเอาไปกินได้ฤๅไรนา | ||
อันข้าวน้ำต้องประสงค์จำนงนัก | ด้วยบำรุงเลี้ยงรักษ์พระแม่ป้า | ||
สิบสองคนทุรพลอัปรา | ด้วยหูตามืดมนอนธการ | ||
พระฟังคำพระรถเสนยิ่งเกณฑ์ถวิล | แล้วทรงจินตนาบัญชาหาร | ||
พิศดูรูปทรงองค์กุมาร | ในอาการประจักษ์ลักขณา | ||
ทั้งมารยาทจะเป็นชาติประยูรยศ | ปรากฏงามประโลมทั้งโฉมหน้า | ||
จะเป็นพงศ์องค์ใดที่ไหนมา | กิริยารูปร่างสำอางครัน | ||
จึ่งตรัสว่าดูรากุมาเรศ | จงแจ้งเหตุโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
อันสุริวงศ์พงศ์เผ่าของเจ้านั้น | เป็นพงศ์พันธุ์ว่านเครือเชื้อผู้ใด | ||
ทั้งบิตุรงค์มารดาและป้าเชื้อ | เป็นชาวใต้ชาวเหนือตำบลไหน | ||
จงบอกเล่ากับเราให้เข้าใจ | อยากจะใคร่รู้จักไว้ทักกัน ฯ | ||
◉ พระรถฟังบังคมบรมนาถ | จึ่งตอบราชบรรหารเจ้าไอศวรรย์ | ||
เกล้ากระหม่อมไร้ญาติพงศ์พันธุ์ | เป็นคนจัณฑาลทุกข์ทุรพล | ||
อันมารดาข้าชื่อนางลำเภา | สนิทเนาในอุโมงค์ด้วยขัดสน | ||
กับแม่ป้าตาบอดสิบเอ็ดคน | มาทุรพลอดอยากได้ยากเย็น | ||
ได้ยินว่าบิดาเป็นกระษัตริย์ | ไม่แจ้งชัดอยู่ที่ไหนมิได้เห็น | ||
แม่กับป้าเลือดนัยน์ตาไหลกระเซ็น | อดแต่เช้ากินเย็นอยู่อัตรา | ||
เมื่อได้ข้าวของพนันทุกวันนี้ | ไปให้แก่ชนนีกับแม่ป้า | ||
สิบสองคนชนนีไม่มีตา | ได้ข้าวแล้วข้าจะลาพระองค์ไป ฯ | ||
◉ กรุงกระษัตริย์ฟังอรรถสนัดแน่ | ก็รู้แท้มั่นคงไม่สงสัย | ||
ว่ากุมารเป็นบุตรพระภูวไนย | จึ่งเข้าไปสวมกอดกุมารา | ||
อนิจจาขวัญข้าวเจ้าพ่อเอ๋ย | กระไรเลยได้ยากเป็นนักหนา | ||
แต่นี้ไปพ่อจะให้ซึ่งโภชนา | ไปเลี้ยงป้ากับแม่ของโฉมยง | ||
จงไปเฝ้าแหนให้เป็นนิจ | ถ้ามีกิจสิ่งใดต้องประสงค์ | ||
ของในนิเวศวังดังจำนง | จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์พันธุ์ | ||
ตรัสพลางทางมีพระบัญชา | สั่งเฒ่าแก่โขลนจ่าตัวขยัน | ||
จงไปบอกวิเสทนอกทั้งปวงนั้น | ให้เปลี่ยนกันส่งข้าวทุกเวลา | ||
สั่งเสร็จเสด็จคืนเข้าปราสาท | ยุรยาตรเข้าในห้องอันเลขา | ||
พระรถก็ลินลาศคลาดคลา | มายังแม่ป้าโดยจำนง | ||
แม่กับป้าพากันมารับหลาน | ก็ชื่นบานเชยชมสมประสงค์ | ||
พระรถบอกกับแม่แต่ตามตรง | วันนี้พบองค์พระบิดา | ||
เล่นสกาพนันพระพ่อแพ้ | ประทานเงินผ้าแพรเป็นนักหนา | ||
ลูกไม่เอาถวายคืนพระผ่านฟ้า | ทูลกิจจาตามคดีโดยจำนง | ||
พระพ่อรู้เรื่องความตามกระแส | ประจักษ์แน่ว่าเป็นบุตรสุดประสงค์ | ||
ก็โปรดให้โภชนาดังจำนง | สั่งวิเสทขนส่งทุกเพลา | ||
สั่งลูกยาว่าจงอยู่นิเวศวัง | ลูกตั้งใจจะมาหาแม่กับป้า | ||
นางลำเภาฟังอรรถวจนา | จึ่งเล่าเรื่องหลังมาให้แจ้งใจ | ||
บิตุรงค์ได้องค์มเหสี | ในดอกประทุมมาลีที่สระใหญ่ | ||
เวทมนตร์มันขลังล้นเป็นพ้นไป | มันว่าไรเป็นนั่นดังวาจา | ||
มันให้ควักนัยน์ตาป้ากับแม่ | สุดแท้ตามใจมันปรารถนา | ||
โทษผิดสิ่งไรไม่มีมา | พระผ่านฟ้าช่างทำได้ไม่อินัง | ||
พระรถแจ้งคดีที่แม่เล่า | ก็โศกเศร้าโศกาน้ำตาหลั่ง | ||
สงสารแม่พลัดพรากมาจากวัง | สุดจะสังเวชป้าแล้วว่าไป | ||
อย่าทุกข์ร้อนลูกจะจรไปหาเลี้ยง | อันมีจนนั้นไม่เที่ยงอย่าสงสัย | ||
วาสนาอาภัพก็ลับไป | แม่อย่าได้มัวหมองด้วยกองจน | ||
ปลอบแม่ป้านั่งฟังพระหลาน | ก็ชื่นบานแต่ตามยามขัดสน | ||
น่าสงสารพระกุมารนะถนน[19] | เที่ยวซุกซนหาเลี้ยงพระมารดา | ||
กับได้ของประทานวิเสทส่ง | โดยจำนงเลี้ยงกายไปภายหน้า | ||
วิเสทนอกออกมาส่งเป็นอัตรา | ตามบัญชากรุงกระษัตริย์ตรัสประทาน | ||
รถเสนสุริวงศ์เธอองอาจ | สามารถแว่นไวใจทหาร | ||
ค่ำเช้าเฝ้าแหนพระภูบาล | ยังมิได้ว่าขานการสิ่งใด | ||
ฝูงข้าเฝ้าเหล่าพระยาก็ยำเกรง | ด้วยเธอเป็นนักเลงเก่งจนใหญ่ | ||
ท่วงทีเชี่ยวชาญชำนาญใน | พริบไหวเชิงชั้นขยันนัก | ||
ทั้งรูปทรงเจ้าชู้ดูหลักแหลม | กิริยาก็แชล่มดูแหลมหลัก | ||
พวกขุนนางน้อยใหญ่มีใจรัก | ที่งอนง้อขอทักนั้นเราะราย | ||
บ้างกระซิบพูดกันกระนั้นกระนี้ | กุมารนี้ท่วงทีดีใจหาย | ||
อย่าทำเล่นดูถูกลูกงูร้าย | ฉวยกัดถูกแล้วก็ตายไม่รู้ตัว | ||
อย่าคลำหางเสือผอมจะตรอมจิต | แต่ราชสีห์มีฤทธิ์ยังสั่นหัว | ||
อันว่านเครือเชื้อสายเจ้านายตัว | ถึงตกยากก็ให้กลัวอย่าแรมโรย | ||
บางทีว่าข้าพเจ้าเห็นเค้าเงื่อน | คงจะเลื่อนจากจนพ้นหิวโหย | ||
พูดขอรับคำนี้ดีกว่าโฮย | ย่อมกันโพยพอให้รักสักเวลา | ||
บางที่ว่าพระกุมารนี้นักหนา | ฉกาจเก่งท่วงทีดีหนักหนา | ||
เล่นอะไรมีชัยไปทุกครา | ทั้งแกล้วกล้านานไปจะได้ดี | ||
เหล่าขุนนางต่างคนสรรเสริญ | จนอายุเธอจำเริญได้สิบสี่ | ||
ราชการทุกกระทรวงรู้ท่วงที | สิบหกปีปราดเปรื่องกระเดื่องกรุง | ||
ก็ลือเล่าเข้าหูสุนนทา | นางยักษากลับวิตกตีอกผลุง | ||
ให้เคืองขุ่นหุนหันหมั่นไส้พุง | นอนไม่หลับยังรุ่งจนตาโรย | ||
แสนแค้นพี่น้องสิบสองคน | ไม่วายชนม์จนกายนั้นหิวโหย | ||
มีลูกชายได้ข่าวราวขโมย | จะทำโพยก็เกรงพ่อต้องรอคิด | ||
จะฆ่าเสียในเมืองจะเลื่องลือ | จะอึงอื้อรู้ถึงองค์รถสิทธิ์ | ||
กูจะทำสงครามด้วยความคิด | ให้ชีวิตไอ้รถมันปลดปลง | ||
คิดแล้วเข้าห้องทำร้องคราง | เอาหยูกยาทาข้างขอบขนง | ||
เรียกเครื่องสุพรรณภาชนะทรง | ของประจงดีดีมีโอชา | ||
จับช้อนทำทีเสวยข้าว | เมื่อยามเจ้าภพไตรจะไปหา | ||
ทำแค่นขืนกลืนข้าวเหมือนกลืนยา | แล้วบ่นว่าอยากมะม่วงกับมะนาว | ||
ต่อเมื่อใดได้มะนาวที่รู้โห่ | กับมะม่วงผลนั้นโตที่รู้หาว | ||
ถ้าได้กินสักชิ้นลูกมะนาว | ประหนึ่งราวกับปลิดลิดโรคา | ||
พูดกันไม่ทันจะขาดปาก | พอสามีเสด็จกรากเข้ามาหา | ||
ได้ยินยังไม่ชัดตรัสถามมา | เมื่อตะกี้แก้วตาว่าอะไร | ||
นางสุนนทามารได้ฟังผัว | ยอบตัวแกล้งชะอ้อนวอนไหว้ | ||
วันนี้ให้ปวดหัวมัวตาไป | อกใจให้เขม่นเต้นริกริก | ||
ให้นึกอยากมะม่วงหาวมะนาวโห่ | ท้องจะโตแล้วลำบากยากยุกยิก | ||
อยากร้อนอยากเผ็ดอยากเม็ดพริก | มันให้อยากจุกจิกไปทีเดียว | ||
ฉะนี้แน่แพ้ท้องหฤๅไรและ | มันเสาะแสะอยู่อยู่ก็ใจเสียว | ||
ทูลพลางแอบองค์ลงกลมเกลียว | แสนฉลาดจริงเจียวช่างสอพลอ | ||
จูบน้องลองรสแล้วพจนารถ | สายสวาททูลไปพิไรขอ | ||
ประทานโทษโปรดเมียให้คล่องคอ | อย่าหาหมอมาลองไม่ต้องเลย | ||
พระฟังนางพลางประโลมโฉมถนอม | อีมารปลอมย้อมพูดเล่นเฉยเฉย | ||
เพราะต้องมนต์เล่ห์ลมหลงชมเชย | พระกอดเกยเกี้ยวกายคลายฤๅทัย | ||
ประจงจับขยับเยื้องนางสลัด | ผลักพระหัตถ์กล่าวชะอ้อนแล้ววอนไหว้ | ||
ไม่สบายพระอย่ายวนให้กวนใจ | เป็นอะไรในอุทรให้ร้อนร้าว | ||
มันให้อยากเปรี้ยวหวานพานจะมาก | มันเหลืออยากผลพวงมะม่วงหาว | ||
ที่รู้โห่เหมือนคนผลมะนาว | ถ้าได้กินแล้วราวกับได้พิมานทอง | ||
โอ้เจ้าพี่ที่ไหนไม่เคยเห็น | ประหลาดเป็นอัศจรรย์สำคัญของ | ||
ท่าเห็นมีแก้วพี่จงปรองดอง | ที่ตรงน้องเรียมไม่ขัดพระอัชฌา | ||
มีอยู่ดอกพระทูลกระหม่อมแก้ว | น้องรู้แล้วมีในเมืองของยักษา | ||
น้องจะเขียนราชสารตามปัญญา | ไปขอมาก็จะได้ดังใจปอง | ||
รถเสนกุมารมีบุญนัก | ถ้าเจ้าไปเมืองยักษ์เห็นได้คล่อง | ||
ด้วยชั้นเชิงโฉมตรูรู้ทำนอง | ไม่ขัดข้องที่จะใช้ให้ขอมา | ||
ถ้ากระนั้นขวัญเมืองอย่าเคืองใจ | พี่จะใช้ให้องค์โอรสสา | ||
ไปยังกรุงทานตะวันนครา | ขออัมพากับมะนาวมาให้น้อง | ||
ว่าพลางคลึงเคล้าเย้ายวน | โดยกระบวนประดิพัทธ์ไม่ขัดข้อง | ||
เสพสมรมยาดังฟ้าคะนอง | จนแสงทองส่องทิศบูรพา | ||
พระก็ฟื้นตื่นสรงเพลาสาย | สำอางองค์พรรณรายทรงภูษา | ||
เสด็จเข้าที่เสวยโภชนา | เสร็จทรงปัญจากุกุธภัณฑ์ | ||
แล้วออกท้องพระโรงรัตน์อรรถอำมาตย์ | หมอบกลาดดังสิเนรุสองสวรรค์ | ||
ข้าเฝ้าท้าวพระยาทั้งนั้น | ก็ถวายบังคมคัลด้วยทันใด ฯ | ||
◉ รถเสนโอรสประณตน้อม | พรั่งพร้อมเสนาทั้งน้อยใหญ่ | ||
จอมกระษัตริย์ทัศนามาแต่ไกล | มีพระทัยโสมนัสด้วยอัชฌา | ||
ด้วยพระองค์หลงเล่ห์เสน่ห์เมีย | พาให้เสียยศศักดิ์ลงหนักหนา | ||
เมากิเลสเวทมนตร์ดลวิญญา | หลงตัณหาตาบอดลงกอดมือ | ||
นึกจะใช้ลูกไปก็สมเพช | คิดถึงเมียที่สังเวชไม่อาจหือ | ||
ระลึกคำเมียสั่งตั้งฮึดฮือ | เห็นหน้าลูกแล้วก็รื้อให้รั้งรอ | ||
แต่ผินหน้าผินหลังนั่งแล้วลุก | ไม่มีสุขเหมือนจะเข้ต้องมนต์หมอ | ||
ครั้นใจเขลาเมาเมียมาเคลียคลอ | ให้คันคอพอจะตรัสขัดในใจ | ||
อันเมาเหล้าเมายาช้าก็หาย | อันเมาเมียนี้จะคลายอย่าสงสัย | ||
มันคอยเติมคอยซ้ำอยู่ร่ำไป | ซ้ำทีไรรามาพิรากน | ||
แต่ครั้งหนึ่งสองครั้งใจยังดี | มันเสียทีเมื่อครบจนสามหน | ||
ครั้นถึงสี่สุดที่จะทานทน | มันลงเป็นผักต้มขนมยำ | ||
ท่านว่ามีเมียผิดให้คิดหย่า | ครั้นเห็นหน้ามันแต่งล่อพอขำขำ | ||
ก็ลืมคำสุภาษิตไม่คิดคำ | เฝ้าแต่ร่ำไรรักหักไม่ลง | ||
ถึงรู้ว่าเมียชั่วถ้าตัวรัก | รักจะหักชั่วได้ไม่ประสงค์ | ||
คิดว่าชั่วช่างมันเทอะก็เลอะลง | อันชายคงหลงเมียเสียทุกคน | ||
ท้าวรถสิทธิ์หลงเล่ห์เสน่ห์ยักษ์ | มีความรักมืดฟ้าเวหาหน | ||
มาปิดรักโอรสหมดกล | เพราะมัวมนต์หลงเล่ห์เสน่ห์เมีย | ||
อันรักลูกก็หายคลายไปสิ้น | หวังถวิลให้กระจัดพลัดไปเสีย | ||
จะยกยศให้ปรากฏไว้แต่เมีย | ลูกให้จำต่ำเตี้ยเมียชอบใจ | ||
จึ่งตรัสเรียกโอรสนั้นเข้ามา | ลูบไล้พูดจาแล้วปราศรัย | ||
ลูกเอ๋ยพ่อนี้หวังตั้งใจ | อยากจะได้ลูกไม้ที่เอกโท | ||
ผลหนึ่งชื่อมะม่วงนั้นรู้หาว | ผลหนึ่งชื่อมะนาวนั้นรู้โห่ | ||
ถ้าได้มาพาราเราจะภิญโญ | เป็นมโหฬารเลิศประเสริฐนัก | ||
ไม้นั้นสุนนทาเขาว่ามี | ในบูรีทานตะวันอันมีศักดิ์ | ||
เจ้าแก้ไขไปขอทูลอสูรยักษ์ | ว่ารู้จักกับนางสุนนทา | ||
แต่ครั้งเขายังอยู่เขาไกรลาส | เป็นข้าบาทพระสยมอันนาถา | ||
ได้ลงไปเที่ยวสวนอสุรา | เห็นอัมพากับมะนาววิเศษดี | ||
พระธิดาบุตรีเมรีนั้น | ได้ผูกพันยอมเป็นบุตรของโฉมศรี | ||
จงเอาสารนี้ไปส่งให้เมรี | ยังบูรีทานตะวันพระพารา | ||
นางจะให้หนังสือเจ้าถือไป | แจ้งในข้อระบิลสิ้นกังขา | ||
คงจะได้มะนาวผลอัมพา | จะอาสาพ่อได้หฤๅลูกรัก ฯ | ||
◉ พระโฉมยงฟังองค์พระบิตุราช | อภิวาทบาทบงสุ์พระทรงศักดิ์ | ||
โดยจิตตรงเจตนาสามิภักดิ์ | ไม่รู้ว่ากลยักษ์มันอุบาย | ||
จึ่งทูลว่าจะอาสาพระบิตุเรศ | ให้สมเจตนาในมโนหมาย | ||
ไปเอาผลมะม่วงงามตามอุบาย | มาถวายบิตุรงค์ด้วยจงใจ | ||
อย่าว่าเลยจะลำบากในแดนดง | ถึงของดีที่ประสงค์ตรงทิศไหน | ||
แม้นพระองค์จำนงจงใจ | จะใคร่ได้จะเอามายังธานี | ||
จะขอแต่อาชาม้าต้น | ขี่ข้ามพนาสณฑ์เดินวิถี | ||
จงโปรดปรานประทานซึ่งพาชี | พอได้ขี่ข้ามพงดงดอน ฯ | ||
◉ กรุงกระษัตริย์ฟังอรรถพระลูกรัก | สามิภักดิ์โดยการชาญสมร | ||
มีพระทัยโสมนัสสถาพร | นรินทรเยื้องย่างเข้าปรางค์ใน | ||
นั่งแอบแนบน้องสุนนทา | เชยแก้วกัลยาแล้วปราศรัย | ||
เจ้าจงแต่งสาราอย่าช้าไย | ให้โอรสถือไปบัดเดี๋ยวนี้ | ||
มันก็รับอาสาว่ามั่นคง | จะไปส่งนครเมรีศรี | ||
แม้นมิได้ผลไม้มาธานี | จะฆ่าให้ชีวีมันปลดปลง | ||
สุนนทาฟังว่ากระเษมจิตร | ด้วยสมคิดนิยมสมประสงค์ | ||
จึ่งทูลความตามอุบายหลายกระทง | เชิญพระองค์เสด็จออกยังเสนา | ||
น้องจะคิดแต่งสารการตรองตรึก | ถ้าอึกทึกก็ไม่ชอบประกอบว่า | ||
ถ้าเขียนเสร็จสำเร็จอักษรา | จะส่งไปข้างหน้าดังใจปอง | ||
พระฟังแก้วขนิษฐามารยาบอก | เสด็จออกที่นั่งเย็นเผ่นผยอง | ||
พระว่าขานการพาราตามทำนอง | พระกรรณจ้องคอยฟังสุทามาร ฯ | ||
◉ สุนนทายักษีมีพยศ | แต่งกลอนคิดคดลงในสาร | ||
เป็นความลับกำชับในใบลาน | เสร็จสารม้วนห่อใส่กล่องพลัน | ||
แล้วเสกมนต์ผูกรัดมัดกล่องแน่น | ใครจะแก้หมื่นแสนอย่าไหวหวั่น | ||
เว้นแต่หมู่สุริวงศ์พงศ์พันธุ์ | แล้วถือสารจรจรัลมาทันใด | ||
ทำกระแอมกระไอแล้วให้เสียง | ภูวไนยจำสำเนียงกระแอมได้ | ||
เสด็จกลับหวนหันเข้าทันใด | เห็นอรทัยแล้วจึ่งถามไปทันที | ||
ไหนเล่าราชสารจะให้ไป | ส่งมาเร็วไวเถิดโฉมศรี | ||
นางส่งกล่องสาราด้วยทันที | พระเผยม่านจรลีกลับออกมา ฯ | ||
◉ เรียกองค์โอรสเข้ามารับ | พระรถคลานคำนับน้อมเกศา | ||
รับสารจากหัตถ์กษัตรา | จึ่งมีบัญชาไปทันที | ||
กรมม้าที่มาหมอบตามกระทรวง | แต่บรรดาม้าหลวงอยู่ที่นี่ | ||
ให้จัดม้าทุกตัวชั่วแลดี | ให้ลูกยาเรานี้ไปเลือกพลัน | ||
พระรถบังคมแล้วคลาดคลา | เดินมาทางวิโยคไห้โศกศัลย์ | ||
มาถึงอุโมงค์เข้าด้วยพลัน | ทรงธรรม์กราบกับบาทพระมารดา | ||
โอ้ว่าแม่ป้าผู้เพื่อนยาก | กรรมวิบากสิ่งไรเป็นหนักหนา | ||
สมเด็จบิตุเรศไม่เวทนา | ใช้ข้าให้ถือหนังสือไป | ||
ยังเมืองยักษ์ทานตะวันนครา | ขออัมพาที่รู้หาวมาจงได้ | ||
ทั้งมะนาวที่รู้โห่อันเกรียงไกร | จะมิไปเล่าก็เกรงพระอาญา | ||
ลูกเป็นห่วงแม่กับป้าอยู่ข้างหลัง | จะฝากฝังกับผู้ใดไม่เห็นหน้า | ||
ลูกไปแล้วเมื่อไรจะกลับมา | มรคาทุ่งกว้างทางก็ไกล | ||
นางลำเภากอดลูกเข้าครวญคร่ำ | โอ้เวรกรรมสิ่งใดมาซัดให้ | ||
แสนลำบากยากจนคนไร้ | เจ็บไข้ก็ได้เห็นหน้ากัน | ||
เกิดเหตุทั้งนี้อีนนทา | พยาบาทอิจฉานั้นเข้มขัน | ||
ถ้ามิได้อย่างนี้เอาอย่างนั้น | มันว่าไรเป็นนั่นดังวาจา | ||
คิดถึงตัวก็ให้นึกสังเวชจิต | คิดถึงลูกก็สงสารเป็นหนักหนา | ||
ไหนจะคิดเคืองขัดพระภัสดา | กัลยาค่อนอุระประปราน | ||
พระรถค่อยคลายหายความโศก | ว่าแม่ป้าอย่าวิโยคโศกถึงหลาน | ||
แม้นกุศลหนหลังแต่ก่อนกาล | มาเจือจานแล้วไม่มีซึ่งโพยภัย | ||
อันเกิดมาในวัฏสงสาร | จะพ้นการมรณาอย่าสงสัย | ||
จงหักใจเถิดแม่ป้าอย่าห่วงใย | ลูกไปไม่ช้าจะมาพลัน | ||
แล้วประกาศเทวัญทุกชั้นฟ้า | อันตัวข้ากระตัญญูถือสัตย์มั่น | ||
บำรุงเลี้ยงแม่ป้ามานานครัน | จงมาช่วยป้องกันอันตราย | ||
ตาก็บอดมืดมนอนธการ | ทั้งสาธารณ์ยากจนเป็นเหลือหลาย | ||
ให้พ้นจากไภยันอันตราย | เทพเจ้าทั้งหลายจงเมตตา ฯ | ||
◉ ครั้นเสร็จตั้งจิตธิษฐาน | พระกุมารจึ่งบอกกับแม่ป้า | ||
ของประทานเอมโอชโภชนา | วิเสทขนส่งมาเป็นนิจกาล | ||
นั้นและจงบำรุงผดุงเลี้ยง | เป็นเสบียงเลี้ยงชีวาคอยท่าหลาน | ||
แล้วกราบลาแม่ป้ามิทันนาน | แม่กับป้าให้พรหลานด้วยทันใด | ||
พ่อไปให้เป็นสุขสวัสดี | จงปราบหมู่ไพรีให้แพ้พ่าย | ||
ให้มีเดชภิญโญเดโชชัย | จงสมใจปรารถนาพยายาม | ||
พระรถประนมกรรับพรแล้ว | ก็คลาศแคล้วไปยังวังสนาม | ||
จึ่งเรียกกรมม้าให้มาตาม | อันม้างามอยู่ที่ไหนไปกะเรา | ||
กรมม้าออกมากับพระรถ | ให้จูงม้ามาหมดทุกหมวดเหล่า | ||
สีขาวแดงดีทั้งสีเทา | ม้าเก่าม้าใหม่ที่ในโรง | ||
พระเลือกดูหมู่ม้ากว่าพัน | ฝีเท้านั้นผกเผ่นเต้นเยงโหยง | ||
ไอ้ม้าอดอยากลากซี่โครง | ดูเกงโก้งรูปร่างไม่น่าดู | ||
พระจึ่งถามกรมม้าว่าพาชี | ม้าระวางบรรดามีอยู่ทั้งหมู่ | ||
เราดูไม่ต้องตำราไม่น่าดู | รูปเหมือนหมูเหมือนวัวชั่วเหลือใจ | ||
นายม้าทูลว่าม้าของหลวง | ทุกกระทรวงเอามาหาเหลือไม่ | ||
ทั้งม้าเชลยศักดิ์พรรคพวกใคร | บรรดามีที่ไหนก็เอามา | ||
สุดสิ้นเท่านี้ไม่มีแล้ว | พระอย่าได้สอดแคล้วกังขา | ||
ยังมีม้าหมู่หนึ่งในท้องนา | เที่ยวกินหญ้าดงรามมีสามตัว | ||
ขอเชิญเสด็จไปดูให้รู้เห็น | มันร้ายร้องคะนองเล่นกัดเอาหัว | ||
ชาวเมืองชาวบ้านสะท้านกลัว | พระอยู่หัวจงทราบบทมาลย์ ฯ | ||
◉ พระฟังนายกรมม้าว่ามั่นคง | พาเราไปโดยจำนงที่ว่าขาน | ||
จะได้รู้กิริยาและอาการ | เหมือนท่านว่าแล้วจะจับมาขี่ลอง | ||
พูดพลางกรมม้าพาพระรถ | เดินเลี้ยวลดตามถนนพ้นบ้านช่อง | ||
ออกจากบึงพอถึงที่ริมคลอง | เห็นม้าสองสามตัวเที่ยวมัวกิน | ||
กรมม้าพากันขึ้นต้นไม้ | จะไว้ใจไม่ได้โดยถวิล | ||
อย่าพูดดังม้าร้ายจะได้ยิน | มันขี้ผินโผผกมาชกเอา | ||
พระรถเห็นพาชีที่ในทุ่ง | เขม้นมุ่งเห็นดีทั้งสีขาว | ||
เขียวขำลำนิลสินสีเทา | เชิงเชาว์ชาญคะนองว่องไว | ||
พระเสด็จหากแกล้งแสดงองค์ | เป่าพระหัตถ์เสี่ยงส่งกระแสงไสย[20] | ||
พลางตำเนินเดินตรงเข้าไป | มโนมัยผัวเมียเลียลูกพลาง | ||
แล้วบอกว่าพระกุมารจ้าวเรามา | ตรงคันนาริมบึงที่ขึงขวาง | ||
ลูกม้าเหลียวชะแง้แลตามทาง | เห็นพระรถเดินกลางคันนามา | ||
ดีใจลำพองแล้วร้องกระหึมแห้ | ก็วิ่งแต้เต้นใหญ่เข้าไปหา | ||
พระรถรักกวักหัตถ์กัณฐัศมา | แล้วอาชาเต้นชิดเข้าติดพัน | ||
พระกอดคอม้าแก้วแล้วป้อนหญ้า | ชักชวนว่าพี่ม้าเอ็นดูฉัน | ||
ครั้งนี้มีงานการสำคัญ | ไปด้วยกันกับน้องเถิดอาชา | ||
จะถือสารไปเมืองทานตะวัน | หนทางนั้นสุดไกลเป็นนักหนา | ||
จงพาน้องไปให้ถึงพระพารา | พระบิดาใช้ไปดังใจปอง | ||
ม้าทรงขององค์พระสยม | สบเศียรก้มแล้วก็กล่าวสารสนอง | ||
อัมรินทร์ปิ่นภพพิมานทอง | ให้พี่ม้าคอยน้องหลายราตรี | ||
จะกริ่งเกรงอะไรไปเมืองยักษ์ | ไม่เกรงศักดิ์ยักษาดอกโฉมศรี | ||
จงขึ้นหลังพี่เถิดนะภูมี | พาชีรื่นเริงบันเทิงใจ | ||
พระฟังม้าพาทีดีใจนัก | กวักพระหัตถ์เรียกกรมม้าแล้วปราศรัย | ||
เร่งเอาเครื่องมาแต่งมโนมัย | ให้ทันในเวลาอย่าช้าการ | ||
กรมม้าพาเครื่องมาแต่งม้า | เบาะอานผ่านหน้าดูไพศาล | ||
แผงจำหลักราชสีห์เผ่นทะยาน | ปานม้าทรงขององค์เวชยันต์ | ||
............................................ | ............................................ | ||
............................................ | ............................................ | ||
............................................ | ฝีเท้า........................ดังลมกรด | ||
โผนเผ่นเต้นร้องลำพองพยศ | ก็พาพระรถ..................นภา[21] | ||
ราษฎรยืนดูอยู่หวั่นไหว | บอกกันไปว่าองค์โอรสา | ||
............บุญเลิศล้นคณนา | คงได้ครองพาราพระบุรี | ||
ม้าทรงพาองค์พระหน่อนาถ | ผันผาดข้ามเมรุคีรีศรี | ||
พระโหยละห้อยไห้หาพระชนนี | ก็โศกีอยู่บนหลังอาชาไนย | ||
โอ้ว่าปานฉะนี้พระแม่เจ้า[22] | .......................................... | ||
....................................................... | .......................................... | ||
...................................................... | ............................................ | ||
หลานน้อยไม่ประสงค์ตรงว่านยา[23] | ด้วยไม่รู้มรคาจะโคจร | ||
ตัวข้าชื่อว่ารถเสน | หน่อนเรนทร์รถสิทธิ์อดิศร | ||
อยู่ไกรจักรพระพาราสถาวร | พระบิดรใช้ให้ถือหนังสือไป | ||
ถึงเมรีลูกรักสุนนทา | อยู่พาราทานตะวันกรุงใหญ่ | ||
ให้เอาผลมะม่วงหาวในกรุงไกร | พาไปถวายองค์พระบิดา | ||
อันหนทางที่จะไปเมืองทานตะวัน | ทิศไหนนั่นใกล้หรือไกลให้กังขา | ||
จึ่งโปรดเกศแจ้งเหตุแห่งมรคา | ได้เมตตาชี้แสดงให้แจ้งการ ฯ | ||
◉ พระมุนีฟังคดีกุมารไข | ก็แจ้งใจทราบสิ้นกระบิลสาร | ||
จึ่งหลับเนตรสังเกตดูรู้ในฌาน | เหตุการณ์ทราบยุบลแต่ต้นมา | ||
จึ่งปราศรัยว่าดูรากุมาเรศ | เจ้าประเวศมาถึงนี่ดีนักหนา | ||
แต่เหน็ดเหนื่อยจงหยุดพักสักเวลา | บ่ายแสงสุริยาจึ่งบทจร | ||
พระอาจารย์จึ่งไปเลือกผลไม้ | ทุเรียนระกำลำไยมะพร้าวอ่อน | ||
ส้มโอส้มซ่าผลกระท้อน | ให้ภูธรเสวยเถิดพอชื่นใจ | ||
พระภูบาลรับประทานของฤๅษี | ก็เปรมปรีด์ปราโมทย์ค่อยแจ่มใส | ||
ด้วยเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้ามาแต่ไกล | พระภูวไนยเสด็จนั่งหลังศาลา | ||
บนแผ่นผาศิลาใหญ่ใต้ร่มโศก | แสนวิโยคคิดคำนึงถึงแม่ป้า | ||
จึ่งแก้กล่องที่ผูกคออาชา | วางไว้ริมกายาพระภูมี | ||
แล้วเอนกายลงบนแผ่นศิลาลาด | ก็ไสยาสน์ใต้โศกกระเษมศรี | ||
ฝ่ายว่าม้ามิ่งที่ตัวดี | ก็จรลีไปเที่ยวในพงไพร | ||
พระมุนีเที่ยวจงกรมแล้วลินลาศ | เห็นกุมารไสยาสน์นอนหลับใหล | ||
กล่องสารที่กุมารเอาวางไว้ | เธอหยิบได้เอาขึ้นดูอยู่ช้านาน | ||
จึ่งแก้มนต์ที่อีมารมันผูกมา | แล้วหยิบเอาสาราออกมาอ่าน | ||
ในสาราว่าสุนนทามาร | มาแจ้งการกับเมรีผู้ธิดา | ||
ด้วยกุมารนี้เป็นหลานอีตาบอด | นัยน์ตามันนั้นให้ขอดไว้บนฝา | ||
ถ้าวันใดมันมาถึงพารา | ให้ยักษาจับกินให้สิ้นไป | ||
ทั้งอาชาม้าที่ขี่พยศ | กินให้หมดอย่าให้เลือดตกดินได้ | ||
ครั้นแจ้งสารพระทรงญาณสังเวชใจ | ว่าพุทโธมันทำได้ไม่เวทนา | ||
คิดสงสารพระกุมารยังอ่อนศักดิ์ | อีนางยักษ์มันใช้ไปให้เขาฆ่า | ||
พระบิตุรงค์หลงกลมารยา | ก็คิดแปลงสาราเสียทันที ฯ | ||
◉ ในราชสารนางมารสุนนทา | มาถึงองค์พระธิดาเมรีศรี | ||
ด้วยพระเจ้าไตรจักรธิบดี | ให้แม่นี้เป็นเอกสนมใน | ||
บัดนี้แม่แต่งกุมารา | ให้เป็นคู่ธิดากระเษมใส | ||
นามกรรถเสนอันเลิศไกร | แม่รักใคร่เสมอบุตรในอุทร | ||
ไปถึงเช้าให้ข้าเฝ้ามาต้อนรับ | กลับไปอุภิเษกกับสายสมร | ||
ให้เป็นศรีทานตะวันอันบวร | ตามราชสารมารดรอวยพรมา | ||
ครั้นแปลงสารสิ้นเสร็จสำเร็จแล้ว | ก็ผ่องแผ้วเกษมสันต์ด้วยหรรษา | ||
จึ่งใส่ไว้ในกล่องอย่างเดิมมา | แล้วคืนเข้าศาลาด้วยทันใด | ||
พระกุมารฟื้นกายค่อยคลายจิต | แล้วคิดถึงม้าหาช้าไม่ | ||
ม้าก็วิ่งผ่าพงตรงเข้าไป | อยู่แทบใกล้พระกุมารทะยานคะนอง | ||
แล้วกราบลาพระอาจารย์ชาญพระเวท | คุณนั้นล้ำปกเกศเย็นสนอง | ||
พระอาจารย์จึ่งว่าหลานจงตรึกตรอง | อันมะม่วงนั้นเป็นของที่เสี่ยงทาย | ||
ถ้าใครปลิดใบก้านรานตัด | จะวิบัติบ้านเมืองเรื่องฉิบหาย | ||
ในสารามันให้ฆ่าเสียให้ตาย | ตาเขียนกลายอภิเษกกับเมรี | ||
เป็นกุศลล้นลบได้พบตา | หาไม่ชีวาจะเป็นผี | ||
พระกุมารฟังสารพระมุนี | แจ้งคดีแข็งขึงตะลึงไป | ||
โอ้ว่าทูลกระหม่อมพระจอมเกศ | มาอาเพศหลงกลอีมารได้ | ||
เอากล่องสารายื่นมาให้ลูกไป | มิรู้ข้างในอสรพิษตัวสำคัญ | ||
มันจองเวรจองผลาญมานานช้า | แม่กับป้าแทบชีวาจะอาสัญ | ||
นี่หากว่าอัยกาท่านรู้ทัน | ถ้าที่ไหนชีวันคงมรณา | ||
พระกุมารคิดแค้นพระบิตุเรศ | สงสารตัวคิดสังเวชถึงแม่ป้า | ||
พลางซบพักตร์ลงทรงโศกา | ดังจะสิ้นชีวาวายปราณ | ||
พระนักสิทธิ์คิดสงสารพระหลานเหลือ[24] | อย่าโศกนักจงเชื่อตาเถิดหลาน | ||
คงได้สมอารมณ์ทุกประการ | ตาจะให้มนต์หลานกับขรรค์ชัย | ||
แล้วบอกมนต์ศักดิ์สิทธิ์อิทธิเวท | กับพระขรรค์ทรงเดชนั้นส่งให้ | ||
แล้วชี้ช่องมรรคาให้คลาไคล | ตรงมือเราชี้ไปและเมืองมาร | ||
มีเขาใหญ่สูงเยี่ยมเทียมเวหา | บังสุริยาร่มชิดทิศอิสาน | ||
จึงมีนามทานตะวันอันปราการ | แล้วอาจารย์อวยพรสวัสดี | ||
ให้สุโขภิญโญโอฬารเลิศ | จงประเสริฐปราบได้ทิศทั้งสี่ | ||
ให้สมปองได้ครองกับเมรี | พรของตานี้ให้ได้ดังใจ | ||
พระกุมารยอกรรับพรแล้ว | ก็คลาศแคล้วออกมาหาช้าไม่ | ||
เผ่นขึ้นบนหลังมโนมัย | ลอยละลิ่วปลิวไปในอัมพร | ||
กำลังม้ายิ่งกว่าเพชรหึง | ประเดี๋ยวหนึ่งพระยลยอดสีขร | ||
สูงตระหง่านพ้นเยี่ยมเทียมอัมพร | เห็นจะเป็นเขานครทานตะวัน | ||
สมวาทีที่ฤๅษีเธอบอกเล่า | ก็ถึงเขาใหญ่เยี่ยมเทียมมหันต์ | ||
เห็นขอบค่ายรายเรียงอยู่เคียงกัน | พวกกุมภัณฑ์รักษาด่านอยู่มากมี | ||
ได้ยินเสียงฆ้องกระแตออกแซ่เสียง | ทั้งสำเนียงเกราะโกร่งอยู่อึงมี่ | ||
พระจึ่งปรึกษากับพาชี | ที่นี้จะเป็นด่านชานนคร | ||
เราจะรออยู่สักหน่อยฟังถ้อยความ | เขาจะได้ไต่ถามให้รู้ก่อน | ||
แล้วจึ่งค่อยคลาไคลในนคร | อัสดรจะเห็นอย่างไรดี | ||
อาชาฟังว่าไปไฉนพ่อ | มาย่อท้อยอมตัวกลัวยักษี | ||
ไอ้ชาวด่านยักษ์ไพร่ใช่ผู้ดี | พ่อก็มีเวทมนตร์พระขรรค์ชัย | ||
ว่าแล้วลำพองคะนองเหาะ | เฉพาะข้ามด่านมาหาช้าไม่ | ||
ผาดผายหมายมุ่งยังกรุงไกร | หวังจะใคร่ให้รู้ในยุบล ฯ | ||
◉ ฝ่ายฝูงชาวด่านทหารเมือง | ตาชำเลืองแลไปในเวหน | ||
เห็นคนขี่ม้างามตามกระกล | ทั้งกล่องแก้วอำพนคอพาชี | ||
หมู่ยักษ์ร้องถามแล้วห้ามไว้ | จะข้ามด่านไปไหนจงหยุดนี่ | ||
เราจะถามตามข้อเรื่องคดี | อย่าทำทีไม่ได้ยินเร่งลงมา | ||
พระฟังถามบอกความแก่ชาวด่าน | เราถือสารการเร็วเป็นหนักหนา | ||
ครั้นจะหยุดพูดกันก็จะช้า | จะรีบไปพาราบัดเดี๋ยวนี้ | ||
ฝ่ายว่าอาชาชาญระเห็จเหาะ | จำเพาะกรุงทานตะวันอันเรืองศรี | ||
ชาวด่านแค้นคั่งดั่งอัคคี | ก็ตามพระภูมีเข้าพารา | ||
ครั้นถึงวังขึ้นยังศาลาเวร | พอสิทธิกรรม์อสุเรนยักษา | ||
ออกนั่งว่าขานการพารา | ขุนด่านคลานเข้าหาแล้วแจ้งการ | ||
ว่ายังมีมนุษย์หนึ่งพึ่งรุ่นรวย | รูปสวยเป็นทูตถือสาร | ||
ขี่ม้าเหาะเหินเดินทะยาน | ข้ามด่านเข้ามาในธานี | ||
จะห้ามไว้ให้หยุดก็ไม่อยู่ | ทำจู่ลู่ดูถูกชาวกรุงศรี | ||
จงท่านเสนาธิบดี | ได้ปรานีอดโทษจงโปรดปราน | ||
สิทธิกรรม์ยักษีมีพยศ | ครั้นปรากฏกิจจาที่ว่าขาน | ||
คิดแค้นเคืองใจดั่งไฟกาล | ให้บันดาลโมโหโกรธา | ||
อันเป็นทูตถือสารการแต่ก่อน | ต้องแรมร้อนผ่อนผันหันหา | ||
ให้ด่านทางบอกกล่าวจึงเข้ามา | เพ็ดทูลกษัตราให้แจ้งการ | ||
สั่งให้เบิกเข้ามายังกรุงศรี | ต้องที่ให้ทูตมาแจ้งสาร | ||
นี่ช่างทำอาจอุกรุกราน | ข้ามด่านเข้ามานี่ว่าไร | ||
คิดแล้วเรียกทหารชำนาญฤทธิ์ | มากมายหลายชนิดน้อยใหญ่ | ||
เร่งตรวจตราพากันมาเร็วไว | คอยระวังนอกในพระพารา ฯ | ||
◉ บรรดาพวกทหารชำนาญศึก | บอกกันอึกทึกถ้วนหน้า | ||
ต่างรู้กรูเกรียวกันเนืองมา | ถือศาสตราอาวุธยุทธยง | ||
บ้างขึ้นรักษาที่หน้าป้อม | บ้างก็ล้อมราชวังดั่งประสงค์ | ||
บ้างเฝ้าประตูเป็นหมู่นั่งล้อมวง | ล้วนหมู่จตุรงค์มากมาย | ||
บางที่ลากปืนใหญ่เข้าใส่ช่อง | ถือชุดคอยจ้องเขม้นหมาย | ||
ถ้าศึกมาสงครามจะถามนาย | สั่งให้ยิงแล้วก็หมายจะยิงปืน | ||
ที่ขี้ขลาดชาติพลคนตาขาว | คอยข่าวนายว่าไม่ฝ่าฝืน | ||
ทั่วทั้งเมืองอึกทึกเสียงครึกครื้น | พากันตื่นตามกันใจสั่นริก | ||
บ้างทีว่าบ้านเมืองเราแต่ก่อน | ราษฎรอยู่ได้ไม่หยุกหยิก | ||
ประเดี๋ยวนี้มีแต่จะซุกซิก | มันหยุกหยิกยุ่งใจไปทีเดียว | ||
บ้างปรับทุกข์ให้กันฟังว่าครั้งนี้ | ถ้าศึกมีจะร้อนใจดั่งไฟเขียว | ||
ไร่นาทำไว้ได้นิดเดียว | ยังไม่เกี่ยวเข้ามาบ้านรำคาญใจ | ||
หญิงชายชาวเมืองก็เลื่องลือ | ความระบือออกลั่นสนั่นไหว | ||
ต่างคนต่างกระหนกตกใจ | ซุบซิบพูดกันไปทั้งพารา | ||
ฝ่ายสิทธิกรรม์จัดสรรหมู่ทหาร | อลหม่านวุ่นวายฝ่ายข้างหน้า | ||
ฝ่ายข้างในได้ความที่ถามมา | นำกิจจาไปทูลพระเทพี | ||
ว่าบัดนี้มีทูตมาทูลสาร | ข้ามด่านเข้ามายังกรุงศรี | ||
เหตุเห็นต้นปลายร้ายหรือดี | ยังไม่แจ้งคดีราชการ | ||
สิทธิกรรม์จัดสรรซึ่งโยธา | ให้รักษานิวาสราชฐาน | ||
ให้ขึ้นป้อมล้อมรอบขอบปราการ | อลหม่านหนักหนาทั้งธานี ฯ | ||
◉ ฝ่ายองค์พระธิดาดวงสมร | ฟังสุนทรทูลข่าวแก่สาวศรี | ||
จินตนาปรารมภ์ไม่สมประดี | เทวีรำพึงคำนึงใน | ||
อันราชการพารามีมาถึง | จะอ้ำอึ้งอยู่ฉะนี้หาดีไม่ | ||
จำเราจะลีลาคลาไคล | ออกไปพระโรงรัตนา | ||
จะได้รู้ราชการในสารศรี | ร้ายดีใคร่ครวญควรปรึกษา | ||
ด้วยมนตรีข้าเฝ้าท้าวพญา | ได้รักษาธานีบุรีเรา | ||
คิดแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองด้วยสุวรรณดั่งหล่อเหลา | ||
สอดสะอิ้งแซมศรีมณีเนาว์ | พราวเพราเฉิดโฉมประโลมตา | ||
ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | ยังท้องพระโรงราชอันเลขา | ||
ด้วยฝูงสาวสรรค์กัลยา | คอยฟังกิจจาดั่งใจปอง ฯ | ||
◉ ฝ่ายมิ่งมโนมัยมีพยศ | พาพระรถองอาจผาดผยอง | ||
ข้ามกำแพงกรุงไตรดั่งใจปอง | มาลอยล่องเวหาอยู่หน้าวัง | ||
โยธาสิทธิกรรม์ครั้นแลเห็น | ก็โลดโผนโจนเต้นอยู่สะพรั่ง | ||
ผาดแผลงสำแดงฤทธิ์กำลัง | เข้ารอรั้งจะจับเอาอาชา | ||
สิทธิกรรม์หันเหาะขึ้นอากาศ | สำแดงเดชสิงหนาทสหัสสา | ||
เข้าไปใกล้มโนมัยตรงพักตรา | แล้วจึ่งมีวาจาถามไป | ||
เหวยมนุษย์วุฒิไกรใจกล้า | ขี่ม้านี่จะไปตำบลไหน | ||
ว่าเป็นทูตพูดจาไม่เกรงใคร | บังอาจใจเข้ามาถึงธานี | ||
ด่านทางจะเรียกก็ไม่หยุด | เป็นมนุษย์ดูถูกพวกยักษี | ||
ว่าถือสารสำคัญอันใดมี | จงแสดงแจ้งคดีมาเร็วพลัน ฯ | ||
◉ ปางพระรถสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | แจ้งรหัสข้อคดีไม่มีพรั่น | ||
จึ่งตอบคำยักษามาด้วยพลัน | กล่องสำคัญนั้นอยู่ที่คอม้า | ||
แล้วแก้กล่องเชิดชูดูถกล | ของสุนนทามารยักษา | ||
ให้พวกยักษ์เห็นประจักษ์กับนัยนา | แล้วจึ่งมีวาจาว่าไป | ||
อันกล่องแก้วนี้ใส่ราชสาร | ของสุนนทามารประสาทให้ | ||
มีสลักสำคัญเป็นมั่นใจ | ยังรู้จักหรือไม่อสุรา | ||
สิทธิกรรม์ครั้นเห็นกล่องแก้ว | จำได้แล้วว่าของนางยักษา | ||
โดยสำคัญมั่นใจไม่สงกา | ก็ลงมากราบทูลนางเมรี | ||
ราชทูตซึ่งถือสารตรา | ขององค์พระมารดามารศรี | ||
ด้วยกล่องแก้วของสำคัญพระเทพี | ควรที่จะรับสารมาอ่านดู ฯ | ||
◉ ฝ่ายมิ่งเมรีศรีสวัสดิ์ | ได้ฟังอรรถสิทธิกรรม์ก็นิ่งอยู่ | ||
แล้วคำนึงนึกในใคร่ความดู | นางโฉมตรูจึ่งมีพจนา | ||
ท่านผู้ปรีชาชาญการนคร | พระมารดรวางพระทัยให้รักษา | ||
กิจการพระนครแต่ก่อนมา | ธรรมดาไมตรีบูรีรมย์ | ||
ย่อมต้อนรับราชทูตพูดปราศรัย | ตามใกล้ไกลทางบุรีที่งามสม | ||
นี่สารตรามารดาดั่งนิยม | มิใช่เขตนิคมที่ไหนมา | ||
ควรจะรับราชสารอ่านให้แจ้ง | แม้นได้จริงจึ่งแสดงข้อกังขา | ||
เกลือกจะมีเหตุผลยุบลมา | จะได้แจ้งกิจจาของชนนี | ||
สิทธิกรรม์รับสั่งศรีสมร | ประนมกรลาเบื้องบทศรี | ||
ออกมาแต่งตำแหน่งพลโยธี | ให้คอยรับสารศรีดั่งใจปอง | ||
แล้วเหาะขึ้นยังพื้นนภากาศ | เชื้อเชิญยุพราชสารสนอง | ||
ว่าบัดนี้ที่ประทับรับรอง | สารตราของพระแม่ที่มีมา | ||
เชิญราชสารศรีไปที่พัก | อย่าช้านักสารพัดจัดไว้ท่า | ||
พระทรงศักดิ์ชักราชอัศวรา | ลงมายังสำนักนิ์ที่พักพลัน | ||
พระเสด็จประทับที่ตามควร | ตามกระบวนอสุรีที่จัดสรร | ||
อสูรมารรับสารนั้นกว่าพัน | เป็นเหล่าหลั่นชั้นขุนนางและต่างกรม | ||
มหาดเล็กถามความพระภูบาล | จะใคร่ครวญตรองการให้เห็นสม | ||
พระตอบความตามควรแก่นิยม | แต่ประถมเหตุแจ้งตำแหน่งมา | ||
สิทธิกรรม์จึ่งมีพาทีสรวล | เพลานี้สมควรเป็นหนักหนา | ||
เชิญท่านผู้ถือสารตรา | ขึ้นไปเฝ้ากัลยาประเดี๋ยวนี้ | ||
พระฟังคำทำยิ้มแล้วหยิบสาร | จึ่งมีรสพจมานแก่ยักษี | ||
ท่านจงรับสาราแต่ข้านี้ | ไปคลายคลี่อ่านดูให้รู้ความ | ||
อันตัวเราจะไปเฝ้าพระธิดา | ด้วยกลัวความครหายังเกรงขาม | ||
ชอบแต่พระธิดาพงางาม | มาฟังความให้ประจักษ์สำนักนิ์เรา | ||
ด้วยมิใช่อื่นไกลที่ไหนมา | ไปอ่านดูสารตราก่อนเถิดเจ้า | ||
จะได้ทราบเรื่องประจักษ์ว่าหนักเบา | ซึ่งตัวเรานี้ก็แปลกเป็นแขกเมือง ฯ | ||
◉ สิทธิกรรม์ตอบความตามขนบ | ว่าเคยพบกิจการโบราณเรื่อง | ||
ถึงธิดาใช่แปลกเป็นแขกเมือง | ผู้นำเรื่องกิจการท่านใช้มา | ||
ผู้ถือสารต้องภาระจะไปเฝ้า | แต่จอมเจ้าธิบดินทร์ปิ่นเกศา | ||
นี่ตัวท่านถือสารพระมารดา | เป็นผู้มาก็ต้องเฝ้าเล่าคดี ฯ | ||
◉ พระฟังอสุราที่ว่าขาน | จึ่งตอบการให้ประจักษ์แก่ยักษี | ||
เราก็อตส่าห์มาถึงธานี | ซึ่งพาทีนั้นก็ชอบระบอบควร | ||
อันตัวเรานี้มาแต่ไตรจักร | เป็นลูกรักรถสิทธิ์มหิศวร | ||
ฝ่ายพระแม่นนทาเธอใคร่ครวญ | ถึงนิ่มนวลอัคเรศเมรี | ||
จึ่งใช้เราถือสารสมานข่าว | ในเรื่องราวราชการในกรุงศรี | ||
ว่านั้นก็จริงการสิ่งนี้ | แต่ขอหยุดที่นี่ก็ควรการ | ||
ถึงมิใช่ใยเจือก็เนื้อญาติ | จงคิดคาดดูในข่าวเรื่องราวสาร | ||
ควรแต่องค์พระธิดายุพาพาล | ดำริการจงประกอบให้ชอบกล | ||
ถึงมีมาก็จงพาราชสาร | ไปคลี่อ่านให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
เราจะกลับพาราพายุบล | แจ้งนุสนธิ์สุนนทาอสุรี | ||
หรือจะไม่คำนับรับสารา | เราจะลากลับยังบุรีศรี | ||
จงท่านผู้เสนาธิบดี | ปรีชาให้ต้องที่ทำนองใน ฯ | ||
◉ สิทธิกรรม์ครั้นฟังพจนารถ | ไม่อาจจะโต้ตอบฉันใดได้ | ||
จึ่งคำนับรับราชสารไป | ยังในท้องพระโรงรัตนา | ||
เอาพานทองรองรับสุวรรณบัตร | อย่างกระษัตริย์อนุพรรณอันยศถา | ||
โหราพราหมณ์รามราชอันเมธา | มานั่งเฝ้ากัลยาอเนกนันต์ | ||
คอยฟังราชสารการบุรินทร์ | จะใคร่รู้ระบิลทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ฝ่ายมหาเสนาสิทธิกรรม์ | ถวายบังคมคัลซึ่งสารตรา | ||
ฝ่ายเมรีศรีสวัสดิ์ขัตติยราช | อภิวาทน้อมเกศพระเกศา | ||
หมู่อำมาตย์มนตรีและเสนา | ก็วันทาพร้อมกันขึ้นทันที | ||
มหาดไทยคลี่สารอ่านถวาย | เห็นเป็นลายเลขามารศรี | ||
แห่งนางสุนนทาอสุรี | ด้วยฤๅษีเสกสรรนั้นแนบเนียน | ||
ว่าสารตราสุนนทาอสุรี | มเหสีรถสิทธิ์สถิตเสถียร | ||
ยังกรุงไกรจักรราชมนเทียร | แต่จากเจียนเจียรกาลประมาณปี | ||
ด้วยคิดถึงอัครเรศผู้ร่วมจิต | ยิ่งแสนคิดมัวหมองไม่ผ่องศรี | ||
จึงใช้ให้ลูกเราเอาคดี | มาแจ้งเหตุกับเมรีผู้ธิดา | ||
ถ้าพระรถภูบาลชาญสมร | มาถึงพระนครของยักษา | ||
ให้มนตรีข้าเฝ้าท้าวพญา | แต่งการวิวาห์กับเมรี | ||
เร่งจัดสรรพ์ให้ทันวันมาถึง | อย่าอ้ำอึ้งเร่งให้ภิเษกศรี | ||
จงทำตามสารตราที่พาที | อสุรีอย่าระแวงแคลงใจ | ||
ครั้นเสร็จสิ้นราชสารอ่านเสนอ | พระนางเธอไม่มีจิตคิดสงสัย | ||
ให้ซับซาบอาบอิ่มในฤๅทัย | ด้วยเคยได้เป็นคู่แต่ก่อนมา | ||
จึงเรียกเอากล่องแก้วราชาสาร | เยาวมาลย์ถือไว้ในหัตถา | ||
แล้วจึ่งมีมธุรสพจนา | ตรัสปรึกษาสิทธิกรรม์ทันใด | ||
ท่านผู้มีปรีชาปัญญาฉลาด | สามารถชำนาญการน้อยใหญ่ | ||
อันราชสารมารดาที่ว่าไว้ | สุดแต่ใจจะประกอบให้ชอบการ | ||
เราจะได้เชิญองค์พระทรงเดช | เสด็จประเวศในนิวาสราชฐาน | ||
จงปรึกษาโหราพฤฒาจารย์ | ให้แจ้งการร้ายดีแต่ที่จริง ฯ | ||
◉ โหรเฒ่าเข้าใจไสยศาสตร์ | อภิวาทแล้วก็คิดพินิจนิ่ง | ||
คำนวณในสมพงษ์เห็นพาดพิง | แอบอิงลัคน์จันทร์ก็พันพัว | ||
ชันษานารีนั้นดีแท้ | ธาตุกระแสน้ำกับไฟมิใช่ชั่ว | ||
แต่กระดากได้นาคคนละตัว | น่ากลัวสมพงษ์องค์ธิดา | ||
เอาชันษาทั้งสองมาบวกกัน | เอาสามนั้นมาคูณชันษา | ||
เจ็ดหารเศษสี่ก็มีมา | โหรากราบทูลพระเทพี | ||
ขอเดชเบื้องบาทพระแม่เจ้า | พระอาชญาล้นเกล้าบทศรี | ||
ข้าพระเจ้าเรียนรู้ดูคัมภีร์ | ราศีสมพงศ์นั้นตรงกัน | ||
จะได้ครองลองลิ้มแต่ชิมรส | คงมีจิตคิดคดเป็นแม่นมั่น | ||
แต่ชะตานั้นดูเป็นคู่กัน | รักสนิทติดพันไม่เคลื่อนคลา | ||
แต่เป็นเวรหนหลังนั้นยังมี | ที่เศษสี่นั้นยังร้ายอยู่หนักหนา | ||
จะพลัดพรากจากกันมิทันช้า | ในสารามิได้จริงทุกสิ่งอัน ฯ | ||
◉ นางฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | โกรธโหรว่าแกล้งทายให้ผิดผัน | ||
เอาแต่ชั่วทายว่าสารพัน | จะให้คนทั้งนั้นมันระบือ | ||
ด้วยพระแม่สุนนทาว่าทั้งนี้ | ถ้าไม่ดีมารดาจะว่าหรือ | ||
มาแกล้งทายซุกซนให้คนลือ | จะเชื่อถือโหราไปว่าไร | ||
ใครจะว่าร้อยปากไม่อยากแน่ | เชื่อแต่แม่มั่นคงไม่สงสัย | ||
ก็ตามแต่บุญกรรมได้ทำไว้ | สิทธิกรรม์เป็นผู้ใหญ่จงจัดแจง | ||
สิทธิกรรม์ครั้นฟังรับสั่งสาร | ก็ตรวจการเกณฑ์ทำตามตำแหน่ง | ||
แล้วเกณฑ์กันกราวเกรียวเที่ยวขอแรง | จัดแจงการด่วนก็เสร็จดี | ||
พฤฒาพราหมณ์เชิญสองกษัตรา | แต่งการวิวาห์ภิเษกศรี | ||
มหรสพครบเสร็จเจ็ดราตรี | ตามมีแบบอย่างแต่ก่อนมา ฯ | ||
◉ ฝ่ายองค์เมรีศรีสวัสดิ์ | โสมนัสด้วยอารมณ์ปรารถนา | ||
เทพเจ้าเดินหนดลวิญญา | ให้ปรีดาประดิพัทธ์สวัสดี | ||
ด้วยทรงยศพระรถฤทธิไกร | บุญได้เคยภิรมย์สมศรี | ||
นวลนางสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | มาเข้าที่โสรจสรงคงคา | ||
แต่งองค์ทรงเครื่องพรายพรรณ | ล้วนสุวรรณทองทิพย์อันเลขา | ||
ภูษาทรงยกเมล็ดเกล็ดนาคา | ห่มมหาตาดริ้วดูผิวนวล | ||
พระสุคนธ์ปนทองผ่องฉวี | ล้วนมณีแวววามงามสงวน | ||
งามโฉมงามประโลมงามกระบวน | ธำมรงค์ทรงถ้วนพระหัตถ์นาง | ||
แต่งองค์สมทรงนางกระษัตริย์ | ดูจำรัสแจ่มศรีไม่มีหมาง | ||
ดั่งเทพสาวสวรรค์ชั้นสุรางค์ | ออกจากปรางค์ยุรยาตรคลาศคลา | ||
พร้อมด้วยสุรางค์นางสาวสรรค์ | จรจรัลตามยุพินมาแน่นหนา | ||
ครั้นถึงห้องแก้วแววฟ้า | กัลยาบังคมภูวไนย | ||
พระรถรับจับหัตถ์วรนุช | พระกรยุดกรแก้วแล้วปราศรัย | ||
ขอเชิญน้องเจ้าของปราสาทชัย | มาเนาในแท่นทิพยโอฬาร์ | ||
พี่เป็นคนตกยากมาฝากองค์ | ยุพยงเยาวยอดเสน่หา | ||
มาชูเชิดขึ้นให้เลิศมโหฬาร์ | ดั่งเทวาดาลเดชไกรเกรียง | ||
สำแดงฤทธิ์เนรมิตพระพาหา | ประกาศก้องช่องฟ้าด้วยแสงเสียง | ||
เข้าประคองเขาสุเมรุที่เอนเอียง | ประเทืองเที่ยงฟูฟื้นให้คืนตรง | ||
ก็เห็นใจว่ามีใยนิยมสวาสดิ์ | ขอเชิญเยาวราชนวลหงส์ | ||
มาร่วมอาสน์อิงเขนยที่เคยทรง | ไยอนงค์เอื้อนอายระคายกัน | ||
ตรัสพลางทางชวนสถิตแท่น | ฤๅทัยแสนเสน่ห์น้องประคองขวัญ | ||
นางเมรีน้อมนบอภิวันท์ | พระกรกันกันกรด้วยงอนอาย | ||
จึ่งน้อมเกล้ากล่าวรสพจนา | โดยอัชฌาสุจริตที่คิดหมาย | ||
ขอพระเดชปกเกศอย่าระคาย | ด้วยเงื่อนสายแรกมาถึงธานี | ||
อสูรไม่รู้จักจึ่งหักห้าม | ไม่ทราบความจะขุ่นข้องหม่นหมองศรี | ||
จะแหนงจิตคิดคะเนว่าเมรี | นี่ถือใจไม่มีซึ่งอัชฌา | ||
จงงดโทษโปรดปรานประทานให้ | ขออภัยอย่ามีซึ่งโทษา | ||
พระปลอบนางทางตอบกัลยา | อนิจจาพี่หรือจะถือใจ | ||
ด้วยรักเยาวยอดหญิงอย่ากริ่งโกรธ | จงปราโมทย์รสรักหนักไฉน | ||
ดวงสมรอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย | อย่าขึ้งเคียดเกียดไยให้ระแวง | ||
พระมารดาก็เป็นใหญ่ในไตรจักร | รักพี่รักน้องไม่กินแหนง | ||
ยังเจือเนื้อสองชั้นท่านรักแรง | เจ้าย่อมแจ้งที่ในสารพระมารดร ฯ | ||
◉ พระเยาวยอดกระษัตริย์เมรีสดับ | ให้แจ้วจับฤทัยสายสมร | ||
ดังสุคนธ์ทิพยรสชโลธร | มารดกายหายร้อนให้เย็นใจ | ||
จึ่งอ่อนองค์ประณตบทศรี | กล่าวรสวาทีอันแจ่มใส | ||
ทอดสนิทดั่งจะปลิดดวงฤๅทัย | ออกชูให้เห็นรักประจักษ์ตา | ||
พระรถฟังนุชนางสว่างจิต | รักสนิทหลงเล่ห์เสน่หา | ||
สองกระษัตริย์ประดิพัทธ์ภิรมยา | พระแนบชิดกัลยาด้วยทันใด | ||
ฟั่นเฝือดุจเรือกับสายน้ำ | ประลองลำลอยวนชลไหล | ||
ก็ฝ่าฝืนคลื่นเฉียงจะเหวี่ยงไป | เรือก็ไหลตามกระแสที่แปรปรวน | ||
แม้นพายุกระพือพัดกระจัดกล้า | จึงทรุดซาไปประสมตามลมหวน | ||
กระทบคลื่นเรือเต้นเป็นกระบวน | ปั่นป่วนด้วยระลอกกระฉอกซัด | ||
ต้นหนคนท้ายก็ย้ายเย้ | พอเรือเหง้างเงื้อหางเสือตัด | ||
พอลมดีก็เอากล้องส่องบรรทัด | เรือก็ลัดหลังน้ำไปตามลม | ||
อย่างเยาวยุพาแรกมาเชย | ถึงไม่เคยจำเคยที่เสพสม | ||
สองกระษัตริย์ประดิพัทธ์เกลียวกลม | ก็บรรทมอยู่บนแท่นแสนเปรมปรีดิ์ | ||
เพลาค่ำย่ำสนธยากาล | พนักงานสังคีตดีดสี | ||
ทั้งนางขับสำหรับมโหรี | คอยบำเรอภูมีอเนกเนือง | ||
แต่ละคนอ้อนแอ้นทั้งกิริยา | โสภาผ่องฉวีสีเนื้อเหลือง | ||
เนตรชม้ายคายคมทำชำเลือง | กระบิดกระบวนยวนเยื้องยั่วใจชาย | ||
บ้างก็ตีโทนทับดีดจับปี่ | สีซอซอสีประสานสาย | ||
ระนาดท้องฆ้องเล็กระนาดไม้ | ตะเข้สายฉิ่งกรับสำรับกัน | ||
พรั่งพร้อมคอยกล่อมเมื่อบรรทม | ให้นิยมเพลินพระทัยกระเษมสันต์ | ||
ครั้นพร้อมสรรพก็ขับขึ้นด้วยพลัน | กระหม่อมฉันจะกล่อมให้นิทรา ฯ | ||
◉ โอ้ว่าพระทองของน้องเอ๋ย | ทรามเชยผู้ยอดเสน่หา | ||
มาไสยาสน์อยู่บนอาสน์รัตนา | งามดั่งสุริยากับพระจันทร์ | ||
งามทรงวงพักตร์ลักขณา | ดั่งเทวากับสุรางค์นางสวรรค์ | ||
อยู่ไกรจักรนคเรศเขตคัน | มรรคาไกลกันพันทวี | ||
เทพดาดลใจให้ประเวศ | ข้ามเขตหมายมุ่งมากรุงศรี | ||
ได้สมถวิลสิ้นกังขาไม่ราคี | ดั่งมณีเรือนรองทองสุวรรณ | ||
ถนอมรักแล้วจงรักอย่าคลายถนอม | ดูพริ้งพร้อมสมปองครองไอศวรรย์ | ||
พระทองหวนผวนเสียงแล้วโอดพัน | เพลงบุหลันลอยฟ้านภาลัย | ||
สาวสุรางค์เหมือนหนึ่งนางในไกรลาส | สร้อยสนสนสวาทพิสมัย | ||
เทพบรรทมจงบรรทมสำราญใจ | จีนแสให้โศกาแล้วจาบัลย์ | ||
พระยาโศกโศกหนักสลักจิต | พระยาคิดวิโยคโศกศัลย์ | ||
จงเป็นศรีรมเยศเขตทานตะวัน | ครอบครองเขตคันบุรี | ||
จักรพงศ์ทรงฟังที่กล่อมขับ | ให้วาบวับจับเสียวพระทรวงศรี | ||
ให้ฉุนเฉียวเฉลียวคิดถึงชนนี | พระภูมีทำชื่นขืนอารมณ์ | ||
แล้วเสสรวลชวนชื่นประโลมลอง | ทั้งสองชื่นชมสมประสงค์ | ||
พระเชยแก้มแนมปรางนางโฉมยง | เอนอิงพิงองค์พระเทพี | ||
ปางพระรถเยาวราชภิรมเยศ | ด้วยเยาวเรศเมรีมารศรี | ||
แสนสุดสุขกระเษมเปรมปรีดิ์ | ในแท่นที่ทิพอาสน์ปราสาททอง | ||
ให้คิดถึงพาชีคู่ชีวิต | พระทรงฤทธิ์จึ่งบรรหารสารสนอง | ||
ดูกรเจ้าเยาวยอดมณฑาทอง | พี่กริ่งกรองคิดถึงมโนมัย | ||
ม้าตัวนี้เคยขี่มาแต่ก่อน | จะเขจรสถิตไปทิศไหน | ||
มันแคล่วคล่องถูกต้องในฤทัย | พี่รักใคร่ได้อาศัยมาชำนาญ | ||
เมื่ออยู่เมืองเชื่องใช้ให้หญ้าป้อน | อยู่แทบใกล้บัญชรรโหฐาน | ||
อันมานี่ครั้งนี้หลายวันวาร | เนิ่นนานมิได้ไปเยี่ยมเยือน | ||
อันม้าพยศหลายวันไม่ป้อนหญ้า | จะเริงร่าตื่นเต้นเช่นม้าเถื่อน | ||
เมื่อขับขี่ก็จะมีแต่แชเชือน | จะฟั่นเฟือนทางที่พาชีไป | ||
ถ้าผูกไว้ริมแกลพอแลเห็น | เช้าเย็นพี่จะไปป้อนหญ้าให้ | ||
จะทำโรงพาชีไว้ที่ใน | แม่ขวัญใจจงแจ้งซึ่งกิจจา ฯ | ||
◉ ฝ่ายอัครนารีศรีสวัสดิ์ | ได้ฟังอรรถภูวไนยไม่กังขา | ||
รักผัวกลัวจะขัดพระอัชฌา | ไม่รู้การผ่านฟ้าอุบายกล | ||
จึ่งสั่งนางสาวศรีและโขลนจ่า | ให้จัดแจงโรงม้าโดยนุสนธิ์ | ||
จึงจูงม้ามาไว้ใกล้ไพชยนต์ | ตามคำสั่งนฤมลเจ้าเมรี | ||
แต่นั้นมาเวลาทั้งเช้าเย็น | พระผ่านเกล้ารถเสนเรืองศรี | ||
เสด็จลงป้อนหญ้าให้พาชี | ทุกราตรีทิวาเวลากาล | ||
อัสดรกระซิบสอนเตือนสติ | ให้เริ่มริปดป้อยอสมาน | ||
ให้ชวนนางเลี้ยงเหล้าพิชัยบาน | ถ้าเยาวมาลย์เมาสุราเสียอารมณ์ | ||
ให้ลวงถามความรหัสให้ชัดเหตุ | จะคืนนคเรศกระเษมสม | ||
พระรถฟังคำม้ามานิยม | ก็เอื้อนอมความไว้ในพระทัย | ||
จึ่งเสด็จขึ้นยังปราสาทศรี | ครั้นราตรีสิ้นแสงพระสุริย์ใส | ||
พระเชยชมเยาวมาลย์สำราญใจ | อรทัยเมรีก็ปรีดา | ||
เสด็จนั่งเหนือเตียงเข้าเคียงน้อง | พลางประคองกรแก้วขนิษฐา | ||
เมรีโสมนัสด้วยภัสดา | เสน่หารำจวนป่วนใจ | ||
พระจึ่งมีพจนารถถนอมขวัญ | เจ้าดวงจันทร์ยาจิตพิสมัย | ||
แต่พี่มาช้านานนะทรามวัย | ประมาณได้หลายทิวาราตรี | ||
พี่นึกนึกจะใคร่เลี้ยงราษฎร | ให้ถาวรเป็นสุขเขษมศรี | ||
ทั้งจะเลี้ยงเสนาธิบดี | ให้เป็นที่สบายค่อยคลายทุกข์ | ||
ว่าจะเลี้ยงโต๊ะกันสักวันหนึ่ง | แต่รำพึงก็เห็นเป็นสนุกนิ์ | ||
ถ้ากินเหล้าเมามายก็หายทุกข์ | หมู่มุขมนตรีจะดีใจ | ||
นางเมรีทรามวัยได้ฟังผัว | ชอบใจตัวเพราะต้องอัชฌาศัย | ||
ด้วยกัลยาชอบสุราและเมรัย | ที่ตรึกไตรนี้ก็สมอารมณ์กัน | ||
ไม่รู้จักว่าผัวตัวเจ้าเล่ห์ | นึกคะเนก็จริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
จึ่งทูลความตามระบอบที่ชอบธรรม์ | ซึ่งการนั้นอย่าได้คิดกังวล | ||
พรุกนี้น้องรักจะจัดการ | เลี้ยงเหล้าพิชัยบานไม่ขัดสน | ||
พระอย่าได้ตรองตรึกนึกกังวล | น้องจะคิดผ่อนปรนให้จงดี | ||
สุดแต่จะประสงค์สิ่งอันใด | น้องมิให้ขัดเคืองเบื้องบทศรี | ||
ทูลพลางทางเข้าทำเย้ายี | ชวนชักภักดีให้เปรมปรา | ||
นางชะอ้อนวอนว่าแล้วยิ้มแย้ม | พระเชยแก้มแนมรสนาสา | ||
นางยิ้มเยื้อนเตือนอารมณ์ภิรมยา | พระต้องถันกัลยายิ้มละไม | ||
ประโลมเล่นให้เห็นว่ารักสนิท | ที่แยบยลกลคิดเอาการใหญ่ | ||
ทำพิรี้อย่าให้อ้อนซ่อนน้ำใจ | เอาวาจาลูบไล้ให้หลงกล | ||
ฝ่ายเมรีรักผัวจนตัวมืด | ดั่งหว่านพืชคิดเห็นว่าเป็นผล | ||
ไม่รู้ว่าตัวพะวงมาหลงกล | ไม่เชื่อคนมัวรักด้วยภักดี | ||
แต่คลึงเคล้าเย้ายวนป่วนสวาท | ในปรางค์มาศปราสาททองผ่องศรี | ||
ทั้งสองสมสังวาสสวัสดี | ด้วยมีมาโนชญ์เสมอกัน | ||
ถ้าแต่ตัวก็จะมัวเสน่หา | นิอาชาตักเตือนให้ผ่อนผัน | ||
กระซิบบอกเหตุเห็นเป็นสำคัญ | พระทรงธรรม์รู้สึกสำนึกใน ฯ | ||
◉ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสุริโยภาส | ฝ่ายเยาวราชเมรีศรีใส | ||
ตื่นประทมออกสนมแล้วทรามวัย | ก็สั่งให้วิเสทเร่งเตรียมการ | ||
ให้เทียบพระสุพรรณภาชน์โอชารส | ให้หมดจดของทั้งคาวหวาน | ||
จัดแจงโรงเลี้ยงหน้าพระลาน | เตรียมการอย่าช้าเพลานี้ | ||
ให้บาดหมายจ่ายไปตามตำแหน่ง | ที่เดือนออกขอแรงเข้ามานี่ | ||
ให้เจ้าภาษีจ่ายให้ตามบาญชี | ทั้งชาดีบุหรี่หมากให้พร้อมเพรียง | ||
ครั้นเสร็จสรรพยกสำรับมาแน่นหนา | ในโรงเลี้ยงข้างหน้าออกแซ่เสียง | ||
เครื่องแกล้มเหล้านั้นมาตั้งทั้งของเคียง | หมูทั้งตัวตั้งเรียงเป็นหลั่นกัน | ||
เป็ดนึ่งข้างในใส่ลูกบัว | ไก่ทั้งตัวปิ้งพะแนงแกงมัสมั่น | ||
อั้งโล่แกงร้อนไฟใส่ในนั้น | เนื้อสมันยำญวนล้วนของดี | ||
ยำเต่าตะพาบน้ำโอชารส | แกงปลาไหลใส่พริกสดร้อยสิบสี่ | ||
กระจาบคั่วหมูหองล้วนของดี | ขวดบ้าหรั่นอาหนีเรียงกันไป | ||
มีดตะเกียบส้อมช้อนที่อย่างดี | คนเลี้ยงนั้นมากมีมาจัดให้ | ||
ของหวานพนักงานพวกข้างใน | ก็ขนไปโรงเลี้ยงดั่งบัญชา | ||
ครั้นพร้อมเสร็จเสด็จทอดพระเนตร | พวกวิเสทขนส่งมาหนักหนา | ||
สั่งให้หาข้าเฝ้าท้าวพระยา | มากินโต๊ะเต็มในหน้าพระโรงเลี้ยง | ||
ครั้งนั้นผู้ดีที่มีศักดิ์ | ประยูรยักษ์บอกกันสนั่นเสียง | ||
ก็มาพร้อมล้อมสะพรั่งเข้านั่งเรียง | กินเลี้ยงกินเหล้าก็เมามึน | ||
หยิบตะเกียบเสียบลิ้มชิมดูกับ | มีดพับเชือดตะเกียบหนีบคีบขึ้น | ||
เอาช้อนตักหมูหองไม่ต้องกลืน | ที่เมามึนเต็มประดาลงกรอกคอ | ||
ที่ยังบกพร่องต้องซ้ำเติม | พวกคนเลี้ยงยุเสริมเอาสิพ่อ | ||
รินส่งซ้ำเข้าไปเอาให้พอ | อย่าย่อท้อกินลองของประทาน | ||
ที่กินมากเอาขวดมากอดไว้ | ไอ้ขวดนี้ดีสุดใจทั้งหอมหวาน | ||
ที่มิใช่นักเลงเหล้าก็เมาซาน | บ้างลุกทะยานว่ามึงอย่าอึงไป | ||
ทั้งสององค์ทรงดูเขาเมามาย | แสนสบายไม่มีที่เปรียบได้ | ||
ก็ชวนกันเยื้องย่างเข้าข้างใน | พวกสาวใช้นั้นกินสิ้นทุกคน | ||
บ้างฉวยได้ขวดบ้าหรั่นกะหลาป๋า | วิ่งพาเข้าในห้องทุกแห่งหน | ||
แล้วรินแจกแบ่งปันกันทุกคน | สับสนเมามายไม่สมประดี ฯ | ||
◉ ปางองค์ทรงฤทธิ์นฤเบศร์ | ชวนองค์อัคเรศมเหสี | ||
เสด็จเข้าในห้องอันรูจี | ภูมีสถิตที่แท่นอำไพ | ||
พนักงานเชิญเครื่องเนืองกันมา | ตั้งถวายภูธรหาช้าไม่ | ||
ทั้งแกล้มเครื่องชัยบานตระการใจ | ใส่ภาชนะทองล้วนของดี | ||
พระจูงกรสายสมรขึ้นร่วมอาสน์ | ตรัสประภาษปราศรัยแก่โฉมศรี | ||
มาเสวยน้ำจัณฑ์ขวดนั้นดี | แก้วพี่รินแล้วจงส่งมา | ||
เมรีฟังภูมีก็รินเหล้า | แล้วถวายผ่านเกล้าด้วยหรรษา | ||
พระรับจอกมาลิ้มชิมสุรา | ลืมพักตราว่ามันเก่งเสียจริงเจียว | ||
แล้วส่งจอกให้น้องลองดูที่ | ชาติอาหนีนี่กระไรมันฉุนเฉียว | ||
นางรับจอกมาดื่มเสียพักเดียว | แล้วก็เหลียวลองรินให้ราชา | ||
พระจับจอกกลับบอกมเหสี | ไอ้จอกนี้สุดดีกะหลาป๋า | ||
แล้วส่งจอกคืนไปให้สุดา | เจ้าลองดูอีกสักคราเถิดโฉมยง | ||
เมรีหลงกลด้วยตนซื่อ | ก็ยื่นมือรับจอกโดยประสงค์ | ||
แล้วหลับตาดื่มเหล้าดั่งใจจง | วางจอกลงเคลิ้มเขลาเมาสุรา | ||
พระทรงฤทธิ์พิศวาสเจ้าเมรี | เห็นสมประดีเคลิบเคลิ้มเป็นหนักหนา | ||
ฟั่นเฟือนเลื่อนเปื้อนกิริยา | ผ่านฟ้าอุบายในจำนง | ||
มานี่น้องชมห้องดูฉากเขียน | ลายระเบียนเขียนเรื่องสุวรรณหงส์ | ||
นั้นเยาวเรศรูปเจ้าเกศสุริยง | งามบรรจงจิ้มลิ้มยิ้มหยอกกัน | ||
โน่นเขียนรูปอะไรเล่านะเจ้าพี่ | นางเมรีบอกว่าเรื่องพิมสวรรค์ | ||
โน่นรูปแสงสุริยาวิลาวัลย์ | ที่ตรงนั้นเรื่องราวพระคาวี | ||
โน่นแน่เจ้าดวงดาวที่ดาษ | เห็นโอภาสพรรณรายเป็นหลายสี | ||
นั้นอะไรแขวนไว้ทั้งตาปี | ที่กั่งกั่งรีรีนั้นสิ่งไร | ||
นางเมามัวบอกผัวว่าห่อยา | มีฤทธานึกอะไรก็ทำได้ | ||
นั้นดวงเนตรนางสิบสองทรามวัย | ทั้งกำพตฤทธิไกรอันศักดา | ||
ฝ่ายพระรถภูวไนยไถลถาม | แม่โฉมงามเยาวยอดเสน่หา | ||
อันดวงเนตรแขวนไว้ไกลห่อยา | พี่ไม่แจ้งกิจจาประการใด | ||
อันกำพตแขวนไว้ใต้เพดาน | จะต้องการไปทำไมสิ่งใดได้ | ||
สายสวาทจงเล่าให้เข้าใจ | พี่เป็นคนมาใหม่ไม่แจ้งการ | ||
นางไม่รู้ว่าผัวตัวเจ้าเล่ห์ | ทำแสร้งเสลบล้างทางสมาน | ||
ด้วยสติเคลิ้มเขลาเมาซมซาน | จึงแจ้งการสิ่งรหัสแก่ภัสดา | ||
โอ้พระทองน้องจะบอกนะทูนหัว | มิใช่ชั่วกำพตมียศฐา | ||
แผลงไปในพื้นพระสุธา | มีศักดานึกได้ดั่งใจปอง | ||
อันโอสถนั้นประสมด้วยนัยนา | ไปใส่ตาเอวบางนางสิบสอง | ||
จะคืนดีแจ่มแจ้งแสงเรืองรอง | พระรูปทองจงแถลงแจ้งในใจ | ||
พระทรงฟังชี้แจ้งรหัส | โสมนัสยินดีจะมีไหน | ||
ก็สำคัญมั่นไว้แต่ในใจ | ภูวนัยชวนนางเยื้องย่างกราย | ||
สถิตที่แท่นแก้วอันบวร | พระประคองสายสมรฤทัยหมาย | ||
ถึงแม่ป้าตรากตรำระกำกาย | แสนระคายเคืองข้องให้หมองใจ | ||
ทั้งรักนางพ่างจะกลืนให้ชื่นจิต | แนบสนิทพิศวงให้หลงใหล | ||
ประโลมเล้ากัลยาด้วยอาลัย | ก็หลับไปในแท่นรจนา ฯ | ||
◉ บัดนั้นมโนมัยใจหาญ | คอยฟังการดาลดิ้นถวิลหา | ||
ไม่เห็นภูวไนยเธอไคลคลา | มาป้อนหญ้าให้น้ำเป็นสำคัญ | ||
พาชีร้อนใจดั่งไฟเผา | สิ้นสำเนาความเห็นเป็นมหันต์ | ||
เอะไฉนใยองค์พระทรงธรรม์ | หลายวันแล้วพระองค์ไม่ลงมา | ||
จะพิศวงหลงเล่ห์อีนางยักษ์ | เห็นประจักษ์จริงแจ้งไม่กังขา | ||
อัศวราชเริงร้องก้องพารา | ทำมารยากระทืบโรงสนั่นไป | ||
ฝ่ายพระรถร่วมห้องกับเมรี | ได้ยินเสียงพาชีให้มันไส้ | ||
โมโหฮึกนึกเดือดอยู่ในใจ | ม้าลานี่กระไรมันคอยกวน | ||
ม้าร้องหี่แห้ออกแซ่เสียง | กระทืบโรงเปรี้ยงเปรี้ยงทำหุนหวน | ||
เธอก็รู้ท่วงทีที่กระบวน | วางนางแล้วก็ด่วนเสด็จมา | ||
ครั้นถึงพาชีทำทีไถล | เข้าไปเอามือคลำเอาน้ำหญ้า | ||
มาทอดให้มโนมัยมิได้ช้า | จึ่งกระซิบบอกว่าได้ใจความ | ||
จึ่งเล่าเรื่องวันนั้นฉันชมฉาก | ได้ความมากโดยจริงสิ่งที่ถาม | ||
อาชาอย่าด่วนให้ลวนลาม | ทำวู่วามความแตกจะแปลกใจ ฯ | ||
◉ อาชาได้ฟังแล้วสั่งซ้ำ | จงคิดทำผันแปรแล้วแก้ไข | ||
จงตรองตรึกสู้ศึกข้างภายใน | ตั้งพระทัยไว้ให้มั่นกตัญญู | ||
อันแม่ป้าทารกรรมอยู่ข้างหลัง | อย่าประมาทพลาดพลั้งจะอดสู | ||
จะมาดหมายแต่ตัวมัวเล่นชู้ | จงตรึกดูผ่านฟ้าอย่าลืมเลย | ||
มาได้เมียมั่งมีเป็นศรีสุข | ลืมความทุกข์ข้างหลังทำนั่งเฉย | ||
หลงสมบัติสตรีไม่ดีเลย | ถ้าไม่เคยจะเกิดยุคไม่ทันรู้ | ||
พระน้องเอ๋ยโลกีย์เป็นที่หลง | ใครตกหลุมแล้วก็คงได้อดสู | ||
ใครหลงเมียแพ้เสียแก่ศัตรู | ก็มีอยู่แบบฉบับตำรับมา | ||
อันชายเฉาเมามัวด้วยนารี | เสียแรงสร้างบารมีนั้นหนักหนา | ||
อันเสียรู้เพราะรักจักคณนา | มากกว่าร้อยพันอนันต์ไป | ||
จะหาเมียกล่นเกลื่อนเหมือนจอกแหน | จะหาแม่นี่จะหามาแต่ไหน | ||
จะมีทองเท่าหัวตัวแบกไป | เอาทองแลกแม่ใครจะเอาทอง | ||
แต่นักเลงทุกวันนั้นเขาว่า | คุณมารดามีแท้แต่สิบสอง | ||
คุณเมียถึงสามสิบพอหยิบครอง | พูดกันเล่นพอคล่องคล่องสนุกนิ์ใจ | ||
แต่พูดเล่นเพียงนี้ก็มีบาป | ใจคนหยาบพาทีหาดีไม่ | ||
อย่าพึงฟังตั้งหูไว้ให้ไกล | พูดอะไรให้เป็นการท่านกล่าวมา | ||
แต่โพธิสัตว์สร้างสมบรมทาน | อภิบาลพิทักษ์รักษา | ||
สรรเสริญจำเริญคุณพระมารดา | สิ่งใดน่าเปรียบประมาณไม่ปานปูน | ||
มาได้เมียใจปลื้มลืมพระแม่ | หลงกระแสมิตรมิ่งให้สิ่งสูญ | ||
จงตรองตริ่งสิ่งใดในเค้ามูล | เพิ่มพูนตรึกตราหาเอาไป | ||
ผลมะนาวมะม่วงก็ห่วงหนึ่ง | เร่งรำพึงผันแปรคิดแก้ไข | ||
ได้แล้วเราจะพากันคลาไคล | จะอยู่ไยในเมืองอสุรา ฯ | ||
◉ พระฟังคำมโนมัยให้สติ | ทรงดำริต้องระบอบชอบหนักหนา | ||
ก็กลืนกล้ำจำไว้ในอุรา | เสด็จมาปรางค์แก้วอันแววไว | ||
เข้าสู่ห้องน้องรักภิรมย์ขวัญ | นางอภิวันท์ภัสดาแล้วปราศรัย | ||
ไปทอดหญ้าอาชาสงบไป | เงียบเชียบนี่กระไรเป็นครึ่งวัน | ||
พระตอบว่าม้าลาก็อาเพศ | มันเกิดเหตุเกิดความเมื่อยามกระสัน | ||
ว่าพลางถนอมนางไม่ห่างกัน | แกล้งรำพันกล่าวถ้อยสุนทรวอน | ||
พี่อยากไปเที่ยวชมในสวนศรี | ให้เปรมปรีดิ์เป็นสุขสโมสร | ||
นางทูลองค์ภัสดาอย่าอาวรณ์ | น้องจะพาภูธรไปชมไพร | ||
อันสวนแก้วอุทยานของน้องนั้น | สารพันพฤกษางามไสว | ||
พระได้เห็นแล้วคงเพลินจำเริญใจ | น้องปลูกไว้มากมายมีหลายพรรณ | ||
ต่อวันน้องจะพาไปเที่ยวเล่น | เพลานี้ตะวันเย็นสุริย์ฉัน | ||
จะไปสวนด่วนกลับไหนจะทัน | ผัดต่อวันพรุ่งนี้จึ่งลีลา | ||
พระองค์ทรงซึ่งพาชี | อันตัวของน้องนี้ขี่เยียงผา[25] | ||
ตามเสด็จภูวไนยไคลคลา | เก็บผกาผลไม้ให้สารพัน | ||
พระโลมลูบปฤษฎางค์ทางเชยชื่น | ดั่งจะกลืนไว้ในทรวงพวงสวรรค์ | ||
แต่เชยชมสมญาจนสายัณห์ | สัพยอกหยอกกันจนราตรี | ||
เสียงประโคมแตรสังข์ฟังเสนาะ | มโหรีตีเพราะด้วยดีดสี | ||
นางบำเรอเสนอสำเนียงดี | ระเรื่อยรี่รับขับกล่าวกลอน | ||
พระเสด็จเนาในไสยาอาสน์ | ด้วยเยาวราชเมรีศรีสมร | ||
ฟังเพลินจำเริญจิตสนิทนอน | หลับอยู่เหนือบรรจถรณ์ในราตรี | ||
ปัจจุสมัยไก่ขันสนั่นก้อง | ดุเหว่าร้องเร้าเร่งพระสุริย์ศรี | ||
สุริวงศ์กับองค์เจ้าเมรี | ตื่นประทมจากที่ศรีไสยา | ||
ฝ่ายเหล่าพนักงานถือพานชู | หมอบเมียงเคียงอยู่ทั้งซ้ายขวา | ||
ถวายขันใส่สุวรรณธารา | โสรจสรงพักตราสิ้นราคี | ||
ชาวเครื่องตั้งพระธัญญาหาร | สองเสวยสำราญกระเษมศรี | ||
เสร็จแล้วทรงเครื่องอันรูจี | สอดศรีแลององค์พระทรงธรรม์ | ||
นางประดับแต่งเครื่องเครื่องประดิษฐ์ | พระทรงเครื่องเขียวขจิตทุกสิ่งสรรพ์ | ||
พระจูงกรกัลยาวิลาวัณย์ | จรจรัลพลางเรียกซึ่งอาชา | ||
นางเมรีเดินหลังสั่งให้แต่ง | เครื่องมณีสีแดงแต่งเยียงผา | ||
เบาะอานแผงข้างอย่างอาชา | ก็นำมาถวายสองต้องพระทัย | ||
นางเมรีโฉมยงทรงเยียงผา | พระรถทรงอาชาไม่ช้าได้ | ||
ขับม้าเยียงผาก็คลาไคล | จากนิเวศวังในรีบไคลคลา ฯ | ||
◉ ฝ่ายว่าพาชีมีพยศ | พาพระรถบทจรก่อนเยียงผา | ||
นางเมรีก็ขับเยียงผามา | ไม่ช้าก็ถึงอุทยาน | ||
ถึงสวนก็ชวนนุชนาฏ | เที่ยวประพาสปรีดิ์เปรมกระเษมศานต์ | ||
รุกขชาติดอกห้อยลงย้อยยาน | กิ่งก้านเรียบร้อยช้อยชด | ||
บางดอกเบิกบานตระการกลิ่น | หอมประทิ่นกลิ่นขจรเกสรสด | ||
วายุพัดรำเพยระเหยรส | ปรากฏกลิ่นแก้วพิกุลทอง | ||
สารภีคลี่คลายขยายกลีบ | พุดจีบซองแมวเป็นแถวถ่อง | ||
กรรณิการ์ตกรายอยู่ก่ายกอง | นวลละอองด้วยรสสุคนธาร | ||
พระขับม้าเข้าเคียงกับเยียงผา | เด็ดดอกจำปามาจากก้าน | ||
นางเก็บได้สายหยุดดอกพุดตาน | มาแลกเปลี่ยนภูบาลประทานไป | ||
พระเด็ดดอกลำดวนชวนนางดม | โน่นแน่เจ้าสุกรมนมนางไสว | ||
สารภีนี่แนเจ้าจงเอาไป | นั่นดอกดวงพวงอะไรดูเรียงราย | ||
นางบอกว่าดอกปาริชาติ | พระว่าช่างงามประหลาดนั้นมากหลาย | ||
พระชมพลางชวนนางทางอุบาย | ชักม้าร่ายเข้าไปเคียงเยียงผาน้อง | ||
แล้วขับเคียงเรียงหน้ามาทั้งคู่ | ไม้ขนัดจัดดูเป็นแถวถ่อง | ||
จะได้รู้จักนามแกล้งถามลอง | ยังไม่สบที่ต้องจำนงมา | ||
จึ่งตรัสว่าเจ้าพี่ศรีสุวรรณ | จงบอกชื่อคือพรรณพฤกษา | ||
พี่ไม่แจ้งเลยนะงามนามผลา | จงบอกมาตรงนี้ต้นอะไร | ||
นั่นคือไม้อินจันพันธุ์ละมุด | โน่นมังคุดขนุนหนังทั้งโตใหญ่ | ||
นั่นหรือลูกระกำนั่นลำไย | โน่นมะไฟลูกเหลืองมะเฟืองรี | ||
ที่มีขนรึงรังอยู่ข้างนอก | ชื่อลูกเงาะน้องจะบอกพระโฉมศรี | ||
ที่เกลี้ยงกลมโตโตส้มโอดี | ต้นกระถินลิ้นจี่มีผลพวง | ||
นั่นต้นอะไรเล่านะเจ้าพี่ | นางเมรีบอกให้ว่าไม้ม่วง | ||
นั่นมะนาวผลออกเป็นดอกดวง | ไม้มะม่วงมะนาวโห่หาวดัง | ||
พระฟังคำจำมั่นสำคัญแน่ | ได้กระแสสมในพระทัยหวัง | ||
จึ่งขับม้าวิ่งแต้แต่ลำพัง | นางอยู่หลังตามองค์พระทรงธรรม์ | ||
มโนมัยรู้เชิงกระเจิงวิ่ง | พระยุดกิ่งพฤกษาพาผกผัน | ||
พระหักกิ่งผลไม้ได้หลายพรรณ | อาชานั้นหันเหียนวิ่งเวียนวน | ||
พระเด็ดได้ม่วงหาวมะนาวโห่ | อาชาโผตื่นเต้นเล่นกลางถนน | ||
นางเมรีทัศนาพระภูวดล | เก็บผลไม้มะม่วงพวงมะนาว | ||
นางตกใจไหวหวั่นให้พรั่นนัก | นงลักษณ์เกรงจะลือระบือฉาว | ||
จะห้ามผัวกลัวจะมีราคีคาว | เกลือกท้าวเธอจะเคืองกระเดื่องใจ | ||
ปิดความมิให้รู้ถึงหูยักษ์ | เห็นจักคงจะเกิดเหตุใหญ่ | ||
สายสมรเศร้าสร้อยละห้อยใจ | ก็รีบตามเสด็จไปมิได้ช้า | ||
เมื่อพระรถเก็บพวงมะม่วงหาว | อารักษ์เฝ้าพวงผลต้นพฤกษา | ||
เห็นพระรถอุปการกับมารดา | จึ่งไม่มาหาวโห่เป็นโกลี | ||
ให้อึงมี่วุ่นวายกระจายได้ | เทพไทซึ่งรักษาในสวนศรี | ||
ให้มีความสงสารพระภูมี | เทพเจ้ายินดีเปรมปรีดา | ||
พระรถชวนเมรีศรีสมร | คืนนครนิวาสยังปรารถนา | ||
เสด็จยังเรือนจันทน์มิทันช้า | พอเพลาย่ำฆ้องเข้าราตรี | ||
สองกระษัตริย์ปลดเปลื้องเครื่องประดับ | ผลัดภูษิตที่สำหรับตำแหน่งที่ | ||
อัมพาผลอันถกลกระการดี | เอาซ่อนไว้ที่สีหบัญชร | ||
สององค์ทรงนั่งยังที่เสวย | พนักงานตามเคยเฝ้าสลอน | ||
ถวายเครื่องเอมโอชอันบวร | พระภูธรก็เสวยโภชนา | ||
ทั้งเมรัยชัยบานสุรารส | อันปรากฏรสแรงแข็งกล้า | ||
พระโฉมยงกับองค์กัลยา | เสวยเครื่องโอชาสุราบาน | ||
เมรีรินน้ำจัณฑ์นั้นส่งให้ | พระรับไว้เสวยก่อนแล้วย้อนถาม | ||
แล้วย้อนหยิบจอกส่งให้นงราม | เสวยตามชอบใจพี่ไม่เคย | ||
จอกหนึ่งยังไม่ตึงพระพักตร์น้อง | จอกสองยังไม่ดีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
สามจอกกลอกพับภิปรายเปรย | จอกสี่ทรามเชยช่างเราะราย | ||
จอกห้ากิริยาเห็นฟั่นเฟือน | พูดเลื่อนผิดประหลาดที่มาดหมาย | ||
จอกหกงกเงิ่นสะเทิ้นกาย | เจ็ดจอกโฉมฉายนั่งไม่ตรง | ||
พระน้องเอ๋ยเสวยเล่นแต่เท่านั้น | พี่รับขวัญนิ่มเนื้อนวลหง | ||
ขอเชิญมิ่งเมรีศรียุพยง | สถิตแท่นบรรจงอย่ากรมกรอง | ||
ประคองนางวางลงไสยาอาสน์ | พิศวาสร่วมภิรมย์สมสอง | ||
เยาวมาลย์จึ่งว่าพระรูปทอง | แม้นรักน้องแล้วอย่าไปให้ไกลกาย | ||
น้องเมามัวเห็นผัวก็ชื่นจิต | ดั่งชีวิตของน้องอย่าหมองหมาย | ||
พระโลมนางพลางต้องตระกองกาย | โอ้เจ้าสายสุดที่รักของพี่เอย | ||
เสวยเมาเท่านี้มิเป็นไร | แม่ขวัญใจรูปทองของพี่เอ๋ย | ||
พี่จะกล่อมถนอมนวลให้ชวนเชย | จงผินพักตร์มาเชยให้ชูใจ | ||
นางเอนอิงพิงทับกับพระกร | เชิญสมรนอนเสียเถิดให้ผ่องใส | ||
ด้วยมัวเมาเขลาเคลิ้มอรทัย | ก็ไสยาสน์หลับไปในราตรี ฯ | ||
◉ ฝ่ายสินธพชาติอาชาไนย | ขัดใจรนร้องอยู่ก้องมี่ | ||
เดือดดาลทะยานใจคอยภูมี | เห็นผิดทีเหตุไฉนจึ่งไม่มา | ||
อาชาแกล้งกระทืบโรงส่งเสียงร้อง | หวังจะให้พระน้องลงมาหา | ||
แล้วโผนผกโขกกระดานด้วยมารยา | ประหนึ่งว่าโรงที่อยู่จะทำลาย | ||
พระฟังเสียงพาชีรู้ทีมา | ก็ลินลาจากห้องนางโฉมฉาย | ||
ถึงโรงม้าหยิบยาออกโปรยปราย | โดยอุบายใช้กลด้วยรู้กัน | ||
อาชาว่าอะไรกระนี้เล่า | มัวแต่เฝ้าห้องในจนไก่ขัน | ||
เร่งเตรียมของต้องการภารสำคัญ | จัดสรรพ์ไว้สำหรับกำกับตน | ||
ถ้าได้ทีหนีไปในบัดเดี๋ยว | จะหน่วงเหนี่ยวอยู่ไยไม่เป็นผล | ||
ถ้ารักเมียเสียแม่แทบทุกคน | ถ้ากังวลอยู่ด้วยเมียคงเสียที | ||
ถ้ารักอยู่แล้วจงอยู่พี่ไม่ว่า | แต่อาชานี้จะลาพระน้องหนี | ||
จะไปหรือจะอยู่พระภูมี | จงบอกพี่ให้ประจักษ์ตระหนักใจ ฯ | ||
◉ พระฟังคำอาชาว่าเป็นเด็ด | ดั่งจักรเพชรผันผัดตัดกษัย | ||
ให้ละห้อยละเหี่ยเสียน้ำใจ | เหลืออาลัยหวงแหนแสนเสียดาย | ||
จึ่งแข็งใจปลอบม้าว่าพี่เอ๋ย | กระไรเลยจะด่วนทำมักง่าย | ||
เมื่อนางนอนยังไม่หลับระงับกาย | ของที่หมายนั้นจะหยิบไม่คล่องใจ | ||
พอให้นางหลับสนิทจะคิดลัก | ไม่ช้านักเป็นแน่จะแก้ไข | ||
อย่าอึกทึกเลยพี่ที่จะไป | ลักได้แล้วจะมาไม่ช้าเลย | ||
แล้วเสด็จครรไลลับกลับเข้าห้อง | ประคองน้องอิงแอบแนบเขนย | ||
นางเมรีเมามายไม่เสบย | ยกเศียรเกยเอวองค์พระทรงธรรม์ | ||
แล้วถามว่าไปไหนเมื่อตะกี้ | พระบอกว่าพาชีตัวขยัน | ||
มันรนร้องก้องโรงตะโกรงครัน | พี่ไม่ทันป้อนหญ้าให้ม้ากิน | ||
สาวสวรรค์ครั้นฟังไม่คลางแคลง | ที่ไกกลแอบแฝงไม่แหนงถวิล | ||
แต่เพลินด้วยเมรัยแลเมริน | ยุพาพินเพิ่มดื่มไม่ลืมตา | ||
พระรถรักฟักฟูมอุ้มถนอม | จึงกล่าวกล่อมกลด้วยขนิษฐา | ||
เจ้าพี่เอ๋ยยามเชยมานิทรา | ก็ไสยาหลับไปในราตรี | ||
ดึกสงัดปัจฉิมเวลา | โกกิลาเร้าเร่งพระสุริย์ศรี | ||
นาฬิกาย่ำสามยามราตรี | เรื่อยรี่วิเวกวังเวงใจ | ||
มโหระทึกกึกก้องประโคมเสียง | ฟังสำเนียงไม่ระงับหลับใหล | ||
พระแน่นอนทอดถอนในฤทัย | ชลนัยน์ไหลอาบพระพักตรา | ||
แล้วยกหัตถ์ให้สอดกอดเขนย | พระน้องเอ๋ยอย่าพะวังกังขา | ||
พระเคลื่อนให้ห่างนางกัลยา | พระราชาเศร้าสร้อยละห้อยใจ | ||
โอ้ว่าอนิจจาน้องแก้ว | พี่จำทิ้งน้องแล้วจะทำไฉน | ||
เจ้าตื่นขึ้นไม่เห็นพี่จะร่ำไร | จะโหยไห้แทบชีวิตจะปลิดปลง | ||
ครั้นพี่จะมิไปในครั้งนี้ | พระชนนีก็จะม้วยเป็นผุยผง | ||
ถ้าหาไม่ไหนจะจากนางโฉมยง | อาชาส่งเสียงอึงคะนึงไป | ||
พระได้ยินสำเนียงเสียงพาชี | มิใคร่จะจรลีไปจากได้ | ||
พระแข็งขืนกลืนกลั้นชลนัยน์ | สงสารนางทรามวัยพันทวี | ||
อันตัวพี่ได้อยู่ให้ชูจิต | จะจำปลิดรักกันหันหนี | ||
ได้สมน้องครองสวาทเจ็ดราตรี | พี่จะลามารศรีกลับไปเมือง | ||
พระเสด็จจากแท่นทองมิทันช้า | เสน่หาอาลัยไม่ปลดเปลื้อง | ||
แล้วแข็งขืนอุระค่อยประเทือง | ก็ย่างเยื้องจากแท่นบรรทมพลัน | ||
แล้วเหลียวดูนางอนงค์ผู้ทรงลักษณ์ | วรพักตร์ดั่งหนึ่งเทพอัปสรสวรรค์ | ||
พระน้องเอ๋ยนางใดจะเทียมทัน | ดั่งสุวรรณทั้งแท่งแสร้งวางไว้ | ||
งามทรงงามวงลักขณา | โสภานวลละอองผ่องใส | ||
ชลนานองเนตรสังเวชใจ | เออก็กรรมสิ่งใดมาก่อกวน | ||
โอ้โฉมยงนงลักษณ์สายสวาท | ตื่นจากไสยาสน์จะโหยหวน | ||
ยามสรงยามเสวยเจ้าเคยชวน | เย้ายวนถามพี่ทุกเวลา | ||
ร่ำพลางทางเช็ดชลเนตร | ทวีเทวศโศกเศร้ากันแสงหา | ||
ชลนัยน์ไหลอาบพระพักตรา | ก็โศกาเพียงจะสิ้นสมประดี | ||
ด้วยแสนเสน่หาอาวรณ์ | ทินกรจวนแจ้งแสงสี | ||
โอ้โอ๋ยุพินปิ่นเทพี | ค่อยอยู่เถิดจงดีพี่ขอลา | ||
เสียดายนางกำนัลบำเรอขับ | นับวันจะเว้นว่างห่างหา | ||
จะโหยหนก่นกินแต่น้ำตา | ทุกสาวสรรกัลยาบำเรอเรียง | ||
ครั้นรุ่งเช้าก็จะแจ้งว่าเราหาย | สาวสนมทั้งหลายจะแซ่เสียง | ||
จะระบิลอสุรินทร์บำเรอเรียง[26] | ปานจะเพียงเมืองล่มระงมวัง | ||
ระงมจิตคิดไปหัวใจหาย | หัวใจห่วงด้วยสายสวาทหวัง | ||
สวาทรักหักทิ้งเหมือนชิงชัง | ครั้นจะสั่งไหนจะให้พี่ไคลคลา | ||
พี่ไคลคลาศนิราศไปทั้งหลับ | ไปทั้งนอนพลิกกลับจะคว้าหา | ||
จะคว้าหายแม่จะไห้ร่ำโศกา | พระราชากลับสถิตมณเทียรทอง | ||
บนแท่นที่ภูมีเข้าแนบชิด | เข้าแนบเชยพระยิ่งคิดกระมลหมอง | ||
กระมลไหม้แสนเสียดายไปจากน้อง | แต่ตรองตรองแล้วอย่าไปเลยกระมัง | ||
พระส้วมสอดกอดน้องประคองโฉม | เฝ้าประโลมเล้าลูบจูบสั่ง | ||
สามราตรีเถิดพี่จะกลับวัง | ไม่ทอดทิ้งร้อยชั่งให้กรมทรวง | ||
แต่ห่วงหน้าห่วงหลังกังวลใจ | ดั่งผลักพลิกเมรุไกรไศลหลวง | ||
พี่จำลาคลาไคลไกลพุ่มพวง | จงอยู่เถิดดวงสมรพี่ขอลา ฯ | ||
◉ เสด็จจากแท่นแก้วอลงกต | แล้วหยิบห่อโอสถกับพฤกษา | ||
ดวงเนตรกำพตพิศม์อันฤทธา | เสด็จมาโรงราชอัสดร | ||
บอกกับม้าว่าได้ของเสร็จแล้ว | มโนมัยผ่องแผ้วสโมสร | ||
ด้วยสมมาดปรารถนาไม่อาวรณ์ | อัสดรสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | ||
พระถอดขลุมมโนมัยใส่บังเหียน | ฤทัยเจียนเด็ดดับลงกับที่ | ||
ม้าก็เตือนพระเกลื่อนแกล้งพาที | น่าสงสารเมรีเป็นพ้นไป | ||
อาชาฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | อันประโยชน์ที่ตรงแม่ไม่แก้ไข | ||
มาหลงด้วยรูปรสไม่งดใจ | เออกระไรชั่งไม่คิดสักนิดนาฯ | ||
◉ พระฟังม้าทานเทียบเปรียบระบิล | ก็ขาดสิ้นความรักลงหนักหนา | ||
ดั่งพญาวาสุกรีมีศักดา | เหมือนใครหลงหักดังใจ[27] | ||
ก็เยื้องย่างยูรยาตรคลาศคลา | เผ่นขึ้นหลังอาชาหาช้าไม่ | ||
ม้าก็โดดโลดลอยขึ้นทันใด | เหาะไปในราชราตรีกาล ฯ | ||
◉ น่าสงสารภูบาลจอมนเรศ | ทอดพระเนตรเหลียวดูราชฐาน | ||
แสนสนุกนิ์สุโขโอฬาร | ชัชวาลล้วนแก้วจำรัสพราย | ||
ทั้งปราสาทราชวังดูคั่งคับ | อเนกนับพลไพร่ก็เหลือหลาย | ||
ไม่สมปองน้องต้องครองอยู่เดียวดาย | พี่หมายอยู่เพื่อนน้องครองเขตคัน | ||
ไม่สมจิตเพราะว่าคิดไม่สมนึก | เพราะการศึกอยู่ข้างหลังยังคับขัน | ||
ต้องตัดรักหักใจจรจรัล | พระทรงธรรม์ก็รีบขับพาชี ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงเสื้อเมืองเรืองกำแหง | เห็นอาชาข้ามกำแพงพากันหนี | ||
โกรธาตาแดงดั่งอัคคี | อสุรีขวางหน้าแล้วท้าทาย | ||
ว่าดูรามานุษย์จงหยุดก่อน | ท่านจะจรไยจึงลักของทั้งหลาย | ||
ทั้งโอสถผลอัมพาที่เสี่ยงทาย | ผลไม้สำหรับเมืองโดยจำนง | ||
เราผู้เสื้อเมืองอันเรืองเดช | รักษาขอบพระนิเวศน์นวลหง | ||
ไม่เกรงหรือชีวิตจะปลิดปลง | อย่าทะนงว่าจะรอดตลอดไป | ||
แล้วจู่โจมโถมจะจับอัศวราช | ม้าลาดโลดโผนโจนไปได้ | ||
อสุราแล่นโลดโดดตามไป | ก็โถมไล่ประจันบานราญรอน ฯ | ||
◉ ปางพระหน่อธิบดินทร์ปิ่นกระษัตริย์ | พูนสวัสดิ์ห้าวหาญชาญสมร | ||
เห็นเสื้อเมืองต่อต้านจะราญรอน | พระภูธรไม่คร้ามครั่นหวั่นวิญญา | ||
ชักพาชีเลี้ยวลัดสกัดกั้น | เอาพระขรรค์ฟันฟาดเป็นหนักหนา | ||
ม้าโขกกัดพลัดไพล่กันไปมา | อสุราไม่ย่อย่นทนทาน | ||
ด้วยเสื้อเมืองเรืองฤทธิ์เดช | เทเวศร์ให้มาเฝ้าราชฐาน | ||
จะฆ่าฟันเท่าไรไม่วายปราณ | พระภูบาลจึ่งหยิบพระขรรค์ชัย | ||
จบเกศอ่านเวทวิเศษฤทธิ์ | ของบพิตรสิทธาเธอสอนให้ | ||
รำลึกคุณอาจารย์ผู้ชาญชัย | ขอให้ได้สมถวิลดังจินดา | ||
ข้าจะเอาพระขรรค์นี้ขว้างไป | ตามประสงค์จงใจปรารถนา | ||
เสี่ยงแล้วขว้างพระขรรค์มิทันช้า | เป็นข่ายเพชรเจษฎาเข้าเรียงราย | ||
ล้อมรอบกุมภัณฑ์ไว้มั่นคง | สมจิตจำนงดังใจหมาย | ||
เสื้อเมืองแทบสิ้นชีวาวาย | ตะกุยตะกายอยู่ในข่ายไม่สมประดี | ||
พระรถเห็นเสื้อเมืองอันเรืองเดช | สิ้นฤทธิ์อสุเรศของยักษี | ||
พระรีบขับอัสดรจรลี | ....................................................[28] | ||
จวนอุทัยไขแสงแจ้งจำรัส | แจ่มกระจัดจ้าฟ้าในราศี | ||
พระแสนเศร้าโศกศัลย์พันทวี | ถึงเมรียอดรักไม่หักคลาย | ||
สะท้อนท้อถอนใจอาลัยจิต | คะนึงคิดโศกศัลย์ไม่กลั้นหาย | ||
ดูจวนแจ้งแสงสุวรรณหิรัญราย | อาชาร่ายลอยตามโพยมบน[29] | ||
◉ จะเริ่มเรื่องพระรถนิราศสวาท | บำราศร้างห่างห้องระเหหน | ||
เสด็จเดียวเปลี่ยวประเวศในนภน | ประจวบจนแดนด้าววนาดร | ||
ฝ่ายนาฏเมรีศรีสวัสดิ์ | ผทมเหนือท่านรัตน์ปัจถรณ์ | ||
ดาวเดือนเลื่อนลับยุคุนธร | จะใกล้แสงทินกรอโณทัย | ||
ฟื้นกายชายเนตรนึกฉงน | มิได้ยลพระยอดผู้พิสมัย | ||
ให้เศร้าสร้อยโศกาด้วยอาลัย | อรทัยทุ่มทอดสกลกาย | ||
ให้เดือดดาลแดดูรพูนเทวษ | ชลเนตรคลอคลองลงนองสาย | ||
พลางปลุกนางบำเรอจำเรียงราย | นักสนมทั้งหลายก็ฟื้นตน | ||
มิได้ทราบเรื่องโดยคดี | พระเสาวนีย์จึ่งแจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
ว่าพระยอดขัตติยาประชาชน | สถิตบนแท่นแก้วแล้วหายไป | ||
เห็นเป็นวิปริตผิดประหลาด | พระภูวนาถจรดลไปหนไหน | ||
หรือว่าพระผ่านฟ้าเสด็จไป | สถิตในโรงราชพาชี | ||
ประหลาดใจเมื่อใกล้เข้ายามสอง | อาชาร้องในโรงเสียงอึงมี่ | ||
เอะผิดแล้วพระแก้วกับพาชี | หรือจะหนีกลับหลังไปยังเมือง | ||
เร็วเถิดสาวใช้ไปค้นหา | แต่กิจจานั้นอย่าให้ใครรู้เรื่อง | ||
เกลือกเธอรู้อยู่แล้วจะขัดเคือง | จงยักเยื้องแยบคายชม้ายดู | ||
แม้นท้าวเธอไปชมสนมไหน | อย่าทำให้ท้าวไทเธออดสู | ||
แต่เอาเหตุมาแจ้งแสดงกู | เร่งค้นดูอย่าให้ใครวุ่นวาย ฯ | ||
◉ ฝ่ายนางสนมในได้สดับ | คำรพรับพจมานคลานขยาย | ||
ออกมาจัดสรรกันมากมาย | ก็แยกย้ายรายทั่งทั้งเรือนจันทน์ | ||
บ้างก็จุดประทีปเทียนส่อง | ทุกชั้นช่องห้องปรางค์นางสาวสรรค์ | ||
ทั้งที่สรงที่เสวยเคยจรัล | สาวสรรค์สอดส่องทุกห้องนาง | ||
จนสิ้นเขตพระนิเวศที่เรือนหลวง | สนมนางทั้งปวงยิ่งหมองหมาง | ||
ต่างก็คิดคำนึงรำพึงพลาง | เห็นจะร้างนคเรศนิราไกล | ||
หรือเสด็จโรงราชอัสดร | ที่ภูธรเคยประพาสหรือไฉน | ||
ฝูงนางต่างชวนกันคลาไคล | ด้วยสงสัยจะใคร่แจ้งซึ่งกิจจา | ||
ก็เที่ยวทั่วโรงรัตน์อัศวเรศ | แล้วประเวศเวียนวนเที่ยวค้นหา | ||
ก็สูญสิ้นพระนรินทร์และอาชา | ฝูงนางกัลยาก็ตกใจ | ||
ต่างชวนกันวิ่งวางมาปรางค์รัตน์ | ประนมหัตถ์ทูลแจ้งแถลงไข | ||
ข้าค้นทั่วพระนิเวศตำหนักใน | ก็มิได้พบองค์พระทรงฤทธิ์ | ||
ทั้งโรงรัตน์อัสดรกุญชรชาติ | ที่ประพาสแต่ก่อนบ่ห่อนสถิต | ||
อันหนึ่งราชอาชาที่ชอบชิด | ก็เห็นผิดหายไปไม่พบพาน | ||
แม่นแท้ท้าวแกล้งประลวงโลม | ภิรมย์โฉมแล้วก็ร้างห่างสมาน | ||
มาทอดทิ้งแม่ให้อัประมาณ | ให้แดดาลมิได้ชื่นทุกคืนวัน | ||
ทูลพลางทอดทุ่มสกลกาย | ก็ฟูมฟายโศกาเพียงอาสัญ | ||
บ้างโหยหวนครวญคร่ำเฝ้ารำพัน | ต่างจาบัลย์ไปทั่วทั้งวังใน ฯ | ||
◉ ฝ่ายอนงค์นารีเทวีราช | ให้วุ่นหวาดหวั่นฤทัยไหว | ||
อุราร้าวผ่าวรุ่มดั่งสุมไฟ | ด้วยอาลัยในกระษัตริย์ภัสดา | ||
สองกรค่อนทรวงกันแสงร่ำ | ว่าโอ้กรรมสิ่งใดณอกข้า | ||
แต่เพียงพรากจากราชมารดา | นานมาก็ได้พึ่งพระบารมี | ||
ก็หมายใจว่าจะได้เป็นปิ่นเกศ | ภูวเรศก็มาแหนงเสน่ห์หนี | ||
จะขัดเคืองเรื่องไรก็ใช่ที | เป็นกรรมของเรานี้ได้ทำมา | ||
มิทันไรก็มาร่ายนิราศผัว | เหมือนหญิงชั่วชายเร่เสน่หา | ||
โอ้โอ๋เอ๋ยอกเอ๋ยเป็นเวรา | จะต้องกินน้ำตาไปกว่าตาย | ||
ร่ำพลางทางมองดูที่โอสถ | ทั้งกำพตดวงเนตรก็สูญหาย | ||
เห็นประจักษ์ใจแท้ว่าอุบาย | ยิ่งฟูมฟายชลนาเฝ้าจาบัลย์ | ||
โอ้ไฉนไยพระยอดเสน่ห์น้อง | เคยปกครองกรุงไกรมไหศวรรย์ | ||
เมียได้ผ่องผาสุกทุกคืนวัน | ประชากรกุมภัณฑ์ก็เปรมปราย | ||
ฝูงสนมกรมในอเนกแน่น | กระเษมแสนสุขอยู่ทุกหมู่หมาย | ||
ทุกหมื่นเมืองเลื่องลือขจรจาย | ยอมถวายอภิวาทวันทา | ||
ควรหรือพระมิ่งมงกุฎเกศ | มาประเวศแรมเร่เสน่หา | ||
โอ้หมายใจอยู่ว่าพระจะเมตตา | ไม่สงกาพาซื่อจนเสียการ | ||
อนิจจาพระจอมกระหม่อมโลกย์ | จะให้โศกปลดปลงไม่สงสาร | ||
ไม่ขออยู่สู้ตายวอดวายปราณ | ฤดีดาลเดือดดิ้นดั่งอัคคี | ||
เหตุผลเป็นต้นเพราะอัสดร | มันเสี้ยมสอนวอนเสนอให้เธอหนี | ||
แล้วพาท้าวเหาะเหินจากธานี | เมื่อจวนรุ่งราตรีทิวากาล | ||
อกเอ๋ยอยู่ไยให้เป็นคน | ประชาชนเขาจะพากันว่าขาน | ||
สำหรับก็จะอัประมาณนาน | เหมือนหญิงพาลรานผัวไปจากเมือง | ||
แม้นระบือลือข่าวถึงด้าวใด | กิตติศัพท์ถึงไหนก็ฟุ้งเฟื่อง | ||
ว่าหญิงชั่วผัวร้างไว้ในเมือง | มีแต่เครื่องคำคนเขานินทา | ||
ร่ำพลางทางทอดพระองค์ลง | กันแสงทรงเพียงชีวังจะสังขา | ||
พลางทอดฤทัยอยู่ไปมา | โอ้พระภัสดาไม่เห็นใจ | ||
อยู่หลัดหลัดซัดเสียให้เมียโหย | ร่วงโรยเรี่ยวแรงกันแสงไห้ | ||
สิ้นเสียงเพียงพ่างจะขาดใจ | สลบไปในราชเรือนจันทน์ ฯ | ||
◉ ฝ่ายนงลักษณ์สนมสนิทข้าง | เห็นน้องนางโศกเศร้ากันแสงศัลย์ | ||
สลบลงนิ่งแน่อยู่แดยัน | ฝูงกำนัลทอดทุ่มอุราพา | ||
โอ้ว่าแม่ขวัญเมืองผู้เรืองโฉม | งามประโลมเลิศล้ำดั่งเลขา | ||
ควรแล้วหรือมาสิ้นชีวา | มาละข้านักสนมสมบัติไป | ||
จะทอดทิ้งประยุรวงศ์สิ้นทั้งผอง | ทั้งห้องแก้วแกมทองอันผ่องใส | ||
เสด็จไปสู่สวรรค์ชั้นใด | ก็ชวนกันร่ำไรทั้งเรือนจันทน์ | ||
ดุจหนึ่งลมเพชรหึงหวน | ให้เซซวนเศร้าซบสยบสยัน | ||
ก็ตื่นตายวายวุ่นทั้งเรือนจันทน์ | ต่างโศกศัลย์ร่ำรักพระธิดา | ||
สาวแก่นางแม่พระสนม | ก็อกกรมพ่างเพียงจะเป็นบ้า | ||
จึ่งเข้าไปต้ององค์พระธิดา | เห็นกายาอ่อนอุ่นอยู่ทั้งองค์ | ||
ก็แจ้งว่ายังไม่บรรลัยลาญ | เอาสุคนธาธารมาโสรจสรง | ||
หอมระรื่นก็ค่อยฟื้นดำรงคง | เห็นอนงค์นั่งแน่นอยู่ในปรางค์ | ||
ความแค้นยิ่งแสนอเนกนัก | วรพักตร์เผือกผ่องด้วยหมองหมาง | ||
ให้ร้อนโรยโหยหวนคร่ำครวญคราง | ดั่งหนึ่งนางจะวายชีวาวัน | ||
ฝ่ายเหล่าสาวสนมคนสนิท | เข้านั่งชิดแนบโฉมประโลมขวัญ | ||
โอ้แม่ดวงวรลักษณ์วิลาวัลย์ | จะโศกศัลย์อยู่ฉะนี้มิเป็นการ | ||
จงดับโศกเสียบ้างให้บางเบา | ก็ควรเราจะยกโยธาหาญ | ||
ไปเร่งรีบติดตามพระภูบาล | ไหนจะพ้นมือมารอย่าสงกา ฯ | ||
◉ นางฟังเค้ามูลทูลสนอง | ค่อยคลายหมองผ่องผันด้วยหรรษา | ||
จึ่งมีมธุรสพจนา | ตรัสสั่งเสนาให้เตรียมพล | ||
เร่งฆาตกลองชัยเภรี | เป็นที่ประชุมแห่งพหล | ||
ฝ่ายมารฟังสารทะยานบน | ร้องเรียกพลพวกมารทะยานกาย | ||
บ้างผาดโผนโจนจากโพยมเมศ | สำแดงเดชดั่งดวงพระสุริย์ฉาย | ||
เขี้ยวงอกออกยืนทะยานกาย | วิเวกว่ายง้ำเงื้อมศิขริน | ||
บ้างทำสีหนาทผาดโผน | เข้าโจมจับดวงพระสุริย์ศิลป์ | ||
ดาวเดือนเลื่อนลับเมฆิน | ธรณินกัมปนาทสำเนียงพล | ||
ทั้งเสียงรถเสียงทศโยธา | เป็นโกลากึกก้องโพยมหน | ||
ขนัดแน่นล่วงแสนจัตุรงค์ | เคยประจญข้าศึกในสงคราม[30] | ||
พลหลาวง้าวตั้งดาษสนาม | พลปืนยืนยงในสงคราม | ||
พลหอกกลอกตามกระบวนฤทธิ์ | พลมารหาญศึกพิลึกแล่น | ||
พลม้าหาญจิตประชิดแล่น | โกฏิแสนแน่นมาเป็นอักนิษฐ์ | ||
เคยประจญประจัญปัจจามิตร | ทศทิศย่อย่นไม่ทนทาน | ||
แต่ล้วนพวกยักษีมีพยศ | ก็มาหมดพร้อมสิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
มาคอยเฝ้าดวงสุดาหน้าพระลาน | ฟังรสพจมานการณรงค์ ฯ | ||
◉ ฝ่ายนาฏเมรีศรีสมร | แต่อาวรณ์ร้อนจิตพิศวง | ||
ยิ่งให้ทอดฤทัยระทวยองค์ | ไม่เป็นสรงเป็นเสวยโภชนา | ||
เสด็จด่วนมายังที่นั่งเคย | จึ่งผายเผยสุนทรแก่ยักษา | ||
เราจะยกพหลพลโยธา | จงตริตราหาฤกษ์ให้จงดี ฯ | ||
◉ โหรเฒ่าก้มเกล้าทูลสนอง | หมอบจ้องพจมานสารศรี | ||
นางท้าวจึ่งแสดงแจ้งคดี | ว่าบัดนี้พระรถนิราไกล | ||
เราจะยกพวกพลไปติดตาม | จะเกิดความเคืองเข็ญเป็นไฉน | ||
จะพบท้าวด้าวแดนดำบลใด | จงแจ้งไขกิจจาพฤฒาจารย์ | ||
โหรเฒ่าฟังเสาวนีย์แสดง | ประจักษ์แจ้งคัมภีร์สี่สถาน | ||
จึงประมูลทูลองค์พระนงคราญ | แต่เริ่มการมาข้าก็กริ่งใจ | ||
ได้ทูลทัดขัดไว้แต่เดิมที | พระเทพีมิได้เชื่อจะทำไฉน | ||
บัดนี้ซึ่งจะตามพระองค์ไป | เห็นสุดไกลไพรกว้างกลางพนม | ||
อสุราฤทธาสักเพียงไหน | แต่คงได้พานพบประสบสม | ||
เห็นว่าท้าวจะไม่คืนบุรีรมย์ | จะเกรียมกรมยากแค้นแสนทวี | ||
ฝ่ายพระแม่ก็จะแดอาดูรดิ้น | เห็นจะสิ้นชีพม้วยไปเมืองผี | ||
เห็นมิได้คืนมายังธานี | พระเคราะห์นี้ร้ายนักพระเทพิน ฯ | ||
◉ นางฟังโหรเฒ่าให้เศร้าจิต | ดั่งกรดกฤชขีดศอให้ขาดสิ้น | ||
ยิ่งหวั่นไหวไปทั่วทั้งกายิน | ชลนัยน์ไหลรินดั่งธารา | ||
โอ้อกเอ๋ยไหนเลยแต่นี้เล่า | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าสร้อยนิราศา | ||
ประชาชนเขาจะชวนกันนินทา | เจ็บอุราชอกช้ำระกำกาย | ||
จะอยู่ไยในเมืองให้เคืองตน | ไปสิ้นชนม์เสียเถิดให้สูญหาย | ||
ตรัสพลางทางขับพลนิกาย | จึ่งสั่งนายสิทธิกรรม์ทันใด | ||
ท่านผู้เชี่ยวชาญชำนาญเดช | อิทธิเวทผันแปรจะแก้ไข | ||
เร่งติดตามพระรถยศไกร | แม้นทันไทให้เชิญกลับพารา | ||
ซึ่งไอ้อัสดรที่ตัวยง | ท่านจงกินเล่นเป็นภักษา | ||
ชั้นโลหิตอย่าให้ติดพระสุธา | อสุราเร่งรีบไปเร็วไว | ||
สิทธิกรรม์ครั้นฟังสั่งพหล | อลวนวุ่นวิ่งอยู่ไสว | ||
ให้ยกพวกพหลพลไกร | เข้าในแนวป่าพนาวัน ฯ | ||
◉ ฝ่ายมิ่งเยาวมาลย์นางโฉมศรี | แต่โศกีเศร้าสร้อยโศกศัลย์ | ||
เสด็จโดยมรรคาในอารัญ | ล้วนสาวสรรค์ตามเสด็จเยาวมาลย์ | ||
เยาวมิ่งยิ่งให้อาลัยถวิล | โอ้พระภูมินทร์ไม่สงสาร | ||
ไม่สั่งเสียเมียบ้างพระภูบาล | อกน้องนี้จะรานชีพบรรลัย | ||
ให้เศร้าจิตพิศดูนิวาสสถาน | สถิตเถิดสำราญให้ผ่องใส | ||
ให้ผ่องศรีน้องนี้จะจำไกล | โอ้ที่ไหนจะได้กลับมายลเวียง | ||
มายลวังพระที่นั่งเคยสนุก | เคยสนานการสุขจะเศร้าเสียง | ||
จะเศร้าสิ้นอสุรินบำเรอเรียง | แต่นี้เวียงก็จะเงียบสงัดทรวง | ||
สงัดสิ้นอสุรินอสุเรศ | อสุรีนิเวศในวังหลวง | ||
วังหลังตั้งหน้าน้ำตาตวง | นับวันก็จะล่วงไปแรมโรย | ||
จะแรมร้างห่างที่เคยบรรทม | เคยบันเทิงภิรมย์จะร่ำโหย | ||
จะร่ำหาสุดาอยู่เดียวโดย | โอ้อกโกยทุกข์ทุ่มเฝ้ากลุ้มใจ | ||
นิราศร้างห่างห้องสุวรรณเมศ | สุวรรณมาศนิเวศอันผ่องใส | ||
ผ่องศรีด้วยแสงมณีนัย | จะมืดไปทั่วทิศเป็นนิจรันดร์ | ||
จะราร้างปรางค์มาศปราสาทศรี | ประเสริฐแสงแดงดีดูเฉิดฉัน | ||
ดูช่อช่วงดวงศรีรวีวรรณ | สารพันจะนิราศทั้งเรือนทอง | ||
ทั้งเรือนทิพย์สถานพิมานเมศ | พิมานแม้นอมเรศไม่เทียมสอง | ||
ไม่เทียมศรีแสงแก้วสุวรรณกรอง | โอ้แต่นี้ก็จะหมองอยู่โรยรา | ||
โรยรินสิ้นแล้วนะอกเอ๋ย | อกโอ้มิเคยนิราศา | ||
นิราศสมบัติทั้งภัสดา | ชะรอยสิ้นพาสนาเสียจริงจัง | ||
อกข้าเมรีนี้เป็นไฉน | หรือเวรใดได้ล้างแต่ปางหลัง | ||
ได้พรากสัตว์ให้เขาพลัดจากรวงรัง | เวรหลังนั้นจึ่งตามมาจำนอง | ||
อกเอ่ยแต่นี้กลับจะลับแล้ว | ดั่งดวงแก้วมืดมนระคนหมอง | ||
เมืองมารจะระงมด้วยกรมกรอง | จะนั่งนองน้ำตาไม่ราวัน | ||
โอ้แสนเสียดายไมตรีเอ๋ย | พระย่อมเคยปรีดิ์เปรมกระเษมศัลย์ | ||
แสนสนิทพิศวาสไม่ขาดวัน | เป็นมหันตมหาโอฬาฬาร | ||
เมื่อพระปิ่นเมียแก้วมาปกเกศ | ครอบครองนคเรศราชฐาน | ||
ข้าน้อยค่อยได้สบายบาล | พลมารแสนสุขสนุกนิ์ใจ | ||
พระเดชาอานุภาพก็แผ่เผื่อ | ทั้งใต้เหนือนบนิ้วประนมไสว | ||
มโหรสพก็สยบทั้งกรุงไกร | ดั่งหนึ่งในฉ้อชั้นสวรรยา | ||
ทั่วประเทศเขตมารไม่เดือดร้อน | ราษฎรได้สุขทุกถ้วนหน้า | ||
ลือเลื่องดั่งหนึ่งเมืองอมรา | ในมหาชมพูไม่เปรียบปาน | ||
เมื่อยามท้าวสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | มเหสีนอบน้อมมโนสมาน | ||
เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงสุดามาร | เคยประสานสดับเสียงสำเนียงนวล | ||
เคยหยอกเย้าเคล้าคลึงเสน่หา | กำดัดอาลัยหลงประจงสงวน | ||
เคยแย้มยิ้มริมช่องบัญชรชวน | ทรงพระสรวลโสมนัสเปรมปรีดิ์ | ||
เคยยามสมบรมสุขไสยาสน์ | เคยแสนพิศวาสสว่างศรี | ||
เคยทั้งสองสำรวลรสฤดี | เคยแต่ความสุขมีทุกเวลา | ||
ยามเสวยเคยเสวยบรมสุข | ยามสนุกนิ์เคยสนิทเสน่หา | ||
ยามสรงเคยสรงสุคนธา | โอ้นึกน่าน้อยใจอาลัยลาญ | ||
นี่เนื้อกรรมกำจัดจึ่งพลัดพราก | จึ่งจากนคเรศราชฐาน | ||
แสนระกำจำไกลไปเนานาน | น่าสงสารแสนสุดจะรำพัน | ||
ร่ำพลางทางสั่งฝูงนิกร | เราจะจรจากไกลไอศวรรย์ | ||
ท่านจงอยู่สุขเป็นนิรันดร์ | อันเรานี้นับวันไม่กลับมา | ||
ฝ่ายฝูงชนชาติหญิงชาย | ก็ฟูมฟายชลเนตรเทวศหา | ||
ให้อัดอั้นตันจิตคิดโรยรา | ด้วยอาลัยในสุดาเสด็จจร | ||
สาวสนมกรมในเจ้าขรัวนาย | ทั้งเตี้ยค่อมหม่อมยายตามสลอน | ||
ต่างคนครวญใจอาลัยวรณ์ | ก็บทจรจากราชบูรี ฯ | ||
◉ เสด็จถึงสวนแก้วอันอุดม | เคยบรมสุขกระเษมศรี | ||
รุกขชาติดาดดกอุดมดี | มลุลีลำดวนประดู่ดง | ||
สาวหยุดโยทะกาประยงค์แย้ม | แก้วเกดแกมกระดังงากาหลง | ||
มะลิลาสารภีชิงชี่ปรง | มหาหงส์ชงโคโยทะกา | ||
ไทรย้อยสร้อยสนมะสังโศก | โอ้เมื้อยามวิโยคเสน่หา | ||
สาวหยุดเหมือนพระหยุดจำนรรจา | อัมพาเหมือนพระพาเมียเดินจร | ||
ซุ้มสวนเหมือนพระชวนให้ชมเถื่อน | นางแย้มเหมือนพระเยื้อนสโมสร | ||
นางกวักเหมือนพระหัตถ์กวักกวัดกร | ขอนดอกเหมือนพระเด็ดให้เมียชม | ||
ลำดวนเหมือนพระด่วนสวาดิหวัง | เต่าร้างเหมือนพระร้างนิราศสม | ||
สนลมเหมือนหลงด้วยเล่ห์ลม | สุกรมเหมือนกรอมโอ้ออมใจ | ||
ระกำเหมือนเมื่อเรียมระกำกลุ้ม | กระทุ่มเมื่อกระทุ่มทรวงไศล | ||
ชบาเหมือนจะพาเป็นบ้าใจ | กาหลงหลงให้อาลัยเลย | ||
คันทรงเหมือนทรงพระสรวลเสียง | รังเรียงเหมือนเคียงเรียงเขนย | ||
ไม้รักษ์เหมือนรักมาแรมเชย | รำเพยเหมือนเคยรำเพยพัน | ||
สวาดเหมือนมาคลาดสวาสดิ์แสวง | ชุมแสงเหมือนเศร้ากันแสงศัลย์ | ||
ยมโดยเหมือนมาโดยกันดารครัน | เบญจวรรณเหมือนเมื่อวันรำพันพลาง | ||
สะท้อนเหมือนสะท้อนฤทัยทึก | มะอึกเหมือนอึกอ่วนอางขนาง | ||
ตะแบกเหมือนเราแบกเอาทุกข์พลาง | ไม้ยางเหมือนอย่างมาครวญกรรม | ||
มะไฟเหมือนหนึ่งไฟมาใส่สุม | มะรุมเหมือนเรารุมอุราร่ำ | ||
ตะบากเหมือนหนึ่งแสนวิบากทำ | มะกล่ำเหมือนกล้ำแต่กลืนทุกข์ | ||
ส้มโอเหมือนโอ้ยามวิโยค | สนโศกเหมือนเศร้าศรีไม่มีสุข | ||
ลั่นทมมาระทมด้วยความทุกข์ | ต้องเดินบุกป่าระหงดงดอน | ||
ชมพลางทางพิศรำพึงถวิล | ชลนัยน์ไหลรินสะท้อนถอน | ||
ไม่วางวายเทวศอาวรณ์ | ก็เสด็จจรจากสวนรีบด่วนคลา | ||
โอ้สงสารนงลักษณ์อัคเรศ | สุริเยศส่องจำรัสพระเวหา | ||
พักตร์เพียงด้วยพระจันทรา | แต่โศกาเศร้าสร้อยสลดลง | ||
ทั้งอาหารการสรงไม่เป็นเสวย | แต่บนเบยเลยลืมละลานหลง | ||
ทั้งสติก็ตั้งไม่คงตรง | ให้คะนึงถึงองค์นรินทร ฯ | ||
◉ ฝ่ายว่าสิทธิกรรม์ผู้ห้าวหาญ | เหาะทะยานรีบร้นพลสลอน | ||
เกลื่อนอากาศดาษไปในอัมพร | แผ่นดินดอนสะเทื้อนสะท้านดง | ||
ต่างสำแดงสิงหนาทตวาดเสียง | ดังเปรี้ยงเปรี้ยงก้องฟ้าพนาระหง | ||
ไม้ไล่ลู่ล้มระทมลง | เป็นผุยผงมืดคลุมชอุ่มดอน | ||
คลาคล้ายจะใกล้ทันก็ถีบโถม | จะกระโจมจับองค์พระทรงศร | ||
ดูกลัดกลุ้มรุมล้อมอัสดร | หมายจะรอนราญชีพพาชี ฯ | ||
◉ ฝ่ายองค์นรินทร์ปิ่นนเรศ | อันเรืองเดชดั่งองค์พระสุริย์ศรี | ||
เสด็จไปในห้องเมฆี | เห็นยักษีรุกรนพลนิกาย | ||
ท่านท้าวเธอก็ทอดโอสถยา | อันศักดามืดได้ดังใจหมาย | ||
ก็พูนเกิดคีรีขึ้นมากมาย | กระแสสายสินธูทะเลลม | ||
เป็นเขาใหญ่กั้นเสร็จสักเจ็ดชั้น | คงคาคั่นพระสมุทรสุดประถม | ||
จะประมาณสาครห่อนนิยม | อุดมด้วยมัจฉากุมภาพาล | ||
ถึงว่าใครฤทธิรงค์จะทรงเดช | มิอาจข้ามสาคเรศอันไพศาล | ||
ช้างแรดราชสีห์ที่ริมธาร | พ้นที่จะประมาณอเนกนอง | ||
อสุราเห็นมหาชลาสินธุ์ | ในกายินรันทดสยดสยอง | ||
เศียรเกล้าเร้าร้นขนพอง | ก็ร่ำร้องอยู่ริมฝั่งชลาลัย | ||
สุดเห็นสุดรู้ก็สุดฤทธิ์ | ล้นเหลือความคิดจะแก้ไข | ||
จะคิดอ่านข้ามชลไปกลใด | ชลาไหลลึกกว้างหนทางจร | ||
จนจิตนั่งเจ่าอยู่ริมฝั่ง | เพียงประหนึ่งชีวังจะสังหรณ์ | ||
บ้างล้มกลิ้งนิ่งแน่วเนนนอน | สะท้อนถอนอารมณ์ไม่สมประดี ฯ | ||
◉ ฝ่ายอนงค์องค์นุชวิมลสมร | เสด็จจรมาในป่าพนาศรี | ||
พอถึงริมฟากฝั่งชลธี | ประทับที่แล้วก็ทอดทัศนา | ||
เหลือบเห็นองค์ทรงพุทธเธอหยุดยืน | เหนือเพิงพื้นสิงขรชะง่อนผา | ||
ทรงนั่งเหนือหลังอัศวรา | อนิจจาละเมียเสียจริงจริง | ||
แล้วก้มดุษฎีชุลีกร | งามงอนล้ำเลิศประเสริฐยิ่ง | ||
แล้วกล่าวพจนสุนทรว่าวอนวิง | โอ้พระมิ่งเมียแก้วไม่กรุณา | ||
โทษน้องนี้ไฉนไม่มีผิด | พระควรคิดร้างเร่เสน่หา | ||
ไม่มีข้อเคืองขัดพระอัชฌา | อนิจจานี่หรือว่าพระปรานี | ||
ขอพระเสด็จกลับมาดับเข็ญ | แต่พอเย็นเกล้าข้ามเหสี | ||
จึ่งคืนกลับพาราไปธานี | เหมือนชูช่วยชีวีให้เนานาน ฯ | ||
◉ ฝ่ายนรินทร์ยินคำร่ำสดับ | สุนทรวับแว่วเสียงสำเนียงสาร | ||
โอ้โอ๋เอ็นดูสุดามาลย์ | ยุพาพาลเยาวลักษณ์วิไลวอน | ||
มิเสียที่เป็นที่ประโลมขวัญ | ผิวพรรณเพียงเทพอัปสร | ||
พิศพักตร์ผ่องพรรณดั่งจันทร | อรชรชื่นผ่องส่องโพยม | ||
จะหาไหนได้เหมือนสมรพี่ | ช่างโสภีผุดผาดประหลาดโฉม | ||
ฉวีวรรณวาวแววดั่งแก้วโคม | แลประโลมเนตรชายชม้ายชวน | ||
ถ้าแม้นพี่มิพร้องสนองถ้อย | พระน้องน้อยก็จะเศร้ากำสรดสรวล | ||
ที่ไหนนางเจ้าจะว่างรัญจวนครวญ | โอ้นิ่มนวลเจ้าจะวายทำลายลาญ | ||
อย่าเลยจะประโลมโฉมสวาท | ให้คืนกลับนคราชนิวาสสถาน | ||
จะได้เป็นจอมมิ่งในเมืองมาร | ตรึกแล้วบรรหารสารแสดง ฯ | ||
◉ ดูก่อนดวงสมรทิพย์มาศ | แสนสวาสดิ์นิ่มน้องไม่หน่ายแหนง | ||
เป็นความจริงมิ่งมิตรอย่าคิดแคลง | ใช่จะแต่งลิ้นล่อประโลมลวง | ||
โอ้อาลัยใครจะเท่าเหมือนเรานี้ | อุราพี่หนักเท่าภูเขาหลวง | ||
ที่จิตคิดหมายเสียดายดวง | แต่หนักหน่วงนั้นน้อยไปเมื่อไร | ||
เจ้าอย่าหวังว่าจะนิราศสวาสดิ์ | ไร้นิราศแรมมิตรพิสมัย | ||
จงดับร้อนถอนทุกข์บรรเทาใจ | พี่มิให้นุชน้องเจ้าเนานาน ฯ | ||
◉ โอ้ไฉนว่าอาลัยกลใดพ่อ | มาแต่งล่อลิ้นลมคารมหวาน | ||
ให้ไพเราะเสนาะในพจมาน | กระแสสารสอดคล้องทำนองใน | ||
น้องพาซื่อมาเสียด้วยความสวาสดิ์ | มโนมาดมั่นคงไม่สงสัย | ||
อันเหตุผลต้นปลายทั้งหลายไซร้ | ก็แจ้งใจทราบสิ้นในเชิงความ | ||
วันเสวยชัยบานสำราญแผ้ว | ครั้นเมาแล้วซักไซ้พิไรถาม | ||
ซึ่งของขำล้ำชีพลือนาม | เมียก็ตามใจแจ้งทุกสิ่งอัน | ||
มิรู้เท่าได้เสร็จดังประสงค์ | ไม่หลอหลงเหลือเลยสักสิ่งสรรพ์ | ||
เสียรู้ก็เพราะรักพระทรงธรรม์ | สารพันน้องนึกว่าปรานี | ||
แม้นท้าวมิกลับประเทศฐาน | จงประหารเสียเถิดให้เป็นผี | ||
อันน้องนี้ไม่เสียดายกับชีวี | เพราะเวรมีแต่หลังได้ทำมา ฯ | ||
◉ โอ้เจ้าเยาวมิตรดวงจิตพี่ | ไม่เห็นที่รักแรงใช่แกล้งว่า | ||
เป็นความจริงจนจิตพนิดา | จึงต้องลาเลยไกลฤทัยกรม | ||
ถึงม้วยดินสิ้นแดนแผ่นสมุทร | กาลาคนิรุทธสุดประถม | ||
จนตลอดถึงยอดสุวรรณพรหม | อันอารมณ์ของพี่ไม่หน่ายนาง | ||
ตราบใดถึงมหาศิวาโมกข์ | แน่ละเห็นจะวิโยคไปห่างข้าง | ||
สุดถวิลสิ้นความเสน่ห์นาง | อันปางนี้แล้วไม่เรียมไกล ฯ | ||
◉ นางท้าวฟังถ้อยเศร้าสร้อยจิต | ยิ่งเพิ่มคิดรึงรักไม่หักไหว | ||
จึ่งสนองพจนาด้วยอาลัย | โอ้พระทัยนี่หรือว่าเมตตาเมีย | ||
ถึงตัวตายก็ไม่วายสวาสดิ์หวัง | อันสัจจังว่าไว้มิให้เสีย | ||
เห็นแล้วละว่าพระไม่ละเมีย | จะไกล่เกลี่ยไปไยให้ป่วยการ | ||
จนกรูกรีรี้พลมาสนส่ำ | เพราะเชื่อคำภูวนาถสวาสดิ์หวาน | ||
สู้ติดตามพระองค์มาดงดาน | ข่าวสารทราบสิ้นทั้งดินแดน | ||
ตลอดพิภพจบสกล | ในทวีปมณฑลอเนกแน่น | ||
ก็ลือเลื่องไปถึงเมืองอมรแมน | ว่าพระแสนสุดสวาทเจ้าเมรี | ||
สวาสดิ์จริงพระทิ้งไว้อางขนาง | นิราศร้างนคเรศบุรีศรี | ||
ให้น้องแสนโศกช้ำระกำทวี | มิเสียที่ที่ว่ารักประจักษ์ตรง | ||
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้าสุธาสวรรค์ | จะรำพันไยเล่าให้เมียหลง | ||
ถ้ารักจริงหรือจะทิ้งไว้กลางดง | เมื่อพระองค์ใจแจ้งจะจากนวล | ||
อันน้องหญิงห่อนกลิ้งวิกลเกล้า | เนื้อแท้ท้าวทำเล่ห์แล้วเหหวน | ||
แกล้งบิดผันหันแหพูดแปรปรวน | เป็นหญิงมาหลงด่วนด้วยลมชาย | ||
โอ้โอ๋แต่นี้มิวายถวิล | ก่นแต่กินชลเนตรไม่รู้หาย | ||
ดั่งเดือนดับอับศรีสกลกาย | เหมือนหนึ่งสายชลธีชโลธาร | ||
ก็สาสมที่อารมณ์ไม่รอรั้ง | นิยมหวังกำหนดแต่รสหวาน | ||
หมายใจว่าจะได้จิรังกาล | ที่นี้หวานหนักแล้วก็พลันรา | ||
อกเอ๋ยไฉนเลยแต่นี้เล่า | ตั้งแต่จะเศร้านิราศา | ||
เพราะสามีมิได้มีซึ่งเมตตา | ไม่กรุณาน้องแล้วก็ท่าจน | ||
จะหันหน้าไปพึ่งพระผู้ผัว | พระทูนหัวก็มาขว้างเสียกลางหน | ||
สำหรับแต่จะอัประมาณตน | เห็นไม่พ้นมรณาเสียจริงเจียว ฯ | ||
◉ พระสดับสารนุชเสนาะ | ให้จับเจาะใจแสนกระสันเสียว | ||
โอ้โอ๋สงสารสุดาเดียว | ให้ฉุนเฉียวพระทัยอาลัยลาน | ||
เพียงเอ๋ยแม้นได้ครรไลหงส์ | จะคืนคงกลับหลังยังสถาน | ||
ถึงแก้วกัณฐัศว์จะทัดทาน | จะประหารเสียให้ประลัยลง | ||
นี่สุดคิดสุดฤทธิ์จะทำไฉน | ไม่เหาะเหินเดินได้ดังประสงค์ | ||
แล้วถอยหลังยั้งคิดปัญญายง | ค่อยดำรงพระทัยให้บรรเทา | ||
จึ่งผายเผยพจนารถคำสนอง | พระน้องเอ๋ยอย่าหมองกระมลเศร้า | ||
จงกลับหลังคืนยังบูรีเรา | เป็นจอมเจ้าศรีสวัสดิ์ให้ไพบูลย์ | ||
ใช่พี่มิรักจักแกล้งรัก | จงประจักษ์จริงใจไม่ไปสูญ | ||
จะคงคืนกลับมาอย่าอาดูร | จะเพิ่มพูนยิ่งยศให้ยงยืน | ||
อันอารมณ์เรียมไซร้จะไปหา | แต่อาชาตัวนี้เฝ้าขัดขืน | ||
จะกระชากสักเท่าใดก็คืนยืน | มันขัดขืนดื้อดึงตะบึงไป | ||
ความแสนเจ็บใจไม่รู้ที่ | เช่นนี้แล้วแก้วพี่จะทำไฉน | ||
เป็นเวรกรรมเราได้ทำแต่ปางใด | จึงชักให้เห็นแจ้งประจักษ์ตา | ||
อยู่ดีดีดั่งเด็ดเอาดวงเนตร | ให้ทุเรศร้างเล่ห์เสน่หา | ||
แสนวิตกอกโอ้เป็นเวรา | ประหนึ่งว่าชีวันจะพลันตาย | ||
จำจิตจำใจไกลวิโยค | อย่าเศร้าโศกหนักเลยนะโฉมฉาย | ||
เป็นความจริงมิได้ทิ้งให้เด็ดดาย | ใช่จะหน่ายแหนงหนีพระน้องยา ฯ | ||
◉ ฝ่ายนาฏเมรีศรีสวัสดิ์ | หน่อเนื้อนางกระษัตริย์เสน่หา | ||
ได้สดับสุนทรภัสดา | ดั่งสายฟ้าผ่าฟาดให้ขาดใจ | ||
นึกประหวั่นพรั่นในพระทัยหาย | สกลกายกัมปนาทหวาดไหว | ||
ยิ่งแสนโศกโศกาด้วยอาลัย | หวาดไหวไปทั่วทั้งอินทรีย์ | ||
โอ้พระพุทธพงษ์ผู้ทรงเดช | ไม่สังเวชแก่ข้ามเหสี | ||
สู้บุกป่าฝ่าดงพงพี | ควรหรือมิเมตตาจะคลาไคล | ||
นิจจาเอ๋ยเมื่อยามจะเชยชื่น | ล้วนแต่พื้นความดีจะมีไหน | ||
จะสู้ม้วยด้วยกันกับขวัญใจ | น้องไซร้ซื่อเชื่อจนเหลือดี | ||
หมายจะพึ่งพระบาทบรมเมศ | อยู่ปกเกศเกล้าข้ามเหสี | ||
ก็ปลงจิตมิได้คิดราคีมี | ไม่รู้ทีที่แสร้งแต่งอุบาย | ||
ต้องประสงค์จำนงปองของวิเศษ | ไม่รู้เหตุก็เล่าแจ้งแถลงถวาย | ||
ประจักษ์สิ้นในระบิลบรรยาย | พอสมหมายท้าวมุ่งแต่เดิมมา | ||
วันเมื่อชมสวนพระชวนน้อง | ไปเที่ยวท่องพิศผลพฤกษา | ||
ทำเสแสร้งแกล้งถามนามผลา | ที่ผ่านฟ้าต้องประสงค์จำนงปอง | ||
พระหักไม้ม่วงหาวมะนาวโห่ | อันภิญโญยิ่งล้ำกว่าสิ่งของ | ||
น้องคิดว่าผ่านฟ้าคะนองลอง | มิรู้ต้องประสงค์จำนงนาน | ||
ถึงกระนั้นไม่คะนึงเท่ากึ่งก้อย | ข้าน้อยมิให้เคืองเรื่องสมาน | ||
หมายจะได้ไว้เป็นจอมกระหม่อมมาร | ถึงทำการก็กริ่งประวิงใจ | ||
เมื่อแรกเริ่มจะสู่สมภิรมย์รัก | เขาทัดทักหนักแล้วน้องไม่สงสัย | ||
หลงระเริงก็เพราะเชิงพระภูวไนย | หวังใจว่าจะฝากซึ่งชีวัน | ||
ความสวาสดิ์มาดหมายพระทรงพุทธ | จนสิ้นสุดสังขาร์นิราศัลย์ | ||
ควรแล้วหรือพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | มาหุนหันเชื่อแต่มโนมัย ฯ | ||
◉ บัดนั้นนางค่อมคนสนิท | อันเชื่อชิดใช้ชอบอัชฌาศัย | ||
เห็นเจ้านายโศกาก็อาลัย | นึกขัดใจเดือดด่าให้พาชี | ||
ว่าเหวยนี่แน่ไอ้ม้าร้าย | ช่างพานายลนลานตะลอนหนี | ||
เมื่อทั้งสองสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | ไยมึงพาหนีมาลนลาน | ||
สัญชาติไอ้ม้าพลาหก | กระยาจกชั่วชาติเดรฉาน | ||
มาเสแสร้งแกล้งทำให้รำคาญ | เราท่านพลอยยากลำบากกาย | ||
ไพร่บ้านพลเมืองก็เคืองเข็ญ | มิพอเป็นก็มาเป็นระส่ำระสาย | ||
แต่ก่อนกูอยู่สุขสนุกนิ์สบาย | เพราะเจ้านายของมึงมึงพามา | ||
ให้แม่เจ้ากูจากไอศวรรย์ | มาโศกศัลย์ดั้นเดินตามเนินผา | ||
ได้ความยากลำบากพระกายา | ไอ้อาชาเช่นนี้ไม่มีโรง ฯ | ||
◉ อัศวราชตอบคำลำนำแส | ว่านี่แน่นางค่อมหลังขดโขง | ||
เจ้าช่างว่าพาชีไม่มีโรง | อีหลังโกงแก้หน้ามาว่ากู | ||
ทั้งเจ้าทั้งข้าพากันวิ่ง | ดูเป็นหญิงบัดสีน่าอดสู | ||
ช่างชวนกันมานั่งอยู่พรั่งพรู | แต่ล้วนหมู่ยักษีมีพยศ | ||
มึงหมายใจว่ากูไซร้เป็นภักษา | ไยมิข้ามตามมาอีหน้าสด | ||
ช่างเสกสรรกลั่นถ้อยทำช้อยชด | อีหลังขดค่อมคุ่มเป็นปุ่มเปา | ||
อันตัวดังหนึ่งฟุมฝอยเฟื้อ | เป็นหยากเยื่อรองบาทพระเป็นเจ้า | ||
ท้าวไม่หลงในเล่ห์กาเมเมา | ทำยั่วเย้าจะเล่นกับอาชา | ||
อันสัญชาติเช่นเชื้ออีนางยักษ์ | เสียศักดิ์เสียชาติไม่ปรารถนา | ||
อีนางค่อมหลังขดอย่าเจรจา | มึงเป็นแต่ทาสาสำหรับวัง ฯ | ||
◉ ยุพาพาลฟังสารอัศวเรศ | ชลเนตรลามไหลลงหลั่งหลั่ง | ||
อุรานางพ่างเพียงจะพองพัง | ให้แค้นคั่งด้วยคำมโนมัย | ||
พิศพักตร์นางค่อมแล้วไต่ถาม | ที่งามอยู่แล้วตั้งห้าไร่ | ||
มึงจาบจ้วงล่วงด่าเขาว่าไร | อีชาติไพร่นอกเจ้าไม่เจียมตัว | ||
เอาแต่คารมออกฉาดฉาน | จะประจานใครเล่าอีชาติชั่ว | ||
หยาบช้าไม่ว่ากันแต่ตัว | ให้เกลื้อกลั้วปะปนมาถึงเรา | ||
เดี๋ยวนี้เป็นไรไม่ตอบต่อ | พิษพอให้สมอารมณ์เล่า | ||
มานั่งนิ่งผินหลังอยู่ซบเซา | นางหัวเปาปากกล้าอีหน้าเป็น ฯ | ||
◉ ฝ่ายค่อมคนสนิททูลสนอง | ข้าตรึกตรองพินิจคิดเห็น | ||
ว่าไอ้ม้าเจรจาที่ไหนเป็น | จะด่าเล่นช่วยองค์พระนงเยาว์ | ||
มิรู้ก็กลับมาเป็นโทษ | ต้องกริ้วโกรธซ้ำด่าข้าอีกเล่า | ||
อกเอ๋ยอาภัพแต่ตัวเรา | เจ็บแค้นแทนเจ้ากลับได้อาย | ||
นางสนมกรมในได้ฟังสาร | ซึ่งอาชาว่าขานเป็นมากหลาย | ||
ให้มีความอดสูไม่รู้วาย | จึงกราบทูลโฉมฉายเจ้าเมรี | ||
ขอเชิญคืนหลังยังสถาน | จะทรมานอยู่ไยในไพรศรี | ||
ให้เจ็บช้ำคำม้ามันพาที | จะนั่งเฝ้าเซ้าซี้ไปทำไม | ||
ถึงมาดแม้นพระไม่อาลัยแล้ว | อันดวงแก้วหรือจะหมองไม่ผ่องใส | ||
เหมือนมณีย่อมมีผู้เจียระไน | เพชรรัตน์หรือจะไร้ซึ่งเรือนทอง | ||
ทั่วท้าวด้าวแดนแผ่นทวีป | ถ้ารู้แล้วก็จะรีบมาสมสอง | ||
แสนสนิทพิศวาสดั่งใจปอง | ขอเชิญแม่คืนครองนครา ฯ | ||
◉ นางฟังสาวสนมทูลสนอง | ยิ่งมัวหมองในมนัสสา | ||
เคืองขัดอัดอั้นตันอุรา | ยิ่งโศกาสะอื้นกันแสงกรม | ||
จึงต่อตอบพจมานสารเฉลย | วานอย่าว่าไปเลยเห็นไม่สม | ||
จะได้เรากลับเข้าบูรีรมย์ | จะนิยมยินดีด้วยอันใด | ||
เป็นหญิงสิ่งซึ่งจะอัประดาษ | เพราะไร้ญาติสามีพิสมัย | ||
เมื่อสามีหนีหน่ายไม่อาลัย | จะกลับไปเป็นหม้ายอยู่เอกา | ||
อันสัญชาติชายอื่นสักหมื่นแสน | ในพื้นแผ่นพิภพไม่ปรารถนา | ||
จะสู้ม้วยด้วยองค์พระภัสดา | เมื่อท้าวไม่กรุณาก็จนใจ | ||
อันสตรีสามีถึงสองแล้ว | เหมือนดวงแก้วมัวหมองไม่ผ่องใส | ||
ถึงเรืองรองทองคำเนื้ออุไร | เมื่อฝ้าไฝแปดเปื้อนระคนปน | ||
ก็ขึ้นชื่อว่ามณีศรีสลาย | ถึงงามพรายก็เห็นไม่เป็นผล | ||
อันอกน้องหมองเหมือนมณีปน | นับวันแต่จะมัวหมองเป็นมลทิน | ||
สู้ตายมิได้คิดจะกลับหลัง | จะขอตายกับฝั่งชลสินธุ์ | ||
ดูราอสุเรศอสุรินทร์ | จงพาพวกพลพินเข้าพารา | ||
บรรดาสาวสุรางค์สิ้นทั้งปวง | อย่าหนักหน่วงห่วงเลยในตัวข้า | ||
ถึงเป็นตายก็ตามแต่เวรา | เมื่อท้าวไม่เมตตาก็จนใจ | ||
มาตรแม้นพระไม่กลับมาปกเกศ | อันจะคืนนคเรศอย่าสงสัย | ||
จะครองสัตย์สู้เสียชีวาลัย | ท่านจงไปเป็นสุขสำราญ ฯ | ||
◉ สาวศรีฟังสารสุดาเจ้า | ให้ร้อนดั่งไฟเผาแลเพลิงผลาญ | ||
ต่างต่างโทมนัสให้แดดาล | แสนสงสารสุดาจะอยู่เดียว | ||
นิจจาเอ๋ยไม่เคยได้ความเข็ญ | จะไร้เร้นทาสาในป่าเขียว | ||
แสนวิเวกพิศวงอยู่องค์เดียว | แม่จะเปลี่ยวสกลอยู่รนรัว | ||
ต่างเข้าเชิญโฉมประโลมปลอบ | ตรัสนี้มิชอบแม่ทูนหัว | ||
จะมาทิ้งวรกายเสียดายตัว | พระผู้ผัวก็จะตามเจ้างามตาย | ||
เสียดายเจ้าเป็นจอมกระหม่อมโลก | จงสร่างโศกเสียเถิดแม่โฉมฉาย | ||
จงกลับเข้าสู่เมืองให้เรืองพราย | ข้าทั้งหลายจะได้พึ่งพระบารมี | ||
แต่เวียนเฝ้าเซ้าซี้พิรี้ปลอบ | ก็มิชอบชื่นพระทัยเท่าเกศี | ||
จะขออยู่เพื่อนองค์ในพงพี | ก็มิได้ปรานีจะโปรดปราน | ||
ต่างต่างตีอกสะอึกสะอื้น | เสียงครึกครื้นเครงไปทั้งไพรสาณฑ์ | ||
ครวญคร่ำร่ำรักเยาวมาลย์ | กราบกรานอภิวาทบาทมูล | ||
ทั้งฝูงอสุราประชากร | ฟังสารดวงสมรเพียงสิ้นสูญ | ||
แสนทุกข์โทมนัสให้แดดูร | เพิ่มพูนพิลาปรำพัน | ||
ว่าโอ้แต่นี้บูรีย์เรา | ไม่เคยเศร้ามีแต่สุขเขษมสันต์ | ||
จะเหงาเงียบเชียบไปดั่งไพรวัน | สารพันจะวิบัติพรัดพราย | ||
แสนสนุกนิ์เลิศล้ำแต่ปางหลัง | อนิจจังครั้งนี้จะเสื่อมหาย | ||
จะโหยหนก่นกินน้ำตาตาย | พลางถวายประณตบทจร | ||
ตั้งพักตร์จำเพาะนคเรศ | มาในวันเวศเนินสิงขร | ||
สัตว์เสือเนื้อเบื้อเป็นเบื่อบอน | ก็เมื้อมรณ์พินาศดาษดง | ||
ดินดอนสะท้อนสะท้านไหว | ไม้ไล่แหลกลุ่ยเป็นผุยผง | ||
ดั้นเดินดัดป่าเข้าฝ่าพง | บ้างก็อยู่เฝ้าองค์พระเทพี ฯ | ||
◉ ปางสุริโยทัยเธอคล้อยเคลื่อน | จวนจะเลื่อนลับเหลี่ยมคีรีศรี | ||
ฝ่ายฝูงลิงค่างบ่างชะนี | เม่นหมีมฤคาทิชากร | ||
ทั้งฝูงภุมราคณานก | หมู่วิหคเซ็งแซ่แลสลอน | ||
เข้าสู่ซุ้มพุ่มรังประนังนอน | สโมสรชื่นบานสำราญใจ | ||
ลางตัวพลัดคู่อยู่เดียวโดด | ลิงโลดลานจิตพิสมัย | ||
ให้วังเวงวิเวกในพระทัย | เมื่อจะใกล้สิ้นแสงอัสดง | ||
ฝ่ายนาฏวรนุชโฉมเฉลา | เสด็จเนาวนาป่าระหง | ||
ให้อนาถหวาดเหว่อยู่เอองค์ | บมีฝูงอนงค์สินิทธิ์นาง | ||
จะแลซ้ายเห็นแต่ป่ารุกขาเขียว[31] | จะแลขวาเปล่าเปลี่ยวให้อางขนาง | ||
สองกรค่อนอุระครวญคราง | พระพักตร์นางหมองเศร้าสลดใจ | ||
ทรงโศกโทมนัสอัดอั้น | สุดกลั้นพระสุชลหลั่งไหล | ||
หวั่นหวั่นสังเวชพนมไพร | นางโหยไห้ริมฝั่งชโลทร | ||
แล้วน้อมเศียรอภิวาทบาทบงสุ์ | ทูลองค์บพิตรอดิศร | ||
พระคุณเอ๋ยชีวาตม์จะขาดรอน | หรือภูธรนิ่งได้ไม่ปรานี | ||
โทษน้องนี้ไฉนพระทัยแหนง | หรือเคลือบแคลงแห่งข้ามเหสี | ||
อันโทษาน้องไซร้มิได้มี | ควรหรือพระจะหนีไปเด็ดดาย | ||
นิจจาเอ๋ยเมื่อยามอารามเคล้า | แต่ล้วนเจ้าอย่าหมางระคางหมาย | ||
อันเรียมหรือจะให้เจ้าได้อาย | จะสู้ม้วยด้วยสายสวาสดิ์เดียว | ||
โอ้โฉมครั้งนี้นะอกเอ๋ย | พระคงเลยลับแน่ไม่แลเหลียว | ||
เป็นกองกรรมทำมาเวราเจียว | ยิ่งแสนเสียวโศกซ้ำเฝ้าคร่ำครวญ ฯ | ||
◉ พระสดับพจนาสาราเรื่อย | แจ้วแจ้วเจื้อยจับจิตรำจวนหวน | ||
พิศวงหลงเล่ห์เสน่ห์นวล | กระสันชวนชมชื่นจะคืนชม | ||
กำเริบร่านอารมณ์ฤทัยรัก | พระทรงชักอาชาจะมาสม | ||
พาชีขัดเชิงดั่งเพลิงรม | พระเจียนจมจะม้วยด้วยความรัก ฯ | ||
◉ ฝ่ายอัศวราชฉลาดเรียบ | ภิปรายเปรียบความไปให้ประจักษ์ | ||
จงฟังคำพี่เถิดนะน้องรัก | จะเป็นห่วงหน่วงหนักไม่ต้องการ | ||
ทั้งแม่ป้าอาดูรพูนเทวษ | แสนทุเรศกินน้ำตาต่างอาหาร | ||
สมรมิตรถึงจะปลิดบรรลัยลาญ | อันนงคราญอื่นอื่นมีถมไป | ||
แม้นว่ามารดาชีวาสัญ | ผู้อื่นนั้นหรือจะเป็นมารดาได้ | ||
อย่ากินแหนงแคลงคลางในน้ำใจ | จงตัดรักหักให้ได้สิ้นเชิง | ||
อันเชื้อชาติชายชาญชำนาญศิลป์ | ไม่หลงลิ้นลมลานระเริงเหลิง | ||
ย่อมกำจัดตัดรักให้หักเปิง | จึ่งเรียกว่าชายเชิงชำนาญชาญ | ||
ทั่วเทพนิกรอ่อนเศียร | ประนมเนียรเอิกเกริกทุกถิ่นฐาน | ||
สรรเสริญจำเริญยศบทมาลย์ | สาธุการอำนวยอวยพร | ||
หนึ่งหลงด้วยรูปเสน่หา | ก็เหมือนว่าเลวล้ำที่คำสอน | ||
รักเมียละเสียซึ่งมารดร | ใครห่อนจะเห็นว่าเป็นชาย | ||
เขาจะตบมือสรวลสำรวลอื้อ | ตลอดลือทั่วโลกทั้งหลาย | ||
เป็นสองข้อความขันบรรยาย | พระโฉมฉายเชิญทราบในพระทัย | ||
พระฟังม้าชี้แจงแถลงอรรถ | กระจ่างจัดมั่นคงไม่สงสัย | ||
ก็เสื่อมสร่างบางทุกข์บรรเทาใจ | พระก็กล้ำกลืนไว้ในอุรา | ||
แล้วจึ่งพจนารถสนองนุช | พระน้องเอ๋ยอย่าวิมุติกังขา | ||
สักสองสามราตรีทิวารา | จะกลับมาสมสองประคองนวล | ||
เจ้าเนื้อเหลืองเรืองศรีสุวรรณมาศ | สายสวาสดิ์พี่มิให้เจ้าโหยหวน | ||
นี่จนจิตทีจะคิดก็จนจวน | อย่าหมองนวลเลยนะเจ้าไม่เนานาน ฯ | ||
◉ ยุพยงทรงฟังสุนทรพจน์ | ดั่งศรกรดซัดแสร้งมาแผลงผลาญ | ||
พิษเพียงเพลิงไหม้บรรลัยลาญ | ให้เสียวซ่านไปสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
ยิ่งโศกศัลย์กันแสงสะอื้นอ้อน | สองกรน้อมประณตบทศรี | ||
โอ้ไฉนผ่านฟ้าไม่ปรานี | ให้เมียนี้เปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย | ||
ทั้งฝูงสัตว์เสือสิงห์ก็วิ่งพล่าน | น้องแดดาลอกสั่นมิ่งขวัญหาย | ||
ถึงโกฎิแสนแม้นอื่นไม่ชื่นกาย | เหมือนพระสายสุดที่รักของเมียเดียว | ||
พระคุณเอ๋ยเคยโอบอ้อมถนอมศรี | โอ้บัดนี้โศกแสนกระสันเสียว | ||
เมียร้องไห้โหยหนอยู่คนเดียว | พระเด็ดเดี่ยวดูได้ไม่นำพา | ||
หรือท้าวชิงชังโฉมไม่โลมเลี้ยง | เป็นคู่เคียงเรียงร่วมเสน่หา | ||
น้องขอแต่เป็นทาสบริจา | ฉลองคุณไปกว่าชีวาวาย | ||
โปรดเมียเท่านี้เป็นที่สุด | ล้ำสมุทรดินฟ้าก็เหลือหลาย | ||
เห็นว่าเมียจะไม่รอดคงวอดวาย | ขอถวายชีวาตม์บาทบงสุ์ ฯ | ||
◉ นฤบาลฟังสารยุพาพิน | ดังวารินทิพรสมาโสรจสรง | ||
ซับซาบอาบต้องละอององค์ | พระยิ่งแสนพิศวงสวาสดิ์นุช | ||
คิดคิดดั่งหนึ่งจะกลับไป | แต่เกรงใจพาชีเป็นที่สุด | ||
ให้ร้อนอกเป็นอัคนิรุทธ | ปิ้มประดุจจะม้วยลงด้วยรัก | ||
พระจึ่งตอบพระนุชเสน่หา | อนิจจาเรียมหรือจะถือศักดิ์ | ||
ภคินีก็เป็นที่บำเรอพักตร์ | ไม่ชิงชังร้างรักสวาสดิ์รส | ||
นี่ชะรอยกุศลมาดลแสร้ง | จึ่งแยกแย้งชิงช่วยให้ม้วยหมด | ||
พี่แสนห่วงที่จะห่างต้องร้างรส | เห็นปรากฏกองกรรมจึงจำเพาะ | ||
ทั้งไมตรีพี่มาดก็ขาดสิ้น | โอ้ยุพินเจ้าอย่าได้ทำใจเสาะ | ||
อย่าโศกศัลย์เลยนะเจ้าเป็นคราวเคราะห์[32] | ประจักษ์เจาะจริงแล้วพี่ขอลา | ||
เยาวมาลย์ฟังสารดาลเทวษ | ชลเนตรอาบนองนาสา | ||
ร่ำพลางทางทูลพระภัสดา | อนิจจาหรือว่าพระปรานี | ||
แสนมหาแต่พระสุริยา | จะเลื่อนลับบัพพตาคีรีศรี | ||
ยังอาลัยด้วยโลกธาตรี | มิใคร่จะรี่รถอัสดงค์ | ||
ถึงพระจันทร์วันบุญจำรุญศรี | ในราตรีจะใกล้สิ้นซึ่งแสงส่ง | ||
มิใคร่จะเลื่อนลับพระเมรุลง | แสงทรงส่องฟ้าอยู่เรืองรอง | ||
เทวบุตรจุติปฎิสนธิ์ | ยังกังวลด้วยสุรางค์นางทั้งผอง | ||
ทั้งห้องทิพย์สถานพิมานทอง | ยังเมียงมองอยู่มิใคร่จะไคลคลา | ||
อย่าว่าแต่สุริยันพระจันทร | ถึงไกรสรยังรู้สั่งคูหา | ||
มยุเรศยังรู้สั่งมยุรา | มัสยาก็ยังรู้สั่งชลธี | ||
สุวรรณหงส์ยังรู้สั่งเหมราช | มฤคมาศยังรู้สั่งไพรศรี[33] | ||
โนเรศยังรู้สั่งนางโนรี | หรือภูมีมิได้หวังมาสั่งเมีย | ||
ถ้ามาตรแม้นสุดสิ้นซึ่งความรัก | จงผันพักตร์กลับหลังมาสั่งเสีย | ||
แล้วภูธรจึงค่อยจรไปจากเมีย | อย่าให้น้องนี้เสียซึ่งน้ำใจ | ||
เสียแรงน้องบุกป่าสู้ฝ่าหนาม | จะมีความกรุณาก็หาไม่ | ||
แต่ตัดลำกัทลียังมีใย | นี้พระตัดสายใจให้จากเจียร | ||
สารพัดพระก็ตัดสลัดแล้ว | เมียขอเชิญพระแก้วมาตัดเศียร | ||
ให้สิ้นสูญชีวิตสนิทเนียร | อย่าให้เวียนวอนว่าอยู่ช้ากาล ฯ | ||
◉ พระฟังสารวรนุชสนองคำ | พิไรร่ำกำสรดน่าสงสาร | ||
พระจึงตอบสารายุพาพาล | เยาวมาลย์อย่าละห้อยน้อยฤๅทัย | ||
ใช่พี่มิรักจักแกล้งหนี | จะตัดใจไม้ตรีก็หาไม่ | ||
เมื่ออัสดรมิจรก็จนใจ | จะข้ามไปหานุชพี่สุดคิด[34] | ||
พระน้องเอ๋ยจนจิตพี่หนักหนา | อย่าโศกาแค้นขุ่นทำฉุนจิต | ||
ขอลาแล้วแก้วตายุพาพิศม์ | พี่ไม่คิดแหนงน้องอย่าหมองนวล ฯ | ||
(ฯ คำโศกสั่งในดำเนินเรื่องยุติเพียงนี้ ฯ ทีนี้เสริมความพูดเศร้าต่อไป ฯ)
◉ สินธพฟังคั่งเคืองในเรื่องเล่ห์ | เห็นรอเรเรื่องรักไม่หักหวน | ||
จึ่งทูลเทียบเปรียบสอนสุนทรทวน | ว่าเห็นควรหรือพระองค์มาหลงเมีย | ||
จะอับอายขายหน้าหนักหนาแน่ | อย่าท้อแท้ถอยรักให้หักเสีย | ||
ถ้าขืนตอบปลอบความคงลามเลีย | เฝ้าคลอเคลียครวญครางไม่ว่างวาย | ||
ทูลพลางทางโลดจะโดดกลับ | พระหวิววับวาบในพระทัยหาย | ||
สลดแลแปรพักตร์ไม่หักคลาย | ก็ฟูมฟายโศกาอุรารน | ||
สินธพดันหันหน้าจะพาร่อน | พระภูธรกล่าวตรัสให้ขัดสน | ||
อาชาเชิงเริงร่านทะยานบน | แล้วนึกจนใจจิตด้วยคิดเกรง | ||
จึ่งทูลเทียบเปรียบความไปตามเรื่อง | จงกลับเมืองเถิดหนาเนาะเห็นเหมาะเหม็ง | ||
ถ้าเชือนช้ารักเมียคงเสียเพลง | พระองค์เองก็ไม่สิ้นเขานินทา | ||
ชนนีที่ยิ่งจะทิ้งเสีย | มาหลงเมียเมียไกลไม่ไปหา | ||
ถ้าลืมแม่แน่หนอจะขอลา | แล้วอาชาเชิญองค์ให้ลงพลัน ฯ | ||
◉ พระรถฟังดั่งใครเอาไฟจี้ | พระภูมีแค้นขุ่นให้หุนหัน | ||
พิโรธเรื่องเคืองคำที่รำพัน | จึ่งมีบัญชาวอนด้วยอ่อนโยน | ||
ว่าดูราพาชีผู้มียศ | จงเงือดงดอย่าเพ่อโลดกระโดดโผน | ||
ขอผัดพักสักครู่จึ่งจู่โจน | ไม่อ่อนโอนแล้วเห็นนางคงวางวาย ฯ | ||
◉ อาชาฟังคั่งเคืองทำเยื้องหน้า | เห็นราชาร่ำพิไรก็ใจหาย | ||
นึกสงสารเยาวยอดเห็นทอดกาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย ฯ | ||
◉ ฝ่ายเอกองค์ทรงยศพระรถราช | อารมณ์หวาดหวั่นหมองไม่ผ่องใส | ||
เห็นน้องนวลครวญคร่ำเฝ้าร่ำไร | พระอ่อนใจสุดจะลาด้วยอาวรณ์ | ||
จึ่งเอื้อนโองการพร้องสนองนุช | ว่าเรียมสุดโศกในฤทัยถอน | ||
มโนมัยใจกล้าจะพาจร | เพราะกรรมก่อนเจียวหนอกรรมได้ทำมา | ||
แสนวิบากพรากสัตว์ให้พลัดคู่ | ที่เคยอยู่ร่วมรักกันหนักหนา | ||
ไปรื้อร้างห่างให้ต่างไคลคลา | จึ่งต้องมาห่างนวลที่ควรเคย | ||
กุศลหลังยังสร้างไว้บ้างน้อง | จะกลับครองเคียงนางไม่ห่างเฉย | ||
จงเห็นรักหนักแน่ไม่แปรเปรย | พระน้องเอ๋ยอย่ารำจวนเฝ้าครวญคราง | ||
ขอผัดพักสักสามทิวาแน่ | อย่าดาลแดด่วนโศกวิโยคหมาง | ||
จะให้สัตย์ปฏิญาณไว้ทานทาง | จงคลายหมางหม่นหมองเถิดน้องนวล ฯ | ||
◉ อนงค์ฟังดั่งศรมารอนจิต | ยิ่งแสนคิดโศกซ้ำแล้วกำสรวล | ||
สะอื้นอั้นตันจิตให้คิดครวญ | แทบจะซวนเซทรุดด้วยสุดตรอง | ||
จะตอบคำรำพันให้อั้นอัด | ประนมหัตถ์ทูลไทด้วยใจหมอง | ||
โอ้เห็นเมียเสียนวลไม่ควรครอง | หรือจึ่งล่องร้างร้ายไม่หมายเชย | ||
แต่แรกท้าวกล่าวไว้ว่าไม่ทิ้ง | จะรักจริงมิได้จางให้ห่างเฉย | ||
เดี๋ยวนี้รักชัดเร่ปรวนเปรเปรย | นิจาเอ๋ยโอ้ว่าเวราเรา | ||
จะทุกข์โทษโกรธใครเพราะใจจิต | ไปเชื่อชิดชื่นชมอารมณ์เขลา | ||
จึ่งได้ทุกข์ฉุกใจเพราะใจเบา | มิรู้เอาลับแฝงมาแกล้งโลม | ||
ทำปกปิดมิดไว้อยู่ในฝัก | จึงหลงรักงวยงงด้วยทรงโฉม | ||
เพราะไม่ตรองตริดูด่วนจู่โจม | จนเศร้าโทรมหรือจะสดได้หมดมัว | ||
เหมือนภูษาผ้าขาวที่พราวพริ้ง | ไม่มีสิ่งเศร้าคล้ำให้ดำหลัว | ||
เนื้อละอองผ่องใสดั่งใยบัว | ถ้าตกชั่วช้ำลึกน้ำหมึกนอง | ||
ก็เอิบอาบซาบซ้ำจะดำเศร้า | ถึงหยิบเอาซักสายไม่หายหมอง | ||
คงเสียผ้าพาดำไม่ลำยอง | เหมือนตัวน้องนี้มาหน่ายด้วยชายทิ้ง | ||
ก็เป็นม่ายร้ายผัวอยู่ตัวเปล่า | เครื่องแต่เขาเคาะยุ่งอยู่สุงสิง | ||
ขอทูลลาบรรลัยเจ็บใจจริง | พระยอดยิ่งขัตติยาอย่าอาลัย | ||
ไม่มีข้อความชั่วมามัวผิด | โอ้ทรงฤทธิ์น้อยหรือควรมาด่วนได้ | ||
แต่ตัดกล้วยหน่วยปลียังมีใย | โอ้พระทัยน้อยหรือขาดสวาสดิ์เจียว | ||
อันเกิดเช่นเป็นหญิงนี้ยิ่งชั่ว | แม้นมีผัวผัวแชไม่แลเหลียว | ||
เขาคงค่อนเคาะว่าเล่นท่าเดียว | ทั้งจะเที่ยวติฉินพูดนินทา | ||
ว่าหญิงนี้ดีร้ายจะหลายชู้ | ครั้นผัวรู้จึงได้เร่เสน่หา | ||
ให้เหินห่างร้างไกลแล้วไคลคลา | เขาค่อนว่าเยาะเยื้องก็เรื่องอาย | ||
ถ้าหญิงร้างห่างผัวเพราะผัวม้วย | บรรเทาด้วยเพราะกรรมจึงจำม่าย | ||
ไม่มีใครนินทาทั้งว่าร้าย | เพราะผัวตายจึ่งต้องอยู่แต่ผู้เดียว | ||
โอ้น้องนี้มีกรรมมาจำม่าย | ช่างซ้ำร้ายชายแชไม่แลเหลียว | ||
จะโกรธาว่าใครเพราะใจเจียว | จะกลับเอี้ยวตัวทันสิบรรลัย | ||
เหมือนมัจฉาปลาน้อยเที่ยวลอยว่าย | อยู่ตามสายวารินกระสินธุ์ไหล | ||
แล้วหลงเข้าโพงพางเขากางไว้ | ที่น้ำไหลเชี่ยวฉ่าดูน่ากลัว | ||
ฝ่ายมัจฉาปลาหลงที่งงโง่ | ก็ว่ายโร่เข้าไปนอนทำคลอนหัว | ||
ต้องติดขังหวังว่ายเห็นข่ายพัว | จะกลับตัวรี่ออกระลอกนัก | ||
ต้องว่ายวนทนทุกข์ในคุกขัง | เพราะไม่รั้งรอไว้ทำใจหนัก | ||
เหมือนน้องงงหลงลามด้วยความรัก | เดี๋ยวนี้จักกลับตัวสิมัวแล้ว | ||
มิขออยู่สู้ตายไปภายหน้า | ให้เห็นว่าใจน้องนี้ผ่องแผ้ว | ||
ไม่มีผิดคิดเชือนเพราะเคลื่อนแคล้ว | เป็นกรรมแล้วขอลาชีวาวาย | ||
แม้นอยู่ดีมีกรรมมาทำเหตุ | เหมือนราเมศร้างราสีดาหาย | ||
เพราะมียักษ์ลักนางไปห่างกาย | จึ่งจำหน่ายแหนงร้างไปห่างกัน | ||
พระรามรู้สู้ตามด้วยความรัก | ไปรบยักษ์มรณาถึงอาสัญ | ||
แล้วได้คืนสีดาวิลาวัลย์ | มาเขตคันครองคู่ได้อยู่เชย | ||
โอ้พระทัยใจจิตไม่คิดบ้าง | มาทิ้งทางรักเร่เสน่ห์เอ๋ย | ||
แม้นมีเคราะห์เพราะกรรมจะจำเลย | ถึงแชเฉยก็ยังชั่วไม่มัวมล | ||
แม้นพระไม่กรุณาเมตตาน้อง | ไม่ขอครองชีพเห็นไม่เป็นผล | ||
จะสู้กลั้นใจตายให้วายชนม์ | เป็นผู้คนอยู่ก็อายทั้งขายพักตร์ ฯ | ||
◉ พระฟังนุชสุดครวญยิ่งป่วนจิต | คะนึงคิดแสนโศกวิโยคหนัก | ||
จึ่งตรัสปลอบตอบตามด้วยความรัก | อย่าโศกนักเลยนะน้องจะหมองนวล | ||
ทำไฉนจึ่งจะให้ประจักษ์แจ้ง | ว่ารักแรงมิได้เร่อย่าเหหวน | ||
ไฉนน้องเจ้าจะวายค่อยคลายครวญ | ควรหรือนวลเจ้าช่างไม่เห็นใจจริง | ||
จะปลอบเจ้าเท่าใดมิได้เชื่อ | หรือแล่เนื้อเรียมรักษ์ไว้สักสิ่ง | ||
เป็นสัญญาว่าวางได้อ้างอิง | พี่ไม่ทิ้งดอกนะมิตรอย่าคิดแค้น | ||
ถ้าพี่ไปไม่กลับมารับขวัญ | จึ่งโศกศัลย์โศกาให้สาแสน | ||
จงดับโศกเสียเถิดนวลอย่าควรแค้น | ถ้ามาตรแม้นมิกระไรไม่ไกลน้อง | ||
เพราะห่วงด้วยมารดาจึ่งลาร้าง | ใช่แกล้งห่างเหหวนให้นวลหมอง | ||
ขอลาไปไกลพุ่มประทุมทอง | อย่าโกรธกรองกริ่งจิตเฝ้าคิดแคลง ฯ | ||
◉ พระนุชดั่งใครเอาไฟสุม | อุรารุ่มเริงร้อนเหมือนศรแผลง | ||
ชลนัยน์ไหลเผือดเป็นเลือดแดง | ให้โรยแรงร้อนใจดั่งไฟฟ้า | ||
แสนระกำจำตอบระบอบเรื่อง | ทั้งแสนเคืองแสนรักเป็นหนักหนา | ||
จะเอื้อนโอษฐ์ให้สะอื้นฝืนวิญญา | ชลนาเอ๋ยกระไรช่างไหลริน | ||
ใจเอ๋ยใจให้หักเสียสักครู่ | ยิ่งไม่รู้วายรักเบือนพักตร์ผิน | ||
ตาเอ๋ยตาอย่าให้ดูพระภูมินทร์ | เฝ้ายลยินก็ยิ่งช้ำระกำกรอง | ||
รักจักร้างห่างหายจงวายคิด | จิตเอ๋ยจิตเจียมใจอย่าได้หมอง | ||
ตาเอ๋ยตาอย่าแลจงแปรปอง | ขืนแต่ร้องไห้ร่ำจะช้ำตา | ||
ยิ่งห้ามห้ามก็ยิ่งลามละโลมไหล | ใจเอ๋ยใจใจรักเสียหนักหนา | ||
นางคร่ำครวญหวนโหยยิ่งโรยรา | แล้วโศกากลิ้งเกลือกลงเสือกกาย ฯ | ||
◉ แสนสงสารทรงยศพระรถราช | ฤทัยหวาดหวิวหวั่นไม่กลั้นหาย | ||
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | เพียงจะวายชีวาด้วยอาวรณ์ | ||
เห็นน้องนุชสุดเศร้าก็เฝ้าโศก | แสนวิโยคแล้วยิ่งให้ฤทัยถอน | ||
ระทมทุกข์ฉุกใจมิใคร่จร | อุราร้อนแรงรักให้หนักทรวง | ||
ไม่เกรงใจอาชาจะมาแนบ | ถนอมแอบอุ้มน้องประคองหวง | ||
นี่ขัดสนจนใจอาลัยดวง | โอ้พุ่มพวงทิพย์มาศต้องคลาศรัก | ||
ขอเชิญเจ้าเข้ายังในวังหลวง | อย่าโศกเศร้าเหงาง่วงให้หน่วงหนัก | ||
พี่ไม่หน่ายแหนงนวลอย่าครวญนัก | ขอลาสักสามวันจะครรไล | ||
มาครองรักภักดีไม่หนีหน่าย | จงเคลื่อนคลายโศกลงอย่าสงสัย | ||
เจ้าดวงจันทร์ขวัญตาจงคลาไคล | เข้าวังในเสียเถิดนวลอย่าครวญคราง ฯ | ||
◉ อนงค์ฟังดังจะม้วยลงด้วยรัก | ยิ่งเหลือหักหวนหายให้คลายหมาง | ||
ระทมทุ่มทรวงสลายเพียงวายวาง | สงสารนางโศกซ้ำระกำกรม | ||
จึ่งทูลว่าอย่าตรัสทำผัดผ่อน | เหมือนเพิ่มร้อนรักรุกประทุกถม | ||
ขอเชิญพระกวัดแกว่งพระแสงคม | มาตัดลมเล่ห์สวาสดิ์ให้ขาดคลาย | ||
จะประนมก้มเศียรประเนียรนั่ง | อารมณ์หวังตั้งจิตชีวิตถวาย | ||
แม้นรักเมียเหมือนที่พระภิปราย | จงผันผายตัดเกล้าให้เบาทุกข์ ฯ | ||
◉ พระสดับพจนาสาราสาร | ยิ่งร้อนร่านทรวงศรีไม่มีสุข | ||
อุรารุ่มแรงเริงเหมือนเพลิงลุก | ระทมทุกข์แทบม้วยเสียด้วยกรอม | ||
จึ่งตรัสว่าโอ้เจ้าลำเพาพักตร์ | ไม่เห็นรักรู้เชื่อเลยเนื้อหอม | ||
พี่แสนครวญป่วนในฤทัยออม | แต่กรมตรอมตรองครวญรำจวนใจ | ||
จะปลอบเจ้าเฝ้าแค้นเสียแสนสา | อนิจจาจิตปลงแต่สงสัย | ||
โอ้มีเคราะห์เพราะกรรมอยู่ร่ำไป | ทำไฉนจะประจักษ์ว่ารักจริง | ||
โอ้เจ้ายอดกัลยายุพาพี่ | จงเห็นที่รักเถิดแม่เลิศหญิง | ||
จิตจะใคร่ให้กระจ่างที่อ้างอิง | ก็สุดสิ่งซึ่งจะสรรรำพันการ | ||
กรรมเอ๋ยกรรมซ้ำร้ายไม่วายเศร้า | สุดเอาจริงแจ้งแถลงสาร | ||
ถึงจะให้ความสัตย์ปฏิญาณ | เยาวมาลย์เจ้าก็ไม่เห็นใจจง | ||
โอ้เจ้ามิ่งเยาวมิตรดวงจิตพี่ | ไม่พอที่เลยจะครวญนวลระหง | ||
พี่แจ้งจริงอยู่ว่ารักประจักษ์ตรง | ควรหรือปลงใจแคลงระแวงวอน ฯ | ||
◉ นฤมลเยาวมาลย์ฟังสารถ้อย | ให้เศร้าสร้อยแทรกซมระทมถอน | ||
ทั้งรักแสนแค้นสุดยิ่งรุทธ์ร้อน | นางก็ค่อนทรวงซ้ำเฝ้าร่ำไร | ||
โอ้พระยอดธิบดินทร์นรินทร์ราช | จะตัดขาดรักละหรือไฉน | ||
โอ้โอ๋เคราะห์เพราะกรรมได้ทำไว้ | เห็นจะไม่เหมือนหมายคงวายชนม์ | ||
ทุกข์ของใครในโลกที่โศกเศร้า | ไม่เหมือนเราทุกข์คะนึงสักกึ่งหน | ||
แต่ขัดขืนฝืนหน้าอตส่าห์ทน | ก็สุดจนใจจริงต้องนิ่งตาย | ||
เห็นมิได้คืนครองสนองรัก | ถ้าท้าวจักผูกพันจงผันผาย | ||
หรือทรงฤทธิ์คิดขาดสวาสดิ์คลาย | ขอถวายชีวันจงบั่นรอน | ||
เหมือนท้าวได้กรุณาเมตตาช่วย | ให้มอดม้วยชีวังถึงสังขร | ||
จะได้สิ้นโศกสิ่งที่วิงวอน | พระภูธรธิบดีจงปรีดา | ||
แม้นท้าวไม่โปรดปรานประหารเสีย | จะคลอเคลียครวญรักอยู่หนักหนา | ||
เมียประนอมยอมม้วยจงช่วยมา | ตัดเกศาเสียให้สิ้นราคินครวญ ฯ | ||
◉ พระทรงฟังดังมัจจุราชฤทธิ์ | มาผลาญในใจจิตให้ปลิดหวน | ||
ยิ่งโศกแสนสุดกลั้นก็รัญจวน | จึงตอบนวลว่าไฉนนิใจนุช | ||
จะให้พี่นี้ประหารแล้วผลาญจิต | วานอย่าคิดเลยนะนวลพี่ครวญสุด | ||
หรือจะผลาญกัลยาด้วยอาวุธ | ขอเชิญนุชนิ่มน้องอย่าหมองใจ | ||
โอ้ไม่เห็นเห็นรักที่หนักหนอ | จะเกิดก่อทุกข์กรองไม่ผ่องใส | ||
โอ้เวรกรรมทำสร้างแต่ปางใด | เจ้าจึงไม่เห็นรักประจักษ์เจือ | ||
พี่จนจิตที่จะคิดสนิทแนบ | หมายจะแอบอรทัยจนใจเหลือ | ||
ด้วยอาชาชาญชัยเขาไม่เมื้อ | เจ้านิ่มเนื้อเย็นจิตอย่าคิดแคลง ฯ | ||
◉ สินธพฟังคั่งเคืองในเรื่องกล่าว | ว่าโอ้ท้าวหลงใหลมิได้แหนง | ||
จึ่งทูลทวนถ้วนถี่ค่อยชี้แจง | ให้จะแจ้งข้อความที่งามครัน | ||
ว่าพระลืมชนนีที่พำนัก | มาหลงรักเมียเมินไม่เหินหัน | ||
นี่เห็นดีแล้วหรือองค์พระทรงธรรม์ | ไม่เชื่อกันแล้วก็ตามไม่ห้ามเลย | ||
ควรหรือจอมจักรพงศ์มาหลงเล่ห์ | จะปรวนเปรแปรได้พระทัยเอ๋ย | ||
เสียแรงเรืองฤทธิรงค์มาหลงเชย | โอ้มิเคยพบเห็นเหมือนเช่นนี้ | ||
น้อยหรือลืมมารดานิจจาจิต | ช่างควรคิดรักหมายไม่หน่ายหนี | ||
ทูลพลางทางเผ่นขึ้นเมฆี | แล้วพารี่เหาะร่อนไม่หย่อนยั้ง | ||
แสนสงสารทรงยศพระรถราช | พระทัยหวาดหวั่นเสียวแล้วเหลียวหลัง | ||
ยิ่งเคืองแค้นอาชาไม่รารั้ง | ยิ่งหวาดหวังตั้งจิตคิดคะนึง | ||
สินธพรีบถีบถาไม่ราหวน | พระแสนป่วนแดดิ้นถวิลถึง[35] | ||
ม้าเร่งพระร้อนอารมณ์รึง | ด้วยสองพึ่งพลัดพรากไปจากกัน | ||
ต่างใจต่อใจมิตรจิต | สองปลิดสองเปล่าสองกระสัน | ||
สองปิ้มปางม้วยชีวีวัน | พระโศกศัลย์มาตามอรัญวา | ||
โอ้สงสารสังเวชพระวรนุช | แทบจะสุดสิ้นชีวังสังขา | ||
พระทัยไหวว้าเหว่อยู่เอ้กา | ตั้งตาแลดูพระภูมี | ||
แลเหลียวเลื่อนลอยไปลับลิบ | ดั่งใครหยิบดวงใจไปจากที่ | ||
เอนองค์ลงเหนือพื้นปฐพี | ก็สัญญีภาวะนิ่งอยู่ริมชล | ||
ฝ่ายว่าพระรถนฤเบศ | เสด็จไปในประเทศเวหน | ||
แสนคะนึงถึงนาฏนฤมล | ภูวดลโศกสรวลรัญจวนใจ | ||
สองกรข้อนทรวงพิลาปหา | โอ้อกเอ๋ยอนิจจาเป็นไฉน | ||
ยามรักหรือมาร้างให้ห่างไกล | เวรใดนี่หนอมาก่อกวน | ||
จึ่งเกิดเข็ญเช่นนี้นะอกเอ๋ย | ไม่เห็นเลยว่าจะร้างห่างสงวน | ||
แสนละห้อยน้อยจิตคิดรำจวน | แต่โหยหวนคิดคะนึงรำพึงตรอม | ||
เสียดายดวงพวงผกามณฑาสวรรค์ | ยังมิทันที่จะวายมาหายหอม | ||
รสระรื่นเคยชื่นอารมณ์ออม | เคยถนอมกล่อมดวงสุดามาลย์ | ||
เคยสมบรมสุขสำราญรื่น | เคยชวนชื่นเชยชมภิรมย์ศานต์ | ||
เคยมีมธุรสพจมาน | เคยประสานสุรเสียงสำเนียงกัน | ||
เคยย่องเข้ายียวนชวนสนิท | เคยชมชิดเชยโฉมประโลมขวัญ | ||
เคยสรวลโสมนัสเป็นนิรันดร์ | เคยผินผันพักตร์แย้มให้ยินดี | ||
เคยชม้ายชายเนตรชำเลืองคม | เคยสรวลสมสโมสรชะอ้อนพี่ | ||
เจ้าเคยสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | พี่มีมโนเสน่ห์น้อง | ||
ยามเคืองเคยเข้าประคองอิง | ยามนิ่งเคยนำคำสนอง | ||
ยามหยอกเย้ายิ้มพริ้มประคอง | เคยแนบน้องเป็นสุขทุกราตรี | ||
เสียดายหนักลัคนาก็น่ารัก | เสียดายพักตราน้องผ่องฉวี | ||
เสียดายเกศกุสุเมศสุมาลี | เสียดายศรีเหลืองสะอาดประหลาดตา | ||
เสียดายขนงก่งกันดั่งคันศิลป์ | เสียดายเนตรดั่งนิลวัตถา | ||
เสียดายปรางเปล่งปลื้มในอุรา | เสียดายดวงนาสาพะงางอน | ||
เสียดายโอษฐ์เอี่ยมสะอาดดั่งชาดแต้ม[36] | เสียดายแย้มเมื่อพี่เย้ายวนสมร | ||
เสียดายศอสมทรงดั่งหงส์จร | เสียดายกรงอนงวงเอราวัณ | ||
เสียดายพุ่มโกมุทประมาณชื่น | ช่างรินรื่นมิได้รามณฑาสวรรค์ | ||
สมศักดิ์ลัคนาสารพัน | เสียดายฝูงกำนัลคณานาง[37] | ||
โอ้ป่านฉะนี้จะคิดถวิล | ยุพาพินก็จะค่อนอุราหมาง | ||
จะคร่ำครวญหวนเห็นไม่เว้นวาง | จะอ้างว้างว้าเหว่เหมือนอกเรา | ||
พระคุณเอ๋ยเทพเจ้าอมรเมศ | ในขอบเขตดงดอนชะง่อนเขา | ||
ในเถื่อนถ้ำท่าน้ำทุกลำเนา | เทพเจ้าจงโปรดได้นำพา | ||
ช่วยดลใจให้เจ้าดวงสมร | คืนหลังยังนครเป็นสุขา | ||
ข้าน้อยจึ่งจะค่อยกลับคืนมา | เสน่หามิได้วายทิวาเลย | ||
เสียดายดวงพวงแก้วผกาทิพย์ | จะแลลิบลับแล้วนะอกเอ๋ย | ||
ถ้าแม้นอยู่จะได้ชูประคองเชย | เมื่อไรเลยจะกลับหลังยังสุดา | ||
โอ้ศรีเสาวภาคย์จำเริญขวัญ | จะหวาดหวั่นว้าเหว่เสน่หา | ||
หญิงชายทั้งหลายบรรดามา | เขาก็คืนนคราไปเมืองตน | ||
โอ้สงสารด้วยสายสวาสดิ์แม่ | จะดาลแดกลิ้งเกลือกอยู่เสือกสน | ||
ไม่ยลเรียมเจ้าจะเยี่ยมอยู่ริมชล | จะระกำพร่ำบ่นอยู่คนเดียว | ||
จะโศกศัลย์รัญจวนหวนละห้อย | กำสรดสร้อยเศร้าโศกกระสันเสียว | ||
เจ็บจิตจำจากสุดาเดียว | ดั่งเพลิงเจียวอกช้ำระกำใจ | ||
พระเหลือบแลกระแสชลาสินธุ์ | แสนถวิลเทวศมาในป่าใหญ่ | ||
แลเห็นกฎีพระชีไพร | ก็ประจักษ์จำได้เป็นแน่นอน | ||
จำเราจะเข้าบังคมคัล | คุณท่านนั้นใหญ่ล้ำกว่าสิงขร | ||
ยิ่งดินยิ่งฟ้าแลสาคร | ท่านช่วยร้อนจึ่งไม่ม้วยชีวาลัย | ||
จำเราจะเข้านมัสการ | ทูลข่าวสารให้แจ้งแถลงไข | ||
ลงจากอาชาแล้วคลาไคล | ตรงเข้าไปประณตบทมาลย์ ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระมุนีผู้ทรงพรต | เห็นพระรถปรีดิ์เปรมกระเษมศานต์ | ||
มีมโนภิรมย์เบิกบาน | จึ่งปราศรัยกุมารไปทันใด | ||
ดูกรเจ้าลำเภาพงศ์กระษัตริย์ | ได้แค้นขัดขุ่นเข็ญเป็นไฉน | ||
หรือได้ดั่งสั่งสารอักษรไป | รูปเอาใจช่วยกระษัตริย์สวัสดี | ||
พระกุมารฟังสารตอบสนอง | ข้าน้อยปองว่ามิได้มาบทศรี | ||
แทบจะม้วยด้วยมารมันราวี | นี่หากคุณมุนนีจำเริญพร | ||
พอเมรีแจ้งคดีในสารทรง | จำนงจงเสกสองครองสมร | ||
ได้เสร็จสมภิรมย์สว่างร้อน | แล้วยอกย้อนถามถึงของที่ต้องใจ | ||
จึงได้สมอารมณ์ที่ความคิด | เพราะพระองค์ลิขิตแปลงสารให้ | ||
ได้สมเสร็จประสงค์จำนงใน | ทั้งผลไม้มะม่วงหาวมะนาวมา[38] | ||
พอได้ทีราตรีปัจจุสมัย | ก็ลักได้กำพตโอสถา | ||
ฝูงนิกรหลับสนิทนิทรา | ดั่งว่าถูกยาวิเศษมนตร์ | ||
จึ่งหนีนางจากปรางค์สำอางสะอาด | กับพระยาภัยราชระเห็จหน | ||
พอเช้าตรู่เห็นหมู่กุมภัณฑ์พล | ทำคำรนตามทันกระชั้นชิด | ||
หลานทิ้งยาสิทธิศักดิ์ประจักษ์เนตร | บันดาลเป็นสาคเรศโดยประสิทธิ์ | ||
อันมหานทีนั้นมีฤทธิ์ | ดั่งว่าแสร้งนฤมิตประสิทธิ์จริง | ||
อสูรมาถึงฝั่งยั้งชะงัก | อยู่พร้อมพรักไพร่นายทั้งชายหญิง | ||
นางเมรีศรีสมรนั้นวอนวิง | หลานก็ทิ้งตัดรักหักใจมา | ||
เพราะพระเกศปกเดชได้เย็นสนอง | แคล่วคล่องเป็นบรมสุขา | ||
ไม่มีภัยในกลางมรรคา | จงทราบใต้บาทาพระทรงชัย | ||
พระฤๅษีได้ฟังนั่งหัวร่อ | ดีแล้วพ่อปรีชาจะหาไหน | ||
อันมิ่งเมียจะพะวงเฝ้าหลงไย | จงตั้งใจแทนคุณพระชนนี | ||
ปานฉะนี้จะคอยหาน้อยไม่ | จงเร่งไปอย่าได้รอเลยโฉมศรี | ||
ฆ่าอีมารผลาญให้วายชีวี | ตาอยู่นี่อวยชัยไปทุกวัน | ||
ถ้าขัดขวางอย่างไรไปเบื้องหน้า | มาหาตาเถิดจะช่วยนะหลานขวัญ | ||
พ่อจงไปให้เป็นสุขอยู่ทุกวัน | อีมารนั้นพ่ายแพ้แก่หลานรัก ฯ | ||
◉ พระยอกรรับพรพระนักสิทธิ์ | พระทรงฤทธิ์กราบบาทพระทรงศักดิ์ | ||
แล้วลงจากอาศรมที่สำนักนิ์ | พระหัตถ์กวักอัสดรรีบเดินมา | ||
ก็เผ่นขึ้นบนหลังอัศวเรศ | พาประเวศเหาะเหินขึ้นเวหา | ||
เผ่นผยองล่องลิ่วปลิวฟ้า | บนนภาคว้างคว้างกลางอัมพร | ||
สุริยะแรงร้อนระงมอบ | ชักสินธพลงเดินเนินสิงขร | ||
หายระหวยลมช่วยด้วยแรงร้อน | ศศิธรลับเขามีเงาบัง | ||
ทัศนาป่าไม้ที่ชายเขา | สูงเสลาสลับกอหน่อสะพรั่ง | ||
ที่สูงเยี่ยมเทียมทัดขนัดรัง | ที่งอกตั้งอยู่ประจำเกาะชมพู | ||
ระยะเขาเหล่าหลั่นชั้นขนัด | สูงชะง้ำต่ำถัดเป็นหมู่หมู่ | ||
ที่ใหญ่สูงเคียงคั่นนั้นน่าดู | ที่ต้นคู่ต่ำเตี้ยเรี่ยเรี่ยดิน | ||
ศิลาสลับซับซ้อนชะง่อนงอก | ที่ซึ้งซอกสิ่งศรีมีกระสินธุ์ | ||
ที่ซึมแทรกแตกกระจายสายวาริน | ทะลุศิลลาไหลลงในธาร | ||
ที่หินห้อยย้อยเด่นนั้นเย็นใส | คล่ำวิไลคูหาที่หน้าฉาน | ||
ขจิตสีเขียวขจีดั่งนิลกาฬ | ดูปูนปานมรกตที่งดงาม | ||
ที่ลางแห่งวุ้งแวงมีแสงแก้ว | ปรากฏแววแดงดีสีอร่าม | ||
ที่สีเหลืองเรืองแฉล้มดูแพลมพลาม | บ้างแวมวามวับวับระยับตา | ||
ที่ไม้ใหญ่ในเซิงเชิงบรรพต | สูงจรดจอมไศลมีใบหนา | ||
ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นพระสุธา | มีสาขาทรงผลระคนใบ | ||
บ้างสุกสดปลดหล่นปนสุกหลาย | ทั้งโคควายมฤคินกินไม่ไหว | ||
บังสาขาลูกมะขวิดขจิตใบ | กลิ่นดอกไม้แม้นกลิ่นเจ้าเมรี | ||
แสนรำจวนหวนคะนึงถึงเมียรัก | วรพักตร์เศร้าหมองไม่ผ่องศรี | ||
พอเหลือบปะนางสกุณกินรี | สำคัญว่ามารศรีเจ้าตามมา | ||
ให้คลับคล้ายคลับคลายุพาพักตร์ | ลำลำจะร้องทักนางปักษา | ||
แล้วเสด็จเดินตามนางงามมา | กินราย่างเยื้องชำเลืองไป | ||
อนิจจาเจ้าหรือมาถือโทษ | จะขึ้งโกรธพี่ร่ำไปถึงไหน | ||
แล้วยื่นหัตถ์รับขวัญไปทันใด | กินรีตกใจก็บินจร | ||
สะดุ้งใจรู้ว่าใช่สมรมิ่ง | อนาถนิ่งเสียใจฤๅทัยถอน | ||
ให้เจ็บจิตคิดระคางนางกินนร | พระภูธรขวยเขินสะเทิ้นใจ | ||
แล้วทรงอัสดรเดินลงเนินผา | ทัศนาผลพรรณพฤกษาใส | ||
ละแวกธารละหานน้ำลำเนาใน | บ้างเย็นใสไหลเชี่ยวเขียวดังนิล | ||
จตุบาทเริงร่าถลาโลด | เสียงอุโฆษขู่ขานในฐานถิ่น | ||
สิงหรากาสรในดอนดิน | พยัคฆินครึมครางช้างตกมัน | ||
สุกรดงแถกพงอยู่แฝงเฝือ | เห็นเสือเสือเห็นสุกรผัน | ||
สู้เสือเงื้อเขี้ยวแล้วขบฟัน | ต่างประจันเข้าชิดไม่คิดกลัว | ||
หมูแถกเสือโจมเอาจมเล็บ | หมูเจ็บเสือใหญ่ก็ไส้รั่ว | ||
บ้าเลือดลำพองทั้งสองตัว | ทำยกหัวกรีดหูจะสู้กัน | ||
คชสีห์ผาดผังกำลังหาญ | ก็โจมจับคชสารอันแข็งขัน | ||
ชาติพลายกล้างาบ้าน้ำมัน | คชประจญเข้าประจันกันกลางแปลง | ||
ไม่รอรางาประกันฉะฉาด | สองตัวอาจเริงร่าด้วยกล้าแข็ง | ||
คชสารเงื้อง้างช้างก็แทง | ต่างก็แรงรู้ฤทธิ์ระอากัน | ||
พระดูเพลินทางตำเนินอัศวราช | เที่ยวประพาสชมไม้ในไพรสัณฑ์ | ||
ทิชากรร่อนร้องก้องอรัญ | เบญจวรรณสัตวาพากันบิน | ||
แขกเต้าเคล้าสาลิกาจับ | ที่กิ่งพลับพลอดแจ้วแล้วโผผิน | ||
มยุราแผ่หางที่กลางดิน | มยุรินบินตามมยุรา | ||
พระยลยูงสะดุ้งแดอาดูรถวิล | ถึงยุพินเยาวยอดเสน่หา | ||
แต่โมรีมีคู่ภิรมยา | ตามภาษาเป็นสัตว์ไม่พลัดกัน | ||
แต่อกเรียมมานิราศสมรมิตร | ดั่งได้ปลิดใจไปให้กระสัน | ||
เสียดายเอ๋ยจากเชยมาหลายวัน | เมื่อไรนั้นจะไปชมได้สมปอง | ||
แสนร่ำสรรพขับม้าลินลาเลียบ | ตามระเบียบพนาสณฑ์ให้หม่นหมอง | ||
เห็นดอกไม้ตกรายอยู่ก่ายกอง | หอมล่องกลิ่นนวลให้ชวนใจ | ||
พวงพะยอมหอมแฉล้มเหมือนแย้มยิ้ม | แถวทับทิมช่อชูดูไสว | ||
กลิ่นแก้วกรรณิการ์สุมาลัย | บังใบบานตระพุ่มในสุมพง | ||
สาวหยุดพุดปนจำปาป่า | อินทนิลจันคณามหาหงส์ | ||
สลิดสักมะกล่ำสดำดง | กลิ่นส่งหอมซาบนาสามา | ||
รสรื่นดุจผืนสไบน้อง | ยามประคองเคียงแก้วกนิษฐา | ||
ยิ่งคิดไปแสนอาลัยเหลืออุรา | ประหนึ่งว่าชีวาจะวายปราณ | ||
ก็ฝ่าฝืนขืนขับอัศวราช | ม้าฉลาดรู้เชิงก็เริงหาญ | ||
ควบแข็งแรงเร็วดั่งลมกาล | เผ่นทะยานลำพองขึ้นล่องลม | ||
ตะวันเย็นสนธยาฟ้าแดง | สุริยายอแสงมีเงาร่ม | ||
จันทร์แจ่มกระจ่างฟ้าดูน่าชม | ดาวระดมดาษแดงแจ้งอัมพร | ||
อาชาพาองค์พระทรงโฉม | เผ่นโพยมรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
ถึงแว่นแคว้นไตรจักรพระนคร | อัสดรเหาะตรงอุมงค์มา ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระชนนีบิตุเรศ | แสนเทวศทุกข์โทมนัสสา | ||
ยุพาพินทรงสุบินในเวลา | ฝันว่าราหูจู่จับจันทร์ | ||
แล้วขยายคลายกลืนคืนกลับ | แสงระยับส่องฟ้าพนาสัณฑ์ | ||
ดูดวงแขแลกระจ่างสว่างครัน | ก็ตกลงยังสุวรรณกรุงไกร | ||
ผวาตื่นฟื้นตกประหม่าฝัน | อัศจรรย์ดีร้ายจะฝ่ายไหน | ||
หรือว่าบุตรสุดสวาทของเราไซร้ | จะมีเหตุฉันใดไปช้านาน ฯ | ||
◉ ฝ่ายองค์พระรถนฤเบศร์ | เสด็จถึงนคเรศนิเวศสถาน | ||
ก็ลงจากมิ่งม้าอาชาชาญ | พระกุมารมายังพระมารดา | ||
จึ่งค่อยเคาะใบดานทวาเรศ | ให้ทราบเหตุหลานมาแล้วพระแม่ป้า | ||
พิไรร่ำซ้ำเรียกเป็นหลายครา | จนสุริยาพวยพุ่งขึ้นรุ่งราง | ||
สิบสองนางต่างตรับสดับเรียก | แน่สำเหนียกฟังสนัดไม่ขัดขวาง | ||
ยังกริ่งเกรงแอบอยู่ดูท่าทาง | แจ้งกระจ่างลูกรักแม่มั่นคง | ||
ก็ชักกลอนถอนสลักออกทันใด | เปิดบานทวารได้ดั่งประสงค์ | ||
เหลือบไปเห็นโอรสยศยง | เข้าส้วมสอดกอดองค์พระลูกรัก | ||
พระรถตอบกับบาทพระชนนี | ทั้งสองแสนเปรมปรีดิ์ยินดีหนัก | ||
พระกุมารว่าบันดาลด้วยบุญชัก | หาไม่จักเป็นเหยื่ออสุรี | ||
สิบเอ็ดนางต่างลุกขึ้นเก้กัง | หันหน้าหันหลังอยู่อึงมี่ | ||
งุ่มง่ามตามกันแล้วจรลี | เรียกหลานอึงมี่ออกวุ่นไป | ||
เอามือคลำเที่ยวคว้าหาพระหลาน | พบพานจูบพลางทางปราศรัย | ||
แต่ป้าคอยน้อยไปหรือพ่อสายใจ | ทั้งแม่ป้าลูบไล้ประไพพักตร์ | ||
พลางกล่าววาทียุบลถาม | พ่อโฉมงามจงแถลงให้แจ้งประจักษ์ | ||
ไม่ขัดขวางอย่างไรหรือลูกรัก | พระภูบาลฟังซักประจักษ์การ | ||
จึงแจ้งความเดิมไปให้ประสบ | โดยคำรพแรกพบฤๅษีสาร | ||
พระนักสิทธิ์คิดชอบประกอบการ | จึ่งปลอดพ้นมือมารมาพารา | ||
ได้สมสู่คู่นางในปรางค์มาศ | เหมือนประสงค์จงสวาสดิ์ปรารถนา | ||
ได้ทั้งโอสถใส่นัยนา | ทั้งมะนาวเจรจาอันเกรียงไกร | ||
ว่าแล้วแก้ห่อพระโอสถ | กระสายรดเทลงประจงใส่ | ||
เอาประเนตรแนบชิดสนิทไว้ | ยาละลายทาในดวงเนตรพลัน | ||
แล้วสอดใส่นัยนาให้ป้าแม่ | ก็ได้แลเห็นสว่างต่างสรวลสันต์ | ||
แล้วอวยพรพระกุมารปรีชาญครัน | สารพันพูนพิพัฒน์สวัสดี | ||
แล้วจึ่งกล่าวสุนทรด้วยวาจา | อันอัมพากับมะนาววิเศษศรี | ||
พระพ่อใช้ให้เอามายังธานี | จะแจ้งดีหรือไม่พระลูกรัก | ||
พระรถฟังวาจามารดาถาม | ก็ทูลความเล่าแถลงประจักษ์ | ||
อันมะนาวหาวโห่นั้นลูกรัก | ซ่อนยักษ์ห่อผ้ามาได้แล้ว | ||
จะได้ไปถวายพระทรงชัย | ด้วยแจ่มใสโสมนัสผ่องแผ้ว | ||
กราบลามารดาแล้วคลาศแคล้ว | พระขรรค์แก้วกำพตก็ถือมา | ||
ครั้นถึงเสด็จยังพระโรงรัตน์ | พร้อมขนัดขุนนางฝ่ายข้างหน้า | ||
เกียรติศัพท์ปรากฏพระรถมา | ก็ทราบถึงราชากับนางมาร | ||
จอมกระษัตริย์ออกนั่งบัลลังก์อาสน์ | ตรัสประภาษถามบุตรสุดสงสาร | ||
เออไหนเจ้าไปเป็นช้านาน | ยังได้การหรือของที่ต้องใจ | ||
พระรถฟังบังคมบรมนาถ | จึ่งทูลบิตุราชอันเป็นใหญ่ | ||
ว่าลูกยาอาสาพระภูวไนย | ไปกรุงไกรทานตะวันนั้นได้การ | ||
จึงถวายม่วงหาวมะนาวโห่ | อันภิญโญยิ่งผลถกลหวาน | ||
พระรับพวงมะม่วงหาวให้เบิกบาน | เกษมศานต์นึกว่าสมเจตนา ฯ | ||
◉ ฝ่ายสุนนทามารมเหสี | ไปแอบดูรู้คดีก็ยื่นหน้า | ||
เห็นมะม่วงกับมะนาวเขาได้มา | อสุราร้อนใจดั่งไฟกาล | ||
เอะครั้งนี้เสียทีไฉนเล่า | อสูรเฝ้ารักษาล้วนกล้าหาญ | ||
มันจะลวงหรือจะลักไปหักราน | หรือหมู่มารให้มาด้วยเสียกล | ||
แต่นี้ไปธานีบูรีกู | จะอดสูสูญเห็นไม่เป็นผล | ||
จะล้มจมเป็นทำเลชเลวน | เพราะไอ้คนคนนี้แน่ทีเดียว | ||
จะละมันช้าไว้ได้อายด้วย | ฆ่าให้ม้วยทั้งพ่อไม่พอเขี้ยว | ||
บันดาลโกรธกลายเพศบัดเดี๋ยวเดียว | แยกเขี้ยวรูปยักษ์ประจักษ์ตา | ||
อ่านพระเวทเดชได้กระบองถือ | สองมือเบี่ยงซ้ายแล้วป่ายขวา | ||
ทั้งสูงใหญ่ทะลึ่งโลดโดดออกมา | หวังจะฆ่าพระรถให้ปลดปลง | ||
จอมกษัตรตกใจไม่รู้สึก | ไม่นึกว่าสุนนทาเป็นบ้าหลง | ||
คิดห่วงเมียอยู่ข้างในใจพะวง | มาแอบองค์ยืนบังหลังพระรถ | ||
เหล่าเสนาตกใจเห็นยักษ์ร้าย | กลัวตายหลบลี้หนีไปหมด | ||
ยังแต่หน่อสุริย์วงศ์องค์พระรถ | ทรงกำพตกั้นกางนางสุนนท์ | ||
อสูรโถมโจมจับพระรับรบ | ล่อหลบพัลวันกันสับสน | ||
อสูรฝาดด้วยตระบองก้องมณฑล | ไม่ย่อย่นรับรองก้องพระโรง | ||
พระทิ้งทอดยาทิพย์โอสถ | เป็นไฟกรดประลัยกัลป์ควันโขมง | ||
อสุรีหนีออกนอกพระโรง | เพลิงโพลงติดตัวไปทั่วกาย | ||
สุทามารอ่านจินดามหาเวท | ศักดาเดชดับไฟให้สูญหาย | ||
แล้วเหาะหันผันผังกำบังกาย | ยักษ์ร้ายรีบออกนอกบูรี | ||
พระเหลียวมาแลไปไม่เห็นยักษ์ | พระหัตถ์กวักเรียกม้ามาเร็วรี่ | ||
เผ่นขึ้นหลังอาชาไม่ช้าที | เหาะรี่รีบรัดตัดมาทัน | ||
อีมารร้ายโกรธาด่าสินธพ | ชาติไอ้ม้าหัวประจบตัวขยัน | ||
ทำจองหองพองขนก็ครามครัน | กูจะฆ่าชีวันให้บรรลัย | ||
อาชาฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | กำลังโกรธโกรธาไม่ปราศรัย | ||
จึงกล่าวความตามยุบลเป็นกลใน | อันเอ็งไซร้มิได้รู้ข้างหลังเลย | ||
มึงหมายใจนายกับกูเป็นภักษา | กูกลับพานายไปเป็นลูกเขย | ||
นายกับกูรู้หรือไม่ได้เชลย | ยังงมเงยซมเซอะพูดเลอะละ | ||
อันสาราที่มึงว่าไปถึงวัน | ให้กุมภัณฑ์กินให้สิ้นอย่าปล่อยปละ | ||
ได้ครอบครองธิดาเสียอีกวะ | มึงเงอะงะแพ้กลมารยา | ||
สุนนทาได้ฟังอัศวราช | เฉลียวจิตคิดประหลาดเป็นหนักหนา | ||
จึงอ่านเวทมนตร์มหาจินดา | เรียกองค์พระพายมาด้วยทันใด | ||
จึ่งกล่าวรสพจนาวาทีถาม | ที่ข้อความยังจะจริงหรือไฉน | ||
องค์พระพายเล่ายุบลแต่ต้นไป | ก็แจ้งใจเสร็จสิ้นทุกประการ | ||
สุนนทาเสียอารมณ์แทบลมจับ | ให้วาบวับหฤทัยดังไฟผลาญ | ||
ไม่สมคิดผิดสนัดเสียนงคราญ | เพราะคิดการนั้นไม่สมทุกสิ่งไป | ||
เสียแรงเรืองจินดามหาเวท | ถึงพรหมเมศจตุรพักตร์ไม่หักได้ | ||
มาเสียรู้เพราะมันแก้กลภายใน | มโนมัยมันจึงว่าทั้งท้าทาย | ||
จะได้ความอัปยศอดสู | หมู่มารมันจะเย้ยสิ้นทั้งหลาย | ||
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | แสนเสียดายลูกรักเจ้าเมรี | ||
แล้วข่มขืนกลืนกลั้นกันแสงเทวศ | สำแดงเดชกายาของยักษี | ||
สูงเยี่ยมเทียมเมรุคีรี | ถือตรีตระบองแก้วสุริย์กาล | ||
ถาโถมโจมทยานด้วยสิงหนาท | ร้องประภาษว่าเหม่ไอ้เดรฉาน | ||
กูจะฆ่าเสียให้ตายวายปราณ | ว่าแล้วนางมารเข้าโจมตี ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระหน่อสุริยวงศ์ทรงสวัสดิ์ | ทรงกัณฐัศอยู่บนยอดคีรีศรี | ||
เห็นนางมารถาโถมเข้าราวี | พระภูมีจึ่งมีซึ่งสุนทร | ||
ว่าดูราอสุรีมีพยศ | ช่างคิดคดลวงพระพ่อแล้วล้อหลอน | ||
ให้ควานควักนัยนาพระมารดร | แกล้งชะอ้อนทำเจ็บเป็นเหน็บชา | ||
แม้นได้กินมะม่วงหาวมะนาวโห่ | จะภิญโญหายได้ดั่งปรารถนา | ||
ครั้นเราได้มะม่วงหาวมะนาวมา | เหตุใดโกรธาเป็นฟุนไฟ | ||
ซึ่งแต่งสารให้สังหารเรานั้นแน่ | เรารู้แท้จึงได้รอดกลับมาได้ | ||
เรามิได้ถือโทษถือโกรธใจ | ด้วยเห็นกับอรทัยเจ้าเมรี | ||
จงกลับไปบูรีที่สถิต | อย่าควรคิดขุ่นข้องหม่นหมองศรี | ||
จงแจ้งกับนงเยาว์เจ้าเมรี | ตามวาทีเราแจ้งทุกประการ | ||
นางสุนนทามารฟังพระรถ | ดั่งจักรกรดตัดเศียรให้สังขาร | ||
โกรธาตาแดงแสงเพลิงกัลป์ | นางมารจู่โจมเข้าโรมรัน | ||
เข้าน้าวเศียรกัณฐัศว์อัสดร | พระภูธรฟันฟาดด้วยพระขรรค์ | ||
สุทามารรับรองคอยป้องกัน | พัลวันหนีไล่กันไปมา | ||
อสุรีมีกำลังจะโลดโผน | เข้าจู่โจนหมายมาตรพิฆาตฆ่า | ||
อัศวราชฉลาดโลดกระโดดมา | สุนนทากั้นกางขวางหน้าไว้ | ||
พระจึ่งชักกำพตยศยง | หมายปลงชีพมารให้ตักษัย | ||
น้าวเหนี่ยวเรี่ยวแรงด้วยทันใด | ขึ้นสายแผลงไปในทันที | ||
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสะท้านปานพรหมาศ | เสียงฟ้าฟาดหรือจะดังเท่าศรศรี | ||
เสมอเหมือนศรนารายณ์อันฤทธี | ฤทธิ์กำพตนี้ก็ลือชา[39] | ||
ลูกศรร่อนไปในอากาศ | สำแดงสิงหนาทสหัสสา | ||
ปักทรวงดวงแดสุนนทา | ล้มดิ้นสิ้นชีวาวายปราณ ฯ | ||
◉ ปางพระรถสุริย์วงศ์ทรงศักดิ์ | ฆ่าอียักษ์สิ้นชีวังสังขาร | ||
พระชักชวนมโนมัยอันชัยชาญ | เหาะทะยานกลับหลังยังวังเวียง | ||
ลงจากมโนมัยไคลคลา | ยังพระโรงรัตนาหน้าเฉลียง | ||
สมเด็จพระบิดามานั่งเคียง | กล่าวเกลี้ยงปลอบประโลมพระลูกรัก | ||
พระลูกเอ๋ยเกิดมาไม่เคยเห็น | มาเกิดเข็ญอกพ่อเพียงจะหัก | ||
มาประสบพบพานอีมารยักษ์ | มันจะหักคอฟัดไปกัดกิน | ||
มันส้อมแปลงแสร้งทำกลมารยา | เป็นมนุษย์เข้ามาในฐานถิ่น | ||
พ่อหลงรักหลงกลคนทมิฬ | มาอยู่กินรักใคร่ไว้วางใจ | ||
เจ้าได้ช่วยป้องกันบิดาด้วย | ชีวิตพ่อจึงไม่ม้วยตักษัย | ||
บัดนี้มันหนีไปแห่งใด | บอกพ่อไปให้แจ้งซึ่งกิจจา | ||
พระรถฟังวาจาบิดาถาม | ชักทำเนียบเปรียบความไม่กังขา | ||
เหมือนกุมภัณฑ์ที่มันแกล้งปลอมแปลงมา | ให้สีดาเขียนรูปทศกัณฐ์ | ||
จนพระรามคลั่งไคล้ใหลหลง | สั่งให้ลงอาชญาสีดานั่น | ||
ให้พระลักษมณ์สังหารผลาญชีวัน | แต่นางนั้นซื่อตรงไม่บรรลัย | ||
อันนงคราญเกิดในดอกประทุมเมศ | จึงอาเพศเหาะเหินเวหาได้ | ||
บัดนี้ไปสู่สวรรค์ชั้นใด | ลูกไม่ทราบแจ้งประจักษ์การ | ||
นางคือดวงเนตรของทรงฤทธิ์ | แสนสนิทเฝ้าเสนอเสมอสมาน | ||
จะเอาดวงดาราทิพาพาน | พระภูบาลก็จะหาให้ดังใจ | ||
จะต้องการนัยน์เนตรแม่กับป้า | พระบิดายังควักเอามาให้ | ||
ถึงตัวลูกเล่าไซร้ใช้ให้ไป | ยังกรุงไกรทานตะวันอันปราการ | ||
เอามะม่วงรู้หาวมะนาวโห่ | อันภิญโญเลิศล้นถกลหวาน | ||
ในสารศรีมีไปในใบลาน | ให้หมู่มารสังหารให้ม้วยมรณ์ | ||
นี่หากพบพระสิทธาเธอแก้ไข | จึงรอดชีวิตได้ไม่สังหรณ์ | ||
ขอพระองค์อย่าได้ทรงซึ่งอาวรณ์ | ดวงสมรงามสรรพคงกลับมา ฯ | ||
◉ พระทรงยศฟังพจนาบุตร | เพียงจะทรุดเซซังลงสังขาร์ | ||
ให้อัดอั้นตันใจในอุรา | พระราชาทอดถอนร้อนฤทัย | ||
พลางปลอบว่าอนิจจาพระลูกแก้ว | พ่อรับผิดเจ้าแล้วจำทำไฉน | ||
ทั้งนี้เพราะเวรกรรมได้ทำไว้ | เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธบิดา | ||
พ่อผิดแล้วแก้วตาไม่มีผิด | อย่าควรคิดเคียดแค้นสหัสสา | ||
พ่อจะรับสิบสองกัลยา | กลับมาครองไพร่ฟ้าสนมใน | ||
แม้ไม่สมอารมณ์ของบิดา | จะครอบครองพาราไยไฉน | ||
พ่อจะมอบสวรรยาราชัย | บิดาไซร้ก็จะลาเข้าไพรวัน | ||
รักษาศีลสุจริตกิจกรม | ตามพงศ์พรหมฤๅษีกระเษมสันต์ | ||
ตรัสพลางโศกาจาบัลย์ | เพียงอาสัญสิ้นชนม์สกลกาย | ||
พระรถเห็นบิดากันแสงโศก | แสนวิโยคด้วยไม่สมอารมณ์หมาย | ||
ทั้งเจ็บช้ำทูลเทียบเปรียบภิปราย | พระโฉมฉายคิดสงสารบิตุรงค์ | ||
พระองค์อย่าได้ทรงกันแสงศัลย์ | อีมารนั้นก็สิ้นชีพเป็นผุยผง | ||
ลูกแผลงกำพตพิษฤทธิรงค์ | สังหารมารปลดปลงบรรลัยไป | ||
พระองค์จะเสด็จยาตรา | ไปรับสิบสองกัลยาคงจะได้ | ||
ขอพระองค์อย่าได้ทรงโศกาลัย | ลูกมิให้ขัดเคืองเบื้องบทมาลย์ | ||
พระฟังพจน์โอรสทูลสนอง | ที่มัวหมองฤทัยค่อยใสศานต์ | ||
เข้าโลมลูบจูบกอดพระกุมาร | ใครจะปานเปรียบได้ก็ไม่มี | ||
จะได้ครองไพร่ฟ้าประชาเกศ | เป็นปิ่นปักนคเรศเฉลิมศรี | ||
ทุกประเทศเขตขันฑบุรี | อัญชุลีประณตบทมาลย์ | ||
ตรัสพลางทางมีบัญชาสั่ง | ให้เตรียมรถพระที่นั่งอันไพศาล | ||
กระบวนแห่แตรสังข์กังสดาล | ทั้งวอทองชัชวาลให้พร้อมไว้ | ||
อีกทั้งเถ้าแก่แลโขลนจ่า | จะไปรับกัลยาอย่าช้าได้ | ||
สั่งเสร็จเสด็จคลาไคล | เข้าในปรางค์มาศอันรูจี ฯ | ||
◉ ...............................[40] | ฝ่ายเจ้าพนักงานทั้งสี่ | ||
รีบรัดจัดแจงเป็นโกลี | ตามมีพระราชบัญชาการ | ||
ขุนรถเตรียมรถพระที่นั่ง | พร้อมพรั่งสับสนอลหม่าน | ||
อีกทั้งวอสุวรรณอันตระการ | เครื่องอานพานพระศรีมีครบ | ||
อีกทั้งเครื่องสูงแลแตรสังข์ | พร้อมพรั่งจัดเสร็จสำเร็จหมด | ||
มาคอยท่าพระองค์ผู้ทรงยศ | ตามกำหนดพระราชโองการ ฯ | ||
◉ รถสิทธิ์สุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | แจ้งรหัสพร้อมพวกโยธาหาญ | ||
เสร็จชวนโอรสมิทันนาน | มาเข้าที่สรงสนานสำราญกาย | ||
ทรงสุคนธ์ปนปรุงหอมกระหลบ | อวลอบหอมฟุ้งจรุงฉาย | ||
ภูษาทรงธงข้าวบิณฑ์พรรณราย | งามพรายแพร้วระยับจับตา | ||
พระโอรสสอดใส่ฉลององค์ | ทองกรบิตุรงค์ทรงซ้ายขวา | ||
พระโอรสทรงสังวาลรัตนา | พระบิดาทรงเทพธำมรงค์ | ||
พระโอรสทรงมหาชฎาแก้ว | อันเพริศแพร้วแวววามงามระหง | ||
บิตุรงค์ทรงมหามงกุฎทรง | พระโอรสยศยงทรงกำพต | ||
พระบิตุรงค์ทรงขัดพระขรรค์แก้ว | อันเพริศแพร้วปราบได้ดังไฟกรด | ||
พระโอรสทรงพาชีมีพยศ | บิตุรงค์ทรงรถบทจร | ||
สั่งให้เคลื่อนพหลพลไกร | ทวนธงแห่ไสวแลสลอน | ||
กลองประโคมเซ็งแซ่แตรงอน | รีบรถบทจรจากพารา | ||
ครั้นถึงหน้าอุโมงค์ก็หยุดอยู่ | จึ่งสั่งหมู่อำมาตย์ทั้งซ้ายขวา | ||
ให้ประทับหน้าอุโมงค์รัตนา | เสด็จจากรถาที่นั่งทรง | ||
พระโอรสนำเสด็จลีลาศ | ยุรยาตรในอุโมงค์โดยประสงค์ | ||
สิบสองนางเห็นโอรสยศยง | พาพระบิตุรงค์เสด็จมา | ||
ให้เคืองแค้นแสนโกรธพิโรธนัก | ต่างผันพักตร์เมียงเมิลไม่ดูหน้า | ||
ให้คิดถึงความหลังคลั่งอุรา | ชลนาไหลหลั่งลงพรั่งพราย ฯ | ||
◉ รถสิทธิ์เห็นสิบสองกัลยา | โกรธาดาลเดือดไม่เหือดหาย | ||
จึ่งกล่าวเกลี้ยงเลี่ยงเลียบเปรียบปราย | อนิจจาโฉมฉายไม่เมตตา | ||
พี่นี้หวังตั้งหน้ามารับผิด | หลงชอบชิดอีมารแพศยา | ||
เป็นเวรของเราแล้วนะแก้วตา | จึ่งต้องมามีกรรมดั่งนี้ | ||
เพราะอีปีศาจทรลักษณ์ | มันลวงให้ควานควักเนตรน้องพี่ | ||
นี่บุตรสุดสวาทของเราดี | ไปได้เนตรมารศรีนั้นคืนมา | ||
ประจุดวงนัยนาให้น้องแก้ว | จึ่งเห็นแววสว่างใสได้ยังว่า | ||
บุญของน้องแล้วกัลยา | จึ่งกลับมาคืนดีได้ดังใจ | ||
พี่ผิดแล้วแก้วตาไม่มีผิด | อย่าควรคิดโกรธขึ้งไปถึงไหน | ||
พี่ขอโทษโฉมงามทรามวัย | ขอเชิญไปครองสวรรยา ฯ | ||
◉ นางสิบสองฟังคดีวาทีตรัส | ให้แค้นขัดทรงศักดิ์เป็นหนักหนา | ||
พลางประเทียบเปรียบประชดพจนา | พระจะมารับผิดด้วยอันใด | ||
อันตัวน้องทั้งสิบสองนี้โฉดชั่ว | หูตามืดมัวแล้วขับไล่ | ||
กิตติศัพท์เลื่องลือระบือไป | โหดไร้ทุรพลคนสามานย์ | ||
เป็นอุบาทว์ชาติกลีเช่นนี้ไซร้ | จะรับไปร่วมห้องเกษมสานติ์ | ||
ใช่กำเนิดเกิดในประทุมมาน | เหมือนนงคราญที่ได้ในบุษบง | ||
นั่นแลจึ่งสมบูรณ์ประยูรสูง | เหมือนฝูงเหมราราชหงส์ | ||
สมศักดิ์สมกระกูลเสมอองค์ | อันข้าน้อยมิใช่วงศ์เหมรา | ||
กิตติศัพท์อึงอื้อลือกระหลบ | ทั่วพิภพจะไยไพครหา | ||
ว่าหญิงโฉดโหดชั่วอัปรา | เขาขับจากเมืองมาให้แรมไกล | ||
น้ำลายคายถ่มลงถึงดิน | จะกลับคืนกลืนกินกระไรได้ | ||
เหมือนไม้หลักปักเลนโอนเอนไป | ประชาชนจะไยไพทั้งพารา ฯ | ||
◉ พระฟังนุชสุดสวาทฉลาดเปรียบ | ดั่งศรเสียบปฤษฎางค์ทั้งซ้ายขวา | ||
ให้อัดอั้นตันใจในอุรา | ด้วยกัลยาว่านั้นจริงทุกสิ่งอัน | ||
สุดปัญญาที่จะว่าประโลมปลอบ | นางมิชอบจริงจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
จึ่งเสด็จเยื้องย่างจรจรัล | มาอ้อนวอนจอมขวัญพระโอรส | ||
พ่อจงช่วยอ้อนวอนพระมารดา | ตรัสพลางร่ำโศกาโศกกำสรด | ||
ด้วยนางโกรธโกรธาว่าประชด | อัปยศไพร่ฟ้าประชาชน ฯ | ||
◉ ปางพระหน่อสุริย์วงศ์พงศ์กระษัตริย์ | บิดาตรัสอ้อนวอนเป็นหลายหน | ||
ให้คิดห่วงหน่วงหนักพะวักพะวน | จะไปตามภูวดลเกรงมารดร | ||
จะมิไปเกรงใจบิตุราช | พระหน่อนารถให้คิดสะท้อนถอน | ||
ต้องจำใจไปหาพระมารดร | ยอกรกราบกับตักแล้วโศกา | ||
โอ้ว่าพระชนนีเจ้า | พระคุณเคยปกเกล้าเกศา | ||
พระบิตุรงค์ทรงโศกโศกา | ให้ลูกมาอ้อนวอนพระชนนี | ||
ให้กลับหลังคืนยังวังสถาน | ได้โปรดปรานเห็นกับข้าบทศรี | ||
พระให้สัจสัญญาวอนวาที | ลูกนี้คิดสงสารบิตุรงค์ | ||
สุทามารเชี่ยวชาญการพระเวท | จึ่งทำให้บิตุเรศนั้นลุ่มหลง | ||
ใช่จะแกล้งพระแม่โดยจำนง | จึ่งไม่ทรงปรึกษาหารือใคร | ||
ด้วยมารเชี่ยวชาญการพระเวท | บันดาลให้ภูวเรศนั้นหลงใหล | ||
ครั้นอีมารอาสัญบรรลัยไป | พระกลับได้สมประดีจึ่งอ้อนวอน ฯ | ||
◉ สิบสองนางฟังวาจาลูกยาแถลง | ประจักษ์แจ้งแล้วคิดสะท้อนถอน | ||
ปรึกษากันทั้งสิบสองนางบังอร | เราจะจรหรือจะอยู่จงว่ามา | ||
เมศราพี่ใหญ่จึ่งบอกไป | มิคลาไคลก็สงสารหลานหนักหนา | ||
ป้านี้เห็นกับเจ้าดอกนัดดา | แล้วจึ่งมีวาจาไปทันใด | ||
จงไปทูลพระองค์ผู้ทรงยศ | ว่าทั้งหมดมิได้ขัดอัชฌาศัย | ||
พระรถรับกลับมาด้วยดีใจ | ทูลไปตามคำพระมารดา | ||
ทั้งสิบสองก็รับจะลินลาศ | ตามเสด็จภูวนาถไม่กังขา | ||
ขอพระองค์อย่าได้ทรงโศกโศกา | จงทราบเบื้องบาทาบทมาลย์ | ||
รถสิทธิ์ฟังเอารสรถเสน | นฤเบนทร์ปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
จึงมีพระราชบัญชาการ | สั่งเจ้าพนักงานด้วยทันใด | ||
ให้เอาวอช่อฟ้ามารับนาง | ดุริยางค์เกณฑ์แห่แลไสว | ||
โขลนจ่าหลวงแม่เจ้าก็เข้าไป | สาวใช้กำนัลพวกขันที | ||
พวกเถ้าแก่ชาวแม่แลโขลนจ่า | แลเห็นนางกัลยาโฉมศรี | ||
ก็พากันรำพันแล้วโศกี | ทั้งสิบสองนารีก็โศกา | ||
นางกำนัลว่าแม่ขวัญวิมลโฉม | งามประโลมเลิศล้ำเลขา | ||
มาทุกข์กรอมผอมซูบผิดกายา | แสนระกำช้ำอุราอยู่นองเนือง | ||
พวกโขลนจ่าว่าแม่วิมลพักตร์ | มาโศกนักทุกข์กรอมจนผอมเหลือง | ||
เถ้าแก่ว่าแม่มิ่งวิมลเมือง | ไม่ปลดเปลื้องเศร้าศรีนิราวัน | ||
นางโขลนจ่าด่าว่าเพราะอีมาร | มาตามผลาญให้แม่พลัดไอศวรรย์ | ||
มันช่างแปลงปลอมมาน่าอัศจรรย์ | ดีฉันเห็นหูตามันผิดคน | ||
จะพูดจาเกรงอัชฌาพระทรงศักดิ์ | คิดกระหนักปรึกษากันอยู่สับสน | ||
จะพูดมากออกจากปากเข้าหูคน | ทราบยุบลก็จะโกรธลงโทษทัณฑ์ | ||
แต่ปรึกษาหารือกันเป็นนิตย์ | แสนคิดแสนแค้นแสนกระสัน | ||
จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงธรรม์ | กลับมาจากทานตะวันบุรีรมย์ | ||
เอาอัมพามาถวายจึ่งได้แจ้ง | ว่ามารแปลงฆ่าเสียก็สาสม | ||
เชิญเสด็จลินลาอย่าปรารมภ์ | ข้านิยมขอพึ่งบารมี | ||
ทั้งสิบสองสุดาวิมลโฉม | ทรามประโลมฟังเหล่านางสาวศรี | ||
ปรึกษากันพร้อมใจก็จรลี | ฝูงกำนัลนารีก็ตามมา | ||
ฝ่ายองค์รถสิทธิ์อิศเรศ | กับพระรถเรืองเดชก็หรรษา | ||
จึ่งสั่งให้พนักงานยกวอมา | รับองค์กัลยาสิบสองนาง ฯ | ||
◉ รถสิทธิ์ทรงราชรถา | พร้อมสะพรั่งเสนาแลสล้าง | ||
สิบสององค์ทรงวอมาหว่างกลาง | ท้าวนางเดินข้างหลังระวังมา | ||
พระโอรสทรงม้ามาข้างหลัง | พร้อมพรั่งพระบรมวงศา | ||
เดินทางสถลมารคยาตรา | ก็เข้าในทวาราพระบุรี | ||
ครั้นถึงจึ่งประทับกับเกยลา | ลงจากวอช่อฟ้าหลังคาศรี | ||
แห่ห้อมล้อมองค์พระเทพี | จรลีเข้าสู่ปราสาทชัย ฯ | ||
◉ ปางองค์พระมิ่งมงกุฎเกศ | ถึงนิเวศขึ้นพระโรงวินิจฉัย | ||
แล้วจึ่งมีสีหนาทประภาษไป | สั่งเสนาในด้วยทันที | ||
จะตั้งการสมโภชสิบสองนาง | จงจัดแจงตามอย่างให้ครบที่ | ||
ให้สรรพเสร็จเจ็ดทิวาราตรี | ตามมีแบบอย่างบุราณมา | ||
...........................................[41] | ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า | ||
เร่งรัดจัดกันเป็นโกลา | โดยดั่งบัญชาพระทรงธรรม์ | ||
ก็บาดหมายเกณฑ์จ่ายทุกตำแหน่ง | เร่งรัดจัดแจงกันสรรพสรร | ||
ราชครูพฤฒามาพร้อมกัน | เสียงฆ้องกลองก้องสนั่นทั้งบุรี | ||
ครั้นสรรพเสร็จเชิญเสด็จสิบสองนาง | คืนเข้าสู่ปรางค์ปราสาทศรี | ||
พร้อมเหล่าสาวสรรพวกขันที | ตำแหน่งที่เคยอยู่แต่ก่อนมา ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์องค์พระรถ | เสร็จหมดการสมโภชพระแม่ป้า | ||
พอพลบค่ำย่ำแสงพระสุริยา | ก็ลีลาเข้าสู่ปราสาทชัย | ||
เอนองค์ลงกับที่ศรีไสยา | พระราชาเศร้าหมองไม่ผ่องใส | ||
โอ้เมรีศรีสวัสดิ์ดวงฤทัย | เจ้าจะเป็นฉันใดไม่แจ้งการ | ||
อาชาพาพี่หนีเจ้ามา | แทบจะสิ้นชีวาสังขาร | ||
แต่พี่มาก็หลายทิวาวาร | จะแดดาลโหยหนอยู่คนเดียว | ||
พระคร่ำครวญหวนไห้ไม่วายเทวศ | ภูวเรศถอนใจฤทัยเสียว | ||
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงเป็นเกลียว | ให้เปล่าเปลี่ยวแสนรำพึงถึงเมรี | ||
จะนิ่งบรรทมไปก็ไม่หลับ | แต่พลิกกลับสับสนอยู่บนที่ | ||
ให้ร้อนรนทั่วสกลอินทรีย์ | จนแสงทองส่องศรีสว่างฟ้า | ||
พระแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองฉาย | จับพระขรรค์เยื้องกรายออกข้างหน้า | ||
ขึ้นเฝ้าองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | ทั้งแม่ป้านั่งเรียงอยู่เคียงกัน | ||
ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระปิ่นเกล้ารังสรรค์ | ||
ลูกขอลาสององค์พระทรงธรรม์ | ไปรับขวัญกัลยาเจ้าเมรี | ||
นางได้มีคุณแก่ลูกรัก | สามิภักดิ์ไม่ระคางขนางหนี | ||
จะต้องการสิ่งใดในบุรี | นางเมรีมิได้ขัดซึ่งอัชฌา | ||
ลูกหนีมานางไสยาหลับสนิท | ยกพหลรีบติดตามมาหา | ||
ทันลูกหยุดยั้งฝั่งคงคา | ลูกให้กลับคืนพาราก็ไม่ไป | ||
ลูกจะกลับไปรับนางโฉมศรี | คืนธานีทานตะวันกรุงใหญ่ | ||
พอเสร็จสรรพก็จะกลับคืนเวียงชัย | ลูกไปไม่ช้าจะมาพลัน | ||
นางลำเภากับพระเจ้ากรุงไกรจักร | ฟังลูกรักจะลาไปในไพรสัณฑ์ | ||
คิดสงสารเมรีก็ครามครัน | จะห้ามลูกยานั้นก็เสียใจ | ||
คิดห่วงหน้าห่วงหลังแล้วรั้งรา | แข็งใจกล่าววาจาปราศรัย | ||
ลูกจะไปพ่อไม่ขัดดอกดวงใจ | เพราะห่วงใยอยู่ข้างหลังยังมากมี | ||
ตัวบิดาก็ชรามากอยู่แล้ว | พระลูกแก้วจะครองบูรีศรี | ||
อันโภไคยศวรรยาธานี | บิดานี้จะมอบให้โอรส | ||
พ่อไปแล้วอย่าได้ไปอยู่ช้า | แล้วอวยพรลูกยาให้ปรากฏ | ||
จะปราบได้ทั่วไปในโสฬส | ทุกชนบทขามเกรงซึ่งเดชา ฯ | ||
◉ พระรถยอกรรับพรท้าว | ให้สร้อยเศร้าแสนโทมนัสสา | ||
คิดห่วงใยด้วยจะไกลพระมารดา | กราบก้มพักตราแล้วจาบัลย์ | ||
ขืนอารมณ์ข่มฤทัยแล้วไคลคลา | ลีลายุรยาตรผาดผัน | ||
เสด็จเข้าที่สรงทรงสุวรรณ | น้ำกลั่นหอมกลบกระหลบไป | ||
สนับเพลาราชสีห์เผ่นทะยาน | ภูษาทรงงามตระการเข้มขาบไหม | ||
ฉลององค์โหมดม่วงช่วงวิไล | สวมใส่ตาบทิพย์สังวาลวรรณ | ||
ทองกรพาหุรัดตรัสเตร็จ | เข็มขัดเพชรสายทองรัดกระสัน | ||
มงกุฎแก้วค่าเมืองเรืองสุวรรณ | ทรงธรรม์สวมเทพธำมรงค์ | ||
ขัดพระขรรค์อันเรืองประสิทธิ์เวท | ทรงกำพตพรหเมศงามระหง | ||
แล้วลีลาศยาตรามาเกยทรง | อาชาตรงมาประทับรับภูธร | ||
พระขึ้นทรงกัณฐัศอัศวราช | อาชาผาดเผ่นเหาะขึ้นลอยร่อน | ||
ทักษิณสามรอบขอบนคร | ราษฎรร้องอำนวยอวยชัย | ||
อาชาพาเหาะเวหาหน | สุริยนแจ่มกระจ่างหว่างไศล | ||
ดั้นหมอกออกเมฆมาไรไร | ดูชาญชัยเดชาศักดาครัน ฯ | ||
◉ พระโฉมยงทรงยศพระรถราช | ภูวนาถปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ชมผกาป่าไม้ในไพรวัน | สารพันพฤกษาล้วนน่าชม | ||
มีคีรินทร์ศิลาภูผาใหญ่ | ล้วนเงื้อมง้ำน้ำไหลเป็นไคลขม | ||
ด้วยเทือกแร่แช่ปนระคนตม | ก็เกลียวกลมกายสิทธิ์เป็นฤทธิ์ยา | ||
แลเป็นเหล่าเงาหินเห็นนิลแก้ว | ดูพรายแพร้วแจ่มแจ้งที่แสงผา | ||
มีเพชรบุษย์สุดสุกทั้งมุกดา | อีกโมรานิลรัตน์ชัชวาล | ||
ดูร่มรื่นพื้นภาคย์ชะวากผา | มีฉายารุกขชาติสะอาดสะอ้าน | ||
ดูร่มเลี่ยนเตียนกว้างเหมือนกลางลาน | น่าสำราญรื่นร่มที่ลมโชย | ||
พินิจพลางทางชวนอาชาชาติ | ลงพักแดดแผดผาดอนาถโหย | ||
เสด็จเดินเนินร่มที่ลมโรย | เที่ยวชมโดยพรรณไม้ที่ใกล้ทาง | ||
พิกุลจันทน์ลั่นทมสุกรมสุก | แสนสนุกรื่นรายมีหลายอย่าง | ||
ตะเคียนคูนแคเคี่ยมโมงแก้วโกงกาง | มะสังซางซองแมวเต็งแต้วทอง | ||
กระดังงากาหลงประยงค์แย้ม | ยี่สุ่นแซมนมแมวเป็นแถวถ่อง | ||
ลำดวนโมกมณฑาผกากรอง | หล่นละอองเรณูลงพรูพราย | ||
ภุมรินบินเฝ้าเคล้าสนิท | ด้วยจงจิตเจตนาวิญญาหมาย | ||
สู้บินโบยโดยสวาสดิ์ไม่คลาดคลาย | ถึงตัวตายก็ไม่ว่าอุตส่าห์บิน | ||
พระชมพลางทางคะนึงถึงโฉมศรี | ป่านฉะนี้จะทุเรศเทวศถวิล | ||
อันตัวพี่นี้ก็เหมือนภุมริน | ปางยุพินพุ่มพะงาเหมือนมาลัย | ||
กุศลส่งตรงให้ประสบสม | ประคองชมชื่นแช่มด้วยแจ่มใส | ||
เพราะมีทุกข์ที่สำคัญจึงพลันไกล | ทิ้งเจ้าไว้เอองค์ในพงพี | ||
อันหญิงชายใฝ่ฝันผูกพันรัก | เสน่ห์หนักมิได้คลาดสวาสดิ์หนี | ||
เหมือนอารมณ์ภุมรากับมาลี | มิได้มีจิตเกลียดรังเกียจไกล | ||
คะนึงพลางทางชวนอาชาชาติ | ภูวนาถขึ้นหลังกระเษมใส | ||
สินธพพาเหาะลิ่วปลิวไป | พอเกือบใกล้ที่พักสำนักนาง ฯ | ||
◉ ฝ่ายว่ามิ่งเมรีศรีสวัสดิ์ | ให้อั้นอัดทรวงโศกวิโยคหมาง | ||
อนาถนิ่งมิได้ติงพระองค์นาง | ไม่มีเหล่าสาวสุรางค์อยู่เพื่อนองค์ | ||
แต่ครวญคร่ำร่ำรักพระภูมี | ดั่งชีวีจะวินาศลงผุยผง | ||
แต่โศกศัลย์กันแสงสลบลง | ตั้งพักตร์คอยดูองค์พระภูธร | ||
เฝ้าสยบซบยันให้อั้นอัด | โทมนัสเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
พอเหลือบไปเห็นองค์พระภรรดา | ในอุราวุ่นหวาดเพียงขาดใจ | ||
จึ่งยอกรอ่อนเกล้าศิโรเพท | ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล | ||
ช่างกระไรไฉนหนอน้ำพระทัย | มาทิ้งน้องเสียได้ไม่เหลียวเลย | ||
เสียแรงน้องมาตามถึงกลางไพร | พระมาทิ้งเสียได้นะอกเอ๋ย | ||
อันเรื่องราวที่พระกล่าวภิปรายเปรย | กระไรเลยน้ำพระทัยของภูธร ฯ | ||
◉ ฝ่ายองค์ทรงยศนฤบาล | ลงจากอาชาชาญสมร | ||
เข้าตระโบมโลมลูบนางบังอร | แล้วจึ่งกล่าวสุนทรไปทันใด | ||
พระมารดาทารกรรมแสนลำบาก | อดอยากหากินก็ไม่ได้ | ||
หูตามืดมนเป็นพ้นไป | ถ้าที่ไหนพี่จะไปอย่าสงกา | ||
ได้ห่อยาดวงตาไปจากนี่ | ไปใส่ให้ชนนีกับแม่ป้า | ||
พอเสร็จสรรพพี่กลับเร่งรีบมา | กัลยาอย่าได้แหนงแคลงฤทัย | ||
ถ้าไม่มีกังวลธุระร้อน | จะจรจากเพื่อนยากไยไฉน | ||
จะร้างห่างสวาสดิ์ให้ขาดไป | สิ่งใดย่อมแจ้งทุกประการ ฯ | ||
◉ นางสดับคำพร้องสนองพจน์ | ดังศรกรดเสียบแดสังหารผลาญ | ||
ให้เศียรขาดจากองค์สุดามาลย์ | สะท้านเศียรซาบสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
จึ่งทูลตอบต้องสนองสาร | อย่าเอาหวานมาประโลมเลยโฉมศรี | ||
น้องก็ทราบแล้วว่าพระปรานี[42] | ถ้าแม้นหมีโปรดปรานจะปานไร | ||
นี่โปรดแท้แลเห็นยังเช่นนี้ | ถ้าไม่มีกรุณาคงฆ่าได้ | ||
โอ้น้อยจิตคิดถึงคำทำเยื่อใย | จะพูดไปเล่าก็หมองไม่ต้องการ | ||
เมื่อครั้งก่อนเสด็จจรมาถึงเมือง | ใช่จะมาด้วยเรื่องสมัครสมาน | ||
เพราะประสงค์ตรงของที่ต้องการ | ในเรื่องสารทราบสิ้นไม่กินใจ | ||
น้องเสียรู้แล้วจะสู้ก้มหน้าม้วย | เพราะงงงวยลุ่มหลงไม่สงสัย | ||
ถึงกรรมแล้วก็จำบรรลัยไป | เกิดชาติใหม่อย่าให้เป็นดั่งเช่นนี้ | ||
อันน้องนี้มิได้อยู่ให้ชูชิด | จะจำปลิดบ่ายหน้าไปเมืองผี | ||
เมียขอบคำที่พระร่ำมาพาที | ก็ทราบว่าปรานีแสนคะนึง | ||
อันความสัจของน้องจะหาไหน | สู้เอาใจไว้ท่าจนมาถึง | ||
แสนสวาสดิ์ภูวนาถยังรุมรึง | เมียรำพึงดูพักตร์พระภรรดา | ||
น้องขอลาพระองค์ไปตามกรรม | ที่บุญทำนำให้เอาใจท่า | ||
ชาตินี้น้องตามพระองค์มา | ได้ความเวทนาจาบัลย์ | ||
ไปชาติหน้าขอองค์พระทรงพุทธ | ต้องตามนุชสุดโศกกันแสงศัลย์ | ||
อกุศลหนหลังมาตามทัน | พรรเอิญให้จอมขวัญคิดบรรลัย | ||
แล้วคิดถึงสุนนทามารดาเลี้ยง | กล่อมเกลี้ยงลูกยาจะหาไหน | ||
มิได้เกิดในอุทรฉะนี้ไซร้ | ความรักใคร่ในลูกยิ่งมารดา | ||
ทั้งสมบัติพัสถาก็มอบให้ | ตามใจลูกรักเป็นหนักหนา | ||
จะอยู่ไปก็อายแก่เทวา | ฝูงประชาจะชวนกันไยไพ | ||
ไหนจะทุกข์ถึงมารดาที่มรณา | ให้เปล่าเสียวในอุราไม่ทนได้ | ||
ทั้งหิวโหยโรยแรงสลดใจ | อรทัยซวนซบสลบลง ฯ | ||
◉ พระรถเห็นเป็นเหตุเทวศวุ่น | ยิ่งครวญครุ่นร่ำพิไรอาลัยหลง | ||
ค่อยอุ้มแอบแนบน้องตระกององค์ | พระแสนทรงโศกาด้วยอาวรณ์ | ||
ว่าโอ้กรรมทำไว้แต่ไหนหนอ | ช่างเติมต่อแต่งตั้งให้สังหรณ์ | ||
พี่มาแล้วแก้วตาพะงางอน | ยังรุ่มร้อนโศกศัลย์ไม่บรรเทา | ||
เห็นจะไม่คืนคงดำรงสวาสดิ์ | คงวินาศในพนมลำเนาเขา | ||
พระครวญพลางโศกซ้ำไม่ชำเรา | ดั่งใครเอาตรีผลาญให้ลาญชนม์ ฯ | ||
◉ ฝ่ายว่ามิ่งเมรีศรีสวัสดิ์ | พระพายพัดเฉื่อยชื่นเรณูหล่น | ||
หอมตระหลบอบอายคลายกระมล | ก็ค่อยฟื้นตื่นตนทุรนใจ | ||
เห็นทรงเดชเชษฐาเข้ามาต้อง | เคียงประคองโศกหมองไม่ผ่องใส | ||
ยิ่งนึกเห็นว่าพระเป็นแกล้งจำใจ | ที่รักใคร่นั้นก็สิ้นไม่ยินดี | ||
ให้นึกเห็นเป็นดีแต่ที่ผิด | ยิ่งแค้นคิดขุ่นข้องหม่นหมองศรี | ||
แล้วกราบบาทบาทาพระสามี | ว่าน้องนี้ขอลาบรรลัยไป | ||
ซึ่งพระทรงกรุณากลับมาโปรด | ก็ปราโมทย์ยินดีจะมีไหน | ||
แต่น้องนี้มีกรรมได้ทำไว้ | ขออย่าได้เคลื่อนสวาสดิ์ทุกชาติเลย | ||
ความรักภักดีน้องมีมาก | พระควรจากไปได้นะอกเอ๋ย | ||
ก็ทราบว่าปรานีที่คุ้นเคย | จึงไม่เลยล่วงลับเสร็จกลับมา | ||
เป็นบุญของน้องล้นได้ยลพักตร์ | เฝ้าหน่วงหนักเพียงชีวังจะกังขา | ||
ก็ประจักษ์อยู่ว่ารักนั้นตรึงตรา | เพราะอาชาจึงได้แชให้แปรไป | ||
ด้วยมั่นจิตว่าพระคิดเสน่ห์น้อง | จึ่งค่อยครองชีวาไว้ท่าได้ | ||
ซึ่งความรักหนักหน่วงเพราะห่วงใย | ก็แจ้งใจอยู่ว่าพระปรานี | ||
จึ่งเสด็จเสร็จกลับมาดับโศก | ความวิโยคน้องมากขอฝากผี | ||
ไม่เสวยโภชนาหลายราตรี | ทั้งหิวโหยสุดที่กำลังทน | ||
รำพันพลางทางพิศพระพักตร์ผัว | ยิ่งหมองมัวทรวงวับให้สับสน | ||
ก็สิ้นเสียงสุดกำลังประทังตน | ทั้งร้อนรนรุ่มแดฤดีดาล | ||
ก็สิ้นเสียงสิ้นสั่งกำลังถอย | ให้เหงาหงอยสิ้นสมประสาทสาร | ||
ก็สิ้นชีพขาดใจบรรลัยลาญ | เหนือสถานเชิงผาศิลาแลง ฯ | ||
◉ ปางพระรถฤทธิรงค์ทรงพินิจ | เห็นนางนาฏขาดจิตก็กันแสง | ||
ประคองศพนางพลางทางแสดง | ว่าพี่แจ้งแล้วว่านางจะวางวาย | ||
เหตุทั้งนี้ก็เพราะมีธุระร้อน | พี่จึงจรจากไปเสียไกลหมาย | ||
ไม่เห็นเลยว่าจะเลยบรรลัยกลาย | แสนเสียดายความรักที่ภักดี | ||
จะหาไหนได้เหมือนเสมอนุช | เห็นสิ้นสุดดินฟ้าในราศี | ||
สิ่งใดก็มิได้ราคีมี | ถนอมพี่สารพัดไม่ขัดใจ | ||
เมื่อชมสวนน้องชวนไปท่องเที่ยว | พี่น้าวเหนี่ยวผลพวงมะม่วงได้ | ||
อันของนี้เล่าเป็นที่สังเกตไว้ | สำหรับเมืองเวียงชัยอันไพบูลย์ | ||
ถ้าโห่หาวฉาวดังฟังหวั่นไหว | จะเกิดเหตุยุ่งใหญ่ในไอศูรย์ | ||
แต่เพียงนี้น่าจะมีอาดูรพูน | เจ้าก็ไม่ขาดสูญเสน่ห์ใน | ||
เพราะความรักภักดีเป็นที่สุด | ถึงม้วยมุดก็ขาดสวาสดิ์ได้ | ||
สารพัดมิได้ขัดให้เคืองใจ | อนงค์ในปฐพีไม่มีเทียม | ||
ช่างซื่อตรงจงรักษ์พี่หนักหนา | เอาใจท่าอยู่จนพี่มายลเยี่ยม | ||
แสนลำบากยากไร้จนใจเจียม | ก็กรมเตรียมอยู่ในป่าเอกากาย | ||
ครั้นพี่มาแล้วเจ้าลาครรไลลับ | โอ้อาภัพคิดไปแล้วใจหาย | ||
แต่นี้ไปก็จะไม่มีสบาย | แสนเสียดายดวงจิตเจ้าปลิดไป | ||
นิจาเอ๋ยเคยสมานสำราญรัก | มาสูญศักดิ์สูญเสน่ห์ไปเนาไหน | ||
จงแจ้งความพี่จะตามบรรลัยไป | ก็จะได้อยู่สุขสนุกนิ์สบาย | ||
นี่เจ้าไม่สั่งความเลยงามชื่น | ไหนจะคืนมาได้น่าใจหาย | ||
นิจาเอ๋ยเคยรองตระกองกาย | แต่นี้ไปก็จะคลายประคองชม | ||
เสียดายโฉมงามประโลมฤทัยสวาสดิ์ | ดั่งนางในเทวราชลออสม | ||
เสียดายปรางดุจปรางนางเมืองพรหม | เสียดายนมถันนางสำอางตา | ||
ปานประทุมพุ่มพวงผกามาศ | ยุรยาตรเลื่อนลอยคล้อยเวหา | ||
เสียดายโอษฐ์อิ่มเอื้อนจำนรรจา | เสียดายพาหาสองลำยองครัน | ||
ดุจงวงไอยราสง่าเสงี่ยม | ระทวยเทียมกรนางในปรางค์สวรรค์ | ||
เสียดายทรงสมทรงสง่าครัน | เสียดายกรรณกลีบบุษบาบาน | ||
เสียดายเนตรเปรียบเนตรมฤคมาศ | ดูเอี่ยมอาจชวนให้เกษมศานต์ | ||
เมื่อแย้มยิ้มพริ้มรับฤดีดาล | แต่นี้นานก็จะวายชายเนตรนวล | ||
เสียดายเสียงเพียงอมฤตรส | เคยแช่มชดน่าชมภิรมย์สงวน | ||
เสียดายผิวผุดผ่องละอองชวน | ภิรมย์นวลแนบในฤทัยปอง | ||
นิจจาเอ๋ยเคยทำกรรมแต่หลัง | สวาสดิ์หวังหวั่นหวาดให้ขาดสอง | ||
อันความรักจักประมาณสมานครอง | เหมือนดั่งทองแท่งเดียวที่เกลียวกลม | ||
เกิดวิบัติตัดสวาสดิ์ให้ขาดลิ่ม | โอ้เนื้อนิ่มแนบจิตสนิทสนม | ||
มานิราศแรมไปเสียไกลชม | แสนระทมเวทนาด้วยอาวรณ์ | ||
นิจาเอ๋ยเคยสำราญสมานสมัคร | มาขาดรักขาดสวาสดิ์ให้ขาดถอน | ||
เพราะเวรกรรมจำพรากให้จากจร | พระภูธรถอนใจอาลัยลาน | ||
ยิ่งแสนโศกเศร้าหมองไม่ผ่องศรี | ดั่งต้องสายอัสนีประหารผลาญ | ||
เข้าส้วมสอดกอดองค์นางนงคราญ | พระภูบาลซวนซบสลบไป | ||
พระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน | พระภูธรค่อยฟื้นคืนมาได้ | ||
จึ่งช้อนเกศนงลักษณ์ใส่ตักไว้ | พระครวญคร่ำร่ำไรจาบัลย์ | ||
โอ้ว่าอนิจจาน้องแก้ว | ทิ้งพี่เสียแล้วไปสู่สวรรค์ | ||
พี่รีบมาพอเห็นหน้าแม่แจ่มจันทร์ | ไม่ทันกล่าววาจามาบรรลัย | ||
เจ้ามาทิ้งพี่ไว้ผู้เดียวนี้ | น่าที่ชีวิตจะตักษัย | ||
ชะรอยเวรากรรมได้ทำไว้ | มาพรรเอิญเป็นไปดั่งนี้ | ||
มาพบน้องยินดีเป็นที่สุด | โอ้นิ่มนุชกลับม้วยไปเมืองผี | ||
เจ้าสุดแค้นแสนโกรธพันทวี | จนสุดสิ้นชีวีบรรลัยไป | ||
เสียแรงพี่รีบกลับมาติดตาม | หมายจะรับโฉมงามไปกรุงใหญ่ | ||
จะแต่งน้องให้ครองเวียงชัย | มอบไอศูรย์แสนสวรรยา | ||
ทั่วประเทศเขตแดนแผ่นภพ | จะตระหลบไยไพครหา | ||
เพราะตามพี่นี้จึงเสียซึ่งชีวา | อนิจจาเพราะกรรมมานำตน | ||
โอ้ไม่แจ้งว่าจะเป็นถึงเช่นนี้ | เจ้าทิ้งพี่ว้าเหว่ระเหหน | ||
ตั้งแต่แสนโศกเศร้ากระมล | เพราะกรรมดลผูกพันให้บรรลัย | ||
พระยิ่งแสนโศกเศร้าเฝ้าเทวศ | ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล | ||
สะอื้นอั้นตันจิตคิดเสียใจ | พระหน่อไทซวนซบสลบเลย | ||
อาชาในใจหายด้วยหมายมั่น | ว่าทรงธรรม์ม้วยจริงเห็นนิ่งเฉย | ||
จึงเดินเหย่าเข้ามาเอาหน้าเงย | ไว้ชิดเชยชงฆาโศกาวรณ์ | ||
โอ้ว่าพระปิ่นนรินทร์ราช | มาสิ้นชาติม้วยกลิ้งบนสิงขร | ||
ช่างรักษ์เมียเสียชีพเพราะรีบร้อน | อาชาวอนโศกศัลย์รำพันครวญ | ||
โอ้โอ๋อกเราจะเศร้าจิต | ยิ่งแสนคิดร่ำไรอาลัยหวน | ||
ให้แสนเศร้าโศกศัลย์เฝ้ารัญจวน | แล้วเสือกซวนเซซบสลบไป | ||
พอพระพายพัดพาผกากลิ่น | ระรื่นรินโรยมาพฤกษาไหว | ||
พระงามสรรพกับม้าอาชาไนย | ก็กลับได้คืนคงดำรงกาย | ||
พระยิ่งแสนโศกศัลย์รำพันร่ำ | เฝ้าครวญคร่ำคิดไปพระทัยหาย | ||
โอ้หวิวหวิวหวาดเสียวผู้เดียวดาย | ยิ่งฟูมฟายโศกาแล้วจาบัลย์ | ||
โอ้ว่าเมรีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่ควรเลยกัลยามาอาสัญ | ||
อยู่เหนือพื้นภูผาในอารัญ | สารพันสิ่งไรก็ไม่มี | ||
แม้นอยู่ในมิ่งเมืองจะเรืองเลิศ | ได้ชูเชิดพักตร์เพิ่มเฉลิมศรี | ||
จะพร้อมเหล่าสาวสรรแลขันที | มาโศกีนั่งล้อมอยู่พร้อมราย | ||
ทุกเสนาสามนต์จะกล่นกลาด | ทั้งพระญาติพงศ์พันธุ์จะผันผาย | ||
มานั่งล้อมพร้อมเพรียงอยู่เรียงราย | จะฟูมฟายโศกาด้วยอาลัย | ||
แสนสงสารเมรีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่ควรเลยน้องรักมาตักษัย | ||
สารพัดขัดสนระคนไป | ทำไฉนน้องยายุพาพิน | ||
นี่เจ้าบรรลัยลงในพงใหญ่ | มีแต่ไม้สิงขรกับก้อนหิน | ||
ทั้งสัตว์เสือเนื้อนกวิหคบิน | กับคีรินทร์เรียงรายอยู่ก่ายกอง | ||
จะเอาศิลาโชติเป็นโกศแก้ว | อันเพริศแพรวพรายศรีไม่มีหมอง | ||
เอาคีรีบริเวณเป็นเมรุทอง | อันเรืองรองรจนาสง่างาม | ||
เอายูงยางต่างแตรแลพัดโบก | เอาสนโศกสักไทรไม้มะขาม | ||
เป็นธงทิวปลิวระยับดูวับวาม | ล้วนรายตามแนวไพรไศลเรียง | ||
เอาเรไรหริ่งหริ่งที่กิ่งสน | เป็นปี่แตรแจจลสนั่นเสียง | ||
ประโคมขับศัพท์ส่งสำเนียงเคียง | ดังสำเนียงนางในบุรีรมย์[43] | ||
สำนวนที่ ๒
◉ ..................................................... | เป็นอัตราเก็บถวายนางโฉมศรี[44] | ||
สาวใช้ไปมาทั้งตาปี | อยู่ที่นี้เขาจะเห็นไม่เป็นการ | ||
จึงซ่อนอยู่ในห้องอย่าท่องเที่ยว | ฉวยเกรียวกราววุ่นวายทั้งยายหลาน | ||
แต่อาชาปล่อยไปให้สำราญ | ต่อนานนานจึงค่อยมาฟังอาการ | ||
พระฟังคำตายายเป็นนายสวน | ไม่ลามลวนตรึกตราเหมือนว่าขาน | ||
ครั้นรุ่งเช้าเก็บบุปผาสุมามาลย์ | อยู่สำราญเคหาด้วยตายาย ฯ | ||
◉ ฝ่ายโฉมยงองค์ทัศมาลี | สถิตที่แท่นรัตน์วิเชียรฉาย | ||
ปัจจุสมัยใกล้รุ่งดาราราย | นางโฉมฉายทรงสุบินจินตนา | ||
ในฝันว่าวาสุกรีอันมีฤทธิ์ | มาสถิตแท่นทองอันเลขา | ||
เกี้ยวกระหวัดรัดรึงไว้ตรึงตรา | ประหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย | ||
หมายว่าจริงนิ่งอนาถประหลาดจิต | แต่ล้วนพิษนาคินทร์ดิ้นไม่ไหว | ||
ครั้นแสงทองส่องฟ้านภาลัย | อรไทฝืนองค์ขึ้นสรงชล | ||
สำอางองค์ทรงเครื่องเรืองจำรัส | นางกษัตริย์ชื่นชมสมประสงค์ | ||
ชำเลืองดูหมู่สุรางค์นางอนงค์ | แล้วนิ่งทรงถึงนิมิตคิดรำคาญ | ||
จะร้ายดีมีแจ้งในตำรับ | เป็นฉบับโหรทายทำนายฝัน | ||
ก็ทราบสิ้นในสุบินอักษรพลัน | นางหวาดหวั่นนิ่งไว้ในอุรา ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงท่านยายเป็นนายสวน | เวลาจวนลับเมรุภูผา | ||
พอสิ้นแสงสุริยนสนธยา | ทั้งยายตาเข้ากระท่อมอยู่พร้อมกัน | ||
แล้วบอกว่าพรุ่งนี้มาลีมาก | ทั้งบุนนาคสุกรมนมสวรรค์ | ||
แก้วกุหลาบมณฑาสารพัน | มะลิวัลย์พุดลาจำปาปี | ||
จะต้องเก็บเอาไปให้หลายอย่าง | ถวายนางโฉมฉายให้หลายสี | ||
ด้วยว่าองค์นงนุชพระบุตรี | โปรดมาลีมาแต่ไรพอใจทรง | ||
ถึงมากน้อยเท่าไรก็ไม่ว่า | ให้ได้มาเหมือนสั่งดังประสงค์ | ||
พระฟังยายบอกความแต่ตามตรง | ว่าโฉมยงโปรดบุปผาสุมาลี | ||
พระทราบสิ้นในระบิลยายแจ้งอรรถ | มาข้องขัดเรรวนอยู่สวนศรี | ||
ต้องรอรั้งฟังดูร้ายฤๅดี | เหมือนเมรีสั่งความให้ตามมา | ||
หวนคะนึงถึงมิ่งมเหสี | ธิบดีเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
พอย่ำยามฆ้องชัยได้เวลา | ยายกับตาม่อยหลับระงับไป | ||
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างศรี | สกุณีร้องก้องส่งเสียงใส | ||
คณานกโผผินบ้างบินไป | ภูวไนยพลิกฟื้นตื่นประทม | ||
ยายกับตาพากันออกไปสวน | เก็บลำดวนจำปามหาหงส์ | ||
พระตามไปช่วยเก็บดอกประยงค์ | เอามาส่งใส่กระทายให้ยายตา | ||
ทั้งสาวหยุดนมแมวดอกแก้วเกด | กระถินเทศพวงพะยอมหอมหนักหนา | ||
ทั้งซ่อนชู้ประดู่ดงโยทะกา | ดอกมณฑาอังกาบกุหลาบจีน | ||
แล้วพากันกลับหลังยังเคหา | เกลือกมาลาหลายอย่างให้ต่างสี | ||
พระบอกว่าฉันจะร้อยดอกจำปี | เป็นม้ามีคนนั่งหลังอาชา | ||
พระทรงร้อยสร้อยฟ้ามหาหงส์ | เมื่อเดินดงมาทุเรศแสวงหา | ||
แล้วร้อยรูปพระองค์ทรงอาชา | ยายกับตานั่งมองร้องว่างาม | ||
พระกำชับว่ายายอย่าพรายแพร่ง | ถ้ารู้แจ้งพระธิดาจะว่าขาน | ||
แล้วหยิบพวงบุปผาสุมามาลย์ | โปรดประทานใส่กระทายให้ยายพลัน | ||
ยายมาลีดีใจได้ยิ้มหัว | ชำระตัวย่างกรายแล่วผายผัน | ||
แบกดอกไม้เดินเหย่าเข้าในวัง | ไม่รอรั้ง.................................[45] | ||
ถึงปราสาทพระบุตรีศรีสวัสดิ์ | พร้อมขนัดข้าหลวงดูไสว | ||
ทั้งแสนสาวท้าวนางพวกข้างใน | ต่างปราศรัยทักทายยายมาลี | ||
นางเบือนพักตร์เห็นยายปราศรัยสาร | พจมานรับสั่งถึงสวนศรี | ||
ยายมาลัยยอกรรับพระเสาวนีย์ | ยายมาลีเข้าถวายเจ้าสายใจ | ||
นางพินิจพิศดูพวงบุปผา | เห็นร้อยเป็นอาชาก็สงสัย | ||
รูปบุรุษผุดผ่องงามประไพ | ลงนั่งในหลังม้าอาชาชาญ | ||
ดำริพลางนางถามตามสงสัย | ฤๅมาลัยเสี่ยงสัจอธิษฐาน | ||
ยายร้อยฤๅใครใช้จึงให้การ | ฉันไม่พาลความผิดอย่าคิดกลัว | ||
ยายคำนับรับว่าหม่อมฉันร้อย | ตาช่วยสอยให้บ้างค่อยยังชั่ว | ||
แต่ลำพังยังไม่ไว้ใจตัว | ตาก็มัวหลังก็เจ็บเป็นเหน็บชา | ||
นางหลงกลคำยายหมายว่าแน่ | พินิจแลดูดวงพวงบุปผา | ||
วันพรุ่งนี้แต่เช้ายายเข้ามา | ร้อยมาลาให้ฉันวันละพวง | ||
ยายมาด้วยช่วยร้อยเป็นผู้ใหญ่ | แล้วจะได้ฝึกหัดเป็นข้าหลวง | ||
ได้เป็นครูหมู่สุรางค์นางทั้งปวง | แม้นล่อลวงปดโป้ฉันโกรธา | ||
ยายมาลีได้ฟังรับสั่งตรัส | ประสานหัตถ์กรประนมก้มเกศา | ||
กราบพระนุชบุตรีชุลีลา | ก็รีบมาถึงสวนรัญจวนใจ | ||
เปิดประตูเข้าห้องให้ข้องขัด | เอาผ้าปัดผงนอนถอนใจใหญ่ | ||
ให้หมกมุ่นขุ่นเคืองเรื่องมาลัย | แกนอนเสียมิได้กินข้าวปลา | ||
ฝ่ายตาเฒ่าเข้าไปมองแล้วร้องเรียก | พระรถฟังสำเหนียกเดินมาหา | ||
เห็นยายนอนบ่นออดทอดกายา | พระนั่งลงตรงหน้าแล้วพาที | ||
ตาก็มานั่งด้วยช่วยกันถาม | ยายมาลีบอกความเป็นถ้วนถี่ | ||
พรุ่งนี้นัดเข้าไปในบุรี | ร้อยมาลีหน้าที่นั่งรับสั่งมา[46] | ||
ร้อยไม่เป็นบ่เห็นบ่รู้อกกูแตก | รู้แต่แรกก็มิได้เอาไปถวาย | ||
ร้อยไม่ได้ก็ไม่อยู่จะสู้ตาย | หลังจะลายเมื่อแก่เป็นแน่นอน | ||
พระรถฟังกับตาว่าอย่าทุกข์ | ยายจงลุกกินข้าวอย่าเศร้าหมอง | ||
ไว้ธุระของหลานจะหว่านล้อม | คดโอบอ้อมปดเขาพวกชาววัง | ||
แม้นข้าหลวงสาวใช้มาเรียกหา | ให้ตาว่าไม่สบายอย่าผายผัน | ||
เขามาเห็นบอกว่าเป็นมาหลายวัน | เป็นไข้สั่นเหลือทนกระวนกระวาย | ||
ยายกับตาได้ฟังนั่งหัวเราะ | ปัญญาพอดับร้อนให้ผ่อนหาย | ||
พรุ่งนี้เขาคงออกมาเรียกหายาย | จะดีร้ายฟังดูให้รู้กัน | ||
ปางพระนุชบุตรีในนิเวศ | ผิดสังเกตคอยยายไม่ผายผัน | ||
ร้องเรียกเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | เห็นตะวันรุ่งสายยายไม่มา | ||
พวกข้าหลวงออกไปดูให้รู้แน่ | ฤๅว่าแกเจ็บไข้ออกไปหา | ||
วันนี้นัดไว้เป็นไรจึงไม่มา | นั่งคอยท่าจนสายก็หายไป | ||
นางสาวใช้ได้ฟังรับสั่งตรัส | ชุลีหัตถ์ทูลลาอัชฌาศัย | ||
เป็นการด่วนรีบร้อนไม่นอนใจ | ตรงออกไปอุทยานไม่ช้าที | ||
เห็นตาเฒ่าตักน้ำเที่ยวรดสวน | ก็รีบด่วนย่างเหย่าเข้าสวนศรี | ||
แล้วปราศรัยถามหายายมาลี | แกอยู่ดีตาบอกให้ออกมา | ||
ตาได้ยินผินหน้าหันมาถาม | ให้มาตามไปไหนอะไรขา | ||
ยายเจ็บอยู่ไม่สบายหลายเวลา | ข้าจึงมารดน้ำแต่ลำพัง | ||
ทั้งข้าวปลาอาหารกินไม่ได้ | ด้วยเป็นไข้วิงเวียนให้เหียนหัน | ||
จงช่วยทูลมูลลิกาเหมือนว่านั้น | ถ้ากลางวันแล้วละเมอพูดเพ้อพก | ||
นางสาวใช้ฟังแจ้งแถลงไข | นึกในใจตานี้แกขี้ปด | ||
ถึงป่วยไข้อย่างไรต้องให้พบ | นี่มาหลบซ่อนอยู่ว่ากระไร | ||
คิดขัดใจก้มมองแล้วร้องเรียก | เงียบสำเหนียกยายมาลีอยู่ที่ไหน | ||
ขัดรับสั่งถือตัวไม่กลัวใคร | เป็นผู้ใหญ่ตอแหลทำแชเชือน | ||
ฝ่ายตาอูได้ฟังที่ร่ำว่า | ช่างหยาบช้านี่กระไรใครจะเหมือน | ||
ถ้าดีแล้วไม่พักมาตักเตือน | อยากเล่นเพื่อนเหมือนอย่างเขาพวกชาววัง | ||
ว่าตอแหลหลบลี้เที่ยวหนีหน้า | ข้าเป็นข้าของเจ้าเมื่อไรนั่น | ||
ข้าเป็นข้าพระพระบุตรีที่ในวัง | ถึงกริ้วบ้างปรามปราบไม่หยาบคาย | ||
พวกข้าหลวงชี้หน้าว่าอุเหม่ | ตาเกเรหลังจะยับลงกับหวาย | ||
มาขึ้นเสียงเถียงแทนยายแสนร้าย | หลังจะลายยับป่นถึงต้นคอ | ||
ป่านฉะนี้มิตายหรือยายเฒ่า | เหลือแต่หนังกับเขาเอาเถิดหนอ | ||
ยายมาลีได้ฟังค่อยรั้งรอ | ทำลับล่อคลุมโปงก้งโค้งคลาน | ||
พวกข้าหลวงแลไปว่าไอ้โม่ง | ทำโยงโยงทีจะเผ่นทะเล่นหาง | ||
ลงหมอบราบคาบแก้วแล้วก็วาง | ตบมือผางผางนางสิงโตโผลงมา | ||
ฝ่ายยายเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำเสแสร้ง | ออกยืนแกล้งสั่นเทาหนาวหนักหนา | ||
เอามือป้องหน้ามองร้องหาตา | มาฝนยาให้บ้างเป็นอย่างไร | ||
ฝ่ายตาผัวได้ยินคำเมียว่า | แบกตะกร้าใบตำลึงทึ้งมาให้ | ||
แล้วทำยาทาหน้าผากตามยากไร้ | ไข้จังไรจับสั่นทุกวันคืน | ||
เห็นข้าหลวงหน้าเก้อทำเรอแก้ | ตะลึงแลหันหน้าค่อยฝ่าฝืน | ||
นั่นใครหนอมาสะพรั่งทั้งนั่งยืน | ทำแช่มชื่นทักทายไปไหนมา | ||
นางสาวใช้ได้ฟังกำลังโกรธ | รับสั่งโปรดให้มาตามยายโม่งป่า | ||
แค้นตาเฒ่าเจ้าผัวหัวกะลา | มาพูดจาขัดรับสั่งไม่บังควร | ||
ยายเมียว่าอย่าถือแกเลยแม่ | เป็นคนแก่หลงไปมักไหลเลื่อน | ||
แล้วเรียกหามานั่งที่บนเรือน | พูดกลบเกลื่อนแก้ไขเป็นใจความ | ||
พระรถซ่อนอยู่ในห้องเห็นข้องขัด | ประจงจัดดอกไม้หลายสถาน | ||
ร้อยเป็นสวนบุปผาสุมามาลย์ | ร้อยสถานเคหาของตายาย | ||
แล้วสำเร็จเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ | แอบมาส่งยื่นให้เหมือนใจหมาย | ||
ยายสมนึกตรึกไว้ได้อุบาย | ส่งดอกไม้บอกแถลงแจ้งกิจจา | ||
ครั้นไปถึงช่วยทูลให้ยายด้วย | เพราะเจ็บป่วยฟูมฟักต้องรักษา | ||
ซึ่งทูลนัดผัดไว้มิได้มา | ทรงเมตตายกโทษได้โปรดปราน | ||
พวกข้าหลวงได้ฟังสั่งกำชับ | พากันกลับคืนไปในสถาน | ||
ครั้นมาถึงปรางค์รัตน์ชัชวาล | ยกเอาพานบุปผาสุมาลี | ||
ถวายนางโฉมยงเจ้าทรงซัก | ใคร่ประจักษ์ฤๅว่ายายแกหน่ายหนี | ||
ให้เรานั่งคอยค้างอยู่อย่างนี้ | นี่มาลีของใครเขาให้มา | ||
นางสาวใช้ได้ฟังรับสั่งตรัส | ประสานหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
ทูลแถลงแจ้งอรรถตามสัจจา | ยายมาลาเป็นไข้มาหลายวัน | ||
แกสั่งให้ทูลฉลองละอองบาท | แม้นกริ้วกราดเข่นฆ่าก็อาสัญ | ||
ประทานโทษโปรดด้วยช่วยชีวัน | เป็นแม่นมั่นหายทันไม่อันตราย | ||
จะมาเฝ้าพระธิดาเหมือนว่าขาน | พวงมาลัยใส่พานฝากถวาย | ||
สิ้นข้อความตามเรื่องเคืองระคาย | นางโฉมฉายทัศนาพวงมาลี | ||
แก้ออกเห็นเป็นเรื่องเคหาสถาน | อุบลบานมีในสระวารีศรี | ||
แล้วเห็นรูปราชาทรงพาชี | เป็นสวนศรีหันมาเป็นตายาย | ||
พินิจดูทั่วดวงพวงบุปผา | กัลยาคิดไปฤๅทัยหาย | ||
ชะรอยว่ายายเฒ่าเจ้าอุบาย | คิดมุ่งหมายแยบยลเป็นกลใน | ||
ตำริพลางนางตรัสประภาษถาม | ปีนี้ดอกไม้งามฤๅไฉน | ||
นางข้าหลวงทูลฉลองให้ต้องฤๅทัย | หม่อมฉันได้เห็นบุปผาจำปาปี | ||
ทั้งนางแย้มสายหยุดพุทธชาด | ระดะดาษดอกลำดวนในสวนศรี | ||
ทั้งยี่สุ่นบุนนาคก็มากมี | มิรู้ที่จะเก็บมาน่าเสียดาย | ||
นางโฉมยงทรงฟังรับสั่งว่า | แม้นนิทราดึกดื่นจะตื่นสาย | ||
พรุ่งนี้จะทูลลาไปหายาย | แล้วผันผายเข้าที่ด้วยปรีดา ฯ | ||
◉ ครั้นอรุณรุ่งแจ้งแสงจำรัส | นางกระษัตริย์แต่งองค์ทรงภูษา | ||
ขึ้นเฝ้าองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | นางพญาสมถวิลด้วยยินดี | ||
ฝ่ายท้าวยศสุนทรบวรนาถ | ตรัสประภาษถามองค์นางโฉมศรี | ||
แม่ไปไหนไม่มาหลายราตรี | มาวันนี้จะประสงค์ที่ตรงไร | ||
พระบุตรีทูลแถลงให้แจ้งอรรถ | ด้วยกระษัตริย์สองพระองค์ยังสงสัย | ||
เขาบอกว่ายายเฒ่าเฝ้ามาลัย | แกป่วยไปหลายวันไม่บรรเทา | ||
ฝ่ายสร้อยสุมาลีศรีสมร | เป็นมารดรปลอบประโลมนางโฉมเฉลา | ||
จะไปสวนจึงมาเวลาเช้า | เลือกสาวสาวไปเป็นเป็นเพื่อนอย่าเชือนแช | ||
พระบิตุรงค์ว่าระวังสั่งกำชับ | พวกเฒ่าแก่ไปกำกับอย่าห่างเห[47] | ||
อีสาวสาวเจ้าคารมมันสมคะเน | ไถลเถลแส่หาเล่นตาชาย | ||
อย่าไปไกลเล่นอยู่แต่ในสวน | เวลาจวนบ่ายเบี่ยงจะเที่ยงสาย | ||
พระบุตรีกราบหมอบทางยอบกาย | นางถวายทูลลากลับมาปรางค์ | ||
แล้วสั่งเหล่าสาวศรีพระพี่เลี้ยง | บ้างส่งเสียงจ๊ะจ๋าบ้างขาขาน | ||
ทั้งโขลนจ่าข้าหลวงเป็นอลหม่าน | ไปสั่งการขอเฝ้าแลเจ้ากรม | ||
ให้เตรียมวอช่อฟ้าหลังคาสี | คอยอยู่ที่แถวทิมริมสนน | ||
แล้วรีบกลับทูลแถลงแจ้งยุบล | เข้าเตรียมพลพร้อมเสร็จสำเร็จการ | ||
นางทรงฟังวาทีเข้าที่สรง | ชำระองค์ขัดสีฉวีสาง | ||
กุณฑลเพชรปักมวยสวยสำอาง | ดูเหมือนอย่างกินรินเมื่อลินลา | ||
แล้วเรียกวอช่อฟ้าหลังคาสี | เสียงอึงมี่หวั่นไหวทั้งซ้ายขวา | ||
พวกข้าหลวงสาวสรรกัลยา | บ้างวิ่งมาตามหลังออกพรั่งพรู | ||
ตำรวจในไล่คนทั้งสองข้าง | มาตามทางโดยด่วนถึงสวนศรี[48] | ||
หยุดประทับกับเกยเคยทุกที | แล้วนางสีวิกาจึงว่าพลัน | ||
พวกผู้ชายรายระวังอยู่ข้างนอก | ใครเข้าออกกำชับให้กวดขัน | ||
ถ้าไม่ทำเหมือนสั่งไว้อย่างนั้น | เป็นแม่นมั่นจะฉลองให้ต้องตี | ||
แล้วเชิญองค์พระบุตรีให้ลีลาศ | กำนัลนาถพี่เลี้ยงทั้งสองศรี | ||
ทรงพระกลดถมยาราชาวดี | ส่วนสาวศรีแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง | ||
ยายมาลีแลไปที่ในสวน | เห็นแต่ล้วนเหล่าอนงค์บ้างส่งเสียง | ||
พี่เลี้ยงเดินเรียงรอบ้างคลอเคียง | ยายแกเลี่ยงทำเป็นนอนเหมือนก่อนมา | ||
แล้วบอกกับตาอู่อยู่ไม่ได้ | เห็นดีร้ายพระธิดาจะมาหา | ||
จงไปซ่อนเสียให้ลับอยู่กับตา | อันตัวข้าเจ็บอยู่ไม่สู้กระไร | ||
ฝ่ายพระรถกับตาพากันหนี | ไปซ่อนที่พุ่มประยงค์ไม่สงสัย | ||
พระพยักกวักเรียกมโนมัย | อาชาไปซ่อนซุ่มในพุ่มรก | ||
สีวิกาพาเดินตำเนินนาด | แลประพาสสวนขวัญด้วยกันหมด | ||
ถึงเรือนยายนั่งพร้อมน้อมประณต | ทรงกั้นกลดเยื้องย่างมาข้างกระได | ||
สุมณฑายืนมองแล้วร้องเรียก | เงียบสำเหนียกอยู่ฤๅว่าไปไหน | ||
ยายมาลีแอบมองย่องออกไป | ทำเป็นไข้งกงันตัวสั่นรัว | ||
ด้วยคิดกลัวนางจะโกรธทำโทษกรณ์[49] | ................................................... | ||
.......................................................... | .................................................... | ||
จึงกราบทูลโฉมยงนางนงลักษณ์ | เชิญหยุดพักเสียสักครู่พอแดดอ่อน | ||
ประเดี๋ยวนี้ร้อนนักเราจักจร | ค่อยเหือดร้อนจึงเสด็จทรงเมตตา ฯ | ||
◉ ยุพยงทรงฟังยายทูลสาร | เยาวมาลย์สรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
แล้วขึ้นเรือนยายเฒ่าเฝ้ามาลา | ฉันคิดว่ามากมายวุ่นวายจริง | ||
นางสีวิกาว่ายายไม่ตายดอก | สุมณฑานางบอกว่าผีสิง | ||
ต่างหัวเราะเยาะยายไม่หมายจริง | สมรมิ่งทรงพระสรวลแล้วชวนยาย | ||
นางยุรยาตรนาดนวลเข้าสวนขวัญ | นางกำนัลพี่เลี้ยงตามผันผาย | ||
เห็นอะไรเสือกสนกระวนกระวาย | เก็บดอกไม้อื้อฉาวเสียงกราวเกรียว | ||
นางโฉมยงหลงเพลินเจริญจิต | แต่ยายคิดมุ่งมองพาท่องเที่ยว | ||
สีวิกาว่ายายขยันเจียว | แกพาเลี้ยวไปทางซุ้มพุ่มประยงค์ | ||
ลางนางบ้างก็เก็บเอาดอกแก้ว | ได้แล้วทรามวัยใส่มวยผม | ||
ลางนางบ้างก็เก็บดอกประยงค์ | เอายื่นส่งให้เพื่อนเหมือนผู้ชาย | ||
ลางนางบ้างเก็บได้กาหลง | ใส่กระทงว่าฉันจะถวาย | ||
ที่ลางนางแอบดูพวกผู้ชาย | ทำยักย้ายใส่จริตข้างบิดพลิ้ว | ||
นางโฉมยงทรงสอยดอกสร้อยฟ้า | แล้วส่งมาให้ข้าหลวงทำพวงหิ้ว | ||
ทั้งหนามเหนี่ยวเกี่ยวก้อยเป็นรอยริ้ว | อตส่าห์หิ้วเก็บห่อเอาพอการ | ||
ฝ่ายตาเฒ่าเข้าซุ้มพุ่มพฤกษา | เห็นเขามาผู้คนออกล้นหลาม | ||
เห็นยายเมียเดินนำออกสำราญ | แกสั่งหลานกระซิบบอกอย่าออกไป | ||
แล้วแหวกช่องมองดูพวกผู้หญิง | ทำทอดทิ้งกิริยาอัชฌาศัย | ||
สองนางเมียงเคียงข้างไม่ห่างไกล | ก็มาใกล้ข้างซุ่มพุ่มประยงค์ | ||
แกแอบมองงันงกตกประหม่า | พระธิดาเดินกลางเหมือนนางหงส์ | ||
พระกระซิบเบาเบาให้เทาลง | เอามือทรงกดบ่าห้ามตาไว้ | ||
แล้วพระแอบมองบ้างตารั้งลาก | แกทำปากยุบยิบกระซิบให้ | ||
ไม่เจียมตัวกลัวเขาพวกชาวใน | จะทำให้เขาขายเอายายตา | ||
พระทรงฟังนั่งมิไม่ปริปาก | ด้วยว่าอยากเห็นอนงค์คิดสงสัย | ||
เห็นตาเมินพระก็เมียงเลี่ยงออกไป | หมายมิให้โฉมยงเจ้าสงกา | ||
พระพินิจพิศวงนางนงนุช | เห็นสิ้นสุดที่จะเปรียบประเทียบหา | ||
ด้วยรุ่นสาวขาวผ่องติดต้องตา | ลัคนางามสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
ทำไฉนพี่จะได้เจ้าดวงสมร | ช่างอรชรล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
ดังพระจันทร์ทรงกลดหมดราคี | เหมือนเมรีโฉมงามให้ตามมา | ||
งามละม้ายคล้ายกันกับขวัญเนตร | พี่ทุเรศมาด้วยความเสน่หา | ||
กระแอมไอให้เสียงไม่พูดจา | พระธิดาหวั่นหวาดประหลาดใจ | ||
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกระษัตริย์ | สองกระหวัดไปด้วยคิดพิสมัย | ||
นางชม้ายชายดูพระภูวนัย | มิใช่ไพร่นวลละอองดังทองทา | ||
ชะรอยเป็นสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | เสียสมบัติหรือมาเที่ยวแสวงหา | ||
ตำริพลางย่างเยื้องชำเลืองมา | แฝงพฤกษายืนแลอยู่แต่ไกล | ||
พระผันแปรแลพบนางสบพักตร์ | กำเริบรักด้วยคิดพิสมัย | ||
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายนางอายใจ | เสด็จไปที่สำนักตำหนักจันทน์ | ||
พระโฉมงามแลตามจนลับเนตร | แสนเทวศรัญจวนหวนกระสัน | ||
เห็นทรามเชยเลยไปเสียไกลกัน | ต่างกระสันมิตรจิตมิตรใจ ฯ | ||
◉ ฝ่ายโฉมทัศมาลีศรีสมร | อุระร้อนไปข้างคิดพิสมัย | ||
นางสั่งเหล่าสาวสรรกำนัลใน | เราจะไปเสียแต่วันไม่ทันเย็น | ||
แล้วสั่งยายให้เก็บดอกไม้ด้วย | ยายไปช่วยร้อยมาลัยจะใส่เล่น | ||
สีวิกาว่าฉันร้อยไม่เป็น | สุมณฑาว่าฉันเห็นยายร้อยงาม | ||
ต่างสำรวลสรวลสันต์ด้วยหรรษา | พระธิดาเยื้องย่างมากลางสนาม | ||
ขึ้นทรงวอสุวรรณมิทันนาน | เยาวมาลย์กลับหลังเข้าวังใน | ||
ฝ่ายท่านยายนายสวนเห็นจวนค่ำ | บ่นงุมงำเรียกหาตาไปไหน | ||
ฝ่ายพระรถกับม้าอาชาไนย | ก็กลับไปเคหาพร้อมตายาย ฯ | ||
◉ ฝ่ายเจ้าทัศมาลีศรีสมร | ทิพากรส่องสว่างกระจ่างฉาย | ||
ออกจากที่หวนคะนึงคิดถึงยาย | ไม่ทันสายยายเฒ่าก็เข้ามา | ||
เห็นโฉมยงลงคำนับอภิวาทน์ | พระนางนาฎสรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
แล้วให้ยกดอกไม้ที่ได้มา | รับสั่งว่ายายร้อยฉันคอยดู | ||
ยายมาลีได้ฟังแกนั่งนึก | หัวอกเต้นตึกตึกจนใจอยู่ | ||
แต่กำเนิดมาหัวอกกู | จะได้รู้ร้อยอะไรก็ไม่เป็น | ||
สีวิกามาช่วยนั่งปลิดก้าน | สุมณฑาว่ายายวานช่วยสนเข็ม | ||
แล้วส่งด้ายให้ยายหมายว่าเป็น | อยากจะเห็นจะได้จำเป็นสำเนา | ||
แล้วหยิบดอกไม้มองร้องว่าหนอน | เอามาซ้อนดูลองร้องว่าเน่า | ||
จะร้อยเป็นแข้งขาแกว่าเดา | ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่เป็นพวง | ||
นางโฉมตรูรู้อุบายว่ายายแกล้ง | จำจะแสร้งซักไซ้ต้องไต่สวน | ||
จะได้สมกับยายเฒ่าเจ้ากระบวน | ฟังสำนวนท่าทางจะอย่างไร | ||
เห็นดอกไม้ยับย่อยล้วนรอยเข็ม | จะเอาเป็นเรื่องอะไรมันไม่ได้ | ||
เสียดอกไม้ใบตองกว่าสองไพ | ทำไถลตำหมากอ้าปากเรอ | ||
นางโฉมตรูรู้ว่าร้อยไม่ได้ | ทำยักย้ายเจ้าสำนวนกวนโทโส | ||
ออกเกลื่อนกลาดกวาดกองไอ้กะโต | อย่าปดโป้ขอถามแต่ตามจริง | ||
ที่ร้อยเป็นพาชีมีเคหา | ใครให้มาแล้วยายอย่าได้นิ่ง | ||
ถ้าปิดงำอำไว้มิให้จริง | เหมือนไข้วิ่งหาหมอคอยรอยา | ||
ยายมาลีตกใจแล้วไหว้กราบ | สารภาพพรั่นตัวกลัวนักหนา | ||
จะทูลความตามเรื่องแต่แรกมา | พระแม่อย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง | ||
คือหนุ่มน้อยจรมาขออาศัย | มีแก่ใจเวทนาตาให้อยู่ | ||
ไม่เกียจคร้านมีจิตคิดเอ็นดู | มิได้รู้แห่งหนตำบลใด | ||
พระเทพีฟังคดีแล้วทำว่า | ยายอย่าเคลือบแฝงแหนงไฉน | ||
แม้นทราบถึงบิตุรงค์พระทรงชัย | คบมาไว้ความผิดจะติดตัว | ||
แม้นไปถึงจึงถามให้ได้ข่าว | ถ้าทำฉาวจะฆ่าเสียทั้งเมียผัว | ||
ยายมาลีเห็นไม่โปรดคาดโทษตัว | ทำยิ้มหัวทูลลากลับมาเรือน | ||
แล้วบอกความตามสั่งมาทั้งหมด | ให้พระรถแจ้งคดีฟังถี่ถ้วน | ||
นางซักไซ้ไถ่ถามตามกระบวน | ว่าไม่ควรคบหาเอามาไว้ | ||
แม้นทราบความตามเรื่องจะเคืองขัด | อยู่จังหวัดธานีบุรีไหน | ||
เป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์หรือชาวไพร | ธุระไรจึงมาถึงธานี | ||
พระทรงฟังคำยายให้ไถ่ถาม | ไม่ทราบความไฉยามารศรี | ||
มาพึ่งบุญยายตาก็ปรานี | ได้เป็นที่อุปถัมภ์ช่วยค้ำชู | ||
ตัวคนเดียวเที่ยวมาอนาถา | เหมือนกำพร้าสิ้นแกนแสนอดสู | ||
นางโฉมยงสงสัยจะใคร่รู้ | ยายเอ็นดูช่วยถือหนังสือไป | ||
แล้วร่างเรื่องศุภสาสน์เป็นการลับ | พอเสร็จสรรพจารึกผนึกสาร | ||
อีกทั้งธำมรงค์รัตน์ชัชวาล | ถวายสาสน์จะได้เห็นเป็นสำคัญ | ||
ยายมาลีดีใจได้หนังสือ | ไม่อึงอื้อย่างกรายรีบผายผัน | ||
ถึงตำหนักพระธิดาวิลาวัลย์ | พอนางผันผินพักตร์มาทักยาย | ||
แกดีใจซ่อนสาสน์คลานเข้าใกล้ | ที่คิดไว้เห็นจะสมอารมณ์หมาย | ||
กรประนมก้มหมอบพลางยอบกาย | แล้วถวายสาสน์ศรีด้วยปรีดา | ||
นางโฉมยงทรงรับกับพระหัตถ์ | ศรีสวัสดิ์หวั่นจิตขนิษฐา | ||
แล้วเลยเข้าปรางค์ในมิได้ช้า | พระธิดาคลี่สาสน์ออกอ่านความ | ||
ในสาสน์ทรงองค์พระรถบทเรศ | จากประเทศมิถิลามหาสถาน | ||
มาอาศัยในสวนอุทยาน | ขอประทานโทษาท่านตายาย | ||
หมายพระนุชบุตรีศรีสมร | ดังจันทรเปล่งศรีฉวีฉาย | ||
พระธำมรงค์กับมาลัยร้อยให้ยาย | มาถวายขวัญเนตรเหมือนเจตนา | ||
อย่าหลงโกรธโทษยายเลยสายสมร | พี่อาวรณ์ถึงมิตรขนิษฐา | ||
แม้นขัดเคืองเรื่องมาลัยไฉนนา | ตอบสารามาสักน้อยจะร้อยเอย ฯ | ||
◉ นางโฉมยงทรงฟังอักษรสาสน์ | เยาวมาลย์แอบอิงพิงเขนย | ||
น่าบัดสีนี่กระไรยังไม่เคย | จะนิ่งเฉยเสียก็เห็นไม่เป็นการ | ||
แล้วหยิบพระธำมรงค์มาทรงหัตถ์ | แจ่มจำรัสต้องตำราเหมือนว่าขาน | ||
ดูแดงก่ำน้ำพรายสายสังวาล | สีสัณฐานราวกับปอกไม่หมอกมัว | ||
ใครได้ไว้จำเริญเพลินสมบัติ | สารพัดคุ้มภัยไปได้ทั่ว | ||
ถ้าแตกร้าวอย่าเอาไว้ใส่กับตัว | จะพาชั่วชอกช้ำต้องรำคาญ | ||
ชะรอยเป็นสุริวงศ์พงศ์กษัตริย์ | จากสมบัติมานิเวศเขตสถาน | ||
แม้นมิตอบมธุรสพจมาน | ก็สงสารคิดถึงแหวนแสนเสียดาย | ||
แล้วหยิบสุวรรณบุปผาชาติ | มุกดาดาษหาราคาค่ามิได้ | ||
สำหรับปักมวยช้องของต้องใจ | เรืองอุไรเพชรประดับดูวับวาม | ||
ดอกไม้ทองของฉันกับหนังสือ | จารึกชื่อปิดตราเหมือนว่าขาน | ||
โปรดประทานให้ยายมิได้นาน | ถวายสาสน์จะได้เห็นเป็นสำคัญ | ||
ยายมาลีกราบคำนับแล้วรับสาสน์ | มิได้นานกลับไปเหมือนใจหวัง | ||
มาถึงสวนรีบรุดไม่หยุดยั้ง | เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นไปจนปลาย | ||
พระรับสาส์นของยุพินเห็นสิ้นเสร็จ | ดอกไม้เพชรหยิบไว้เหมือนใจหมาย | ||
แล้วคลี่สาสน์อ่านตามความอุบาย | ขอถวายอภิวาทน์บาทยุคล | ||
หม่อมฉันทัศมาลีศรีสมร | เจริญพรศรีสวัสดิ์พิพัฒน์ผล | ||
ครั้นทราบสาสน์ว่าพระภูวดล | ต้องขวายขวนหม่อมฉันถวายดอกไม้ทอง | ||
ซึ่งประทานธำมรงค์มาวงหนึ่ง | ก็หมายพึงสาสน์เสนอบำเรอสนอง | ||
ด้วยคลางแคลงแหนงในฤๅทัยปอง | ผิดทำนองบทเบื้องเรื่องบูราณ | ||
เชิญพระองค์จงกลับไปนคเรศ | ยังประเทศมิถิลามหาสถาน | ||
ให้ทูตามาประณตบทมาลย์ | ขอประทานทรงฤทธิ์พระบิดา | ||
นี้และเห็นเป็นที่สถาผล | ประชาชนไม่มีใครครหา | ||
แม้นสมหวังดังนึกที่ตรึกตรา | ขอเป็นข้าเกือกทองรองธุลี | ||
จะมาเล่นเพลงยาวกล่าวเพลงสั้น | กระหม่อมฉันไม่ถนัดน่าบัดสี | ||
จะขัดเคืองเรื่องมาลัยก็ไม่มี | ยายมาลียกโทษไม่โกรธเอย | ||
พระสดับสุนทรอักษรสาสน์ | พจมานเหลือดีจะมีไหน | ||
แล้วจึงเขียนสาสน์ตอบด้วยขอบใจ | หวังจะให้โฉมตรูเจ้ารู้องค์ | ||
แล้วพับจีบรีบสลักตัวอักษร | ให้บังอรทรามสงวนนวลระหง | ||
ยายมาลีรีบไปเหมือนใจจง | ถวายองค์พระธิดายุพาพาล | ||
นางรับสาสน์อ่านสนองว่าน้องแก้ว | พี่มาแล้วยังจะให้ไปสถาน | ||
แสนวิตกอกกรมมานมนาน | ไม่สงสารพี่บ้างฤๅอย่างไร | ||
แล้วจะให้ทูตถือหนังสือสาสน์ | มาว่าขานขอมิตรพิสมัย | ||
พี่อยู่ถึงด้าวแดนก็แสนไกล | เหลืออาลัยแล้วจึงมากับพาชี | ||
ค่ำวันนี้พี่จะมาแล้วอย่าหลบ | ขอให้พบกันกับน้องอย่าหมองศรี | ||
พอจบสาสน์อ่านสิ้นพลางยินดี | มิรู้ที่จะว่าขานประการใด | ||
ยายมาลีดีใจกลับไปสวน | พระรถชวนพูดจาอัชฌาศัย | ||
พอพลบค่ำย่ำฆ้องเข้าห้องใน | พลางปราศรัยสนทนาด้วยตายาย | ||
แล้วตรัสเรียกอาชาเข้ามาแจ้ง | เล่าแถลงเหมือนสาสน์มาขานไข | ||
วันนี้นัดไว้กับนางที่ข้างใน | อาชาไปด้วยกันเหมือนสัญญา | ||
พอได้ยินไก่ขันกระชั้นแจ้ว | กาเหว่าแว่วส่งเสียงสำเนียงจ้า | ||
พระแต่งองค์ทรงนั่งหลังอาชา | หอมบุปผากลิ่นเกลี้ยงเมื่อเที่ยงคืน | ||
พระผันแปรแลหาปรางค์ปราสาท | รุกขชาติน่าชมร่มระรื่น | ||
พระจันทรแจ่มกระจ่างนภางค์พื้น | พระแช่มชื่นเหาะตรงลงบัญชร | ||
แล้วตรัสสั่งอาชาพลาหก | ต้นแก้วดกเป็นพุ่มจงซุ่มซ่อน | ||
ระวังตัวกลัวภัยอย่าได้นอน | พระจันทรล่วงลับจะกลับมา | ||
หัสดรได้ฟังสั่งกำชับ | จึงกล่าวกลับตอบความตามภาษา | ||
เชิญเสด็จให้สบายคลายวิญญา | ข้าอาชานี้เห็นไม่เป็นไร | ||
พระรู้เท่าอาชานั้นว่าเปรียบ | ค่อยเดินเลียบแกลทองอันผ่องใส | ||
เงียบสงัดสาวสรรกำนัลใน | แต่ทรามวัยนั่งคอยร้อยมาลี | ||
พระแฝงเงาตำหนักผลักบานเผย | นางทรามเชยหวาดหวั่นมิ่งขวัญหนี | ||
เหลียวผวาคว้าพวงสุมาลี | พระสู่ที่แท่นทองเคียงน้องยา | ||
นางถอยถดลดองค์ลงจากอาสน์ | พระภูวนาถกุมกรกนิษฐา | ||
จะถอยหนีพี่ไยนะกัลยา | นางประหม่าเมียงเมินสะเทิ้นอาย | ||
พระทรงโฉมโลมเล้าว่าเจ้าพี่ | ไม่พอที่หวาดหวั่นมิ่งขวัญหาย | ||
ไฉนแหนงแคลงจิตคิดระคาย | เชิญโฉมฉายสู่ที่ด้วยพี่ยา | ||
นางชม้ายอายองค์พระทรงศร | ประนมกรอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
พอแลสบพบเนตรกษัตรา | เสน่หาปั่นป่วนให้ยวนยี | ||
แล้วทูลถามตามประสงค์จำนงนึก | พระมาดึกนัดไว้แล้วไม่หนี | ||
จะใคร่ทราบในพระทัยร้ายฤๅดี | ยายมาลีเป็นทูตมาพูดแทน | ||
พระสดับวาทินยุพินถาม | จึงยกความก่อนเก่าเล่าแถลง | ||
ไม่ปิดบังมิ่งมิตรอย่าคิดแคลง | ใช่จะแกล้งล่อลวงเอาท่วงที | ||
ว่าพลางทางประโลมโฉมเฉลา | อะไรเล่าเฝ้าปัดแต่มือพี่ | ||
พระจุมพิตชิดชวนให้ยวนยี | มารศรีป้องปัดสลัดกร | ||
พลางสวมสอดกอดน้องประคองเคล้า | ค่อยต้องเต้าพุ่มพวงดวงสมร | ||
ทางอิงแอบแนบชิดสนิทนอน | สโมสรเสน่หายุพาพาน | ||
สองภิรมย์สมสนิทพิศวาส | ภูวนาถแนบชิดขนิษฐา | ||
ต่างปราศรัยไถ่ถามกันสองรา | ครั้นค่ำมาเช้าไปได้หลายวัน ฯ | ||
◉ ฝ่ายสองรานารีเป็นพี่เลี้ยง | ตะวันเที่ยงย่างกรายต่างผายผัน | ||
เข้าเฝ้าองค์พระธิดาวิลาวัลย์ | เห็นผิวพรรณมัวหมองดังต้องชาย | ||
ทั้งจริตผิดกว่าแต่ก่อนเก่า | พระฉวีศรีเศร้าไม่เฉิดฉาย | ||
คิดพลางทางทูลเป็นแยบคาย | หมอบชม้ายนางเห็นตรัสเป็นที | ||
วันนี้พี่สีวิกามาแต่เช้า | ฉันหนาวหนาวไม่สบายอยู่ในที่ | ||
ให้แน่นเหน็บเจ็บทั่วทั้งนาภี | มาวันนี้เป็นน้อยดูค่อยคลาย | ||
สุมณฑาว่ายาหมอข้างที่ | หอมอย่างดีโอสถบดถวาย | ||
สีวิกาหยิบถ้วยมาละลาย | แล้วถวายทรามเชยเสวยยา | ||
แล้วทูลเชิญโฉมยงให้สรงเสวย | เหมือนอย่างเคยฟูมฟักคอยรักษา | ||
แล้วทรามเชยเลยไปที่ไสยา | กษัตราสวมสอดกอดพระน้อง | ||
แล้วถามว่าใครมาเมื่อตะกี้ | นางว่าพี้เลี้ยงหม่อนฉันมาทั้งสอง | ||
ครั้นจะไม่คิดอ่านออกหว่านล้อม | ไข้สมยอมบอกป่วยเป็นด้วยเคราะห์ | ||
พระจุมพิตชิดชมภิรมย์สวาท | แสนฉลาดดังว่าจะพาเหาะ | ||
ต่างเซ้าซี้ยียวนชวนฉอเลาะ | แสนเสนาะสองสมภิรมยา ฯ | ||
◉ ฝ่ายสองรานารีพระพี่เลี้ยง | เห็นสายเที่ยงฟังสำเหนียกคอยเรียกหา | ||
แล้วสั่งเหล่าสาวสรรกัลยา | พระธิดาไม่สบายมาหลายวัน | ||
เวลานี้อย่าคะนองจะต้องกริ้ว | ใครบิดพลิ้วคบเพื่อนเตือนสันหลัง | ||
แม้นดึงดื้อถือดีว่ามิฟัง | ใครพลาดพลั้งก็จะทูลให้วุ่นวาย | ||
แล้วสองนางเยื้องย่างเข้าข้างที่ | จัดพระศรีโอสถบดถวาย | ||
เครื่องสุคนธ์ปนทองละอองพราย | แล้วก้มกายแหวกวิสูตรไม่พูดจา | ||
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท | ร่วมไสยาสน์แนบชิดขนิษฐา | ||
นวลละอองผ่องพักตร์ลักขณา | สีวิกาแข็งขึงตะลึงกาย | ||
แล้วถอยออกนอกวิสูตรพูดไม่ออก | กระซิบบอกเบาเบาเล่าขยาย | ||
พระบุตรีคบชู้อยู่กับชาย | เราก็หมายว่าเจ็บเป็นเหน็บชา | ||
สุมณฑาได้ยินสิ้นสติ | ลงนั่งมิคิดคำนึงแล้วจึงว่า | ||
จะคิดฉันใดดีสีวิกา | ก็หมายว่าทรามสงวนไม่ควรเป็น | ||
ทั้งสองนางอัดอั้นให้ตันอก | ยิ่งวิตกในจิตไม่คิดเห็น | ||
ก็สุดแต่ผลกรรมต้องจำเป็น | ไม่รู้เห็นด้วยสักน้อยต้องพลอยตาย | ||
ฝ่ายองค์พระธิดาไสยาตื่น | นางแช่มชื่นด้วยสมอารมณ์หมาย | ||
ลงจากแท่นที่สุวรรณพรรณราย | จึงผันผายสระสรงทรงสุคนธ์ | ||
แล้วยุรยาตรนาดกรอ่อนแฉล้ม | ตรัสยิ้มแย้มด้วยสุรางค์นางสนม | ||
สองพี่เลี้ยงเคียงข้างต่างปรารมภ์ | แล้วนิ่งก้มหน้านึกค่อยตรึกตรอง | ||
พระธิดาเห็นผิดคิดประหลาด | ก็ยุรยาตรเลยไปเสียในห้อง | ||
สองนารีพี่เลี้ยงเคียงประคอง | เห็นได้ช่องลับตาจึงพาที | ||
โอ้พระนุชบุตรเจ้าพี่เอ๋ย | ไฉนเลยนวลละอองมาหมองศรี | ||
เป็นไรแก้วแววตาไม่พาที | จะบอกพี่แต่สักหน่อยไม่น้อยใจ | ||
ทูลพลางโหยไห้พิไรร่ำ | จะทำกรรมให้พี่หรือไฉน | ||
แม้นทราบถึงบิตุรงค์พระทรงชัย | ไหนจะไว้ชีวาคงฆ่าตี | ||
สู้สนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา | จนใหญ่กล้าหมายจะฝากแต่ซากผี | ||
มิขออยู่สู้ตายวายชีวี | เป็นกรรมแล้วแก้วพี่จะขอลา | ||
นางโฉมยงทรงฟังก็สังเวช | สุชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | ||
ฉันผิดจริงแล้วพี่สีวิกา | สุมณฑายอดสร้อยจึงน้อยใจ | ||
จะคิดฉันใดดีเล่าพี่เอ๋ย | ก็ได้เลยแล้วกรรมจะทำไฉน | ||
ทั้งชอบผิดย่อมรู้อยู่แก่ใจ | น้องจะใคร่ผูกศอให้มรณา | ||
ทั้งสองนางตกใจแล้วไหว้กราบ | จะเป็นบาปกรรมไปเมื่อภายหน้า | ||
ปลอบประโลมโฉมศรีวิยะดา | ต่างโศกาจ้ำจี้พิรี้พิไร | ||
ครั้นวายโศกนางกลับไปสู่ห้อง | ถึงแท่นทองบังคมประนมไหว้ | ||
แล้วทูลความตามจริงทุกสิ่งไป | พระเนาในแท่นทองกับน้องยา | ||
สีวิกามาเห็นจึงเป็นเหตุ | น่าสมเพชทรงศักดิ์เป็นหนักหนา | ||
แม้นทราบถึงทรงฤทธิ์พระบิดา | ก็จะมากริ้วโกรธทำโทษภัย | ||
นฤบาลฟังสารแจ้งประจักษ์ | ด้วยนงลักษณ์บอกตรงไม่สงสัย | ||
เจ้าไปบอกสองนางมาข้างใน | พี่จะใคร่ถามลวงดูท่วงที | ||
นางดีใจไปพาเข้ามาเฝ้า | ต่างน้อมเกล้ากราบประณตบทศรี | ||
พระเห็นหน้าสีวิกาคิดปรานี | แล้วจึงมีเทวราชประภาษพลัน | ||
ให้ตามมาหารืออย่าถือผิด | มิได้คิดรังเกียจข้างเดียดฉันท์ | ||
จะรักน้องสองเจ้าให้เท่ากัน | ขอเจ้าขวัญนัยนาจงปรานี | ||
อันโทษพี่มีผิดจะคิดไฉน | จะปรับไหมแล้วแต่น้องทั้งสองศรี | ||
ถ้าแม้นไม่เมตตาจะฆ่าตี | พระแท่นที่นี้และเหมือนเป็นเรือนตาย | ||
สองพี่เลี้ยงนบนอบตอบสนอง | รู้ทำนองนึกไว้เหมือนใจหมาย | ||
จึงเสแสร้งแกล้งทูลบรรยาย | คนทั้งหลายรู้สิ้นจะนินทา | ||
พระผิดด้วยสิ่งไรจะให้ปรับ | ไม่เสียทรัพย์ก็ได้สมปรารถนา | ||
ด้วยตั้งจิตคิดไว้แต่ไรมา | ก็หมายว่างามพักตร์จะรักยศ | ||
จะชอบผิดปิดไว้มิได้ว่า | พระเมตตาเสียทั้งนั้นด้วยกันหมด | ||
ทูลพลางทางชม้อยช้อยชด | มิรู้หมดคำขำน่ารำคาญ | ||
พระธิดารู้ทีสองพี่เลี้ยง | ทูลบ่ายเบี่ยงพจนาจึงว่าขาน | ||
แม้นทราบถึงทรงศักดิ์จักรพาล | จะคิดอ่านแก้ไขฉันใดดี | ||
ถึงตัวน้องจะตายก็ไม่ว่า | จะก้มหน้าสู้ม้วยไปเมืองผี | ||
ขอพระองค์ทรงศักดิ์ช่วยภักดี | สองพี่นี้ชุบเลี้ยงให้เที่ยงธรรม์ | ||
พระฟังนางช่างคิดสนิทสนม | อย่าปรารมภ์จะถนอมเป็นจอมขวัญ | ||
ทั้งร่วมคิดร่วมรู้คู่ชีวัน | ให้ป่วนปั่นไปตามด้วยความรัก | ||
สีวิกาแน่งน้อยนวลศรี | พระบุตรีให้เป็นคนปรนนิบัติ | ||
สุมณฑาหมอบกรานอยู่งานพัด | ต่างเปลี่ยนผลัดทุ่มยามตามเวลา ฯ | ||
◉ จะกล่าวถึงเสนาพวกอำมาตย์ | เที่ยวประพาสตรวจไปในสถาน | ||
มาเห็นม้านิลดำสวยสำอาง | ดูต้องอย่างผิดกับม้าอาชาไนย | ||
ต่างพากันด้อมมองร้องให้จับ | ม้าขยับผกผันหันเข้าใส่ | ||
คำรนร้องเผ่นโผนโจนออกไป | พระรถได้ยินสำเนียงเสียงอาชา | ||
พระแฝงหน้าแกลทองมองเขม้น | ไม่ทันเห็นคนพิทักษ์อยู่รักษา | ||
พอแลพบสบหน้าพวกเสนา | ดังหนึ่งว่าต้องศรสะท้อนทรวง | ||
พระถอยหลังลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | พงศ์กระษัตริย์ทุกข์ใจเป็นใหญ่หลวง | ||
ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเจ้ากระทรวง | ครรไลล่วงกลับมาแล้วพาที | ||
เมื่อตะกี้เห็นคนบนปราสาท | ผิดประหลาดกันกับเหล่าพวกสาวศรี | ||
หนึ่งพระราชบุตรชายก็ไม่มี | ดูท่วงทีผิดกับเขาพวกชาวใน | ||
อำมาตย์ใหญ่ได้ฟังนั่งฉงน | จะว่าคนในบูรีฤๅที่ไหน | ||
จงฟังหูไว้หูคอยดูไป | ด้วยเป็นในปราสาทพระราชวัง | ||
กองตระเวนนายตรวจอยู่หมวดไหน | หน้าที่ใครมัวเที่ยวไม่เหลียวหลัง | ||
จึงมิได้ตรวจไตรระไวระวัง | ผิดก็หลังมันเองไม่เกรงกลัว | ||
ค่ำวันนี้จะไปดูให้รู้แน่ | เห็นเที่ยงแท้จะได้ทูลพระอยู่หัว | ||
แต่ลำพังยังไม่ไว้ใจตัว | ได้เห็นทั่วจะได้ลือสีมือเรา | ||
แล้วสั่งให้คนยกกระยาหาร | สุราบานใส่สำรับกินกับข้าว | ||
เป็ดพะแนงแกงเทโพโตไม่เบา | หยิบขวดเหล้ารินสุราออกมากิน[50] | ||
ฤทธิ์สุราพาจิตฟุ้งซ่าน | มิทันนานเสวกาก็มาถึง | ||
ต่างปรึกษาหารือไม่อื้ออึง | คงทราบถึงเจ้าอยู่หัวกลัวมันไย | ||
แล้วพากันเข้าไปในนิเวศน์ | คอยฟังเหตุการณ์จะมีอยู่ที่ไหน | ||
แลเห็นพวกนั่งยามไม่ตามไฟ | ทำไมไม่เที่ยวตรวจทุกหมวดกอง | ||
แล้วเดินมาข้างปรางค์นางกระษัตริย์ | เงียบสงัดยืนฟังอยู่ทั้งสอง | ||
ได้ยินเสียงกรากกรุกลุกขึ้นมอง | ดูตามช่องแกลสลักไม่ทักทาย | ||
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท | กับนุชนาถเคียงกันเหมือนมั่นหมาย | ||
ได้เห็นแท้แน่จริงทั้งหญิงชาย | ก็ผันผายกลับหลังเข้าวังใน | ||
ฝ่ายท้าวยศสุนทรบวรนาถ | ก็ยุรยาตรสู่พระโรงวินิจฉัย | ||
พร้อมอำมาตย์มาตยาเสนาใน | น้อมถวายดุษฎีชุลีกร | ||
อำมาตย์ใหญ่คลานก้มบังคมบาท | อภิวาทน์บาทมูลทูลฉลอง | ||
เอาหนังสือขึ้นถวายเหมือนใจปอง | พอได้ช่องถอยหลังฟังโองการ ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังก็รู้แจ้ง | ดังศรแผลงปักทรวงประหารผลาญ | ||
เสียดายองค์พระธิดายุพาพาล | จะใคร่ผลาญเสียให้ม้วยไปด้วยกัน | ||
แสนวิตกอกช้ำเป็นน้ำหนอง | พระตรึกตรองเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
จึงตรัสเรียกเสนาเข้ามาพลัน | ข้อสำคัญเอ็งเห็นเป็นอย่างไร | ||
เสนากราบบาทมูลทูลฉลอง | ขอเดชะฝ่าละอองอย่าสงสัย | ||
เกล้ากระหม่อมเห็นแท้แน่ในใจ | อำมาตย์ได้แอบดูอยู่ด้วยกัน | ||
พระนิ่งฟังอำมาตย์คนอาจหาญ | รู้ชำนาญมนต์เวทวิเศษขลัง | ||
ทั้งแกล้วกล้าล่องหนคงกระพัน | ปรึกษากันกับท้าวเจ้านคร | ||
แม้นได้ทีตีจับอย่ายับยั้ง | มัดไพล่หลังเอามาข้างหน้าก่อน | ||
อำมาตย์กราบสามทีชุลีกร | นรินทรเคืองแค้นแสนทวี | ||
แล้วเลยเข้าข้างในมิได้ตรัส | โทมนัสเลยไปเสียในที่ | ||
ฝ่ายเสนาอำมาตย์ราชกวี | ออกจากที่ต่างมาปรึกษากัน | ||
ครั้นพลบค่ำย่ำมัวทั่ววิถี | ขุนเสนีกับอำมาตย์ก็ผายผัน | ||
ร้องเรียกหาบ่าวไพร่ไปด้วยกัน | พอไก่ขันสามยามตามเวลา | ||
แล้วพากันขึ้นปรางค์นางกระษัตริย์ | อำมาตย์จัดเทียนข้าวตอกดอกบุปผา | ||
ทั้งภูตพรายกายสิทธิ์วิทยา | ร้องเรียกมาปลุกเสกทำเลขยันต์ | ||
แล้วเข้านั่งภาวนามหาสะกด | ก็หลับหมดดังตายไม่ใฝ่ฝัน | ||
สมคะเนเสนาเข้ามาพลัน | จับไว้มั่นรวบรัดมัดพระกร | ||
แล้วคลี่คลายร่ายมนต์ให้รู้สึก | ได้สำนึกพากันผันผยอง | ||
ทั้งเสนาอำมาตย์ก็พรั่งพร้อม | สงสารจอมจักรพรรดิกษัตรา | ||
ไม่รู้ตัวมัวหลับเขาจับมัด | นางกระษัตริย์แทบชีวังจะสังขา | ||
ทั้งพี่เลี้ยงสาวสรรกัลยา | ไม่รู้ว่าแซ่สำเนียงเสียงอะไร | ||
อำมาตย์พามาหน้าพระลานหลวง | คนทั้งปวงโจษกันเสียงหวั่นไหว | ||
บ้างก็ว่าเห็นทีจะมีภัย | แต่ยังไม่รู้ชัดเขามัดมา | ||
สงสารหน่อบพิตรอดิศร | ให้เร่าร้อนถึงมิตรขนิษฐา | ||
แสนอดสูหมู่อำมาตย์มาตยา | ต่างวิ่งมาอื้ออึงคะนึงไป | ||
ฝ่ายเสนามาเฝ้าละอองบาท | อภิวาทน์ทูลแจ้งแถลงไข | ||
พระทรงฟังคั่งแค้นแน่นฤๅทัย | เสด็จไปเกยชาลาหน้าพระลาน | ||
แลเห็นหน่อสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | ตบพระหัตถ์สรวลสันต์แล้วบรรหาร | ||
ว่าฮ้าเฮ้ยเป็นไฉนจงให้การ | จึงอาจหาญเข้าปราสาทพระราชวัง | ||
นี้ถิ่นฐานบ้านเมืองมึงอยู่ไหน | ก็บอกไปตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
จึงกล้าหาญชาญชัยใจฉกรรจ์ | กูจะฟันเสียให้ยับลงกับกร | ||
เป็นไรจึงนิ่งเฉยไม่เงยหน้า | เขามัดมาเหมือนกับลิงในสิงขร | ||
ไม่อดสูหมูหมาไอ้วานร | มาซุ่มซ่อนลอบลักใครชักพา ฯ | ||
◉ พระหน่อไทได้ฟังก็ทูลสาสน์ | อาชาชาญเหาะเร่ทางเวหา | ||
กิตติศัพท์เล่าลือระบือชา | ว่าธิดาของท้าวเจ้านคร | ||
พระรูปโฉมงามประโลมสำอางพักตร์ | จึงลอบลักมาประสบพบสมร | ||
ขอพระองค์ทรงฤทธิ์เหมือนบิดร | จงผันผ่อนเมตตาทรงปรานี | ||
พระทรงฟังดังสายสุนีฟาด | ยิ่งกริ้วกราดว่าได้ไม่บัดสี | ||
ให้สุดแสนแค้นใจใช่พอดี | ประเดี๋ยวนี้กูฟังกำลังเพราะ | ||
มันเห็นในจิตคิดไฉน | ทำไมไม่เรียกอาชาให้พาเหาะ | ||
มานั่งง่วงงึมเหงาให้เขาเยาะ | น่าหัวเราะเจ้าชู้ประตูกลาง ฯ | ||
◉ ฝ่ายโฉมสร้อยสุมาลีศรีสวัสดิ์ | แจ้งรหัสขุ่นหมองด้วยสองศรี | ||
เสด็จด่วนตามหาพระสามี | รีบจรลีออกมาหน้าพระลาน | ||
แลเห็นหน่อสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | นางทูลทัดมีจิตคิดสงสาร | ||
พลางพินิจพิศดูพระกุมาร | มัดประจานรัดรึงไว้ตรึงตรา | ||
ชะรอยเป็นหน่อเนื้อในเชื้อแถว | ดังดวงแก้วส่องสว่างกระจ่างหล้า | ||
ราวกับเพชรเรือนทองทั้งสองรา | วาสนาลูกรักจึงหากเป็น | ||
พินิจพลางนางทูลพระทรงศร | จงงดก่อนบาปกรรมอย่าทำเข็ญ | ||
จงแก้มัดคลี่คลายให้วายเว้น | ต่อจะเป็นสุริวงศ์พระองค์ไร | ||
พระฟังนางทางว่าชะมาขอ | ช่างยกยออยากได้ไว้เป็นเขย | ||
เมื่อมันทำเคืองเข็ญไม่เห็นเลย | เขาจะเย้ยเยาะเล่นเป็นตำรา | ||
ทั้งพวกเราเหล่านี้ฟังเถิดเหวย | พึ่งมาเคยพบเห็นเหมือนเป็นบ้า | ||
ท่านแม่ยายคิดสมเพชเวทนา | ไอ้ลูกเขยมันจะฆ่าพ่อตาตาย | ||
ตรัสแล้วสั่งนายเพชฌฆาต | มันสามารถเป็นทีจะหนีหาย | ||
ตระเวนถ้วนสามวันดังบรรยาย | ฆ่าให้ตายก็ไม่พ้นคนนินทา | ||
ตรัสพลางทางไปเสียในที่ | ขุนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา | ||
บ้างแก้มัดรัดรึงที่ตรึงตรา | แล้วพามามอบไว้ให้ผู้คุม | ||
นางพญามาปรางค์พระลูกแก้ว | พอถึงแล้วเห็นยังกำลังวุ่น | ||
ทั้งสาวศรีพี่เลี้ยงออกชุลมุน | นั่งเป็นกลุ่มปรึกษาฝูงนารี | ||
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวาท | เข้ากอดบาทบงกชบทศรี | ||
ทรงกันแสงโศกศัลย์พันทวี | ซบสัญญีภาวะนิ่งไม่ติงองค์ | ||
พระมารดาอาลัยใจจะขาด | เสียงหวีดหวาดสาวสุรางค์นางสนม | ||
แซ่สำเนียงเสียงร้องก้องระงม | พระทรามชมกอดบุตรสายสุดใจ | ||
โอ้แม่ทัศมาลีของแม่เอ๋ย | กรรมเจ้าเคยก่อสร้างไว้ปางไหน | ||
สองพระกรช้อนเกศนางทรามวัย | กันแสงไห้ร่ำรักภคินี | ||
โอ้ลูกเอ๋ยเป็นไรจึงไม่ตรัส | เจ้ามาตัดเยื่อใยอาลัยหนี | ||
ให้แม่แสนโศกซ้ำระกำทวี | เจ้าจึงหนีเด็ดเดี่ยวไปเดียวดาย | ||
ฤๅขวัญเมืองเคืองจิตที่ผิดพลั้ง | แม่ก็ยังรักอยู่ไม่รู้หาย | ||
ธรรมดาว่าจริงหญิงกับชาย | ก็ย่อมหมายสู่สมภิรมย์เชย | ||
อกใครที่จะเป็นเหมือนเช่นข้า | ยิ่งซ้ำแสนเวทนานิจจาเอ๋ย | ||
จงกลับมาหาแม่เถิดทรามเชย | ไม่โกรธเลยจะทำขวัญให้กัลยา | ||
นางโศกาอาดูรพูนเทวศ | น่าสมเพชลูกรักเป็นหนักหนา | ||
ทั้งพี่เลี้ยงสาวสรรกัลยา | ต่างก็มานวดฟั้นคั้นประคอง | ||
บ้างโบกลมพรมสุคนธ์ให้รวยรื่น | ค่อยแช่มชื่นวรกายสายสมร | ||
ด้วยพรั่นตัวกลัวผิดพระบิดร | ชุลีกรกราบพระชนนี | ||
เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของลูกแก้ว | ได้ผิดแล้วสารพัดจะบัดสี | ||
แม้นทรงฤทธิ์บิดาจะฆ่าตี | พระชนนีโปรดช่วยลูกด้วยรา | ||
นางสวมสอดกอดแอบไว้แนบอก | น้ำตาตกพร่างพรายทั้งซ้ายขวา | ||
ทั้งความรักความแค้นแน่นอุรา | นางพญารับขวัญด้วยทันใด | ||
โอ้ลูกเอ๋ยแม่นี้หมายว่าตายแล้ว | ความเสียดายลูกแก้วเป็นไหนไหน | ||
จงบอกความตามจริงทุกสิ่งไป | แม่จะได้ทูลขอไม่มรณา | ||
นางคำนับรับรสพจนารถ | ให้หวั่นหวาดในจิตขนิษฐา | ||
จึงทูลความตามเรื่องแต่แรกมา | ก็หมายว่าจะไม่เป็นถึงเช่นนี้ | ||
นางฟังบุตรสุดใจให้สงสาร | พจมานปราศรัยนางโฉมศรี | ||
แม่จะไปเฝ้าองค์พระจักรี | ฟังร้ายดีว่าขานประการใด | ||
แล้วลินลามาปรางค์นางกระษัตริย์ | โทมนัสมัวหมองไม่ผ่องใส | ||
สีวิกาพี่เลี้ยงนางทรามวัย | เข้ามาใกล้แอบชิดพระธิดา | ||
สุมณฑาว่าเราจะคิดไฉน | เขาเอาไปคุมขังไว้ข้างหน้า | ||
ถ้าแม้นถ้วนสามวันดังพรรณนา | เขาจะฆ่าภูวไนยเสียให้ตาย | ||
พระธิดาได้ฟังยิ่งสังเวช | น่าสมเพชคิดไปให้ใจหาย | ||
ทรงกันแสงโศกศัลย์บรรยาย | ทั้งเจ็บอายจองจำทำประจาน | ||
ยังมิหนำซ้ำสั่งให้ฆ่าเสีย | น้ำตาเรี่ยราวกับไฟไหม้สังหาร | ||
สีวิกาไปแถลงให้แจ้งการ | จะว่าขานคิดอ่านประการใด | ||
พี่เลี้ยงนั่งอยู่ไม่เป็นสุข | ด้วยความทุกข์เหลือแหล่เกินแก้ไข | ||
ทั้งเงินตราผ้าผ่อนท่อนสไบ | ลอบออกไปบนเขาให้เบาบาง | ||
มาถึงองค์ภูวไนยไหว้ประณต | ยิ่งรันทดจิตใจให้สงสาร | ||
ไม่เคยยากตรากตรำทำประจาน | จึงทูลสาสน์ด้วยสมเพชเวทนา | ||
พระหน่อไทได้ฟังยังฉงน | จะมาบนทำไมให้เขาว่า | ||
แม้นถึงที่ผลกรรมได้ทำมา | จะก้มหน้าสู้ตายวายชีวี | ||
วิตกแต่โฉมฉายสายสวาท | จะอนาถตายเป็นไม่เห็นผี | ||
หนึ่งองค์พระบิดาให้ฆ่าตี | แล้วแต่ที่เคราะห์กรรมต้องจำเป็น | ||
จงช่วยตามอาชามาให้พบ | นางคำรพออกมาพอม้าเห็น | ||
จึงบอกความตามวิบากด้วยยากเย็น | ฉันพึ่งเห็นภูวไนยใช้ให้มา | ||
อาชาฟังสงสัยจึงไถ่ถาม | ให้มาตามไปไหนนี่นายขา | ||
สีวิกาว่ามาไปเถิดพี่ม้า | แล้วพามาถึงหน่อธิบดี | ||
พระเห็นม้าอาดูรพูนเทวศ | สุชลเนตรไหลนองด้วยหมองศรี | ||
แล้วบอกความตามเรื่องคดีมี | พี่พาชีจงไปหาพระอาจารย์ ฯ | ||
◉ อาชาฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | กำลังโกรธอยากจะเหาะไปสังหาร | ||
น้อยฤๅช่างจองจำทำประจาน | คิดสงสารพระหน่อธิบดี | ||
แล้วนิ่งนึกว่าเราก็เจ้าเคราะห์ | จะใคร่เหาะเหยียบปราสาทให้ป่นปี้ | ||
ได้ดูหน้าไอ้ท้าวเจ้าบุรี | จะพาหนีเหาะบนหัวกลัวมันไย | ||
แล้วสั่งความตามจิตคิดสงสาร | ไปไม่นานดอกน้องอย่าร้องไห้ | ||
ก็รีบออกนอกวังได้ดังใจ | จึงเหาะไปตามภาษาของพาชี | ||
สีวิกานารีพระพี่เลี้ยง | รีบหลีกเลี่ยงเลยไปข้างในที่ | ||
นายผู้คุมเรียกหาแล้วพาที | เชิญมานี่หม่อมนายไปไหนมา | ||
พี่เลี้ยงฟังนั่งใกล้ทำไขสือ | ไม่รู้ฤๅวุ่นวายข้างฝ่ายหน้า | ||
นางโฉมยงทรงใช้ให้ออกมา | นึกเหมือนว่ากันเองอย่าเกรงใจ | ||
จงเอ็นดูอย่าให้อยู่ในคุมขัง | จงปล่อยบ้างตามอัธยาศัย | ||
เงินสิบชั่งห้าตำลึงให้ถึงใจ | ยกออกให้แพรผ้าจงพาที | ||
อย่าจองจำทำเธอให้สาหัส | จะเคืองขัดพระธิดามารศรี | ||
จงอัชฌาอาศัยเป็นไมตรี | เพราะเท่านี้ดอกนายจึงหมายมา | ||
ผู้คุมฟังว่าไม่เป็นไรแม่ | จะดูแลฟูมฟักให้หนักหนา | ||
ด้วยถ้อยทีมีจิตคิดเมตตา | รีบกลับมาทูลพระภูวไนย | ||
พระฟังนางค่อยเบาบรรเทาจิต | เจ้าจงคิดผันแปรช่วยแก้ไข | ||
ตัวคนเดียวเช้าเย็นไม่เห็นใคร | นางกราบไหว้ทูลลากลับมาวัง | ||
แล้วทูลองค์นงลักษณ์เจ้าซักถาม | ก็ทูลความแต่ต้นเหมือนหนหลัง | ||
นางทราบความพ่างเพียงพระทรวงพัง | เจียนจะคลั่งเลยไปที่ไสยา | ||
ฝ่ายอาชามาถึงพระอาศรม | คิดปรารมภ์ย่องเหย่ารีบเข้าหา | ||
เที่ยวเมียงช่องบรรณศาลา | พระสิทธาหลับอยู่ไม่รู้องค์ | ||
อาชามองร้องเรียกพระนักสิทธิ์ | ประตูปิดฤๅว่าไปในไพรสณฑ์ | ||
คิดฮึดฮัดขัดใจเที่ยวไล่ค้น | พระชีต้นเจ้าขาพระอาจารย์ | ||
พระมุนีชาญชัยในไตรลักษณ์ | จึงถามทักว่าใครปราศรัยสาร | ||
อาชาฟังตอบไปมิได้นาน | พระรถหลานหน่อไทใช้ให้มา | ||
พระดาวบสจดจ้องมองเขม้น | จะมาเล่นผลไม้ฤๅไรหวา | ||
แล้วก้าวออกนอกบรรณศาลา | อ่อไอ้ม้าฤๅมาเรียกออกเพรียกไป | ||
หัสดรเข้าใกล้จึงไขสาร | พระอาจารย์แปลกฤๅจำไม่ได้ | ||
แล้วบอกว่าองค์พระรถยศไกร | เดี๋ยวนี้ไปติดคุกสนุกสบาย | ||
พระมุนีดีใจปราศรัยสาร | ม้าของหลานนึกได้ดังใจหมาย | ||
ลูกหัวปีดีจริงหญิงฤๅชาย | เมื่อปีกลายมันไปได้เมรี | ||
.................................................... | .................................................... | ||
....................................................[51] | มาปีนี้ได้ลูกช่างปลูกเพาะ | ||
ไม่เสียทีหว่านพืชจะเอาผล | สามปีสองคนดูเหมาะเจาะ | ||
จับไม้เท้าเดินพลางทางหัวเราะ | จะไปเสาะผลผลาเอามาไว้ | ||
อาชาเห็นทีหลงแล้วจึงว่า | หลานให้มาตามนิมนต์ไปจนได้ | ||
พระรถต้องตรากตรำเขาจำไว้ | ไม่เข้าใจฤๅเจ้าคุณพระมุนนี | ||
พระนักสิทธิ์ได้ฟังว่าช่างเขา | ไม่ใช่การของเราเป็นฤๅษี | ||
เขาผัวกันเมียกันจะทุบตี | ประเดี๋ยวก็ดีกันเองครื้นเครงไย | ||
หัสดรถอนใจไม่ได้เรื่อง | สุดจะเคืองเหลืออัธยาศัย | ||
คิดแล้วก็ลำพองร้องขึ้นไป | เขาจับได้ต้องขังอยู่วังใน | ||
พระดาวบสวี่แว่วเข้าแก้วหู | จึงได้รู้ข้อความตามสงสัย | ||
มโนมัยเล่าแถลงก็แจ้งใจ | นิมนต์ไปเถิดเจ้าขาพระอาจารย์ | ||
พระมุนีดีใจไปสิหวา | เวทนาหนึ่งเล่าเขาเป็นหลาน | ||
แล้วเข้าไปในห้องมิทันนาน | สาแหรกคานเก็บไว้ในกุฎี | ||
เอาแต่พัดกับไม้เท้าของดาวบส | รักษาพรตตามจริตกิจฤๅษี | ||
ก็ออกนอกศาลาไม่ช้าที | พระมุนีเรียกอาชาแล้วว่าพลัน | ||
เอ็งรู้แห่งเดินทางกลางเวหา | ฤๅจะพาเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
อาชาว่ามาไปเถิดนักธรรม์ | เราพากันเหาะไปเป็นไรมี | ||
แล้วก้มลงทำท่าจะพาเหาะ | เดินดีดเดาะเข้าหาตาฤๅษี | ||
นิมนต์นั่งหลังข้าม้าพาชี | พระฤๅษีหัวร่ออยู่งองัน | ||
เป็นชีบานาสงฆ์ขี่ไม่ได้ | เอ็งเหาะไปข้าจะจับหางไว้มั่น | ||
แล้วเผ่นโผนโจนจากที่หน้าบัน | ก็พากันเหาะเร่ขึ้นเมฆี | ||
ลอยละลิ่วปลิวไปในเวหา | พระสิทธาปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
เห็นเสือสิงห์ลิงค่างบ่างชะนี | คชสีห์แรดช้างในกลางดง | ||
ทั้งเนื้อนกโผผินบ้างบินร่อน | บ้างก็จรจับไม้บ้างไซ้ขน | ||
มยุราพาฝูงขึ้นบินบน | พระชีต้นเหาะมาพอสายัณห์ | ||
ถึงเขาสูงฝูงหงส์อยู่ไสว | เหาะลงไปสำนักในไพรสัณฑ์ | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ | ก็พากันเหาะมาถึงธานี | ||
จึงหยุดดูผู้คนอยู่ข้างนอก | เดินเข้าออกเขาจะว่าตาฤๅษี | ||
ขึ้นอาศัยในศาลาข้างธานี | ตัวข้านี้จะไปบอกให้รู้ | ||
แล้วรีบมาถึงเจ้าเล่าแถลง | พระรถแจ้งสั่งให้พักอยู่สักครู่ | ||
จึงบอกความตามว่าที่ม้ารู้ | จะได้ดูท่าทางจะอย่างไร | ||
จงไปบอกพระเจ้าตาให้พาเหาะ | ลงจำเพาะหน้าพระลานทวารไข | ||
อาชาฟังพาทีก็ดีใจ | จึงออกไปราธนาพระอาจารย์ | ||
แล้วอาชาพาข้ามกำแพงเหาะ | ลงจำเพาะเกยชาลาตรงหน้าฉาน | ||
ฝ่ายพระองค์ทรงศักดิ์จักรพาล | ดูอาการสิทธากับพาชี | ||
แล้วยุรยาตรออกพระโรงวิเชียรฉาย | เสนานายน้อมประณตบทศรี | ||
พระเอื้อนอรรถว่าเจ้าคุณพระมุนี | นิมนต์ข้างนี้เถิดเจ้าขาพระอาจารย์ | ||
พระมุนีปรีดาฟังอนุญาต | ขึ้นนั่งอาสน์ร่วมบัลลังก์ใคร่ฟังสาร | ||
พระน้อมเศียรจบพระหัตถ์ขึ้นมัสการ | แล้วโองการปราศรัยเป็นไมตรี | ||
ผู้เป็นเจ้ามาไยในนิเวศ | ฤๅภัยเพทอย่างไรในไพรศรี | ||
ฤๅผลไม้วายฤดูไม่สู้มี | หนึ่งพาชีที่มาม้าของใคร | ||
พระดาบสฟังกระษัตริย์เธอตรัสถาม | ก็ตอบตามพจนาอัชฌาศัย | ||
ซึ่งบพิตรถามมาว่าม้าใคร | รูปนี้ไม่ปิดความบอกตามจริง | ||
ม้าของหลานอาตมาพามาเฝ้า | พระผ่านเกล้าโภไคเป็นใหญ่ยิ่ง | ||
อาชาไปบอกความรูปตามจริง | ทำยุ่งยิ่งขึ้นอย่างไรที่ในวัง | ||
คือเจ้ารถสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | มาข้องขัดเคืองเข็ญเป็นมหันต์ | ||
อาชาแจ้งกิจจาสารพัน | อันโทษทัณฑ์แล้วแต่พระภูวไนย | ||
ฝ่ายท่านท้าวเจ้าเมืองอันเรืองยศ | ฟังดาวบสแคลงจิตคิดสงสัย | ||
ตำริพลางทางตอบว่าขอบใจ | มาแต่ไหนหักหาญทำราญรอน | ||
ฤๅว่าเป็นหน่อเนื้อในเชื้อสาย | มาทำร้ายจึงสั่งขังไว้ก่อน | ||
ถ้าแม้นถ้วนสามวันจะฟันฟอน | ด้วยโทษกรณ์เหลือล้นคณนา | ||
พระมุนีเล่าแจ้งแถลงไข | คือหน่อไทรถสิทธิ์มารอิจฉา | ||
มันแกล้งใช้ให้พระรถไปเก็บยา | นางนนทาแม่เลี้ยงไม่เที่ยงธรรม์ | ||
จึงไปได้เมรีไม่มีบุตร | ก็สิ้นสุดมรณาชีวาสัญ | ||
จึงสั่งความตามมาในป่าวัน | ว่าจอมขวัญชื่อเจ้าทัศมาลี | ||
นางเป็นบุตรของท้าวเจ้านิเวศ | ได้แจ้งเหตุแล้วอย่าว่าตาฤาษี | ||
มิใช่คนอื่นไกลเมื่อไรมี | เพราะเท่านี้รูปจึ่งมาด้วยการุญ | ||
พระทรงฟังดังได้พบพระเชษฐา | อนิจจาหลานชายทำวายวุ่น | ||
นี่กุศลจงเจาะเพราะเจ้าคุณ | มาเคืองขุ่นแทบจะฆ่าบรรดาตาย | ||
เหวยเสนาไปถอดพระหลานขวัญ | อันโทษทัณฑ์สิ่งไรมิได้หมาย | ||
เสนาพร้อมน้อมคำนับด้วยกลับกลาย | รีบผันผายถอดพระหน่อธิบดี | ||
มาเฝ้าองค์ทรงศักดิ์กับนักสิทธิ์ | ท้าวเพ่งพิศลงจากพระแท่นที่ | ||
กุมพระกรให้มานั่งข้างมุนี | ทรงโศกีกอดหลานสงสารนัก | ||
อนิจจาอาไม่รู้จึงขู่เข็ญ | ว่าเจ้าเป็นสุริวงศ์อันสูงศักดิ์ | ||
ช่างเหมือนพระเชษฐาหนักหนานัก | ได้รู้จักเพราะเจ้าคุณพระมุนนี | ||
พระหน่อไทลงคำนับอภิวาทน์ | แล้วกราบบาทอัยกาตาฤๅษี | ||
พระสัจจพันธ์เถรายิ่งปรานี | เอามือขยี้เช็ดน้ำตาโศกาลัย | ||
ครั้นค่อยคลายหายความโทมนัส | จอมกระษัตริย์สั่งเหล่านางสาวสรร[52] | ||
ให้ตามอัครชายาออกมาพลัน | นางกำนัลทูลลาไม่ปรานี | ||
มาถึงปรางค์นางกระษัตริย์แล้วทูลไข | นางทรามวัยเคืองแค้นแสนบัดสี | ||
ด้วยโกรธองค์ภัสดาไม่พาที | แล้วเทวีจำใจจึงไคลคลา | ||
เห็นพระองค์ทรงศักดิ์กับนักสิทธิ์ | กุมารชิดหมอบนั่งอยู่ข้างขวา | ||
นางจบพระหัตถ์มัสการพระสิทธา | พระมหาโคดมก็ยินดี | ||
พระหน่อไทกราบคำนับอภิวาทน์ | อยู่ริมบาทอัยกาตาฤๅษี | ||
พระนักธรรม์เล่าแถลงแจ้งคดี | มเหสีกราบก้มประนมกร | ||
ฝ่ายพระองค์ทรงเล่าให้ประจักษ์ | บอกนงลักษณ์เรื่องราวแต่เก่าก่อน | ||
นี่พระรตยนณะสิทธ์เป็นบิดร[53] | กับบังอรตะเกียงทองน้องสุดท้าย | ||
นางมีบุตรชื่อเมรีศรีสวาท | งามสะอาดเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
นางนนทามาขอไปเลี้ยงไว้ | กับมาได้กับพระรถว่าคดโกง | ||
เพราะนนทามาทำให้จำจาก | กรรมวิบากพลัดไปจึงตายโหง | ||
พระเชษฐามัวเมาเฝ้าตะโกรง | ขุดอุโมงค์ขังพี่น้องสิบสองนาง ฯ | ||
◉ ฝ่ายนางสร้อยสุมาลีศรีสมร | ฟังสุนทรภูวไนยเธอไขสาร | ||
เมื่อแต่แรกจองจำทำประจาน | เดี๋ยวนี้หลานภูวไนยไปไหนมา | ||
ได้ทูลทัดขัดไว้จึงได้โกรธ | กลับเป็นโทษแคะไค้พิไรว่า | ||
จำทำไมไยมิทำไม่ลำพา | กลับมาว่าสำทับให้ยับเยิน[54] | ||
พระฟังนางทางว่าอย่ามาไข | นี่เพราะใครเล่าเจ้าว่าวจึงเหลิง | ||
ขี้เกียจเถียงเพลี่ยงพล้ำพูดซ้ำเติม | ทำชั้นเชิงป่วยการหลานของเรา | ||
พระมุนีปราศรัยจึงไกล่เกลี่ย | มิได้เสียน้ำเนื้อในเชื้อไข | ||
จะปลูกฝังลูกหลานสถานใด | ดูให้ได้ฤกษ์พาเวลาดี ฯ | ||
◉ กรุงกระษัตริย์ขัตติยาจึงปราศรัย | หวังจะให้เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
อันเยี่ยงอย่างกษัตราครองธานี | ได้เป็นที่สรรเสริญเจริญยศ | ||
อันศรชัยไพร่ผู้ดีที่สังเกต | กระเดื่องเดชลือชาได้ปรากฏ | ||
ยกศรชัยคู่เมืองอันเรืองยศ | ให้ปรากฏฤทธาด้วยบารมี | ||
พระมุนีปรีดาว่าสาธุ | ขอให้ลุโดยจิตกิจฤๅษี | ||
ต่างยินยอมพร้อมใจด้วยไมตรี | จัดแท่นที่ไว้สำหรับได้หลับนอน | ||
ทั้งสององค์จึงสั่งพระหลานรัก | จงหยุดพักกับมุนีอยู่นี่ก่อน | ||
อาจะไปจัดแจงแต่งนคร | ให้ถาวรเป็นสุขสนุกสบาย | ||
สองกระษัตริย์เบิกบานสำราญจิต | ได้ดังคิดชื่นชมก็สมหมาย | ||
กลับสู่แท่นที่สุวรรณพรรณราย | ครั้นเช้าสายออกพระโรงมิทันนาน | ||
พร้อมเสนาข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ | อยู่ดื่นดาษกรุงกระษัตริย์ตรัสบรรหาร | ||
ให้จัดแจงปลูกโรงพิธีการ | โดยประมาณกว้างยาวสิบเก้าวา | ||
ทั้งการเล่นเต้นรำเตรียมสำหรับ | ที่ประทับปลูกไว้บ้างที่ข้างหน้า | ||
กับที่ไว้ศรสิทธิ์เรืองฤทธา | เครื่องบูชาเตรียมสำหรับไว้รับรอง | ||
พระสั่งเสร็จแล้วเสด็จเข้าในที่ | ขุนเสนีบาดหมายจำหน่ายของ | ||
ทั้งโรงเล่นเต้นรำทำสำรอง | โรงเทพทองโขนหนังตั้งศรัทธา | ||
พุ่มดอกไม้ไฟพะเนียงละครโขน | ทั้งกลองโยนหุ่นหนังคอยตั้งท่า | ||
พวกไม้สูงซอมีลัดเล่นทัดทา | กระอั้วมาแทงควายมีหลายพรรณ | ||
แล้วสำเร็จเสร็จสรรพกลับเข้าเฝ้า | กราบทูลเจ้ากรุงไกรไอศวรรย์ | ||
พระทรงฟังเสนาบัญชาพลัน | สั่งกำนัลนักสนมกรมใน | ||
ให้จัดแจงแต่งเครื่องจะทำขวัญ | กะเกณฑ์กันตามประสาอัชฌาศัย | ||
พวกวิเสทเกณฑ์ยืมของสำรองไว้ | แล้วท้าวไทปรึกษาโหราจารย์ | ||
ฝ่ายโหรเฒ่าเข้าใจไสยเวท | ได้ทราบเหตุกรุงกระษัตริย์ท้าวตรัสถาม | ||
พิเคราะห์ดูดวงชะตาพะงางาม | จะเกิดความข้างต้นร้ายข้างปลายดี | ||
จะฟุ้งเฟื่องเรืองเดชได้ปรากฏ | เกียรติยศเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
อันเคราะห์โศกโรคภัยมิได้มี | จะเป็นที่สรรเสริญเจริญยศ | ||
พระฟังโหรคูณหารการภิเษก | จึงบอกเอกชายากับดาบส | ||
ทั้งเครื่องทรงมงกุฎให้พระรถ | พระดาบสจัดแจงแต่งกุมาร | ||
นางโฉมยงแต่งองค์พระลูกแก้ว | ให้ผ่องแผ้วขัดสีฉวีสาง | ||
ทั้งพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลนาง | เข้าเคียงข้างปรนนิบัติคอยพัดวี | ||
พระบิตุรงค์แต่งองค์ให้หลานขวัญ | สังวาลวัลย์ตาบประดับสลับสี | ||
จินดาดวงพวงเพชรเม็ดมณี | พระฤๅษีนั่งมองร้องว่างาม | ||
แล้วหยิบผ้าเจียรบาดคาดเข็มขัด | เพชรรัตน์น้ำพราวขาวกระจ่าง | ||
ทับทิมแนมแซมสลับดูวับวาม | ประจำยามอินทรธนูห้อยพู่เพชร | ||
แล้วนิมนต์พระมุนีให้ลีลาศ | กำนัลนาฏนางห้ามตามเสด็จ | ||
ถือหีบหมากนากทองกินกล่องเพชร | พอสรรพเสร็จจะไปดูภูวไนย | ||
พระมุนีขี่วอให้คนหาม | พวกที่ตามเกณฑ์แห่แลไสว | ||
พระเจ้าอากับพระรถยศไกร | ขึ้นนั่งในรถทรงอลงการ | ||
มเหสีขี่วอกับลูกรัก | มาพร้อมพรักกึกก้องในท้องสนาม | ||
พวกเกณฑ์แห่แลสล้างมาตามทาง | เหล่าขุนนางอัดแอกันแซ่เซ็ง | ||
ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปด้วย | เอาใจช่วยท่านเอ๋ยไม่เคยเห็น | ||
เมื่อแรกมากรรมวิบากต้องยากเย็น | นี่บุญแล้วจะได้เห็นเป็นขวัญตา | ||
ต่างดีใจได้ดูเมื่อยกศร | ราษฎรเหิมฮึกนึกหรรษา | ||
ฝ่ายพระองค์พงศ์กระษัตริย์ขัตติยา | เสด็จมาเกยประทับก็ยับยั้ง | ||
พวกท้าวนางต่างก็ไปอยู่ในที่ | แหวกมู่ลี่เมียงมองตามช่องกั้น | ||
พระบุตรีพี่เลี้ยงนางกำนัล | ขึ้นอยู่ชั้นเบื้องบนกับชนนี | ||
กรุงกระษัตริย์กับหน่อวรนาถ | ขึ้นสู่อาสน์บนพลับพลาหลังคาสี | ||
พระดาบสว่าพระหน่อธิบดี | อันศรนี้ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร | ||
แม้นใครมีบุญญาภินิหาร | จึงบันดาลฤทธิรอนยกศรได้ | ||
ฝ่ายท่านท้าวเจ้าเมืองอันเรืองชัย | แต่พอได้นาฬิกาตีห้าโมง | ||
ให้หลานรักนักสิทธิ์ขึ้นสู่ที่ | จุดอัคคีจวงจันทน์ควันโขมง | ||
เสียงฆ้องกลองก้องเสียงเพียงจะโซม | บ้างถาโถมต่างชิงกันวิ่งกรู | ||
พระหน่อนาถอาจองขึ้นทรงศร | ราษฎรเถียงกันสนั่นหู | ||
ทั้งสาวแก่แม่หม้ายที่ไปดู | ตำรวจขู่ห้ามไปไพร่ผู้ดี | ||
พวกท้าวนางข้างในเอาใจช่วย | ที่รูปสวยแอบดูอยู่ในที่ | ||
พระธิดาอาลัยใช่พอดี | ขอให้มีชัยสิทธิ์ฤทธิไกร | ||
ฝ่ายพระหน่อสุริวงศ์ผู้ทรงเดช | ชำเลืองเนตรเห็นมิตรพิสมัย | ||
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายสบายใจ | แล้วนั่งใกล้ศรสิทธิ์เรืองฤทธา | ||
ยกพระหัตถ์อธิษฐานกับเทเวศ | ทุกขอบเขตเขาใหญ่ไพรพฤกษา | ||
หนึ่งพระคุณบิตุเรศพระมารดา | คุณสิทธาฝึกสอนแต่ก่อนไร | ||
ถ้าแม้นจะสำเร็จไปภายหน้า | ขอให้ข้าสมประสงค์ยกจงได้ | ||
อันหนึ่งทัศมาลีนางทรามวัย | ชาติก่อนได้คู่สร้างกับนางมา | ||
พอขาดคำรำพันอธิษฐาน | เดชฌานบารมีอันแก่กล้า | ||
ก็ยกขึ้นด้วยพลันมิทันช้า | พระมารดาร้องไปยกได้แล้ว | ||
พระเจ้าอาว่าให้ลอยอีกหน่อยพ่อ | จงแข็งข้อไว้ให้มั่นพระหลานแก้ว | ||
พระมุนีแลไปเห็นไวแวว | ยกสูงแล้วสามศอกบอกคุณโยม | ||
พวกคนดูไหว้บุญพ่อคุณเอ๋ย | สมเป็นเขยกษัตราสง่าโฉม | ||
ท่ายกศรดั่งจะคล้อยลอยโพยม | งามประโลมเลิศลบภพไกร | ||
กระนี้เจ้าพารามิน่ารัก | ประยูรศักดิ์น้ำเนื้อเป็นเชื้อไข | ||
เมื่อแรกดั่งชีวันจะบรรลัย | เดี๋ยวนี้ได้ลือตลอดเป็นยอดรัก | ||
เป็นกุศลหนหลังท่านทั้งสอง | คงได้ครองเสมาอาณาจักร | ||
พวกท้าวนางข้างในต่างคึกคัก | พระทรงศักดิ์เปรมปรีดิ์ดีพระทัย | ||
พอวางศรกรจูงพระหลานขวัญ | ก็จรจรัลสู่โรงพิธีใหญ่ | ||
ให้นั่งเหนือกองแก้วอันแววไว | เคียงกันไปกองสุวรรณอันบรรจง | ||
ให้ธิดามานั่งอยู่ทั้งสอง | เสียงฆ้องกลองก้องกึกโกลาหล | ||
ทั้งโหราพราหมณ์เฒ่าเข้ามณฑล | เจริญผลศรีสวัสดิ์กษัตรา | ||
พระมุนีอวยชัยไสยเวท | ชัยเดชศักดิ์สิทธิฤทธิ์มหา | ||
ชัยพุทธสรณังมังคลา | เป็นมหาสุขสวัสดิ์กำจัดภัย | ||
พระบิตุราชมาตุรงค์พระวงศา | ต่างก็มาอวยพรประสิทธิ์ให้ | ||
จงเจริญศรีสวัสดิ์เดโชชัย | ได้เป็นใหญ่ยอดกระษัตริย์ขัตติยา | ||
แล้วจุดเทียนเวียนวงต่างส่งรับ | ตามลำดับเรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
แล้วโบกควันให้ต้องทั้งสองรา | เจิมพักตราเป่าปัดสวัสดี | ||
ทั้งสององค์จงสุขสถาผล | ประชาชนสรรเสริญอยู่อึงมี่ | ||
โขนละครมอญรำพวกชาตรี | โมงครุ่มตีอีลัดเต้นทัดทา ฯ | ||
◉ แมงกอนใหญ่ไล่เลี้ยวสิงโตเผ่น[55] | มุ่งเขม้นหนีขยับกลับตั้งท้า | ||
แมงกอนไล่พัลวันสิงห์หันมา | โถมถลาชิงช่วงดวงมณี | ||
ถ้วนสำเร็จเจ็ดวันการสมโภช | ต่างปราโมทย์ปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
พระดาบสจึงว่าไม่ช้าที | ด้วยรูปนี้แต่มาสิบห้าวัน | ||
ทิ้งกุฎีวิหารการกุศล | เป็นกังวลด้วยสงสารพระหลานขวัญ | ||
ต้องเป็นห่วงบ่วงใยไปทั้งนั้น | อยู่ใกล้กันฤๅจะได้เวียนไปมา | ||
ขอฝากหน่อสุริย์วงศ์ผู้ทรงฤทธิ์ | ถึงชอบผิดจงงดอดโทษา | ||
ด้วยเชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์ต่อกันมา | จงเมตตาช่วยบำรุงให้รุ่งเรือง | ||
จะดำรงราชัยไปภายหน้า | จงรักษาเกียรติยศให้ฟุ้งเฟื่อง | ||
หนึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งปวง | จงหนักหน่วงเมตตาด้วยปรานี | ||
ดังร่มโพธิ์ไปมาได้อาศัย | เขาจะได้สรรเสริญทั้งกรุงศรี | ||
บัญญัติยั้งตั้งมั่นที่ขันตี | จะเป็นที่บางเบาบรรเทาทุกข์ | ||
เอาใจใส่ในพระพุทธศาสนา | ให้ศรัทธายิ่งกว่านี้บริสุทธิ์ | ||
หนึ่งพระสงฆ์พระธรรมแลพระพุทธ | อันผ่องผุดเลิศลบพระภพไตร | ||
หนึ่งศีลห้าปาณาอย่าฆ่าสัตว์ | จึงบัญญัติแต่เท่านี้เป็นนิสัย | ||
ความทุกขังอนิจจาไม่ว่าใคร | อนัตตานี้ให้รำพึงคิด | ||
ไม่เที่ยงแท้แก่เฒ่าทั้งเราท่าน | อย่าหมายมั่นโลภหลงเร่งปลงจิต | ||
หนึ่งพระไตรสรณาจงเป็นนิตย์ | รักษาจิตหมายประโยชน์พระโพธิญาณ | ||
กรุงกระษัตริย์จบพระหัตถ์ขึ้นสาธุ | อยากใคร่ลุพระธรรมกรรมฐาน | ||
แต่แรกหวังพระธิดายุพาพาล | คือบ่วงมารรัดรึงอยู่ตรึงตรา | ||
ประเดี๋ยวนี้ค่อยคลายสบายจิต | อยากจะคิดบวชเสียบ้างเหมือนอย่างว่า | ||
เป็นอยู่นิดกีดอยู่หน่อยโยมสีกา | เวทนาไม่มีเพื่อนมักเชือนแช | ||
นางพญาว่าดิฉันไม่อยากทุกข์ | จะสนุกก็เมื่อครั้งเป็นสาวแส้ | ||
ประเดี๋ยวนี้แก่หอบหมอบกระแต | จะบวชแน่แล้วนิมนต์ไปจนตาย | ||
ฉันเห็นบวชแต่เจ้าจอมหม่อมสาวสาว | บวชแต่เช้าแล้วยังวนอยู่จนสาย | ||
ถือศีลสิบหยิบวางไว้ข้างกาย | คิดเบื่อหน่ายละประเทศนิเวศวัง | ||
สามกระษัตริย์ทรงพระสรวลสำรวลเย้ย | ท้าวเมินเฉยดูเหล่านางสาวสรร | ||
แล้วบัญชาว่ากับพระนักธรรม | เป็นไรฉันบวชไม่ได้หรือไรนา | ||
แม้นบวชจริงต้องวิ่งไปวุ่นวัด | ขี้เกียจขัดคอใครพิไรว่า | ||
พระมุนีสรวลสันต์จำนรรจา | หัวเราะร่าเลิกกันเท่านั้นเอง | ||
สี่กระษัตริย์โสมนัสด้วยผ่องใส | มีใจมัธยัสถ์ค่อยครัดเคร่ง | ||
ว่าตั้งแต่นี้ไปดีฉันเอง | ต้องคิดเกรงภัยข้างหน้าอนาคต | ||
พระมุนีมีจิตคิดสงสาร | จงสำราญด้วยกันทั้งนั้นหมด | ||
จงปกป้องครองเมืองให้เรืองยศ | ทั้งพระรถอยู่ดีอย่ามีภัย | ||
ลาแล้วเหาะไปในเวหา | กษัตรากราบก้มประนมไหว้ | ||
ดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ | ท้าวมิได้ยั้งหยุดถึงกุฎี ฯ | ||
◉ พระบิตุเรศมารดามาปราสาท | พระหน่อนาถปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
ทั้งโฉมยงนงนุชพระบุตรี | ดุษฎีกราบกรานพระมารดา | ||
นางกระษัตริย์โสมนัสแล้วปราศรัย | แม่ขอบใจทรงยศโอรสา | ||
จงปกป้องครองกันอย่าฉันทา | จงเมตตาน้องหญิงอย่าทิ้งกัน | ||
แต่แม่ทัศมาลีไม่ขี้หึง | ถึงโกรธขึ้งอย่างไรไม่ผายผัน | ||
ทั้งแสนสาวเหล่าสุรางค์นางกำนัล | อย่าป้องกันหวงห้ามตามสบาย | ||
พระเจ้าอาว่าขี้คร้านรำคาญหู | ใครไม่รู้กลบเกลื่อนซ่อนเงื่อนสาย | ||
ไม่รู้กลเสือเฒ่าเจ้าอุบาย | ใครมักง่ายแล้วก็พานัยน์ตาเฟือน | ||
นางพญาขัดเคืองชำเลืองค้อน | การแคะค่อนไม่มีใครผู้ใดเหมือน | ||
เขาสั่งสอนลูกรักช่วยตักเตือน | ไม่เลื่อนเปื้อนเหมือนอย่างท้าวเจ้าพิภพ | ||
พระบัญชาว่าอาสู้ไม่ไหว | ว่ายังไงก็ยังนั้นด้วยกันหมด | ||
นกก็นกไม้ก็ไม้แต่ปลายคด | ลงน้อมขดอยู่ในหวดอวดความรู้ | ||
นางพญาว่าไม่เบื่ออย่าเชื่อฉัน | เฝ้าขัดกันฉันขี้คร้านรำคาญหู | ||
ส่วนพระหลานราวกับพระสพัญญู[56] | ไม่เจ้าชู้เหมือนอย่างเล่าพระเจ้าอา | ||
กรุงกระษัตริย์ทรงพระสรวลสำรวลตรัส | ขี้เกียจขัดกันทำไมกับยายบ้า | ||
ช่างขี้หึงนี่ไม่หยอกออกระอา | เขาว่าบ้าแล้วก็โกรธเที่ยวโทษกัน | ||
หน่อกระษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงพระสรวล | ต่างสำรวลปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ | ||
พาลูกเขยเลยมาตำหนักพลัน | พระสุริยันเลื่อนลับยุคุนธร | ||
ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์อันทรงศักดิ์ | บำรุงรักโฉมฉายสายสมร | ||
ถนอมแนบแอบนางพลางสุนทร | สโมสรเสน่หายุพาพาล | ||
ถึงเวลาขึ้นเฝ้าเจ้านิเวศ | รักษาเขตกรุงไกรในสถาน | ||
ราษฎรเสนาพฤฒาพราหมณ์ | ก็มีความชื่นทั่วทุกตัวคน ฯ | ||
◉ ส่วนลูกสาวนายตะรางข้างนิเวศ | ได้ทราบเหตุการณ์วิวาห์สถาผล | ||
ชื่อเข็มทองพี่ยานฤมล | ยังอีกคนไหมทองน้องคนกลาง | ||
ที่สามชื่อเจ้าสายทอง | พี่น้องร่วมครรภ์กันทั้งสาม | ||
ทั้งบิดรมารดาพะงางาม | ไม่ห้ามปรามตามใจแต่ไรมา | ||
ค่าธรรมเนียมไม่น้อยตั้งรอยชั่ง | มีมั่งคั่งกว่าขุนนางพวกข้างหน้า | ||
เมื่อพระรถเป็นโทษโจทตะนา[57] | เพื่อนอุตส่าห์รับรองช่วยป้องกัน | ||
แต่เข็มทองลูกยาไปมาสู่ | ได้ร่วมชู้เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
ได้เป็นเมียเสียตัวจึงพัวพัน | มาวันนั้นคิดถึงคะนึงนัก | ||
ตั้งแต่แล้วการวิวาห์สถาผล | เราคนจนฤๅจะทำไม่รู้จัก | ||
เมื่อยามทุกข์รักใคร่อาลัยนัก | ฤๅทรงศักดิ์สิ้นอาลัยไม่ไยดี | ||
ไม่คิดถึงเมื่อมาเวลาทุกข์ | ได้เป็นสุขฤๅจะอางขนางหนี | ||
นางนิ่งนึกในอุราไม่พาที | รุ่งพรุ่งนี้แล้วจะไปที่ในวัง | ||
ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างแจ้ง | นางจัดแจงนุ่งห่มด้วยสมหวัง | ||
เรียกไหมทองน้องสาวเล่าให้ฟัง | ไปในวังเที่ยวเล่นก็เป็นไร | ||
แล้วผัดหน้าทาจันทน์กระแจะแป้ง | ผ้าก้านแย่งหยิบให้น้องห่มกรองไหม | ||
แหวนประดับเรืองรองทองอุไร | ตุ้มหูใส่เฟืองมะยมทางห่มเพลาะ | ||
สร้อยตะพายแต่ละสายตะโพกลาก | กินหีบหมากถมยาเห็นว่าเหมาะ | ||
แพรสีนวลซับในสไบเพลาะ | เดินเหย่าเหยาะเข้ามาลาบิดาตัว | ||
ท่านหมื่นยงคงผู้คุมคาดถุงไถ้ | หมายจะไปเกาะอีดีมันหนีผัว | ||
ท่านทองดีมารดาเข้ามาครัว | ทั้งยำคั่วคาวหวานใส่จานรอง | ||
เห็นลูกสาวนั่งลงยกมือไหว้ | จะไปไหนตามกันมาทั้งสอง | ||
ส่วนสายทองน้องเล็กเด็กคะนอง | พี่เข็มทองไปไหนไปด้วยคน | ||
ฝ่ายมารดาว่าไปไม่ได้ดอก | ผีมันหลอกอยู่ที่ทางข้างถนน | ||
สายทองถามว่ามันมีอยู่กี่คน | ผีเป็นคนฤๅแม่เห็นแก่ตา | ||
หมื่นยงพ่อหัวร่อฟังลูกสาว | เออช่างเอามาแต่ไหนพิไรว่า | ||
พอกลางวันเจ้าตุ๊กตามา | ซื้อสักห้าหกชั่งไว้นั่งมอง | ||
นางดีใจกอดคอคุณพ่อจ๋า | ซื้อแล้วพาอุ้มเล่นตามบ้านช่อง | ||
ฝ่ายธิดานารีสองพี่น้อง | ลาทั้งสองแม่พ่อมาหอกลาง | ||
เรียกบ่าวไพร่หลายคนมาตามหลัง | ไปในวังเรียกกันสนั่นหู | ||
ลงจากเรือนรีบออกนอกประตู | เดินเป็นหมู่ดูระเบียบด้วยเรียบร้อย | ||
ไม่แง่งอนอ่อนสำอางเหมือนอย่างหุ่น | ผู้มีบุญเห็นก็รักไม่พักถอย | ||
ตุ้มหูเพชรเม็ดมะยมระย้าย้อย | เดินชม้อยท่าทางเหมือนนางใน | ||
เข้าในวังบ่าวไพร่ก็ไปมาก | ถือหีบหมากถมยาอัชฌาศัย | ||
เห็นพี่เลี้ยงเมียงมองอยู่ห้องใน | สีวิกาจำได้ร้องเรียกทัก | ||
ต่างดีใจไหว้บุญกันทั้งสอง | เข้าในห้องสนทนาวิสาสะ | ||
ตั้งแต่แล้วเลิกการนานหนาจ๊ะ | พึ่งมาปะวันนี้ฉันดีใจ | ||
สีวิกาว่าฉันอยากจะไปหา | ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ | ||
จะไปมาหากันทุกวันไป | ไม่มีใครเปลี่ยนตัวฉันกลัวนัก | ||
สุมณฑานั้นเขาหมั่นเฝ้าแหน | ปันเขตแดนกันไม่เบาเขาก็หนัก | ||
ทุกวันนี้วิตกในอกนัก | ฉันแทบจักออกให้ขาดราชการ | ||
ฝ่ายเข็มทองยิ้มละมัยพูดไขสือ | เขาก็ถือว่าท้าวรักสมัครสมาน | ||
วันยกศรฉันก็มาเป็นช้านาน | แต่ขี้คร้านค้อนควักจะทักทาย | ||
สีวิกาว่าเรานี้เจ้าเคราะห์ | เขามั่นเหมาะไปเสียหมดเที่ยวจดหมาย | ||
เห็นโปรดใครเสือกสนกระวนกระวาย | ใครดีร้ายทูลเสนออำเภอใจ | ||
เมื่อวานนี้ฮอลันดาเข้ามาเฝ้า | ก็ขนเอาแพรผ้าเข้ามาให้ | ||
ทั้งเพชรนิลจินดาล้วนจาระไน | เอาแจกให้แต่เจ้าจอมหม่อมชั้นเล็ก | ||
พวกเรานั่งแหงนเถ่อเก้อเสียเปล่า | ปัญญาเขาผ่อนปรนคนสนิท | ||
ทั้งเข้านอกออกในให้ใช้ชิด | อี่เจ้ากรรมมันจะปิดประตูค้า | ||
ส่วนเข็มทองฟังแถลงก็แจ้งอรรถ | จะทิ้งสัดถือถังเหมือนยังว่า | ||
ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจแต่ไรมา | ฉันไม่ว่าคอยดูพระภูวไนย | ||
สีวิกาเข็มทองชวนน้องรัก | ไปตำหนักพระธิดาอัชฌาศัย | ||
แล้วพากันเยื้องย่างเข้าข้างใน | เห็นทรามวัยพระธิดายุพาพาล | ||
ทั้งสามนางกราบก้มประนมไหว้ | นางปราศรัยเบือนพักตร์มาทักถาม | ||
สีวิกาทูลแถลงให้แจ้งความ | คนนี้นามเข็มทองพี่น้องกัน | ||
บุตรหมื่นยงคงผู้คุมอยู่ข้างนอก | เคยเข้าออกไปมาหาหม่อมฉัน | ||
นางโฉมยงทรงฟังก็ทราบพลัน | หมื่นยงนั้นมีลูกอยู่กี่คน | ||
ช่างเหมือนกันดังจะเถือเอาเนื้อหนัง | อยู่ด้วยกันเถิดจะให้เขาฝึกฝน | ||
สั่งไปด้วยพี่น้องทั้งสองคน | ว่าฉันบ่นถึงไม่วายนายผู้คุม | ||
ทั้งสองนางกราบก้มประนมหัตถ์ | หน่อกระษัตริย์นึกเฉลียวให้เฉียวฉุน | ||
เห็นเข็มทองเข้ามานึกการุณ | เขามีคุณยามยากได้ฝากรัก | ||
แล้วดูทีสีวิกาเห็นท่าโกรธ | จึงเอื้อนโอษฐ์ปราศรัยให้ประจักษ์ | ||
เมื่อคราวทุกข์ก็ได้มาสามิภักดิ์ | พระทรงศักดิ์ถามไถ่เป็นไมตรี | ||
แล้วบอกกับโฉมยงนางนงลักษณ์ | เมื่อทรงศักดิ์กริ้วโกรธทำโทษพี่ | ||
ได้เข็มทองน้องยาเจ้าปรานี | ค่อยเป็นที่บางเบาบรรเทาทุกข์ | ||
หนึ่งหมื่นยงบิดาอัชฌาศัย | แกไม่ใคร่ตรวจตราค่อยผาสุก | ||
จะนั่งนอนผ่อนปรนไม่รนรุก | เรามีสุขคิดประกอบให้ชอบกล | ||
พระธิดาฟังแจ้งแถลงไข | ก็ทราบในข้อความตามนุสนธิ์ | ||
นี่ชะรอยว่าพระภูวดล | สองสามคนแล้วกระมังจึงยังนี้ | ||
ครั้นฟังดูรู้แน่พูดแก้ไข | ฉันอยากได้พี่น้องทั้งสองศรี | ||
ถ้าแม้นทำราชการนานจะดี | ด้วยเป็นที่อุปถัมภ์ช่วยค้ำชู | ||
อยู่ในวังเถิดอย่าไปได้ใช้สอย | ดูเรียบร้อยกิริยาทั้งคู่ | ||
ถ้านานไปหมื่นยงแกคงรู้ | ถึงจะอยู่ก็เห็นไม่เป็นไร ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ผู้ทรงฤทธิ์ | สำราญจิตยิ้มย่องด้วยผ่องใส | ||
พระเสด็จเยื้องย่างเข้าข้างใน | เรียกทรามวัยเข้าที่ด้วยปรีดา | ||
ทางประโลมโฉมยงก็ปลงจิต | ทางจุมพิตปรางซ้ายทั้งย้ายขวา | ||
พลางสวมสอดกอดชิดวนิดา | เสน่หาสองสมภิรมย์รส | ||
ส่วนเข็มทองได้ประทานสังวาลเพชร | พูนบำเหน็จเงินผ้าให้ปรากฏ | ||
นางเปรมปรีดิ์ดีใจด้วยได้ยศ | พลางประณตกราบลาออกมาพลัน | ||
เฝ้าพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์ชื่นชมด้วยสมหวัง | ||
บอกไหมทองน้องสาวเล่าให้ฟัง | อยากได้มั่งฤๅไม่เจ้าไหมทอง | ||
จึ่งสั่งสีวิกาผ้าในหีบ | กับแพรจีบเยาวมาลย์ประทานของ | ||
แม้นสมหวังดังนึกที่กรึกกรอง | ของพี่น้องเอาไว้ที่ในวัง | ||
แต่จะให้สีวิกาไปว่าขอ | ต่อแม่พ่อมิให้อายเมื่อภายหลัง | ||
ท่านหมื่นยงแกคงจะเชื่อฟัง | ว่ารับสั่งภูวไนยใช้ให้มา | ||
สองนารีดีใจต่างไหว้กราบ | ไม่หยามหยาบอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
สิโรราบบาทมูลแล้วทูลลา | พากันมาห้องประทับที่หลับนอน | ||
หากินอยู่สู่กันด้วยฉันญาติ | ได้โอวาทนางกระษัตริย์ที่ตรัสสอน | ||
พอบ่ายแล้วหมายว่าจะลาจร | พอบังอรสุมณฑาออกมาพลัน | ||
เห็นพี่น้องสองนางระคางเขิน | ชม้ายเมินแอบฝาทำมานั่ง[58] | ||
ได้ยินเสียงเข็มทองย่องมาฟัง | กระทบกระทั่งสาวใช้เดินไปมา | ||
สีวิกาขัดเคืองชำเลืองค้อน | มันช่างค่อนแคะไค้พิไรว่า | ||
เที่ยวอิจฉาตาเป็นมันด้วยฉันทา | เขาไม่ว่าฮึกฮักยิ่งหนักไป | ||
คิดพลางทางเรียกเจ้าเข็มทอง | เข้ามานี่แน่น้องจะบอกให้ | ||
จะนอนค้างฤๅว่าจะคลาไคล | จะได้ไปเสียแต่วันไม่ทันเย็น | ||
เขาบอกว่าผีพรายมันตายโหง | นั่งคลุมโปงไปมาถ้ามันเห็น | ||
แม้นใครไม่เซ่นวักขี้มักเป็น | เที่ยวซ่อนเร้นหลอกเขาเอาสินบน | ||
ว่าพลางทางถ่มน้ำลายให้ | สาแก่ใจที่มันขวางอยู่กลางถนน | ||
เที่ยวสอดแนมยืนแอบฟังแยบยล | เราคนจนเข็มทองไม่ต้องการ ฯ | ||
◉ เมื่อนั้น | สุมณฑาฟังแจ้งแถลงสาร | ||
อุแม่เอ๋ยสีวิกาอย่ามาพาล | เขาขี้คร้านเถียงดอกบอกให้รู้ | ||
ถ้าดีจริงเปลี่ยนหน้าออกมาใหม่ | ฉันขอบใจแล้วกลัวตัวเป็นหนู | ||
จะได้ไหว้มัสการอาจารย์ครู | บนหัวหมูไข่ขวัญให้ทันที ฯ | ||
◉ เมื่อนั้น | สีวิกาขัดใจดังไฟจี่ | ||
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี | แล้วจึงมีวาจาว่าไป | ||
จะให้ใครเปลี่ยนหน้าออกมาสู้ | ก็พอรู้ทันดอกจะบอกให้ | ||
เห็นเขาดีขนพองคะนองใจ | ฉันเปลี่ยนกันมาใหม่แล้วทีนี้ | ||
หรือจะให้ไหว้บุญคุณพี่เลี้ยง | ถ้าทุ่มเถียงเอาให้ยับลงกับที่ | ||
แม้นไม่เกรงอาญาฝ่าธุลี | ใครจะดีกว่าใครก็ไม่กลัว ฯ | ||
◉ เมื่อนั้น | สุมณฑาได้ฟังให้คันหัว | ||
ทั้งลิ้นลมคมสันออกสั่นรัว | เขารู้ทั่วว่าเจ้าจอมหม่อมพี่เลี้ยง | ||
ทั้งปกปิดไม่น้อยออกลอยฟ้า | มาขึ้นเสียงเถียงจ้าอยู่แปร้นแปร้น | ||
เขาก็รู้อยู่จบพิภพแดน | ออกเถียงแทนพี่น้องช่วยป้องกัน ฯ | ||
◉ เมื่อนั้น | เข็มทองแสนกลคนขยัน | ||
ได้ยินสุมณฑาร้องว่าพลัน | หมายมั่นข่มใครจะให้กลัว | ||
นี่แหละเปลี่ยนหน้าใหม่ฉันไหว้หม่อม | ต้องสมยอมรับเอาเป็นเจ้าผัว | ||
ถึงเป็นจริงสีวิกาก็อย่ากลัว | เขารู้ทั่วแล้วก็สิ้นการนินทา | ||
ว่าพลางเคืองค้อนด้วยงอนใจ | ปากไบ่ไบ่ยิบยิบกระซิบด่า | ||
ทั้งหน้าเป็นเต้นแร้งเต้นกา | จะได้ว่าอวดเขาเจ้าคารม ฯ | ||
◉ บัดนั้น | สุมณฑาฟังตรับเห็นทับถม | ||
น้อยฤๅลูกสาวเจ้าหมื่นยง | แล่นตรงออกมาข้าน่ากลัว | ||
แง่งอนไม่น้อยออกลอยหน้า | ชาติข้าลูกนายได้เป็นผัว | ||
ทั้งหยาบช้าสาธารณ์ประจานตัว | จะดีชั่วราวกับใครเขาไม่รู้ | ||
นี่หม่อมห้ามศาลไหนอย่างไรหนอ | หรือว่าศาลเจ้าพ่อต้นประดู่ | ||
ที่สิงอยู่แถวทิมริมประตู | เคยไปมาหาสู่เขาบนบาน ฯ | ||
◉ เมื่อนั้น | เข็มทองชี้หน้าแล้วว่าขาน | ||
น้อยฤๅนางผู้ดีสันดาน | นี่แหละศาลเคยถวายดอกไม้เพ็ด | ||
ท่านหมื่นยงไปทำไมกับใครหรือ | จึงเอาชื่อมาว่าเล่นเบ็ดเตล็ด | ||
หรือท่วงทีแกมีกัลเม็ด | รับเสด็จเข้านอกออกใน ฯ | ||
◉ ฟังเอยฟังว่า | สุมณฑาเหลือกลั้นให้หมั่นไส้ | ||
เอาหรือเป็นไรก็เป็นไป | ที่จะให้มึงว่านั้นอย่าคิด | ||
กล้าดีออกมาอีเข็มทอง | จองหองเหลือตัวไม่กลัวผิด | ||
พลางเรียกหาบ่าวไพร่ที่ใช้ชิด | ชอบผิดตบเล่นจะเป็นไร | ||
สีวิกาเข็มทองก็มา | โถมถลาตรงเข้ากระทบไหล่ | ||
ได้ทีตบผางไม่ห่างไกล | สุมณฑาเลี้ยวไล่เข้าติดพัน | ||
ตบผางวางเข้าขาตะไกร | ไหมทองทรามวัยเข้ากางกั้น | ||
บ่าวต่อบ่าวนายต่อนายพัลวัน | เชี่ยนขันเรี่ยรายกระจายไป | ||
เนื้อตัวยับย่อยล้วนรอยเล็บ | ต่างคนต่างเจ็บจนเลือดไหล | ||
พวกเถ้าแก่ท้าวนางที่ข้างใน | ทั้งทรามวัยพระธิดายุพาพาล | ||
ได้ยินเสียงอึกทึกนึกสงสัย | พระหน่อไทจึงดำรัสตรัสถาม | ||
ก็มิได้เหตุผลต้นความ | ให้ข้าหลวงไปถามได้เค้ามูล | ||
สุมณฑาเข็มทองสีวิกา | ได้ความมากราบปิ่นบดินทร์สูรย์ | ||
พระโฉมยงทรงฟังสาวใช้ทูล | เห็นจะวุ่นแล้วแม่ทัศมาลี | ||
ตรัสพลางทางชวนนวลระหง | เสด็จตรงออกจากพระแท่นที่ | ||
เห็นพี่เลี้ยงสองรากับนารี | พระภูมีห้ามปรามเป็นความนัย | ||
พี่ขอเสียเถิดน้องทั้งสองข้าง | อย่าระคางขุ่นหมองทั้งสองศรี | ||
จงรักกันตามประสาเป็นนารี | ก็นึกเหมือนพี่น้องกันอย่าฉันทา | ||
จงเลิกกันเท่านั้นเถิดขวัญข้าว | ขอเชิญเจ้ายาจิตขนิษฐา | ||
จงสมัครรักใคร่กันไปมา | เจ้าแก้วตายอดสร้อยอย่าน้อยใจ ฯ | ||
◉ เมื่อนั้น | สามนางกราบก้มบังคมไหว้ | ||
ต่างคนต่างมาโศกาลัย | พระภูวไนยเป็นกลางค่อยบางเบา | ||
แล้วพากันทูลลากลับมาห้อง | เข็มทองบ่นออดนั่งกอดเข่า | ||
น่าบัดสีนี่กระไรมันไม่เบา | อายเขาย่อยยับอีอัปรีย์ | ||
สีวิกาว่าไม่เป็นไรน้อง | ไหมทองมาไปด้วยกับพี่ | ||
แต่เข็มทองอย่าไปดูไม่ดี | ด้วยภูมีเธอขอกับอรไท | ||
ว่าพลางจัดแจงแต่งตัว | หวีหัวผัดหน้านุ่งผ้าใหม่ | ||
ออกจากห้องเรียกหาข้าไท | บ่าวไพร่ตามหลังมาพรั่งพรู | ||
มาถึงบ้านหมื่นยงตรงขึ้นเรือน | ไม่แชเชือนเข้าหาเคยมาสู่ | ||
สีวิกานั่งไหว้ใคร่จะรู้ | สายทองอยู่กับพ่อที่หอกลาง | ||
เห็นพี่สาวออกมาก็ปราศรัย | วิ่งไปนั่งตักแล้วทักถาม | ||
พี่เข็มทองอยู่ไหนจะไปตาม | ไหมทองว่าอย่ามาถามพูดเซ้าซี้ | ||
สีวิกาว่าจะพาเอาไปด้วย | จะได้ช่วยเฝ้าแหนอยู่กับพี่ | ||
สายทองตกใจใช่พอดี | ก็เดินหนีจากพี่ไม่พูดจา | ||
หมื่นยงทองมีก็หัวร่อ | ลูกพ่อเป็นไรจึงไม่กล้า | ||
สีวิกาได้ทีก็ปรีดา | ว่าคุณป้ารักใคร่ได้เอ็นดู | ||
นางโฉมยงจงใจให้มาหา | ขอธิดาพี่น้องไว้ทั้งคู่ | ||
หนึ่งเข็มทองคนนี้มีความรู้ | ไปมาหาสู่ชอบพระทัย | ||
ท้าวทองมีว่าไม่เป็นไรแม่ | ก็สุดแท้แต่สมัครเขารักใคร่ | ||
ถ้าแม้นว่าชีวันฉันบรรลัย | หมายจะได้พึ่งพาบารมี | ||
แต่ไหมทองนี้ไม่ได้เอาไว้บ้าน | ข้างการงานแล้วมิใคร่จะได้หนี | ||
แต่เข็มทองนั้นเขาปัญญาดี | คนจู้จี้ฝากน้องพวกพ้องกัน | ||
ท่านหมื่นยงดีใจดังได้แก้ว | ยิ้มแล้วปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ | ||
ด้วยเต็มใจหมายว่าเวลานั้น | ยังไม่ทันเพ็ดทูลเกิดวุ่นวาย | ||
ก็สมใจดังนึกที่ฝึกฝน | คงเทียมคนเหมือนเขาที่เราหมาย | ||
คิดพลางเดินยิ้มพริ้มพราย | เจ้านายมีบุญได้คุ้นเคย | ||
แล้วจัดแจงแป้งน้ำมันกระจกหวี | เอาฝากพี่เข้าไปเถิดลูกเอ๋ย | ||
ไหมทองว่าคุณแม่อย่ากลัวเลย | พี่เข็มทองเขาเคยอยู่ในวัง | ||
สายทองน้องเล็กจึงบอกว่า | ตุ๊กตาของฉันเอาไปบ้าง | ||
พี่เข็มทองเข้าไปอยู่ในวัง | ฉันเข้าไปอยู่บ้างจะเป็นไร | ||
สามนางต่างหัวเราะฉอเลาะเหลือ | ช่างแผ่เผื่อแสนรู้ดังผู้ใหญ่ | ||
ให้เติบโตเสียสักหน่อยจึงค่อยไป | ถวายไว้เป็นข้าฝ่าธุลี | ||
สายทองว่าเป็นข้าฉันไม่ไป | ถ้าเติบใหญ่เป็นเจ้าจอมเหมือนหม่อมพี่ | ||
สีวิการักใคร่ใช่พอดี | กอดจูบเซ้าซี้อยู่ไปมา | ||
ครั้นสุริยาสายัณห์พยับแสง | ก็จัดแจงไหว้บุญลาคุณย่า | ||
ทั้งหมื่นยงกราบไหว้แล้วไคลคลา | ก็รีบมาเข้าวังด้วยดังใจ | ||
เข็มทองเห็นดีใจปราศรัยถาม | สีวิกาบอกความแถลงไข | ||
ก็แจ้งว่าอยู่ดีไม่มีภัย | ผูกสมัครรักใคร่ทั้งสองนาง | ||
ถึงเวลามาเฝ้านางโฉมศรี | ด้วยเป็นที่ปรนนิบัติไม่ขัดขวาง | ||
จะเข้านอกออกในค่อยไว้วาง | ไม่เหินห่างกิริยาเป็นนารี | ||
จะไปมาลาไหว้รับใช้สอย | สมเป็นน้อยพระธิดามารศรี | ||
ทั้งอัชฌาศัยเป็นไมตรี | ตั้งภักดีซื่อตรงเหมือนวงศ์วาน ฯ | ||
◉ ฝ่ายท้าวยศสุนทรบวรลักษณ์ | กับเอกอัครไฉยามารศรี | ||
ครองศฤงคารชันษากว่าร้อยปี | มิได้มีเภทภัยสิ่งไรพาน | ||
ความศรัทธากล้าหาญการกุศล | เป็นกังวลตั้งจิตพิษฐาน | ||
ปลูกศาลาโตใหญ่ไว้ให้ทาน | ทั้งคาวหวานเอมโอชโภชนา | ||
ทั้งผู้ดีเข็ญใจไหว้สาธุ | ขอให้ลุในพระศาสนา | ||
ถึงวันพระมีจิตเจตนา | ทรงศรัทธาแจกจ่ายทั้งให้ทาน | ||
ถือศีลห้าปาณาไม่ฆ่าสัตว์ | ด้วยเคร่งครัดทรงธรรมกรรมฐาน | ||
ทรงเมตตาภาวนาสมาทาน | มอบศฤงคารให้พระรถยศไกร ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระโฉมสร้อยสุมาลีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์มีจิตคิดเลื่อมใส | ||
นางสละสาวสรรกำนัลใน | ก็มอบให้พระธิดายุพาพาล | ||
รักษาศีลเป็นนิจมิได้ขาด | ไม่อังคาสตั้งจิตอธิษฐาน | ||
ไหว้พระพุทธพระธรรมทุกวันวาร | หมายนิพพานภายหน้าอนาคต | ||
ขอคุณพระชินศรีเป็นที่ตั้ง | ให้สมดั่งปรารถนาจงปรากฏ | ||
หนึ่งชาติพาลแล้วไซร้อย่าให้พบ[59] | จงหลีกหลบเสียให้ไกลคนใจพาล | ||
ขอเดชะความสัจจะสุจริต | ให้สมคิดเหมือนสัจจะอธิษฐาน | ||
ทุกเช้าเย็นเป็นนิตย์นางมัสการ | ไม่ว่าขานสาวสรรกำนัลใน | ||
ฝ่ายพระหน่อสุริวงศ์อันทรงเดช | ครองนิเวศอยู่ด้วยมิตรขนิษฐา | ||
เสวยรมย์สมบัติเป็นขัตติยา | แทนพระอาปกครองพระน้องนาง | ||
คิดคะนึงถึงชนนีที่ปกเกศ | จะทุเรศคอยหาน่าสงสาร | ||
ทั้งองค์พระราชบิดามาช้านาน | ไม่แจ้งการทูลกระหม่อมจะกรอมใจ | ||
คิดจะใคร่ไปเยี่ยมพระแม่เจ้า | จะโศกเศร้าทุกข์ทนด้วยหม่นไหม้ | ||
นิจจาเอ๋ยเป็นกรรมทำกระไร | จึงจะได้มัสการพระมารดา | ||
พระโศกาอาดูรพูนเทวศ | ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา | ||
เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของลูกอา | ลูกจากมาสามปีเข้านี่แล้ว | ||
ร่ำพลางกรสอดกอดเขนย | นิจจาเอ๋ยพระทูลกระหม่อมแก้ว | ||
จะทรงพระชราหนักหนาแล้ว | ลูกมิได้วี่แววไปเยี่ยมเลย ฯ | ||
◉ ฝ่ายพระโฉมทัศมาลีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์นั่งแนบแอบเขนย | ||
นึกสงสัยไถ่ถามดูตามเคย | ไฉนเลยทรงธรรม์ไม่บรรทม | ||
ฤๅมีทุกข์ยุคเข็ญเป็นไฉน | จงโปรดให้ทราบความตามประสงค์ | ||
พระฟังนางพลางประโลมนางโฉมยง | คิดถึงองค์บิตุเรศพระมารดา | ||
คิดจะใคร่ลาน้องกับสองกระษัตริย์ | ไปจังหวัดนคเรศของเชษฐา | ||
เจ้าจะคิดฉันใดนะน้องอา | พี่ไม่ว่าหวงห้ามตามพระทัย ฯ | ||
◉ นางโฉมยงทรงฟังก็แจ้งจิต | เป็นสุดคิดนี้จะทำอย่างไรได้ | ||
นางตรึกพลางทางทูลพระภูวไนย | น้องนี้ไม่ห้ามปรามเป็นความจริง | ||
หนึ่งองค์พระปิตุลาชราภาพ | น้องก็ทราบอยู่แก่ใจเป็นใหญ่ยิ่ง | ||
ไม่คลางแคลงแหนงนัยเห็นใจจริง | พระจะทิ้งน้องไว้ไปแต่องค์ | ||
พระเสด็จไปไหนขอไปด้วย | เป็นเพื่อนม้วยกันในไพรระหง | ||
จะได้กราบบิตุราชมาตุรงค์ | น้องนี้จงจิตไว้แต่ไรมา ฯ | ||
◉ พระฟังนางทางตอบว่าชอบแล้ว | พระน้องแก้วทราบเหตุด้วยเชษฐา | ||
สักสองสามราตรีพี่จะมา | ไม่นานช้าดอกน้องอย่าหมองนวล | ||
ใช่พี่มิรักจะทิ้งขว้าง | ให้เหินห่างนวลน้องประคองสงวน | ||
ว่าพลางเชยโฉมประโลมนวล | นางหยิกข่วนผลักไสไม่ไยดี | ||
ร่วมภิรมย์สมสนิทพิสมัย | จนอุทัยส่องสว่างกระจ่างศรี | ||
ทั้งสององค์สรงพักตร์แล้วจรลี | ขึ้นสู่ที่ทรงฤทธิ์พระบิดา | ||
ทั้งสององค์ตรงเข้าไปกราบไหว้ | ท้าวปราศรัยสรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
นางกระษัตริย์ตรัสพลันมิทันช้า | แล้วหันมาทักพระหน่อธิบดี | ||
พระหน่อไทคำนับอภิวาทน์ | ขอลาบาทบงกชบทศรี | ||
ลูกคิดถึงบิตุเรศพระชนนี | ป่านฉะนี้สองพระองค์จะทรงคอย | ||
ด้วยจากมาช้านานถึงปานนี้ | พระชนนีปิ่นเกล้าจะเศร้าสร้อย | ||
ทูลพลางทางน้ำพระเนตรย้อย | หวนละห้อยกลับคิดถึงบิดา ฯ | ||
◉ พระเจ้าอาอาลัยจิตใจหาย | ก็ฟูมฟายชลเนตรถึงเชษฐา | ||
สะอื้นพลางทางตรัสทั้งน้ำตา | อาไม่ว่าดอกหลานสงสารนัก | ||
แต่ตัวอาช้านานถึงปานนี้ | กว่าสิบปีแล้วมาพึ่งประจักษ์ | ||
เพราะกุศลอุปถัมภ์ช่วยนำชัก | พระหลานรักจึงได้มาถึงธานี | ||
แม้นไปถึงจึงทูลพระเชษฐา | ทูลว่าอากราบประณตบทศรี | ||
ถ้าพระองค์ค่อยทรงสวัสดี | ว่าอานี้คิดถึงคะนึงนัก | ||
อยากจะใคร่ไปเยี่ยมขนิษฐา | แต่มรคาเหลือไกลไม่ประจักษ์ | ||
ด้วยโฉมเจ้าตะเกียงทองเป็นน้องรัก | แล้วทรงศักดิ์โศกาเฝ้าจาบัลย์ | ||
แต่จากกันช้านานถึงปานนี้ | จะอยู่ดีฤๅว่าจะอาสัญ | ||
แสนระกำลำบากมาจากกัน | ด้วยนางนั้นสุดท้องเป็นน้องเล็ก | ||
อยากจะใครไปเชิญพระเชษฐา | เที่ยวตามหาโฉมงามไม่ขามเข็ด | ||
ให้ได้ข่าวยอดมิ่งจริงแลเท็จ | เที่ยวเตร่เตร็จกว่าจะพบประสบกัน | ||
พระหน่อไทฟังแจ้งแถลงสาร | พลอยแดดาลร้อนโรคยิ่งโศกศัลย์ | ||
คิดสงสารพระเจ้าอาเฝ้าจาบัลย์ | กระหม่อมฉันทราบความจะตามไป | ||
ถึงไม่รู้มรคาสาคเรศ | อยู่ประเทศธานีบูรีไหน | ||
คงค้นคว้าหาจบทั่วภพไกร | กว่าจะได้พานพบประสบกัน | ||
นางพญาว่าจริงแล้วลูกแก้ว | ไม่ตายแล้วคงพบเป็นแม่นมั่น | ||
น่าสงสารขนิษฐาวิลาวัลย์ | แต่จากกันช้านานถึงป่านนี้ | ||
พระหน่อไทขอรับอภิวาทน์ | กราบลาบาทบงกชบทศรี | ||
ลูกขอฝากนงนุชพระบุตรี | ด้วยลูกนี้หมายสิบห้าวัน | ||
พระมารดาอาลัยจิตใจหาย | แสนเสียดายลูกยาเพียงอาสัญ | ||
ต้องจำเป็นจำจากวิบากครัน | นางโศกศัลย์สั่งพระหน่อธิบดี | ||
ถ้าสององค์อยู่ดีไม่มีทุกข์ | จำเริญสุขปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
จงกลับมาหาแม่อย่าช้าที | พระน้องนี้อยู่เดียวจะเปลี่ยวใจ | ||
พระหน่อไทฟังสารโองการสั่ง | ถวายบังคมลาต่างปราศรัย | ||
เข้าสู่แท่นสุวรรณด้วยทันใด | ตรัสปราศรัยนงลักษณ์ภคินี | ||
พี่จากไปไม่ช้าดอกหนาน้อง | อย่าหม่นหมองว่าพี่อางขนางหนี | ||
จงยินยอมพร้อมใจด้วยไมตรี | เหมือนช่วยพี่อวยชัยให้ไปเมือง ฯ | ||
◉ นางโฉมยงได้ฟังก็สังเวช | สุชลเนตรไหลหยดไม่ปลดเปลื้อง | ||
สะอื้นอ้อนถอนใจไม่ประเทือง | ด้วยสุดเคืองสุดขัดต้องตัดใจ | ||
ตำริพลางนางกระษัตริย์ตรัสประภาษ | น้องหมายมาดน้ำเนื้อเป็นเชื้อไข | ||
เป็นกระษัตริย์ตรัสแล้วก็แล้วไป | ถ้าไปแล้วที่ไหนจะกลับมา | ||
แล้วคิดแค้นแทนพระพี่เมรีด้วย | มาเจ็บป่วยอยู่ฝั่งจนสังขาร์ | ||
พยายามตามเสด็จไม่เมตตา | จนชีวาวอดวายทำลายชนม์ | ||
นี่จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันแน่ | ถ้าวิ่งแร่ก็จะขว้างเสียกลางหน | ||
ก็สาใจที่ไม่เจียมเสงี่ยมตน | เป็นกังวลตามเขาเพราะเมามัว | ||
พระฟังว่าช่างว่านี้สาหัส | มาพ้อตัดนี่กระไรมิใช่ผัว | ||
ฤๅหลบลี้หนีไปจะได้กลัว | ก็รู้ทั่วว่าพี่ลาไปธานี | ||
ถ้าไปได้แล้วมิให้มาค่อนว่า | อยากจะพาไปให้ถึงบุรีศรี | ||
เป็นห่วงหลังกังวลพระชนนี | เพราะเท่านี้ดอกน้องอย่าหมองหัทยา | ||
หนึ่งองค์พระบิดาชราภาพ | น้องก็ทราบอยู่แก่ใจนั้นไม่ว่า | ||
จะทิ้งองค์ทรงศักดิ์พระจักรา | พระมารดาจะละห้อยน้อยพระทัย | ||
ใช่พี่มิรักจะแกล้งหนี | จะตัดใยไมตรีก็หาไม่ | ||
อย่าโศกศัลย์รันทดสลดใจ | พี่มิให้ขวัญเนตรเวทนา | ||
มิได้เป็นเช่นน้องเมรีนาฏ | จากนิราศร้างมิตรขนิษฐา | ||
หมดกุศลของนางที่สร้างมา | เกิดชาติหน้าคงพบประสบกัน | ||
นางฟังองค์ทรงเดชพระเชษฐา | ตอบบัญชาทูลกระหม่อมพระจอมขวัญ | ||
ด้วยชาตินี้กรรมวิบากต้องจากกัน | อย่ารำพันเลยไม่พอใจฟัง | ||
เกิดชาตินี้ชาติหน้าขออย่าพบ | จงหลีกหลบเสียให้ไกลไปสวรรค์ | ||
จนชั้นเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | อย่าพัวพันรุงรังเหมือนอย่างนี้ | ||
ได้เกินแล้วก็ต้องเลยนิ่งเฉยอยู่ | ที่เขารู้ก็ว่าน่าบัดสี | ||
เขาทิ้งขว้างร้างหย่าเสียกว่าปี | ที่เขาดีผัวเมียไม่เสียกัน | ||
◉ พระฟังนางทรงปลอบให้ชอบชื่น | วิโยคแข็งขืนความที่โศกศัลย์ | ||
แม้นไม่จริงเหมือนคำพี่รำพัน | ขอเทวราชฉ้อชั้นสวรรยา | ||
จงเล็งเห็นความสัตย์สุจริต | มิได้คิดโยกเยกอุเบกขา | ||
เทพเจ้าเมืองสวรรค์ในชั้นฟ้า | ขอจงมาเล็งเห็นเป็นพยาน | ||
นางโฉมยงทรงฟังก็สาธุ | ขอให้ลุถึงนิเวศเขตสถาน | ||
อันเคราะห์โศกสิ่งไรอย่าได้พาน | เยาวมาลย์โมทนาคิดปรานี | ||
ที่ความแค้นดับเดือดจึงเหือดหาย | พลางน้อมกายพลางประณตบทศรี | ||
ทั้งสาวสรรกัลยาฝูงนารี | อีกทั้งสีวิกาก็มาพลัน | ||
สุมณฑาเข็มทองต่างร้องไห้ | น้ำตาไหลร้อนโรคให้โศกศัลย์ | ||
ด้วยจำเป็นจำใจจะไกลกัน | สู้บากบั่นมาเป็นข้าฝ่าธุลี | ||
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณทูลกระหม่อม | พระโอบอ้อมแต่ชั้นเหล่าพวกสาวศรี | ||
จะนับเดือนเลือนลับไปนับปี | อนิจจาครั้งนี้มาจำไกล | ||
แสนวิตกอกเอ๋ยน่าสงสาร | ทั้งเยาวมาลย์ยิ่งทรงกันแสงไห้ | ||
แสนสงสารองค์พระรถยศไกร | ทางปราศรัยสาวสรรกัลยา | ||
ทั้งนารีเข็มทองสองพี่เลี้ยง | อย่าทุ่มเถียงฟูมฟักช่วยรักษา | ||
จงชุบเลี้ยงเที่ยงธรรม์อย่าฉันทา | นึกเหมือนว่าพี่น้องร่วมท้องกัน | ||
แล้วจัดแจงแต่งองค์ทรงภูษา | กษัตราหวนวิโยคด้วยโศกศัลย์ | ||
นางโฉมยงถวายพระแสงพลัน | ยิ่งอัดอั้นยืนสะท้อนถอนฤๅทัย | ||
จะลาเอ่ยเผยโอษฐ์มิใคร่ออก | ครั้นจะบอกปากลาน้ำตาไหล | ||
สะอื้นร่ำสำลักกระอักกระไอ | จำใจจำลาสุดาดวง | ||
ทรวงสะท้อนกรแบรับพระแสง | พระเนตรแดงชลนัยน์ยิ่งไหลร่วง | ||
ขอลาเหล่าสาวสุรางค์นางทั้งปวง | เสด็จล่วงเลยมาทรงพาชี | ||
เหาะละลิ่วปลิวมาในกลีบเมฆ | แสนวิเวกครวญหามารศรี | ||
พลางชมพรรณพฤกษาบรรดามี | ธิบดีค่อยคลายสบายองค์ | ||
เห็นมยุเรศโกญจาถลาร้อง | เหมือนเสียงน้องทรามสงวนนวลระหง | ||
หวนคะนึงถึงสุรางค์นางอนงค์ | ด้วยเคยส่งศุภเสียงสำเนียงครวญ | ||
โอ้โนรีสัตวารู้พาคู่ | เหมือนพี่อยู่แนบน้องประคองสงวน | ||
โอ้ขวัญอ่อนแม่จะค่อนอุระครวญ | พี่เคยสรวลโสมนัสให้เปรมปรา | ||
ถึงยามร้อนเจ้าเคยผ่อนอยู่งานพัด | เคยกำหนัดที่ในเสน่หา | ||
โอ้ยามหนาวเคยแนบแอบอุรา | อนิจจาดูเหมือนกรรมให้จำเป็น | ||
แม้นมาได้พี่จะพาเจ้ามาเที่ยว | พระน้องเอ๋ยพี่เหลียวไม่แลเห็น | ||
เห็นสาวหยุดต้องวิบากได้ยากเย็น | โอ้สวาทพี่ก็เวนสวาทเอย | ||
เห็นนมแมวแก้วเกศกระถินเทศ | เหมือนขวัญเนตรร้อยเรียงไว้เคียงเขนย | ||
เห็นต้นโศกโศกใจกระไรเลย | พระนุชเอ๋ยอกพี่ดังไฟฟอน[60] ฯ | ||
เชิงอรรถ
- ↑ ตรวจสอบชำระจากหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ และหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๒ หมู่กลอนอ่าน เรื่องพระรถ เล่ม ๑
- ↑ สิบเอ็ด ในต้นฉบับใช้เป็น สิบเบ็ด ทุกแห่ง
- ↑ นนทา หมายถึง สุนนทา
- ↑ ต้นฉบับเป็น สุทามาน หมายถึงสุนนทามาร
- ↑ จบหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๒ เพียงนี้
- ↑ ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเป็น “งิ้วเล่นสี่โรงเข้าสมทบ จับเมื่อโต่โฉแตกเจยี๋วยี่”
- ↑ ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเป็น “พะบูหกขะเมนเจนตี”
- ↑ คือ ถั่วลิสง
- ↑ ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเป็น “เคาของสมบัดแล้วถา” สถา น่าจะหมายถึงสถาปนา
- ↑ เริ่มหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๓ หมู่กลอนบทละคร เรื่องพระรถกลอนอ่าน เล่ม ๒ โดยได้ตรวจสอบชำระเทียบกับหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๑
- ↑ ใช้ตามหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๓ ส่วนหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ เป็น “ด้วยดอกบัวในสระสำหรับมี”
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๓ เป็น “แก้วพี่อย่าแหนงแคลงเคือง”
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ เป็น “ฤๅจะไร้ชู้ชมยังสงสัย”
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ เป็น “ระบือกิจฝูงคนจะยลสรวล”
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ เป็น “ของสิ่งใดในคอบอยู่รอบชิด” คอบ หมายถึง ครอบ,รักษา,ครอบงำ,ครอบครอง
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ เป็น “สุดจะประสงค์ให้ดังใจ”
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ เป็น “แต่ท่วงทีติดเต่งเก่งคะนอง” แต่มีบทกลอนว่า “แต่ท่วงทีอำมหิตติดคะนอง” อยู่ในวงเล็บ
- ↑ ข้อความต่อจากนี้ใช้ตามหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๓ ส่วนในหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑ นั้นมีข้อความหยาบโลน และมีข้อความอีก ๕ วรรค ก็จบความในหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑
- ↑ คงข้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ ต้นฉบับชำรุด
- ↑ จบความหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๓ เพียงนี้ เนื้อความต่อจากนี้ในต้นฉบับหนังสือสมุดไทยที่เก็บรักษาไว้ ณ หอสมุดแห่งชาติ เริ่มจากตอนที่พระรถพบพระฤๅษีก่อนเดินทางไปเมืองทานตะวัน ที่เรียกกันว่าตอนฤๅษีแปลงสาร ซึ่งเมื่อพิจารณาถ้อยคำสำนวนการการเขียนแล้วเห็นว่า น่าจะเป็นสำนวนเดียวกัน
- ↑ เริ่มหนังสือสมุดไทยหมู่กลอนบทอ่านเลขที่ ๔ เรื่องพระรถ เล่ม ๓
- ↑ ใช้ตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ เยียงผา คงตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย หมายถึง เลียงผา
- ↑ ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเป็น “จะรบินอสุรินธ์บำเรืยงเรียง”
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ เข้าใจว่าบทกลอนตรงนี้ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยคัดตกไป
- ↑ จบต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๔ เรื่องพระรถ เล่ม ๓ เพียงนี้ และเริ่มหนังสือสมุดไทยหมู่กลอนอ่าน เลขที่ ๕ เรื่องพระรถ เล่ม ๔ หน้าแรกมีข้อความว่า “หน้าต้น พระรศ นิราษสวาดิ์ เล่ม ๔” และเริ่มหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๗ เรื่องพระรถ เล่ม ๑ (อีกสำนวนหนึ่ง) และ เลขที่ ๑๒ เรื่องพระรถนิราศ ซึ่งเนื้อความในหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๕ ฉบับนี้ความต่อกันได้พอดีกับเล่ม ๒ และเล่ม ๔ และในตอนกลางเล่มยังตรงกับตอนต้นหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๘ กลอนอ่านเรื่องพระรถด้วย แต่ทั้งนี้ก็มีเนื้อความตรงกับหนังสือสมุดไทย หมู่กลอนนิราศ เลขที่ ๑๙ เลขที่ ๒๐ และ เลขที่ ๒๑ เรื่องนิราศพระรถ นับตั้งแต่วรรค “ฝ่ายนาฎเมรีศรีสวัสดิ์ บรรทมเหนือแท่นรัตน์จฐรณ์” เป็นสำนวนเดียวกับบทมโหรีเรื่องพระรถ สำนวนเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ในฉบับกลอนนิราศมีบทไหว้ครูนำ เข้าใจว่าแต่งเป็นกลอนอ่านขึ้นก่อนแต่เนื่องจากตอนนี้มีโวหารไพเราะจับใจกวีจึงตัดตอนไปเป็นนิราศและแต่งบทไหว้ครูนำ
- ↑ ความตอนนี้จนถึง “ฝ่ายนาฏเมรีศรีสมร”ใช้ตามหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๗ และเลขที่ ๑๒ เนื่องจากความเลขที่ ๕ เข้าใจว่า คัดตกไป ๓ วรรค และเนื่องจากบทที่ใช้มีสัมผัสระหว่างบทต่างกันกับฉบับเลขที่ ๕ จนถึงบทกลอนวรรคดังกล่าว ส่วนความในหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ เป็น
“เคยประจญข้าศึกในสงคราม พลหอกกลอกตามกระบวนฤทธิ์ พลม้าหาญจิตประชิดแล่น โกฏิแสนแน่นป่าเป็นอกนิษฐ์ เคยประจญประจักษ์ปัจจามิตร ทศทิศย่อท้อไม่ต่อกร แต่ล้วนยักษีมีพยศ มาประณตน้อมดูอยู่สลอน มาคอยเฝ้าดวงสุดาพะงางอน ฟังสุนทรพจมานการณรงค์” - ↑ วรรคนี้หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ คัดตกไป ๑ วรรค จึงใช้ตามหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๑๒ ส่วนวรรคต่อไปในฉบับเลขที่ ๕ เป็น “จะแลขวาคว้าเปล่าเปลี่ยวข้าง”
- ↑ เริ่มหนังสือสมุดไทยหมู่กลอนอ่าน เลขที่ ๘ เรื่องพระรถ เล่ม ๒ โดยได้ใช้ตรวจสอบชำระกับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ และเลขที่ ๗
- ↑ ใช้ตามหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๘ ส่วนหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ มีความว่า “สุวรรณหงส์ยังรู้สั่งสุวรรณราช มฤคชาติยังรู้สั่งซึ่งไกรสีห์”
- ↑ นับแต่วรรคนี้ไปจนถึง “ม้าเร่งพระร้อนอารมณ์อารมณ์รึง” ใช้ข้อความตามหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ ซึ่งมีข้อความส่วนที่ต่างกันรวม ๑๕๓ คำกลอน ส่วนหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๘ ความส่วนที่ต่างออกไป ๖ คำกลอนกับ ๑ วรรค
- ↑ นับแต่วรรคนี้ไปหนังสือสมุดไทยทั้ง ๒ เล่มตรงกัน
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๘ เป็น “เสียดายเอวอ่อนน้อยระทวยนาด เสียดายดวงละมุดมาศดวงสวรรค์ |- valign=bottom |เสียดายผิวผ่องเพียงแผ่นสุวรรณ เสียดายกำนัลคณานาง |- valign=bottom |โอว่าป่านฉะนี้เจ้าจะตีพระทรวงดิ้น ยุพาพินแม่จะค่อนอุระผาง |- valign=bottom |จำคร่ำครุ่นโครมครวญอยู่เครงคราง ที่ในกลางวนเวศพนมเนา |- valign=bottom |พระคุณเอ๋ยท่านท้างอมรแสน ทุกด้าวแดนดงดอนชะง่อนเขา” |- valign=bottom |และความต่อจากนี้หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๘ มีรายละเอียดต่างออกไป ได้ใช้หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ เป็นฉบับหลัก
- ↑ หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๘ เป็น “เสียดายเอวอ่อนน้อยระทวยนาด เสียดายดวงละมุดมาศดวงสวรรค์ |- valign=bottom |เสียดายผิวผ่องเพียงแผ่นสุวรรณ เสียดายกำนัลคณานาง |- valign=bottom |โอว่าป่านฉะนี้เจ้าจะตีพระทรวงดิ้น ยุพาพินแม่จะค่อนอุระผาง |- valign=bottom |จำคร่ำครุ่นโครมครวญอยู่เครงคราง ที่ในกลางวนเวศพนมเนา |- valign=bottom |พระคุณเอ๋ยท่านท้างอมรแสน ทุกด้าวแดนดงดอนชะง่อนเขา” |- valign=bottom |และความต่อจากนี้หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๘ มีรายละเอียดต่างออกไป ได้ใช้หนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ เป็นฉบับหลัก
- ↑ จบหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๕ เรื่องพระรถกลอนอ่าน เล่ม ๔ เพียงนี้ ขึ้นหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๖ เรื่องพระรถกลอนอ่าน เล่ม ๕ เนื้อความและกลอนต่อกันสนิท แต่หน้าต้นมีโคลงกระทู้ ชมยศคุณแม่ คุณแม่มีบุญ ดังนี้ |- valign=bottom |“ชม คุณ ฉลาดอาจจักแจ้ง||||ใจชน |- valign=bottom |ยศ แม่ เลิศล้ำผล||||สู่บ้าน |- valign=bottom |คุณ มี ยศยิ่งหญิงบน||||เมืองโลก สวรรค์แฮ |- valign=bottom |แม่ บุญ ส่งสร้างสะอ้าน||||เอี่ยมลิ้นขันทอง”
- ↑ เรื่องนี้กล่าวว่ากำพตมีฤทธิ์เสมอด้วยศรพรหมาสตร์ของพระราม แต่ในกลอนบทละครเรื่องพระรถเมรี ว่ากำพตนั้นคือศรพรหมาสตร์ที่พวกยักษ์ได้ครอบครองหลังจากวงศ์พระรามเสื่อมอำนาจลง||||(ดูเพิ่มเติมในกลอนบทละคร)
- ↑ ต้นฉบับเลอะเลือน
- ↑ ต้นฉบับเลอะเลือน
- ↑ คงตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย||||หมีโปรดปราน||||หมายถึง||||มิโปรดปราน
- ↑ จบหนังสือสมุดไทยเลขที่||||๖||||เพียงนี้||||หมดต้นฉบับพระรถกลอนอ่าน||||สำนวนนี้ที่เก็บรักษาอยู่||||ณ||||ส่วนภาษาโบราณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ||||ส่วนกลอนอ่านตอนต่อจากนี้||||คือ||||พระรถกลอนอ่าน||||เล่ม||||๔||||(พลัด)ซึ่งเป็นตอนพระรถได้นางทัศมาลี||||(ในบทละครเป็นนางทศนารี)||||นั้น||||เข้าใจว่าเป็นคนละสำนวนกัน||||(ดูเพิ่มเติมในคำอธิบาย)||||แต่ก็ได้ตรวจสอบชำระนำมาพิมพ์รวมกันไว้ด้วย
- ↑ ตรวจสอบชำระจากหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๙ หมู่กลอนอ่าน เรื่องพระรถ เล่ม ๔ (พลัด) เป็นคนละสำนวนกับสำนวนก่อนนี้
- ↑ ต้นฉบับเลอะเลือน
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับ บทกลอนสำนวนนี้มีหลายแห่งที่ไม่ส่งสัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัสระหว่างบท
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับ
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับ ซึ่งเนื้อความหลายแห่งไม่ส่งสัมผัสระหว่างบท
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับ เข้าใจว่าต้นฉบับหนังสือสมุดไทยคัดตกไป ๓ วรรค
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับ
- ↑ เข้าใจว่าต้นฉบับหนังสือสมุดไทยคัดตก
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เข้าใจว่าต้นฉบับหนังสือสมุดไทยคัดตกไป
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย จะเห็นว่าเนื้อเรื่องต่างจากสำนวนอื่น
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย แต่มีหลายแห่งที่ไม่ส่งสัมผัสระหว่างบท
- ↑ ใช้ตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย คือ มังกร
- ↑ หมายถึง||||สัพพัญญู
- ↑ ใช้ตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ คงเนื้อความตามต้นฉบับหนังสือสมุดไทย
- ↑ จบต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๙ เพียงนี้
อ้างอิง
เว็บไซต์ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร